Common Room เพจด้านสื่อความบันเทิง ข่าวสารประจำวัน
(3)

นาวิกโยธินสหรัฐได้ประคองทารกน้อยที่ใกล้เสียชีวิตจากถ้ำที่อยู่ในป่าบนเกาะไซปัน ค.ศ. 1944ภาพๆนี้มีทั้งความรู้สึกอ่อนโยนและ...
30/06/2021

นาวิกโยธินสหรัฐได้ประคองทารกน้อยที่ใกล้เสียชีวิตจากถ้ำที่อยู่ในป่าบนเกาะไซปัน ค.ศ. 1944
ภาพๆนี้มีทั้งความรู้สึกอ่อนโยนและความสยดสยองของสงคราม นาวิกโยธินอเมริกันได้ประคองทารกที่ใกล้จะเสียชีวิต ซึ่งถูกนำออกมาจากใต้ก้อนหินจากถ้ำที่อยู่ในป่าบนเกาะไซปัน ในปีค.ศ. 1944
ทารกน้อยคนนี้เป็นคนเดียวที่พบว่ายังมีชีวิตอยู่ ท่ามกลางซากศพนับร้อยในถ้ำ การต่อสู้ที่เกาะไซปันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหนึ่งในการต่อสู้ที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก พลเรือนและทหารญี่ปุ่นได้ทำการฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมาก พวกเขาตัดสินใจกระโดดลงจากหน้าผาเพราะกลัวว่าชาวอเมริกันจะจับตัวพวกเขาไป
สหรัฐอเมริกาได้ประกาศว่าเกาะไซปันเป็นเขตุปลอดภัย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 หลังจากการสู้รบได้สังหารกองทหารญี่ปุ่นไป 30,000 นายและสังหารชาวเกาะ Chamorro และ Carolinian ถึง 12,000 คนซึ่งรวมกับพลเรือนชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบนเกาะด้วย
สงคามบนเกาะนี้ ได้รับขนานามว่า สงครามที่ปราศจากความเมตตา เป็นการต่อสู้ที่อัดแน่นไปด้วยทัศนคติของชาตินิยม จนการต่อสู้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว แต่ทว่าทหารญี่ปุ่นก็ยังซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้บนเกาะ พวกเขายังคงไม่ยอมแพ้และพยายามโจมตีกองทหารสหรัฐอยู่เรื่อยๆ ในที่สุดกัปตัน Oba ที่เป็นผู้นำในการรบบนเกาะไซปันของทหารญี่ปุ่น ก็ได้ออกมายอมจำนน ในปี ค.ศ. 1945
พลเรือนญี่ปุ่นได้ทำการฆ่าตัวตายไปประมาณ 1,000 คน โดยกระโดดลงมาจากหน้าผา ซึ่งต่อมาหน้าผาตรงนั้นก็ถูกขนานนามว่า ผาฆ่าตัวตาย หรือ ผาบันไซ และในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายมาเป็นอนุสรณ์สถาน ที่คนญี่ปุ่นจะมาเยี่ยมเยียนเพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิตในสงครามครั้งนั้น
Source : https://bit.ly/3qzGEDP

ทหารอเมริกาได้ยื่นมือช่วยผู้หญิงออกจากถ้ำหลบภัยพร้อมกับลูกของเธอ ปี ค.ศ. 1944ภาพๆนี้ถูกถ่ายในระหว่างการสู้รบบนเกาะไซปัน ...
30/06/2021

ทหารอเมริกาได้ยื่นมือช่วยผู้หญิงออกจากถ้ำหลบภัยพร้อมกับลูกของเธอ ปี ค.ศ. 1944
ภาพๆนี้ถูกถ่ายในระหว่างการสู้รบบนเกาะไซปัน ซึ่งการต่อสู้ในครั้งนั้นได้คร่าชีวิตพลเรือนญี่ปุ่นไปถึง 22,000 คน และทหารญี่ปุ่นอีก 30,000 นาย ได้ถูกฆ่าตาย ส่วนทางด้านฝั่งของทหารอเมริกัน เสียชีวิต 3,426 นาย และบาดเจ็บอีกมากกว่า 13,000 นาย
การสู้รบในครั้งนี้ ทหารอเมริกันต้องเจอกับความยากลำบากเป็นอย่างมาก เนื่องจากทหารญี่ปุ่นนั้นสู้ตายถวายชีวิต และพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้ทหารอเมริกันจับตัวไป เนื่องจากจักรพรรดิฮิโรฮิโตะสั่งให้พลเรือนฆ่าตัวตายดีกว่าถูกพาตัวไป หลังจบสงครามมีการตั้งคำถามว่าคำสั่งได้ถูกปลอมแปลงขึ้นมาหรือไม่ ซึ่งจากการรวบรวมหลักฐานก็มีแนวโน้มว่าคำสั่งนี้ได้ถูกปลอมแปลงขึ้นมา
พลเรือนไม่เพียงแต่กลัวสงครามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นบอกทุกคนว่าชาวอเมริกันจะข่มขืนและฆ่าพวกเขาหากถูกจับ รวมถึงถ้าหากต้องการที่จะเข้าร่วมเป็นนาวิกโยธินของสหรัฐ พวกเขาต้องฆ่าพ่อแม่ของตน ซึ่งทางอเมริกาได้ให้บริการอาหารและการพาไปยังที่ปลอดภัย แต่พลเรือนหลายคนไม่สนใจเราพราะกลัวทหารของทางฝั่งอเมริกา
มีการรายงานว่าหากนาวิกโยธินอเมริกันเข้ามาในบังเกอร์หรือที่พักพิงใต้ดิน พวกเขาจะไม่ถามคนที่อยู่ในนั้นว่าเป็นพลเรือนหรือเป็นทหาร แต่พวกเขาจะใช้เครื่องพ่นไฟยิงเข้าไปในนั้นทันที ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามีพลเรือนอยู่ พลเรือนก็อาจจะได้รับอันตราย โดยมีการบันทึกถึงเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้งนับตั้งแต่หลังจากเหตุการณ์ที่เพิร์ลฮาร์เบอร์
Source : https://bit.ly/3hcxQ2q

กัปตัน Nieves Fernandez ได้แสดงวิธีการให้ทหารอเมริกันดูถึงวิธีการลอบสังหารทหารญี่ปุ่น ปี ค.ศ. 1944ภาพถ่ายนี้ถ่ายโดย Stan...
29/06/2021

