D-vote สำนักโพลและศูนย์สำรวจความคิดเห็นบนบล็อกเชน
แม่นยำ รวดเร็ว สะท้อนเสียงจริง
(1)

ผู้นำด้านเทคโนโลยีการสำรวจความเห็นสาธารณะในโลกที่เสียงของลูกค้าทรงพลังมากที่สุด

เราพัฒนาเทคโนโลยีที่ปฏิวัติวิธีการรวบรวมความเห็นสาธารณะ และข้อเสนอแนะโดยนำเทคโนโลยี Blockchain e-KYC และ AI มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและรวดเร็วกว่าเดิม

ด้วยโซลูชั่น และกระบวนการประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพ ประหยัดเวลา และต้นทุนองค์กรจะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง โฟกัสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการได้อย่างถูกทิศทาง เพื่อนำไปสู่การรู้จัก และรักแบรนด์จากหัวใจของลูกค้าอย่างแท้จริง

วิจัยใหม่เผย  400 ล้านคนทั่วโลก กำลังป่วยเป็น “ลองโควิด”หลังจากผ่านช่วงวิกฤติการณ์โรคระบาดโควิด-19 มาได้🤒มีใครรู้สึกบ้าง...
08/11/2024

วิจัยใหม่เผย 400 ล้านคนทั่วโลก กำลังป่วยเป็น “ลองโควิด”
หลังจากผ่านช่วงวิกฤติการณ์โรคระบาดโควิด-19 มาได้
🤒มีใครรู้สึกบ้างมั้ยครับ ว่าร่างกายของเราไม่เหมือนเดิม รู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้น เจ็บป่วยบ่อย ไม่สบายง่ายขึ้น
🦠สิ่งเหล่านั้นอาจเกิดจากผลพ่วงของเชื้อไวรัสโควิดทิ้งไว้ให้กับร่างกายของเรา
ถึงแม้เชื้อไวรัสจะหายไปแล้วก็ตาม
📰เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา วารสาร Nature Medicine ได้เผยงานวิจัยใหม่ล่าสุดที่พบว่า
มีผู้คนทั่วโลกกว่า 400 ล้านคน กำลังเผชิญกับ “ภาวะลองโควิด”
โดยงานวิจัยนี้มุ่งผลกระทบของภาวะลองโควิดทั่วโลก ในรอบ 4 ปี
ซึ่งจะส่งกระทบต่อเศรษฐกิจราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งบริการดูแลสุขภาพ และผู้ป่วยที่ไม่สามารถกลับไปทำงานได้
ต่อปีทั่วโลก หรือคิดเป็นราวร้อยละ 1 ของเศรษฐกิจโลก
อีกทั้งในผู้ใหญ่ร้อยละ 6 ทั่วโลกมีภาวะลองโควิด ที่โดยส่วนใหญ่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่
และการรักษายังคงเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด
หนึ่งในผู้เขียนงานวิจัย ระบุหวังว่างานวิจัยนี้จะเป็นข้อมูลและแนวทางในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับสุขภาพ การลำดับความสำคัญในการรักษาต่อคนทั่วโลกต่อไป
คนที่หายจากโควิด-19 แล้ว คิดเห็นอย่างไรกับผลวิจัยนี้
มาร่วมกันแสดงความคิดเห็นกันเยอะๆ นะครับ
อ้างอิง
https://www.xinhuathai.com/inter/456688_20240810
https://www.praram9.com/long-covid/

วิจัยเผย ผู้หญิงเผยความลับไวขึ้น 2 เท่า เมื่อได้ยินคำว่า "อย่าบอกใครนะ"เมื่อไม่นานมานี้ มีงานวิจัยที่น่าสนใจอย่างยิ่งเกี...
06/11/2024

วิจัยเผย ผู้หญิงเผยความลับไวขึ้น 2 เท่า เมื่อได้ยินคำว่า "อย่าบอกใครนะ"
เมื่อไม่นานมานี้ มีงานวิจัยที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้หญิงในการเก็บความลับ
ซึ่งเปิดเผยว่า ผู้หญิงไม่สามารถเก็บได้นานเกินกว่า 2 วัน
อีกทั้งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า “อย่าบอกใครนะ”
ก็ยิ่งทำให้ความลับนั้นแตกไวขึ้น
โดยงานวิจัยดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ
ซึ่งทำการทดลองกับผู้หญิงภายในประเทศ
ตั้งแต่อายุ 18-65 ปีเฉลี่ยๆ กันไป
และได้ผลการทดลอง ดังนี้
✅ผู้หญิง 3 ใน 10 มักโดนคาดคั้นให้บอกความลับก่อนเล่า
✅ผู้หญิงจะเก็บความลับได้นานสุดประมาณ 47 ชั่วโมง
✅ผู้หญิง 5 ใน 10 จู่ๆ ก็เล่าความลับออกมาเอง โดยที่ไม่ต้องถาม
✅ผู้หญิงกว่า 50% ของผู้ร่วมตอบแบบสอบถาม มีแนวโน้มบอกความลับไวขึ้น 2 เท่า
เมื่อได้ยินคำว่า “อย่าบอกใครนะ”
✅ผู้หญิงที่ร่วมตอบแบบสอบถามว่า 83% มั่นใจว่าตัวเองเก็บความลับเก่ง
อย่างไรก็ดี การทดสอบดังกล่าวเป็นเพียงกลุ่มการทดลอง
เพียงแค่ 3,000 คนในเกาะอังกฤษเท่านั้น
ซึ่งไม่อาจเหมารวมประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นเพศหญิงได้
โดยพฤติกรรมดังกล่าว อาจเกิดขึ้นในบางคน
ในขณะที่ก็มีบางคนที่สามารถเก็บความลับได้ดีเช่นกัน
แล้วเพื่อนๆ คิดว่าผู้หญิงเก็บความลับได้แย่จริงไหม คอมเมนต์แชร์กัน
แหล่งที่มา:
https://www.telegraph.co.uk/news/newstopics/howaboutthat/6199822/Women-cannot-keep-a-secret-for-longer-than-47-hours.html
https://www.dailymail.co.uk/femail/article-1213855/Women-really-secret-Gossip-shared-just-47-hours.html

