01/01/2025
5 หลักการพัฒนาตนเองแห่งปี 2025 จากสุดยอดหนังสือและคัมภีร์ทรงพลัง
มัดรวมแนวคิดจากหนังสือสมัยใหม่อย่าง Start with WHY, Give and Take, Grit , Atomic Habits
และคัมภีร์โบราณ Corpus Hermeticum + The Way of Hermes + The Kybalion
===================
1.
Start with WHY ของ Simon Sinek: จุดเริ่มต้นของทุกความสำเร็จ คือการเข้าใจแก่นแท้ของ 'ทำไม'
- The Golden Circle คือแผนที่ที่จะพาเราไปพบกับแก่นแท้ของตัวตน ผ่านวงสามชั้นที่สอดคล้องกับการทำงานของจิตใจ - WHY (จุดมุ่งหมายและความเชื่อที่ขับเคลื่อนชีวิต), HOW (วิธีการที่จะทำให้ความเชื่อนั้นเป็นจริง), และ WHAT (การกระทำและผลลัพธ์ที่จับต้องได้)
- โครงสร้างนี้สะท้อนการทำงานของสมองมนุษย์อย่างลึกซึ้ง
- Limbic Brain - ส่วนที่ควบคุมอารมณ์และการตัดสินใจเชิงสัญชาตญาณ - ตอบสนองต่อ WHY โดยตรง มันคือที่มาของความรู้สึก "ถูกต้อง" ที่เรามักอธิบายไม่ได้
- ในขณะที่ Neocortex รับผิดชอบการวิเคราะห์เหตุผลและจัดการกับ WHAT
- การค้นหา WHY ไม่ใช่การท่องจำวิสัยทัศน์หรือเป้าหมาย แต่เป็นการเดินทางย้อนกลับไปหาแรงบันดาลใจดั้งเดิม - สิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นแรง สิ่งที่ทำให้ลุกขึ้นมาในยามที่ล้มลง มันคือความเชื่อที่ลึกซึ้งกว่าความสำเร็จหรือเงินทอง เป็นเหตุผลที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย
- เมื่อ WHY ชัดเจน การตัดสินใจทุกอย่างจะง่ายขึ้น เพราะเรามีเข็มทิศนำทาง
- แต่ความท้าทายคือการรักษา WHY ให้สดใหม่ท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเราต้องเผชิญกับความกดดัน การปฏิเสธ หรือความล้มเหลว นี่คือจุดที่คนส่วนใหญ่หลงทาง ปล่อยให้แรงกดดันภายนอกพรากพวกเขาไปจาก WHY ที่แท้จริง
- WHY ที่ชัดเจนแต่ขาดทักษะและวิธีการ (HOW) ที่เหมาะสมจะกลายเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ
- HOW ที่แข็งแกร่งแต่ขาด WHY ที่ทรงพลัง จะทำให้เราหลงทางในรายละเอียดและสูญเสียแรงบันดาลใจ
- ความสมดุลระหว่าง WHY และ HOW คือกุญแจสู่การเติบโตที่ยั่งยืน เราต้องพัฒนาทั้งสองด้านไปพร้อมกัน
================================
2.
Give and Take ของ Adam Grant: พลังแห่งการให้ที่สร้างการเปลี่ยนแปลง
- ในเส้นทางการพัฒนาตน มนุษย์แต่ละคนมีรูปแบบการมีปฏิสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน
- Givers ผู้ที่มักให้มากกว่ารับ
- Matchers ผู้ที่ยึดหลักความเท่าเทียม
- และ Takers ผู้ที่มองหาประโยชน์ส่วนตน
- สิ่งที่น่าสนใจคือ Givers มักจะอยู่ที่จุดสุดขั้ว ประสบความสำเร็จอย่างงดงามหรือล้มเหลวยับเยิน
- ความแตกต่างระหว่าง Successful Givers และ Unsuccessful Givers อยู่ที่กลยุทธ์การให้
- Successful Givers ใช้แนวคิด Otherish Giving = การให้ที่คำนึงถึงความยั่งยืน พวกเขาเข้าใจว่าการดูแลตัวเองไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว แต่เป็นการทำให้เราสามารถช่วยผู้อื่นได้ในระยะยาว
- ตรงข้ามกับ Selfless Giving ที่มักนำไปสู่ความหมดไฟและการสูญเสียตัวตน
- การให้ที่ชาญฉลาดไม่ได้หมายถึงการคาดหวังผลตอบแทนโดยตรง แต่เป็นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน เหมือนการหว่านเมล็ดพันธุ์ลงในดินที่อุดมสมบูรณ์
- Givers ที่ประสบความสำเร็จมักมีความสามารถพิเศษในการมองเห็นศักยภาพของผู้อื่น พวกเขาลงทุนในการพัฒนาคนรอบข้าง สร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งบนพื้นฐานของความไว้วางใจ
- ทักษะสำคัญของ Successful Givers คือความสามารถในการอ่านคน พวกเขารู้จักแยกแยะระหว่าง Takers ที่แฝงตัว กับผู้ที่จริงใจ
- มีการศึกษาที่น่าสนใจพบว่า Givers มีความแม่นยำในการประเมินความจริงใจของผู้อื่นสูงกว่าคนทั่วไป อาจเป็นเพราะประสบการณ์ในการให้ทำให้พวกเขาไวต่อสัญญาณทางสังคมมากขึ้น
==========================
3.
