CPU Brain จิตวิทยา & ชีวมนุษย์ ชม.บิน + ประสบการณ์ตรง 10,000 ชม.+�
รับให้คำปรึกษา Free

ประธานผู้เป็นของเผด็จการ ถอยให้หมด แต่ไม่เป็นไรถือว่าได้ฉีกหน้าสรรพสัตว์ ที่ปลกคลุมด้วยเนื้อหนังของมนุษย์ เอาหละจะเล่นกั...
04/08/2023

ประธานผู้เป็นของเผด็จการ ถอยให้หมด แต่ไม่เป็นไรถือว่าได้ฉีกหน้าสรรพสัตว์ ที่ปลกคลุมด้วยเนื้อหนังของมนุษย์ เอาหละจะเล่นกันแบบไหนก็เอาให้เต็มที่ก่อนจะไม่มีที่ยืนอีก ถึงตอนนี้จะอยู่ปากเหวแล้วก็เถอะ

ไม่ใช่สภาล่ม แต่ประธานวันนอร์ สั่งปิดประชุม ทั้งที่เริ่มไปได้แค่ 2 ชั่วโมง หลัง สส.ก้าวไกล ลุกเสนอญัตติ ให้ทบทวนเรื่องห้ามเสนอชื่อนายกฯ ซ้ำ

บรรยากาศการประชุมสภาในวันนี้ ที่ต้องมีนัดถกกันเรื่องการยื่นแก้ไข ม.272 เรื่องอำนาจ สว.โหวตนายก แต่หลังเปิดประชุมสภาไปได้เพียง 2 ชั่วโมง ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ก็สั่งเลื่อนการประชุมในวันนี้ออกไป

โดยก่อนจะมีการสั่งเลื่อน สส.รังสิมันต์ โรม เสนอญัตติด่วนด้วยวาจาให้ที่ประชุมทบทวนมติในวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ไม่อนุญาตให้เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้ที่ประชุมพิจารณาซ้ำได้ เพราะขัดข้อบังคับข้อ 41

ซึ่งประธานวันนอร์ ได้คัดค้านการเสนอญัตติดังกล่าว โดยบอกว่าเรื่องนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ หากดำเนินการต่อไปอาจทำให้มีปัญหาในภายหลัง

ขณะที่ สส.รังสิมันต์ และ สส.ก้าวไกล อีกส่วนหนึ่ง ลุกมาคัดค้าน แต่ประธานวันนอร์ ยังยืนยันเหมือนเดิม จนกระทั่ง นพ.ชลน่าน สส.และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลุกมาอภิปรายสนับสนุนพรรคก้าวไกลว่า "ประธานไม่มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัย เมื่อสมาชิกเสนอญัตติ รับรองถูกต้อง สภาต้องพิจารณา จะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ"

สุดท้าย ประธานวันนอร์จึงอนุญาตให้เสนอญัตติได้ และดำเนินการต่อไป จากนั้น สว.สมชาย แสวงการ ได้เสนอญัตติว่า การเสนอญัตติให้ทบทวนมติ เป็นญัตติที่ไม่ชอบ ไม่สามารถเสนอได้

จากนั้นประธานได้อนุญาตให้สมาชิกได้ลุกขึ้นมาอภิปรายแสดงความเห็นต่อการเสนอญัตติทั้ง 2 ฝ่าย หลังใช้เวลาอภิปรายอยู่ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ประธานวันนอร์ ก็ได้สั่งปิดประชุม โดยเลื่อนการพิจารณาวาระนี้ออกไป

ก็ทำให้วาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เลิกอำนาจ สว.ในการเลือกนายกฯ หรือ ปิดสวิตซ์ สว.ไม่สามารถเข้าสู่การพิจารณาในวันนี้ได้

