Connect the Dots The Investment Connector

ถ้านวดไทยหายไป จะสูญเสียอะไรบ้าง? จากกรณีที่นักร้องสาว ผิง ชญาดา ไปนวดแก้ปวดเมื่อย แต่ต่อมากลายเป็นป่วยทรุดหนักจนถึงขั้น...
09/12/2024

ถ้านวดไทยหายไป จะสูญเสียอะไรบ้าง?
จากกรณีที่นักร้องสาว ผิง ชญาดา ไปนวดแก้ปวดเมื่อย แต่ต่อมากลายเป็นป่วยทรุดหนักจนถึงขั้นเสียชีวิตในที่สุด ทำให้เกิดเป็นกระแสสังคมต่อต้านการนวด โดยคนจำนวนมากก็ออกมาแสดงความเห็นในทำนองว่า “ขอบอกลาการนวด” เพราะกังวลเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิต จนทำให้น่าเป็นห่วงว่านวดไทยที่เป็นจุดขายสำคัญของการท่องเที่ยวไทย จะได้รับผลกระทบอย่างไรจากเรื่องนี้
ประเทศไทยนับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่โดดเด่นที่สุดในด้านการท่องเที่ยวระดับโลก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่กลายมาเป็นเทรนด์หลักหลังยุคโรคระบาด ซึ่งประเทศไทยตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้เป็นอย่างดี
Global Wellness Institute (GWI) ประเมินว่ามูลค่าตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลกอาจสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024 โดยเติบดตราวปีละ 17% อย่างต่อเนื่อง การเดินทางเพื่อท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกินส่วนแบ่ง 7.8% ของทริปท่องเที่ยวทั้งหมด แต่ด้วยมูลค่าการใช้จ่ายที่สูงกว่าการท่องเที่ยวทั่วไป ทำให้การใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพคิดเป็น 1 ใน 5 ของการท่องเที่ยวทั้งหมด
ส่วนในไทย GWI ประเมินว่าเศรษฐกิจเชิงสุขภาพมีมูลค่าประมาณ 34.6 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.1 ล้านล้านบาท ติดอันดับที่ 24 ของโลก และเป็นอันดับ 9 ของเอเชียแปซิฟิก แต่ถ้านับแค่ในส่วนของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพก็มีมูลค่ากว่า 2.6 แสนล้านบาท และจัดเป็นอันดับที่ 15 ของโลก รวมกว่า 10 ล้านทริป
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทยก็คือการนวดแผนไทยที่ต่างชาติและคนไทยเองให้ความนิยมมาก ธุรกิจนวดและสปาอาจมีมูลค่าสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยนวดแผนไทยยังครองใจผู้บริโภคเป็นอันดับหนึ่ง และนิยมนวดตามร้านนวดขนาดเล็กทั่วไปมากกว่า
ปี 2019 นวดไทยได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก (Unesco) ให้เป็นมรดกโลก จึงนับเป็นจุดขายสำคัญของนวดไทย ที่ผ่านมาภาครัฐจึงได้ผลักดันนวดไทยเป็นร่วมกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อให้เป็น Medical Hub ถึงกับมีการฝึกวิชาชีพให้โดยหน่วยงานของภาครัฐ เพื่อผลิตบุคลากรคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่ามีหมอนวดที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องแล้วกว่า 2 แสนราย
แต่ปัญหามันก็อยู่ตรงคนที่เหลือนี่แหละ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าหมอนวดจำนวนมากที่ไร้ใบประกอบวิชาชีพกำลังมอบบริการแบบไหน มีมาตรฐานหรือไม่ให้ผู้บริโภค ซึ่งอาจนำไปสู่ผลเสียต่อสุขภาพและสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมนวดไทยในวงกว้างได้แบบในกรณีของคุณผิง
ด้วยมูลค่ามหาศาลที่สร้างได้ อุตสาหกรรมนวดไทยจึงนับว่าเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว หากวันหนึ่งธุรกิจนี้จะต้องล้มหายไป หรือซบเซาลงแน่นอนว่าจะกระทบต่อภาพรวมของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
จริงอยู่ว่าการนวดที่ผิดพลาดจนเกิดผลเสียขึ้นได้ แต่คงไม่ใช่กับการนวดไทยตามปกติที่มีมาตรฐานรองรับและทำโดยคนที่มีใบประกาศ ขึ้นทะเบียนถูกต้องกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.)
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านก็ได้ออกมาให้ความเห็นถึงเคสดังกล่าวแล้วว่าการนวดบิดคอนั้นเป็นอันตรายและไม่ใช่สิ่งที่หมอนวดทำกันเป็นปกติ และสาเหตุการเสียชีวิตก็ซับซ้อนกว่าแค่การนวด แต่มีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ร่วมด้วย ส่วนการนวดไม่ใช่เรื่องน่ากลัว และหมอนวดดี ๆ ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องก็มีอยู่มาก ดังนั้นเรื่องนี้โทษว่าการนวดไม่ดี คงไม่ถูกสักเท่าไร
สุดท้ายนี้คุณคิดเห็นกับเรื่องการนวดอย่างไรลองคอมเมนต์บอกกันหน่อย

#นวดแผนไทย #นวดไทย #ผิงชญาดา #นวดบิดคอ #หมอนวด

YLG ชี้ทองคำมีลุ้นไปต่อหลัง ปี 68 ในไทยมีโอกาสไปถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำวายแอลจีชี้ ทองคำยังมีโอกาสไปต่อ เหตุธนาคารกลาง...
09/12/2024