Grit ของ Angela Duckworth: พลังแห่งความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันตาย
- Grit ไม่ใช่แค่ความพยายาม แต่เป็นการผสานระหว่างความหลงใหลและความอดทนที่ยืนยาว หัวใจของ Grit คือความสามารถในการรักษาเป้าหมายระยะยาวไว้ แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือความล้มเหลว มันคือการมองข้ามความพึงพอใจชั่วคราวเพื่อไล่ตามสิ่งที่มีความหมายกว่า
- องค์ประกอบสำคัญของ Grit มีสี่ประการ
1. Interest ความสนใจที่ลึกซึ้ง
2. Practice การฝึกฝนอย่างมีเป้าหมาย
3. Purpose จุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง
4. Hope ความหวังที่ไม่มีวันมอดดับ
- แต่ละองค์ประกอบนี้ไม่ใช่พรสวรรค์ที่ติดตัวมา แต่เป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้
- Interest เริ่มต้นจากเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากรู้ ไม่มีใครเกิดมาพร้อมความหลงใหล แต่มันเติบโตผ่านการสำรวจ ทดลอง และค้นพบ ที่สำคัญคือต้องให้เวลากับมันเติบโต ไม่คาดหวังว่าจะเจอความหลงใหลแบบฟ้าผ่า การค้นพบความสนใจที่แท้จริงต้องการทั้งความอดทนและการเปิดใจ
- Deep Practice คือการฝึกฝนที่มุ่งเน้นการพัฒนา ไม่ใช่แค่ทำซ้ำๆ แต่เป็นการท้าทายขีดจำกัด มุ่งแก้ไขจุดอ่อน และเรียนรู้จากข้อผิดพลาด มันต่างจาก Flow ที่ราบรื่นและสบาย Deep Practice มักไม่สนุก แต่สร้างความก้าวหน้าที่แท้จริง ต้องการทั้งความมุ่งมั่นและความกล้าที่จะเผชิญกับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง
- Purpose เชื่อมโยงความพยายามของเรากับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ทำให้การต่อสู้มีความหมาย ไม่ใช่แค่ความสำเร็จส่วนตัว แต่เป็นการสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่นและสังคม Purpose ที่ชัดเจนช่วยให้เราผ่านพ้น Valley of Despair - ช่วงเวลาที่ความพยายามดูเหมือนไร้ผล เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นมีความหมายมากกว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวชั่วคราว
- Hope ในบริบทของ Grit ไม่ใช่การคาดหวังว่าทุกอย่างจะดีเอง แต่เป็นความเชื่อว่าการกระทำของเรามีผล เป็น Growth Mindset ที่มองว่าความสามารถไม่ใช่สิ่งตายตัว แต่พัฒนาได้ผ่านความพยายาม Hope ทำให้เรามองความล้มเหลวเป็นข้อมูลป้อนกลับ ไม่ใช่การตัดสินคุณค่าของตัวเอง
============================
4.