#ประชุมสภา #ปิดประชุม #สภาล่ม #โหนกระแส

03/08/2023

ง่ายๆ ก็คือ รอพวกตังเองได้เป็นรัฐบาลก่อน ระบบพวกกู ไม่ใช่ระบบสังคม

27/07/2023

[ อย่าหลอกลวงประชาชนว่ารัฐบาลรักษาการทำงานไม่ได้ เพื่อหวังสลับขั้วตั้งรัฐบาล 3ป ]
- - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตอนนี้มีบางคนชอบออกมาพูดหลอกประชาชนว่า รัฐบาลรักษาการทำงานไม่ได้ เราเสียเวลารอการจัดตั้งรัฐบาลแห่งความหวัง 8 พรรคร่วมไม่ได้ เพื่อขู่ให้ประชาชนกลัว และยอมรับชะตากรรม ยอมให้เกิดการสลับขั้วจัดตั้งรัฐบาล 3ป ให้มาผูกขาดกินรวบประเทศต่อไป
ผมถามตรงๆ เลยครับว่า ระหว่างได้รัฐบาล 3ป แล้วต้องสิ้นหวังต่อไปอีก 4ปี กับรอเต็มที่ไม่เกิน 10 เดือน แล้วจะได้รัฐบาลแห่งความหวังของประชาชน มีใครยอมสิ้นหวังไปอีก 4 ปีด้วยหรือครับ
ระหว่างที่รอ บ้านเมืองก็ไม่ได้อยู่ในสภาวะสุญญากาศนะครับ สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการ และรัฐบาลรักษาการ ก็ยังทำงานได้
รัฐบาลที่ผ่านมา บริหารบ้านเมืองได้ตกต่ำถึงขีดสุดแล้วครับ ไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้วครับ การเป็นรัฐบาลรักษาการ โดยถูกจำกัดอำนาจบางส่วน ก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว เพราะจะได้ไม่ไปก่อความเสียหายอะไร ให้กับบ้านเมืองไปมากกว่านี้
ตามมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ รัฐบาลรักษาการ ทำงานได้ครอบคลุมพอสมคววรนะครับ ไม่ใช่ว่าทำงานไม่ได้เลย มีข้อห้ามหลักๆ ก็แค่ 3 เรื่อง เท่านั้น คือ
1. ห้ามอนุมัติโครงการ ที่ก่อภาระผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ยกเว้นกรณีที่กำหนดไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่แล้ว แสดงว่าโครงการที่อนุมัติไปแล้ว ก็ยังเดินหน้าต่อได้ เพียงแต่โครงการใหม่ๆ ห้ามเซ็นก็เท่านั้นเอง ซึ่งก็สมควรอยู่แล้ว เพราะจะได้ป้องกันไม่ให้รัฐบาลนี้ผลาญเงินภาษีของประชาชนไปมากกว่านี้
2) ห้ามการแต่งตั้งโยกย้ายหรือถอดถอนบุคลากรของรัฐ ซึ่งก็ดีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น ระบบตั๋ว และการซื้อขายตำแหน่ง ที่เป็นบ่อเกิดของการทุจริตคอร์รัปชั่น ก็จะรุนแรงขึ้น แถมยังจะทำให้เครือข่ายอุปถัมภ์ที่กินรวบสัมปทาน ขยายเครือข่ายของตนอีกด้วย แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องแต่งตั้งโยกย้ายจริงๆ ก็ทำได้ครับ เพียงแต่ต้องขอความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน ก็เท่านั้นเอง
3) ห้ามอนุมัติการใช้จ่ายงบกลางเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ก็ดีอยู่แล้ว จะได้เลิกเอางบกลางไปผลาญตามอำเภอใจของนายกฯ คนนี้ซะที แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ เช่น กรณีภัยพิบัติ ก็ใช้ได้ครับ เพียงแต่ต้องขอความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน ก็เท่านั้นเอง
รัฐบาลรักษาการพอที่จะทำงานได้ครับ ไม่ได้ถึงกับสิ้นสภาพ อย่างที่เอามาขู่ให้กลัวเลย
แล้วก็ไม่ต้องมาอ้างเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศเลยครับ นักลงทุนจากต่างประเทศ เวลาที่จะมาลงทุน เขาต้องพิจารณาในระยะยาวเป็นหลักสิบปี ไม่ใช่ว่าต้องเร่งให้มีรัฐบาลกเฬวรากอะไรก็ได้
นักลงทุนจากต่างประเทศ เขาคำนึงถึงเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นสำคัญ ซึ่งคำว่า "เสถียรภาพ" ในโลกยุคปัจจุบัน ไม่ได้ดูแค่จำนวน สส. เท่านั้น แต่รัฐบาลจะต้องมีความชอบธรรม ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ประชาชนพร้อมเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ อย่างนี้ถึงเรียกว่าเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ไม่ใช่เริ่มต้นมาก็ทรยศหักหลัง เป็นปรปักษ์กับประชาชนเสียแล้ว
นอกจากนี้ ปัญหาการคอร์รัปชั่น ก็เป็นอีกประเด็นที่นักลงทุนต่างชาติพิจารณา ถ้าบ้านเมืองเต็มไปด้วยส่วย และการเรียกรับผลประโยชน์ จะประกอบกิจการอะไร ก็ต้องจ่ายใต้โต๊ะตั้งแต่หัวโต๊ะยันท้ายโต๊ะ อย่างที่เป็นอยู่ นักลงทุนต่างประเทศเขาไม่มาลงทุนหรอกครับ
ดังนั้น รัฐบาลที่ยอมพลิกขั้วยอมเป็นร่างทรง ให้ 3ป มาสิงสู่สืบทอดอำนาจ มีแต่จะถูกประชาชนสาปแช่ง บั่นทอนการลงทุนจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม การที่ ส.ส. จากพรรคอื่น ที่ไม่อยู่ใน 8 พรรคร่วม จะบ่นว่า การตั้งรัฐบาลจะเสียเวลารอนานไม่ได้ ผมก็เห็นด้วยว่าควรบ่นครับ ผมก็บ่นเหมือนกัน ไม่มีใครอยากตั้งรัฐบาลช้าหรอกครับ บ่นน่ะได้ แต่ต้องบ่นให้ถูกคน เรามาช่วยกันบ่นไปที่ สว. กลุ่มที่ขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลดีกว่าครับ ถ้าผนึกกำลังช่วยกันบ่น และบ่นให้ถูกคน สักพักรัฐบาลก็จะตั้งได้เองครับ

20/07/2023
17/07/2023
ไม่ต้องลดอุดมการณ์ครับ ไปให้สุดหากไปจนถึงสุดทางแล้วยังไม่จบ ก็หยุดผลัดมือขึ้นแทน แล้วรอจังหวะต่อไป ให้งูทั้งหลายไปรับรู้...
16/07/2023

ไม่ต้องลดอุดมการณ์ครับ ไปให้สุดหากไปจนถึงสุดทางแล้วยังไม่จบ ก็หยุดผลัดมือขึ้นแทน แล้วรอจังหวะต่อไป ให้งูทั้งหลายไปรับรู้ถึงแรงบีบที่จะโดนหลังจากนี้ งูไม่สามารถอยู่ในดงพังพอนได้หลอกครับเพราะ งูมีไม่กี่ตัวกับพังพอนที่พร้อมปกป้องบ้านของตัวเอง พลังมันต่างกันครับ

