เรียนออนไลน์ง่ายๆ กับ อ.อุ๊ก

เรียนออนไลน์ง่ายๆ กับ อ.อุ๊ก เรียนออนไลน์ง่ายๆ กับ อ.อุ๊ก ในหลากห

อบรมเชิงปฏิบัติการ “การประเมินผลลัพธ์และผลกระทบของการสร้างเสริมสุขภาพ” ใน วันที่ 27 พฤษภาคม 2567ในรูปแบบ On-site ณ สถาบั...
29/05/2024

อบรมเชิง
ปฏิบัติการ “การประเมินผลลัพธ์และผลกระทบของการสร้างเสริมสุขภาพ” ใน วันที่ 27 พฤษภาคม 2567
ในรูปแบบ On-site ณ สถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ ชั้น 34 เพื่อให้เข้าใจความส าคัญ รูปแบบ
และกระบวนการประเมินโครงการความคุ้มค่าส าหรับโครงการสร้างเสริมสุขภาพ
#ไม่หยุดเรียนรู้ #สนุกกับการเรียน #หน้าสดใส
#สสส #สภส #สปสส

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 ได้รับเชิญเป็นวิทยากรพิเศษ บรรยายในหัวข้อ "อาชีพที่เกี่ยวกับนักกฎหมาย"  ให้กับเด็กๆ ณ โรงเ...
26/11/2022

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 ได้รับเชิญเป็นวิทยากรพิเศษ บรรยายในหัวข้อ "อาชีพที่เกี่ยวกับนักกฎหมาย" ให้กับเด็กๆ ณ โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี

ไม่น่าเชื่อ ว่า เด็กๆ เค้ารู้จักคำว่า "กฏหมาย" กันแล้วนะ
ถึงตัวจะเป็นเด็ก แต่สมองเค้าเป็นผู้ใหญ่

#เด็กน้อยน่ารัก

❤️♾️⏳️
21/08/2022

❤️♾️⏳️

"ทุกอย่างมีเวลาของมัน เร่งมากไปไม่ดี อะไรที่สุกตามเวลา รสชาติดีเสมอ ความสำเร็จก็เช่นเดียวกัน"

ภาพ : สามพี่น้องสาบานที่สวนท้อ

เรื่องจริงนะ 🚭 #รักษาสุขภาพกันด้วย
12/08/2022

เรื่องจริงนะ 🚭
#รักษาสุขภาพกันด้วย

อีกกระบวนการ ที่น่าสนใจ แม้ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่ต้องใส่ใจ
17/07/2022

อีกกระบวนการ ที่น่าสนใจ แม้ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่ต้องใส่ใจ

รู้จัก “LATTE” วิธีรับมือ เมื่อถูกลูกค้าร้องเรียน ของ Starbucks | BrandCase
“ทำไมรสชาติไม่เหมือนคราวก่อนเลย”
“ปริมาณอาหารน้อยเกินไป ไม่สมราคา”
“ไม่ได้สั่งเมนูนี้ ทำผิดหรือเปล่า”

หลายคนที่ทำธุรกิจขายอาหารหรือเครื่องดื่ม น่าจะเคยได้ยินกับคำร้องเรียนเหล่านี้จากลูกค้า หรือบางครั้งเราในฐานะลูกค้า ก็อาจจะเคยร้องเรียนร้านไหนสักร้านแบบนี้เหมือนกัน

ซึ่งหากแบรนด์ สามารถรับมือและแก้ไขปัญหาได้ดี ก็อาจจะลดความไม่พอใจจากลูกค้าลงได้

แต่หากรับมือได้ไม่ดีพอ ผลที่ตามมาก็คือ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์อาจลดลง หรือในกรณีที่แย่ที่สุด เราอาจสูญเสียลูกค้าคนนั้นไปตลอดกาล

แล้วจะดีกว่าไหม ? หากแบรนด์มีวิธีการรับมือกับปัญหา เมื่อถูกลูกค้าคอมเพลนได้อย่างเหมาะสม

วันนี้เราลองมารู้จักกับอีกหนึ่งหลักการรับมือกับปัญหา เมื่อถูกลูกค้าร้องเรียน ในแบบฉบับของแบรนด์ดังระดับโลก อย่าง “Starbucks”

หลักการนี้มีชื่อว่า “LATTE” ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990s ซึ่งเป็นช่วงที่ Starbucks เริ่มขยายสาขาไปยังต่างประเทศ

Starbucks จึงใช้หลักการนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานทุกคนในทุกสาขาทั่วโลก จะสามารถรับมือกับลูกค้า เมื่อถูกร้องเรียนได้อย่างเป็นมาตรฐาน และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

แล้วหลักการ LATTE ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ?

L: Listen to the customer คือ การรับฟังปัญหาของลูกค้าอย่างตั้งใจ

การรับฟัง คือหนึ่งวิธีที่ดีที่สุด ที่ใช้มองหา “ปัญหาที่มองไม่เห็น”
เพราะหากเราไม่ตั้งใจรับฟัง เราจะไม่มีทางรู้และเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น หรือปัญหาที่ซ่อนอยู่

และถึงแม้ว่าในบางปัญหา เราอาจไม่ได้เป็นฝ่ายผิดทั้งหมด แต่การที่ลูกค้ารู้สึกไม่พอใจนั้น อาจเกิดจากการที่ลูกค้าได้รับประสบการณ์ ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
หรือเพราะเราตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ได้ไม่ตรงจุด

A: Acknowledge the problem คือ ทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น

เมื่อเรารับฟังจนรู้ปัญหาที่แท้จริงจากลูกค้าแล้ว เราต้องยอมรับและเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ว่าต้นเหตุคืออะไร และนำมาสู่ปัญหาได้อย่างไร เหมือนกับการรู้จักเอาใจของลูกค้า มาใส่ใจเรา

และลองทำความเข้าใจว่า หากเป็นเราที่ต้องเจอกับปัญหาแบบนี้ เราจะรู้สึกเหมือนกันไหม และต้องการการแก้ไขแบบไหนดี ?