Atomic Habits ของ James Clear: การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ
- การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดจากการปฏิวัติครั้งใหญ่ แต่มาจากการสะสมการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ทีละ 1% ทุกวัน เหมือนดอกเบี้ยทบต้นของการพัฒนาตัวเอง
- การเติบโต 1% ต่อวันเป็นเวลาหนึ่งปีจะส่งผลให้เราดีขึ้น 37.8 เท่า ในขณะที่การถดถอย 1% ต่อวันจะทำให้เหลือเพียง 0.03 เท่าของจุดเริ่มต้น
- นิสัยคือระบบอัตโนมัติที่สมองสร้างขึ้นเพื่อประหยัดพลังงาน มันทำงานผ่านวงจร Cue (สัญญาณ), Craving (ความอยาก), Response (การตอบสนอง), และ Reward (รางวัล) เมื่อเข้าใจวงจรนี้ เราสามารถออกแบบสภาพแวดล้อมให้พฤติกรรมที่ต้องการกลายเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด
- กฎสี่ข้อในการสร้างนิสัย
1 ทำให้ชัดเจน (Obvious)
2 น่าดึงดูด (Attractive)
3 ง่าย (Easy)
4 น่าพึงพอใจ (Satisfying)
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นการออกแบบระบบที่ทำให้พฤติกรรมที่ดีเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
- Identity-Based Habits คือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน แทนที่จะมุ่งเน้นที่เป้าหมาย เราควรเริ่มจากการเปลี่ยนความเชื่อเกี่ยวกับตัวเอง ทุกครั้งที่เราทำพฤติกรรมใดซ้ำๆ เราไม่ได้แค่สร้างนิสัย แต่กำลังสร้างหลักฐานใหม่ว่าเราเป็นคนแบบไหน การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต้องสอดคล้องกับตัวตนที่เราต้องการจะเป็น
- Valley of Disappointment เป็นช่วงที่ท้าทายที่สุด เมื่อเราทำทุกอย่างถูกต้องแต่ยังไม่เห็นผล คนส่วนใหญ่ล้มเลิกในช่วงนี้
- แต่หากผ่านพ้นไปได้ จะเข้าสู่ Phase of Breakthrough ที่ผลลัพธ์ทบทวีอย่างก้าวกระโดด เหมือนการสร้างบ้าน - ต้องวางรากฐานให้แข็งแรงก่อนจึงจะเห็นโครงสร้างที่ผุดขึ้นมา
===========================
5.
คัมภีร์โบราณ: ปัญญาสากลแห่งจักรวาล
สามคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดนี้
1. Corpus Hermeticum
2. The Way of Hermes
3. The Kybalion
5.1 Corpus Hermeticum
- เป็นคัมภีร์โบราณที่รวบรวมปัญญาความรู้ของอียิปต์และกรีกโบราณ ถูกเขียนในรูปแบบบทสนทนาระหว่างเฮอร์เมส ทริสเมจิสตัส กับศิษย์ของท่าน นำเสนอความจริงพื้นฐานของจักรวาลและมนุษย์ผ่านบทสนทนา 17 บท
- บทแรก Poimandres เป็นหัวใจสำคัญที่สุด อธิบายการกำเนิดจักรวาลและธรรมชาติของมนุษย์ โดยเริ่มจากความว่างเปล่าและความมืด สู่การปรากฏของแสงสว่างแห่งปัญญา (Nous) จากนั้นจึงเกิดธาตุทั้งสี่และการสร้างสรรพสิ่ง มนุษย์ถูกสร้างให้มีธรรมชาติสองด้าน - ร่างกายที่เป็นวัตถุและจิตวิญญาณที่เป็นประกายจากพระเจ้า
- บทต่อๆ มาอธิบายถึงโครงสร้างของจักรวาลที่แบ่งเป็นระดับชั้น ตั้งแต่พระเจ้าสูงสุดลงมาถึงโลกวัตถุ แต่ละระดับมีกฎและพลังงานเฉพาะ แต่เชื่อมโยงกันด้วยหลักการสากล มนุษย์อยู่ในตำแหน่งพิเศษที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งโลกวัตถุและโลกจิตวิญญาณ
- คัมภีร์เน้นย้ำว่าการพ้นทุกข์เกิดจากความรู้และการตระหนักรู้ (Gnosis) ไม่ใช่แค่ความเชื่อหรือศรัทธา มนุษย์ต้องเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของตน ปล่อยวางจากสิ่งลวงทางโลก และพัฒนาจิตวิญญาณผ่านการภาวนาและการปฏิบัติ
- หลักการสำคัญในคัมภีร์ประกอบด้วย:
1. ทุกสิ่งมาจากหนึ่งเดียว (The One)
2. จักรวาลเป็นทั้งจิตและสสาร
3. มนุษย์มีศักยภาพในการยกระดับจิตวิญญาณ
