แจ็คสุรินทร์เหลา

แจ็คสุรินทร์เหลา ความรู้ ความสนุกสนาน ความบันเทิง

กล้วยหลังบ้านปลีใหญ่มาก #กล้วยหลังบ้าน  #กล้วยน้ำหว้า #ปลูกกินเอง
26/01/2025

กล้วยหลังบ้านปลีใหญ่มาก
#กล้วยหลังบ้าน #กล้วยน้ำหว้า
#ปลูกกินเอง

วิธีการปลูกมะเขือเทศ โรคที่เกิดจากมะเขือเทศ #การปลูกมะเขือเทศ  #มะเขือเทศ
16/01/2025

วิธีการปลูกมะเขือเทศ
โรคที่เกิดจากมะเขือเทศ
#การปลูกมะเขือเทศ #มะเขือเทศ

ว่านหางจระเข้ มีธาตุที่เป็นประโยชน์สำหรับพืชเป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโนหลากหลายชนิด รวมทั้งสารอาหา...
14/01/2025

ว่านหางจระเข้ มีธาตุที่เป็นประโยชน์สำหรับพืช

เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโนหลากหลายชนิด รวมทั้งสารอาหารชนิดต่างๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย อีกทั้งยังให้ประโยชน์ในหลายด้าน เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 วิตามินบี 9 วิตามินบี 12 วิตามินซี วิตามินอีและโคลีน

สารอาหารที่อยู่ในเปลือกไข่1. โพแทสเซียม : เร่งการเจริญเติบโตของราก ใบ หากใช้ในผักกินใบ จะทำให้ใบกรอบ สีเขียวสวย น่ารับปร...
12/01/2025

สารอาหารที่อยู่ในเปลือกไข่
1. โพแทสเซียม : เร่งการเจริญเติบโตของราก ใบ หากใช้ในผักกินใบ จะทำให้ใบกรอบ สีเขียวสวย น่ารับประทาน
2. กัมถัน : ในเปลือกไข่มีกัมถันอ่อนๆ ที่มีฤทธิ์ช่วยในการขับไล่ แ ม ล ง บางชนิดได้อีกด้วย
3. แคลเซียม : ช่วยให้ลำต้นแข็งแรง ไม่หักโค่นล้มง่าย เหมาะสำหรับผักสวนครัวที่มีลำต้นเล็ก แต่พุ่มหนาดก หรือ ออกผลเยอะ ทำให้ลำต้นต้องแบกรับน้ำหนักเยอะ เสี่ยงต่อการหักโค่น เช่น มะนาว มะกรูด พริก เป็นต้น

วิธีใช้
นำเปลือกไข่มาบดให้ละเอียด แล้วนำเกลือ กับ ผงชูรสผสมลงไปเล็กน้อย โรยรอบๆโคนต้นไม้ แล้วรดน้ำตาม ประมาณ 7 วันจะเกิดการย่อยสลายซึมลงสู่ดิน สารอาหารจากเปลือกไข่ก็จะเป็นอาหารในดินให้พืชนำไปใช้งาน ช่วยเพิ่ม แคลเซียม โพแทสเซียม และ สารอาหารจำเป็นต่างๆ ช่วยให้พืชผัก แข็งแรง เจริญเติบโตได้ดี

 #การทำปุ๋ยหมักไม่กลับกอง  #สูตรวิศวกรรมแม่โจ้
09/01/2025

#การทำปุ๋ยหมักไม่กลับกอง
#สูตรวิศวกรรมแม่โจ้

ลักษณะของมะละกอลำต้น มะละกอจัดเป็นพืชล้มลุก    มีอายุสั้น   ลำต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน  มีน้ำมาก   ลำต้นเปราะ หักง่าย   เมื่อ...
25/12/2024

ลักษณะของมะละกอ

ลำต้น มะละกอจัดเป็นพืชล้มลุก มีอายุสั้น ลำต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน มีน้ำมาก ลำต้นเปราะ หักง่าย เมื่อถูกลมพัดแรงๆ สูงประมาณ 1.5 - 6 เมตร

ใบ เป็นใบเดี่ยวเกิดอยู่ตรงส่วนยอดของลำต้น ใบมีขนาดใหญ่ลักษณะเป็นแฉกๆหรือเป็นหยักๆ 7 - 11 แฉก

ดอก ดอกมีลักษณะพิเศษ ตามที่ผมตั้งใจจะพูดในวันนี้ครับ ดอกมะละกอแบ่งออกได้ดังนี้ครับ

