The States Times EARTH

The States Times EARTH 📣Echoes of the Earth : เสียงสะท้อนจากโลกใบเดิม🌏

☝️Click >> รู้จักเทคโนโลยี V2G เปลี่ยนจากแบตเตอรี่รถ EV ให้กลายเป็นไฟบ้าน แบ่งเบาการใช้งานไฟฟ้าบ้านจากในช่วงเวลาที่อัตรา...
15/12/2024

☝️Click >> รู้จักเทคโนโลยี V2G เปลี่ยนจากแบตเตอรี่รถ EV ให้กลายเป็นไฟบ้าน แบ่งเบาการใช้งานไฟฟ้าบ้านจากในช่วงเวลาที่อัตราค่าไฟฟ้าแพงได้
🔎Clear >> เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยได้ยินระบบจ่ายไฟกลับอย่าง 'V2L' (Vehicle-to-load) มาบ้างแล้ว โดย V2L เป็นการจ่ายไฟจากแบตเตอรี่รถออกไปยังปลั๊กไฟเพื่อเสียบกับอุปกรณ์ในบ้าน 220V ได้อย่างง่ายดาย และสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดในตอนนี้ที่ 3.2 kW หรือใช้งานเตาปิ้งย่าง, พัดลม, แอร์ ได้อย่างง่ายดาย
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีการใช้งานไฟฟ้าในอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ไปไกลกว่าเดิมอีกขั้น นั่นก็คือ 'V2G' หรือ Vehicle-to-Grid ซึ่งเป็นการดึงเอาไฟฟ้าทั้งบ้านมาใช้งานจากแบตเตอรี่รถ EV ของเรา เพื่อเอาไปแบ่งเบาการใช้งานไฟฟ้าบ้านจากในช่วงเวลาที่อัตราค่าไฟฟ้าแพงได้
แน่นอนว่าฟังดูเทคโนโลยีนี้แล้วอาจจะดูแปลก ๆ เพราะเราตั้งใจซื้อรถไฟฟ้ามาใช้งาน ไม่ใช่เอามาจ่ายไฟให้ที่บ้าน แต่ต้องบอกแบบนี้ว่า ถ้ายิ่งบ้านไหนมีระบบโซลาร์เซลล์อยู่แล้ว มีระบบจ่ายไฟในบ้านอยู่แล้ว การเอาแบตเตอรี่รถยนต์เข้าไปเสริม จะทำให้รถ EV ที่จอดทิ้งไว้เฉย ๆ ถูกเอามาใช้งานได้มีประโยชน์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น พายุ, ไฟดับ หรือว่าสงคราม ระบบนี้จะมีประโยชน์มาก ตอนนี้ที่ 'ญี่ปุ่น' และ 'ออสเตรเลีย' พยายามผลักดันกันอย่างเต็มที่เพื่อให้รถสามารถใช้งานได้มากกว่าการขับขี่ วิธีการใช้งานมี 2 แบบคือ...
-ชาร์จจากโซลาร์เซลล์ในเวลากลางวันไว้ที่รถ แล้วใช้ไฟจากรถจ่ายไฟกลับไปยังบ้าน เพื่อใช้งานในเวลากลางคืน ทำให้ประหยัดไฟมากขึ้น
-การชาร์จไฟจากสถานี เพื่อเอาไฟกลับมาใช้งานที่บ้าน เช่น กรณีที่ระบบไฟฟ้าเสียหาย ไม่สามารถใช้งานไฟในบ้านได้ ก็สามารถเอาไฟจากรถกลับมาใช้งานที่บ้านเราได้นั่นเอง
การใช้งานแบบ V2G ดูแล้วอาจจะยุ่งยากไปบ้างสำหรับคนที่ใช้งานรถทุกวัน แต่หากลองมองในความเป็นจริงแล้ว หลายคนที่เอารถไปใช้ทำงาน จอดที่ทำงานแล้วกลับบ้าน ก็มักจะใช้แบตเตอรี่น้อยมาก ฉะนั้นถ้าเราเอามาไฟในรถมาแชร์กับการใช้งานไฟฟ้าในบ้าน ก็จะช่วยให้ EV ของเราถูกใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตามระบบนี้ต้องมีความปลอดภัยในการติดตั้งสูง เพราะระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในบ้าน อาจเกิดปัญหาได้หากดำเนินการอย่างไม่ถูกวิธี
ที่มา: Bangkok EV Expo
https://www.facebook.com/share/15MSLUaD3w/
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth




#เทคโนโลยี

☝️Click >> เคยสงสัยไหม? ทำไม ‘แม่น้ำสาธารณะ’ ของญี่ปุ่นถึงใสสะอาด ขนาดเลี้ยงปลาได้เลย เคล็ดไม่ลับคือ ‘โจกาโซ’ ที่ทุกบ้าน...
15/12/2024

