Money Ideas Family

Money Ideas Family Good Quality of Life, On Budget

เพราะ CP ไม่ได้มีแค่ 7-11
17/01/2022

เพราะ CP ไม่ได้มีแค่ 7-11

ถ้าพูดถึงตระกูลเจ้าสัวเบอร์ต้นๆ ของไทย หลายคนต้องนึกถึง “ตระกูลเจียรวนนท์” แห่งเครือซีพี ที่ครองอันดับ 1 ในอภิมาเศรษฐีไทยในปีล่าสุด ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 948,000 ล้านบาท
ปัจจุบันมี 8 ธุรกิจหลัก 14 ธุรกิจย่อย และพนักงานอีกหลักแสนคนทั่วโลก
ว่าแต่ เครือซีพีมีธุรกิจอะไรบ้าง
Affluent Times รวบรวมไว้แล้วที่นี่
ติดตามบทความและ VDO ของ Affluent Times
Facebook : https://bit.ly/2VcGqai
YouTube : https://bit.ly/3qMWCMZ

หมูแพงทำไง วันนี้ไข่ก็ขึ้นราคา
10/01/2022

หมูแพงทำไง วันนี้ไข่ก็ขึ้นราคา

ช่วงที่ผ่านมาใครๆ ก็บอกว่า “หมูแพง เพราะขยับมาอยู่ที่ 200 บาท/กิโลกรัม และราคาเนื้อหมูปรับตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี แต่เนื้อหมูจะแพงจากปัจจัยไหน ราคาจะขึ้นอีกหรือไม่
และจะแพงไปถึงเมื่อไร
#หมูแพงเพราะอะไร
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ 3 ปัจจัยที่ทำให้เนื้อหมูแพง ได้แก่
1) ปัญหาโรคระบาดในสุกร ทำให้เนื้อหมูขาดตลาด และต้องติดตามความเสี่ยงโรคอหิวาต์แอฟริกันในหมู (ASF) ที่ระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยารักษา
2) ต้นทุนการผลิตเนื้อหมูเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น ราคาน้ำมัน ต้นทุนอาหาร วัคซีน ฯลฯ
3) การลดลงของเกษตรกรเลี้ยงสุกรรายย่อยทำให้เนื้อหมูในตลาดขาดแคลน
4) ความต้องการซื้อที่อั้นไว้ (Pent-up demand) ทำให้เมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวราคาจึงขยับขึ้น
#ราคาหมูจะเพิ่มขึ้นไปถึงไหน?
เบื้องต้นคาดว่าราคาเนื้อหมู ครึ่งปีแรก 2565 จะยังอยู่ในระดับสูงและอาจจะแพงขึ้นอีก ในช่วงเทศกาลตรุษจีนและช่วงเทศกาลสงกรานต์
และคาดว่า ราคาเนื้อหมูเฉลี่ยของปี 2565 จะอยู่ที่ราว 190-220 บาทต่อกิโลกรัม ถือว่าเพิ่มขึ้น 30% จากปี 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้ราคาเนื้อสัตว์ และอื่นๆ ปรับขึ้น เช่น เนื้อไก่ ผัก ฯลฯ
ทั้งนี้แม้ว่าภาครัฐจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือบางส่วน แต่จุดที่จะทำให้ราคาหมูลดลง อาจขึ้นอยู่กับ
ผลผลิตลอตใหม่เข้าสู่ตลาด ซึ่งเป็นช่วงครึ่งปีหลัง
#ผลกระทบเนื้อหมูแพง
ทั้งนี้เมื่อเนื้อหมูแพงขึ้นย่อมทำให้ค่าใช้จ่ายของคนไทยเพิ่มขึ้น ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จากเนื้อหมูที่แพงขึ้นนี้ส่งผลให้ ค่าใช้จ่ายด้านอาหารของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 8-10% ต่อคนต่อเดือน
เนื่องจากผู้บริโภคปัจจุบันค่าเฉลี่ย ค่าใช้จ่ายอาหารกว่า 50% คือ ค่าใช้จ่ายอาหารสด ดังนั้นต้องเจอปัญหาหมูเพิ่มขึ้นหากไม่มีทางเลือกในการทานเนื้อสัตว์อื่นๆ
ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการร้านอาหาร โดยเฉพาะร้านที่ใช้เนื้อหมูเป็นหลัก เช่น ร้านชาบู หมูกระทะ ฯลฯ จะเจอปัญหาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ทำให้ปัจจุบันเห็นหลายร้านที่ต้องปรับขึ้นราคา แต่ยังขึ้นราคาไม่ได้มากนัก เพราะการแข่งขันในธุรกิจอาหารค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตามเมื่อราคาเนื้อหมูแพงยังกระทบอีกสายอาชีพคือ “เขียงหมู” หรือผู้ประกอบการขายปลีกเนื้อสุกร ที่ในไทยมีอยู่มากกว่า 5,000 ราย บางร้านไม่สามารถแบกรับต้นทุนเนื้อหมูหน้าฟาร์มที่สูง ค่าใช้จ่ายการขนส่งที่สูง หรือหมูที่ราคาแพงทำให้คนซื้อน้อยลง และหลายแห่งอาจต้องปิดกิจการ
สุดท้ายนี้เมื่อคนไทยต้องจ่ายเนื้อหมูที่แพงขึ้น แต่ยังมีอีกหลายส่วนที่ต้องติดตาม เช่น ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เริ่มมีสัญญาณปรับตัวสูงขึ้น เช่น ค่าไฟ ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าเดินทาง ฯลฯ
แต่ทั้งหมดนี้ยังสวนทางกับรายได้ครัวเรือนที่เปราะบาง (และอัตราว่างงานที่ยังไม่ลดลงสู่ระดับก่อนหน้า)
ติดตามบทความและ VDO ของ Affluent Times
Facebook : https://bit.ly/2VcGqai
YouTube : https://bit.ly/3qMWCMZ