YLG ชี้ทองคำมีลุ้นไปต่อหลัง
ปี 68 ในไทยมีโอกาสไปถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำ
วายแอลจีชี้ ทองคำยังมีโอกาสไปต่อ เหตุธนาคารกลางจีนกลับลำเข้าซื้อทองคำครั้งแรก หลังหยุดซื้อไปนาน 6 เดือน คาดการเคลื่อนไหวนี้อาจส่งผลต่อธนาคารกลางอีกหลายประเทศให้เร่งสะสมทองคำรองรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากโดนัลด์ ทรัมป์
นักวิเคราะห์คาดปีหน้าเป้าหมาย 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ มีโอกาสเป็นไปได้ ส่วนทองคำในประเทศเป้าหมาย 50,000 บาทต่อบาททองคำยังมีลุ้น หากแนวโน้มบาทอ่อนหนุน
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่าช่วงเดือน พ.ค. 2567 ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้หยุดการซื้อสะสมทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ หลังจากที่ซื้อติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2564 เป็นระยะเวลา 18 เดือน อย่างไรก็ดีในช่วงที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้หยุดทำการสะสมทองคำ จากนั้นราคาทองคำก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องสามารถขึ้นไปทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 2,790 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
จนกระทั่งเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองคำได้สลับมาปรับฐานลง ส่งผลให้ PBOC ได้กลับเข้ามาซื้อทองคำอีกครั้ง หลังจากหยุดพักไปเป็นเวลา 6 เดือน โดยเข้าซื้อที่จำนวน 1.6 แสนทรอยออนซ์ ส่งผลให้มีทองคำสะสมอยู่ที่ 72.96 ล้านทรอยออนซ์ อ้างอิงข้อมูลจากสภาทองคำโลก (WGC) ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า PBOC ได้หยุดซื้อเมื่อราคาทองคำเริ่มปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับสูง และกลับมาเข้าซื้อเมื่อราคาเริ่มปรับลดลงมา จึงคาดว่า PBOC ไม่ได้มีนโยบายหยุดซื้อทองคำเพียงแต่รอจังหวะที่เหมาะสม และนับเป็นการยอมรับในระดับราคาดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการเริ่มเข้าสะสมทองคำของธนาคารขนาดใหญ่เช่น จีน อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกอีกหลายแห่งดำเนินนโยบายตามรอย เนื่องจากการกระทำของ PBOC ครั้งนี้ อาจจะเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายกีดกันการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะตอบโต้กลุ่มประเทศที่ต่อต้านเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นผลให้ประเทศที่ตกเป็นเป้านโยบายต้องทำการเคลื่อนไหวเพื่อสะสมสินทรัพย์ปลอดภัย ดังนั้นการที่นักวิเคราะห์จากธนาคารชั้นนำหลายแห่งตั้งเป้าหมายว่าปี 2568 ทองคำจะยังคงพุ่งไปถึงเป้าหมาย 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์นั้น จึงยังคงเป็นไปได้แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงก็ตาม
ส่วนราคาทองคำในประเทศไทยนั้น YLG มองว่าปี 2568 จะมีโอกาสไปถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำตามเดิม เนื่องจากไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ จึงตกเป็นประเทศเป้าหมายที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะดำเนินการด้านนโยบายภาษีนำเข้า จึงอาจจะส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยปีหน้าเคลื่อนไหวไปในทิศทางอ่อนค่า และส่งผลดีต่อราคาทองคำในประเทศ
นอกจากนี้ ระยะสั้นอาจจับตาสถานการณ์ความวุ่นวาย จากการก่อกบฏในซีเรียโดย “ฮายัต ตาห์รีร์ อัล-ชาม” หรือ HTS ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายในเครือ “อัลกออิดะห์” หลังเปิดฉากจู่โจมอย่างไม่คาดคิดจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย และรุกคืบยึดเมืองสำคัญจนสามารถยึด กรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรียได้สำเร็จ ส่งผลให้ ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ได้เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งนับเป็นการสิ้นสุดการปกครองโดย “ตระกูลอัสซาด” ที่มีอำนาจมายาวนานกว่า 50 ปี สถานการณ์ดังกล่าว จึงได้สร้างความกังวลกับหลายประเทศในตะวันออกกลาง และจึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดความไร้เสถียรภาพภูมิภาคครั้งใหม่หรือไม่
อย่างไรก็ตามในปีหน้ามองว่าการลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนอีกหนึ่งประเภทที่เป็นการกระจายความเสี่ยงและเหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาวนั้นแนะนำสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการออม และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย

#ทองคำ #ราคาทอง #ราคาทองคำ

เปิดขุมทรัพย์ทำเลทองอสังหาฯ ย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ที่ขายก็ดีปล่อยเช่าก็ได้ในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีทำเลไม่กี่ทำเลที่มีกา...
09/12/2024