☝️Click >> เคยสงสัยไหม? ทำไม ‘แม่น้ำสาธารณะ’ ของญี่ปุ่นถึงใสสะอาด ขนาดเลี้ยงปลาได้เลย เคล็ดไม่ลับคือ ‘โจกาโซ’ ที่ทุกบ้านต้องมี
🔎Clear >> อย่างที่เรารู้ ‘น้ำ’ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากที่สุดในโลก หรือคิดเป็น 3 ใน 4 ของโลกใบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ‘น้ำ’ ก็ยังจัดเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เพราะไม่ใช่ว่าเราจะหา ‘น้ำสะอาด’ ได้ง่ายทั่ว ๆ ไป และยิ่งในยุคสมัยนี้การจะมีน้ำสะอาดใช้อุปโภค บริโภคก็ต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมาย นั่นจำเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมในบ้างประเทศน้ำเปล่าถึงมีราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ
‘ญี่ปุ่น’ ประเทศแห่งการประดิษฐ์และนวัตกรรม มีสิ่งที่เรียกว่า ‘โจกาโซ’ หรือระบบบำบัดน้ำเสียแบบติดกับที่ (on-site wastewater treatment system) อธิบายง่าย ๆ ก็คือเป็นตัวช่วยบำบัดน้ำเสียในบ้านให้กลายเป็นน้ำสะอาดก่อนปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาตินั่นเอง
หลักการทำงานของโจกาโซก็คือ จะเป็นถังบำบัด ซึ่งภายในประกอบไปด้วย Fillter และ แบคทีเรีย ซึ่งแบคทีเรียนี้จะมีปั๊มออกซิเจนช่วยเลี้ยงให้มีชีวิตอยู่ตลอดเวลา
เมื่อมีน้ำเสียจากกิจกรรมภายในบ้าน เช่น การเข้าห้องน้ำ ล้างจาน อาบน้ำ ฯลฯ น้ำเสียเหล่านี้จะถูกส่งไปที่โจกาโซ แบคทีเรียที่เลี้ยงไว้ก็จะจัดการกินจุลินทรีย์ในน้ำเสียจนหมด ก่อนจะระบายน้ำที่บำบัดแล้วออกไปจากตัวบ้าน ทำให้เราได้เห็นคลิปไวรัล ปลาคราฟท์ว่ายอยู่ในแหล่งน้ำสาธารณะได้อย่างสบายใจ เพราะน้ำที่ญี่ปุ่น สะอาดมาก ๆ นั่นเอง
นอกจากมีนวัตกรรมที่ดีเยี่ยมแล้ว ญี่ปุ่นยังบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดด้วย โดยกฎหมายระบุไว้ว่าบ้านทุกหลังในญี่ปุ่นจะต้องมี ‘โจกาโซ’ และด้วยความเคร่งครัดของกฎหมายนี้ ทำให้ทุกบ้านต้องมีการบำรุงรักษาระบบของโจกาโซทุกปี เพื่อให้ระบบบำบัดน้ำสามารถทำงานได้ดีตลอดทั้งปี ป้องกันไม่ให้น้ำเสียหลุดรอดไปปนเปื้อนในแหล่งน้ำสาธารณะ
นี่จึงเป็นวิธีที่ดูชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่น่าชื่นชมและควรเอาเป็นแบบอย่าง หาก ‘ไทย’ เริ่มทำได้ เราคงได้เห็นแม่น้ำ ลำคลอง ใสสะอาดเป็นแน่
ที่มา: https://www.facebook.com/share/p/1UaQ4tdNvb/ / https://youtube.com/shorts/eTY39GsZ7PY
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#โจกาโซ
#ญี่ปุ่น
#บำบัดน้ำเสีย

📢>> ดื่มน้ำยิ่งเยอะ ดีจริงหรือไม่?! คำตอบคือ ไม่!! แม้การดื่มน้ำในปริมาณมาก ๆ จะทำให้ร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่การดื่...
15/12/2024

📢>> ดื่มน้ำยิ่งเยอะ ดีจริงหรือไม่?! คำตอบคือ ไม่!! แม้การดื่มน้ำในปริมาณมาก ๆ จะทำให้ร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่การดื่มน้ำมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดภาวะน้ำเป็นพิษได้ ซึ่งภาวะดังกล่าวจะเข้าทำลายระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย
‘ภาวะน้ำเป็นพิษ’ เกิดจากการที่เราดื่มน้ำปริมาณมากเกินไปจนส่งผลให้ร่างกายมีโซเดียมในเลือดต่ำกว่าปกติ และส่งผลให้มีอาการเหล่านี้…
⚠ สับสน
⚠ ปวดศีรษะ
⚠ คลื่นไส้ อาเจียน
⚠ ปวดเมื่อยตามร่างกาย
⚠ ชัก หมดสติ
⚠ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
แล้วใน 1 วัน เราควรดื่มน้ำเท่าไรถึงจะเหมาะสมดีต่อร่างกาย?
อันที่จริงร่างกายของเราแต่ละคน ต้องการปริมาณน้ำไม่เท่ากัน ส่วนวิธีการคำนวณปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวัน คำนวณได้ง่าย ๆ จากน้ำหนักตัวของเรา
สูตร: น้ำหนัก (กิโลกรัม) x 2.2 x 30/2 = ปริมาณน้ำ (มล.)
เช่น น้ำหนักตัว 55 x 2.2 x 30/2 = 1,815 มล. หรือ 1.8 ลิตร
ที่มา: โรงพยาบาลศิครินทร์
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#ดื่มน้ำ
#น้ำเป็นพิษ
#น้ำ

📢>>ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศา...
15/12/2024

📢>>ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thon Thamrongnawasawat’ ระบุว่า…
“วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีประโยชน์หากเราใช้ให้เป็นทั้งการเตือนภัย กู้ภัย ประเมินผลกระทบ เยียวยา จากแผนที่เหล่านี้พอบอกเราได้ว่า น้ำท่วมภาคใต้หนนี้สาหัสมาก มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 3.5 ล้านไร่ ผู้คนเฉียดล้าน (ข้อมูล ณ ตอนนี้ ไม่นับต่อไปเพราะฝนยังไม่หยุด) หวังว่าเมืองไทยจะใช้สิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้นมาก ๆ เพราะโลกร้อนจะเล่นงานเราหนักขึ้นเรื่อย ๆ …
“🙏 นักวิทยาศาสตร์ไทยทุกท่านที่ยังไม่ยอมแพ้ หวังว่านักการเมืองจะเห็นคุณค่าเรื่องพวกนี้บ้าง และจัดสรรงบประมาณมาให้ศึกษาวิจัยพัฒนาประยุกต์ใช้ แทนที่จะกระหน่ำตัดงบไปเรื่อย ๆ ทุกปี …
“เราต้องทุ่มงบกับเครื่องมือและข้อมูลพื้นฐานเพื่อการรับมือและปรับตัว ไม่เช่นนั้น เยียวยาเท่าไหร่ก็ไม่พอครับ”
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#ธรณ์ธำรงนาวาสวัสดิ์
#เทคโนโลยี
#นวัตกรรม

☝️Click >> โลกเริ่มอ่อนแอ จึงต้อง ‘ช่วยกัน’ เร่งฟื้นฟู-ดูแล ทั่วโลกผุดกิจกรรมรักษ์โลก ‘จัดการขยะ’ อย่างมีระบบ จูงใจผู้คน...
14/12/2024