อาณาจักรเครือสหพัฒน์ใหญ่กว่าที่เราคิด ไม่ได้มีแค่มาม่า
03/01/2022

อาณาจักรเครือสหพัฒน์ใหญ่กว่าที่เราคิด ไม่ได้มีแค่มาม่า

เปิดต้นปีใหม่ พ.ศ. 2565
Affluent Times รวบรวมข้อมูลธุรกิจใหญ่ของเศรษฐีไทย ที่สินค้าและบริการของเขาอยู่รอบตัวเรา
ในวันนี้เราจะเล่าถึง "เครือสหพัฒน์" อาณาจักรสหพัฒน์ของตระกูลโชควัฒนา
ว่านอกจาก ‘มาม่า’ ที่หลายคนกินกันสิ้นเดือน
เครือสหพัฒน์ยังมีแบรนด์อะไรอยู่ในมืออีกบ้าง ?
รู้หรือไม่? ว่าหลายแบรนด์สินค้าของกิน ของใช้ที่เราซื้อกันอยู่ทุกวันนี้อาจจะมาจากบริษัทเดียวกันก็ได้
อย่าง เครือสหพัฒน์ฯ ที่มีแบรนด์สินค้ามากกว่า 50 แบรนด์
เครือสหพัฒน์ ถือว่าทำสินค้าอุปโภคบริโภคเจ้าใหญ่ของไทย และมีสินค้าที่หลากหลาย ที่สำคัญมีกลยุทธ์ที่หลายคนอาจจะเห็นกันบ่อยครั้งคือ "1 สินค้า อาจมีหลายแบรนด์" เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าตรงกลุ่ม อย่างเช่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็มีถึง 5 แบรนด์ด้วยกัน
- มาม่า ที่อยู่กับคนไทยมานานกว่า 50 ปี จุดเด่นการตลาดที่เน้นความสนุก จึงต้องมีรสชาติใหม่ๆ ออกมาให้ลองเสมอ
- โคคา แบรนด์ที่ออกมาเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะ โดยเฉพาะเส้นหมี่น้ำใส
- รุสกี แบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่ออกมาเพิ่อตอบโจทย์ลูกค้ามุสลิม
- จายา แบรนด์ที่เจาะคนชอบเนื้อ และกลุ่มลูกค้ามุสลิม
- ซื้อสัตย์ แบรนด์ที่เจาะกลุ่มคนอยากกิน แต่ไม่ใส่ผงชูรสทำให้มีทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่มีผงชูรส และ ปลากระป๋อง (มีหลายคนบอกว่าเป็นแบรนด์ที่เน้นขายให้ต่างประเทศ)
หรือสินค้าอื่นๆ เช่น ผงซักฟอกก็มีหลายแบรนด์ เช่น เปา, โปร ฯลฯ
เรียกว่าเครือสหพัฒน์ทุกครั้งที่จัดงานใหญ่อย่าง สหกรุ๊ปแฟร์ ก็มีสินค้ามากมายที่สามารถจัดโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถมให้ลูกค้าได้
จากกลยุทธ์ธุรกิจที่ทำมากว่า 70 ปี ลองมาดูด้านรายได้ของบริษัท บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือตัวย่อในตลาดหุ้นว่า SPC กันบ้าง
ปี 2562 มีรายได้รวมอยู่ที่ 33,392 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,709 ล้านบาท
ปี 2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 32,739 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,705 ล้านบาท
9 เดือนแรก ปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 25,501 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,291 ล้านบาท
หากมองย้อนมาจากปี 2560 รายได้รวมของ SPC ก็สูงกว่า 30,000 ล้านบาทอย่างต่อเนื่อง มีเพียงปี 2563 ที่รายได้ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า
ที่มา
ข้อมูล และภาพผลิตภัณฑ์ : เครือสหพัฒน์
ติดตามบทความและ VDO ของ Affluent Times
Facebook : https://bit.ly/2VcGqai
YouTube : https://bit.ly/3qMWCMZ

อาณาจักรไทยเบฟไม่ได้มีแค่เบียร์ช้าง
02/01/2022

อาณาจักรไทยเบฟไม่ได้มีแค่เบียร์ช้าง

เมื่อพูดถึงเจ้าสัวของไทย หนึ่งในบุคคลที่ใครก็ต้องนึกถึงคือ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” แห่งอาณาจักรไทยเบฟ หรืออีกฉายาที่ว่าเจ้าพ่อการเทคโอเวอร์ธุรกิจ เรียกว่ามีเกือบทุกธุรกิจ
แต่เมื่อธุรกิจมีเยอะขนาดนี้ แล้วเจ้าสัวเจริญ จัดสรรให้ลูกๆ ทั้ง 5 คนอย่างไร
Affluent Times ชวนมาดูการจัดการธุรกิจในรูปแบบครอบครัวของ “สิริวัฒนภักดี” ว่าเป็นอย่างไร?
เริ่มที่ลูกสาวคนโตอย่าง “อาทินันท์ พีชานนท์” รับหน้าที่ในการดูแลกลุ่มไทยโฮลดิ้ง ซึ่งเป็นธุรกิจทางด้านการเงิน
ลูกสาวคนที่สอง “วัลลภา ไตรโสรัส” ดูแลกลุ่ม AWC ซึ่งเป็นอสังหาเชิงพาณิชย์ อย่างเช่นโรงแรมต่าง ๆ ของเจ้าสัวเจริญ และ Asiatique ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้
ลูกคนที่ 3 ลูกชายคนแรกอย่าง “ฐาปน สิริวัฒนภักดี” รับหน้าที่ดูแลธุรกิจกลุ่มเครื่องดื่มที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีอย่าง ThaiBev
ลูกคนที่ 4 “ฐาปนี เตชะเจริญวิกุล” ดูแลกลุ่ม BJC ซึ่งเป็นสินค้าแบบ FMCG และหนึ่งในนั้นก็คือห้าง BigC ด้วย
ส่วนลูกชายคนสุดท้อง “ปณต สิริวัฒนภักดี” รับหน้าที่ดูแลอสังหาในฝั่งของเฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ รวมถึงอสังหาเน้นเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เช่น โครงการสามย่านมิตรทาวน์ , One bangkok Mixuse ขนาดใหญ่ย่านพระราม 4 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
และลูกๆ ทั้ง 5 ของเจ้าสัวเจริญจะเป็นผู้เดินหน้าอาณาจักรธุรกิจแสนล้านเหล่านี้ให้เติบโตต่อไป
ติดตามบทความและ VDO ของ Affluent Times
Facebook : https://bit.ly/2VcGqai
YouTube : https://bit.ly/3qMWCMZ

แนะนำที่เที่ยวปีใหม่ กับจุดชมดาว
31/12/2021

แนะนำที่เที่ยวปีใหม่ กับจุดชมดาว

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2021 ญี่ปุ่นได้กำหนดให้เขตบิเซ ของเมืองอิบาระในจังหวัดโอกายาม่า เป็น “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด” แห่งที่สามในญี่ปุ่น ที่ได้รับรองรับโดย International Dark-Sky Association (IDA) องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ทำงานเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมยามค่ำคืนและต่อต้านมลพิษทางแสง
บิเซได้เริ่มประกาศใช้พระราชกฤษฎีกามลพิษทางแสงฉบับแรกของญี่ปุ่นในปี 1989 สมาคมนักท่องเที่ยวท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นๆในบิเซ ได้พยายามให้มีการใช้แสงสว่างอย่างระมัดระวัง และเหมาะสมต่อการใช้งาน เช่น การปิดตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติหลัง 22.00 น. อีกทั้งยังขอให้พานาโซนิคเปลี่ยนหลอดไฟ LEDs กว่า 740 ดวง ไปใช้หลอดไฟแบบพิเศษที่จะไม่รบกวนความมืดมิดของกลางคืน
ในช่วงแรกก็มีเสียงคัดค้านจากคนในพื้นที่โดยกล่าวว่า เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยแสงดาว เราต้องทำมาหากิน ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายระหว่างการรักษาความเป็นธรรมชาติ และวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและพลังงาน
แต่ โนโบรุ นิชิโนะ หัวหน้าสมาคมนักท่องเที่ยวที่มีสมาชิกกว่า 600 คน กล่าวว่า หากมีตัวอย่างความสำเร็จของผู้คนที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ความคิดของคนในพื้นที่ก็จะเปลี่ยนไป จึงได้มีการตั้งกลุ่มบุคคลภาครัฐ ภาคธุรกิจ และมหาวิทยาลัยเพื่อเสริมสร้างการท่องเที่ยวและจะเริ่มดำเนินการในฤดูใบไม้ผลิปี 2022 เพื่อผลักดันให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นแก่ชุมชน
ในประเทศไทยเองก็ได้มีการตั้งพื้นที่เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดเช่นกัน โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รณรงค์ให้ประชาชนใช้แสงสว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุดและส่งผลเสียน้อยที่สุด เพื่ออนุรักษ์ท้องฟ้ายามค่ำคืนภายใต้ชื่อแคมเปญ “Dark Sky Places” หรือใช้ชื่อภาษาไทยว่า “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด”
สำหรับเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในไทยนั้นปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 6 แห่ง และอยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่อีกกว่า 14 แห่ง โดยพื้นที่เหล่านี้จะได้ชื่อว่าเป็น “แหล่งท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ในประเทศไทย” อีกด้วย
โดยจุดที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในไทย ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่
- อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง เชียงใหม่
- ชุมชนออนใต้ สันกำแพง เชียงใหม่
- อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร เชียงใหม่
- หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติฯ นครราชสีมา
- หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติฯ ฉะเชิงเทรา
- หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติฯ สงขลา
ซึ่งสามารถเดินทางไปท่องเที่ยว เพื่อศึกษาหาความรู้ทางดาราศาสตร์ และใกล้ชิดกับธรรมชาติได้ แต่ในภาวะปัจจุบันอยากให้ลองเช็กกับจุดต่างๆก่อนเดินทางว่าเปิดให้บริการหรือไม่ และมีมาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวอย่างไร ภายใต้สภาวะการระบาดของ COVID-19
ที่มา
https://asia.nikkei.com/Business/Travel-Leisure/Japanese-town-looks-to-starry-skies-to-spur-growth
https://darksky.narit.or.th/
ติดตามบทความและ VDO ของ Affluent Times
Facebook : https://bit.ly/2VcGqai
YouTube : https://bit.ly/3qMWCMZ