วิจัยชี้ คนมั่นใจสูง มักคว้างานได้ มากกว่าคนเก่งในการสัมภาษณ์คนเข้าทำงาน แน่นอนว่า แต่ละบริษัทก็ต้องอยากได้คนที่เก่งและม...
04/11/2024

วิจัยชี้ คนมั่นใจสูง มักคว้างานได้ มากกว่าคนเก่ง
ในการสัมภาษณ์คนเข้าทำงาน แน่นอนว่า แต่ละบริษัทก็ต้องอยากได้คนที่เก่งและมีความสามารถใช่ไหมล่ะครับ
แต่ผลวิจัยจากมหาวิทยาสแตนฟอร์ด เผยว่า คนที่ “มีความมั่นใจสูง” ต่างหากที่มีโอกาสคว้างานได้มากกว่า “คนเก่ง”
โดยงานวิจัยนี้เป็นของ Margaret Neale จาก Stanford Business School
ที่ได้ทำการทดลองให้นักศึกษาลองสัมภาษณ์งาน
โดยให้ผู้จ้างงานไม่รู้ทักษะของคนถูกสัมภาษณ์มาก่อน
ซึ่งคนที่มั่นใจในตัวเองมากๆ จะกล้าพูดว่าตัวเองเก่งด้านไหน มีดีอะไรบ้าง
จึงทำให้พวกเขาดูน่าสนใจและน่าจ้างงาน
ส่วนนักศึกษาที่เก่ง เกรดดี แต่ดูไม่ค่อยมั่นใจ มีแนวโน้มสูงที่จะไม่ถูกเลือกให้เข้าทำงาน
เพราะไม่สามารถนำเสนอความสามารถของตัวเองออกมาได้
ฉะนั้นเรื่องของการสัมภาษณ์ จึงไม่ใช่แค่เรื่องความสามารถเท่านั้น
แต่เป็นเรื่องของความมั่นใจและการนำเสนอความสามารถของตัวเองออกมาอีกด้วยครับ
คิดเห็นอย่างไรกับผลวิจัยนี้ อย่าลืมมาคอมเมนต์แชร์กันเยอะๆ นะครับ
ที่มา : https://salaryinvestor.com/guide/work/job-interviews-stanford-study-shows/ https://www.inc.com/jessica-stillman/confidence-often-wins-over-competence-in-job-interviews-new-stanford-study-shows.html

สถิติใหม่เผย คนไทยอ่านหนังสือเกิน 8 บรรทัดแล้ว!‘คนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด’อาจเคยเป็นความจริงเมื่อหลายสิบปีก่อนจะกลาย...
01/11/2024

สถิติใหม่เผย คนไทยอ่านหนังสือเกิน 8 บรรทัดแล้ว!
‘คนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด’
อาจเคยเป็นความจริงเมื่อหลายสิบปีก่อน
จะกลายเป็นมายาคติฝังหัว ว่าคนไทย “ไม่ชอบอ่านหนังสือ”
แต่ปัจจุบันความเชื่อดังกล่าวได้ถูกลบล้างไปหมดสิ้น
และควรตั้งต้น setting ความเชื่อกันใหม่
จากสถิติล่าสุดเมื่อต้นปี 67
ที่ทำการเก็บสถิติจากสมาคมผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
ร่วมกับคณะจิตวิทยาจุฬาฯ ที่ได้ร่วมเก็บสถิติจากคนทุกเพศ ทุกวัยกว่า 2,550 คน
พบว่าปัจจุบันคนไทยอ่านหนังสือกว่า 113 นาที/วัน หรือเฉลี่ยเกือบๆ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ซึ่งพบว่าการอ่านหนังสือไม่ได้กระจุกอยู่ที่เพียงกลุ่มวัยเรียนเท่านั้น
แต่ยังกระจายตัวไปยังผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 40-50 ปีขึ้นไปอีกด้วย
โดยสัดส่วนของหนังสือที่ได้รับความนิยม มีดังต่อไปนี้
1️⃣นวนิยายและวรรณกรรม 38%
2️⃣หนังสือการ์ตูนและไลต์โนเวล 21%
3️⃣หนังสือประเภทเสริมทักษะ [How to] 18%
4️⃣หนังสือเด็ก-คู่การมือการเรียน 13%
5️⃣หนังสือสุขภาพ 10%
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่ช่วยการันตีได้ดีว่า
คนไทยนั้นอ่านหนังสือเกิน 8 บรรทัดแล้ว
คือเมื่องานสัปดาห์หนังสือครั้งที่ 52 ซึ่งจัดขึ้นในเดือนมีนาคม ปี 67
มียอดเข้าชมงานตลอด 12 วันทะลุ 1.3 ล้านคน
และทำยอดขายหนังสือรวมไปกว่า 400 ล้านบาทเลยทีเดียว
แสดงให้เห็นว่าคนไทยในปัจจุบันและเด็กยุคใหม่
กระตือรือร้นมากเพียงใดในการอ่านหนังสือ
และสนับสนุนงานเขียนที่หลังใหลเข้ามาในไทยอย่างมากมาย
ใครเป็นหนอนหนังสือโชว์ที่ที่คอมเมนต์กันหน่อย
แหล่งที่มา: สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT)

ผลสำรวจเผย คนไทยถูกมิจฯ หลอกเป็นอันดับ 4 ของโลก!รายงายผลสำรวจปีล่าสุด คือ ปี 2023 พบว่าประเทศไทยนั้นน่าห่วง เพราะถูกหลอก...
30/10/2024