T: Take action and solve the problem คือการลงมือแก้ไขปัญหาทันที

เข้าใจปัญหาแล้วต้องรีบแก้ไขทันที ไม่ควรปล่อยให้ลูกค้าต้องรอการแก้ไขด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว
และจะดีที่สุด หากเราลงมือแก้ไขให้เกินความคาดหวังของลูกค้า

เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกได้รับความสำคัญอีกครั้ง เป็นการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส สร้างความประทับใจ และเปลี่ยนทัศนคติของลูกค้า ที่มีต่อร้านไปในทิศทางบวกมากขึ้น

T: Thank the customer คือการกล่าวขอบคุณลูกค้า

กล่าวขอบคุณลูกค้า หลังจากที่ได้แก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณที่ลูกค้าบอกปัญหากับเรา ให้โอกาสได้แก้ไขปรับปรุง และขอบคุณที่ให้อภัยเรา

E: Explain what you did คือการอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจถึงแนวทางแก้ไข

สุดท้าย คือการอธิบายให้ลูกค้าฟัง อย่างมีเหตุและผล ว่าปัญหาครั้งนี้เกิดจากอะไร และเรามีแนวทางในการแก้ไขอย่างไร เพื่อไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้นอีก หรือหากเกิดขึ้นอีก ทางเราก็มีแนวทางการรับมือที่ดีขึ้น

เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจ และตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหานั้นจริง ๆ

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ สรุป 5 ข้อง่าย ๆ ตามหลักการ LATTE ของ Starbucks ก็คือ
- รับฟังปัญหาของลูกค้าอย่างตั้งใจ
- ยอมรับและทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น
- ลงมือแก้ไขปัญหาทันที
- กล่าวขอบคุณที่ให้โอกาสแก้ไขปัญหา
- อธิบายแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างมีเหตุผล

ทั้งหมดนี้ คือหลักในการรับมือ เมื่อถูกลูกค้าร้องเรียนในเรื่องต่าง ๆ ที่ Starbucks ใช้ในการดำเนินธุรกิจ

และถือเป็นหนึ่งเครื่องมือที่มีส่วนทำให้ Starbucks เป็นแบรนด์กาแฟดังระดับโลก ที่ขึ้นชื่อเรื่องมาตรฐานการบริการ และใส่ใจลูกค้ามากที่สุด แบรนด์หนึ่งในโลก..

References
-https://trainingcenter.acgov.org/2020/03/latte-for-customer-service/
-https://www.businessmanagementdaily.com/32530/the-importance-of-latte/
-https://www.fastcompany.com/1812065/how-alcoa-starbucks-arista-and-febreze-kicked-normal-habits-and-found-success
-https://www.activemgmt.com.au/starbucks-acronyms-help-learning/
-https://www.smeone.info/posts/view/341

👨‍🏫⚽️🏃‍♂️‼️
12/07/2022

👨‍🏫⚽️🏃‍♂️‼️

⚽️🥅 ปัญหาการคุ้มครองนักฟุตบอลเยาวชนในกีฬาฟุตบอลอาชีพ
โดย กรุณา ปานเดย์
สารนิพนธ์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขากฎหมายธุรกิจ

📖อ่านฉบับเต็มได้ที่: https://bit.ly/3RvLLSK

--------------
ในปัจจุบันอาชีพนักฟุตบอล ถือเป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับความสนใจ เป็นความฝันของเด็กและเยาวชนมากขึ้น เนื่องจากเป็นอาชีพที่สามารถสร้างทั้งรายได้ ชื่อเสียง เพื่อสามารถดูแลครอบครัวของตนเองได้

วัตถุประสงค์ของการค้นคว้าอิสระดังกล่าวนี้ ได้พิจารณาเกี่ยวกับการคุ้มครองเยาวชนในกีฬาฟุตบอลอาชีพ โดยศึกษาผ่านกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายในประเทศไทย ประกอบกับแนวปฏิบัติของสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย และศึกษาเปรียบเทียบกับกฎเกณฑ์ในต่างประเทศ ประกอบกับแนวปฏิบัติของสโมสรฟุตบอลในต่างประเทศ อีกเช่นกัน

จากการศึกษาถึงการคุ้มครองเยาวชนในกีฬาฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย พบว่ายังไม่มีกฎหมาย หรือกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการกีฬาสำหรับเด็กหรือเยาวชนแต่อย่างใด แม้แต่กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกีฬาฟุตบอลที่ใช้ภายในลีก หรือระเบียบที่ใช้ในสมาคมฟุตบอลก็ยังไม่มีการกล่าวถึง เด็กหรือเยาวชนในกีฬาฟุตบอลแต่อย่างใด