☝️Click >> โลกเริ่มอ่อนแอ จึงต้อง ‘ช่วยกัน’ เร่งฟื้นฟู-ดูแล ทั่วโลกผุดกิจกรรมรักษ์โลก ‘จัดการขยะ’ อย่างมีระบบ จูงใจผู้คนด้วย ‘รางวัล’ สุดพิเศษ
🔎Clear >> ปี 2024 ที่กำลังจะผ่านไปนี้ เป็นปีที่เต็มไปด้วยความแปรปรวนทางธรรมชาติ คลื่นความร้อนรุนแรง และพายุโหมกระหน่ำทั่วโลก สำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งยุโรป คาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกตลอดปีนี้มีแนวโน้มจะสูงถึง 1.5 องศาเซลเซียส จึงทำให้ปี 2024 กลายเป็นปีปฏิทินแรกที่อุณหภูมิโลกทะลุขีดจำกัด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศส่วนใหญ่เกิดจากฝีมือมนุษย์ โดยมีผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากนี้องค์การสหประชาชาติได้เตือนว่า โลกอาจร้อนขึ้นมากกว่า 3 องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้ ยิ่งสร้างความตื่นตัวไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ในการเร่งหาวิธีรับมือกับผลกระทบอันเลวร้ายที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้
ด้วยเหตุนี้ทำให้หลาย ๆ ประเทศเริ่มจัดกิจกรรมรักษ์โลกเพื่อสร้างแรงจูงใจ และกระตุ้นเตือนให้ผู้คนตระหนักรู้ถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งแต่ละประเทศก็จะมีรูปแบบแตกต่างกันออกไป แต่ท้ายที่สุดเป้าหมายก็คือการถนอมโลกสีเขียวใบนี้ให้ยังคงอยู่ในสภาพที่มนุษย์ทุกคนสามารถอาศัยอยู่ได้อย่างมีความสุข
ประเทศอินโดนีเซีย เกาะชวา มีการจัดตั้งห้องสมุดเคลื่อนที่ ‘Trash Library’ หรือห้องสมุดขยะเพื่อให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ยืมหนังสือไปอ่านได้ แต่ต้องแลกกับขยะรีไซเคิล เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและสร้างการรับรู้เพื่อให้เด็กและเยาวชนเห็นความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อม
ซึ่งห้องสมุดแห่งนี้ดำเนินงานมาแล้วกว่า 5 ปี โดยมีหนังสือทั้งหมดประมาณ 6,000 เล่ม ซึ่งในแต่ละสัปดาห์ห้องสมุดแห่งนี้ได้ ‘ค่าเช่าหนังสือ’ เป็นขยะมากถึงประมาณ 100 กิโลกรัม ซึ่งจะถูกนำมาคัดแยกและขายเพื่อนำเงินไปซื้อหนังสือเล่มใหม่ต่อไป
ส่วนประเทศเดนมาร์ก โคเปนเฮเกน จัดทำโครงการ ‘CopenPay’ โดยองค์การการท่องเที่ยวโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ซึ่งมีแนวคิดให้รางวัลแก่นักท่องเที่ยวหรือนักเดินทาง ที่ทำกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและสร้างประสบการณ์ทางวัฒนธรรมให้กับนักท่องเที่ยวและผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น ด้วยการทำกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อแลกเปลี่ยนกับค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้าชมหอศิลป์ฯ พิพิธภัณฑ์ฯ การท่องเที่ยวและการกินดื่มในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ซึ่งโครงการไม่ได้มีเป้าหมายกระตุ้นการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อชดเชยและลดภาระทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมได้ เช่น
1.นักท่องเที่ยวสามารถเก็บขยะพลาสติกมาใช้แลกการเข้าร่วม workshop ฟรี!! ณ หอศิลป์แห่งชาติเดนมาร์ก
2.เดินทางท่องเที่ยวด้วยจักรยานหรือรถไฟฟ้าใต้ดิน สามารถรับกาแฟได้ฟรี!! ตามจุดที่ได้กำหนดไว้
3.นักท่องเที่ยวที่มีจิตอาสาช่วยดูแลสวนผักกลางเมือง Oens Have (สวนผักที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเหนือ) จะได้รับประทานอาหารมื้อกลางวัน 1 มื้อ ซึ่งเป็นอาหารมังสวิรัติ ฟรี!!
ในปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการ CopenPay มากถึง 24 แห่ง เช่น ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ สมาคมเรือคายัค และโรงเรียนสอนเล่นเซิร์ฟ เป็นต้น
และสำหรับ ‘ประเทศไทย’ กรุงเทพมหานคร องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศ และหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนต่าง ๆ ได้จัดทำโครงการรักษ์โลกมากมาย เช่น การประปาส่วนภูมิภาค สาขาชลบุรี จัดกิจกรรม ‘PWA ขวดแลกไข่’ เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมให้กับพนักงานในองค์กร เพื่อช่วยลดปริมาณขยะรวมถึงสร้างขยะให้มีมูลค่าเพิ่ม โดยสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานในการจัดการขยะ คัดแยกขยะ โดยนำขวดน้ำพลาสติกมาแลกไข่ไก่
หรือการจัดกิจกรรม ‘ขยะแลกไข่’ ของสำนักเขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร ซึ่งจัดขึ้นทุกวันพุธสิ้นเดือน โดยสามารถนำขยะรีไซเคิลมาแลกได้ เช่น กระดาษพิมพ์ขาว-ดำ กระดาษพิมพ์สี นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ขวดพลาสติกใสและขุ่น กล่องน้ำตาล (ลังกระดาษ) เศษเหล็ก วัสดุโลหะ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งตลอดเดือนพฤศจิกายน 67 ที่ผ่านมา สำนักงานเขตบางคอแหลมรับแลกขยะรีไซเคิลรวมแล้วประมาณ 215 กิโลกรัม โดยครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในวันที่ 25 ธ.ค. 67 เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า การลดโลกร้อนทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยเดินหน้ากันอย่างแข็งขัน เนื่องจากการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้จุดประกายสร้างแรงจูงใจรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างสร้างสรรค์ เพื่อตอกย้ำและให้ความสำคัญของการลดโลกร้อน โดยมีหลายไอเดียที่น่าสนใจซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำไปปรับใช้เพื่อสร้างแรงกระตุ้นเตือนให้กับทุกคนได้อย่างเหมาะสม
และที่สำคัญไม่อยากให้การทำกิจกรรม หรือ โครงการต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นการจัดกระตุ้นจิตสำนึกผู้คนในระยะเวลาสั้น ๆ หรือเป็นเพียงกลยุทธ์ CSR (Corporate Social Responsibility) เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของหน่วยงานหรือองค์กรเท่านั้น แต่ควรดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายการลดโลกร้อนที่ได้ตั้งปณิธานเอาไว้
ที่มา: การประปาส่วนภูมิภาค / sdgmove /
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#ขยะแลกไข่
#ไข่ไก่
#ขยะ
#รีไซเคิล