หากเรามุ่งแต่จะเข้าสู่อำนาจ โดยยอมที่จะเสียสัจจะ ยอมผิดคำพูดที่เคยให้คำมั่นไว้กับประชาชน ตามเงื่อนไขที่ 1 ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอ้าง เงื่อนไขที่สองสามสี่ และเงื่อนไขต่อๆ ไป ก็จะถูกหยิบยกขึ้นตามมา เพื่อบีบให้เรา ต้องทิ้งคำมั่นที่มีต่อประชาชนไปเรื่อยๆ
ในท้ายที่สุด นอกจากจะไม่ได้อำนาจใดๆ แล้ว ประชาชนผู้เป็นเจ้านาย ที่เคยเดินเคียงข้างสนับสนุน ก็จะอันตรธานหายไป แถมยังอาจจะรุมประณามสาปแช่งเราอีกด้วย
สำหรับการแก้ไข ม.112 ที่หลายท่านมีความกังวล ผมยืนยันว่า การดำเนินการในเรื่องนี้จะต้องเป็นไปด้วยความประณีต รอบคอบ และรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายรอบด้าน และถ้าหากจำเป็นต้องเพิ่มเติมกระบวนการใดๆ และต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น ตามกลไกของระบบรัฐสภา เพื่อให้เกิดความสบายใจ และความเข้าอกเข้าใจกันของทุกฝ่าย ก็เป็นเรื่องที่สามารถพิจารณาได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการดำเนินการตามสมควร
และถ้าการแก้ไข ม.112 จำเป็นต้องทอดเวลาออกไป หรือต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการที่ยาวนานขึ้น อันเนื่องมาจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็น หรือกระบวนการใดๆ ในระบบรัฐสภา ที่สำคัญที่สุด คือ เพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญ ในการยุติการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นฉบับประชาชน เพื่อคืนความเป็นปกติให้กับประเทศ หากจะมีมาตรการอื่นใดเข้ามาทดแทนไปพลางก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ จากการถูกดำเนินคดี ม.112 อย่างไม่เป็นธรรม ก็เป็นเรื่องที่พิจารณาได้เช่นกัน
ที่สำคัญ การแก้ไข ม.112 ถ้ามีข้อท้วงติงในเชิงเนื้อหาในส่วนไหน ก็ยังสามารถทบทวนได้ และเราจะเสนอผ่าน ส.ส. ของพรรคก้าวไกลเอง ตามกลไกของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ที่ระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ มิได้เสนอผ่าน ครม. หรือกลไกของรัฐบาลแต่อย่างใด และมิได้ผูกมัด ส.ส. ของพรรคร่วมรัฐบาลว่า จะต้องโหวตสนับสนุนให้กับการแก้ไข
และในท้ายที่สุด จะแก้ไขได้หรือไม่ แก้ไขได้เพียงใด เราก็พร้อมน้อมรับภายใต้กติกาของระบบรัฐสภา
เรื่องการแก้ไข ม.112 เรามีความยืดหยุ่นอย่างมากอยู่แล้วครับ จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล ว่าจะมีการดึงดัน หรือดำเนินการอย่างหุนหันพลันแล่น แต่อย่างใด
จริงๆ แล้วเรามีนโยบายสำคัญอีกมากมาย ที่ต้องการเร่งขับเคลื่อน เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์จากระบบเศรษฐกิจ และทรัพยากรของประเทศโดยเสมอภาคกัน อาทิ การแก้ไขปัญหาสัมปทานพลังงานเพื่อให้คนไทยได้ใช้ไหฟ้าในราตาที่เป็นธรรม น้ำประปาดื่มได้ การกระจายอำนาจกระจายการลงทุนในท้องถิ่น การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม การส่งเสริม SMEs การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นในการลงทุนในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ การอุดหนุนเรื่องปุ๋ยซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ การส่งเสริมวิสาหกิจการเกษตร การแก้ปัญหาหนี้เกษตรกร และหนี้ครัวเรือน การเพิ่มงบอุดหนุนทางการศึกษาเพื่อไม่ให้เด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้สอดรับกับค่าครองชีพในปัจจุบัน สุราก้าวหน้า การป้องกันการผูกขาดทางการค้า สมรสเท่าเทียม การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร การปฏิรูปตำรวจ การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ
นโยบายเหล่านี้ ล้วนเป็นนโยบายที่กระทบกับผลประโยชน์ของนายทุนศักดินา และนายทุนในระบบอุปถัมภ์ของอำนาจเผด็จการทั้งสิ้น นี่ต่างหากที่เป็นเหตุผลที่แท้จริงในการขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล
การแก้ไข ม.112 เป็นหนึ่งใน 300 นโยบาย ที่การขับเคลื่อนนโยบายก็ต้องดำเนินการอย่างละเมียดละไม และรอบคอบที่สุด ไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องเร่งทำอย่างมุทะลุแต่อย่างใด อาจจะเป็นนโยบายที่ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการมากกว่านโยบายอื่นด้วยซ้ำ
การที่ ม.112 ถูกหยิบยกขึ้นมาโจมตี ให้ประชาชนเข้าใจผิด คิดว่าพรรคก้าวไกลคิดแต่จะแก้ ม.112 อย่างรีบเร่ง และคิดแต่จะแก้ ม.112 อย่างเดียว จึงเป็นความดิ้นรนของกลุ่มทุนศักดินาในเครือข่ายอุปถัมภ์ ที่พยายามจะเอาเรื่องนี้มาใส่ร้าย เพื่อขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล เพื่อปกป้องระบอบอภิสิทธิ์ชน ให้พวกพ้องของตน สามารถที่จะเอารัดเอาเปรียบประชาชน และกินรวบผูกขาดทรัพยากรของประเทศนี้ ได้ต่อไป ก็เท่านั้นเอง

รับคำวิจารณ์ไม่ได้ก็ออกไปครับ เป็นผู้ที่ทำงานให้ราษฎรก็ต้องพร้อมให้ราษฎรวิจารณ์ เอ้ะ หรือทำงานให้ใคร อ่อทำงานให้พวกรัฐปร...
16/07/2023

รับคำวิจารณ์ไม่ได้ก็ออกไปครับ เป็นผู้ที่ทำงานให้ราษฎรก็ต้องพร้อมให้ราษฎรวิจารณ์ เอ้ะ หรือทำงานให้ใคร อ่อทำงานให้พวกรัฐประหารชิมิ เพราะเท่าที่จำได้ราษฎรไม่เลือกมา