เมื่อไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ ที่เป็นกฎเกณฑ์เฉพาะในการจัดการคุ้มครองนักฟุตบอลเยาวชน จึงจะต้องพิจารณากฎหมายคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เพื่อพิจารณากฎเกณฑ์เกี่ยวกับการคุ้มครองนักฟุตบอลเยาวชนในกีฬาฟุตบอลอาชีพ เมื่อพิจารณาบริบทของนักกีฬาฟุตบอลเยาวชนประเทศไทย พบว่าลักษณะการทำงานของเยาวชนในกีฬาฟุตบอลนั้น เป็นการจ้างแรงงานตามหลักอำนาจบังคับบัญชา โดยที่สโมสรถือเป็นนายจ้าง และเยาวชนถือเป็นลูกจ้าง ซึ่งแตกต่างจากสัญญาจ้างนักฟุตบอลอาชีพซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาที่ไม่มีชื่อชนิดหนึ่ง เนื่องจากสัญญาจ้างนักฟุตบอลอาชีพนั้น มีข้อตกลง รายละเอียดที่แตกต่างจากนักฟุตบอลเยาวชน และในแง่ของความเป็นธุรกิจที่สัญญาจ้างนักฟุตบอลอาชีพมีข้อตกลงในด้านธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาในกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ประกอบกับแนวปฏิบัติของสโมสรฟุตบอลในอาชีพ พบว่าการเข้าเป็นนักฟุตบอลเยาวชนในหลายสโมสรนั้น มีการรับเยาวชนเข้าสังกัด ในช่วงอายุที่ขัดกับกฎหมายแรงงาน คือ ก่อนอายุ 15 ปี เพื่อให้เยาวชนได้รับการพัฒนาอย่างถูกวิธีตั้งแต่วัยเยาว์ และได้รับการเรียนรู้ที่จะเป็นนักฟุตบอลในอนาคตได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงการฝึกซ้อมของเยาวชนในกีฬาฟุตบอลอาชีพรวมถึงการแข่งขันฟุตบอลของนักฟุตบอลเยาวชนนั้น แม้จะอยู่ในกรอบของระยะเวลาการทำงานตามกฎหมายแรงงาน แต่อย่างไรก็ตาม บริบทของการแข่งขันและการพัฒนาเยาวชนในประเทศไทยนั้นมิได้ตั้งอยู่ภายใต้แนวคิดเพื่อเยาวชนแต่อย่างใด จึงอาจทำให้การฝึกซ้อมหรือการลงแข่งขันฟุตบอลของเยาวชนนั้นจะต้องฝึกซ้อม หรือลงแข่งขันมากกว่านักฟุตบอลอาชีพซึ่งอาจจะเกินความจำเป็นและไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานในกฎหมายแรงงาน ในส่วนของการจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการนั้น

จากการศึกษาพบว่า แนวปฏิบัติของสโมสรในประเทศไทยนั้น มีทั้งการที่สโมสร 1. จ่ายค่าจ้างให้กับเยาวชนโดยตรง 2. สโมสรจัดสรรค่าจ้างให้กับโรงเรียนเป็นผู้จัดการดูแล หรือ 3. สโมสรที่มิได้มีการให้ค่าตอบแทนอันเป็นค่าจ้างแก่เยาวชนแต่อย่างใดแต่สโมสรจะเป็นผู้ดูแลในเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ ให้กับเยาวชนแทน เช่น ค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับกฎหมายแรงงานนั้น เป็นการขัดกับการจ่ายค่าจ้างซึ่งลูกจ้างจะต้องได้รับค่าจ้างซึ่งเป็นเงิน โดยที่ลูกจ้างเป็นผู้รับด้วยตนเอง สำหรับการดูแลเรื่องการศึกษานั้น จากการศึกษาแนวปฏิบัติของสโมสรในประเทศไทยนั้นพบว่า มีการส่งนักฟุตบอลเยาวชนเข้าเรียนกับโรงเรียนที่เป็นพันธมิตรกับสโมสร โดยสโมสรจะเป็นผู้ดูแลในค่าเล่าเรียน ในการเรียนการสอนของเยาวชนนั้นจะเป็นหน้าที่ของโรงเรียนเป็นผู้ดูแลโดยตรง ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวนั้น โรงเรียนที่เป็นพันธมิตรกับสโมสรก็ได้มีการดูแลเยาวชน เช่น การจัดตั้งห้องเรียนสำหรับนักฟุตบอลเยาวชนได้เรียนด้วยกันในระดับประถมหรือมัธยม ส่วนในระดับมัธยมปลายนั้น โรงเรียนก็ได้จัดแผนการเรียนที่เหมาะสมกับนักกีฬา ให้นักกีฬาไม่ต้องเรียนหนักจนเกินไป

จากการศึกษาการคุ้มครองลูกจ้างเยาวชนในประไทย เมื่อเปรียบเทียบประกอบกับกฎเกณฑ์ และแนวปฏิบัติของสโมสรฟุตบอลในต่างประเทศนั้น พบว่าการคุ้มครองเยาวชนในต่างประเทศนั้น เช่น ในประเทศอังกฤษได้มีการออกกฎเกณฑ์สำหรับการดูแลจัดการฟุตบอลสำหรับเยาวชนโดยเฉพาะ โดยมีรายละเอียดครอบคลุม ทั้งนิยามของนักฟุตบอลเยาวชน สัญญาของนักฟุตบอลเยาวชน การจ่ายค่าจ้าง และการดูแลเรื่องการศึกษา หรือหากพิจารณาในกฎหมายคุ้มครองแรงงานนั้น เช่น ในประเทศเยอรมันก็ได้มีบทบัญญัติที่มีแนวคิดในการจัดการเด็กหรือเยาวชนในการประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับกีฬา โดยมีการควบคุมให้อยู่ในความเหมาะสม เช่น จะต้องฝึกฝนในวันละ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ฯลฯ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวเป็นแนวคิดที่เพิ่มเติมมากกว่ากฎหมายคุ้มครองแรงงานในประเทศไทย ส่วนในเรื่องการศึกษานั้นเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบบริบทของสโมสรฟุตบอลในประเทศไทยและต่างประเทศ ก็พบว่าได้มีการดูแลเรื่องการศึกษาที่ครอบคลุมมากกว่า เช่น การที่โรงเรียน และสโมสรจะต้องมีความเชื่อมโยงกันในการฝึกซ้อมที่มีชั่วโมงเหมาะสมกับการเรียน และเหมาะสมกับวัยของเยาวชนในฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ หรือการสอนในทักษะเพิ่มเติมโดยสโมสรนอกจากวิชาที่จะต้องเรียนในโรงเรียน เช่น ทักษะในการใช้สื่อ Social Media ทักษะในด้านธุรกิจ หรือทักษะในการประกอบอาชีพอื่น ๆ หากว่านักฟุตบอลเยาวชนมิได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพในอนาคต

โดยข้อเสนอแนะในการค้นคว้าอิสระดังกล่าวผู้เขียนมีความเห็นว่า ในการคุ้มครองเยาวชนในกีฬาฟุตบอลอาชีพนั้นจะต้องมีการสร้างกฎเกณฑ์เฉพาะให้ครอบคลุมกับการดูแลเยาวชนในกีฬาฟุตบอลอาชีพ ทั้งในด้านการจ่ายค่าตอบแทน สวัสดิการ การศึกษา เนื่องจากการวางรากฐานให้นักฟุตบอลเยาวชนที่เป็นแบบแผนอันเป็นลักษณะแบบเดียวกัน ย่อมเป็นส่วนช่วยในการพัฒนาฟุตบอลภายในประเทศไทยให้มีความสามารถทัดเทียม และมีคุณภาพเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ

----------
⚖📖วิทยานิพนธ์อื่นๆเกี่ยวกับฟุตบอลและกฎหมายที่น่าสนใจ✨

⚽️ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการลงโทษสโมสรฟุตบอลโดยสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย
โดย ปองภพ นิลนพรัตน์
อ่านได้ที่ https://bit.ly/3P2nXE2

⛹️‍♂️ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับสัญญานักกีฬาฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย
โดย สมพล วิธีธรรม
อ่านได้ที่ https://bit.ly/3yxk4jI

🥅สถานะทางกฎหมายของเอเย่นต์นักกีฬาฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย
โดย ชิดชนก ไชยเจริญ
อ่านได้ที่ https://bit.ly/3Po2Pbs

----------
Facebook: ห้องสมุดสัญญา ธรรมศักดิ์
Line:

03/07/2022

เราไม่มีทางเข้าใจคนอื่นได้ 100%
การเห็นอกเห็นใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ
'เพิ่มความเห็นใจ ลดการตัดสิน'

you'll never know unless you walk in my shoes🎈

เราไม่มีทางเข้าใจคนอื่นได้ 100%
ในขณะเดียวกันคนอื่นก็ไม่มีวันเข้าใจเราได้ทั้งหมดเช่นกัน
เพราะบางทีเรายังไม่เข้าใจตัวเองเลย
ดังนั้น'การเห็นอกเห็นใจ'จึงเป็นสิ่งสำคัญในการอยู่ร่วมกัน
แต่ละคนล้วนมีเรื่องราวชีวิตและเส้นทางการเติบโตแตกต่างกัน
การที่เราเอาประสบการณ์ของตัวเองไปตัดสินคนอื่นนั้นมันไม่แฟร์สำหรับเขาเลย
เรื่องแบบนี้'พูดง่ายแต่ทำไม่ง่าย'
โดยเฉพาะกับคนที่เราไม่ชอบหรือไม่ถูกจริตด้วย
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ของแบบนี้มันต้องฝึกกันบ่อยๆ
ให้มองที่การกระทำไม่ใช่ตัวบุคคล
เพราะคนเรามีหลายด้าน
ทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง
เราอาจแค่'ไม่ชอบการกระทำบางอย่าง'ของเขา
แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเกลียดหรือไม่ชอบคนๆ นั้นไปด้วย
#เอาใจเขามาใส่ใจเรา มันเป็นเรื่องสำคัญนะของการอยู่ร่วมกันในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายแบบนี้
เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่า
ในวันๆ หนึ่งเขาต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง
คำพูดดีๆ หรือความเมตตาปราถนาดีของเรา
อาจเป็นสิ่งชะโลมใจของเขาในวันนั้นเลยก็ได้
#วิธีเพิ่มEmpathy (ความเห็นอกเห็นใจ)

1 #เปิดใจรับฟัง
พยายามฟัง'ไม่ใช่แค่ได้ยิน'
ฟังแบบมีอคติน้อยที่สุด อย่าเพิ่งปักธงในใจ
ถ้าสิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับที่เราคิดก็ควรฟังเหตุผลจากมุมของอีกฝ่ายก่อน
2 #ไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิด
เหรียญมีหลายด้าน
ทั้งด้านที่เราเห็น ด้านที่คนอื่นเห็น และด้านที่เป็นความจริง
ทุกคนล้วนมีเหตุผลมาซัพพอร์ตการกระทำของตัวเองอยู่แล้ว
ลองฟังและคิดตามก่อนที่จะตัดสินใดๆ
เพราะบางทีสิ่งที่เราคิดว่าถูกมาตลอด
มันอาจไม่ใช่แบบนั้นก็ได้
3 #ให้กำลังใจ
คอยอยู่ข้างๆ ไม่ให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว
บางทีเราอาจไม่ต้องพูดอะไรเลยก็ได้
แค่ทำให้เขารู้ว่ามีคนที่พร้อมรับฟังก็พอ

4 #ให้ความช่วยเหลือเท่าที่ทำได้แต่ต้องไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน
'เราคงให้ในสิ่งที่ตัวเองไม่มีไม่ได้'
ดังนั้นถ้าช่วยอะไรเขาไม่ได้จริงๆ ก็แค่ให้กำลังใจให้คำพูดดีๆ ก็พอ
ไม่ต้องรู้สึกผิดถ้าบางครั้งเราช่วยเหลือเขาไม่ได้
อย่าลืมว่าเราไม่สามารถรักษาทุกคนได้
สำคัญที่สุดคือเราต้อง #มีความเห็นอกเห็นใจให้ตัวเองด้วย
'อย่าเอ็นดูเขาจนเอ็นเราขาด'
การเห็นใจคนอื่นเป็นเรื่องที่ดี
แต่ถ้าอีกฝ่ายทำผิดจริงก็ต้องว่าไปตามนั้น
และถ้าเขาไม่ได้เห็นใจเราก็ต้องช่างแม่งไปบ้าง
เราบังคับทุกคนให้คิดเหมือนเราไม่ได้นี่นา
ขอให้วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ดีสำหรับทุกคนค่ะ 🌷🧡