เปิดขุมทรัพย์ทำเลทองอสังหาฯ
ย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ที่ขายก็ดีปล่อยเช่าก็ได้
ในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีทำเลไม่กี่ทำเลที่มีการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรราคาแพงเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และบางทำเลกลายเป็นทำเลเก่าที่มีการพัฒนาโครงการใหม่ลดลง เนื่องจากไม่มีที่ดินในการพัฒนา และราคาที่ดินสูงเกินกว่าจะซื้อมาพัฒนาบ้านในระดับราคาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกับโครงการที่เคยพัฒนาและเปิดขายมาก่อนหน้านี้ อีกทั้งกำลังซื้อปัจจุบันของทำเลนั้น ๆ อาจจะยังไม่สามารถตอบสนองได้เพียงพอ
รวมถึงยังมีทำเลศักยภาพอื่นเกิดขึ้น ที่ได้รับความสนใจจากกำลังซื้อของผู้บริโภครวมไปถึงสามารถพัฒนาบ้านหรูที่มีราคาแพงเปิดขายได้ เช่น พื้นที่ตามแนวถนนบางนา – ตราด ช่วงไม่เกิน กม.10, พื้นที่ทำเลราชพฤกษ์, ย่านเกษตร-นวมินทร์, วงแหวนกาญจนาภิเษก, พุทธมณฑล สาย 1 – 4, ย่านเทพรักษ์ เทพรัตน์ เป็นต้น
โดยช่วงเวลา 3 - 4 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ตามแนวถนนสายสำคัญที่เปิดให้บริการใหม่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ และเริ่มเข้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรมากขึ้น แต่ทำเลที่ได้รับการพูดถึง หรือมีการเปิดขายโครงการใหม่ต่อเนื่องในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมานั้น คงต้องยกให้พื้นที่ตามแนว “ถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ หรือ ถนนศรีนครินทร์ – ร่มเกล้า” เป็นทำเลทองของบ้านหรูอย่างแท้จริง
พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ เห็นการเปลี่ยนแปลงของทำเลในพื้นที่กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ จากการเข้าซื้อที่ดินหรือทยอยเก็บที่ดินของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มีมานานเป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี
รวมไปถึงการเข้าไปซื้อที่ดินต่อจากเจ้าของหรือผู้ประกอบการบางรายที่มีที่ดินในมือหลาย 100 ไร่ เพื่อนำมาพัฒนาโครงการ ถนนย่อย หรือ ซอยบางซอย ที่แยกจากถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ จึงเห็นการพัฒนาโครงการที่อาจจะมีมากกว่า 1 โครงการ หรือ มากกว่า 1 ผู้ประกอบการ ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน รวมทั้งซอยหรือถนนสายรองที่เห็นก็อาจจะเป็นทางภาระจำยอมหรือทางที่เกิดจากการพัฒนาร่วมกันของเจ้าของที่ดินทุกราย ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะเห็นการพัฒนาร่วมกันลักษณะแบบนี้ในทำเลอื่น ๆ ของกรุงเทพมหานคร
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) มองว่า ทำเลกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ เป็นอีก 1 ทำเลขุมทรัพย์อสังหาฯ ของกรุงเทพฯ ที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่ทุกรายเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร
นอกจากนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังมีคอมมูนิตี้มอลล์เปิดให้บริการอีก 2 – 3 แห่ง มีทั้งเป็นโครงการของผู้ประกอบการที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าโครงการบ้านจัดสรรของตนเอง และเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ทั่วไปที่รองรับคนในพื้นที่ ซึ่งความโดดเด่นนั้นไม่ได้เน้นแค่ร้านอาหาร แต่มีบริการ และซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก ตลอดจนตลาดสด หรือร้านอาหารทั่วไปก็มีกระจายอยู่ในทำเลนี้เช่นกัน และเริ่มมีการพัฒนามากขึ้นตามความหนาแน่นของที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น
ในขณะที่ถ้าต้องการซื้อสินค้าจำนวนมากหรือเดินทางไปศูนย์การค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปก็ยังคงสะดวก เชื่อมต่อกับทางด่วน ถนนหลักหลายเส้นทาง เช่น ถนนพระราม 9 ถนนศรีนครินทร์ ถนนกรุงเทพกรีฑา ถนนรามคำแหง วงแหวกาญจนาภิเษก ถนนเจ้าคุณทหาร เป็นต้น
รวมไปถึงซอยหรือถนนสายรองบางเส้นทางที่เชื่อมต่อกับถนนสายอื่น ๆ ได้อีก และยังไม่ไกลจากเส้นทางพิเศษอย่างมอเตอร์เวย์ด้วย
สถาบันการศึกษาในทำเลนี้ก็มีความหลากหลาย ตั้งแต่ โรงเรียนทั่วไป โรงเรียน 2 ภาษา และโรงเรียนนานาชาติหลายแห่ง มีสิ่งอำนวยความสะดวก และการเดินทางที่สะดวกแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจว่าทำไมพื้นที่ตอลดแนวถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่นี้จึงเป็นที่สนใจของทั้งผู้ประกอบการ และผู้ซื้อมากมาย
โดยโครงการบ้านจัดสรรที่เปิดขายในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมาได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่บ้านในเกือบทุกโครงการมีราคาขายที่ค่อนข้างสูงเริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทต่อยูนิต ถ้าเป็นทาวน์โฮมก็ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นราคาขายที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับทำเลอื่น ๆ แต่ก็มีอัตราการขายและได้รับความสนใจสูงทุกโครงการมาตลอด
สิ่งที่น่าสนใจ คือ ทำเลนี้เป็น 1 ในไม่กี่ทำเลของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่บ้านจัดสรรบางโครงการปิดการขายเร็วบางโครงการมียอดจอง 100% หรือ มากกว่า 50% ตั้งแต่ไม่กี่วันแรกที่เปิดขายอย่างเป็นทางการ แม้ว่าบางโครงการอาจจะใช้เวลาในการขายนานพอสมควรแต่ส่วนใหญ่ได้รับความสนใจมากและปิดการขายได้ค่อนข้างเร็ว
บ้านหรูในพื้นที่กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ได้รับความนิยมสูงมากเป็นเพราะกลุ่มลูกค้าที่มีทั้งกลุ่มผู้ซื้อที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และกลุ่มของนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าระยะยาว ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการบ้านขนาดใหญ่ในทำเลที่สะดวกของคนไทยบางกลุ่ม และชาวต่างชาติที่เป็นทั้งนักธุรกิจหรือเข้ามาพักอาศัยระยะยาวในประเทศไทย ความต้องการเช่าที่สูงมากในทำเลนี้จึงมีผลต่อเนื่องไปยังบางโครงการที่สามารถปิดการขายได้เร็วเพราะมีกลุ่มนักลงทุนเข้าไปซื้อเพื่อต้องการนำมาปล่อยเช่า
ผลตอบแทนจากการเช่าของบ้านเดี่ยวในโครงการบ้านจัดสรรในทำเลกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ค่อนข้างสูง จากการสำรวจและสอบถามนักลงทุนรวมไปถึงผู้ประกอบการ และรวบรวมจากประกาศเช่าตามมาร์เก็ตเพลสต่าง ๆ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าผลตอบแทนจากการเช่าบ้านเดี่ยวในทำเลนี้อยู่ในช่วงระหว่าง 7.5% - 10.0% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนจากการเช่าที่สูงมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับคอนโดมิเนียมในพื้นที่ใจกลางเมืองที่อัตราผลตอบแทนต่ำกว่านี้มาก
และแม้ว่าจะต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับนายหน้าหรือตัวแทนขายไปบ้าง อัตราผลตอบแทนก็ปรับลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทำเลนี้ความต้องการที่อยู่อาศัยมีมากทั้งแบบความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และความต้องการเช่า แนวโน้มคงจะเป็นแบบนี้ต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า เนื่องจากศักยภาพของทำเลและปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบอื่น ๆ จะคงอยู่ไปอีกนานรวมทั้งความเจริญที่เกิดขึ้นบนพื้นที่ส่งผลให้ทำเลกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่เติบโตขึ้นในทุกวัน

#อสังหาริมทรัพย์ #กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่

BBGI รวบธุรกิจ Biofuel 1 ล้านลิตร/วันเร่งเครื่องเต็มพิกัด เข้าถือหุ้น BBGI-BI ครบ 100% BBGI ส่งสัญญาณ โค้งสุดท้ายของปีธุ...
09/12/2024