วันที่ 14 ก.ค.66 นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์แจ้ง

“แจ้งฝูงฮายีน่าที่คุ้มคลั่งกำลังรุมถล่มสว เตรียมตัวรับหมาย #ดำเนินคดีถึงที่สุด #คุกมีไว้ขังคนเลว #ไม่ปล่อยคนชั่วลอยนวล”

15/07/2023

‘วิโรจน์’ สรุปจุดยืน ‘ก้าวไกล’

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล

“เราจะทุ่มเทพยายามอย่างสุดความสามารถที่สุด ในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พร้อมกับเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ อย่างควบคู่กัน

อย่างไรก็ตาม เราก็ตระหนักดีว่า ประชาชน และอนาคตของประเทศ นั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด หากเราพบว่า ไม่ว่าเราจะพยายามสักเพียงไร ก็ไม่มีโอกาสที่ทั้ง 2 ภารกิจข้างต้น จะสำเร็จลุล่วงลงได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

เราก็พร้อมที่จะเสียสละ ถอยออกจากการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพื่อให้พรรคในลำดับต่อมา ได้เข้ามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแทน โดยที่เราพร้อมที่จะร่วมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ 8 พรรคร่วม มีความแน่นแฟ้นกลมเกลียว และสามารถเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลผสม 8 พรรค ซึ่งเป็นรัฐบาลแห่งความหวังของประชาชน ให้สำเร็จให้จงได้

อำนาจ ตำแหน่ง และยศถา หาได้สำคัญกว่าผลประโยชน์ของประชาชนไม่

อุดมการณ์ และสัจจะวาจา เป็นสิ่งที่เราต้องรักษาต่อผองชน พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรคเสมอครับ”

14/07/2023

[ ผ่าทางตันการเมือง ยื่นร่างแก้รัฐธรรมนูญ ยกเลิก ม.272 คืนอำนาจเลือกนายกให้ประชาชน ]
ชัยธวัช ตุลาธน - Chaithawat Tulathon เลขาธิการพรรคก้าวไกล และ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ - Phicharn Chaowapatanawong รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ส.ส. พรรคก้าวไกล เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม โดยมี วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นผู้รับเอกสาร สาระสำคัญของร่างคือการยกเลิกมาตรา 272 ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้อำนาจ ส.ว. ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
:
ชัยธวัชกล่าวว่า
(1) ส.ส. พรรคก้าวไกลได้เข้าชื่อกันตามรัฐธรรมนูญ เสนอร่างฉบับนี้เพื่อคืนอำนาจในการเลือกนายกฯ ให้แก่ประชาชน เนื่องจากการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ เมื่อวานนี้ (13 ก.ค.) ปรากฏชัดว่ามี ส.ว. งดออกเสียงถึง 159 คน ไม่มาประชุมอีก 43 คน หลายคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ประสงค์ใช้อำนาจทำหน้าที่เลือกนายกฯ ขอให้เป็นเรื่องของ ส.ส. ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะนำไปสู่ทางตันทางการเมือง
(2) ส.ส. พรรคก้าวไกลในฐานะสมาชิกรัฐสภา จึงเสนอทางออกให้ ส.ว. ในเมื่อท่านไม่ประสงค์จะใช้อำนาจนี้ด้วยความกระอักกระอ่วนใจหรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม ในการโหวตพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ
🔥 ทางนี้จึงจะเป็นทางออกที่ตอบโจทย์ทั้ง ส.ว. ทั้งระบบรัฐสภาของประเทศ ทำให้การเมืองไทยเดินหน้าต่อไปได้ และมีรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็วที่สุด 🔥
(3) คาดว่าระยะเวลาที่รัฐสภาพิจารณาร่างฉบับนี้ ใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพราะเสนอแก้ไขเพียงมาตราเดียว และการพิจารณาสามารถดำเนินการคู่ขนานกับการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ ได้ โดยหลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะดำเนินการขอเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. ต่อไป
(4) ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิก ม.272 ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการเสนอหลายครั้งในสภาชุดที่แล้ว และ ส.ส. พรรคที่เป็นฝั่งรัฐบาลในเวลานั้น เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ก็เคยออกเสียงสนับสนุน รวมถึง ส.ว. มากกว่า 60 คนก็เคยเห็นชอบ จึงเชื่อว่าครั้งนี้ไม่น่ามีปัญหา
(5) ได้แจ้งการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อพรรคเพื่อไทยเป็นการเบื้องต้นแล้ว เนื่องจากพรรคก้าวไกลต้องการให้กระบวนการนี้ใช้เวลาสั้นที่สุด จึงไม่สามารถรอให้สมาชิกจากพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลพรรคอื่นๆ มาร่วมเซ็นด้วยได้
(6) การที่พรรคก้าวไกลยื่นร่างนี้เพียงพรรคเดียว เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องกรอบเวลา ไม่ได้หมายความว่าพรรคเพื่อไทยและอีก 6 พรรค จะไม่เห็นด้วยหรือขัดข้องแต่อย่างใด
“ในเมื่อ ส.ว. ไม่สามารถโหวตนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้นเพื่อให้ท่านไม่ต้องทำอะไรที่ขัดกับสำนึกของตัวเอง ก็แก้ไขยกเลิกมาตรานี้เสีย เพื่อคืนอำนาจในการเลือกนายกให้ประชาชน”
📌 ท่านอ้างว่าถ้าตัดสินใจก็ต้องรับผิดชอบ ท่านจึงไม่ตัดสินใจ เมื่อประชาชนตัดสินใจไปแล้ว จะถูกจะผิดอย่างไรท่านก็ไม่ต้องรับผิดชอบหนทางนี้จึงเป็นการหาทางออกให้ทุกฝ่าย เป็นทางออกที่ดีที่สุด
📌 ต้องถามไปยัง ส.ว. หลายท่านที่ได้แสดงออกมาก่อนหน้านี้ว่าตนเองไม่อยากเกี่ยวข้องกับการเลือกนายกฯ ว่าท่านยินดีหรือไม่ที่จะช่วยกันเอาอำนาจของท่านออกไป และคืนอำนาจนี้ให้ประชาชน
(7) ด้านประธานรัฐสภากล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่สภาตรวจสอบความครบถ้วนถูกต้องของเอกสาร โดยจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพราะถือว่าเป็นเรื่องด่วน
#ก้าวไกล #ปิดสวิตช์สว #โหวตนายก