1. ดอกตัวผู้ คือต้นมะละกอต้นนี้จะมีเฉพาะดอกตัวผู้ล้วนๆ และต้นชนิดนี้ชาวสวนเรียกกันว่าต้นตัวผู้ ลักษณะของดอกตัวผู้จะออกเป็นช่อ ช่อหนึ่งๆมีหลายดอก มีก้านดอกยาว อาจจะยาวประมาณ 1 - 3 ฟุต ต้นตัวผู้ไม่มีลูกครับ แต่ชาวสวนจะไม่โค่นทิ้ง จะต้องเก็บไว้ให้แมลงมาตอมและพาเอาละอองเกสรตัวผู้ ไปผสมกับดอกตัวเมียต่อไป

2. ดอกตัวเมีย คือต้นมะละกอต้นนี้จะมีเฉพาะดอกตัวเมียล้วนๆ และต้นชนิดนี้ชาวสวนเรียกกันว่าต้นตัวเมีย ลักษณะของดอกตัวเมีย มีขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 2 - 2.5 นิ้ว มีก้านดอกสั้น เจริญติดอยู่กับฐานของก้านใบ อาจออกเป็นดอกเดี่ยว หรือมี 2 - 3 ติดเป็นกระจุก บางพันธุ์อาจจะมีมากกว่า 10 ดอก เพื่อได้รับการผสมพันธ์จากละอองเกสรตัวผู้ ก็จะเจริญเป็นผล มากกว่า 10 ผล

3. ดอกกระเทย เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีทั้งเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ดอกมีก้านสั้นติดอยู่กับง่ามของก้านใบ

เห็นไหมครับเป็นเรื่องน่าสนใจจริงๆ ซึ่งหลายๆคนอาจจะไม่ทราบว่า มะละกอมีดอกตั้ง 3 แบบ

ผล โดยทั่วๆไปผลมีลักษณะกลมป้อม จนถึงลักษณะกลมรียาว เมื่อยังดิบ เนื้อมีสีขาว ส่วนผลที่สุกจะมีเนื้อสีส้ม หรือ ส้มแดง ใช้รับประทานเป็นผลไม้ครับ

คุณค่าทางอาหาร มะละกอสุก 100 กรัม ประกอบด้วย


พลังงาน 23 กิโลแคลอรี
เหล็ก 0.5 มิลลิกัม
เส้นใย กาก 1.3 กรัม
วิตามิน บี 1 0.5 มิลลิกรัม
แคลเซี่ยม 13 มิลลิกรัม
วิตามิน บี 2 0.2 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 13 มิลลิกรัม
วิตามิน ซี 34 มิลลิกรัม

22/12/2024

ชนิดของพืช ที่มีธาตุอาหารหลักเป็นส่วนประกอบ
1. ธาตุไนโตรเจน (N) จะพบในพืชตระกูลถั่ว, ใบของต้นก้ามปู (ต้นจามจุรี/ต้นฉำฉา), ใบทองหลาง, ไมยราบ, โสนทุกชนิด, กระถิน
2. ธาตุฟอสฟอรัส (P) จะพบในชะอม, สลิด หรือ ขจร, ถั่วพู, กระถิน, บัวบก, สะระแหน่, ผักบุ้งจีน, มะระ, หน่อไม้ฝรั่ง, กะปิ(นำไปต้นแล้วกรองเอาแต่น้ำ), ลูกยอ, สาหร่ายทะเล
3.ธาตุโปแตสเซียม (K)จะพบอยู่ในฟักทอง, แตงทุกชนิด, กระเจี๊ยบ (ชนิด ขาว-แดง ได้หมด), พริกสด, บล็อคเคอรี่, ผักกาดขาว, ปวยเล้ง, โกโก้, ต้นอ่อนทานตะวัน, ผักขม

ชนิดของพืช ที่มีธาตุอาหารรองเป็นส่วนประกอบ
4. ธาตุแคลเซียม (Ca) พบในแตงกวา, กระเจี๊ยบ, มะขามเทศมัน, กระถิน, มะระ, มะเขือดิบ, มันฝรั่ง, คะน้า, ผักขม, ผักกะเฉด, บร็อคโคลี่, ยอดของต้นปอ, ใบแก่ฝักทอง

ก้างปลาชนิดต่างๆ, เปลือกไข่, เปลือกกุ้ง, เปลือกหอย
5. ธาตุแมกนีเซียม (Mg) พบอยู่ในต้นหญ้าทุกชนิด, ลูกยอ, เกร็ดก้างกระดูกของสัตว์ต่างๆ
6. ธาตุซัลเฟอร์ (S) พบอยู่ในต้นคื่นช่าย, ต้นหัวหอมแดง, ต้นหัวหอมใหญ่, หัวกระเทียม, ผักชี, สะตอ, ยางที่เปลือกมังคุด