#เกลาไปพร้อมกัน
#เกลานิสัยอันตราย

Writer : kanompang

Ref.
https://www.mangozero.com/empathy/ #
Empathy เข้าใจคนอื่นง่ายๆ ด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/empathy-skill-210714/
รู้จัก Empathy Skill ทักษะที่ทำให้เข้าใจความรู้สึกคนอื่นมากขึ้น
🌈สั่งซื้อสินค้าเพื่อสนับสนุนโครงการเกลา นิสัยอันตราย : https://bit.ly/3sCQHIp
ติดตาม เกลา นิสัยอันตราย ในโซเชียลอื่นๆ ได้ตามนี้เลยครับ
📌Youtube : https://bit.ly/3u5JvVI
📌Instagram : https://www.instagram.com/klaoshow/
📌Line OpenChat : https://bit.ly/3dhmuID
🔺 Website : https://bit.ly/2I7M5Yi
🔺 Blockdit : https://bit.ly/2Jw91RM
📞 ติดต่อโฆษณาหรือสปอนเซอร์ได้ที่
E-mail : [email protected]
Call : 084-645-9656 คุณแคท

อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
20/05/2022

อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต

วันนี้ในอดีต
20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535
'สุจินดา-จำลอง' เข้าเฝ้าในหลวง ร.9 ยุติเหตุการณ์พฤษภามหาวิปโยค

วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) มีพระราชกระแสรับสั่งให้พล.อ. สุจินดา คราประยูร และพลตรีจำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้า หลังเกิดความขัดแย้งรุนแรงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 หรือที่หลายคนเรียกว่า เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ หรือเหตุการณ์พฤษภามหาวิปโยค

ความขัดแย้งทางการเมืองดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจาก พล.อ. สุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบก ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ และต่อมา พล.อ. สุจินดา รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้ถูกมองว่าเป็นความพยายามสืบทอดอำนาจ

การประท้วงเพื่อขับไล่ พล.อ. สุจินดา เริ่มต้นขึ้น โดยมีหนึ่งในแกนนำสำคัญคือ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง สถานการณ์ได้ยืดเยื้อจนกระทั่งวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ทำให้มีการเผชิญหน้าของทั้ง 2 ฝ่ายที่ยืดเยื้อเป็นเวลาถึง 4 วัน 4 คืน โดยทหารได้จับตัวผู้ประท้วงที่มีนิสิต นักศึกษา ประชาชน การปราบปรามของรัฐบาลครั้งนั้น มีประชาชนถูกอาวุธบาดเจ็บและเสียชีวิตด้วย

หลังเกิดเหตุการณ์รุนแรง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) มีพระราชกระแสรับสั่งเรียก พล.อ. สุจินดา และ พล.ต. จำลอง เข้าเฝ้า และเผยแพร่เทปเหตุการณ์ดังกล่าวในเวลา 24.00 น. วันเดียวกัน

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ในครั้งนั้น มีใจความตอนหนึ่งว่า

“คงเป็นที่แปลกใจ ทำไมถึงเชิญให้ท่านมาพบกันอย่างนี้ เพราะว่าทุกคนก็ทราบว่า เหตุการณ์มีความยุ่งเหยิงอย่างไร และทำให้ประเทศชาติล่มจมได้ แต่ที่จะแปลกใจก็อาจมีว่า ทำไมเชิญพลเอกสุจินดา คราประยูร และ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เพราะว่า อาจมีผู้ที่แสดงเป็นตัวละครมากกว่านี้ แต่ว่าที่เชิญมาเพราะว่า ตั้งแต่แรกที่มีเหตุการณ์ สองท่านเป็นผู้ที่เผชิญหน้ากัน แล้วก็ในที่สุด เป็นการต่อสู้ หรือการเผชิญหน้ากว้างขวางขึ้น ถึงได้เชิญ 2 ท่านมา

การเผชิญหน้าตอนแรก ก็จะเห็นจุดประสงค์ของทั้ง 2 ฝ่ายได้ชัดเจนพอสมควร แต่ต่อมาภายหลัง 10 กว่าวัน ก็เห็นแล้วว่า การเผชิญหน้านั้น เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก จนกระทั่งออกมาอย่างไรก็ตาม เสียทั้งนั้นเพราะว่า ทำให้มีความเสียหาย ในทางชีวิต เลือดเนื้อของคนจำนวนมากพอสมควร แล้วก็ความเสียหายทางวัตถุ ซึ่งเป็นของส่วนราชการ และส่วนบุคคลเป็นมูลค่ามากมาย นอกจากนี้ก็มีความเสียหายในทางจิตใจ และในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ อย่างที่จะนับพรรณนาไม่ได้ ฉะนั้นการที่จะเป็นไปอย่างนี้ต่อไป จะเป็นเหตุผลหรือต้นตออย่างไรก็ช่าง เพราะเดี๋ยวนี้เหตุผลเปลี่ยนไป ถ้าหากว่าเผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไป เมืองไทยมีแต่ล่มจมลงไป แล้วก็จะทำให้ประเทศไทย ที่เราสร้างเสริมขึ้นมาอย่างดี เป็นเวลานาน จะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายในทางลบเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เริ่มปรากฏผลแล้ว ฉะนั้นจะต้องแก้ไข โดยดูว่ามีข้อขัดแย้งอย่างไร แล้วก็พยายามที่จะแก้ไขตามลำดับ เพราะว่าปัญหา ที่มีอยู่ทุกวันนี้ สองสามวันนี้มันเปลี่ยนไป ปัญหาไม่ใช่เรื่องของเรียกว่าการเมือง หรือเรียกว่าของการดำรงตำแหน่ง เป็นปัญหาของการสึกหรอของประเทศชาติ ฉะนั้นจะต้องช่วยกันแก้ไข”