กัปตัน Nieves Fernandez ได้แสดงวิธีการให้ทหารอเมริกันดูถึงวิธีการลอบสังหารทหารญี่ปุ่น ปี ค.ศ. 1944
ภาพถ่ายนี้ถ่ายโดย Stanley Troutman ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 1944 คนขวาคือ กัปตัน Nieves Fernandez กำลังแสดงวิธีการลอบสังหารทหารญี่ปุ่น โดยให้ผู้หญิงทางด้านซ้ายที่ชื่อ Andrew Lupiba เป็นผู้นำกองโจรหญิงชาวฟิลิปปินส์กำลังโชว์ให้ดูว่าเธอทำการสังหารได้อย่างไร
กัปตัน Nieves Fernandez ได้ทำงานร่วมกับหัวหน้ากองโจรหญิงทางใต้ของทาโคลบาน โดยเธอได้ระดมคนชาวพื้นเมือง 110 คนเพื่อต่อต้านทหารชาวญี่ปุ่น โดยกองโจรนี้ได้ทำการสังหารชาวญี่ปุ่นไปมากกว่า 200 คนด้วยกัน ซึ่งพวกเธอใช้อาวุธมีดเป็นหลัก และปืนลูกซองที่ทำมาจากท่อแก๊ส
หัวหน้ากองโจรหญิงได้ถูกทหารญี่ปุ่นตั้งค่าหัวไว้ถึง 10,000 เปโซ ความเก่งกาจของเธอนั้นดูได้จากการที่เธอได้รับบาดเจ็บเพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งตอนนั้นเธอถูกซุ่มยิง รอยแผลเป็นจากกระสุนปืนสามารถมองเห็นได้ที่ปลายแขนขวาของเธอ
มีดที่เพื่อนๆเห็นในภาพนี้ชาวฟิลิปปินส์เรียกอาวุธนี้ว่า โบโล จริงๆแล้วมีดนี้การใช้งานหลักของมันคือการถางพืช คล้ายๆกับมีดไดหญ้าบ้านเรา ส่วนใหญ่จะใช้ในการเกษตร เนื่องจากความคุ้นชินในการใช้งาน มีดโบโลจึงกลายเป็นตัวเลือกเเรกของอาวุธสำหรับชาวพื้นเมือง บวกกับวัฒนธรรมของชนเผ่าในระแวกนั้นที่ใช้มีดในการสังหารศัตรู
วัฒนธรรมของชนเผ่าในฟิลิปปินส์เกี่ยวกับการตัดศีรษะศัตรูและการทำพิธีกรรมมนต์ดำกับศีรษะได้ถูกสืบทอดกันมาอย่างยาวนานในจังหวัดทางตอนเหนือของเกาะลูซอน โดยคนที่เป็นนักรบจะถูกทำการสักบนร่างกายเพื่อเป็นตัวแทนของการล่าศัตรู
การไล่ล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แทนที่จะใช้ปืนเข้าห้ำหั่นศัตรู แต่นักรบชาวฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่ไม่ใช้ครับ พวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ในป่าและซุ่มโจมตีชาวญี่ปุ่น พวกเขาจะนำศีรษะของศัตรูกลับไปที่เผ่าของพวกเขาด้วยเพื่อทำพิธีมนต์ดำกับศีรษะเหล่านั้น จากนั้นพวกเขาก็นำศีรษะของศัตรูไปปักบนหนามแหลมไว้ข่มขวัญ เพื่อเป็นการป้องกันการโจมตีในอนาคต แม้แต่ทุกวันนี้รัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ยังเกรงกลัวดินแดนชนเผ่าทางเหนือเหล่านี้อยู่เลย
วิธีการสังหารของชนเผ่ากองโจรในฟิลิปปินส์นั้น มันเป็นการลอบสังหารที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหยื่อบางคนนั้นเสียชีวิตก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกตัวเสียอีก เทคนิคที่เธอแสดงให้เห็นในภาพนี้คือการตัดหลอดเลือดแดงในลำคอกับสมองไปพร้อมๆกัน
เคล็ดลับคือการแทงเข้าไปที่ลำคอ จากนั้นดันใบมีดเข้าประมาณ 2 นิ้ว ให้ด้านแหลมแทงขึ้นไปด้านบนตรงใต้กลีบหูและบิดใบมีด 90 องศา การทำแบบนี้ทำให้สมองของเหยื่อหยุดการทำงาน และเหยื่อจะหมดสติในทันที รวมถึงการบิดของใบมีดตรงลำคอทำให้เหยื่อไม่มีอากาศหายใจและไม่สามารถกรีดร้องได้ หากไม่มีอะไรผิดพลาดสิ่งเดียวที่เหยื่อจะทำได้คือการดิ้นต่อสู้ทางร่างกายเท่านั้น นับได้ว่าเป็นวิธีการสังหารที่มีประสิทธิภาพ เงียบเชียบ และก็น่ากลัวเป็นอย่างมากในคราวเดียวกัน
Source : https://bit.ly/3h4NdeB

การเต้นรำของเจ้าหญิงไดอาน่าและจอห์น ทราโวลตา ในปี ค.ศ.1985.เจ้าหญิงไดอาน่าเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ค...
29/06/2021

การเต้นรำของเจ้าหญิงไดอาน่าและจอห์น ทราโวลตา ในปี ค.ศ.1985.
เจ้าหญิงไดอาน่าเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1985 กับพระสวามีเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ทั้งสองประทับอยู่ที่ทำเนียบขาว ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้เข้าร่วมงานกาล่าดินเนอร์ในวันที่ 9 พฤศจิกายน.
เจ้าหญิงไดอาน่าทรงถ่ายรูปขณะกำลังเต้นรำกับนักแสดง จอห์น ทราโวลตา กับเพลงประกอบภาพยนตร์ Saturday Night Fever ในปี 1977 ภาพถ่ายและฟุตเทจทางโทรทัศน์ของพวกเขาทั้งสอง ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกอย่างแพร่หลาย และชุดดังกล่าวกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “Travolta dress”
ผู้เข้าร่วมงานปาร์ตี้แห่งนี้ต่างเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงกันแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นTom Selleck, Gloria Vanderbilt, Estée Lauder, Mikhail Baryshnikov และนักร้องโอเปร่า Leontyne Price ซึ่งบางคนในที่นี้ก็ได้รับคำเชิญส่วนตัวจากเจ้าหญิงไดอาน่าเอง รวมถึงผู้ที่ได้รับเชิญจาก จอห์น ทราโวลตา ด้วย เช่น Clint Eastwood และ Neil Diamond
จริงๆแล้วเจ้าหญิงไดอาน่าเกือบจะไม่ได้เต้นรำคู่กับทราโวลตาแล้ว พราะจริงๆแล้วเจ้าหญิงไดอาน่าเตรียมตัวมาเต้นรำกับนักเต้นบัลเลต์ชื่อดังชาวรัสเซียที่ชื่อว่า Mikhail Baryshnikov แต่ในตอนนั้นแนนซี่ เรแกน ได้เข้าไปบอกกับ จอห์น ทราโวลตา ว่าเจ้าหญิงแห่งเวลส์ต้องการเต้นรำกับเขา คนทั้งโลกจึงได้เห็นการเต้นรำคู่กันของทั้งสอง
ทราโวลตาได้พูดถึงช่วงเวลาในตอนนั้นว่ามันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต และเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ ผมเอามือแตะไหล่ของเธอแล้วพูดว่า 'คุณอยากเต้นไหม' เธอหันกลับมาและก้มหน้าตามแบบของเลดี้ไดอาน่า แล้วเราก็เต้นรำกันประมาน 15 นาที เขาเล่าถึงเหตุการณ์นี้ในปี 2007
ชุดของเจ้าหญิงไดอาน่าได้รับการออกแบบโดยวิกเตอร์ เอเดลสไตน์ และเป็นชุดราตรีกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่มีส่วนเว้าตรงไหล่ ซึ่งจริงๆแล้วชุดนี้เอ็ดเวิร์ดได้แรงบันดาลใจมาจากชุดแฟชั่นสมัยเอ็ดเวิร์ดทำชุดนี้ให้กับนักข่าวที่ชื่อ Jackie Modlinger เขาอธิบายว่าชุดนี้มันเป็นสไตล์ที่น่าทึ่ง และ เนื้อผ้าก็ดูสง่างามเป็นอย่างมาก
เจ้าหญิงไดอาน่าทรงสวมชุดนี้อีกครั้งที่เยอรมนีในเดือนธันวาคมปี ค.ศ.1987 และในรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่องวอลล์สตรีทในเดือนเมษายนปี ค.ศ.1988 เธอสวมชุดดังกล่าวสำหรับภาพถ่ายบุคคลอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายซึ่งถ่ายโดยเอิร์ลแห่งสโนว์ดอนอาของเจ้าชายชาร์ลส์ในปี ค.ศ.1997
ต่อมาในปี 2019 ชุดนี้ก็ถูกขายในราคา 325 ดอลลาร์ หรือ 317 ดอลลาร์ ให้กับพระราชวังประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่รับผิดชอบในการจัดการของที่ระลึกหลวงรวมถึงโบราณวัตถุและเสื้อผ้าของราชวงศ์
Source : https://bit.ly/3x4zhqe