BBGI รวบธุรกิจ Biofuel 1 ล้านลิตร/วัน
เร่งเครื่องเต็มพิกัด เข้าถือหุ้น BBGI-BI ครบ 100%
BBGI ส่งสัญญาณ โค้งสุดท้ายของปีธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ เป็นซีซั่นการขายหนุนแนวโน้ม Q4/67 ปริมาณขายโตต่อเนื่อง ประกอบกับ การซื้อหุ้น BBGI-BI เข้ามาอีก 30% ทำให้ปัจจุบันถือครบ 100% จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มร้อยในเดือนธันวาคมเป็นต้นไป รองรับดีมานด์ไบโอดีเซลให้กลุ่มบริษัทบางจากเต็มกำลัง ด้านธุรกิจใหม่ โครงการ SAF และ CDMO งานก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วประมาณ 70% มองปี 68 ผลงานจัดเต็มต่อเนื่อง
นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI ผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพและผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง (HVP) เปิดเผย ล่าสุด BBGI ปิดดีลการเข้าซื้อหุ้น บริษัท บีบีจีไอ ไบโอดีเซล จำกัด หรือ BBGI-BI ได้สำเร็จ สนับสนุนสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 100% จากเดิมถือหุ้น 70% และจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรใน BBGI–BI เข้ามาเต็มจำนวนตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป สนับสนุนผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง กำลังการผลิตตามสัดส่วนจะพุ่งทะยานแตะ 1,000,000 ลิตรต่อวัน จากเดิม 700,000 ลิตรต่อวัน รองรับความต้องการกลุ่มบริษัทบางจาก
สำหรับความคืบหน้าธุรกิจใหม่ เตรียมสร้าง New S-Curve ในปีหน้า โครงการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) เป็นตามแผน ณ สิ้นเดือนตุลาคมความคืบหน้างานก่อสร้างไปแล้ว 70% คาดพร้อมผลิตเชิงพาณิชย์ COD ในช่วงไตรมาส 2/2568 รวมทั้ง การบริหารตลอดห่วงโซ่อุปทานในธุรกิจ พร้อมรับซื้อน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วจาก
ภาคธุรกิจและประชาชนผ่านปั๊มบางจากมากกว่า 233 แห่ง ตามโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” และขยายเครือข่ายพันธมิตรเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติม ทำให้มีความมั่นคงในการจัดหาวัตถุดิบ มุ่งสู่เป้าหมายช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมการบิน โดยเห็นสัญญาณที่ดีจากหลากหลายประเทศส่งเสริมการใช้น้ำมัน SAF มากขึ้น
โดยในปี 2568 จะมีในกลุ่มประเทศยุโรป อังกฤษ และอินเดียจะเริ่มมีการกำหนดสัดส่วนการผสมของ SAF ขณะที่ ความคืบหน้าธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง (CDMO) ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายนก่อสร้างไปแล้ว 70% คาดในเฟสแรกจะเริ่ม COD ภายในปีหน้า เป็นฐานด้านไบโอเทคโนโลยีแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่ตลาดโลก
“เราประเมินภาพรวมปี 2568 ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพจะยังคงเติบโตจากยอดขายและปริมาณการขายที่อยู่ในระดับสูง ด้วยกลยุทธ์การใช้กำลังการผลิตเต็มกำลัง ทำให้บริษัทฯ มีต้นทุนที่มีประสิทธิภาพจึงมั่นใจธุรกิจหลักจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมกับปัจจัยบวกจากการเข้าซื้อหุ้น BBGI-BI เข้ามาเสริมทัพ ตอกย้ำผู้นำในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ธุรกิจใหม่โครงการ SAF บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 20% และโครงการ CDMO ถือหุ้นสัดส่วน 75% คาดว่าการก่อสร้างของโรงงานจะแล้วเสร็จในปีหน้า หนุนการเติบโตของธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพในมิติใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อการลดปริมาณคาร์บอนที่ส่งผลต่อภาวะเรือนกระจกได้เช่นเดียวกับธุรกิจไบโอดีเซลและเอทานอลได้อย่างมีนัยสำคัญ” นายกิตติพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย

#บางจาก

09/12/2024

ลงทุนวันละคำวันนี้ ขอเสนอคำว่า “Day Range" มีความหมายว่าอย่างไร ติดตามได้ 20:00 น. นี้ [อ่านต่อในคอมเมนต์] #ลงทุนวันละคำ

Finnomena Funds จัดเทศกาลลดหย่อนภาษีประจำปี หมีกินหมีใช้ เผยเคล็ดลับลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีแบบจัดเต็มFinnomena Funds จัดเ...
07/12/2024