หลังจากนั้นในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พลเอกสุจินดา คราประยูร ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้ให้รองนายกรัฐมนตรี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีต่อมา จนกว่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่

ที่มา http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=7_%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2535&fbclid=IwAR3mYpVCtvGCFV4Yud-3yJvVIvzAkg9Z5H0qf7lxLXfaR4TJvTFkAj4h_AE
https://siamrath.co.th/n/188944
https://www.komchadluek.net/news/today-in-history/277321?_trms=ce1a648f846b1746.1652503191218


#สาระความรู้เพื่อวันนี้

ติดตามรายการของ workpointTODAY
ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

ไม่พลาดข่าวธุรกิจ การตลาดที่สำคัญ
ติดตาม TODAY Bizview https://bit.ly/3picIeS

ก็ยังมีความยุติธรรมบ้าง  #โทษทางวินัย มี 5 สถานคือกรณีความผิดวินัยไม่ร้ายแรง1 ภาคทัณฑ์2 ตัดเงินเดือน3 ลดเงินเดือนกรณีควา...
19/05/2022

ก็ยังมีความยุติธรรมบ้าง

#โทษทางวินัย มี 5 สถานคือ
กรณีความผิดวินัยไม่ร้ายแรง
1 ภาคทัณฑ์
2 ตัดเงินเดือน
3 ลดเงินเดือน
กรณีความผิดร้ายแรง
4 #ปลดออก คือ เป็นการลงโทษให้พ้นจากราชการ โดยได้รับบําเหน็จบํานาญเสมือนผู้นั้นลาออกจากราชการ
5 #ไล่ออก คือ เป็นการลงโทษให้พ้นจากราชการ โดยไม่ได้รับบําเหน็จบํานาญ

ก็ไม่เหมือนกันอยู่น่าาาา

ก.อ. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ออกจากราชการ ‘เนตร นาคสุข’ อดีตรองอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้อง ‘บอส อยู่วิทยา’ ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ชี้เป็นการสั่งคดีใช้ดุลพินิจไม่รอบคอบอย่างร้ายแรง

วันที่ 18 พ.ค. 2565 นายพชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เป็นประธานการประชุม ก.อ. เพื่อลงมติ ผลสอบคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด กรณีสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ผู้ต้องหาคดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อเสียชีวิต

นายพชร กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ว่า การสั่งคดีของนายเนตร สั่งคดีใช้ดุลพินิจไม่รอบคอบอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการ พ.ศ.2553 ม.85 และ 87 ทำให้สำนักอัยการได้รับความเสียหาย จึงมีมติ 8 เสียง จากทั้ง 14 เสียงในที่ประชุมให้ปลดนายเนตรออกจากราชการ

แต่เนื่องจากประวัติการทำงานตลอด 40 ปี ไม่มีด่างพร้อย อีกทั้งการพิจารณาไม่มีเรื่องของเงินเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดี อีกทั้งเป็นอัยการที่มือสะอาดเป็นที่ยอมรับนับถือในวงการ จึงลดโทษให้เหลือแค่ให้ออก ให้มีผลตั้งแต่ที่นายเนตรยื่นใบลาออกจากราชการ

อย่างไรก็ตามการให้ออกจากราชการยังคงสามารถรับเงินบำเหน็จบำนาญได้ตามปกติ

นอกจากนี้ ที่ประชุม ก.อ.ยังมีมติตั้ง 3 คณะกรรมการจากสำนักอัยการขึ้นมาสอบสวนนายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส หลังเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขความเร็วรถของบอส อยู่วิทยาในสำนวนความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ จาก 179 กม./ชม. เป็น 79 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วที่ไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด (80กม.) ทั้งที่นายชัยณรงค์ไม่ใช่อัยการที่มีส่วนรับผิดชอบในคดีนี้ โดยให้ดำเนินสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับจากวันนี้เป็นต้นไป
สรุปคดี ‘บอส อยู่วิทยา’ https://youtu.be/GVvGOdJU768

#สาระความรู้เพื่อวันนี้

ติดตามรายการของ workpointTODAY
ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

ไม่พลาดข่าวธุรกิจ การตลาดที่สำคัญ
ติดตาม TODAY Bizview https://bit.ly/3picIeS

18/05/2022

ในช่วงโควิดที่ผ่านมา เราอาจจะเจอกับความเปลี่ยนแปลงในระดับเร็วโหด จนกระทั่งในวันนี้หลายคนเริ่มปรับตัวเข้าสู่โหมด “ปกติใหม่” ได้สบายๆ แล้ว ถึงอย่างนั้น “มนุษย์ออฟฟิศ” อย่างเราก็ไม่อาจวางใจกับจังหวะของโลกและชีวิตได้อีกต่อไป

มาอัปเดตเทรนด์การทำงานที่กำลังเปลี่ยนไป และดูกันว่าออฟฟิศของเราใช่แบบนี้หรือยัง กับ ...รู้ก่อน ปรับก่อน รับรองไม่เอาต์ แล้วยังล้ำกว่าใคร

มังกรฟ้า รอด.. ศาลสั่งไม่ต้องปิดเว็บไซต์ ชี้เป็นเพียงตลาด ไม่ใช่ผู้กำหนดราคาจากกรณีเว็บมังกรฟ้า แพลตฟอร์มซื้อ-ขายสลากกิน...
13/05/2022