ภาพถ่ายของราชินีเพลงป็อบ ในตอนที่เธอยังไม่มีชื่อเสียงปี ค.ศ. 1978-1979Madonna เธอเกิดในปี ค.ศ. 1958 ในเมืองเบย์ซิตี้ รัฐ...
28/06/2021

ภาพถ่ายของราชินีเพลงป็อบ ในตอนที่เธอยังไม่มีชื่อเสียงปี ค.ศ. 1978-1979
Madonna เธอเกิดในปี ค.ศ. 1958 ในเมืองเบย์ซิตี้ รัฐมิชิแกน โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Madonna Louise Ciccone เธอต้องเสียคุณแม่ของเธอไปตั้งแต่เธอยังเด็ก พ่อของเธอให้เธอเรียนเปียโนคลาสสิก แต่ภายหลังเธอโน้มน้าวให้เขายอมให้เธอเรียนบัลเล่ต์ หลังจากนั้นเธอเข้าเรียนที่ Rochester Adams High School ซึ่งเธอได้กลายเป็นสมาชิกของทีมเชียร์ลีดเดอร์ หลังจากเรียนจบ เธอได้รับทุนการเต้นที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เรียกได้ว่าเธอฉายแววซุปเปอร์สตาร์ตั้งแต่วัยรุ่นกันเลยทีเดียว

พอเรียนมหาวิทยาลัยได้ 2 ปี เธอก็ลาออกกลางคัน และย้ายถิ่นฐานไปนิวยอร์ก เพื่อไล่ตามความฝันในการเป็นแดนเซอร์ เธอพยายามดิ้นรนหาเลี้ยงชีพตัวเอง ด้วยการเป็นทั้งพนักงานเสิร์ฟ ควบคู่ไปกับการเป็นพนักงานที่ร้าน Dunkin' Donuts และทำโมเดลศิลปะ จนเธอได้ทำงานเป็นแบ็คอัพแดนเซอร์ได้สมความตั้งใจของเธอ
ซึ่งในตอนนั้นเธอก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้จัก แต่แล้ววันหนึ่งช่างภาพแฟชั่น Michael McDonnell ซึ่งบังเอิญเห็นมาดอนน่านั่งอยู่บนเก้าอี้ในโถงทางเดินของอาคาร และเขาก็รู้ประทับใจเธอเป็นอย่างมาก จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ได้ถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมาก จน 8 เดือนถัดมามาดอนน่าก็เปลี่ยนสไตล์ของเธอด้วยการตัดผมสั้นแล้วย้อมให้เป็นสีดำเพื่อมาถ่ายรูปกับเขาอีกครั้ง
จนกระทั่งเธอกับแฟนเก่า Stephen Bray ตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่โดยใช้ชื่อว่าเอ็มมี่ Emmy แต่ด้วยความที่อยาก ออกอัลบั้ม มาดอนน่าและเบรย์จึงได้ลาออกจากวง และได้ทำเทปเดโมส่งไปให้กับโปรดิวเซอร์ Mark Kamins จนได้เซ็นสัญญากับ Sire Records เป็นนักร้องเดี่ยว โดยมีซิงเกิลแรกคือ Everybody ที่ขึ้นไปได้ถึงอันดับ 3 ใน Billboard Dance Chart
ต่อมาในงาน MTV ที่เธอได้ไปออกครั้งแรก เธอได้แสดงเพลงใหม่ของเธอ “Like a Virgin” เพื่อโปรโมตอัลบั้มใหม่ของเธอ เธอใส่ชุดเจ้าสาวเดินควงตุ๊กตาเจ้าบ่าวตัวเท่าคนจริงเดินลงมาจากเค้กก้อนยักษ์ แล้ว กลิ้งไปมาด้วยลีลาอันเย้ายวนของเธอ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เธอกลายเป็นซุปเตอร์สตาร์ที่คนทั้งโลกรู้จัก
Madonna เป็นนักร้องหญิงเพียงคนเดียวที่มีเพลงขึ้นอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักรมากที่สุดถึง13ซิงเกิ้ล และยังเป็นหนึ่งในนักร้องที่มีเพลงอันดับหนึ่งมากที่สุดในสหรัฐอเมริการวมทั้งสิ้น12เพลง นับตั้งแต่เริ่มมีการจัดอันดับเพลงฮิตประจำสัปดาห์เมื่อ60ปีก่อนของนิตยสาร Billboard
นอกจากนั้นมาดอนน่ายังถูกบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊คว่า เป็นศิลปินหญิงที่มียอดขายสูงที่สุดในโลก โดยมียอดรวมการขายอัลบั้มและซิงเกิ้ลมากกว่า 335 ล้านชุดทั่วโลก และยังเป็นศิลปินหญิงที่มียอดขายบัตรคอนเสิร์ตสูงที่สุดตลอดกาล จากคอนเสิร์ต Sticky & Sweet Tour จนเธอได้รับการขนานามว่า ราชินีแห่งวงการเพลงป็อบ
Source : https://bit.ly/3qtr10N
https://bit.ly/3x2araI

ภาพสีสันสดใสเหล่านี้แสดงถึงชีวิตประจำวันและสถานที่โบราณสถานที่สำคัญของกรุงโรมในช่วงปี ค.ศ.1890 ภาพถ่ายเก่าๆ แสดงให้เห็นร...
28/06/2021

ภาพสีสันสดใสเหล่านี้แสดงถึงชีวิตประจำวันและสถานที่โบราณสถานที่สำคัญของกรุงโรมในช่วงปี ค.ศ.1890 ภาพถ่ายเก่าๆ แสดงให้เห็นรถม้าบนถนนปูหินใกล้กับวิหาร Pantheon สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น จัตุรัสโรมัน หรือ อนุสรณ์น้ำพุเตรวี แม้ว่าภาพเหล่านี้จะดูเหมือนรูปถ่ายจากกล้องถ่ายรูป แต่จริงๆแล้วภาพเหล่านี้เป็นภาพที่พิมพ์ด้วยหมึก!!
กระบวนการนี้เป็นเทคโนโลยีที่เรียกว่า Photochrom เทคโนโลยีนี้จะเพิ่มการไล่สีเทียมอย่างแม่นยำให้กับภาพถ่ายขาวดำ ซึ่งภาพถ่ายเหล่านี้เดิมทีแล้วถูกใช้เป็นไปรษณียบัตรหรือแขวนจัดแสดงเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นรูปทิวทัศน์กับสถาปัตยกรรมของกรุงโรม
หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิทางตะวันตกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคกลาง โรมก็ค่อยๆ ตกอยู่ภายใต้การควบคุมทางการเมืองของพระสันตะปาปา และในศตวรรษที่ 8 กรุงโรมก็กลายเป็นเมืองหลวงของรัฐพระสันตะปาปาซึ่งดำเนินมาจนถึงปี ค.ศ.1870
ต่อมาก็เข้าสู่ยุค Renaissance พระสันตะปาปาได้ดำเนินโครงการด้านสถาปัตยกรรมโดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางทางศิลปะและวัฒนธรรมของโลก
ด้วยวิธีนี้ กรุงโรมจึงกลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญแห่งหนึ่งของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาแห่งแรก และเป็นแหล่งกำเนิดของทั้งสไตล์บาร็อคและนีโอคลาสสิก ศิลปิน จิตรกร ประติมากร และสถาปนิกที่มีชื่อเสียง ได้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกไปทั่วทั้งเมือง นั่นจึงทำให้โรมกลายเป็นศูนย์กลางของคนที่หลงใหลในศิลปะ
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 กรุงโรมก็ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางพิเศษที่ดึงดูดผู้มาเยือนจากทั่วยุโรป ซากปรักหักพังและความงดงามต่างๆ ทำให้ผู้คนเกิดความหลงไหลในเมืองแห่งนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้
มีนักศึกษาศิลปะและผู้หลงไหลในศิลปะจำนวนมากต้องการไปสัมผัสกับความงามดั้งเดิมของสมัยโบราณคลาสสิก รวมถึงการฝึกวาดภาพและสร้างผลงานของตัวเองในที่แห่งนี้ โรมนั้นเปรียบเสมือนเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและยุคสมัยใหม่
ภาพถ่ายสีอันน่าทึ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชั่น Photochrom ในหอสมุดรัฐสภาประเทศอิตาลี่ และแสดงให้เห็นว่า ความน่าหลงใหลของกรุงโรมนั้นมันเป็นอะไรที่ยั่งยืนยาวนาน และไร้กาลเวลา
Source : https://bit.ly/2Svpc6V