☝️Click >> กระทรวงท่องเที่ยวฯ อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยว วันที่ 1 ม.ค. - 8 ธ.ค.67 นักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนไทยทะลุ 32 ล้...
14/12/2024

☝️Click >> กระทรวงท่องเที่ยวฯ อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยว วันที่ 1 ม.ค. - 8 ธ.ค.67 นักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนไทยทะลุ 32 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1,535,154 ล้านบาท จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ท่องเที่ยวไทยมากที่สุด
🔎Clear >> กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 8 ธันวาคม 2567 พบว่าประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเที่ยวไทยแล้วทั้งสิ้น 32,719,298 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,535,154 ล้านบาท
สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยสูงสุด 5 อันดับแรก
อันดับ 1 จีน 6,325,694 คน
อันดับ 2 มาเลเซีย 4,586,284 คน
อันดับ 3 อินเดีย 1,961,246 คน
อันดับ 4 เกาหลีใต้ 1,723,423 คน
อันดับ 5 รัสเซีย 1,551,205 คน
ทางด้านนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 8 ธันวาคม 2567 ว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาสะสมแล้วกว่า 32 ล้านคน
สำหรับในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาภายหลังจากเหตุอุทกภัยในอำเภอหาดใหญ่ และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส) สิ้นสุดลงนั้น นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียกลับมาฟื้นตัวด้านการเดินทาง โดยเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 15,661 คน หรือเพิ่มขึ้น 24.58 %
ในขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) มีการปรับตัวด้านการเดินทางเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย จากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดสแกนดิเนเวีย เช่น สวีเดน นอร์เวย์ และฟินแลนด์
ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์นี้ ระหว่างวันที่ 2 - 8 ธันวาคม 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 699,129 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 7,253 คน หรือ 1.03 % คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 99,876 คน

โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ นักท่องเที่ยวจีน 111,468 คน นักท่องเที่ยวมาเลเซีย 79,386 คน การปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 24.58 % นักท่องเที่ยวรัสเซีย 47,893 คน นักท่องเที่ยวอินเดีย 46,094 คน และนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ 37,823 คน ซึ่งนักท่องเที่ยวจีน เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย มีการปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าเล็กน้อย
​​สําหรับในสัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น จากปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ การเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรปการมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีผลต่อจำนวนที่นั่งเข้าไทย (Seat Capacity) ระหว่างเดือนกรกฎาคมมาจนถึงเดือนสิ้นปี เพิ่มขึ้น 10%
การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาล ที่ช่วยเพิ่มการอํานวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจํานวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#กระทรวงท่องเที่ยว
#ประเทศไทย
#นักท่องเที่ยว

📢>> ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด จนมาถึงในวันที่คำว่า 'เป็นอมตะ' ที่เคยได้ยินจากภาพยนตร์แฟนตาซี ที่เราจะสามาร...
14/12/2024