Finnomena Funds จัดเทศกาลลดหย่อนภาษีประจำปี หมีกินหมีใช้
เผยเคล็ดลับลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีแบบจัดเต็ม
Finnomena Funds จัดเทศกาลลดหย่อนภาษีประจำปี หมีกินหมีใช้ เสริมทัพด้วยกูรู นายแว่นลงทุน หมอนัท คลินิกกองทุน แนะกลยุทธ์เลือกกองทุนลดหย่อนภาษีโค้งสุดท้ายของปี เน้นเทรนด์ การเติบโตในระยะยาว ด้าน “เฌอปราง อารีย์กุล” ชวนใช้วิธีออมก่อนใช้ สร้างความมั่นคงทางการเงินหลังวัยเกษียณ
เทศกาลลดหย่อนภาษีประจำปี หมีกินหมีใช้ งานยิ่งใหญ่ประจำปี 2024 ของ Finnomena งานที่จะทำให้คุณ "หมี" เงินกิน "หมี" เงินเก็บกันมากขึ้น ชวนคนไทยซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี อาทิ กองทุน SSF, RMF และ Thai ESG เนื่องจากประเทศไทยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่มีการขายกองทุนรวมที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามความมุ่งหวังของรัฐบาลเพื่อให้ประชาชนเกิดการออมในระยะยาว เก็บเงินไว้ใช้หลังวัยเกษียณ
🌟นายคณิต นิมมาลัยรัตน์ ผู้ก่อตั้งเพจ "นายแว่น ลงทุน - Naiwaen Investment" บอกว่า เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นปี 2553 และลาออกจากงานประจำมาเป็นนักลงทุนเต็มตัวในปี 2563 แต่ก็ยังมีการลงทุนผ่านกองทุน RMF เป็นประจำทุกเดือน ด้วยวิธี DCA (Dollar-Cost Averaging) หรือการลงทุนด้วยเงินที่เท่ากันอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน เพื่อเก็บเงินไว้ใช้หลังวัยเกษียณ ลดหย่อนภาษี และกระจายความเสี่ยง
สำหรับวิธีการเลือกกองทุน จะเน้นลงทุนในสินค้า หรือ บริการที่ใช้ในชีวิตประจำวัน มีการกระจายความเสี่ยงลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ด้วย ส่วนภาวะการผันผวนของราคา หรือ ราคากองทุนปรับตัวลดลง มองเป็นเรื่องที่ดี ได้ซื้อของถูก เพราะมองเป็นการลงทุนระยะยาว
🌟น.สพ. ธนัฐ ศิริวรางกูร ผู้เชี่ยวชาญด้านกองทุนรวม และเจ้าของเพจคลินิกกองทุน บอกว่า นักลงทุนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเกี่ยวกับกองทุนลดหย่อนภาษี ว่าซื้อเพื่อลดหย่อนภาษีเพียงอย่างเดียว แต่หลักการสำคัญ คือ การลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนด้วย ทำให้ต้องพิจารณาความเสี่ยงว่ารับได้แค่ไหน ถ้าหวังผลตอบแทนเยอะ รับความเสี่ยงได้สูงต้องลงทุนในหุ้น ถ้าความเสี่ยงต่ำต้องพิจารณากองทุนผสมตราสารหนี้ด้วย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนต้องพิจารณา 4 เรื่องประกอบ คือ “นโยบายของกองทุน ระดับความเสี่ยง อัตราค่าธรรมเนียม และผลตอบแทนย้อนหลัง 3-5 ปี” เพราะหากผลตอบแทนย้อนหลังทำได้ดี กองทุนนั้นมักทำผลงานระยะยาวได้ดีด้วย อิงตามผลการทำงานของผู้จัดการกองทุนว่าดีแค่ไหน ขณะที่การลงทุนสินทรัพย์อื่นส่วนใหญ่เป็นการดูแนวโน้มในอนาคตเป็นหลัก
สำหรับวิธีการเลือกกองทุน เน้นธีมและเทรนด์ระยะยาวในช่วงเวลานั้น ๆ เช่น ธุรกิจสุขภาพ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 10-12% ถ้า 10-15 ปี ก็มีโอกาสโตมากกว่า 100% และต้องเลือกประเทศด้วย เช่น อินเดีย ประชากรมีจำนวนมาก ตลาดการค้าจะใหญ่กว่าจีน วัยแรงงานเยอะ แต่อินเดียพัฒนาช้ากว่าจีน เพราะติดเรื่องวรรณะ คาดอีก 10 ปี จีดีพีอินเดียมากกว่าเยอรมนี
นอกจากนี้การลงทุนควรจัดเป็นพอร์ต ไม่ลงตัวเดียว กองไหนดีก็เติมเงินเพิ่ม อันไหนคิดว่าจะไม่ดีก็ลดเงินลง เลือกสินทรัพย์อื่นเข้ามาแทน
🌟นางสาวเฌอปราง อารีย์กุล ผู้จัดการวง BNK48 บอกว่า ตอนนี้อายุ 28 ปี อดีตเริ่มมีรายได้ครั้งแรกช่วงอายุ 18 ปี รับสอนพิเศษ และได้เงินเดือนจริงจังช่วงเริ่มทำงานกับอาจารย์ เป็นผู้ช่วยวิจัยเงินเดือน 12,000 ตอนอายุ 19 ปี แต่เริ่มบริหารค่าใช้จ่าย จดรายรับ รายจ่าย ตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ปัจจุบันมีรายได้เยอะ ต้องวางแผนภาษี และลงทุนเพื่อเก็บออมไว้ช่วงวัยเกษียณ
โดยใช้แนวคิด ”ออมก่อนใช้” ลงทุน 50% ของรายได้ แบบ DCA ทุก ๆ เดือน และกระจายการลงทุนในทุกรูปแบบ ทั้งประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ประกันสะสมทรัพย์ ประกันบำนาญ กองทุน SSF, RMF และกำลังศึกษากองทุน Thai ESG
🌟นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Finnomena Funds บอกว่า โพยการลงทุนสำหรับ “เฌอปราง” รายได้สูง อายุน้อย ไม่ค่อยมีเวลา จึงเหมาะสำหรับการลงทุนที่เน้นเติบโตในระยะยาวแบบกระจายความเสี่ยง คือ กองทุน KKP GNP RMF-UH และ KKP GNP-SSF ลงทุนในกองทุน CAPITAL GROUP NEW PERSPECTIVE FUND เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลกแบบกระจายความเสี่ยงมากกว่า 200 บริษัท มีการบริหารเชิงรุก โดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์สูงผ่านกลยุทธ์ Multi-Manager ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในแต่ละอุตสาหกรรม และเน้นบริษัทที่มีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงด้านการค้าและเศรษฐกิจของโลกในอนาคต การลงทุนในกองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
🌟นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Finnomena Group บอกว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทย เวียดนาม และอินเดีย ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย แนะนำลงทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี ซึ่งตรงกับระยะเวลาที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรกที่ส่งผลให้การส่งออกไทย น่าจะเพิ่มขึ้น ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม และอินเดีย ค่า P/E เฉลี่ยเพียง 8 เท่า ก็มีแนวโน้มขยายตัวได้อีกในอนาคต
🌟นายจิรภัทร โบสุวรรณ Senior Investment Specialist จาก Definit บอกว่า โพยการลงทุนลดหย่อนภาษีส่งท้ายปี มี 3 ทางสไตล์ ประกอบด้วย
โพยสำหรับ “หมีทิง” ตัวแทนนักลงทุนหน้าใหม่ไฟแรง “ด้วย Character ที่เป็นลูกผสมระหว่างหมีกับกระทิง จึงบู๊บ้างถอยบ้าง”
กองทุน Tax Saving Fund ที่เหมาะสำหรับหมีทิงคือกองทุน UGBFRMF และ UGBF-SSF ที่จะเน้นลงทุนในกองทุน JPMorgan Investment Funds - Global Balanced Fund ลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกแบบผสมผสาน โดยในสภาวะที่ตลาดเป็นปกติ กองทุนจะมีกลยุทธ์การลงทุนในหุ้น 50% และ ตราสารหนี้ 50% โดยมี Concept คือ Global Balance Fund จึงสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว
โพยสำหรับ “Bullranger” ตัวแทนนักลงทุนมือฉมัง “บู๊ตลาดตามสไตล์กระทิง เชี่ยวชาญการลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย”
กองทุน Tax Saving Fund ที่เหมาะสำหรับ Bullranger จึงเป็นกองทุนประเภท ThaiESG ได้แก่ ASP-ThaiESG และ KTAG70/30-ThaiESG ที่จะเน้นลงทุนในหุ้นไทยในบริษัทที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่ดี โดยกองทุน ASP-ThaiESG โดยจะเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีการจัดอันดับ SET ESG Rating ต้ังแต่ BBB ขึ้นไป และสำหรับนักลงทุนหุ้นไทยที่รับความเสี่ยงได้ต่ำลงมากองทุน KTAG70/30-ThaiESG ที่จะเน้นลงทุนในหุ้นไทย 70% และตราสารหนี้ไทย 30% ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนในกองทุน ThaiESG เช่นกัน
โพยสำหรับ “Mr. Pete” ตัวแทนนักลงทุนผู้เป็นกูรู TSF “เน้นวางกลยุทธ์ จัดทัพกองทุนลดหย่อนภาษีด้วยกองทุนรวมอย่างรอบคอบ ตามสไตล์พนักงานเงินเดือนและบุคคลทั่วไปที่เสียภาษีเป็นประจำทุกปี”
กองทุน Tax Saving Fund ที่เหมาะสำหรับสไตล์ของ Mr.Pete คือ Tax Saving Fund Package โดย Mr.Pete อยากแชร์ประสบการณ์และความรู้ในเรื่องของการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี เพื่อที่จะได้เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนหลาย ๆ คนที่อยากจะลงทุนลดหย่อนภาษีแบบกระจายความเสี่ยงแต่ไม่ค่อยมีเวลามานั่งจัดทัพการลงทุนด้วยตัวเอง สำหรับคนที่ต้องการลดหย่อนภาษีในปี 2024 ซึ่งมี Package ให้เลือกถึง 4 ชุด ได้แก่ 1,3,5 และ 7 ไล่จากระดับความเสี่ยงจากน้อยไปมาก เพื่อให้สอดคล้องกับนักลงทุน
*คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