เห็นด้วยไหมถ้าไม่ฉีดวัคซีนโดนไล่ออก
16/12/2021

เห็นด้วยไหมถ้าไม่ฉีดวัคซีนโดนไล่ออก

.
ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยีล้วนเป็นผู้นำในการทำงานแบบ Work from Home แต่เมื่อการระบาด Covid-19 เหมือนจะควบคุมได้ดีขึ้น ก็ทำให้หลายบริษัทเทคฯ ทยอยออกนโยบายใหม่ เช่น การกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิส หรือ ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
อย่าง Google ที่ออกนโยบายใหม่ตั้งแต่กลางปี 2564 นี้ว่าพนักงานต้องกลับมาทำงานที่ออฟฟิสอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ปัจจุบัน Google มีพนักงานถึง 150,000 คน
แต่จุดที่ต้องจับตาคือ เงื่อนไขหากต้องเข้าออฟฟิสย่อมต้อง “ฉีดวัคซีน” (ในสหรัฐฯ มีคนบางกลุ่มที่ต้านการฉีดวัคซีน)
จากรายงานข่าวจาก CNBC ใจความว่า หากพนักงานไม่ระบุสถานะและหลักฐานการฉีดวัคซีน (ภายในวันที่ 3 ธ.ค.) และหากไม่ฉีดวัคซีนภายใน 18 ม.ค. 65 จะมีถูกปรับสถานะเป็น “ลากิจแบบได้รับค่าจ้าง” รวม 30 วัน หลังจากนั้นจะปรับเป็น “การลาส่วนตัวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง” สูงสุด 6 เดือน หลังจากนั้นถูกเลิกจ้าง
ทั้งนี้ทาง CNBC ได้สอบถามไปทาง Google แต่ไม่ได้รับคำตอบเพิ่มเติม
ดังน้ันถ้าย้อนดูนโยบายของ Google ที่ผ่านมาเตรียมกลับมาเปิดออฟฟิสในช่วงเดือนม.ค. 65 แต่อาจเลื่อนออกไปจากการระบาดสายพันธุ์ใหม่อย่าง โอมิครอน (Omicron)
ซึ่งบริษัทฯ ยังเดินหน้านโยบายการฉีดวัคซีนส่วนหนึ่งอาจเพราะช่วงที่ผ่านมา (ก.ย. 64) ทางโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ​ประกาศคำสั่งให้ องค์กรที่มีพนักงานมากกว่า 100 คน ตัวพนักงานต้องฉีดวัคซีนครบ 2 โดส (หรือมีผลตรวจ Covid-19 ทุกสัปดาห์)
อย่างไรก็ตาม แรงต้านจากพนักงาน Google กว่าร้อยคนที่ต่อต้านนโยบายการฉีดวัคซีนนี้ โดยให้เหตุผลว่า พวกเขาไม่เห็นด้วยบังคับใช้มาตรการนี้กับพนักงานทุกคน แม้จะมีบางส่วนที่ทำงานที่บ้านหรือนอกสถานที่
หลังจากนั้น Google ออกทางเลือกเพิ่มเติมให้ผู้ที่ไม่ต้องการฉีดวัคซีน ว่าหากหนักงานสามารถเลือกหน้าที่งานที่ไม่ขัดต่อ นโยบายบริษัทหรือ หากเป็นผู้ที่อยู่ในเงื่อนไขยกเว้นของทางการ (เช่น ศาสนา เงื่อนไขทางการแพทย์ ฯลฯ) ​สามารถยื่นเรื่องเพิ่มเติมได้ ซึ่งทางบริษัทจะตัดสินใจขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี
ส่วนพนักงานที่ทำงานนอกสถานที่ในอนาคตทางบริษัทอาจมี การทำงานระยะไกลแบบถาวร (Work Remote) เพิ่มเติม
ที่มา
- https://www.cnbc.com/2021/12/14/google-employees-to-lose-pay-if-dont-comply-with-vaccination-policy.html?&qsearchterm=google
ติดตามบทความและ VDO ของ Affluent Times
Facebook : https://bit.ly/2VcGqai
YouTube : https://bit.ly/3qMWCMZ

Makro เตรียมลุยใหญ่หลังเพิ่มทุนสำเร็จ
15/12/2021

Makro เตรียมลุยใหญ่หลังเพิ่มทุนสำเร็จ

ดีลการควบรวมใหญ่ในไทยตอนนี้ถูกจับตามองอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ True-DTAC ที่ตอนนี้ยังเป็นข้อถกเถียงว่าการควบรวมนี้เป็นการกินรวบตลาดหรือไม่
ทว่าอีกดีลใหญ่ของปี 2021 อย่าง “แม็คโคร - โลตัส” ยังเดินหน้าได้ต่อเนื่อง
ล่าสุดหลังการเปิดจองให้ซื้อหุ้นเพิ่มทุน (PO) ของ บมจ. สยามแม็คโคร (MAKRO) จบลงเมื่อ 9 ธ.ค. 64 โดยสามารถปิดยอดจองที่ราว 50,000 ล้านบาท
สุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร (ธุรกิจค้าส่ง) กล่าวว่า การเสนอขายหุ้นของ MAKRO รอบนี้มาจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป ทั้งนี้จะใช้เงินระดมทุนตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ การพัฒนาด้านดิจิทัล การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ผ่านการปรับรูปแบบและขยายสาขา
ทั้งนี้ในภาพรวมการเติบโตของตลาดค้าส่งค้าปลีกในอาเซียนยังเป็นขาขึ้น และมีโอกาสเติบโตผ่านกาารขยายธุรกิจในมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม และ สปป.ลาว
ขณะเดียวกันตั้งเป้าหมายจะเป็นผู้นำด้านค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซในประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเมื่อรวมประชากรจีนและอาเชียนมีประชากรรวมกันถึง 3,300 ล้านคน จากปัจจุบันตลาดโมเดิร์นเทรดของเอเชีย โดยเฉพาะของสด (Fresh) และสินค้าอุปโภคบริโภค (Grocery) ที่มีมูลค่ารวมกว่า 3.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จึงเป็นตลาดที่มีโอกาสให้เข้าไปขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามหลังการจองหุ้น PO นี้ ผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO CPALL และ CPF รวมถึงผู้จองซื้อรายย่อยสามารถตรวจสอบผลการจัดสรรหุ้น PO ได้ตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป
ติดตามบทความและ VDO ของ Affluent Times
Facebook : https://bit.ly/2VcGqai
YouTube : https://bit.ly/3qMWCMZ