📢>> ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด จนมาถึงในวันที่คำว่า 'เป็นอมตะ' ที่เคยได้ยินจากภาพยนตร์แฟนตาซี ที่เราจะสามารถมีรูปร่างผิวพรรณที่ยังคงเหมือนเดิมตลอดไป ไม่โรยราไปตามอายุ อาจจะเกิดขึ้นได้จริง?
เราได้เห็นมุมมองเรื่องความสวยอมตะนี้ ผ่านภาพยนตร์ไซไฟ/เฮอเรอร์ ‘The Substance’ ที่ตัวละครพยายามขัดขืนความร่วงโรยตามวัย ด้วยเทคโนโลยีที่ชื่อเดียวกับภาพยนตร์
แม้ยาที่ฉีดเพื่อสร้างร่างกายใหม่จากตัวตนเดิมใน The Substance อาจยังดูไกลเกินความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีความพยายามทางวิทยาศาสตร์ที่จะยืดอายุขัยของเราให้ยาวนานที่สุด
จากรายงานโดย Krungsri Nimble ได้เปิดเผยถึงตัวอย่างเทคโนโลยีที่อยู่ระหว่างพัฒนา เพื่อนำมนุษย์ไปสู่ความอมตะ อ้างอิง Ray Kurzweil อดีตพนักงาน Google ซึ่งปัจจุบันยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI เคยทำนายไว้ในหนังสือ The Singularity Is Near ตั้งแต่ปี 2005 ว่ามนุษย์จะบรรลุความอมตะภายในปี 2030
และนี่คือบางส่วนของเทคโนโลยีที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เพื่อเติมเต็มความเชื่อของ Kurzweil
1.การแช่แข็ง (Cryonics) เทียบกับเทคโนโลยีอื่น ๆ การแช่แข็งเพื่อรักษาสภาพของผู้ตายไว้ ให้รอจนถึงวันที่ความก้าวหน้าทางการแพทย์พร้อมเพื่อฟื้นสภาพคืนกลับมาใหม่ น่าจะเป็นเรื่องที่ใกล้ความจริงที่สุด โดยมี Peter Theil ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal และ Palantir คือหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนแนวคิดนี้
2.การแพทย์ฟื้นฟู (Regenerative Medicine) เป็นการบำบัดและยืดอายุขัยของเนื้อเยื่อที่เสื่อมหรือเสียหาย ด้วยเซลล์ต้นกำเนิด โดยสตาร์ตอัปที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีนี้ มีทั้ง Altos Labs ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก Jeff Bezos แห่ง Amazon และ Yuri Milner มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย กับ Calico ที่มี Larry Page ผู้ร่วมก่อตั้ง Google คอยหนุนหลัง
3.การตัดแต่งพันธุกรรม การดัดแปลงพันธุกรรม ด้วยเทคโนโลยี CRISPR เป็นอีกแนวคิดในการเปลี่ยนโครงสร้างร่างกาย และแก้ไขข้อบกพร่องในพันธุกรรม เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงความเป็นไปได้ในการยืดอายุมนุษย์ออกไป
ปัจจุบัน มีสตาร์ตอัปหลายรายที่มุ่งพัฒนาด้านนี้โดยตรง อาทิ Beam Therapeutics ที่เข้า NASDAQ สำเร็จตั้งแต่ปี 2020
4.ความอมตะแบบดิจิทัล (Mind Uploading) Richard Branson แห่ง Virgin Group คือผู้สนับสนุนแนวคิดการก้าวข้ามข้อจำกัดเรื่องกายภาพ ด้วยการโอนถ่าย ความทรงจำ จิตใจ ความรู้ และความคิดของบุคคล ไปสู่แบบจำลองดิจิทัล ผ่านโปรเจกต์ที่ชื่อ AI Foundation ซึ่งในแง่หนึ่ง อาจไม่ใช่การรักษาหรือยืดอายุมนุษย์โดยตรง แต่ก็สามารถสานต่อความคิดไปสู่ผู้อื่นในรูปแบบดิจิทัลแทนได้
5.นาโนบอท (Nanobots/Microscopic Robots) เป็นแนวคิดการใช้หุ่นยนต์ขนาดเล็กระดับที่เดินทางในกระแสเลือดของเรา เพื่อเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซึ่งต้องมีความแข็งแรงในระดับที่สามารถทำหน้าที่ได้ก่อนถูกทำลาย แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องย่อยสลายได้หลังจบภารกิจ โดยสตาร์ตอัปที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีนี้อยู่ ได้แก่ Bionautlabs (สหรัฐฯ) และ Nanorobotics (อิสราเอล)
ที่มา: Krungsri Nimble
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#อมตะ
#ชีวิตอมตะ
#เทคโนโลยี

📢>> ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าขบคิดอย่างจริงจัง สำหรับเรื่อง PM2.5 ที่ปัจจุบันนี้มีผลงานวิจัยมากมายยืนยันแล้วว่าเป็นอัน...
14/12/2024

📢>> ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าขบคิดอย่างจริงจัง สำหรับเรื่อง PM2.5 ที่ปัจจุบันนี้มีผลงานวิจัยมากมายยืนยันแล้วว่าเป็นอันตรายต่อชีวิตของมนุษย์อย่างมาก และแทบจะเป็นปัจจัยหลักในการวางแผนครอบครัวและการมีลูก
นักแสดงชื่อดังอย่าง ‘โตโน่’ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ผู้ซึ่งทำโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมมานานหลายปี ได้ออกมาพูดถึงประเด็นนี้ด้วย โดยเมื่อนักข่าวถามถึงการสร้างครอบครัวกับสาวหวานใจ ‘ณิชา’ หนุ่มโตโน่ก็ตอบนักข่าวทันทีว่า…
“เราเคยพูดเล่น ๆ กับณิชาว่า ถ้ายังมีฝุ่น PM2.5 อยู่ และถ้าประเทศของเรายังติด 1 ใน 10 ของประเทศที่ทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดในโลกอยู่ เราอย่าเพิ่งมีครอบครัว อย่าเพิ่งมีลูกเลย เพราะถ้าเรามีลูกเราก็ไม่อยากให้ลูกต้องสูดอากาศนั้นเข้าไป…
“อันนี้คือเราพูดให้เห็นภาพรวมจริง ๆ ว่าเวลาเราเกิดโลกเดือดขึ้นมา โลกร้อนขึ้นมา คนมีเงินเขาไม่ลำบาก เพราะถ้าบ้านเราร้อนเราก็เปิดแอร์ และขับรถยนต์ไปทำงาน แต่คนลำบากคือคนที่ไม่มีเงิน เขาต้องมาจ่ายค่าไฟเพิ่ม มาหาเงินซื้อรถยนต์ เพราะว่าขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ไหว ซึ่งปัญหาต่าง ๆ มันก็จะตามมา ผมก็เลยคิดว่าให้เราช่วยกัน ไม่ว่าเราจะมีหรือจะจนก็อยากให้ช่วยกันในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เพื่อที่เราจะได้วางแผนครอบครัวในรูปแบบใหม่…
โตโน่ยังบอกอีกว่า “ซึ่งณิชาเห็นด้วย เขาก็บอกว่าก็จริง เขาก็เห็นด้วย ซึ่งน้องก็กำลังมีไฟในการทำงาน ตัวเราก็กำลังมีพลังมาก ๆ อยากให้โฟกัสในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ ยังไม่อยากมาคิดถึงเรื่องของเรามากนัก ถ้าแต่งงานไปแล้วจะไม่มีลูก ถ้าสิ่งแวดล้อมยังไม่ดี เราก็จะลำบาก…
“ส่วนเรื่องแต่งงาน เรายังไม่ได้กำหนดว่าจะต้องแต่งตอนไหน ทุกวันนี้ก็มีความสุขในทุกวันอยู่แล้ว ผมโชคดีมาก ๆ ที่มีณิชาในชีวิต แต่ว่าแผนการแต่งงานยังไม่ได้คุยกันเลย แต่เรื่องลูกคุยกันจริง ๆ ว่าถ้าแต่งงานแล้ว อากาศสิ่งแวดล้อมยังไม่ดี เราอยากทำให้เต็มที่ก่อน แต่ถ้าเกิดเราทำเต็มที่แล้ว และเราแก้ไม่ได้ เราสู้ไม่ไหว ค่อยมาตัดสินใจมีลูกตอนนั้นก็ไม่ยาก”
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#โตโน่
#ภาคินคำวิลัยศักดิ์
#อากาศพิษ
#ฝุ่นพิษ
#สิ่งแวดล้อม