ชนิดของพืช ที่มีธาตุอาหารเสริมเป็นส่วนประกอบ
7. ธาตุเหล็ก (Fe) พบอยู่ในเนื้อเยื่อและใบของต้นฝักทองและฝักเขียว, เผือก, กระถิน, กระเฉด, ผลพริกสดและผลพริกที่แก่จัด, ยอดของต้นปอ
8. ธาตุทองแดง (Cu) พบในพืชตระกูลถั่วและเห็ดฟาง
9. ธาตุสังกะสี (Zn) พบอยู่ในหัวไชเท้า, มันแกว, มันเทศ, แครอท, ใบเตย, ตำลึง, เถาวัชพืชทุกชนิด, ในรากสดแก่อวบของพืชที่แตกหน่อได้ เช่น กล้วย, พุทธรักษา เป็นต้น และหอยนางรม (ต้มก่อนแล้วกรองเอาแต่น้ำ)
10. ธาตุแมงกานีส (Mn) พบในมะเขือเทศสุก, ลูกตำลึงสุก
11. ธาตุโมลิบดีนัม (Mo) พบในพืชที่มีส่วนที่เป็นน้ำในเนื้อพืช และเมล็ดอ่อนของพืช
12. ธาตุโบรอน (Br) พบอยู่ในผักบุ้งทุกชนิด, ผักกะเฉด, ตำลึง, ผักปรัง, กระทกรก หรือพืชที่เลื้อยทุกชนิด
13. ธาตุซิลิก้า (Si) พบอยู่ในใบของหญ้าคา, แกลบดิบ, แกลบดำ, หินภูเขาไฟ
14. ธาตุโซเดียม (Na) พบอยู่ในมูลของสัตว์ เช่น มูลวัว ขี้หมู ขี้ไก่ เป็นต้น เกลือแกง
15. ธาตุคาร์บอน (C) พบในแกลบดำ, ถ่าน, ขี้เถ้า, ควันไฟ

จากบทความข้างต้น คงทำให้เราได้รู้จักกับ 15 ธาตุอาหารที่ได้จากพืชแต่ละชนิดกันแล้วนะครับ หากเรานำธาตุอาหารที่อยู่ในพืชแต่ละชนิดไปทำปุ๋ยหมัก ก็จะทำให้ปุ๋ยหมักของเรามีธาตุอาหารที่พืชต้องการแล้ว เช่น หากพืชที่เราปลูกนั้นไม่ค่อยเจริญเติบโต เราก็ทำปุ๋ยหมักโดยการนำชนิดพืชที่เป็นธาตุอาหารหลักที่พืชต้องการมาทำเป็นปุ๋ยหมักที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชที่เราปลูกนั่นเอง

ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช      ในจำนวนธาตุอาหารที่พืชจำเป็นต้องใช้เพื่อการเจริญเติบโตออกดอก ออกผล ซึ่งมี...
22/12/2024

ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช


ในจำนวนธาตุอาหารที่พืชจำเป็นต้องใช้เพื่อการเจริญเติบโตออกดอก ออกผล ซึ่งมีอยู่ 16 ธาตุนั้น มี 3 ธาตุ ที่พืชได้มาจากอากาศและน้ำ คือ คาร์บอน ( C) ไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) ส่วนอีก 13 ธาตุนั้น พืชต้องดูดดึงขึ้นมาจากดิน ซึ่งธาตุเหล่านี้ได้มาจากการผุพงสลายตัวของส่วนที่เป็นอนินทรียวัตถุและอินทรียวัตถุหรือฮิวมัสในดิน สามารถแบ่งตามปริมาณที่พืชต้องการใช้ได้ เป็น 2 กลุ่ม คือ มหธาตุ และจุลธาตุ

1. มหธาตุ (macronutrients)

มหธาตุหรือธาตุอาหารที่พืชต้องการใช้ในปริมาณมาก ที่ได้มาจากดินมีอยู่ 6 ธาตุ ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และกำมะถัน (S) แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม


ธาตุอาหารหลัก หรือ ธาตุปุ๋ย ได้แ่ก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) เนื่องจากสามธาตุนี้พืชต้องการใช้ในปริมาณมาก แต่มักจะได้รับจากดินไม่ค่อยเพียงพอกับความต้องการ ต้องช่วยเหลือโดยใส่ปุ๋ยอยู่เสมอ