มังกรฟ้า รอด.. ศาลสั่งไม่ต้องปิดเว็บไซต์ ชี้เป็นเพียงตลาด ไม่ใช่ผู้กำหนดราคา

จากกรณีเว็บมังกรฟ้า แพลตฟอร์มซื้อ-ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ ถูกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญา มีคำสั่งระงับการเผยแพร่หรือลบเว็บไซต์มังกรฟ้า และเว็บในลักษณะเดียวกันรวม 5 เว็บไซต์
จาก 2 กรณี คือ การขายสลากเกินราคา และนำโลโกมังกรฟัง มาปิดบาร์โค้ดบนสลาก

ล่าสุด วันนี้ศาลอาญามีคำสั่ง สรุปได้ว่า

- จากกรณีแรก คือ ขายเกินราคา

มังกรฟ้า เป็นเพียงแพลตฟอร์มรวบรวมสลาก ไม่ได้เป็นผู้ขายโดยตรง และไม่ได้เป็นผู้กำหนดราคา หรือเป็นเพียงตลาดที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงราคากันเอง และมังกรฟ้าได้ค่าดำเนินการส่วนต่างเท่านั้น
ในส่วนนี้ จึงไม่ได้มีความผิดตาม พรบ.สลากกินแบ่งรัฐบาล

- ส่วนอีกกรณี คือ ปิดบังบาร์โค้ดงวดที่ วันที่ ทำให้สลากไม่สมบูรณ์ เป็นการบิดเบือนหรือทุจริตหรือไม่

ศาลเห็นว่า มีความผิด แต่ทางมังกรฟ้าสามารถชี้แจงเจตนาที่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อการทุจริต ที่ทำให้สลากกินแบ่งรัฐบาลเสียหาย

ศาลจึงยกคำร้อง ไม่ปิดเว็บไซต์มังกรฟ้า 3 เว็บไซต์
ส่วนอีก 2 เว็บไซต์ที่ไม่ใช่ของมังกรฟ้า แต่มีการตั้งชื่อคล้ายกัน ซึ่งผู้เกี่ยวข้องไม่ได้มาซักค้านในชั้นศาล จึงมีคำสั่งปิด 2 เว็บไซต์ดังกล่าว

โดยหลังจากนี้ มังกรฟ้าและทนายความ เตรียมหารือเพื่อฟ้องร้องบริษัทหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตำรวจ, สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมต่อไป

เนื่องจากทำให้ประชาชนเจ้าของโควต้าได้รับความเดือดร้อน และเชื่อว่ารัฐบาลทำไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่ใช้แนวทางในการแก้ไขปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา

#สลากกินแบ่งรัฐบาล
#มังกรฟ้า
------------------------
อ้างอิง:
-https://www.kaohoon.com/news/532083
-https://www.matichon.co.th/local/crime/news_3339570
https://www.facebook.com/1387231808035873/posts/5025572024201815/

🌧🌧 ฝนตกบ่อย ระวังโดนฟ้องกันด้วยนะคะ⁉️ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1341 มีหลักว่า ไม่ให้เจ้าของบ้านหรือเจ้าของอสังหาร...
12/05/2022

🌧🌧 ฝนตกบ่อย ระวังโดนฟ้องกันด้วยนะคะ⁉️

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1341 มีหลักว่า ไม่ให้เจ้าของบ้านหรือเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ทำหลังคา ซึ่งทำให้น้ำฝนตกลงยังทรัพย์สินซึ่งอยู่ติดต่อกัน ผู้ใดฝ่าฝืน ถือว่าทำผิดกฎหมาย อาจถูกฟ้องร้องได้

บ้านใกล้เรือนเคียง ผูกมิตรไว้ 🤝💞
มีไรจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจะดีกว่า👍

#เรียนออนไลน์ง่ายๆกับอออุ๊ก

พรบ.จราจรใหม่บังคับเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องนั่ง 'คาร์ซีท' ฝ่าฝืนปรับ 2,000 บาท9 พฤษภาคม 2565 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ....
12/05/2022

พรบ.จราจรใหม่บังคับเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องนั่ง 'คาร์ซีท' ฝ่าฝืนปรับ 2,000 บาท

9 พฤษภาคม 2565 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2565 จำนวน 18 หน้า โดยมีสาระสำคัญ ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก

ในมาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 123 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน อาทิ คนโดยสารที่นั่งแถวตอนหน้าและที่นั่งแถวตอนอื่น ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งตลอดเวลาในขณะโดยสารรถยนต์

คนโดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

คนโดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่ง หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะนั่งแถวตอนใด

จากข้อความดังกล่าว หมายความว่า เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี นั้นบังคับให้ต้องนั่งบนคาร์ซีท ทั้งนี้ พ.ร.บ. ฉบับแก้ไขกำหนดโทษปรับไว้สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท และมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

#คอนเซ็ปดี #แต่บทลงโทษไม่ช่วยทำให้อันตรายกับเด็กลด

ศึกษาเพิ่มเติมฉบับเต็ม
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2565/A/028/T_0005.PDF

ถึง...คุณ คนธรรมดา ❤💙 #เรียนออนไลน์ง่ายๆกับอออุ๊ก
08/05/2022

ถึง...คุณ คนธรรมดา ❤💙

#เรียนออนไลน์ง่ายๆกับอออุ๊ก

พักได้...แต่อย่านานเกิน #ฝันดีราตรีสวัสดิ์ 😪🌠
22/04/2022

พักได้...แต่อย่านานเกิน
#ฝันดีราตรีสวัสดิ์ 😪🌠

งานวิจัยเล็กๆ ที่เรียนว่า "รัก" ค่อยติดตามผลงานกันด้วยนะคะ  🚭https://www.facebook.com/100904249251114/posts/116503674357...
21/04/2022