ผลสำรวจเผย คนไทยถูกมิจฯ หลอกเป็นอันดับ 4 ของโลก!
รายงายผลสำรวจปีล่าสุด คือ ปี 2023 พบว่า
ประเทศไทยนั้นน่าห่วง เพราะถูกหลอกให้สูญเงินไปกับมิจฉาชีพออนไลน์
สูงเป็นอันดับ 4 ของโลกเลยทีเดียว คิดเป็น 3.1% ของ GDP
ซึ่งประเทศที่ติด Top3 ของการโดนมิจฯ หลอกเอาทรัพย์ ได้แก่
1️⃣ประเทศเคนย่า 4.5%
2️⃣ประเทศเวียดนาม 3.6%
3️⃣ประเทศบราซิล 3.2%
โดยผลสำรวจยังเผยข้อมูลที่น่าสนใจอีกด้วยว่า
ไม่ใช่แค่เพียงประเทศไทยและเวียดนามเท่านั้นที่ติดอันต้นๆ ของโลก
แต่ยังรวมไปถึงประเทศแถบเอเชียอีกหลายประเทศ เช่น
🇨🇳จีน
🇵🇭ฟิลิปปินส์
🇮🇳อินเดีย
🇲🇾มาเลเซีย
และ 🇮🇩 อินโดซีเซีย
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ภูมิประเทศแถบเอเชีย
คือแหล่งที่มิจฉาชีพจ้องหลอกเอาเงินมากที่สุด
และสิ่งที่ทำให้คนไทยมักสูญเงินจำนวนมากไปกับพวกมิจฉาชีพออนไลน์ ได้แก่
🔸ถูกหลอกให้ลงทุนออนไลน์ หวังผลกำไรตอบแทนคราวละมากๆ
🔸แกล้งโทร. มาข่มขู่ให้ตกใจ จนไม่มีสติในการรับมือ
🔸หลอกให้โอนเงินค่าเข้าทำงาน หรือค่ารับประกันก่อนทำงาน
🔸หลอกขายของออนไลน์
และ🔸ใช้แอปฯ ดูดเงิน
วิธีรับมือกับเหล่ามิจฉาชีพในปัจจุบัน!
❗ปรึกษาคนใกล้ตัว หรือ คนที่ไว้ใจก่อนตัดสินใจโอนเงิน
❗ถ้ามีลิงก์แปลกๆ ให้กด อย่ากดเด็ดขาด เพราะอาจเป็นลิงก์สำหรับดูดเงิน
❗โทร. สอบถามทางธนาคาร หรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจในกรณีที่มีการแอบอ้าง
❗เบอร์โทร.จากสำนักงานต่างๆ จะไม่ใช่เบอร์ที่ขึ้นต้นด้วย 08 หรือ 09 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเบอร์โทร.ส่วนตัว
❗มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวทุกครั้ง
❗เป็นไปได้ตัดสาย หรือไม่ต้องรับเบอร์แปลก หากไม่จำเป็น
เพื่อนๆ มีวิธีรับมือกับ มิฉฉาชีพกันยังไงบ้าง ลองมาแชร์กัน
แหล่งที่มา :https://www.gasa.org/_files/ugd/7bdaac_b0d2ac61904941aeb4cbf0217aa355d2.pdf

วิจัยยัน ผู้ชายนอกใจแล้ว ก็จะนอกใจอีก แก้ยังไงก็ไม่หายโดยงานวิจัยนี้ ทำการทดลองโดย Neil Garrettซึ่งให้มีชื่อโครงการว่า T...
28/10/2024

วิจัยยัน ผู้ชายนอกใจแล้ว ก็จะนอกใจอีก แก้ยังไงก็ไม่หาย
โดยงานวิจัยนี้ ทำการทดลองโดย Neil Garrett
ซึ่งให้มีชื่อโครงการว่า The Brain Adapts to Dishonesty
และได้ทำการสมัครคู่รักอาสาสมัครรอบกรุงลอนดอนกว่าพันชีวิต
เพื่อทำการทดลอง ดังต่อไปนี้
ขั้นตอนการทดลอง
👉🏻คู่รักจะต้องช่วยเหลือกันเดาเหรียญในขวดโหล
👉🏻โดยจะมีคนนึงที่มองเห็นภาพชัดกว่าอีกคนหนึ่ง
👉🏻คนที่เห็นภาพไม่ชัดต้องเดาให้ถูกว่าในเหรียญมีจำนวนเท่าไหร่
👉🏻แต่ถ้าหากตอบผิด ก็จะทำให้อีกคนได้รางวัลมากกว่า
จากการทดลองนี้พบว่า…
✅คนส่วนมากในการทดลอง “โกหก” คู่รัก เพราะอยากได้รางวัล
✅การโกหกสอดคล้องกับการทำงานของสมองส่วน “อะมิกดาลา” โดยตรง
✅คนโกหกแล้ว 1 ครั้ง มีแนวโน้มจะโกหกอีก เพราะความรู้สึกผิดลดน้อยลง
✅สมองส่วน อะมิกดาลา จะตอบสนองกับคนที่เคยพูดโกหกมาก่อนดีกว่า
✅ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในผู้ชาย แต่ผู้หญิงที่นอกใจก็สามารถโกหกได้เหมือนกัน
🩷อย่างไรก็ดี การทดลองนี้เป็นเพียงการทดลองจากกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น
ไม่ได้หมายความว่า “คนทั้งหมด” จะเป็นแบบผลการทดลองเสมอไป
แม้ว่าการนอกใจจะไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลยก็ตาม
แต่การให้อภัย หรือ ไม่ให้อภัย ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละบุคคล
ไม่ควรเอาผลการวิจัยไปตัดสินแบบเหมารวมนะ
แล้วเพื่อนๆ คิดว่าคนนอกใจแล้วจะนอกใจอีกจริงไหม คอมเมนต์แชร์ความเห็นกัน
แหล่งที่มา : https://www.nature.com/articles/nn.4426.epdf?referrer_access_token=qUP2u4WPHsrLTghBgOUL4NRgN0jAjWel9jnR3ZoTv0PB5NSmVpFfhwCDyZeXsazdlOU8TBRk13R9YTFZTPWweAMpt-2aqSTIrS2Q_voo5Icp85zpBsBaGs8G8BN3K1mgpVNbtyWPELcnc8j5ZAWd1I7_cXQri3dQX6H1TpBbFNnb-2dnqnpNNmOyy7Le9-zGXtQjVaZj_YvwUOj6_YjH0P9YbynoZI9HCyeF4z9gXik%3D&tracking_referrer=www.cnn.com

วิจัยชี้  ถ่ายรูปอาหารก่อนกิน ทำรสชาติอร่อยขึ้นจริงๆ 📸ใครที่เป็นสายถ่ายของกินลงโซเซียลกันบ้างครับ 🍨🍰ไม่ว่าจะเป็นการไปทาน...
26/10/2024