ธาตุอาหารรอง ได้แก่ แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และกำมะถัน (S) เป็นกลุ่มที่พืชต้องการใช้ในปริมาณที่น้อยกว่า และไม่ค่อยมีปัญหาขาดแคลนในดินทั่วๆ ไปเหมือนสามธาตุแรก

2. จุลธาตุ หรือ ธาตุอาหารเสริม (micronutrients)

จุลธาตุหรือธาตุอาหารที่พืชต้องการใช้ในปริมาณน้อย มีอยู่ 7 ธาตุ ได้แก่ เหล็ก (Fe) แมงกานีส (Mn) โบรอน (B) โมลิบดินัม (Mo) ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) และคลอรีน (Cl)

ไม่ว่าจะเป็นธาตุอาหารในกลุ่มมหธาตุหรือจุลธาตุ ต่างก็มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะความจริงแล้ว ธาตุทุกธาตุมีความสำคัญต่อการดำรงชีพของพืชเท่าๆ กัน จะต่างกันแต่เพียงปริมาณที่พืชต้องการเท่านั้น ดังนั้นพืชจึงขาดธาตุใดธาตุหนึ่งไม่ได้ หากพืชขาดธาตุอาหารแม้แต่เพียงธาตุเดียว พืชจะหยุดการเจริญเติบโต แคระแกร็น ไม่ให้ผลผลิตและตายในที่สุด

หน้าที่ของธาตุอาหารพืช

ธาตุอาหารพืชแต่ละชนิดมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชแตกต่างกันไป และถ้าพืชได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก็จะแสดงอาการที่แตกต่างกันตามแต่ชนิดของธาตุอาหารที่ขาดแคลนนั้น


ไนโตรเจน มีหน้าที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีน ช่วยให้พืชมีสีเขียว เร่งการเจริญเติบโตทางใบ หากพืชขาดธาตุนี้จะแสดงอาการใบเหลือง ใบมีขนาดเล็กลง ลำต้นแคระแกร็นและให้ผลผลิตต่ำ

ฟอสฟอรัส มีหน้าที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของราก ควบคุมการออกดอก ออกผล และการสร้างเมล็ด ถ้าพืชขาดธาตุนี้ระบบรากจะไม่เจริญเติบโต ใบแก่จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วงแล้วกลายเป็นสีน้ำตาลและหลุดร่วง ลำต้นแกร็นไม่ผลิดอกออกผล

โพแทสเซียม เป็นธาตุที่ช่วยในการสังเคราะห์น้ำตาล แป้ง และโปรตีน ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบไปสู่ผล ช่วยให้ผลเติบโตเร็วและมีคุณภาพดี ช่วยให้พืชแข็งแรง ต้านทานต่อโรคและแมลงบางชนิด ถ้าขาดธาตุนี้พืชจะไม่แข็งแรง ลำต้นอ่อนแอ ผลผลิตไม่เติบโต มีคุณภาพต่ำ สีไม่สวย รสชาติไม่ดี

แคลเซียม เป็นองค์ประกอบที่ช่วยในการแบ่งเซลล์ การผสมเกสร การงอกของเมล็ด พืชขาดธาตุนี้ใบที่เจริญใหม่จะหงิกงอ ตายอดไม่เจริญ อาจมีจุดดำที่เส้นใบ รากสั้น ผลแตก และมีคุณภาพไม่ดี

แมกนีเซียม เป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ช่วยสังเคราะห์กรดอะมิโน วิตามิน ไขมัน และน้ำตาล ทำให้สภาพกรดด่างในเซลล์พอเหมาะและช่วยในการงอกของเมล็ด ถ้าขาดธาตุนี้ใบแก่จะเหลือง ยกเว้นเส้นใบ และใบจะร่วงหล่นเร็ว

กำมะถัน เป็นองค์ประกอบสำคัญของกรดอะมิโน โปรตีน และวิตามิน ถ้าขาดธาตุนี้ทั้งใบบนและใบล่างจะมีสีเหลืองซีด และต้นอ่อนแอ

โบรอน ช่วยในการออกดอกและการผสมเกสร มีบทบาทสำคัญในการติดผลและการเคลื่อนย้ายน้ำตาลมาสู่ผล การเคลื่อนย้ายของฮอร์โมน การใช้ประโยชน์จากไนโตรเจนและการแบ่งเซลล์ ถ้าพืชขาดธาตุนี้ ตายอดจะตายแล้วเริ่มมีตาข้าง แต่ตาข้างก็จะตายอีก ลำต้นไม่ค่อยยืดตัว กิ่งและใบจึงชิดกัน ใบเล็ก หนา โค้งและเปราะ