14/07/2023

ขอทุกท่านร่วมกันส่งเรื่องขึ้นศาลเพื่อเป็นอีกเสียงในการแก้ไข ม.272 เพื่อยุติการทำงานของ ส.ว. ที่ไม่ชอบธรรมด้วยนะครับ ทุกเสียงของทุกท่านจะเป็นผลในการหันเหทิศทางของประเทศ ในวันที่ 19 ก.ค. นี้ครับ

14/07/2023

ถึงสมาชิกรัฐสภาทั้ง 750 คน และโดยเฉพาะ 250 ส.ว. :
วันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสมาชิกรัฐสภาหลายท่านที่นี้ แม้จะเห็นด้วยกับนโยบายของเราหลายประการ ชื่นชอบในแนวทางการทำงานของเราไม่น้อย และเห็นว่าประเทศไทยที่พวกเราอยากจะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น เป็นประเทศไทยแบบเดียวกับที่ท่านอยากเห็น ไม่มากก็น้อย
แต่ท่านก็ยังมีความคลางแคลงใจในตัวผม คลางแคลงใจในคุณสมบัติ จุดยืนทางการเมือง หรือนโยบายบางประการของเรา ความคลางแคลงใจนี้มากพอที่จะทำให้ท่านไม่สามารถยกมือโหวตให้ผมได้ แม้จะได้ยินเสียงเรียกร้องจากพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ว่าเขาต้องการรัฐบาลแบบไหน และนายกรัฐมนตรีคนไหน
ผมจะขอใช้พื้นที่นี้ อธิบายในทุกข้อกังวลสงสัยที่ท่านมีต่อผม เพื่อให้ท่านเชื่อใจผม วางใจว่าอนาคตของประเทศไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นภายใต้การบริหารของผม
ผมจะฉายภาพให้ทุกท่านได้เห็นว่าถ้าหากผมได้รับเลือกให้เป็นผู้นำในการบริหารราชการแผ่นดิน ร่วมกับพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงข้างมากจากประชาชนผ่านการเลือกตั้งตามกลไกประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ประเทศไทยในระยะเวลา 4 ปีต่อจากนี้ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร จะมีทิศทางการพัฒนาไปทางใด และชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประชาคมโลก และความสัมพันธ์ภายในสังคมไทยเราเองจะวิวัฒน์ไปเช่นใด
***จุดร่วม
ท่ามกลางกระแสที่ถูกปลุกปั่นให้เห็นแต่ความแตกต่าง เรื่องสำคัญที่สมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยมองข้ามไปคือ สังคมไทยในความใฝ่ฝันของท่านกับพวกเรานั้น อันที่จริงแล้วมีความสอดคล้องต้องกันอยู่ไม่น้อย
• การสร้างการเมืองโปร่งใสไร้คอร์รัปชัน, การปฏิรูปราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ, การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ตลอดจนการมองเห็นความเหลื่อมล้ำและการผูกขาดทางเศรษฐกิจเป็นปัญหาใหญ่ ที่ว่ามาทั้ง 5 เรื่องนี้ ล้วนเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมืองที่เราเห็นพ้องต้องกันว่าจำเป็นต้องแก้ไขจัดการอย่างจริงจัง
ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ปรารถนาอยากเห็น “การเมืองโปร่งใสไร้คอร์รัปชัน”การเมืองที่อาศัยกับอิทธิพลและเครือข่ายอุปถัมภ์เป็นต้นตอของการทุจริตฉ้อฉล การจัดสรรทรัพยากรที่บิดเบือน ท่านก็ต่อสู้เพื่อสร้างการเมืองโปร่งใสไร้คอร์รัปชัน ไม่ต่างจากผม
• ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ปรารถนาอยากเห็น “การปฏิรูปราชการ” ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันมายาวนานหลายทศวรรษ แต่กลับส่งผลแย่ลงทุกที การเลื่อนขั้นได้ดีของข้าราชการกลับขึ้นกับการรับใช้นาย ตำแหน่งราชการกลายเป็นเครื่องมือในการหาเงินหาส่วย ท่านก็ต่อสู้เพื่อปฏิรูปราชการให้เป็นราชการเพื่อประชาชน ให้เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการส่งมอบบริการสาธารณะ ไม่ต่างจากผม
• ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ปรารถนาอยากเห็น “การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น” เพราะถึงแม้เราจะเริ่มต้นกระบวนการมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 แต่อำนาจหน้าที่ งบประมาณ ตลอดจนความสามารถในการดูแลประชาชนในจังหวัดต่างๆ ก็ยังคงเป็นอย่างจำกัด ท่านก็ต่อสู้เพื่อให้ประเทศไทยไม่ใช่แค่กรุงเทพ อยากให้คนไทยทั่วประเทศมีถนนหนทาง น้ำประปา และการศึกษาที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหนตำบลใด ไม่ต่างจากผม
• ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้มองเห็น “ความเหลื่อมล้ำและการผูกขาด” เป็นปัญหาใหญ่ที่กัดกินชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เพราะทำให้ต้นทุนการใช้ชีวิตของคนไทยสูงขึ้นเรื่อยๆ คนที่อยากตั้งตัวทำธุรกิจก็ไม่มีหนทางจะเติบโตเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา ท่านก็ต่อสู้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ต่อสู้เพื่อเศรษฐกิจที่แข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ไม่ต่างจากผม
นี่เป็น “ประตูแห่งโอกาส” อันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทยมาก่อน เป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย ที่เราจะสามารถร่วมกันสร้างการเมืองโปร่งใสไร้คอร์รัปชัน, การปฏิรูปราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ, กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ตลอดจนแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและการผูกขาดทางเศรษฐกิจร่วมกัน เป็นโอกาสอันดีที่ผู้แทนจาก ส.ส. และ ส.ว. จะร่วมกันสร้างสังคมไทยที่เราใฝ่ฝัน
***จุดต่าง
แน่นอนว่ามีประเด็นที่เรายังเห็นแตกต่างกันอยู่ ซึ่งเกิดขึ้นด้านหนึ่งจากการที่ไม่มีโอกาสได้สื่อสารทำความเข้าใจกัน ผมจึงขอใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงทำความเข้าใจใน 3 เรื่องสำคัญ คือ ความเร็วในการเปลี่ยนแปลง, การต่างประเทศ, และความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชน
• เรื่องแรก ความเร็วการเปลี่ยนแปลง มีสมาชิกวุฒิสภาหลายท่านที่ผมและทีมงานมีโอกาสพูดคุย และพบว่าเราเห็นตรงกันหมดเลยเรื่องการปฏิรูปการเมือง ระบบราชการ กระจายอำนาจ แต่แสดงความกังวลว่า รัฐบาลของพิธาจะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นเร็วเกินไป
พูดอีกอย่างก็คือ เห็นด้วยกับแนวทาง แต่กังวลเรื่องความเร็วในการเปลี่ยนแปลง ก็ต้องขออธิบายว่าเราเพียงแต่กำหนดทิศทางให้ชัดเจนว่าแต่ละเรื่องต้องมุ่งหน้าไปด้านไหน จากนั้นเราก็ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามกระบวนการทางรัฐสภา ยกตัวอย่างการเสนอกฎหมาย…