4. การเข้าถึงความจริงต้องอาศัยทั้งเหตุผลและญาณทัศนะ
5. ความรู้นำไปสู่การหลุดพ้น
Corpus Hermeticum มีอิทธิพลอย่างมากต่อปรัชญาตะวันตก โดยเฉพาะในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และยังคงเป็นรากฐานของการศึกษาปรัชญาเชิงจิตวิญญาณจนถึงปัจจุบัน
5.2 The Way of Hermes - แนวทางปฏิบัติแห่งปรัชญาเฮอร์เมติก
- The Way of Hermes ไม่ใช่เพียงคู่มือการปฏิบัติ แต่เป็นแผนที่ที่จะนำพาผู้แสวงหาไปสู่การเข้าถึงความจริงสูงสุด โดยผสานความรู้จากคัมภีร์โบราณเข้ากับการปฏิบัติในชีวิตจริง แบ่งการเดินทางนี้เป็น 3 ระดับที่ลึกซึ้งและเชื่อมโยงกัน
- ระดับแรกคือการเข้าใจทฤษฎีจักรวาล ไม่ใช่แค่การท่องจำโครงสร้างของสรรพสิ่ง แต่เป็นการซึมซับความจริงที่ว่าทุกอย่างเชื่อมโยงกันในระบอบอันสมบูรณ์ จักรวาลไม่ใช่เพียงที่ว่างที่เต็มไปด้วยดวงดาว แต่เป็นร่างกายอันมีชีวิตของจิตสากล การเคลื่อนไหวของดวงดาวสะท้อนจังหวะการเต้นของหัวใจจักรวาล และในหัวใจของมนุษย์ทุกคนก็มีประกายของดวงดาวเหล่านั้น
- ระดับที่สองพาเราดำดิ่งสู่จิตวิทยาลึกลับ ที่เผยให้เห็นว่าจิตใจมนุษย์ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในกะโหลก แต่เชื่อมต่อกับพลังลึกลับของจักรวาล ความคิดและอารมณ์ไม่ใช่เพียงปฏิกิริยาเคมีในสมอง แต่เป็นคลื่นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงรอบตัว การเข้าใจกลไกของจิตจึงเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่
- ระดับที่สามคือการปฏิบัติศักดิ์สิทธิ์ ที่หลอมรวมความเข้าใจทั้งหมดเข้ากับชีวิตประจำวัน ผ่านการภาวนา พิธีกรรม และการใช้สัญลักษณ์ที่ทรงพลัง ไม่ใช่เพียงการทำตามขั้นตอน แต่เป็นการแปรเปลี่ยนตัวตนทั้งหมดให้สอดคล้องกับกฎสากล เหมือนการปรับเครื่องรับวิทยุให้จูนเข้ากับความถี่ของจักรวาล
- The Way of Hermes สอนว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งในระดับความคิด จิตใจ และการกระทำ เหมือนนักเล่นแร่แปรธาตุที่ต้องเปลี่ยนทั้งสสารและจิตวิญญาณไปพร้อมกัน ความรู้ที่ไม่นำไปสู่การปฏิบัติก็เป็นเพียงความฝัน และการปฏิบัติที่ไม่มีรากฐานของความเข้าใจก็เป็นเพียงการเดินในความมืด
5.3 The Kybalion – หลักการเฮอร์เมติก 7 ประการ
- หลักการเฮอร์เมติกเป็นกฎพื้นฐานที่ควบคุมการทำงานของจักรวาลและจิตใจมนุษย์ ผ่านหลักการ 7 ประการที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง
- การเข้าใจหลักการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เราเข้าใจโลกรอบตัว แต่ยังช่วยให้เราสามารถใช้กฎธรรมชาติเหล่านี้ในการพัฒนาตนเอง
- Mentalism - หลักการแรกและสำคัญที่สุด กล่าวว่าทุกสิ่งในจักรวาลล้วนเป็นปรากฏการณ์ทางจิต จิตคือที่มาของทุกสิ่ง และความคิดคือเครื่องมือในการสร้างความจริง หลักการนี้ไม่ได้ปฏิเสธความมีอยู่ของวัตถุ แต่ชี้ให้เห็นว่าสสารทั้งหมดเป็นผลผลิตของจิตสากล การเข้าใจหลักการนี้ช่วยให้เรารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงในระดับความคิด
- Correspondence - "ดังเบื้องบน ฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น" หลักการนี้แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างระดับต่างๆ ของความเป็นจริง ตั้งแต่จุลภาคถึงมหภาค จากอะตอมถึงกาแล็กซี่ จากจิตใจถึงจักรวาล ความเข้าใจในหลักการนี้ช่วยให้เราเห็นว่าการเรียนรู้ในระดับหนึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้กับอีกระดับหนึ่ง