เปิดตัวแล้วมิชลินไกด์2022
09/12/2021

เปิดตัวแล้วมิชลินไกด์2022

เมื่อคนไทยการกินเป็นเรื่องใหญ่ หลายคนเลยเฟ้นหาร้านอาหารที่แม้ราคาไม่สูง แต่อร่อย
ล่าสุดทางมิชลิน ก็เปิดตัวรายชื่อร้านอาหารที่ได้รับ สัญลักษณ์บิบ กูร์มอนด์ในปี 2565 กว่า 133 ร้าน ที่ชูจุดแข็งว่า “อร่อย ราคาไม่แรง และเป็นร้านเด็ดประจำย่าน”
ทั้งนี้เกณฑ์ในการคัดเลือกร้าน ‘บิบ กูร์มองด์’ จะรวมตั้งแต่ ภัตตาคาร ร้าน ไปถึงรถเข็นริมทางหรือสตรีทฟู้ด โดยมิชลินจะสั่งอาหาร 3 อย่าง ได้แก่ อาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลัก และของหวานเป็นคอร์สราคาไม่เกิน 1,000 บาท
สรุปแล้ว ปีนี้จะมีร้านใหม่ที่ได้รางวัลเป็นครั้งแรก 33 ร้าน และมีร้านที่อัพเลเวลขึ้นมาจากปีก่อน 6 ร้าน โดยแบ่งเป็น
71 ร้าน ในกรุงเทพฯ (ติดอันดับครั้งแรก 9 ร้าน เลื่อนระดับจากปีก่อน 6 ร้าน)
23 ร้าน ในเชียงใหม่ (ติดอันดับครั้งแรก 6 ร้าน เลื่อนระดับจากปีก่อน 2 ร้าน)
29 ร้าน ในภูเก็ตและพังงา (ติดอันดับครั้งแรก 8 ร้าน เลื่อนระดับจากปีก่อน 2 ร้าน)
10 ร้าน ในพระนครศรีอยุธยา (เป็นปีแรกที่มีการคัดร้านจากจังหวัดนี้)
ปูลเล็นเนค ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ กล่าวว่า ธุรกิจอาหารเจอช่วงที่ท้าทายมาก ยิ่งต้องการการสนับสนุนและกำลังใจ
“เราหวังว่าการมอบสัญลักษณ์รับรอง บิบ กูร์มองด์ จะช่วยเสริมสร้างจิตวิญญาณของผู้ประกอบการร้านอาหาร ผู้ขายอาหารริมทาง ตลอดจนพนักงานในธุรกิจร้านอาหาร ให้แข็งแกร่งพร้อมที่จะปรับตัวและยืนหยัดฟันฝ่าความท้าทายต่างๆ ไปได้อย่างเต็มกำลัง”
ทั้งนี้รายชื่อร้านอาหารรางวัลบิบ กูร์มองด์ ประจำปี พ.ศ. 2565 แบ่งตามจังหวัดดังนี้
#กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
- ๑๐๐ มหาเศรษฐ์
- แอน ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่
- บ้านเบญจรงค์ ปาย
- บ้านผัดไทย
- บ้านใหญ่ผัดไทย
- บ้านใน
- ห้องครัว บางกอกโบลด์ (สาขาเซ็นทรัลเอ็มบาสซี)
- เบียร์หิมะ (สาขาประชาชื่น)
- โบ๊กเกี้ย ท่าดินแดง
- บุญเลิศ บะหมี่เกี๊ยวหมูย่างซีอิ๊ว
- บูรพา
- ชัยโภชนา
- จ๊ากกี่
- จาง-วาง-อิ่ม
- เจริญแสงสีลม
- ฉ่อย (สาขาพุทธมณฑลสาย 2)
- เอลวิส สุกี้ (สาขา ซ.ยศเส)
- กล้วยแขก พระราม 5 (ร้านใหม่)
- โกอ่างข้าวมันไก่ประตูน้ำ (สาขาประตูน้ำ)
- กิมง้วนลูกชิ้นปลา
- ก๋วยจั๊บมิสเตอร์โจ
- ก๋วยจั๊บอ้วนโภชนา
- ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่สวนมะลิ (สาขาสี่แยกโรงพยาบาลกลาง)
- ก๋วยเตี๋ยวหมูรุ่งเรืองตั๋ง
- เฮียให้
- เฮียหวานข้าวต้มปลา
- เจ้านายลูกชิ้นปลา (สาขาเอกชัย)
- เจ๊โอว
- Jidori Cuisine Ken
- โจ๊กปรินซ์
- แกงป่า (ลุงสง่า) (ร้านใหม่)
- เกตุโอชา (ร้านใหม่)
- ก. พานิช
- ขนมเบื้องหวานผึ้งน้อย (สาขาโชคชัย 4)
- กอชุนฮวด (ร้านใหม่)
- คนชง คนปรุง
- ครัวอัปษร (สาขาสามเสน)
- หลายรส (สาขาพระราม 6)
- เล ลาว (สาขาอารีย์)
- ลิ้มเหล่าโหงว (สาขาเยาวราช)
- ลูกจันทน์ โดย เสน่ห์จันทน์ (ร้านใหม่)
- ม่านเมือง (ร้านใหม่)
- แม่กลองหัวปลาหม้อไฟ (ร้านใหม่)
- นายหมงหอยทอด
- ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ (สาขาพุทธมณฑลสาย 4)
- หน่องริมคลอง (ร้านใหม่)
- อองตอง ข้าวซอย (สาขาอารีย์)
- แป๊ะ โจ๊กหม้อทองเหลือง 38 ปี
- ผัดไทยไฟทะลุ
- เผ็ดเผ็ด บิสโทร
- พลู
- ไก่ทอดเจ๊กี ซ.โปโล (สาขา ซ.โปโล)
- ป.โภชยา (เลื่อนขั้นจากร้านแนะนำ)
- เรือนปั้นหยา
- ส.บ.ล.
- สอาดเสวย (สาขา ถ.กาญจนาภิเษก)
- แซ่พุ้น
- สงวนศรี
- แสนยอด (สาขาสาทร-บางรัก)
- สว่างบะหมี่ก้ามปู (สาขาสี่พระยา)
- สมศักดิ์ปูอบ (สาขาเจริญรัถ)
- ส้มตำคุณกัญจณ์
- สมยศ ข้าวต้มรอบดึก
- ศรีตราด (เลื่อนขั้นจากร้านแนะนำ)
- เทนซัน
- ไทยนิยม
- The Local
- เธียนดอง (ร้านใหม่)
- ตั้งซุ่ยเฮงโภชนา (สาขาสเตเดียม วัน)
- วาสนา ข้าวมันไก่
- เวิ้ง (สาขาเวิ้งนครเกษม)
#พระนครศรีอยุธยา
- บ้านตะโกราย
- บ้านต้นไทร
- หมูสะเต๊ะเฮียแกะ
- จุ้งบริการ
- ข้าวต้มเจดีย์
- ก๋วยเตี๋ยวเรือป้าเล็ก
- ก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีกคุณประนอม (สาขาหน้าวัดพนมยงค์)
- โรตีสายไหมอาบีดีน-ประนอม แสงอรุณ
- โรตีสายไหมแม่ป้อม (ร้านแม่)
- เรือนไทยกุ้งเผา
#เชียงใหม่
- บ้านลันได (เลื่อนขั้นจากร้านแนะนำ)
- แดนข้าวมันไก่ (สาขาสันทราย)
- เจริญสวนแอก
- จินเจอร์ฟาร์มคิชเช่น
- โกเหน่ง (สาขาถ.วิชยานนท์)
- ฮ้านถึงเจียงใหม่
- เฮือนสุนทรี
- เฮือนม่วนใจ๋
- ข้าวซอยลุงประกิจกาดก้อม
- ข้าวซอยแม่มณี
- ครัวหลองข้าว
- ลุงขจรวัดเกตุ
- แมกโนเลีย คาเฟ่ (เลื่อนขั้นจากร้านแนะนำ)
- มีนา
- ณ จันตรา
- เนื้อวัวรสเยี่ยม
- โรตีป้าเด
- ครัวสายหยุดและหมอทราย
- ขนมจีนสันป่าข่อย
- ไก่ย่าง เอส พี
- เดอะเฮ้าส์บายจินเจอร์
- ตือคาโคหน้าปรินส์
- สวนทูนอิน