• เรื่องที่สอง ในด้านการต่างประเทศ รัฐบาลของผมต้องการรักษาสมดุลบทบาทของไทยในกระแสการเมืองระหว่างประเทศที่เข้มข้น ซึ่งเราจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องยืนยันแนวทาง Rule-based Diplomacy ซึ่งหมายถึง การดำเนินยุทธศาสตร์การต่างประเทศที่ตั้งอยู่บนหลักการสากล ไม่โอนอ่อนไหวตามกระแสหรือไปตามประเทศมหาอำนาจโดยไม่สนหลักการพื้นฐาน
-Revive เราต้องฟื้นฟูความเป็นผู้นำของไทยในอาเซียน บนพื้นฐานที่คำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย ที่ผ่านมาเรานิ่งเฉยหรือ passive เกินไป จนทำให้ปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ตลอดจนปัญหายาเสพติด ถูกซุกซ่อนเอาไว้ใต้พรมจนทวีความรุนแรงขึ้น
-Rebalance คือ การปรับและรักษาสมดุล แม้จะไม่ใช่ประเทศยักษ์ใหญ่ แต่ไทยก็ไม่ใช่ประเทศเล็กๆ ที่ไร้เกียรติภูมิ เราเป็นประเทศที่มีอำนาจปานกลาง ไม่ใช่การโอนอ่อนลู่ลม แต่การยึดในหลักการเพื่อตัดสินใจบนจุดยืนที่มั่นคงต่างหาก ที่จะทำให้เราเพิ่มอำนาจต่อรองในเวทีโลกได้
ด้วยหลักการนี้ การจะยอมให้ใครมาตั้งฐานทัพบนแผ่นดินไทยย่อมเป็นไปไม่ได้
• และเรื่องที่สาม ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชน ผมอยากชวนทุกท่านมองเรื่องนี้ในมุมมองประวัติศาสตร์ให้ยาวไกลขึ้น (Think backward and think forward)
หากเรานับปี พ.ศ. 2549 เป็นหมุดหมายสำคัญในฐานะจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในสังคมไทย เราจะเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของคนบางกลุ่มมาตั้งแต่เวลานั้น เพื่อล้มรัฐบาลเลือกตั้งถึงสองครั้งสองครา กลุ่มคนที่มีผลประโยชน์ส่วนตนและไม่มีเครดิตทางสังคมล้วนต้องดึงสถาบันมาอ้างอิงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มธุรกิจ
ในปัจจุบัน เมื่อกลุ่มการเมืองและกลุ่มธุรกิจบางกลุ่มกำลังจะเสียผลประโยชน์ ก็จงใจดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองอีกครั้ง จับมาวางเป็นคู่ตรงข้ามกับการลงคะแนนเสียงของประชาชนในวันที่ 14 พฤษภาคม ผมอยากชวนวิญญูชนคนที่มีสติไตร่ตรองให้ดีว่าการกระทำเช่นนี้มีราคาและต้นทุนอย่างไรกับสังคม
ผมเชื่อว่า ถ้าไม่มีใครชูคำขวัญ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ถ้าไม่มีใครอิงแอบสถาบันเพื่อก่อรัฐประหาร ถ้าไม่มีใครเอาเรื่องล้มล้างสถาบันมาปลุกปั่นทางการเมืองให้คนเกลียดชังกันเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ถ้าเราไม่ใช้ ม.112 มาเป็นเครื่องมือมาทำลายล้างกัน ความขัดแย้งในสังคมไทยคงไม่มาถึงจุดนี้ ถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหม่ๆ อย่างมีวุฒิภาวะ แก้ปัญหาที่ต้นตอ ด้วยการยุติการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นประเด็นการเมือง แล้วหากุศโลบายที่ดีเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จัดวางพระราชอำนาจและพระราชสถานะให้เหมาะสมสอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ ทำแบบนี้สถาบันจึงจะดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามในสังคมไทย
***ปิดท้าย “ฉันทามติใหม่ของสังคมไทย”
• เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อสิ่งใหม่เกิดขึ้นย่อมถูกต่อต้านจากสิ่งเก่า แต่สุดท้าย ผมเชื่อว่าสังคมไทยจะหาจุดลงตัวได้ เป็นจุดลงตัวที่ไม่มีใครได้ทั้งหมด ไม่มีใครเสียทั้งหมด เป็นจุดลงตัวที่เรายอมรับร่วมกันได้ แม้จะไม่เห็นตรงกันทุกเรื่อง แต่จะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องสร้างสังคมไทยให้พร้อมรับความแตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา รวมทั้งความคิดทางการเมือง
• นี่คือก้าวที่สำคัญของสังคมไทยในการร่วมกันสร้าง “ฉันทามติใหม่” ที่เป็นเรื่องของกระบวนการจัดการความขัดแย้งด้วยกระบวนการทางประชาธิปไตย ฉันทามติใหม่ไม่ได้แปลว่าทุกคนในสังคมต้องคิดเหมือนกันทั้งหมด นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ฉันทามติใหม่ที่เรากำลังจะสร้างร่วมกันคือการยึดถือกระบวนการที่เป็นธรรมในการตัดสินใจเรื่องสำคัญของสังคม เราควรนำเรื่องที่ผู้คนเห็นแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปฏิรูปกองทัพ การยกเลิกการผูกขาดทางเศรษฐกิจ การจัดการที่ดิน การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด กระบวนการสร้างสันติภาพในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การแก้ไขปรับปรุง ม.112 หรืออื่นๆ มาหาข้อยุติร่วมกันโดยใช้กระบวนการในสภาหรือกลไกทางประชาธิปไตยต่างๆ แทนที่จะไปปะทะกันบนท้องถนน มิใช่หรือ
• เราต้องบริหารจัดการความเห็นต่างไม่ให้กลายมาเป็นความขัดแย้ง ด้วยการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก และทำให้เรามีระบบนิติรัฐ มีระบบกฎหมายที่ดี มีกระบวนการยุติธรรมที่ทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทำให้การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเจ้าของประเทศ เป็นเป้าหมายหลักของรัฐ ความมั่นคงของชาติคือความมั่นคงของประชาชน ไม่ใช่มองประชาชนเป็นศัตรูของชาติ
สิ่งที่เรากำลังจะร่วมกันทำต่อไปนี้ไม่ใช่การลงมติเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ใช่การลงมติเลือกพรรคก้าวไกล แต่คือการเลือกยืนยันหลักการประชาธิปไตยในฐานะกลไกหลักในการตัดสินใจร่วมกันของสังคม
นี่ไม่ใช่การลงมติเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ใช่การลงมติเลือกพรรคก้าวไกล แต่คือการเลือกให้โอกาสกับอนาคตประเทศไทย ให้ประเทศได้เดินทางต่อตามฉันทามติที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้ตัดสินใจแล้ว นี่คือการตัดสินประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ผมไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว ต้องอาศัยการตัดสินใจของสมาชิกรัฐสภาที่ยึดหลักการ กล้าหาญ และเห็นแก่อนาคตของชาติที่มีประชาชนเป็นหัวใจ
ผมขอเชิญชวนทุกท่าน อย่าให้ความคลางแคลงใจที่ท่านมีต่อผม ขวางกั้นประเทศไทยไม่ให้เดินหน้าต่อตามเสียงและเจตนารมณ์อันแรงกล้าของประชาชน
มาร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยกัน
ขอบคุณครับ
#ก้าวไกล #ประชุมสภาฯ #โหวตนายก #พิธา