☝️Click >> ‘เกาหลีใต้’ เร่งเครื่อง ‘เกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ ออกพระราชบัญญัติส่งเสริมเกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแ...
13/12/2024

☝️Click >> ‘เกาหลีใต้’ เร่งเครื่อง ‘เกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ ออกพระราชบัญญัติส่งเสริมเกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าจาก 5.2% เป็น 10% ภายในปี 2025 พร้อมทุ่มทุน-เทคโนโลยีหนุนเกษตรกรภายในประเทศด้วย
🔎Clear >> การเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการช่วยลดก๊าซคาร์บอนฯ ซึ่งเป็นส่วนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก โดยหลาย ๆ ประเทศก็เริ่มเร่งเครื่องดำเนินการแล้ว ซึ่ง ‘เกาหลีใต้’ ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ล่าสุด ‘รัฐบาลเกาหลีใต้’ ได้ออกพระราชบัญญัติส่งเสริมเกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่เกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจาก 5.2% เป็น 10% ภายในปี 2025 พร้อมทั้งสนับสนุนเงินทุนและเทคโนโลยีให้เกษตรกรด้วย
โดยนโยบายดังกล่าวครอบคลุมมาตรการต่าง ๆ เช่น การให้เงินอุดหนุนแก่เกษตรกรที่เปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์หรือลดการใช้สารเคมี การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการจัดตั้งระบบรับรองผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
มาตรการสำคัญมาตรการหนึ่งคือ การส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมจะได้รับเงินอุดหนุนสำหรับการติดตั้งเทคโนโลยีสีเขียว เช่น ระบบพลังงานหมุนเวียน และสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้ โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการดำเนินงานของเกษตรกร รวมถึงสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการขายคาร์บอนเครดิต
ความสำเร็จในการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เกิดขึ้นแล้วที่ฟาร์มปลูกพริกหวานในจังหวัดคยองกี ที่เปลี่ยนจากการใช้หม้อต้มน้ำมันดีเซลมาใช้ระบบปั๊มความร้อนใต้ดิน สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 1,002 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในเวลาสามปี นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงร้อยละ 50 และเพิ่มผลผลิตได้ร้อยละ 10 เนื่องจากสามารถควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนได้แม่นยำมากขึ้น แม้จะมีต้นทุนเริ่มต้นสูงถึง 200 ล้านวอน แต่รัฐบาลได้สนับสนุนเงินอุดหนุนร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด
อีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจคือฟาร์มมะเขือเทศเชอร์รี่ที่ได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ โดยใช้เทคนิคการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหลายอย่าง เช่น การใช้ม่านฉนวนหลายชั้นในโรงเรือนเพื่อลดการใช้พลังงาน การใช้เทคนิคการไม่ไถพรวนดินเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากดิน การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองจากเศษวัสดุทางการเกษตร และการใช้วิธีการควบคุมศัตรูพืชแบบผสมผสาน ส่งผลให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึงร้อยละ 84 เมื่อเทียบกับการผลิตแบบทั่วไป
นอกจากการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรกรยังได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนต่ำสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป 2-3 เท่า โดยเฉพาะในตลาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โรงเรียนและหน่วยงานราชการ นอกจากนี้ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์และการลดการใช้สารเคมียังช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพดีขึ้น มีรสชาติดีขึ้น และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลเกาหลีใต้ยังส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคเกษตรอย่างจริงจัง โดยสนับสนุนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนโรงเรือนเกษตร การพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลในฟาร์ม และการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือไฮโดรเจน มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานให้กับเกษตรกรในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรกรรมหมุนเวียนยังมีความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะต้นทุนเริ่มต้นที่สูงในการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ และการขาดความรู้และทักษะของเกษตรกรในการใช้เทคโนโลยีและวิธีการใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายในการสร้างการยอมรับจากผู้บริโภคและการพัฒนาตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีในระดับท้องถิ่น และให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เกษตรกรผ่านกองทุนพิเศษ นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำโครงการรณรงค์ให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความสำคัญของผลิตภัณฑ์การเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการวางแผนและดำเนินโครงการต่าง ๆ
มองย้อนกลับมายัง ‘ประเทศไทย’ บทเรียนสำคัญที่จะพาการเกษตรไทยไปถึงจุดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะต้องมีการกำหนดเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจน และการบูรณาการนโยบายด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะการพัฒนากรอบกฎหมายที่ครอบคลุมและการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ควรพิจารณาการพัฒนาระบบรับรองผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำและการส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในภาคเกษตร การนำบทเรียนจากเกาหลีใต้มาปรับใช้จะต้องคำนึงถึงบริบทที่แตกต่างของประเทศไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศเกษตร
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ของเกาหลีใต้แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรกรรมที่ยั่งยืนสามารถสร้างประโยชน์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ หากมีการวางแผนที่ดีและได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และชุมชนเกษตรกร ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในระยะยาว
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#การเกษตร
#เกาหลีใต้
#สิ่งแวดล้อม

☝️Click >> ผลวิจัยใหม่จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียของสหรัฐฯ ที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Science Advances ประมาณการการเสียชีวิตของผู้...
13/12/2024