#ภูเก็ตและพังงา
- อาโป้งแม่สุณี
- ชมจันทร์
- ชวนชิม
- โกเบนซ์
- ฮกกี่เหลา
- ฮ้องข้าวต้มปลา
- ขาหมูโบราณ (สาขากะทู้) (เลื่อนขั้นจากร้านแนะนำ)
- ขนมจีนป้าศล
- โคกกลอยบะหมี่ต้มยำใส่ไข่
- กินกับอี๋
- ครัวเก๋ากึ๊ก (เลื่อนขั้นจากร้านแนะนำ)
- ครัวต้นฝน
- มุขมณี
- มันโภชนา
- หมอมูดง
- น้ำย้อย
- ในเหมือง
- วันจันทร์
- ปาท่องโก๋แม่ปราณี
- ระย้า
- เรอดัง
- โรตีแถวน้ำ
- สามช่องซีฟู้ด
- เซิร์ฟแอนด์เทิร์ฟ บาย โซลคิทเช่น
- ตาทวย
- ตะโกลา
- เดอะ ฌาร์ม
- โต๊ะแดง (บ้านอาจ้อ)
- ตู้กับข้าว
ที่มา
https://guide.michelin.com/th/th/article/news-and-views/the-michelin-guide-thailand-unveils-its-list-of-133-bib-gourmand-restaurants-in-2022
ติดตามบทความและ VDO ของ Affluent Times
Facebook : https://bit.ly/2VcGqai
YouTube : https://bit.ly/3qMWCMZ

Grab จากสองนักศึกษามาเลย์ สู่ระดับโลก
04/12/2021

Grab จากสองนักศึกษามาเลย์ สู่ระดับโลก

Grab บริษัทเทคฯ จากสองนักศึกษชาวมาเลเซีย
สู่บริษัท IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐมูลค่าหลักล้านล้านบาท
นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก Grab แอปฯ เรียกรถและบริการอื่นๆ ที่กระจายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ไทย มาเลเซีย ฯลฯ
และนี่คือ Tech Company ระดับโลกของอาเซียนที่เข้า IPO ในตลาดหุ้น Nasdaq ของสหรัฐ​ เบื้องต้นคาดว่ามูลค่าของบริษัทอาจจะสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท (แต่สิ้นวันราคาหุ้นตกลง 21% จากตอนเปิดตลาด)
ซึ่งจุดเริ่มต้นและผู้ก่อตั้งธุรกิจหลักล้านล้านนี้ก็เริ่มจากไอเดียของนักศึกษามาเลเซียเพียง 2 คน
แต่ Grab มาถึงวันนี้ได้อย่างไร และอนาคตของ Grab ธุรกิจจะเติบโตไปทางไหน
Affluent Times สรุปมาให้แล้ว
ี่ทุกคนต้องเจอแต่ยังไม่มีใครแก้ได้
จุดเริ่มต้นของธุรกิจมักจะเกิดจาก Pain Point ของคนจำนวนมาก แต่ใครจะสามารถจับได้ตรงจุดและคิดการแก้ปัญหาได้ดีกว่า
ในปี 2011 นักศึกษาชาวมาเลเซีย 2 คนที่ชื่อ แอนโธนี ตัน (Anthony Tan) และ ตันฮุยหลิง (Tan Hooi Ling) ทั้งคู่กำลังเรียนปริญญาโท อยู่ที่ Harvard Business School
ในปีนั้นทางมหาวิทยาลัย จัดการประกวด Business Plan Competition ทั้ง 2 จึงส่งไอเดียการสร้างแอปมือถือเพื่อจอง Taxi ในมาเลเซีย
โดยชู Pain Point หลักคือ การเรียกรถแท็กซี่ในมาเลเซียยากเย็นเหลือเกิน เช่น ต้องโทรไปจองที่ศูนย์แท็กซี่ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 30
นาที ทั้งไม่สะดวก ไม่ปลอดภัย และเสี่ยงที่จะถูกโก่งราคา
และไอเดียนี้ก็เข้าตากรรมการ จนทั้งคู่ได้ที่ 2 ในการแข่งขันนั้น และก็นำเงินรางวัล 25,000 เหรียญสหรัฐ มาเป็นเงินลงทุนก้อนแรก
#จากไอเดียสู่จุดเริ่มต้นธุรกิจ
ในปีถัดมา (2012) ทั้ง แอนโธนี ตัน และ ตันฮุยหลิง กลับมาบ้านเกิดและเริ่มสร้างแอปที่ชื่อ MyTeksi (เปลี่ยนเป็นชื่อ Grab ในปี 2013) จากทุนของมหาวิทยาลัยและทุนส่วนตัวของ แอนโธนี
แต่ธุรกิจก็ไม่ได้ราบรื่น เพราะทั้ง 2 เจออุปสรรคแรก คือ
ผู้ขับขี่ Taxi บางคนไม่สามารถซื้อสมาร์ทโฟนได้และไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี
ดังนั้นทั้ง 2 ผู้ก่อตั้งก็ชวนทีมงานลงพื้นที่ และเข้าให้ถึงตัวคนขับแท็กซี่ ไม่ว่าจะที่สนามบิน ห้างสรรพสินค้า และปั๊มน้ำมัน แน่นอนว่านอกจากสอนใช้แอปฯ แล้ว ยังสอนเครื่องมือเสริมอื่นๆ เช่น WhatsApp, Google Maps และ Viber รวมถึงรับข้อติชมจากคนขับแท็กซี่มาด้วย
จากการลุยงานอย่างเต็มที่นี้ก็ทำให้ Grab ขยายฐานคนขับ ในมาเลเซียจากแค่ 30 คนและเติบโตมาเป็นหลักล้านคนในทุกวันนี้
ั่วอาเซียนและทำได้มากกว่าเรียกแท็กซี่
เมื่อธุรกิจในมาเลเซียเริ่มตั้งรากอย่างมั่นคง
ทั้งแอนโธนี ตัน และ ตันฮุยหลิงก็มองว่า ปัญหาเรียกแท็กซี่ยากรวมถึงควาไม่ปลอดภัยในการเดินทางยังเกิดขึ้นในหลายประเทศเพื่อนบ้านทั่วอาเซียน
“สิ่งที่เราอยากทําจริงๆ คือการแก้ปัญหาเร่งด่วนที่สุดสําหรับอาเซียน ไม่มีใครมุ่งมั่นกับภูมิภาคนี้มากไปกว่าเรา อาเซียนคือบ้านของเรา” ตันฮุยหลิง กล่าว