13/07/2023

ยอมรับแต่ไม่ยอมแพ้ ! 💪
ยอมรับว่าถึงแม้จะยังไม่ถึงฝั่งฝัน แต่ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าวางแผนยุทธศาสตร์รวบรวมเสียงกันใหม่
เป็นเกียรติสูงสุดของชีวิตผมที่ได้รับการเสนอชื่อโดยสภาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประชาชน ต้องขอขอบคุณทั้ง 324 เสียงที่ให้ความไว้วางใจในตัวผม รวมถึง 13 เสียงของวุฒิสภาที่กล้าหาญท่ามกลางความกดดันสารพัด ขอกำลังใจให้ความแน่วแน่ของพวกเราด้วยครับ
แล้วเจอกันใหม่ 🔥
(ขอบคุณภาพจาก Thairath)

13/07/2023

📣 ก้าวไกลขอเชิญทุกคนร่วมทำภารกิจด่วน! ⚠️
"พฤหัสสีส้ม" เชิญชวนทุกคนร่วมใส่เสื้อผ้าสีส้ม ติดสัญลักษณ์ ร่วมสื่อสารทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสนับสนุนให้รัฐสภาลงมติโหวต พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ให้สำเร็จ
โดยทุกคนสามารถออกมาร่วมติดตามผลการโหวตของรัฐสภาได้ที่แต่ละจุดใกล้บ้านท่านทั่วประเทศ แต่หากใครอยู่กรุงเทพ เราชวนทุกท่านมาร่วมติดตามกันที่รัฐสภา แยกเกียกกาย ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 โดยพร้อมเพรียงกัน 🍊🍊🍊
#ก้าวไกล #ประชุมสภา #พฤหัสสีส้ม