การท้าทายกฎหมายคนเข้าเมืองของแคนาดาโดยชาวอินเดีย ค.ศ. 1914 ย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 1900 ผู้อพยพชาวอินเดียเริ่มเดินท...
27/06/2021

การท้าทายกฎหมายคนเข้าเมืองของแคนาดาโดยชาวอินเดีย ค.ศ. 1914
ย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 1900 ผู้อพยพชาวอินเดียเริ่มเดินทางมายังรัฐบริติชโคลัมเบียที่ประเทศแคนาดาโดยหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ผู้อพยพกลุ่มแรกส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่ม ซึ่งกำลังหางานทำในด้านการเกษตร ประมง และป่าไม้ เมื่อพวกเขามาถึงหลายคนก็วางแผนที่จะหาเงินและกลับไปใช้ชีวิตที่อินเดีย แต่คนอื่นๆ ตั้งใจที่จะตั้งรกรากในแคนาดาและพาครอบครัวของพวกเขามาที่นี่ เมื่อพวกเขามีกำลังเพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของพวกเขา
ในฐานะสมาชิกของจักรวรรดิอังกฤษ ชาวอินเดียมีสิทธิที่จะเดินทางไปหรืออาศัยอยู่ในประเทศในเขตุการปกครองของอังกฤษได้ ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงแคนาดาด้วย แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลแคนนาดาต้องการให้คนที่อพยพมาเป็นชาวยุโรปหรือคนผิวขาวเท่านั้น รัฐบาลได้ออกคำสั่งสภาสองฉบับในปี ค.ศ. 1908 โดยหนึ่งในข้อกำหนดนั้นได้เขียนไว้ว่าให้ผู้อพยพชาวอินเดียเริ่มต้นการเดินทางในอินเดียและเดินทางมายังแคนาดาได้โดยตรง แต่ทว่าในเวลาเดียวกันรัฐบาลก็กีดกันบริษัทเดินเรือทั้งหมดไม่ให้เดินทางจากอินเดียมาแคนาดา
อีกทั้งยังมีกฎหมายที่กำหนดเพิ่มขึ้นมาอีกว่า ให้ผู้อพยพแต่ละคนมีเงิน 200 ดอลลาร์ขึ้นไป ซึ่งในสมัยนั้นมันเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากๆ ทำให้ชาวอินเดียวที่อยู่ในแคนาดาแล้วไม่สามารถที่จะพาครอบครัวของพวกเขาเข้ามาได้ แม้จะวิงวอนรัฐบาลเกี่ยวกับความยากลำบากและความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของพวกเขา แต่กฎหมายก็ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี
จนกระทั่งนักธุรกิจชาวอินเดียที่ชื่อว่า Gurdit Singh ตัดสินใจท้าทายกฎหมายของแคนาดา โดยเขาทำการเช่าเรือลำหนึ่งในปี ค.ศ. 1914 และเดินทางจากฮ่องกงไปยังแวนคูเวอร์ร่วมกับชาวอินเดียอีก 375 คน ซึ่งเรือลำนั้นก็คือ เรือ Komagata เรือลำนี้ได้มาถึงแวนคูเวอร์เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1914 เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองปฏิเสธที่จะให้ผู้โดยสารลงจากเรือ และให้พวกเขาทอดสมออยู่นอกชายฝั่งเป็นเวลาถึงสองเดือนด้วยกัน
จนในที่สุดรัฐบาลได้นำเรือปืนของกองทัพเรือออกมาเพื่อบีบบังคับให้เรือลำนี้ออกจากแคนาดา และเมื่อผู้โดยสารกลับมาถึงอินเดีย พวกเขาได้พบกับตำรวจอังกฤษ ซึ่งพยายามส่งพวกเขาตรงไปยังแคว้นปัญจาบของอินเดีย ทำให้เกิดเหตุจลาจลขึ้น ส่งผลให้ผู้โดยสารเสียชีวิต 20 คน และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก และยังถูกจับกุมอีกหลายร้อยคน
นโยบายการย้ายถิ่นฐานของแคนาดาและการปฏิบัติต่อผู้อพยพชาวอินเดียที่เลือกปฏิบัติทำให้ผู้อพยพได้จัดตั้งกลุ่มต่อสู้เพื่อสิทธิของตน พวกเขามองว่าต้นตอของปัญหาทั้งหมดคือการที่ประเทศเขายังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ พวกเขาเรื่อมเคลื่อนไหวและต่อสู้เพื่อเอกราชเรื่อยมา จนในที่สุดชาวอินเดียก็ได้รับเอกราชจากอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1947
ในปีเดียวกันนั้นเอง แคนาดาก็ได้ให้สิทธิชาวอินเดียในแคนาดาในการออกเสียงเลือกตั้งลงคะแนน และในปี ค.ศ.1967แคนาดาได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการย้ายถิ่นฐานให้เปิดกว้างมากขึ้น
ในปี ค.ศ. 1952 รัฐบาลอินเดียได้จัดตั้งอนุสรณ์สถานผู้เสียชีวิต Komagata Maru ขึ้นมา โดยอนุสาวรีย์นี้รู้จักกันในนามอนุสาวรีย์ปัญจาบ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
วันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 สภานิติบัญญัติแห่งบริติชโคลัมเบียมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าสภานิติบัญญัตินี้ขออภัยสำหรับเหตุการณ์ในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1914 เมื่อผู้โดยสาร 376 คนของ Komagata Maru ซึ่งประจำการอยู่ที่ท่าเรือแวนคูเวอร์ ถูกแคนาดาปฏิเสธไม่ให้เข้าเมือง สภารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ผู้โดยสารที่ลี้ภัย ถูกปฏิเสธโดยไม่ได้รับผลประโยชน์จากการปฏิบัติที่ยุติธรรมและเป็นกลาง ผู้คนจากทุกวัฒนธรรมต้องได้รับการต้อนรับและได้การยอมรับ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม
Source : https://bit.ly/3y28paL

สภาพเมือง London ในรัฐ Ohio ตอนที่เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ.1938 ในปี 1938 ช่างภาพที่ชื่อว่า B...
27/06/2021