วิจัยชี้ ถ่ายรูปอาหารก่อนกิน ทำรสชาติอร่อยขึ้นจริงๆ
📸ใครที่เป็นสายถ่ายของกินลงโซเซียลกันบ้างครับ 🍨🍰
ไม่ว่าจะเป็นการไปทานที่ร้าน หรือแม้ทำกินเองที่บ้าน
ก็เป็นอันต้องจับโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายทุกครั้ง
🚩โดยงานวิจัยยืนยันแล้วว่า การถ่ายรูปอาหารที่อยู่ตรงหน้าก่อนกิน จะทำให้รสชาติของมันดีขึ้นจริงๆ
แถมมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับอีกด้วย
การศึกษานี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Consumer Marketing
ที่ได้ศึกษาเรื่อง "การกินช้าและการลิ้มรสที่มากขึ้น"
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย UC San Diego และ St. Joseph's ในฟิลาเดลเฟีย
ได้ทำการศึกษาคนที่รับประทานอาหาร 2 ลักษณะ และพบว่า
📌คนที่ถ่ายรูปก่อนกิน “อาหารเพื่อสุขภาพ” จะทำให้เพลิดเพลินกับการกินได้มากขึ้น
ทั้งนี้ก็ต่อเมื่อคนที่กินเชื่อว่ามันมีประโยชน์จริงๆ
📌คนที่ถ่ายรูปก่อนกิน “อาหารที่ตัวเองชอบ” มีความสุขมากกว่าคนที่ไม่ถ่ายรูปก่อนกิน
ฉะนั้น ถ้ามีคนมาล้อเรื่องที่เราชอบถ่ายรูปอาหารก่อนกิน ก็อย่างลืมแชร์งานวิจัยนี้ให้พวกเขาดูด้วยนะครับ
แต่ก็อย่าปล่อยให้คนข้างๆ โมโหหิวนานเกินไปนะครับ
เพราะบางคนก็ไม่ชอบถ่ายภาพอาหารก่อนกินด้วยเช่นกัน
ซึ่งนั้นขึ้นอยู่กับความสุขและความพึงพอใจในรูปแบบการกินของแต่ละคนครับ☺️
อ้างอิง
https://www.pcmag.com/news/photographing-your-food-makes-it-taste-better-study-finds

วิจัยล่าสุดเผย เด็กอายุ 3 - 4 ปี กว่า 69% มีมือถือใช้ฉ่ำยุคนี้เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนทุกวัย รวม...
24/10/2024

วิจัยล่าสุดเผย เด็กอายุ 3 - 4 ปี กว่า 69% มีมือถือใช้ฉ่ำ
ยุคนี้เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนทุกวัย
รวมไปถึงเด็กๆ รุ่นใหม่ ที่พวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีไวกว่าเด็กรุ่นก่อนๆ เป็นอย่างมาก
เมื่อต้นปี 2024 ที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลสื่อได้ออกมารายงานว่า
เด็กอายุ 3 และ 4 ปี กว่า 69% ใช้งานมือถือเป็นประจำ
ทั้งมีมือถือเป็นตัวเองและพ่อแม่ให้ยืม
ซึ่งงานวิจัยจาก Ofcom พบว่า 1 ใน 5 ของเด็กอายุ 3 และ 4 ปี มีมือถือเป็นของตัวเอง
โดย 92% ใช้ดู YouTube และใช้ส่งข้อความเสียงและวิดีโอ
23% ใช้งานแอปหรืออยู่โซเชียลมีเดีย
18% ใช้เล่นเกมออนไลน์
11% ใช้โพสต์วิดีโอของตัวเอง
แม้ว่าองค์ความรู้ต่างๆ ในปัจจุบัน ล้วนลอยอยู่เต็มอากาศมากมาย
ทำให้การใช้ชีวิตของเด็กรุ่นใหม่แตกต่างจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก
แต่คณะกรรมาธิการเด็กประจำอังกฤษ ยังออกมาแสดงความกังวลต่อเรื่องนี้
เพราะพัฒนาการของเด็กอายุ 3 และ 4 ขวบ จะอยู่ในช่วงหัดจับปากกา แต่งตัว หรือตัดอาหาร
ทั้งนี้ในปี 2019 องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า
เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรดูหน้าจอใดๆ
และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ควรดูหน้าจอไม่เกิน 1 ชั่วโมง
ซึ่งระบุต่อว่า การใช้เวลาอยู่หน้าจอในระดับสูงเชื่อมโยงกับพัฒนาการที่ล่าช้าของเด็กอายุระหว่าง 2 – 5 ปี อีกด้วย
เห็นรายงานและงานวิจัยล่าสุดนี้แล้วคิดเห็นอย่างไร
เด็กๆ ใกล้ตัวใช้มือถือเยอะแค่ไหน
อย่าลืมเข้ามาแชร์ใต้คอมเมนต์กันนะครับ
อ้างอิง
https://thematter.co/brief/phonechild/225897

วิจัยชี้ เด็กที่กินไม่ครบ 5 หมู่ อาจเตี้ยกว่าเพื่อน 20 ซม.คุณพ่อคุณแม่คนไหนกำลังกังวลเรื่องความสูงของลูกๆ ห้ามพลาดงานวิจ...
22/10/2024

วิจัยชี้ เด็กที่กินไม่ครบ 5 หมู่ อาจเตี้ยกว่าเพื่อน 20 ซม.
คุณพ่อคุณแม่คนไหนกำลังกังวลเรื่องความสูงของลูกๆ ห้ามพลาดงานวิจัยนี้
เพราะแม้เรื่องของความสูงจะเกี่ยวเนื่องกับพันธุกรรม
แต่ไม่ใช่ตัวตัดสินความสูงไปซะหมด
โดยงานวิจัยนี้เป็นของ Imperial College London
ที่ทำการวิเคราะห์ข้อมูลน้ำหนัก-ส่วนสูงของเด็ก
และวัยรุ่นจำนวน 65 ล้านคนใน 193 ประเทศอังกฤษ
เมื่อเทียบความสูงของเด็กที่สูงที่สุด กับเด็กที่เตี้ยที่สุด
พบว่า ความสูงแตกต่างกันถึง 20 เซนติเมตร
ซึ่งค้นพบว่าปัจจัยสำคัญนั้นก็คือ อาหาร
ผู้วิจัยได้ยกตัวอย่าง เด็กหญิง อายุ 19 ปี ที่อยู่ในประเทศบังกลาเทศและกัวเตมาลา
ซึ่งเป็นประเทศที่มีเด็กหญิงตัวเตี้ยที่สุดในโลก
จะสูงเท่ากับ เด็กหญิง อายุ 11 ปี ในประเทศเนเธอร์แลนด์
ประเทศที่มีเด็กชายหญิงตัวสูงที่สุดในโลก
จากข้างต้น ผู้วิจัยชี้ให้เห็นว่า เด็กที่อยู่ในประเทศที่มีโอกาสในการขาดสารอาหาร
จะมีส่วนสูงน้อยกว่า เด็กที่อยู่ในประเทศที่มีการจัดสรรทรัพยากรพร้อม ถึง 8 ปี
โภชนาการในวัยเด็กจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก
เพราะหากไม่ได้รับสารอาหารที่ครบและเพียงพอ
เจริญเติบโตก็จะช้าลง และทำให้เด็กๆ เตี้ยกว่าปกติได้นั่นเอง
แล้วทุกคนคิดเห็นอย่างไร อย่าลืมเข้ามาคอมเมนต์พูดคุยกันเยอะๆ นะครับ
อ้างอิง
https://www.amarinbabyandkids.com/family/lifestyle/mom-fit/diet-affects-height/