งานวิจัยเล็กๆ ที่เรียนว่า "รัก"
ค่อยติดตามผลงานกันด้วยนะคะ
🚭

https://www.facebook.com/100904249251114/posts/116503674357838/

เปิดตัวทีมงาน Admin 🚭

“ไม่ว่าความคิดหรือแผนการของคุณจะเยี่ยมยอดแค่ไหน
ถ้าคุณยังฉายเดี่ยว คุณก็ย่อมแพ้ให้กับคนที่ทำงานเป็นทีมอยู่ดี”

#ทีมงานคุณภาพ

15/04/2022

9 สิ่ง ที่คนรวย "ทำทุกวัน"
Thomas Corley ผู้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า Rich Habits: The Daily Success Habits Of Wealthy Individuals ได้ใช้เวลาถึง 5 ปีในการศึกษาพฤติกรรมของคนรวยกับคนที่ขัดสนด้านการเงิน และนี่คือ 9 สิ่งที่มีอิทธิพลกับนิสัยร่ำรวยของเรา
1.คนรวยมักโฟกัสเป้าหมายของตัวเองอยู่ทุกวัน
สำหรับคนรวยความปรารถนาไม่ใช่แค่เพียงเป้าหมาย เพราะเป้าหมายคือเป้าหมายที่พวกเขาต้องทำให้ได้ ลองตั้งเป้าหมายของตัวเองในแต่วันละดูว่าวันนี้เราจะทำอะไร และทำมันให้สำเร็จทุกวันๆ แรกๆอาจจะเริ่มจากสิ่งที่ง่ายๆ ก่อน เช่น วันนี้ต้องวิ่งให้ได้ 500 เมตร และขยับเพิ่มขึ้นไปเป็น 1 กิโลเมตร
2.วางแผนสิ่งที่จะทำในแต่ละวัน
คนรวยจะวางแผนและทำได้สำเร็จตามที่ลิสต์ไว้ เราก็ลองลิสต์รายชื่อสิ่งที่จะทำในแต่ละวันดูเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง เช่น ตอนเช้าทำอาหาร ทำงาน และต้องอ่านหนังสือก่อนนอน 30 นาที
3.ไม่ดูโทรโทรทัศน์
ถ้าดูก็ไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น (ใครที่ติดละครหลังข่าวภาคค่ำเห็นทีจะลำบาก) ที่คนรวยส่วนใหญ่ไม่ติดโทรทัศน์ เป็นเพราะพวกเขามีระเบียบวินัย มีความตั้งใจจริง และบางคนให้ความเห็นว่าไม่เคยนึกถึงโทรทัศน์เลย เนื่องจากในแต่ละวันมีเรื่องอื่นให้ต้องทำอีกมากมาย
4.อ่านหนังสือ เพื่อหาความรู้ให้กับตัวเอง
กลุ่มคนรวยรักการอ่านมากๆ โดยเฉพาะหนังสือสารคดีหรือหนังสือประเภทการพัฒนาตนเอง โดนอ่านหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองอย่างต่ำวันละ 30 นาที
5.ฟัง Podcast ให้เสริมความรู้ระหว่างที่ไม่สามารถอ่านหนังสือได้
เพื่อไม่ให้เสียเวลาในแต่ละวินาทีไปอย่างไร้ค่า กลุ่มคนรวยส่วนใหญ่จึงฟังหนังสือเสียงในระหว่างเดินทางไปทำงาน
6.ทำงานให้เกินลิมิต
กลุ่มคนรวยค่อนข้างมีทัศนคติที่เป็นบวกด้านการทำงาน เพราะพวกเขามักคิดว่าควรทำงานให้มากกว่างานของตัวเอง มีกลุ่มคนรวยเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่มีความสุขกับการทำงาน
7.ไม่กลัวการแบกรับความเสี่ยง
กลุ่มคนรวยก็มีการซื้อลอตเตอรี่กันอยู่บ้าง เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าคนรวยไม่ได้ระมัดระวังการใช้เงินเสมอไป เพราะคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจ พวกเขาจึงไม่กลัวที่จะแบกรับความเสี่ยง
8.ดูแลสุขภาพตัวเองอยู่เสมอ
คนรวยให้คุณค่ากับสุขภาพของตัวเองมากๆ แถมบางคนยังวัดรอบเอวของตัวเองทุกวันด้วย ยกตัวอย่างเช่น คนรวยคนหนึ่งเขาใช้เวลา 45 ปีที่ผ่านมาสำหรับการออกกำลังกายทุกวันและระมัดระวังเรื่องการทานอาหารเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตเกษียณได้อย่างมีความสุข
9.ดูแลรอยยิ้มให้ดี
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะยิ้มทุกวัน และถ้าอยากให้ได้ประสิทธิผลที่ดีขึ้นก็แค่ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน เราก็สามารถยิ้มได้พร้อมกับความมั่นใจแล้ว เพราะรอยยิ้มนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เราต้องยิ้มทุกครั้งเมื่อพบปะกับผู้คน
ที่มา : หนังสือ Rich Habits: The Daily Success Habits Of Wealthy Individuals

Cr. Lumpsum

#หุ้นเจ้าเข้า

ติดตามและเป็นกำลังใจให้แอดมินได้อีก 2 ช่องทาง

Line@ https://line.me/R/ti/p/%40hoonchaokao

Telegram https://t.me/Hoonchaokao

สงกรานต์นี้ ปีใหม่ไทย 🌷ขอให้โชคดีมีชัย เดินทางปลอดภัย ไร้โรคถามหา #เรียนออนไลน์ง่ายๆกับอออุ๊ก
13/04/2022

สงกรานต์นี้ ปีใหม่ไทย 🌷
ขอให้โชคดีมีชัย เดินทางปลอดภัย ไร้โรคถามหา

#เรียนออนไลน์ง่ายๆกับอออุ๊ก

ที่อยู่

Nong Khaem

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เรียนออนไลน์ง่ายๆ กับ อ.อุ๊กผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง เรียนออนไลน์ง่ายๆ กับ อ.อุ๊ก:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์