สภาพเมือง London ในรัฐ Ohio ตอนที่เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ.1938
ในปี 1938 ช่างภาพที่ชื่อว่า Ben Shahn ได้เดินทางไปยังเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในลอนดอน รัฐโอไฮโอ และจับภาพชาวเมืองขณะที่พวกเขาเดินเล่นไปตามถนนสายหลักของเมือง ซึ่งเมืองนี้กำลังต่อสู้กับความย่ำแย่ของเศรฐกิจ รวมถึงสวัสดิการของผู้อยู่อาศัยก็ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ผู้คนปฏิเสธที่จะไปรับสวัสดิการของรัฐบาล เว้นแต่จะเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์ประกาศชื่อของผู้ที่ได้รับเงินสวัสดิการทั้งหมด แต่ผู้คนกลับมองว่าสวัสดิการเป็นความอัปยศไรซึ่งเกียรติ อย่างไรก็ตาม ในการที่ต้องทนเห็นครอบครัวที่อดอยากที่บ้าน ผู้ชายบางคนสมัครเข้ารับเงินสวัสดิการ
ครอบครัวในเมืองไม่สามารถผลิตอาหารของตนเองได้ ชาวเมืองหลายคนมักหิวโหย จนในบางครั้งต้องไปเข้าคิวขอซุปที่แจกฟรีสำหรับคนยากจน โดยเฉพาะฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากเนื่องจากหลายครอบครัวไม่มีเงินซื้อถ่านหินเพื่อให้ความอบอุ่นแก่คนในบ้าน
ส่วนในบรรดาผู้ที่โชคดีพอที่จะมีงานทำอย่างสม่ำเสมอส่วนใหญ่ถูกลดเงินเดือนหรือลดชั่วโมงการทำงาน ทำให้ผู้คนมีภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง ทั้งในเมืองและในชนบทต่างได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงไม่ว่าจะเป็นทั้งชนชั้นกลางและชนชั้นกรรมกร
ผลกระทบจะแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรม ชนชั้น เชื้อชาติ และสถานที่ การค้าการก่อสร้างและอุตสาหกรรมไม้แปรรูปได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก และในเมืองโรงสีและค่ายตัดไม้ของสหรัฐอเมริกา มีผู้คนที่ว่างงานที่เพิ่มมากขึ้น แต่ผู้ที่มีทักษะวิชาชีพขั้นสูงก็มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า
ความยากจนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมันก่อให้เกิดความเสียหายทางจิตใจ หลายครอบครัวแตกแยกทำให้ความเครียด ได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เริ่มมีการหย่าร้างเกิดขึ้น ส่วนใหญ่เป็นฝั่งสามีที่เลือกจะละทิ้งครอบครัว คนหนุ่มสาวก็ต้องออกจากโรงเรียนและเพื่อหางานทำ อัตราการแต่งงานและอัตราการเกิดลดลงเนื่องจากผู้คนกังวลว่าจะไม่สามารถสร้างครอบครัวให้มีประสิทธิภาพได้ การกระทำรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราการฆ่าตัวตายก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ตอนนี้บ้านเมืองของเราก็เกิดเหตุการณ์ที่ผมว่าก็ไม่ต่างกับสิ่งที่ผมนำมาเล่าซักเท่าไร จากวิกฤตการณ์โรคระบาดในครั้งนี้ มันส่งผลกระทบความเสียหายต่อทั้งเศรษฐกิจและความเป็นอยู่อย่างใหญ่หลวง ผมอยากให้เพื่อนๆทุกคนเข้มแข็งเอาไว้นะครับ ขอแค่มีความหวังและความเชื่อว่าเรานั้นจะต้องผ่านไปให้ได้ ทางเราเพจ Common Room ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคนนะครับ อย่าพึ่งสิ้นหวังกันไปนะครับ 🤗💪
Source : https://bit.ly/3jiz1jC

ภาพสุดท้ายของชายที่ชื่อ John Lennon  ปี ค.ศ.1980จากคำให้การของ Mark David Chapman ตอนที่ถ่ายรูปภาพนี้ตอนนั้นเขามีปืนอยู่...
26/06/2021

ภาพสุดท้ายของชายที่ชื่อ John Lennon ปี ค.ศ.1980
จากคำให้การของ Mark David Chapman ตอนที่ถ่ายรูปภาพนี้ตอนนั้นเขามีปืนอยู่ในกระเป๋าเสื้ออยู่แล้ว แต่ตัวเขาในตอนนั้นกลับรู้สึกขัดแย้งในตัวเองขึ้นมา จนความรู้สึกที่อยากจะปลิดชีวิต John กลับหายไป
Chapman ยื่นแผ่นเสียง ‘Double Fantasy’ ให้ John เซ็น หลังจากที่ John เซ็นให้ Chapman แล้ว John ก็พูดกับ Chapman ว่า ต้องการให้เซ็นอะไรอีกไหม ซึ่ง Chapman ตอบว่า “ไม่” แล้ว John ก็พูดออกมาว่า"แค่นั้นเองเหรอ" ก่อนที่ช่างภาพจะถ่ายภาพช่วงเวลานั้นไว้เป็นภาพสุดท้าย ของชายที่ชื่อ John Lennon
Chapman รออยู่นอกอพาร์ตเมนต์ของ John เพื่อรอให้ John กลับมา เขารอหลายชั่วโมงและระหว่างนั้นเขาก็อ่านหนังสือที่ชื่อว่า The Catcher in The Rye (หนังสือที่เขาหลงใหล) จนในเวลา 22.50 นาฬิกา รถลีมูซีนที่ John และ Yoko นั่งมาก็ได้เข้ามาจอดที่ด้านหน้าอาคาร จากนั้น Chapman จึงตามไปที่ประตูทางเข้าอาคารแล้วลั่นกระสุนปืนห้านัดในระยะห่างหกเมตรใส่ John Lennon
ในตอนนั้น John พึ่งกลับมาจากสตูดิโอบันทึกเสียงในคืนนั้น เขาถือเทปจากสตูดิโอไว้แนบกายตอนที่เขาถูกยิงเสียชีวิต ส่วน Chapman ก็อ่านหนังสือของเขาไปในขณะที่รอให้ตำรวจมาจับเขา
กระสุนสามนัดนัดเจาะเข้ากลางหลังทะลุปอด หนึ่งนัดเข้าที่บริเวณไหล่ซ้าย และอีกหนึ่งนัดเข้าที่บริเวณต้นคอ ทำให้หลอดเลือดใหญ่ และหลอดลมฉีกขาด แพทย์กู้ชีพไม่สามารถช่วยชีวิต John ไว้ได้ John Lennon เสียชีวิตในคืนวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ.1980 เวลา 23.07 นาฬิกา
นิยายที่ชื่อว่า Catcher of the Rye ที่เขียนโดย J. D Salinger มันส่งผลต่อความคิดของ Chapman อย่างมาก เขาเชื่อมโยงตัวเขากับตัวละครในนิยายเรื่องนั้น และทำให้เขามีความคิดที่เกลียดคนที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก และในยุคนั้นเรียกได้ว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จัก John Lennon รวมถึงตัวเขาก็คลั่งไคล้ในศาสนาคริสต์เป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
ความโกรธเกลียดในตัว John Lennon ในช่วงเวลานั้นได้ฝังรากลึกเข้าไปในใจเขาแล้วเขาคิดว่า The Beatles เป็นที่นิยมกว่าพระเยซู นั่นทำให้เขารู้สึกว่ามันเกิดความสั่นคลอนของผู้ที่ศรัทธาในศาสนาคริสต์
อีกทั้ง Chapman คิดว่าการฆ่าบุคคลที่มีชื่อเสียงจะทำให้ชีวิตของเขามีความหมาย อย่างคำที่เขาได้กล่าวเอาไว้ว่า “I felt that by killing John Lennon I would become somebody and instead of that I became a murderer, and murderers are not somebodies”.
ข่าวการเสียชีวิตของ John Lennon ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าบรรดาแฟนคลับจากทั่วมหานครพากันมุ่งหน้าไปที่อาคารดาโกตา(อพาร์ตเมนต์ที่ John เสียชีวิต) เพื่อร่วมกันไว้อาลัยไอคอนผู้จากไป หลังจากนั้นข่าวการสูญเสียนี้ก็ช็อกคนทั้งโลก
การพิจารณาคดีของ Mark David Chapman ดำเนินไปอย่างรวบรัดเนื่องจากเขายอมรับสารภาพผิด เขาให้การว่า พระผู้เป็นเจ้าเรียกร้องให้เขาทำเช่นนั้น เขาถูกตัดสินโทษจำคุกยี่สิบปีถึงตลอดชีวิต และเขาก็ยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
Source : https://bit.ly/3vSbTLq
https://bit.ly/3wYx2oy