#กองทุน #ลดหย่อนภาษี #หมีกินหมีใช้

06/12/2024

🕑 Money Minutes รีไฟแนนซ์ หรือ รีเทนชั่น

นาทีตอบทุกปัญหาทางการเงิน กับ ณัฏฐ์ Connect The Dots
เรื่องในวันนี้คือ “รีไฟแนนซ์ หรือ รีเทนชั่น”

#ตอบปัญหาการเงิน #การลงทุน #รีไฟแนนซ์ #รีเทนชั่น

A5 โชว์แบ็คล็อก 900 ล้านบาท พร้อมเปิด CINQ ROYAL The Eighteen Bangna มูลค่า 1,650 ล้านA5 เผยโค้งสุดท้ายปี 67 เติบโตอย่าง...
06/12/2024

A5 โชว์แบ็คล็อก 900 ล้านบาท
พร้อมเปิด CINQ ROYAL The Eighteen Bangna มูลค่า 1,650 ล้าน
A5 เผยโค้งสุดท้ายปี 67 เติบโตอย่างมั่นคงท่ามกลางความท้าทาย โชว์แบ็คล็อกแน่น 900 ล้านบาท ทยอยรับรู้ยอดโอนเพิ่ม ไตรมาส 4/67 เป็นต้นไป พร้อมลุยเปิดตัวโครงการใหม่ Ultra-Luxury "CINQ ROYAL The Eighteen Bangna" มูลค่ากว่า 1,650 ล้านบาท ภายใน ก.พ. ปี 2568 สร้างการเติบโตต่อเนื่อง
นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ-แนวสูงระดับลักชัวรี เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 แนวโน้มดี บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ พฤศจิกายน 2567 มูลค่ารวม 900 ล้านบาท จากโครงการ CINQ ROYAL Krungthep Kreetha (แซงค์ รอยัล กรุงเทพกรีฑา), โครงการ VANA Ratchapruek-Westville (วนา ราชพฤกษ์-เวสต์วิลล์) ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาส 1/2567 มียอดขายแล้วกว่า 70% ของเฟสที่เปิดขาย และเตรียมทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ บริษัทเร่งเดินหน้ากิจกรรมการตลาด กระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง จัดโปรโมชัน Happy HO(ME)LIDAY Festival ลุ้น Lucky Draw รับข้อเสนอพิเศษมูลค่าสูงสุด 1,000,000 บาท พร้อมบ้านแปลงราคาพิเศษ จาก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Cinq Royal Krungthep Kreetha (แซงค์ รอยัล กรุงเทพกรีฑา) และโครงการ VANA Ratchapruek Westville (วนา ราชพฤกษ์-เวสต์วิลล์) ระยะเวลาตั้งแต่วันนี้ - 15 มกราคม 2568 สร้างยอดขาย ผลักดันรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้
“แม้ว่าปีนี้สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมมีปัจจัยหลายอย่างที่ท้าทาย อาทิ อัตราดอกเบี้ยสูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แต่ A5 ยังคงรักษาการยอดรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่เร่งตัวขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี
ผลการดำเนินงานดังกล่าวสะท้อนผลสำเร็จจากการพัฒนาสินค้า การออกแบบโครงการ พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านด้วยแนวความคิดใหม่ พร้อมบริการที่ครอบคลุม ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ
A5 ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพบนพื้นที่โซนกรุงเทพกรีฑา,บางนา,วัชรพล-รามอินทรา, พัฒนาการ และราชพฤกษ์ ซึ่งทำเลดังกล่าวยังเป็นทำเลเป้าหมายของกลุ่มลูกค้าลักชัวรี พร้อมการออกแบบบ้านที่มีเอกลักษณ์ ให้สอดคล้องกับหลักการความยั่งยืน ออกแบบให้พื้นที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลายรองรับการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ เตรียมเปิดตัว 4 โครงการใหม่ในปี 2569 เพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้ง วางแผนการลงทุนในที่ดินในทำเลศักยภาพที่รองรับการพัฒนา โครงการใหม่ ๆ ในอนาคต ตามกลยุทธ์หลักของบริษัทที่สร้างการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