น่าห่วง! สสส. เผย เด็กไทยอ้วนเป็นที่ 3 ในอาเซียน และมีแนวโน้มอ้วนขึ้น 5 เท่าในปี 73ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันมีของกินอร่อย...
20/10/2024

น่าห่วง! สสส. เผย เด็กไทยอ้วนเป็นที่ 3 ในอาเซียน และมีแนวโน้มอ้วนขึ้น 5 เท่าในปี 73
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันมีของกินอร่อยเยอะแยะมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นทั้งในไทยและต่างประเทศ
และเมนูอาหารที่เป็นไวรัลในอินเทอร์เน็ต
ต่างก็ทำให้เราเสพติดการกินของอร่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
แม้ว่าของกินจะเป็นสิ่งที่คลายความทุกข์ให้กับหลายๆ คน
แต่มันก็มาพร้อมโทษที่เรายากจะหลีกเลี่ยง
เนื่องจากของอร่อยดังกล่าว เป็นภัยต่อสุขภาพหลายด้านเลยทีเดียว
โดยล่าสุด สสส. ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติโรคอ้วนภายในไทย
ซึ่งเด็กไทยปัจจุบันอ้วนขึ้นเป็น 2 เท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
ผลมาจากการที่มีผลิตภัณฑ์ขนม ของหวาน และอาหารฟาสฟู๊ดเพิ่มขึ้นมากมาย
ทำให้สถิติโรคอ้วนของเด็กไทยพุ่งอยู่อันดับ 3 ในอาเซียน
ส่วนมากจะอยู่ในกลุ่มเด็กตั้งแต่ 1-14 ปีเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี สหพันธ์โรคอ้วนโลก ได้คาดการณ์ว่า
ภายใน 5 ปีเด็กไทยและเด็กๆ ทั่วโลกจะมีสิทธิ์อ้วนขึ้นอีก 5 เท่าภายในปี 73
ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงสุดๆ
โดย สสส. ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า
ภายในปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่ามีข้อความบนโลกอินเทอร์เน็ต
ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร-การกินที่ส่งเสริมให้เด็กบริโภคหวานกว่า 6,000 ข้อความ
ไม่ว่าจะเป็นทั้ง TikTok, Threads, Instagram, X ฯลฯ
จากการสำรวจพบว่า เยาวชนไทยติดบริโภคหวาน
โดยจะต้องกินของที่มีรสหวาน หรือนมหวานอย่างน้อย 1 ครั้ง/วัน
สิ่งที่น่าสนใจ คือ เมื่อเด็กและเยาวชนมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
ก็ทำให้ขนาดร่างกายเพิ่มตาม ทำให้เป็นปัญหาขาดความมั่นใจ
ตามมาด้วยการเป็นโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า
สรุปได้ว่า ทั้งอุตหสาหกรรมอาหารและการบริโภคของเยาวชนที่เปลี่ยนไป
ทำให้น้ำหนักตัวของเยาวชนเพิ่ม และมีปัญหาเกี่ยวกับโรคตามมา เช่น ความดัน เบาหวาน เป็นต้น
จึงทำให้กระทรวงสาธารสุขทั้งของไทยและของโลก
ต้องจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
แล้วเพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ มาแชร์กัน
แหล่งที่มา:
https://www.thaihealth.or.th/wp-content/uploads/2023/12/Thaihealth-Watch-2024-1.pdf
https://www.thaihealth.or.th/ห่วงเด็กไทยอ้วนอันดับ-3/
https://www.bdmswellness.com/knowledge/obesity-crisis

วิจัยชี้ คนทั่วโลกจะปวดหลังเพิ่มปี 2050 ทะลุ 800 ล้านคนใครที่เคยปวดหลังย่อมรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าขำเพราะอาการปวดหลัง...
19/10/2024

วิจัยชี้ คนทั่วโลกจะปวดหลังเพิ่มปี 2050 ทะลุ 800 ล้านคน
ใครที่เคยปวดหลังย่อมรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าขำ
เพราะอาการปวดหลังนั้นสามารถกลายไปเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพเรื้อรังได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือหลอดเลือด
โดยมีการศึกษาในออสเตรเลียได้เผยว่า ภายในปี 2050
ผู้คนทั่วโลกได้รับผลกระทบจากอาการปวดหลังเพิ่มกว่า 843 ล้านคน
ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลผู้มีอาการปวดหลัง ในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา( 1990-2020 )
จากข้อมูลกว่า 204 ประเทศและภูมิภาค
พบว่า จำนวนคนปวดหลังระดับสากลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และในปี 2020 สูงราว 619 ล้านราย
อีกทั้งยังเผยว่า ภายในปี 2050 จำนวนคนปวดหลังจะเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญมากที่สุดในเอเชียและแอฟริกา
โดยผู้วิจัยกล่าวว่า อาการปวดหลังเชื่อมโยงกับภาวะความพิการอย่างน้อย 1 ใน 3
และส่งผลต่อปัญหาสุขภาพอื่นๆ กระทบกับการใช้ชีวิต การประกอบอาชีพ
ซึ่งนำไปสู่ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง
เป็นปัญหาสุขภาพระดับโลกที่ทุกชาติต้องสร้างแนวทางป้องกันและแก้ไข
คิดเห็นอย่างไร มาร่วมแสดงความเห็นใต้คอมเมนต์กันเยอะๆ นะครับ
อ้างอิง
https://ch3plus.com/news/international/ch3onlinenews/349732