การทดสอบหมวกกันน็อคสำหรับกีฬาอเมริกันฟุตบอล ปี ค.ศ. 1912ถ้าพูดถึงกีฬาฟุตบอลในระดับมืออาชีพ(อเมริกันฟุตบอล) สิ่งที่ป้องกั...
26/06/2021

การทดสอบหมวกกันน็อคสำหรับกีฬาอเมริกันฟุตบอล ปี ค.ศ. 1912
ถ้าพูดถึงกีฬาฟุตบอลในระดับมืออาชีพ(อเมริกันฟุตบอล) สิ่งที่ป้องกันความปลอดภัยสำหรับการบาดเจ็บที่ศีรษะนั้นก็คือหมวกกันน็อค แต่หมวกกันน็อคของกีฬาฟุตบอลรุ่นแรกสุดมันค่อนข้างที่จะดูเหมือนหมวกนักบินมากกว่าหมวกกันน็อคเทคโนโลยีสูงที่ผ่านการทดสอบการชนที่ผู้เล่นในปัจจุบันใช้กันในตอนนี้
ไม่แน่ใจว่าใครเป็นผู้คิดค้นหมวกกันน็อคฟุตบอล ในปี ค.ศ. 1896 กองหลังของวิทยาลัย Lafayette ที่ชื่อว่า George Rose Barclay เริ่มใช้สายรัดและหูฟังเพื่อป้องกันหูของเขา หมวกของเขาในไม่ช้าก็กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ "สายรัดศีรษะ"
โดยหมวกนี้จะมีสายรัดหนังหนาสามเส้นที่รัดรอบศีรษะของเขาไว้แน่น ผลิตโดยช่างทำสายรัด ซึ่งแหล่งข่าวอื่นๆบางแห่งกล่าวว่า หมวกกันน็อคนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อช่างทำรองเท้าในเมือง Annapolis ได้สร้างหมวกกันน๊อคชิ้นแรกให้กับพลเรือเอก Joseph Mason Reeves เนื่องจากเขาได้รับคำแนะนำจากแพทย์ทหารเรือว่าเขาอาจจะเสียชีวิตหรือถึงขั้นวิกลจริตในทันที ถ้าเขาได้รับผลกระทบทางศีรษะอีกครั้ง
นวัตกรรมหนึ่งจากช่วงต้นศตวรรษที่ 1900 คือการนำหนังมาชุบให้แข็งในปี ค.ศ. 1917 ถือเป็นครั้งแรกที่หมวกกันน็อคสามารถป้องกันบริเวณส่วนบนของศีรษะโดยตรง ในช่วงเวลานี้แผ่นปิดหูยังนั้นมันน่าอึดอัดสุดๆ เนื่องจากมีการระบายอากาศน้อยและทำให้ผู้เล่นได้ยินเสียงยากมาก จนในปี ค.ศ. 1920 ถือเป็นครั้งแรกที่หมวกกันน็อคถูกใช้อย่างแพร่หลายในกีฬาฟุตบอล
หมวกกันน็อคเหล่านี้ทำมาจากหนังและมีช่องว่างภายในบางส่วนเพื่อระบายอากาศ แต่ก็ยังป้องกันได้ไม่ดีพอ นอกจากนี้ยังขาดหน้ากากที่ป้องกันบริเวณใบหน้า เป็นผลให้ได้รับบาดเจ็บบ่อยมาก อีกทั้งหมวกกันน็อครุ่นแรกยังดูดซับความร้อนได้มาก ทำให้สวมใส่ไม่สบายหัวสุดๆ

ต่อมาในปี ค.ศ. 1950 การนำวัสดุอย่างพอลิเมอร์มาใช้ทำหมวกกันน็อค ทำให้ยุคหมวกกันน็อคที่ทำจากหนังสิ้นสุดลง รวมทั้ง NFL ก็ให้ผู้เล่นสวมใส่หน้ากากป้องกันด้วยในปี ค.ศ. 1955 เพื่อป้องกันโอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บบริเวณจมูกและฟัน และก็มีกฎใหม่ที่เพิ่มเข้ามาว่าห้ามให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามไปโดนในส่วนของบริเวณหน้ากากด้วย
Source : https://bit.ly/3qq39Lr

โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างจีน กับ สหภาพโซเวียต ที่ดูเหมือนคู่รักร่วมเพศแบบไม่ได้ตั้งใจ ปี ค.ศ. 1950-...
25/06/2021

โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างจีน กับ สหภาพโซเวียต ที่ดูเหมือนคู่รักร่วมเพศแบบไม่ได้ตั้งใจ ปี ค.ศ. 1950-1960
ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดยเหมา เจ๋อตง ได้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นมาในระบอบของคอมมิวนิสต์ โดยทางจีนได้พยายามเชื่อมความสัมพันธ์กับโซเวียตเพื่อสร้างประสิทธิผลในด้านความก้าวหน้าและการอยู่รอดต่อไปของระบอบคอมมิวนิสต์
ปลายปี ค.ศ. 1949 เหมาก็ได้เดินทางไปยังกรุงมอสโกว์เพื่อพบกับโจเซฟ สตาลินเป็นครั้งแรก สตาลินและเหมาได้ลงนามในสนธิสัญญาทวิภาคีที่เรียกว่าสนธิสัญญามิตรภาพ เพื่อความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยพวกเขาได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการรวมเป็นหนึ่งในช่วงเวลาของการต่อต้านระบอบสังคมนิยมที่มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น
โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อเป็นส่วนสำคัญในการพิสูจน์ให้โลกเห็นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างจีนและสหภาพโซเวียต และเมื่อมองจากคอลเลกชันภาพถ่ายนี้ พวกเขาทั้งจับมือกัน จูบกัน กอดกัน อย่างมีความสุข ทำให้ผู้คนทั่วไปอดสงสัยไม่ได้ว่า นี่เป็นการเเต่งงานคู่รักร่วมเพศข้ามชาติ ระหว่างจีนกับโซเวียตหรือเปล่า
นักวิชาการคิดว่าที่ศิลปินออกแบบภาพโปสเตอร์ให้ออกมาเป็นแบบนี้ เป็นไปได้ว่าศิลปินต้องการที่จะโน้มน้าวผู้คนในสหภาพโซเวียตและจีนว่าความร่วมมือและความใกล้ชิดมีความสำคัญต่อการอยู่รอดและเสริมสร้างระบอบสังคมนิยมให้เเข็งเเรงเเละแพร่สพัดไปทั่วโลก
ตามคำกล่าวของ Angelina Lippert จาก Poster House ประเทศที่ต่อสู้กับระบบทุนนิยมมักจะนำเสนอภาพในสไตล์นี้ พร้อมเสริมอีกว่าเมื่อสตาลินขึ้นสู่อำนาจ รูปแบบศิลปะสไตล์นี้ก็กลายเป็นสัจนิยมแบบสังคมนิยมไปโดยปริยาย
ยิ่งไปกว่านั้น การจูบแบบพี่น้องเป็นเรื่องธรรมดามากในสมัยนั้น และแม้กระทั่งวันนี้ หากคุณไปบางประเทศ ผู้ชายก็ยังมีการจูบที่ปากกัน และนั่นไม่ถือเป็นสัญญาณของการรักร่วมเพศ ภาพเหล่านี้จะเป็นตัวแทนของสองประเทศที่มารวมตัวกันเพื่อแบ่งปันความรักในลัทธิคอมมิวนิสต์และเลี้ยงดูลูกหลานให้เติบโตไปในระบอบคอมมิวนิสต์
พวก Bolsheviks ซึ่งเข้ามามีอำนาจในช่วงการปฏิวัติเดือนตุลาคมปี ค.ศ.1917 ได้ลดโทษการรักร่วมเพศของผู้ชายไปแล้วในปี ค.ศ.1922 จากนั้น โจเซฟ สตาลินได้ลงโทษชายรักร่วมเพศในปี ค.ศ. 1933-1934 ด้วยการสั่งให้ถูกจำคุกเป็นเวลาถึงห้าปี ควบคู่ไปกับการทำงานอย่างหนักในคุก
จนในที่สุด หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ.1991 รัสเซียก็ได้ลดโทษการรักร่วมเพศในปี ค.ศ.1993 เพื่อที่จะเข้าร่วมกับสภายุโรป สุดท้ายนี้ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศไหนก็ตามทุกๆคนคือมนุษย์ มีสิทธิในการใช้ชีวิตตามแบฉบับของคุณ สุขสันต์เดือนแห่ง Pride Month ครับ 🏳️‍🌈
Source : https://bit.ly/2T4P21N