บริษัทเชื่อมั่นว่าปี 2568 จะเป็นปีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะกลุ่มบ้านหรูหรือ Ultraluxury ที่ยังเติบโตได้ดี เพราะเป็นลูกค้ากลุ่มที่มีความมั่นคงทางการเงินสูง มีความต้องการที่พักอาศัยในย่านทำเลทอง (Prime Location) ที่จะสร้างมูลค่าและอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงติดตามความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกและมาตรการกระตุ้นของรัฐ อาทิ การปลดล็อก LTV หรือการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติลงทุนมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนให้ตลาดอสังหาฯ เติบโตอย่างยั่งยืน”
บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่โครงการ CINQ ROYAL The Eighteen Bangna (แซงค์ รอยัล เดอะ เอททีน บางนา) บ้านเดี่ยวระดับ Ultra-Luxury บนทำเลบางนากม.7 ในซอยราชวินิตบางแก้ว ซึ่งเป็น ทำเลทองหายากและเป็นย่านที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยอย่างครบครัน เป็นโครงการที่มีความส่วนตัวและความปลอดภัยสูง ( Exclusive Gated Community) ที่มีเพียงแค่ 18 หลัง เท่านั้น มูลค่ารวมกว่า 1,650 ล้านบาท คาดพร้อมเปิดให้เข้าชมโครงการอย่างเป็นทางการในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2568 โดยสามารถรับรู้รายได้ได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 ช่วยหนุนให้แบ็คล็อกในช่วงไตรมาส 4/2567 เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 1,478.87 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 488.89 ล้านบาท ตอกย้ำความสำเร็จจากการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างดีเยี่ยม

#แอสเซทไฟว์

06/12/2024

ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะ 800 ลบ. วางแผนขยายจำนวนช่องจอดรถเพิ่มอีก 10,000 ช่อง รวมเป็น 50,000 ช่อง ภายในสิ้นปี 68

“อมตะ” เตรียมรับคลื่นลงทุนใหม่ตอบโจทย์นักลงทุนกลุ่มไฮเทคครบวงจรสร้างมูลค่าเพิ่มในพื้นที่EECอมตะ เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐา...
06/12/2024

“อมตะ” เตรียมรับคลื่นลงทุนใหม่
ตอบโจทย์นักลงทุนกลุ่มไฮเทคครบวงจร
สร้างมูลค่าเพิ่มในพื้นที่EEC
อมตะ เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับอุตสาหกรรมไฮเทคแห่งอนาคต ขานรับการย้ายฐานการผลิตจากนักลงทุนต่างชาติ ทั้งจีนและญี่ปุ่นหวังใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) ก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City)พัฒนาพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีล้ำสมัย สนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลคุณภาพชีวิตของชุมชนในพื้นที่ รองรับความเปลี่ยนแปลงในตลาดการลงทุนระหว่างประเทศ
นายโอซามู ซูโด รักษาการประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักลงทุนจากหลายประเทศเข้ามาให้ความสนใจลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของอมตะ โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น ซึ่งต่างมองว่าประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่มีความสำคัญระดับภูมิภาค ภายใต้การคาดการณ์ในปี 2567 ซึ่งเห็นได้จากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยมียอดโอนที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่มียอดรอการรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) อยู่ที่ 16,939 ล้านบาท คาดว่าในปีนี้จะสามารถทยอยรับรู้รายได้ประมาณ 50% และอีก 50% ในปี 2568
ปัจจุบัน นิคมอุตสาหกรรมของอมตะอยู่ใน จ.ชลบุรี และระยอง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ ชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรม อมตะ ซิตี้ ระยอง และนิคมไทย-จีน จ.ระยอง โดยนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นอกจากผู้ประกอบการจะได้รับประโยชน์จากแรงจูงใจที่สำคัญจากหน่วยงานภาครัฐ อาทิ การส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน( BOI )และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IEAT) แล้ว พื้นที่ EEC ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ครบถ้วน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค
ส่วนนิคมอุตสาหกรรมในต่างประเทศ ทางอมตะได้เข้าไปลงทุนใน 2 ประเทศหลัก คือ เวียดนาม และ สปป.ลาว โดยในเวียดนาม ประกอบไปด้วย นิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง และโครงการนิคมฯร่วมทุนกับพันธมิตรนานาชาติอีก 1 แห่ง ได้แก่ 1.) นิคมฯอมตะซิตี้ เบียนหัว 2.) นิคมฯอมตะซิตี้ ลองถั่น 3.) นิคมฯอมตะซิตี้ ฮาลอง และ 4.) นิคมฯ กว่างจิ (Joint Venture) คิดเป็นมูลค่าลงทุนทั้งสิ้นกว่า 860 ล้านเหรียญสหรัฐ บนพื้นที่ดินที่ได้รับใบอนุญาต 3,000 เฮกตาร์ (18,750 ไร่)
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 2 แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมอมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาเตย แขวงหลวงน้ำทา และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาหม้อ แขวงอุดมไซ
ทั้งนี้ ในนิคมอุตสาหกรรมของอมตะ ได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาให้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่มีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้ประกอบการจากทั่วโลก
โดยอมตะได้วางแนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เช่น ระบบพลังงานสะอาด การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้อมตะเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาทำเลที่ดีและเชื่อมโยงการผลิตสู่การส่งออกในภูมิภาคอาเซียน
“จุดเด่นของทำเลที่ตั้ง อมตะได้รับความสนใจจากธุรกิจหลายภาคส่วนที่ต้องการย้ายฐานการผลิต ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เทคโนโลยี หรืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต่างก็ต้องการเข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของอมตะ เพื่อใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและการสนับสนุนจากภาครัฐที่แข็งแกร่ง มุ่งเน้นการเป็นเมืองอุตสาหกรรมครบวงจร ” นายโอซามู กล่าวเพิ่มเติม
โดยอมตะได้กำหนดเป้าหมายให้ทุกพื้นที่พัฒนาเป็นมากกว่าแค่สถานที่ประกอบธุรกิจ โดยเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มและให้บริการครบวงจร ตั้งแต่การจัดหาแหล่งพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไปจนถึงการผสมผสานสิ่งอำนวยความสะดวกด้านอุตสาหกรรมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานเชิงพาณิชย์ ส่งผลให้ผู้เช่าและนักลงทุนสามารถดำเนินธุรกิจสามารถพัฒนาและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ อมตะยังให้ความสำคัญกับการดูแลคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบผ่านโครงการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
สำหรับทิศทางในปี 2568 ของอมตะ ยังมองว่ากระแส "China Plus One" จะยังดำเนินต่อไป ซึ่งเป็นกระแสที่เด่นชัดมาตั้งแต่ช่วงหลังความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการระบาดของโควิด-19 ทำให้การย้ายฐานการผลิตนอกประเทศจีนไปมาสู่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยอมตะ จะยังคงเดินหน้าในการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการให้บริการ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลก

#อมตะ

Merkle capital วิเคราะห์โค้งสุดท้ายของปี สินทรัพย์ดิจิทัลมาแรง Trump ชนะเลือกตั้ง ดัน BTC ETH พุ่งทะยานเดือนพฤศจิกายนที่...
06/12/2024

Merkle capital วิเคราะห์โค้งสุดท้ายของปี
สินทรัพย์ดิจิทัลมาแรง
Trump ชนะเลือกตั้ง ดัน BTC ETH พุ่งทะยาน
เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาราคา BTC ปรับตัวขึ้นกว่า 50% และทำสถิติสูงสุดที่ 99,600 ดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยสำคัญของการปรับตัวขึ้นครั้งนี้ เป็นผลจากการชนะการเลือกตั้งประธานาธิปดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่มีนโยบายสนับสนุนคริปโทฯ เช่น การสนับสนุนการจัดตั้ง National bitcoin reserve and U.S. mining
นายวรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด มองว่า Bitcoin และภาพรวมคริปโทฯ โดยเฉพาะกลุ่ม Ethereum ecosystem มีแนวโน้มที่สามารถเติบโตสูงใน เดือนธันวาคมและปี 2025 ด้วยเหตุผล ดังนี้
[1. ประธานาธิบดี Donald Trump ดัน BTC All time high]
การเลือกตั้งของสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นทุก 4 ปี เมื่อคุณ Donald Trump ชนะการเลือกตั้งในเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนมีความคาดหวังต่อตลาดคริปโทฯ ในระยะสั้นและระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก Donald Trump มีนโยบายสนับสนุนคริปโทฯ ชัดเจนและมากกว่า Candidate ท่านอื่น ๆ จากทุกการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่เคยเกิดขึ้น เช่น การจะนำ Bitcoin มาเป็น Strategic reserve หรือการเตรียม เปลี่ยนประธาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ เพื่อให้การดำเนินกฎหมายคริปโทฯ ในอนาคตเกิดได้ง่ายขึ้น ซึ่งปัจจัยนี้ ส่งผลโดยตรงต่อราคา BTC อย่างมีนัยสำคัญโดยที่นโยบายยังไม่เริ่มดำเนินการ แต่ผลที่จะเกิดขึ้นคือ การสนับสนุนตลาดคริปโทฯ กว่า 4 ปี ดังนั้นปัจจัยนี้ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดคริปโทฯ ที่ต้องจับตา มองต่อเนื่องทั้งระยะสั้นและระยะยาว
[2. เงินลงทุนใน Ethereum ecosystem เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง]
หลังจากการเลือกตั้งจบลง นักลงทุนเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ เดือนพฤศจิกายน ETH ปรับตัวขึ้นสูงกว่า 56% และมีแรงซื้อจาก Ethereum spot ETF สูงทำสถิติ All time high แสดงถึงการยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มนักลงทุนสถาบัน และพบว่า TVL (Total value locked) ของ Ethereum chain เพิ่มขึ้นสูงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน แม้มูลค่าที่ถูกจำกัดไว้จะสูงถึง 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น Ethereum ecosystem จึงน่าจับตามองในเดือน ธันวาคม โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีพื้นฐานดีและมูลค่าตลาดต่ำกว่าที่ควร
[3. Bitcoin dominance ปรับตัวลงแสดงถึงการเปิดรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น]
ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ภาพรวมของ Bitcoin dominance ที่แสดงถึงมูลค่า Bitcoin เปรียบเทียบกับมูลค่าตลาดคริปโทฯ ทั้งหมดนั้นมีการปรับตัวลง แสดงถึงจำนวนเงินที่เริ่มไหลจาก Bitcoin ไปสู่ Altcoin และเมื่อพิจารณาร่วมกับข้อมูลในภาพจะพบว่า Bitcoin dominance มีแนวรับสำคัญอยู่ที่ บริเวณ 53% ซึ่งมีโอกาสให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ Altcoin มากขึ้นในเดือนธันวาคม
อย่างไรก็ตาม ทุกรอบของ Crypto cycle ที่เคยเกิดขึ้น สถิติของ Bitcoin dominance มักจะขึ้นสูงถึง 70% ก่อนที่จะเข้าสู่รอบของ Altcoin ดังนั้น ในระยะสั้น Altcoin ยังคงมีโอกาสเติบโตมากกว่า Bitcoin อย่างมีนัยสำคัญ แต่ระยะกลาง เม็ดเงินอาจถูกย้ายกลับมาที่ Bitcoin เมื่อราคาของ Altcoin มีการปรับตัวสูงกว่าที่ตลาดคาดหวัง
นายมานะ คานิโยว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านพัฒนาธุรกิจและพาณิชย์ บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 นี้ คาดว่าภาพรวมตลาด สินทรัพย์ดิจิทัลจะให้ผลตอบแทนที่ดีจากปัจจัยมหาภาคจากผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ เมื่อ Donald Trump ชนะการเลือกตั้งในเดือนที่ผ่านมา
ส่งผลให้นักลงทุนมีความคาดหวังต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจากนโยบาย สนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สนับสนุนภาพรวมตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะ บิตคอยน์ให้ขึ้นไปทดสอบ All time high อีกได้อย่างมีนัยยะสำคัญ และช่วงนี้อาจเห็นตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ให้ผลตอบแทนที่ดีแต่อาจจะเห็นการปรับฐานของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลจึงอยากฝากให้วางแผนการลงทุนให้รอบคอบและลงทุนในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้”
*บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนแต่อย่างใด การลงทุนมีความเสี่ยง ควรวิเคราะห์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ที่อยู่

Bangkok
10900

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Connect the Dotsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Connect the Dots:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

Creative Investment Space

เนื่องจากโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตามเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้โลกการเงินการลงทุนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน คนทั่วไป คนรุ่นใหม่ และนักลงทุน ควรรู้เท่าทัน จึงเป็นที่มาของ

Innovative investment space: พื้นที่แห่งการเรียนรู้นวัตกรรมการลงทุน

Change for better life: พื้นที่ที่จะเปลี่ยนให้คุณเป็นคนที่ดีกว่า

โดยเราจะมีการเรียนการสอนความรู้ด้านการลงทุนในรูปแบบใหม่ หลากหลาย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในนวัตกรรมการลงทุนสมัยใหม่ พร้อมสร้างสังคมการแบ่งปันความรู้ด้านการลงทุน


บริษัทด้านสื่อ/ข่าวสาร อื่นๆใน Bangkok

แสดงผลทั้งหมด