- Vibration อธิบายว่าทุกสิ่งในจักรวาลอยู่ในสภาวะเคลื่อนไหวและสั่นสะเทือนตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดหยุดนิ่ง แม้แต่สสารที่ดูเหมือนไม่เคลื่อนไหวก็กำลังสั่นในระดับโมเลกุล ความแตกต่างระหว่างสสาร พลังงาน ความคิด และจิตวิญญาณ อยู่ที่อัตราการสั่นสะเทือน การยกระดับความถี่ของตัวเองจึงเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาจิตวิญญาณ
- Polarity แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งมีขั้วตรงข้าม เป็นสเปกตรัมของความเป็นจริงเดียวกัน ร้อน-เย็น มืด-สว่าง รัก-เกลียด ล้วนเป็นระดับที่แตกต่างกันของสิ่งเดียวกัน ความเข้าใจนี้ช่วยให้เรามองเห็นความเป็นหนึ่งเดียวเบื้องหลังความขัดแย้ง และสามารถใช้กฎการแปรสภาพ (Transmutation) เพื่อเปลี่ยนขั้วลบให้เป็นบวกได้
- Rhythm - กฎแห่งจังหวะที่ควบคุมทุกสรรพสิ่ง แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างดำเนินไปในลักษณะของการแกว่งตัวไปมาระหว่างขั้วตรงข้าม เหมือนลูกตุ้มนาฬิกาที่เคลื่อนจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอย่างสม่ำเสมอ ชีวิต อารมณ์ และจักรวาลล้วนเต้นตามจังหวะนี้ ความเข้าใจในหลักการนี้ช่วยให้เราเข้าใจวัฏจักรของชีวิตและสามารถทำนายรูปแบบการเปลี่ยนแปลงได้
- Cause and Effect - กฎแห่งเหตุและผลที่ไม่มีข้อยกเว้น ทุกการกระทำ ทุกเหตุการณ์ ทุกสภาวะล้วนเป็นผลของเหตุที่มาก่อน และจะกลายเป็นเหตุของผลที่ตามมา ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แม้เราอาจไม่เห็นความเชื่อมโยง แต่ทุกอย่างเป็นไปตามกฎนี้ การเข้าใจหลักการนี้ทำให้เรารู้ว่าเราสามารถสร้างผลที่ต้องการได้ด้วยการจัดการกับเหตุอย่างชาญฉลาด
- Gender - หลักการสุดท้ายที่อธิบายว่าทุกสิ่งมีทั้งพลังชายและหญิงในตัว ไม่ได้หมายถึงเพศทางกายภาพ แต่เป็นหลักการของการสร้างสรรค์ที่ต้องการทั้งสองพลังนี้ พลังชาย (Masculine) แสดงถึงการกระทำ การริเริ่ม การนำ ในขณะที่พลังหญิง (Feminine) แสดงถึงการรับ การบ่มเพาะ การสร้างสรรค์ ความสมดุลระหว่างสองพลังนี้คือกุญแจสู่การพัฒนาที่สมบูรณ์
==============================
จาก WHY ที่ทรงพลังของ Simon Sinek ที่เตือนให้เราไม่หลงลืมแก่นแท้ของตัวตน
สู่พลังแห่งการให้ของ Adam Grant ที่สอนว่าความสำเร็จที่แท้จริงเกิดจากการสร้างคุณค่าให้ผู้อื่น
ต่อด้วย Grit ของ Angela Duckworth ที่เผยให้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากพรสวรรค์ แต่มาจากความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ
เชื่อมต่อด้วย Atomic Habits ของ James Clear ที่ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ
และปิดท้ายด้วยปัญญาอันลุ่มลึกจากคัมภีร์โบราณที่เตือนใจว่า ทุกสิ่งในจักรวาลล้วนเชื่อมโยงกัน และการพัฒนาตนที่แท้จริงต้องเกิดขึ้นทั้งในระดับจิตใจและการกระทำ
เส้นทางแห่งการพัฒนาตนเองนั้น
ไม่ใช่การวิ่งแข่งบนถนนของคนอื่น แต่เป็นการก้าวเดินอย่างมั่นคงบนจังหวะของตัวเอง
ดั่งต้นไม้ที่ไม่เคยเร่งรีบจะผลิดอก ไม่เคยรีบร้อนจะแผ่กิ่ง แต่เติบโตอย่างสง่างามตามจังหวะของธรรมชาติ
ความสำเร็จ
ไม่ได้อยู่ที่การไปถึงยอดเขา แต่อยู่ที่เราได้กลายเป็นนักปีนเขาที่แกร่งกล้าขึ้น
ไม่ได้วัดกันที่ระยะทาง แต่วัดที่รอยเท้าแห่งคุณค่าที่เราได้ประทับไว้บนเส้นทางนั้น
============================
[ สวัสดีปีใหม่ 2568 ครับ ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ติดตามเพจทุกท่านครับ ]
Pond Apiwat Atichat แอดมินเพจ Success Strategies กลยุทธ์แห่งความสำเร็จ
https://www.facebook.com/pond.atichat