ชีวิตที่ไม่ธรรมดาบนยาน Skylab ของ NASA ในปี ค.ศ.1970โครงการ Skylab เป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นโครงการทดสอบกับภารกิจ...
25/06/2021

ชีวิตที่ไม่ธรรมดาบนยาน Skylab ของ NASA ในปี ค.ศ.1970
โครงการ Skylab เป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นโครงการทดสอบกับภารกิจการไปเยือนดวงจันทร์ของยาน Apollo สถานีอวกาศ Skylab นำนักบินอวกาศไปเป็นผู้อยู่อาศัยในอวกาศ ซึ่งโครงการนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามนุษย์สามารถอยู่อาศัยและทำงานในอวกาศได้สำเร็จ
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1973 Skylab ได้ทำการเปิดตัวแต่ก็เปรียบเสมือนคำที่เรียกว่าจุดเริ่มต้นของจุดจบ เนื่องจาก Skylab ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงในระหว่างการเปิดตัว ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ทำให้สาธารณะชนทั่วโลกได้ให้ความสนใจกับเหตุการณ์นี้เป็นอย่างมาก สุดท้าย Skylab ก็ได้ตกลงสู่ มหาสมุทรอินเดียและออสเตรเลียอีกครั้งในปี ค.ศ. 1979 แต่ในช่วงเวลานั้นก็ได้มีเหตุการณ์สำคัญที่ต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของ Spaceflight อยู่เหมือนกัน
ยาน Skylab นั้นดำเนินการโดยลูกเรือสามคน โดยทำการบังคับแยกลำกันสามลำคือ Skylab 2, Skylab 3 และ Skylab 4 ซึ่งมันทำให้มนุษยชาติได้เรียนรู้ทั้งเรื่องเกี่ยวกับวงโคจร การสังเกตการณ์โลก รวมถึงการทดสอบการประเมินผลทางการแพทย์ว่าลูกเรือทั้งสามคนนี้นั้น มีภาวะอย่างไรบ้างกับการอยู่ในสถานีอวกาศที่มีสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงเป็นมาเวลนาน
อีกทั้ง NAZA ยังได้เรียนรู้ถึงเหตุการณ์ต่างๆที่น่าจะเกิดขึ้นในการปล่อยสถานีอวกาศขึ้นไปโคจร ทั้งการควบคุมยาน การซ่อมแซมเมื่อยานเสียหายจะต้องทำอย่างไร นับได้ว่าเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าอย่างยิ่ง
แต่ทว่าการใช้ชีวิตในอวกาศนั้นค่อนข้างที่จะอันตราย เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์เรานั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้ชีวิตอยู่ในอวกาศที่อยู่ภายใต้สภาวะไร้น้ำหนัก นักบินอวกาศของภารกิจ ภารกิจ Gemini 4, 5 และ 7 พบว่ามีการสูญเสียมวลกระดูกเล็กน้อยซึ่งปัจจุบันเรียกว่าภาวะกระดูกพรุนในอวกาศ นอกจากการสูญเสียมวลกระดูกแล้ว ยังตรวจพบการตกตะกอนของเลือดในร่างกายส่วนบน และอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนและคลื่นไส้ที่เกิดจากการอาศัยอยู่ในอวกาศเป็นเวลานาน
หนึ่งในเป้าหมายของโครงการนี้คือการส่งทีมหมุนเวียนของนักบินอวกาศไปยัง Skylab และทำการวิจัยทางการแพทย์โดยละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ไร้น้ำหนัก Skylab ได้ติดตั้งเครื่องออกกำลังกายที่เรียกว่า Super Mini Gym ซึ่งเป็นเครื่องออกกำลังกายแบบแรงเหวี่ยง นักบินอวกาศได้รับการสนับสนุนให้ใช้เพื่อสังเกตุว่านักบินอวกาศจะมีสภาวะเป็นอย่างไรหากออกกำลังกายในอวกาศ
Skylab มีระบบฝักบัวไร้แรงโน้มถ่วงในส่วนงานและการทดลองของ Orbital Workshop ที่ออกแบบและสร้างขึ้นที่ Manned Spaceflight Center มีม่านทรงกระบอกที่ลากจากพื้นถึงเพดาน และระบบสุญญากาศเพื่อดูดน้ำ และพื้นห้องอาบน้ำก็มีที่วางเท้าวางไว้อยู่ด้วย
ระบบได้รับการออกแบบสำหรับน้ำประมาณ 6 ไพน์ (2.8 ลิตร) ต่อฝักบัว ซึ่งเป็นน้ำที่ดึงมาจากถังเก็บน้ำส่วนบุคคล มีการวางแผนการใช้ทั้งสบู่เหลวและน้ำอย่างระมัดระวัง โดยมีสบู่และน้ำอุ่นเพียงพอสำหรับการอาบน้ำ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ สำหรับ 1 คน
ผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์จาก Skylab นั้นมหาศาล ไม่เพียงแต่ในแง่ของการศึกษาของดวงอาทิตย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรู้ที่ได้รับเกี่ยวกับผลกระทบของการอยู่ในอวกาศของมนุษย์เป็นเวลานาน ความก้าวหน้าในการบุกเบิกเกิดขึ้นจากการทำความเข้าใจผลกระทบของการสูญเสียมวลกระดูก การรวมตัวของเลือดในแขนขาบน และผลกระทบของการออกกำลังกายอย่างกระฉับกระเฉงต่อสภาวะเหล่านี้
Source : https://bit.ly/3dc2rfl

เมื่อผู้คนพยายามที่จะเลี้ยงม้าลาย ค.ศ. 1890-1940ในช่วงปีค.ศ. 1760 ผู้คนนั้นมีความสนใจในการที่จะเลี้ยงม้าลายเพื่อนำพวกมัน...
24/06/2021