ดังนั้นเพียง 2 ปีจากวันแรกที่ได้ทุนของมหาวิทยาลัย Grab ก็ขยายไปในหลายประเทศ (แต่ตั้งบริษัทในสิงคโปร์)
ปี 2013 - สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และไทย
ปี 2014 - เวียดนามและอินโดนีเซีย
ปี 2017 - กัมพูชา
ปี 2018 - เมียนมาร์
และจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Grab เติบโตได้สูงคือการขยายธุรกิจให้เป็น Super App หรือแอปที่คนใช้ได้กับทุกอย่างในชีวิตประจำวัน
Grab จึงเพิ่มธุรกิจใหม่ๆ เช่น
ปี 2016 - การชําระเงินผ่านมือถือ (GrabPay)
ปี 2018 - บริการจัดส่งอาหาร (GrabFood)
#ธุรกิจจะเดินหน้าต้องมีเงิน
จากการระดุมทุนล้านแรกไปถึง 1.2 ล้านล้านบาททำอย่างไร
ปีที่ Grab เริ่มระดมทุนคือ ปี 2014 มาเรื่อยๆ ได้แก่
1) Series A จาก กองทุน Vertex Venture Holdings บริษัทในเครือเทมาเส็กของสิงคโปร์ (ไม่มีการระบุตัวเลขแต่มีการระบุว่า มากกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ)
2) Series B มาจาก GGV Capital ประเทศจีน มูลค่า 15 ล้านเหรียญสหรัฐ
3) Series C จาก Tiger Global มูลค่า 65 ล้านเหรียญสหรัฐ
4) Series D จาก JapanSoftBank มูลค่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐ
และทำให้ปี 2015 Grab กลายเป็น Unicorn หรือStartup ที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนในไทยและอาเซียน (SEA) Grab ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง Uber ได้สำเร็จผ่านการซื้อกิจการของ Uber ในแถบนี้ (SEA) เมื่อปี 2018 และยังเดินหน้ากลยุทธ์ Hyperlocal ซึ่งหมายถึง การตลาดที่เฉพาะเจาะจงในด้านพื้นที่ ภูมิศาสตร์ โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม
นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าการที่ Grab สามารถเอาชนะ Uber แพลตฟอร์มเรียกรถที่ครองความเป็นผู้นำในอเมริกาและยุโรปได้ ส่วนหนึ่งเพราะ Grab เข้าใจโครงสร้างและวัฒนธรรรมของอาเซียนที่คนจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงการจ่ายเงินแบบดิจิทัลได้ Grab จึงรับเงินสดควบคู่กับการจ่ายเงินแบบดิจิทัล ต่างจาก Uber ที่ไม่รับเงินสด
#จากระดมทุนสู่การเข้า IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐ
2 พ.ย. ปี 2021 นี้ Grab เข้า IPO ในตลาดหุ้น (Nasdaq) ของสหรัฐอเมริกา ราคาเปิดอยู่ที่ 13.06 เหรียญสหรัฐ เบื้องต้นมีการประเมินว่า มูลค่าตลาดของ Grab อยู่ที่ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Grab จะมีแนวโน้มประสบความสำเร็จอย่างสูงในตลาดหุ้น
แต่ผลประกอบการของ Grab ยังขาดทุน
โดยเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา พบว่า ขาดทุน (ก่อนหักภาษีค่าเสื่อม) อยู่ที่ 800 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนปีนี้คาดว่าจะขาดทุนอยู่ที่ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ
และกลายเป็นที่จับตามองว่า หลังเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นสหรัฐแล้ว
ธุรกิจ Grab จะพลิกฟื้นทำกำไรอย่างไร
ภายใต้กลยุทธ์ใหม่ที่จะขยายเจาะตลาดกลุ่มคนที่ไม่มีบัตรเครดิตในอาเซียน ผ่านระบบ Buy now pay later (ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง) ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจการเงินในแถบนี้ก็เป็นได้
ที่มา
https://www.channelnewsasia.com/business/southeast-asias-grab-takes-ride-us40-billion-spac-listing-2353056
https://www.edb.gov.sg/en/business-insights/insights/from-myteksi-to-grab-why-our-startup-picked-sea-over-the-world.html
https://www.edb.gov.sg/en/business-insights/insights/lessons-from-grab-from-first-downloads-to-seas-giant.html
https://www.entrepreneur.com/article/334690
https://www.cnbc.com/2018/10/25/advice-for-building-a-business-how-grab-expanded-in-southeast-asia.html
ติดตามบทความและ VDO ของ Affluent Times
Facebook : https://bit.ly/2VcGqai
YouTube : https://bit.ly/3qMWCMZ