☝️Click >> ผลวิจัยใหม่จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียของสหรัฐฯ ที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Science Advances ประมาณการการเสียชีวิตของผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปีเพิ่มขึ้น 32% หากไม่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างจริงจัง
🔎Clear >> แม้ความร้อนจัดที่เกิดจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน จะถูกมองว่า เป็นปัญหาที่น่าห่วงต่อประชากรกลุ่มเปราะบาง อย่าง ผู้สูงอายุ แต่ผลการวิจัยใหม่ของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่ตีพิมพ์ใน วารสาร Science Advances ระบุว่า ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี จะต้องทนทุกข์ทรมานจากการเสียชีวิตจากความร้อนเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น โดยการศึกษานี้คาดการณ์อีกว่า การเสียชีวิตของผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี จะเพิ่มขึ้น 32% ในศตวรรษนี้จากความร้อน หากไม่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างมีนัยสำคัญ
Andrew Wilson นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งเป็นผู้นำทีมนักวิจัยอีก 9 คนในการศึกษานี้ เผยว่า การศึกษานี้ได้อ้างอิงจากข้อมูลของการเสียชีวิตในเม็กซิโก ซึ่งมีระบบการบันทึกข้อมูลการเสียชีวิตอย่างละเอียดและครอบคลุม ประกอบกับการมีอุณหภูมิแบบกระเปาะเปียก (Wet bulb temperatures) ที่สูง ซึ่งเป็นการวัดอุณหภูมิที่คำนึงถึงทั้งอุณหภูมิและความชื้นในอากาศ เพื่อประเมินระดับความเครียดจากความร้อนที่ส่งผลต่อมนุษย์
นักวิจัย พบว่าในช่วง 2 ทศวรรษ จนถึงปี 2019 ที่ผ่านมา การเสียชีวิตจากความร้อนราว 75% เกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี ขณะที่การเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะอากาศหนาวเกือบทั้งหมดอยู่ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
งานวิจัย ยังเสนอแนะอีกด้วยว่า แนวโน้มในลักษณะที่คล้ายกันนี้อาจเกิดขึ้นในหลายประเทศอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป เนื่องจากประชากรในประเทศเหล่านี้มีลักษณะการตอบสนองต่ออุณหภูมิที่คล้ายคลึงกัน
ถึงกระนั้น ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของคนหนุ่มสาวต่ออุณหภูมิที่สูง ดูจะไม่ได้มีคำตอบเดียวที่ชัดเจน แต่นักวิจัยระบุว่า หลายปัจจัยมีบทบาทสำคัญ เช่น ความแตกต่างทางสรีรวิทยา เนื่องจากทารกยังไม่สามารถขับเหงื่อเพื่อระบายความร้อนได้และต้องพึ่งพาผู้ดูแลอย่างมาก ตลอดจนความเสี่ยงจากการประกอบอาชีพ อย่าง ประชากรวัยทำงานที่ต้องทำงานหนักกลางแจ้ง เช่น การทำงานในภาคการเกษตรและการก่อสร้าง
ขณะที่ Sameed Khatana แพทย์และนักวิจัยของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย กล่าวถึงประเด็นนี้ด้วยเช่นกันว่า คนอายุน้อยมักสัมผัสกับความร้อนจากที่ทำงาน โรงเรียน และการทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งทำให้พวกเขาอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไม่สมดุล ซึ่งนี่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการคิดหามาตรการที่มุ่งเป้า เช่น การให้คนงานที่ทำงานในสภาพอากาศร้อนได้พักเบรกหรือการปรับเปลี่ยนเวลาการแข่งขันกีฬาเพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนจัด
อย่างไรก็ตาม ด้าน Kristie Ebi นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เผยว่า แม้การสัมผัสกับอุณหภูมิสูงเป็นประจำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพ แต่ในทางกลับกันก็สามารถช่วยให้ร่างกายปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ดีขึ้น พร้อมเสริมว่า ยังต้องมีการศึกษามากขึ้นเพื่อทำความเข้าใจรูปแบบเหล่านี้อย่างชัดเจน และอาจขยายขอบเขตการวิจัยเกี่ยวกับการปรับตัวให้ครอบคลุมกลุ่มประชากรในประเทศอื่น ๆ ต่อไป
ที่มา: theguardian
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#อากาศร้อน
#ฮีตสโตรก

☝️Click >> ‘เพรียงหัวหอม’ แหล่งอาหารในอนาคต ‘นอร์เวย์’ เตรียมส่งออกทั่วยุโรป โปรตีนสูง เลี้ยงง่าย ไม่ปล่อยคาร์บอนทำลายโล...
13/12/2024