วิจัยชี้ โลกอ้วนขึ้น! ทำ 1 วันยาวนานกว่าปกติมีใครรู้สึกเหมือนกันบ้างมั้ยว่า ทำไมเวลา 1 วัน มันถึงผ่านไปช้ามากถ้าหากคุณรู...
12/10/2024

วิจัยชี้ โลกอ้วนขึ้น! ทำ 1 วันยาวนานกว่าปกติ
มีใครรู้สึกเหมือนกันบ้างมั้ยว่า ทำไมเวลา 1 วัน มันถึงผ่านไปช้ามาก
ถ้าหากคุณรู้สึกแบบนั้น คุณไม่ได้คิดไปเอง
เพราะในรายงานการประชุมของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา
ได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่ยืนยันแล้วว่า เวลาใน 1 วันยาวนานขึ้นจริงๆ
และสูงสุดในรอบหลายพันปีที่ผ่านมา
โดยนักวิจัยได้ใช้คอมพิวเตอร์สังเกตและจำลอง
ผลกระทบของนํ้าแข็งละลายในช่วงเวลาหนึ่งวัน พบว่า
ปี 1900 ถึง 2000 อัตราการชะลอตัวของเวลาเปลี่ยนแปลงระหว่าง 0.3 - 1.0 มิลลิวินาทีต่อศตวรรษ (ms/cy)
แต่ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา
อัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 ms/cy เพราะแผ่นน้ำแข็งที่ละลายลงอย่างรวดเร็ว
และภายในปี อัตราการชะลอตัวจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 ms/cy
ซึ่ง 1 ในสาเหตุหลักนั้นก็คือ ภาวะโลกร้อน
จนทำให้แผ่นนํ้าแข็งละลาย น้ำในมหาสมุทรที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากขึ้น
เป็นเหตุให้โลก มีรูปร่างเป็นวงรีมากขึ้น
หรือพูดง่าย ๆ ว่าโลกอ้วนขึ้นนั่นเอง
โลกจึงหมุนได้ช้าลง ทำให้แต่ละวันยาวนานยิ่งขึ้น
เวลาที่ยาวนานขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลกระทบต่อ วิถีชีวิตของคนเราได้
ทั้งการทำธุรกรรมทางการเงิน ข้อมูลต่างๆในโลกอินทอร์ รวมถึงระบบนำทาง GPS
ล้วนต้องอาศัยการบอกเวลาที่แม่นยำ
แล้วทุกคนคิดเห็นอย่างไรกับงานวิจัยนี้ อย่าลืมมาร่วมแชร์ความคิดเห็นกันนะครับ
อ้างอิง
https://t.dailynews.co.th/news/3669965/

ผลสำรวจเผย พ่อ-แม่รุ่นใหม่เลี้ยงลูกด้วยแนวคิดแบบ "ทุ่มไม่อั้น!"ผลสำรวจจาก The 1 Insight เผิดเผยว่าปัจจุบันเศรษฐกิจนั้นซบ...
11/10/2024

ผลสำรวจเผย พ่อ-แม่รุ่นใหม่เลี้ยงลูกด้วยแนวคิดแบบ "ทุ่มไม่อั้น!"
ผลสำรวจจาก The 1 Insight เผิดเผยว่า
ปัจจุบันเศรษฐกิจนั้นซบเซาเป็นอย่างมากทั่วโลก
ส่งผลให้ประชากรส่วนใหญ่ไม่คิดอย่างมีลูก
เพราะต้องผิดชอบค่าใช้จ่ายหลายด้าน
แต่แม้จะมีปัญหาดังกล่าว ยังมีกลุ่มพ่อ-แม่ Gen Y
รวมไปถึงพ่อ-แม่รุ่นใหม่ในปัจจุบัน
เกิดแนวคิดที่สวนทางกับเศรษฐกิจแบบสุดโต่ง
คือ การเลี้ยงลูกด้วยแนวคิดแบบ “ทุ่มไม่อั้น”
แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสูงกว่าเดิมถึง 2 เท่าก็ตาม
ทาง The 1 Insight เปิดเผยเพิ่มเติมว่า
จากการวิจัยทำให้ทราบถึงที่มาของแนวคิดดังกล่าว
ที่พ่อ-แม่ส่วนใหญ่ เมื่อมีลูกก็ทุ่มไม่อั้นนั้นเกิดจาก
การที่ไม่ต้องการให้ลูกที่เกิดในยุคปัจจุบันนั้นรู้สึกขาด
ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการทางด้านความรู้
หรือแม้กระทั่งชีวิตการเป็นอยู่รอบด้าน
เนื่องจากโลกปัจจุบันคือยุคดิจิทัล ทำให้ข้อมูลท่วมท้น
พ่อ-แม่นั้นก็อยากที่จะซัพพอร์ตให้ลูกได้มากที่สุด
ซึ่งพ่อ-แม่ส่วนใหญ่มองว่า การเลี้ยงลูกปัจจุบัน
สามารถสะท้อนภาพรวมของพ่อ-แม่ตามไปด้วย
อย่างไรก็ดี ด้วยแนวคิดแบบ “ทุ่มไม่อั้น”
ทำให้อุตสาหกรรมทางด้าน ของเด็ก ก็รุ่งเรืองตามไปด้วย
ซึ่งก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
เพราะพ่อ-แม่มีกำลังในการซื้อสูงเป็นอย่างมาก
โดยสินค้าที่พ่อ-แม่ยุคปัจจุบันนิยมซื้อ คือ กระดาษทิชชู่เปียกอนามัย, คาร์ซีท, หนังสือสื่อสาร ฯลฯ
แล้วเพื่อนๆ คิดว่าการมีลูกในปัจจุบันนั้นต้องมีเงินเท่าไหร่ ถึงจะซัพพอร์ตได้ มาแชร์กัน
แหล่งข้อมูล: The 1 Insight