เมื่อผู้คนพยายามที่จะเลี้ยงม้าลาย ค.ศ. 1890-1940
ในช่วงปีค.ศ. 1760 ผู้คนนั้นมีความสนใจในการที่จะเลี้ยงม้าลายเพื่อนำพวกมันมาเป็นพาหนะในการขี่ นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส บุฟฟ่อนเชื่อว่าม้าลายสามารถที่จะใช้ขี่แทนม้าทั่วไปได้ และมีข่าวลือในปารีสว่าชาวดัตช์ได้ฝึกม้าลายให้สามารถขี่ลากเกวียนได้แล้ว
สำหรับอาณานิคมของยุโรปที่ปกครองแอฟริกาในศตวรรษที่19 และ ต้นศตวรรษที่20 ความต้านทานของม้าลายต่อโรคที่เกิดจากแมลงวันเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่จะใช้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น ชาวอาณานิคมพยายามเปลี่ยนสัตว์ในท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์(สัตว์ในแอฟริกา) เพราะว่าหลายต่อหลายครั้งที่พวกเขานำสัตว์มาจากยุโรปที่นำเข้ามาในแอฟริกามันไม่สามารถที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมของแอฟริกาได้
ในที่สุด ความพยายามที่จะเลี้ยงม้าลายก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะว่าชาวแอฟริกันไม่สามารถที่จะเลี้ยงมาลายให้เชื่องได้ ต่างจากม้าทั่วไปที่จะเป็นมิตรและผ่อนคลายมากกว่า ส่วนม้าลายนั้นพวกมันค่อนข้างที่จะมีความตื่นตระหนกตลอดเวลา พวกมันขี้ระแวงและตกใจบ่อยมาก การจะทำให้พวกมันเชื่องนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
โดยธรรมชาติของม้าลายแล้วพวกมันเป็นสัตว์ป่าที่ต้องเจอกับ เสือ สิงโต และนักล่าอื่นๆอีกมากมาย มันเป็นธรรมดาที่พวกมันจะมีนิสัยขี้ระแวงและตื่นตระหนกอยู่แทบตลอดเวลา เพราะมันเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของพวกมัน พวกมันจึงมีความคล่องแคล่วเป็นพิเศษ และถ้ามันรู้สึกว่าพวกมันกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย พวกมันก็จะแสดงความก้าวร้าวออกมา และการเตะของพวกมันในบางครั้งก็ทำอันตรายให้กับนักล่าถึงตายกันเลยทีเดียว

ในตอนนั้นอาณานิคมเยอรมันที่พวกเขาปกครองแอฟริกาแถบตะวันออกก็ได้ให้ความสนใจกับการเลี้ยงม้าลายเช่นกัน พวกเขายังมีโครงการผสมพันธ์ระหว่างม้าลายกับม้าเพื่อสร้างลูกผสมที่ทนทานต่อโรคที่ปกติม้าทั่วไปจะไม่มีภูมิคุ้มกันโรคพวกนั้น แต่ม้าลายนั้นสามารถที่จะทนต่อโรคพวกนั้นได้
ขณะเดียวกันพวกบรรดาขุนนางก็ใช้ม้าลายลากเกวียนดังในภาพถ่ายที่เห็น นักสัตววิทยา Walter Rothschild ได้ทำการฝึกม้าลายเพื่อที่จะให้พวกมันเป็นดั่งเสมือนพาหนะของเขา ซึ่งเขาได้เดินทางไปที่พระราชวัง Buckingham เพื่อแสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยที่เชื่องของม้าลายต่อสาธารณชน แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจไม่ขี่พวกมัน เพราะเขาตระหนักได้ว่าว่าพวกมันตัวเล็กเกินไปและมีนิสัยที่ค่อนข้างจะก้าวร้าว
Source : https://bit.ly/3j3Un46

The Kiss of Life ค.ศ. 1967ภาพนี้มีชื่อว่า The kiss of life ถ่ายโดยช่างภาพที่ชื่อว่า  Rocco Morabito ซึ่งคนที่อยู่ในภาพสอ...
24/06/2021

The Kiss of Life ค.ศ. 1967
ภาพนี้มีชื่อว่า The kiss of life ถ่ายโดยช่างภาพที่ชื่อว่า Rocco Morabito ซึ่งคนที่อยู่ในภาพสองคนนี้คือพนักงาน ที่กำลังจูบปากกับเพื่อนร่วมงานของเขาที่ชื่อ Randall G. Champion เนื่องจาก Champion ได้หมดสติไปหลังจากที่เขาไปสัมผัสโดนสายไฟฟ้า
ในตอนนั้น Thompson กำลังซ่อมสายไฟตามกิจวัติประจำวันของเขาตามปกติ แต่ทว่าเพื่อนของเขา Champion ได้ไปแปรงสายไฟเส้นหนึ่งด้านบนสุดของเสาไฟฟ้า แต่อยู่ดีๆเขาก็ร่วงลงมา Thompson จึงรีบคว้าตัวเพื่อนเขาไว้ในทันทีและทำการผายปอดเพื่อนเขาของอย่างไม่ลังเล
ในสถานการณ์ตอนนั้น Thompson ไม่สามารถที่จะทำ CPR ช่วยเพื่อนของเขาได้เพราะว่าทั้งตัวเขาเองและเพื่อนของเขาต่างห้อยอยู่ที่เสาไฟฟ้า แต่เขาก็พยายามผายปอดเพื่อนของเขาต่อไป จากนั้นเขาก็ปลดสายนิรภัย และค่อยๆพยุงเพื่อนของเขาพาดไว้ตรงหัวไหล่ เพื่อที่จะนำตัวเพื่อนของเขามาทำ CPR บนพื้น จนในที่สุดเพื่อนของเขาก็ลืมตาฟื้นขึ้นมาจนได้
ที่น่าเหลือเชื่อไปกว่านั้นก็คือ Champion ไม่เพียงแต่รอดชีวิตมาได้เท่านั้น เขายังไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เลย และมีชีวิตต่อมาอีก 35 ปี และเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 2002 แต่ตัว Thompson ยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งวันนี้
ช่างภาพ Rocco Morabito ตอนนั้นกำลังขับรถเพลินๆอยู่บนถนน West 26th Street ในเดือนกรกฎาคม 1967 เขาได้ขับมาตรงจุดเกิดเหตุตรงนั้นพอดี เขาตกใจมากเขารีบเรียกรถพยาบาลในทันที จากนั้นเขาก็คว้ากล้องถ่ายรูปของเขาถ่ายภาพภาพนี้เอาไว้ได้ Rocco Morabito ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ประจำปี ค.ศ. 1968 สาขาภาพถ่าย Spot News จากภาพที่ชื่อว่า “The Kiss of Life” และภาพถ่ายนี้ก็ได้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไปทั่วโลก
ส่วนตัวผมนั้นผมค่อนข้างที่จะประทับใจในตัว Thompson จริงๆครับ เขามีสติและตัดสินใจกับปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาไม่ลังเลเลยในการที่จะทำการช่วยชีวิตเพื่อนของเขา เขาทำทุกวิถีทางที่ตัวเขานั้นนึกได้ในตอนนั้น และผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือเขาสามารถที่จะช่วยชีวิตเพื่อนของเขาเอาไว้ได้ และก็ต้องชื่นชม Morabito อีกคนนึงด้วยที่เรียกรถพยาบาลทันที สุดท้ายนี้ก็ขอให้เพื่อนๆมีวันที่ดีนะครับ มีสติในการใช้ชีวิตกันทุกคน ขอให้ทุกคนปลอดภัยครับ 😊
Source : https://bit.ly/3xQ6IwG

ที่อยู่

Paknam

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Common Roomผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ


Paknam บริษัท สื่ออื่นๆ

แสดงผลทั้งหมด