ทองแดง ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ การหายใจ การใช้โปรตีนและแป้ง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์บางชนิด ถ้าพืชขาดธาตุนี้ ตายอดจะชะงักการเจริญเติบโตและกลายเป็นสีดำ ใบอ่อนเหลือง และพืชทั้งต้นจะชะงักการเจริญเติบโต

คลอรีน มีบทบาทบางประการเกี่ยวกับฮอร์โมนในพืช ถ้าขาดธาตุนี้พืชจะเหี่ยวง่าย ใบสีซีด และบางส่วนแห้งตาย

เหล็ก ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์แสงและหายใจ ถ้าขาดธาตุนี้ใบอ่อนจะมีสีขาวซีดในขณะที่ใบแก่ยังเขียวสด

แมงกานีส ช่วยในการสังเคราะห์แสงและการทำงานของเอนไซม์บางชนิด ถ้าขาดธาตุนี้ใบอ่อนจะมีสีเหลืองในขณะที่เส้นใบยังเขียว ต่อมาใบที่มีอาการดังกล่าวจะเหี่ยวแล้วร่วงหล่น

โมลิบดินัม ช่วยให้พืชใช้ไนโตรเจนให้เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีน ถ้าขาดธาตุนี้พืชจะมีอาการคล้ายขาดไนโตรเจน ใบมีลักษณะโค้งคล้ายถ้วย ปรากฏจุดเหลืองๆ ตามแผ่นใบ

สังกะสี ช่วยในการสังเคราะห์ฮอร์โมนออกซิน คลอโรฟิลล์ และแป้ง ถ้าขาดธาตุนี้ใบอ่อนจะมีสีเหลืองซีดและปรากฏสีขาวๆ ประปรายตามแผ่นใบ โดยเส้นใบยังเขียว รากสั้นไม่เจริญตามปกติ

จุลินทรีย์น้ำซาวข้าว มีประโยชน์มากมี เอาไปใช้ในครัวเรือนก็ดี เอาไปใช้รดต้นไม้ พืชผัก ผักก็งามผลดี
22/12/2024

จุลินทรีย์น้ำซาวข้าว มีประโยชน์มากมี เอาไปใช้ในครัวเรือนก็ดี เอาไปใช้รดต้นไม้ พืชผัก ผักก็งามผลดี

ใบมะละกอ (Papaya Leaf)ใบมะละกอ มีสารอาหารสำคัญมากมายเทียบเท่ากับผลมะละกอ เช่น วิตามินเอ , วิตามินบี1, วิตามินซี วิตามินอ...
15/12/2024

ใบมะละกอ (Papaya Leaf)
ใบมะละกอ มีสารอาหารสำคัญมากมายเทียบเท่ากับผลมะละกอ เช่น วิตามินเอ , วิตามินบี1, วิตามินซี วิตามินอี โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก และใบมะละกอยังอุดมด้วยเอนไซม์ ปาเปน (Papain) และไคโมปาเปน (Chymopapain) ที่มีคุณสมบัติช่วยย่อยโปรตีนและเพิ่มเกล็ดเลือด ซึ่งจะประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่มีฤทธิ์เป็น proteolytic enzyme (เอนไซม์ที่ย่อยโปรตีน) อยู่ 4 ชนิด คือ papain, chymopapain A และ B และ papaya peptidase A โดย chymopapain เป็นเอนไซม์ที่พบมากที่สุดในยางมะละกอ รองลงมาคือ papain ซึ่งมีประมาณต่ำกว่าร้อยละ 10 และ papaya peptidase A จะพบว่ามีปริมาณน้อยที่สุด เอนไซม์ chymopapain มีความอยู่ตัว ทนความร้อนและทนต่อสภาพกรดได้ดีและเป็นสารสำคัญที่ทำให้เนื้อมีความนุ่ม เราพบเอนไซม์ในยางมะละกอจากส่วนที่เป็นใบ ก้าน และผลดิบ ซึ่งอุดมด้วยเอนไซม์ช่วยย่อย เช่น ไคโมปาเปน (Chymopapain), ปาเปน (Papain), โปรติเอส (Protease), และอะไมเลส (Amylase) สามารถย่อยโปรตีนที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ให้เล็กลง