วิจัยชี้ ลูกคนเดียว สุขภาพจิตดีที่สุดงานวิจัยนี้เป็นของนักศึกษาปริญญาเอกด้านสังคมวิทยาในรัฐโอไฮโอ ซึ่งได้ทำการสำรวจข้อมู...
10/10/2024

วิจัยชี้ ลูกคนเดียว สุขภาพจิตดีที่สุด
งานวิจัยนี้เป็นของนักศึกษาปริญญาเอกด้านสังคมวิทยาในรัฐโอไฮโอ
ซึ่งได้ทำการสำรวจข้อมูลของเด็กนักเรียนชั้นประถมเกรด 8 (อายุ 14 ปี)
ในสหรัฐอเมริกากว่า 9,100 คน และในประเทศจีนอีก 9,400 คน
โดย 34 % เด็กนักเรียนจีนกลุ่มตัวอย่างเป็นลูกคนเดียว
ส่วนเด็กนักเรียนในสหรัฐมีแค่ 12.6% ที่เป็นลูกคนเดียว
จากนั้นทีมวิจัยจึงถามคำถามตามบริบทของประเทศกับนักเรียน
เพื่อประเมินปัญหาสุขภาพจิตของพวกเขา
ซึ่งผลปรากฏว่า ในประเทศจีนเด็กเป็นลูกคนเดียวจะมีสุขภาพจิตดีที่สุด
ส่วนสหรัฐฯ คนที่ไม่มีพี่น้อง หรือมีพี่น้องแค่คนเดียวจะมีสุขภาพจิตใกล้เคียงกัน
แต่การอยู่ร่วมกับพี่น้องแท้ๆ และพี่น้องไม่แท้ ที่มีอายุห่างกันไม่มาก
จะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพจิตมากที่สุดจะ
โดยผู้วิจัยกล่าวว่านั่นเป็นเพราะการ “แบ่งความสนใจและทรัพยากรจากพ่อแม่
เนื่องจากการมีพี่น้องเยอะ การได้รับความเอาใจใส่จากผู้ปกครองต่อแต่ละคนก็น้อยลงนั่นเอง
ทำให้เด็กรู้สึกว่าต้องแข่งขันกันแย่งชิงทรัพยากรจากพ่อแม่”
อ้างอิง
https://www.springnews.co.th/lifestyle/spring-life/848760

เครดิตบูโร เผย คน Gen Z ติดหนี้บัตร มากกว่า Gen Y ถึง 26%จากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้เผยแพร่ รายงานของบริษัทข้อมูลเครดิต...
09/10/2024

เครดิตบูโร เผย คน Gen Z ติดหนี้บัตร มากกว่า Gen Y ถึง 26%
จากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้เผยแพร่ รายงานของบริษัทข้อมูลเครดิตบูโร ในปี 2023 ที่ผ่านมา
พบว่า คน Gen Z ที่อายุระหว่าง 22 - 24 ปีในปีนี้
ติดหนี้บัตรเครดิต สูงกว่าเด็ก Gen Y ในวัยเดียว เมื่อ 10 ปีก่อน ถึง 26%
กลุ่มคน Gen Y ที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่หลังภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก
แต่คนรุ่น Gen Z ต้องเจอวิกฤติการเงินที่เรียกได้ว่า “เลวร้ายยิ่งกว่า”
เพราะข้อมูลจากบริษัทเครดิตบูโร TransUnion ชี้ว่า กลุ่มผู้บริโภค Gen Z
มีอัตราการผิดชำระหนี้สูงกว่าเด็กรุ่นใหม่เมื่อ 10 ปีก่อน
โดยหนี้ที่พุ่งสูงขึ้นครั้งนี้มาจากหนี้บัตรเครดิต หนี้อสังหาริมทรัพย์
หรือแม้แต่หนี้สินเชื่อนักศึกษา
โดย Gen Z มีอัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้เฉลี่ย 16%
ซึ่งมากกว่าเมื่อเทียบกับ Gen Y อยู่ที่ 12%
ซึ่งรวมยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแล้ว แต่ยังไม่ได้ชำระคืนของคนรุ่น Gen Z
ในอายุช่วง 20 ต้นๆ อยู่ที่ 2,834 ดอลลาร์ แต่หากปรับอัตราเงินเฟ้อแล้วจะเฉลี่ยอยู่ที่
1 แสนดอลลาร์ ในปี 2023
ซึ่งถือว่าสูงกว่ายอดคงเหลือเฉลี่ยของกลุ่ม Gen Y วัยเดียวกันในปี 2556 ถึง 26%
แล้วคุณคิดอย่างไรกับรายงานนี้ เข้ามาแชร์ประสบการณ์หรือแสดงความคิดเห็นกันใต้คอมเมนต์ได้เลยครับ
อ้างอิง
https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-05-08/gen-z-is-relying-more-on-credit-cards-loans-than-millennials-did?srnd=homepage-asia

ผลสำรวจเผย ชาว Gen Z 47% เชื่อ ChatGPT มากกว่าหัวหน้า!หากคุณมีปัญหาด้านการทำงานคิดว่าควรปรึกษาใครมากที่สุด?คำตอบอาจจะเป็...
07/10/2024

ผลสำรวจเผย ชาว Gen Z 47% เชื่อ ChatGPT มากกว่าหัวหน้า!
หากคุณมีปัญหาด้านการทำงาน
คิดว่าควรปรึกษาใครมากที่สุด?
คำตอบอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้า
แต่ไม่ใช่กับชาว Gen Z
เพราะผลสำรวจในสหรัฐฯ ล่าสุดจาก INTOO และ Workplace Intelligence ในปี 2024 นี้
พบว่า กลุ่มพนักงาน Gen Z คิดว่าหัวหน้าให้คำแนะนำได้ไม่ดีพอ
ทำให้พวกเขาผิดหวังอย่างมากถึง 47%
อีกทั้งยังกล่าวว่า ChatGPT ให้คำแนะนำได้ดีกว่า
แถมไม่เหวี่ยง ไม่วีนใส่อีกด้วย
อีกทั้ง 44% ยังคาดว่าจะลาออกภายใน 6 เดือน
เพราะที่ทำงานไม่ได้ช่วยพัฒนาทักษะของพวกเขา
จากการวิเคราะห์ข้อมูลสำมะโนประชากรในปี 2024
ถือเป็นปีแรกที่คาดว่าจำนวน Gen Z
จะแซงหน้าจำนวนคนรุ่น Baby Boomers ในตลาดแรงงาน
ซึ่ง INTOO ได้กล่าวต่อว่า “ถ้าอยากให้คน Gen Z ยุคใหม่ พึงพอใจและภักดีกับบริษัท
บริษัทจะต้องสนับสนุนและลงทุนกับพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้มีเงินเดือนสูง ก็ไม่สามารถทดแทนได้”
แล้วคุณคิดอย่างไรกับผลสำรวจนี้ อย่าลืมมาแชร์ความคิดเห็นใต้คอมเมนต์กันนะครับ
อ้างอิง
https://smartcitythailand.com/genz-thrust-chatgpt-than-their-boss/