☝️Click >> ‘เพรียงหัวหอม’ แหล่งอาหารในอนาคต ‘นอร์เวย์’ เตรียมส่งออกทั่วยุโรป โปรตีนสูง เลี้ยงง่าย ไม่ปล่อยคาร์บอนทำลายโลก
🔎Clear >> แม้อัตราการเกิดทั่วโลกจะลดลงอย่างน่าใจหาย แต่จำนวนประชากรโลกก็ยังคงมีจำนวนมาก สวนทางกับ ‘แหล่งอาหาร’ ที่เริ่มจะลดน้อยลงไปทุกขณะ ประกอบกับการผลิตอาหารหลายชนิดก็ทำให้เกิด ‘ก๊าซเรือนกระจก’ มหาศาล ทำให้มนุษย์พยายามเร่งหาอาหารชนิดอื่น ๆ ที่มีคุณค่าทางโภชนาและไม่ทำให้โลกร้อน และที่สำคัญต้องมีรสชาติอร่อยไม่ต่างจากเนื้อสัตว์ และหนึ่งในนั้นก็คือ ‘เพรียงหัวหอม’ สัตว์รูปร่างประหลาดจากท้องทะเล
‘เพรียงหัวหอม’ (Sea Squirts) กำลังเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมอาหารของนอร์เวย์ และกำลังถูกนำไปทดลองในร้านอาหารหลายแห่ง และอาจกลายเป็นเมนูโปรดของหลาย ๆ คน โดยเฉพาะ ‘เบอร์เกอร์เนื้อเพรียงหัวหอม’ ซึ่งเป็นผลงานของ Pronofa Asa สตาร์ตอัปในสแกนดิเนเวีย และบริษัทวิจัย Marine Taste ของสวีเดน ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อผลิตแหล่งโปรตีนใหม่และยั่งยืน
Pronofa Asa วางแผนที่จะวางขายเนื้อเพรียงหัวหอมในซูเปอร์มาร์เก็ตในนอร์เวย์และสวีเดนก่อนสิ้นปี 2024 และตั้งเป้าที่จะขยายไปทั่วยุโรปในปีถัดไป โดยความฝันสูงสุด คือ หวังว่าเพรียงหัวหอมจะอยู่ในระดับเดียวกับอุตสาหกรรมปลาแซลมอนในนอร์เวย์
สำหรับ ‘เพรียงหัวหอม’ เป็นสัตว์ทะเลมีแกนสันหลัง รูปร่างคล้ายหัวหอม อุดมไปด้วยโปรตีนโดยธรรมชาติ และสามารถใช้เป็นอาหารทางเลือกสำหรับปลา สัตว์ และมนุษย์ได้ โดยสัตว์ทะเลชนิดนี้มีรสชาติอูมามิและมีเนื้อสัมผัสคล้ายปลาหมึก สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลาย
นอกจากจะมีโปรตีนสูงแล้ว เพรียงหัวหอมยังถือเป็นอาหารที่ยั่งยืนอย่างยิ่ง เพราะการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงเพรียงหัวหอมแทบไม่ต้องอาศัยปัจจัยการผลิตอะไรเลย ใช้เพียงแค่เชือกสำหรับเพาะตัวอ่อน และหย่อนลงไปในทะเล ซึ่งคล้ายกับการเพาะเลี้ยงหอยนางรมหรือหอยแมลงภู่
พวกมันอาศัยการกรองสารอาหารจากน้ำทะเล และสามารถเติบโตบนพื้นผิวที่เป็นของแข็งได้ เมื่อพวกมันโตได้ที่ก็เพียงแค่ดึงพวกมันขึ้น แกะออกจากเชือกแล้วนำไปแปรรูปต่อ ดังนั้นการเลี้ยงเพรียงหัวหอมจึงแทบไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเลย
แม้จะผสมเนื้อเพรียงกับเนื้อสับชนิดอื่นก็จะทำให้ค่า CO2e รวมของผลิตภัณฑ์ลดลงอย่างมาก และผู้บริโภคส่วนใหญ่คงไม่สามารถบอกความแตกต่างของเนื้อสัมผัสได้
อย่างไรก็ตาม เพรียงหัวหอมและเพรียงชนิดต่าง ๆ มักถูกมองว่าเป็นสายพันธุ์รุกราน เนื่องจากสามารถพบพวกมันได้ตามท่าเทียบเรือ เชือก ทุ่น คันเรือทั่วโลก แต่ขณะเดียวกันก็มีประโยชน์กับระบบนิเวศที่พวกมันอาศัยอยู่ ทำหน้าที่กรองไนโตรเจนออกจากน้ำทะเล
หนึ่งในปัญหาของการเกษตรกรรมในปัจจุบัน ก็คือไนโตรเจนส่วนเกินซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งเมื่อไหลลงสู่ทะเลจะทำให้สาหร่ายเติบโตมากเกินไป ดังนั้นบริเวณที่มีฟาร์มเลี้ยงเพรียงจะช่วยให้มหาสมุทรใสสะอาด โดยโอลเซนกล่าวว่า บริเวณฟาร์มของเขาน้ำทะเลใสดุจคริสตัล และมองเห็นได้ไกลถึง 30 เมตร
สำหรับสายพันธุ์เพรียงหัวหอมที่ Pronofa นำมาเพาะเลี้ยงนั้นเป็นสายพันธุ์ที่เติบโตตามธรรมชาติตามแนวชายฝั่งของสวีเดน และนอร์เวย์ ซึ่งฟยอร์ดและแนวชายฝั่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำประเภทนี้ และบริษัทได้ยื่นขอใบอนุญาตหลายฉบับ โดยมีการควบคุมอุณหภูมิและปัจจัยทางชีวภาพบางประการเพื่อให้การเพาะเลี้ยงเพรียงได้ผลดียิ่งขึ้น จนในตอนนี้สามารถเพาะเลี้ยงเพรียงหัวหอมได้ปริมาณมาก เพียงพอที่จะส่งออกนอกภูมิภาคสแกนดิเนเวีย
สหประชาชาติคาดว่าประชากรโลกจะเกิน 9,700 ล้านคนภายในปี 2050 ดังนั้น จำเป็นต้องเพิ่มผลผลิตอาหารทั่วโลก 60-70% แต่ปัญหาคือ วิกฤติสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นไม่ได้เลยที่การผลิตอาหารแบบดั้งเดิมจะไม่ทำให้โลกร้อนขึ้น
ในฐานะซีอีโอของ Pronofa โอลเซนกล่าวว่า “จำเป็นต้องใช้มีแหล่งโปรตีนแบบดั้งเดิม เช่น ถั่วเหลืองจากแหล่งที่ยั่งยืน และแหล่งโปรตีนทางเลือก เพื่อไม่ให้ใครต้องอดอาหารในอนาคต ทั้งสองแหล่งนี้จะต้องเสริมซึ่งกันและกัน และต้องใช้ให้เหมาะสมในจุดประสงค์ที่แตกต่างกันซึ่งเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ”
ในสถานการณ์นี้ ‘เนื้อเพรียงหัวหอม’ จึงไม่ใช่เพียงคู่แข่งอุตสาหกรรมอาหารเท่านั้น แต่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของอาหารแห่งอนาคตที่ยั่งยืน และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#เพรียงหัวหอม
#นอร์เวย์
#คาร์บอนไดออกไซด์

ที่อยู่

165 สุขุมวิท 62/1 พระโขนงใต้ พระโขนง, Bangkok, Thailand, Bangkok
Phra Khanong
10260

เบอร์โทรศัพท์

+66814395533

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The States Times EARTHผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The States Times EARTH:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ


บริษัทด้านสื่อ/ข่าวสาร อื่นๆใน Phra Khanong

แสดงผลทั้งหมด