เอนไซม์ปาเปน มีฤทธิ์ในการย่อยโปรตีน ช่วยทำให้โมเลกุลโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานให้มีขนาดเล็กลงจนกระทั่งกระเพาะอาหารสามารถย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ให้กลายเป็นกรดอะมิโนชนิดต่าง ๆ ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ จึงช่วยลดอาการท้องอืด จากอาการอาหารไม่ย่อย เอนไซม์ปาเปนจึงมีส่วนช่วยลดอาการของโรคในระบบทางเดินอาหารได้ เช่น อาการที่เกิดจากโรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) ทำให้รู้สึกปวด แสบร้อนในบริเวณหน้าอก แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ มีแก๊สในท้อง แน่นอึดอัด นอกจากนี้ ยังช่วยรักษาแผลติดเชื้อ เนื่องจากปาเปนมีคุณสมบัติให้เลือดแข็งตัว และยังมีสาร karpain ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งจุลินทรีย์ก่อโรคหลายชนิด เช่น เชื้อรา หนอนปรสิต แบคทีเรีย และการกำจัดพยาธิในลำไส้

งานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์มณฑลเสฉวนพบว่า เอนไซม์มะละกอสามารถย่อยสลายไขมันและคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ได้เป็นอย่างดี ช่วยให้เลือดไหลเวียนในระบบได้อย่างราบรื่น งานวิจัยยังพบอีกว่า เอนไซม์มะละกอสามารถย่อยสลายไขมันได้ไม่ว่าจะอยู่ในที่ที่เป็นกรด ด่าง หรือเป็นกลาง ซึ่งแตกต่างจากเอนไซม์อื่น ๆ

เพิ่มเกล็ดเลือด ใบมะละกอสกัด หรือดื่มน้ำคั้นสด ใบมะละกอ จะช่วยเพิ่มเกล็ดเลือด (Platelet) ให้กับผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ เช่น การป่วยจากโรคไข้เลือดออก ให้เพิ่มขึ้นได้ โดยให้นำใบมะละกอสดพันธุ์ใดก็ได้ ประมาณ 50 กรัม ล้างให้สะอาด บดให้ละเอียด ไม่ต้องเติมน้ำ กรองเอากากออก ดื่มน้ำใบมะละกอสด แยกกาก วันละ ครึ่งแก้ว หรือ 30 ซีซี ทานติดต่อกันอย่างน้อย 5 วัน

02/12/2024

มารู้จัก 7 จุลินทรีย์ ที่มีประโยชน์ต่อระบบเกษตรอินทรีย์

การทำเกษตรอินทรีย์ แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่จะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการเพาะปลูกทั้งหมดจะต้องมาจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยน้ำ ปุ๋ยคอกที่จะนำมาใช้ในการเร่งการเจริญเติบโต แม้กระทั้งสิ่งที่จะนำมาย่อยสลายวัตถุอินทรีย์ในดินก็มีส่วนสำคัญไม้แพ้กัน เรียกได้ว่าเป็นหัวใจหลักของการย่อยวัตถุอินทรีย์กันเลยทีเดียว นั่นก็คือ จุลินทรีย์

จุลินทรีย์ที่มีบทบาท ต่อการทำเกษตรกรรม มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา แอคโนมัยซิท สาหร่าย โปรโตซัว และไวรัส จุลินทรีย์บางชนิดเป็นจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ต่อการทำการเกษตร แต่บางชนิดก็เป็นจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคต่อพืช แต่หากทุกอย่างเป็นไปอย่างสมดุล หรือส่งเสริมให้มีจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เป็นจำนวนมากกว่าจุลินทรีย์ก่อโรค พืชพันธุ์ต่างๆ ก็จะแข็งแรงเจริญเติบโตได้ดี

เราไปทำความรู้จักกับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อระบบเกษตรอินทรีย์ทั้ง 7 ชนิดกันเถอะ

จุลินทรีย์แบคทีเรีย (Bacteria)
จุลินทรีย์กลุ่มนี้มีหลากหลายสายพันธุ์ ที่รวมตัวกันอยู่ในกองปุ๋ยหมัก และในหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำขายเป็นการค้า มักมีลักษณะรูปร่างของจุลินทรีย์เป็นแบบง่ายๆ 3 รูปร่าง คือ กลม เป็นท่อน และเป็นเกลียว ไม่มีรงควัตถุภายในเซลล์ คือ เซลล์มักจะเป็นลักษณะใสๆ มีทั้งเคลื่อนที่ได้และไม่ได้ เติบโตได้ในอุณหภูมิหลายระดับ โดยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ มีทั้งแบบที่ต้องการออกซิเจน และไม่ต้องการออกซิเจน อาศัยอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ โดยเฉพาะในดินป่าที่ชื่น มีบทบาทอย่างมากในการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุและปลดปล่อยธาตุอาหารที่สำคัญให้กับพืช ตัวอย่างของแบคทีเรียที่เรารู้จักคุ้นหูกันดี เช่น บาซิลลัสทูริงจิเอนซิส หรือเรียกสั้นๆ ว่าเชื่อบีที เชื้อแลคโตบาซิลลัส จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง (โฟโต้ทรอปฟิคแบคทีเรีย) จุลินทรีย์ผลิตกรดแลคติกและกรดอะซิติก เชื้อไรโซเบียม ฯลฯ