ผลสำรวจเบื้องต้นของความคิดเห็นประชาชน ในมาตรการต่อกรณีไฟไหม้รถทัวร์ทัศนศึกษาปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ประชาชนส่ว...
02/10/2024

ผลสำรวจเบื้องต้นของความคิดเห็นประชาชน ในมาตรการต่อกรณีไฟไหม้รถทัวร์ทัศนศึกษา
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ประชาชนส่วนใหญ่มองว่า เป็นมาตรฐานของรถ 84% สภาวะและความพร้อมของคนขับ 61% และเห็นด้วยอย่างยิ่ง ให้มีการตรวจสอบและบทลงโทษที่หนักขึ้นสำหรับรถที่ไม่ได้มาตรฐาน 81% แต่ไม่ควรยกเลิกการทัศนศึกษา
วันที่ 3 ตุลาคม 2567 - จากเหตุการณ์เพลิงไหม้รถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยา จ.อุทัยธานี บริเวณถนนวิภาวดี ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเด็กนักเรียนและสร้างความกังวลในสังคม
D-vote จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเพื่อหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสาเหตุและมาตรการที่ควรดำเนินการ และสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการพัฒนาและป้องกันเหตุในอนาคต จากประชาชนทั่วไป กระจายทุกช่วงอายุ จำนวน 110 ตัวอย่าง ค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 87 พบว่า
81.65% เห็นด้วยอย่างยิ่ง ในการปรับแก้กฏหมายการตรวจสอบและบทลงโทษที่หนักขึ้นสำหรับรถที่ไม่ได้มาตรฐาน
11.93% ค่อนข้างเห็นด้วย ในการปรับแก้กฏหมายการตรวจสอบและบทลงโทษที่หนักขึ้นสำหรับรถที่ไม่ได้มาตรฐาน
2.75% ค่อนข้างไม่เห็นด้วย ในการปรับแก้กฏหมายการตรวจสอบและบทลงโทษที่หนักขึ้นสำหรับรถที่ไม่ได้มาตรฐาน
1.83% ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ในการปรับแก้กฏหมายการตรวจสอบและบทลงโทษที่หนักขึ้นสำหรับรถที่ไม่ได้มาตรฐาน
1.83% ระบุว่า “ไม่แน่ใจ”
สำหรับคำถามในประเด็น “คุณคิดว่าอะไรคือสาเหตุของเหตุการณ์นี้?” โดยผู้ตอบให้ความเห็นได้ตามความคิด และเลือกตอบได้หลายข้อ พบว่า
84.40% ระบุว่า มาตรฐานของรถ
61.47% ระบุว่า สภาวะและความพร้อมของคนขับ
52.29% ระบุว่า ความรู้ความเข้าใจของเด็กนักเรียนในการช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้น
49.54% ระบุว่า อายุของเด็กนักเรียนที่น้อยเกินไป ไม่สามารถดูแลตัวเองได้
40.37% ระบุว่า ระยะทางและระยะเวลาเดินทางของการทัศนศึกษา
27.52% ระบุว่า การเข้าถึงของหน่วยงานดับเพลิงหรือกู้ภัยต่าง ๆ
24.77% ระบุว่า จำนวนและความพร้อมของครู
และ 2.75% ระบุว่า ไม่แน่ใจ
สำหรับคำถามในประเด็น “คุณคิดเห็นอย่างไรสำหรับการทัศนศึกษา?”
44.95% ระบุว่า ไม่สมควรยกเลิก แต่เพิ่มมาตรการปลอดภัยและยกระดับบทลงโทษสูงขึ้น
31.19% ระบุว่า สมควรยกเลิกสำหรับเด็กนักเรียนที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้
20.18% ระบุว่า สมควรยกเลิกทั้งหมด
และ 3.67% ระบุว่า ไม่แน่ใจ
จากผลการสำรวจครั้งนี้ ประชาชนมีความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารและความพร้อมของผู้ขับขี่ อีกทั้งยังเรียกร้องให้มีการปรับปรุงกฎหมายและมาตรการความปลอดภัยในการทัศนศึกษา เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ร่วมให้ความเห็นได้ที่: https://d-vote.com/dvote/UMW72OC5WJPXHLE
ดีโหวต ขอแสดงความเสียใจและไว้อาลัยต่อครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลนี้จะสามารถทำให้สังคมตระหนักถึงสาเหตุและมาตรการที่ควรดำเนินการเพื่อป้องกันเหตุในอนาคต
#ไฟไหม้รถทัวร์ #ไฟไหม้รถบัส #ทัศนศึกษา #อุทัยธานี

สำรวจความคิดเห็นของประชาชน ในมาตรการต่อกรณีไฟไหม้รถทัวร์ทัศนศึกษา เพื่อเป็นแนวทางและสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนไปยังหน่ว...
02/10/2024

สำรวจความคิดเห็นของประชาชน ในมาตรการต่อกรณีไฟไหม้รถทัวร์ทัศนศึกษา

เพื่อเป็นแนวทางและสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเกิดการพัฒนาและป้องกันเหตุในอนาคต

ร่วมให้ความเห็นได้ที่
https://d-vote.com/dvote/UMW72OC5WJPXHLE

ดีโหวต ขอแสดงความเสียใจและไว้อาลัยต่อครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้

ที่อยู่

Paknam

เบอร์โทรศัพท์

+66939644915

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ D-voteผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง D-vote:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ


Paknam บริษัท สื่ออื่นๆ

แสดงผลทั้งหมด