รู้จักโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังคุกคามโลก
29/11/2021

รู้จักโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังคุกคามโลก

รู้จัก “โอมิครอน” COVID-19 สายพันธุ์ที่น่ากังวลตัวที่ 5 ของโลก
ทุกครั้งที่ Covid-19 เกิดสายพันธุ์ใหม่ขึ้นก็สร้างความกังวลไปทั่วโลก ล่าสุด ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานว่าพบ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ตั้งชื่อว่า “Omicron (โอมิครอน)” และประกาศให้เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลแล้ว
แต่วันนี้เชื้อ “โอมิครอน” ไปไกลแค่ไหน และทั่วโลกเตรียมแผนรับมืออย่างไรบ้าง
Affluent Times สรุปมาให้แล้ว
#รู้จักสายพันธุ์โอมิครอน
COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ได้ถูกรายงานเป็นครั้งแรกต่อองค์การอนามัยโลก (WHO) จากแอฟริกาใต้เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา (เก็บตัวอย่างตั้งแต่ 9 พ.ย.)
จนกระทั่งวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 พ.ย.) องค์การอนามัยโลก ประกาศว่าเป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลชนิดที่ 5 ของโลก โดยตั้งชื่อว่า “โอมิครอน”
จุดที่แตกต่างของสายพันธุ์ใหม่นี้ นักวิทยาศาสตร์จีโนมของแอฟริกาใต้ระบุว่า สายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์สูงผิดปกติ โดยมีการกลายพันธุ์มากถึง 50 ตำแหน่ง โดย 32 จุดกลายพันธุ์ที่โปรตีนหนาม (Spike Protein) ทำให้การแพร่เชื้อสู่เซลล์มนุษย์อาจง่ายขึ้น รวมถึงอาจหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มซึ่งอาจลดประสิทธิภาพวัคซีนได้
ทั้งนี้ ทาง ​WHO ระบุว่า ยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่า เมื่อเทียบสายพันธุ์ covid-19 อื่นๆ โอมิครอนจะมีความรุนแรงของโรค หรือแพร่เชื้อได้สูงกว่าหรือไม่ เพราะขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม
(ยังไม่อาจะสรุปได้ว่า อัตราผู้ป่วยเข้ารักษาตัวของแอฟริกาใต้ที่สูงขึ้นมาจากสายพันธ์ใหม่ เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อรวมของประเทศก็เพิ่มขึ้นมากกว่า ผลการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน)
ปัจจุบันเริ่มมีการพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนที่อายุ 20-30 กว่า ต้องเข้ารับการรักษาโดยมีอาการปานกลาง-รุนแรงแล้ว ซึ่งราว 65% ของผู้ป่วยกลุ่มนี้ ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน หรือฉีดเพียงเข็มเดียว ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ South African Medical Association ระบุว่าผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่จะมีอาการน้อย หรือไม่มีอาการชัดเจน
#หลายประเทศพบโอมิครอนแล้ว ส่วนไทยสั่งห้าม 8 ประเทศเดินทางเข้าประเทศ
ภายใน 2 วันรายงานข่าวที่เกี่ยวกับ โอมิครอนก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ในหลายประเทศนอกเหนือจากในแอฟริกาใต้ ก็เริ่มพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เดนมาร์ก, อิสราเอล, แคนาดา, ฮ่องกง, ออสเตรเลีย, เนเธอแลนด์, อิตาลี, เบลเยียม, สาธารณรัฐเช็ก, ออสเตรีย, และสวิสเซอร์แลนด์
ขณะที่ไทย กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่า ยังไม่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนในไทย แต่ก็ออกมาตรการควบคุมฯ เช่น ต้องกักตัว 14 วัน ในกลุ่มผู้ที่มาจากกลุ่ม 8 ประเทศที่พบสายพันธุ์โอมิครอนนี้ ได้แก่ บอตสวานา, เอสวาตินี, เลโซโท, มาลาวี, โมซัมบิก, นามิเบีย, แอฟริกาใต้ และซิมบับเว
รวมถึงหลังจากวันที่ 1 ธันวาคม 2564 จะไม่อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ
ส่วนประเทศอื่นๆ ก็สั่งแบนนักท่องเที่ยวจากแอฟริกาใต้แล้วเช่นกัน ทั้งสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และยุโรป ขณะที่ญี่ปุ่นนั้นใช้ยาแรง เตรียมประกาศปิดประเทศไม่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกประเทศเป็นประเทศแรกของโลก
#โอมิครอนกับวัคซีน
จากข่าวสายพันธุ์ใหม่ในครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกรับมือได้เร็วกว่าเดิม
ล่าสุดรายงานข่าวจาก The New York Times ระบุว่า ภายใน 36 ชม. หลังการรายงานว่าพบ โอมิครอน ก็มีการวิเคราะห์ตัวอย่างจากผู้ติดเชื้อกว่า 100 คน และส่งข้อมูลไปยังทั่วโลก
ภายในไม่กี่วันนักวิทยาศาสตร์ในแอฟริกาใต้ เริ่มทดสอบวัคซีนกับสายพันธุ์โอมิครอนแล้ว แต่กว่าจะรู้ผลก็อีก 2 สัปดาห์
และในสนามวัคซีนทางด้าน Moderna, Pfizer ก็อยู่ระหว่างทดสอบวัคซีนกับเชื้อสายพันธุ์ใหม่นี้ และคาดว่าจะรู้ผลการทดลองในในห้องปฏิบัติการในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
ทางด้าน Paul Burton หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของ Moderna กล่าวว่า “เราจะทราบเกี่ยวกับความสามารถของวัคซีนต่อการป้องกัน (โอมิครอน) ในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า แต่ความโดดเด่นของวัคซีน mRNA คือสามารถปรับเปลี่ยนได้รวดเร็วมาก
ดังนั้น ถ้าเราต้องผลิตวัคซีนใหม่ ผมคิดว่าน่าจะทำได้ในต้นปี 2565 ก่อนที่โอมิครอนจะแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง”
ขณะที่ Johnson & Johnson ก็ระบุว่า กำลังทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนในการป้องกันโอมิครอนเช่นกัน ส่วน AstraZeneca มีการดำเนินการวิจัยในสถานที่ที่มีการพบโอมิครอนอย่าง ประเทศบอตสวานาและเอสวาตินี
แต่ถ้าพูดถึงความเสี่ยง WHO ระบุถึงโอกาสที่ผู้เคยติดเชื้อ Covid-19 จะติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนซ้ำก็อาจง่ายขึ้น (เมื่อเทียบกับลิสต์สายพันธุ์ Covid-19 ที่น่ากังวลอีก 4 สายพันธุ์) ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น
อีกมุมที่ต้องติดตามคือ เชื้อโอมิครอน จะกระทบต่อ ประสิทธิภาคของวัคซีน และการตรวจเชื้อผ่าน PCR และ ATK อย่างไร
ก็ยังอยู่ระหว่างการศึกษา แต่เชื่อว่า วัคซีนยังคงมีความสำคัญ และ มีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของโรค รวมถึงลดโอกาสในเสียชีวิต
#โอมิครอนสายพันธุ์ที่น่ากังวลตัวที่5ของโลก
องค์การอนามัยโลก จัดให้โอมิครอนเป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลตัวที่ 5 ของโลก โดยก่อนหน้านี้มีสายพันธุ์ที่น่ากังวล 4 สายพันธุ์ คือ
- อัลฟา (Alpha) พบครั้งแรกที่สหราชอาณาจักร ช่วงเดือนกันยายน 2563
- เบต้า (Beta) พบครั้งแรกที่แอฟริกาใต้ ช่วงเดือนพฤษภาคม 2563
- แกมม่า (Gamma) พบครั้งแรกที่บราซิล ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563
- เดลต้า (Delta) พบครั้งแรกที่อินเดีย ช่วงเดือนตุลาคม 2563
นอกจากนี้ยังมีอีก 2 สายพันธุ์ แต่ถูกจัดให้เป็นสายพันธุ์ที่ต้องให้ความสนใจ คือ
- แลมป์ดา (Lambda) พบครั้งแรกที่เปรู ช่วงเดือนธันวาคม 2564
- มิว (Mu) พบครั้งแรกที่โคลัมเบีย ช่วงเดือนมกราคม 2564
ที่มา
https://www.who.int/news/item/28-11-2021-update-on-omicron
https://www.pbs.org/newshour/health/south-african-scientists-brace-for-wave-propelled-by-omicron
https://www.reuters.com/world/spread-omicron-variant-forces-nations-rethink-plans-global-travel-2021-11-29/
https://www.theguardian.com/world/live/2021/nov/29/covid-live-news-omicron-variant-detected-in-canada-as-fauci-warns-two-weeks-needed-to-study-new-strain
https://www.cnbc.com/2021/11/28/moderna-says-an-omicron-variant-vaccine-could-be-ready-in-early-2022.html
https://www.cnbc.com/2021/11/26/pfizer-biontech-investigating-new-covid-variant-jj-testing-vaccine-against-it.html
https://www.who.int/en/activities/tracking-SARS-CoV-2-variants/
https://www.nytimes.com/2021/11/28/health/omicron-variant-severe-symptoms-mild.html
ติดตามบทความและ VDO ของ Affluent Times
Facebook : https://bit.ly/2VcGqai
YouTube : https://bit.ly/3qMWCMZ

จับตารถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน
18/11/2021

จับตารถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน

เดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่น ORA Good cat ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาในวงการรถยนต์ เพราะด้วยหน้าตารถยนต์ที่ทันสมัย ประกอบกับราคาที่เอื้อมถึงง่าย และยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย
ซึ่ง ORA Good cat ที่ว่า ก็อยู่ภายใต้แบรนด์ Great Wall Motor หรือเรียกสั้นๆ ว่า GMW บริษัทรถยนต์สัญชาติจีน ที่หันมาทำการตลาดทั่วโลก จนตอนนี้มาเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในไทยด้วย
แล้ว Great Wall Motor นี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร มาหาคำตอบกัน
#จุดเริ่มต้นGreatWallMotor
Great Wall Motor ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สัญชาติจีนที่เชี่ยวชาญด้านรถเอสยูวี (SUV) และรถกระบะ เป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์ที่เอกชนเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ปี 2527 ถ้านับถึงปัจจุบัน Great Wall Motor ดำเนินการมาแล้วถึง 37 ปีด้วยกัน
ในช่วงแรกนั้น Great Wall Motor เน้นที่การผลิตเฉพาะรถกระบะ หรือรถปิคอัพ ซึ่งมีการปล่อยจำหน่าย และเข้าสู่อุตสาหกรรมรถกระบะในประเทศจีนอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2539 ซึ่งได้รับการตอบรับในประเทศอย่างดี ภายในเวลาแค่ 2 ปี หรือปี 2541 สามารถขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในตลาดรถกระบะของประเทศจีนได้ และในปี 2553 มียอดการผลิตกระบะสะสมสูงถึง 700,000 คัน
เมื่อแบรนด์เริ่มติดตลาด Great Wall Motor ก็เริ่มพัฒนารถยนต์รุ่นถัดมา ซึ่งก็คือ รถยนต์ประเภท Safe SUV หรือรถยนต์ SUV แบบประหยัด ซึ่งก็ได้รับความนิยมในประเทศอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน รวมถึงรถยนต์แบบซีดานด้วย
จากนั้น Great Wall Motor จึงเดินหน้าจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในวันที่ 15 ธันวาคม 2546 กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์เอกชนรายแรกในประเทศจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ในปี 2554 กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์เอกชนที่จดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้
#4แบรนด์ภายใต้GreatWallMotor
Great Wall Motor ไม่ได้หยุดพัฒนาเพียงแค่รถกระบะปิคอัพและรถ SUV แต่ได้มุ่งเน้นไปในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าด้วย ซึ่งเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา ได้เซ็นสัญญาร่วมลงทุนอย่างเป็นทางการกับ BMW Group ในการสร้างโรงงานรถยนต์แห่งใหม่ในจีน เพื่อร่วมกันพัฒนาแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้าด้วย
ปัจจุบัน Great Wall Motor มี 4 แบรนด์รถยนต์ที่อยู่ภายใต้ ได้แก่
- GMW Pick up แบรนด์รถกระบะที่ยังเป็นผู้นำในประเทศ
- ORA ที่เน้นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
- HAVAL แบรนด์ที่เชี่ยวชาญในการผลิตรถยนต์ SUV
- WEY แบรนด์รถยนต์ SUV ระดับ Luxury ซึ่งเป็นชื่อของ Jack Wey ประธานบริษัทฯ และผู้ก่อตั้ง
#มหาเศรษฐีอันดับ 8 ของจีน ผู้อยู่เบื้องหลัง Great Wall Motor
เว่ย เจียนจุน (Wei Jianjun) หรือมีอีกชื่อคือ แจ็ค เว่ย (Jack Wey) ประธานกรรมการ Great Wall Motor และจะเรียกว่าผู้ก่อตั้งก็ได้ เพราะในปี 2533 เขาในวัยเพียง 26 ปี ที่ก่อนหน้านี้ทำงานที่โรงงานผลิตพรมและโรงงานปั๊มน้ำ ได้เข้ามาเทคโอเวอร์บริษัทผลิตรถยนต์ Great Wall ที่กำลังมีหนี้สูง และเดินหน้าพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้
แจ็ค เว่ย ถูกขนามนามว่า “Military man (ทหาร)” เนื่องจากเขามีการทำงานที่เข้มงวดในทุกส่วน ทั้งการควบคุมดูแล การผลิตในโรงงาน การวิจัยและการพัฒนา รวมถึงกลยุทธ์การขายและการตลาด
ปัจจุบัน แจ็ค เว่ย ในวัย 57 ปี ได้รับการจัดอันดับจาก Forbes ประจำปี 2564
- มหาเศรษฐีอันดับที่ 8 ของจีน
- มหาเศรษฐีอันดับที่ 128 ของโลก
- มีทรัพย์สินสุทธิ 29,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 951,409 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน)
ับโรงงานในไทยและทั่วโลก
ไม่นานมานี้ Great Wall Motor เพิ่งประกาศเดินหน้าขาย ORA Good cat ในไทย โดยมีการจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นโรงงานที่ซื้อต่อจากโรงงานผลิตรถยนต์ของ General Motors หรือรถยนต์ Chevrolet ที่ยุติจำหน่ายในไทยไปเมื่อสิ้นปีที่แล้ว
โรงงานแห่งนี้ ถือว่าเป็นโรงงานผลิตรถยนต์เต็มรูปแบบในต่างประเทศแห่งที่ 2 ของ Great Wall Motor ต่อจากโรงงานในเมืองตูลา ประเทศรัสเซีย
Great Wall Motor ตั้งเป้าว่าจะทำการขยายตลาดไปทั่วภูมิภาคอาเซียน โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกไปประเทศต่างๆ ทั้งในอาเซียนและออสเตรเลีย โดยเบื้องต้น คาดว่าจะมีการผลิตอย่างต่ำราว 80,000 คันต่อปี
นอกจากไทยแล้ว Great Wall Motor ยังมีโรงงานการผลิตกระจายอยู่ทั่วโลก ได้แก่ รัสเซีย, เอกวาดอร์, ตูนิเซีย, บัลแกเรีย, อินเดีย, และมาเลซีย
รวมถึงยังมีหน่วยงานวิจัยที่มุ่งเน้นวิจัยด้านการขับเคลื่อนอัตโนมัติ รถยนต์พลังงานใหม่ ทั้งใน อินเดีย, ญี่ปุ่น, ยุโรป และสหรัฐฯ
ับยอดขายที่ยังเติบโตต่อเนื่อง
ตามรายงานทางการเงินของ Great Wall Motor ในปี 2564 (ไตรมาส 1-3)
- รายได้ 28,869 ล้านหยวน หรือราว 147,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.13% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
- กำไรสุทธิ 1,416 ล้านหยวน หรือราว 7,255 ล้านบาท ลดลง 1.72% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ยอดขายรถยนต์ ในเดือนตุลาคมปี 2564
- มียอดขายรถยนต์ในประเทศ 112,069 คัน
- มียอดขายรถยนต์ในต่างประเทศ 14,074 คัน เพิ่มขึ้น 30.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ส่วนภาพรวมตั้งแต่ มกราคม-ตุลาคม 2564
- มียอดขายรถยนต์ในประเทศทั้งหมด 996,114 คัน เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- มียอดขายรถยนต์ในต่างประเทศทั้งหมด 112,020 คัน เพิ่มขึ้น 114.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ที่มา
https://asia.nikkei.com/Companies/Great-Wall-Motor-Co.-Ltd
https://www.companieshistory.com/great-wall-motor/
https://www.forbes.com/profile/wei-jianjun/?list=china-billionaires&sh=2b00cdc612ef
https://res.gwm.com.cn/2021/10/29/1809828_201_E-1.pdf
https://www.gwm.co.th/
https://www.gwm-global.com/news/3401851.html
ติดตามบทความและ VDO ของ Affluent Times
Facebook : https://bit.ly/2VcGqai
YouTube : https://bit.ly/3qMWCMZ

ที่อยู่

Bangkok
10600

เบอร์โทรศัพท์

+66891232296

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Money Ideas Familyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Money Ideas Family:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

Our Story

ติดต่อสนใจลงโฆษณา - คุณพู / 0969488205 ติดต่อฝ่ายเนื้อหา - คุณพิเชฐ / / 089-123-2296 ติดต่อฝ่ายธุรกิจ - คุณพิเชฐ / Media Director / 089-123-2296 สมัครงาน - คุณพีช / HR / 061-396-4326

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ


Bangkok บริษัท สื่ออื่นๆ

แสดงผลทั้งหมด