จุลินทรีย์ กลุ่มที่เป็นเชื้อรา (Funji)
จุลินทรีย์กลุ่มเชื้อรามักจะพบในกองปุ๋ยหมักเสมอ มักจะพบเติบโตในช่วงแรกๆ ของการหมักกองปุ๋ย และจะพบบริเวณด้านนอกผิวของกองปุ๋ยหมักเป็นจำนวนมาก เมื่อกองปุ๋ยหมักมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 65 องศาเซลเซียส จะไม่พบเชื้อรา แต่จะพบเชื้อแบคทีเรียแทน เชื่อราจะมีประโยชน์ในการย่อยสลายเศษวัสดุอินทรีย์ในกองปุ๋ยหมักให้มีขนาดเล็กลงในระยะแรกๆ ของการหมักปุ๋ย จุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อราแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือยีสต์ (Yeasts) และราเส้นใย

จุลินทรีย์เชื้อรา กลุ่มยีสต์ (Yeasts)
ยีสต์ เป็นเชื้อราซึ่งมีลักษณะการดำรงชีวิตอยู่ในสภาพเซลล์เดียว แทนที่จะเจริญเติบโตเป็นเส้นใยเหมือนเชื้อราอื่นๆ ทั่วไป ถึงแม้ยีสต์บางชนิดจะสร้างเส้นใยบ้างแต่ก็ไม่เด่นชัด การเพิ่มจำนวนจะอาศัยการแบ่งตัวหรือแตกหน่อไม่อาศัยเพศ มีรูปร่างกลมเมื่ออายุน้อย และรูปร่างรีเมื่ออายุมาก มีขนาดที่ใหญ่กว่าเชื้อแบคทีเรีย ยีสต์ทำให้เกิดกระบวนการหมักโดยจะเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นเอทิลแอลกอฮอล์ และคาร์บอนไดออกไซด์ ปกติยีสต์จะอยู่ที่ผิวหน้าของวัสดุที่หมัก โดยจะเป็นฟองที่ลอยเป็นฝ้าอยู่ที่ผิวของน้ำหมัก นอกจากนี้ยีสต์ยังผลิตวิตามิน และฮอร์โมนในระหว่างกระบวนการหมักด้วย และยีสต์จะสามารถเจริญเติบโตได้ดีในค่าความเป็นกรดสูงระหว่าง 4.0 - 6.5 ซึ่งที่ค่าความเป็นกรด-ด่างขนาดนี้นั้น จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดการเน่าเสีย จะเจริญเติบโตไม่ได้ ดังนั้นในการหมักเมื่อเกิดกลิ่นแอลกฮอล์ขึ้น จึงแสดงให้เห็นว่าขบวนการหมักมีคุณภาพและเป็นการหมักที่สมบูรณ์

จุลินทรียเชื้อรา กลุ่มที่เป็นราเส้นใย
จะมีการดำรงชีวิตแบบหลายเซลล์ โดยส่วนใหญ่มีลักษณะการเจิญเติบโตเป็นเส้นใย ซึ่งอาจจะมีผนังกั้น หรือไม่มีก็ได้ เชื้อรากลุ่มนี้เป็นจุลินทรีย์ที่มีความหลากหลาย มีความแตกต่างกันมากในด้านขนาดและรูปร่าง อาศัยการสืบพันธุ์ด้วยการสร้างสปอร์ ซึ่งมีทั้งสปอร์ที่อาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ เป็นจุลินทรีย์ที่ต้องการอากาศ พบเห็นอยู่ที่ริมผิวหน้าของน้ำหมักหรือปุ๋ยหมัก

จุลินทรีย์แอคติโนมัยชิท
เป็นจุลินทรีย์จำพวกเซลล์เดียว ที่มีลักษณะคล้ายคลึงทั้งแบคที่เรียและเชื้อรา โดยมีขนาดเล็กคล้ายแบคทีเรีย แต่มีการเจริญเติบโตเป็นเส้ยใย และสร้างสปอร์คล้ายเชื้อรา มีเส้นใยที่ยาวเรียวและอาจจะแตกสาขาออกไป ส่วนของเส้นใยที่สัมผัสกับอากาศแห้งจะมีการเปลี่ยนรูปไปเป็นสปอร์ ซึ่งใช้ในการแพร่พันธุ์เช่นเดียวกันกับเชื้อรา มีการเจริญเติบโตที่ช้ากว่าแบคทีเรียและเชื้อรา การเจริญเติบโตจะต้องอาศัยอากาศและออกซิเจนในอุณหภูมิ 65-75 องศาเซสเซียส ลักษณะของเชื้อแอคโนมัยชิที่พบบนกองปุ๋ยหมักจะเจริญเติบโตเป็นกลุ่ม เห็นเป็นจุดสีขาวคล้ายๆ ผงปูนหลังจากที่อุณหภูมิของกองปุ๋ยสูงขึ้นมาก เชื้อแอคโนมัยชิทนี้มีบทบาทที่สำคัญในการย่อยอินทรีย์สาร เช่น เซลลูโลส ลิกนิน ไคติน และโปรตีน ที่อยู่ในกองปุ๋ยหมักขณะที่อุณหภูมิสูง

จุลินทรีย์ที่เป็น สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน
แตกต่างจากจุลินทรีย์ชนิดอื่น ตรงที่มีคลอโรฟิลล์ มักเห็นเซลล์เป็นสีเขียว มีลักษณะเซลล์เหมือนแบคทีเรีย สาหร่ายพวกนี้ไม่มีคลอโรพลาสต์ ดังนั้นคลอโรฟิลล์จึงกระจายอยู่ทั่วไปในเซลล์ เจริญเติบโตได้ดีในนาข้าว สามารถตรึงไนโตเจนจากอากาศได้ถึงประมาณ 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ มักอาศัยพึ่งพาอยู่กับแหนแดง ซึ่งเป็นเฟิร์นน้ำขนาดเล็กๆ ทำให้แหนแดงเป็ยปุ๋ยพืชสดอย่างดีในนาข้าว

จุลินทรีย์ โปรโตซัว (Protozoa)
โปรโตซัว เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดเล็กที่จัดได้ว่ามีความสำคัญมากในระบบนิเวศ อาศัยอยู่ในน้ำ ในดิน หรือเป็นปรสิต ชนิดที่เป็นปรสิตบางชนิดอาศัยอยู่ในทางเดินอาหารของปลวก เพื่อช่วยย่อยเนื้อไม้ จุลินทรีย์โปรโตซัวมีความสำคัญมากเพราะสามารถย่อยสลายอินทรีย์วัตถุได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันจึงมีเกษตรกรนำเอาจาวปลวก มาหมักหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่อนำไปย่อยสลายฟางข้าวในนาและทำปุ๋ยหมัก

ทาสีเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไป- ใส่แผ่นปิดใต้รางน้ำด้วยไม้ฝาหน้า 8"- ติดตั้งรางน้ำ- ท่อน้ำทิ้งขนาด3 " #โรงจอดรถทำเอง  #โรงจอ...
22/07/2024

ทาสีเรียบร้อย
ขั้นตอนต่อไป
- ใส่แผ่นปิดใต้รางน้ำด้วยไม้ฝาหน้า 8"
- ติดตั้งรางน้ำ
- ท่อน้ำทิ้งขนาด3 "
#โรงจอดรถทำเอง #โรงจอดรถ #ทำเอง
#โรงจอดรถสไตล์โมเดริน์

แตงโม  20 วัน  #แตงโม
17/07/2024

แตงโม 20 วัน #แตงโม

ผลผลิตหน้าบ้านกำลังเติบโต  #ศรีเอเตอร์ติดกระแส  #แจ็คสุรินทร์เหลา
27/06/2024

ผลผลิตหน้าบ้านกำลังเติบโต
#ศรีเอเตอร์ติดกระแส #แจ็คสุรินทร์เหลา

ปลูกกล้วยกันครับ  #ปลูกกินเอง
16/06/2024

ปลูกกล้วยกันครับ #ปลูกกินเอง

ผลผลิตหลังบ้าน ลูกกำลังสวยๆ  #ปลูกกินเอง  #กล้วย
14/06/2024

ผลผลิตหลังบ้าน ลูกกำลังสวยๆ #ปลูกกินเอง #กล้วย

เช้าวันที่สดใส พร้อมที่จะเติบโต #ปลูกกินเอง
12/06/2024

เช้าวันที่สดใส พร้อมที่จะเติบโต #ปลูกกินเอง

ที่อยู่

Surin

เบอร์โทรศัพท์

+66623510852

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ แจ็คสุรินทร์เหลาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง แจ็คสุรินทร์เหลา:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์