12/07/2023

แถลงการณ์พรรคก้าวไกล
กรณีการดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้งในคดีหุ้นไอทีวี
จากกรณีที่เมื่อเช้าวันนี้ ที่ประชุม กกต. มีมติให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพ ส.ส. ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล สิ้นสุดลงหรือไม่ จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) รวมทั้งมีคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยนั้น
พรรคก้าวไกลเห็นว่า ในกรณีนี้ กกต. ดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด
ในประเด็นนี้ อิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เคยอธิบายแก่สื่อมวลชนว่า คดีนี้เป็นการดำเนินการของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 มิใช่การดำเนินการสืบสวนไต่สวนการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ซึ่งจะต้องเป็นไปตามระเบียบที่ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาก่อน
ประธาน กกต. ยังอธิบายอีกว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 82 กำหนดว่า ในกรณีที่ กกต. เห็นว่าสมาชิกภาพของ ส.ส. คนใดมีเหตุสิ้นสุดลง ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้ สอดคล้องกับแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีที่ผ่านมา ซึ่งหมายถึง คดีเงินกู้ยุบพรรคอนาคตใหม่
อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลเห็นว่า เมื่อพิจารณาระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วเห็นว่า สิ่งที่ประธาน กกต. กล่าวนั้น ไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
ประการที่หนึ่ง สำหรับคดีหุ้นไอทีวี ไม่อาจนำกรณีตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 5/2563 (คดีเงินกู้ยุบพรรคอนาคตใหม่) มาเทียบเคียงกับข้อเท็จจริงคดีหุ้นไอทีวีได้ ด้วยเหตุผลอย่างน้อย 2 ประการ กล่าวคือ
(1) คดีตามคำวินิจฉัยดังกล่าว เป็นกรณีที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 93 กำหนดให้นายทะเบียนพรรคการเมืองรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน พร้อมทั้งเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อพิจารณา ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด ซึ่งระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ข้อ 54 วรรคหนึ่ง และข้อ 55 วรรคหนึ่ง ได้กำหนดรองรับหลักเกณฑ์ไว้ในลักษณะทำนองเดียวกันกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 และมาตรา 93
ทั้งนี้ ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ข้อ 55 วรรคหนึ่ง กำหนดให้นำระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวางหลักว่า การนำมาใช้บังคับโดยอนุโลม มิได้หมายความว่าจะต้องนำระเบียบดังกล่าวมาใช้บังคับทุกข้อ แต่เป็นกรณีที่นำมาใช้เมื่อระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มิได้กำหนดไว้ เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ในคดีเงินกู้ยุบพรรคอนาคตใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่า การยื่นคำร้องตามมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เป็นกรณีที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนไม่จำต้องแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ถูกร้องก่อนแต่อย่างใด
แต่ข้อเท็จจริงในคดีหุ้นไอทีวี เป็นคดีการเสนอคำร้องตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 82 ประกอบมาตรา 101 (6) และมาตรา 98 (3) มิใช่เป็นการนำบทบัญญัติมาตรา 92 และมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ข้อ 54 วรรคหนึ่ง และข้อ 55 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับแก่คดี
ดังนั้น จึงไม่อาจนำแนวทางการตีความของศาลรัฐธรรมนูญในคดีเงินกู้มาใช้กับคดีหุ้นไอทีวีได้
(2) ในคดีตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีเงินกู้ยุบพรรคอนาคตใหม่ เป็นกรณีที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต. มีมติว่า ข้อกล่าวหาไม่มีมูล แล้วนำเสนอต่อ กกต. แต่ปรากฏว่า กกต. ไม่เห็นพ้องด้วย กรณีจึงไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาต่อพรรคอนาคตใหม่แต่อย่างใด
แต่ข้อเท็จจริงในคดีหุ้นไอทีวีนั้น ถ้าคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต. มีความเห็นว่าข้อเท็จจริงมีมูลตามคำร้อง ย่อมมีหน้าที่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาตามข้อ 54 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 (แก้ไขเพิ่มเติม 2563) ต่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้ครบถ้วนเสียก่อนที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนจะทำรายงานการสืบสวนเสนอต่อเลขาธิการ กกต. และ กกต.
ประการที่สอง ข้อเท็จจริงในคดีหุ้นไอทีวี เป็นกรณีที่ความปรากฏต่อ กกต. ให้ตรวจสอบว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 42 (3) และรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) อันเป็นเหตุให้ กกต. อาจยื่นคำร้องสู่ศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 82 วรรคสี่ ประกอบกับระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 ข้อ 85 วรรคห้า บัญญัติว่า “ภายหลังประกาศผลเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือประกาศผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภาแล้ว คณะกรรมการเห็นว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาผู้ใดไม่มีสิทธิสมัครรับเลือก เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม ให้คณะกรรมการยื่นคำร้องหรือส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยต่อไป”
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 (และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม) กำหนดกระบวนการขั้นตอนรองรับอย่างชัดเจนตั้งแต่การยื่นคำร้อง การตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน และการวินิจฉัยของ กกต.
ด้วยเหตุนี้ เมื่อ กกต. ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนดำเนินการตามระเบียบดังกล่าวมาโดยตลอด ในกรณีที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนพิจารณาแล้วเห็นว่ามีพยานหลักฐานสนับสนุนพอฟังได้ว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ย่อมต้องดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาตามระเบียบฯ ข้อ 54 และเปิดโอกาสให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชี้แจงข้อกล่าวหาตามข้อ 57 และข้อ 58 แห่งระเบียบฉบับเดียวกัน
อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น การที่ กกต. จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 82 กกต. จะต้องปฏิบัติตามระเบียบให้ครบถ้วนดังที่กล่าวไปเสียก่อน
ดังนั้น การที่ กกต. เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญอย่างรีบเร่ง ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหามายังพิธา และไม่เปิดโอกาสให้มีการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าเป็นเพียงการตรวจสอบข้อเท็จจริงเท่านั้น จึงไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดไว้ พรรคก้าวไกลเห็นว่า กรณีนี้จึงเท่ากับว่า กกต. เลือกปฏิบัติตามระเบียบแต่เพียงบางส่วน และจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่ตนได้ตราขึ้นให้ครบถ้วนถูกต้อง อันอาจเป็นการกระทำผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ประการสุดท้าย กรณีนี้มีข้อสังเกตได้ว่า ทำไม กกต. ถึงรีบเร่งดำเนินการในคดีหุ้นไอทีวีอย่างผิดปกติ ทั้งๆ ที่เรื่องไอทีวี ก่อนหน้านี้มีข้อพิรุธและข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางว่า ตกลงไอทีวียังดำเนินธุรกิจสื่ออยู่หรือไม่ มีขบวนการจงใจจัดทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นและเอกสารงบการเงินให้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่
แต่ กกต. กลับรีบประชุม 3 วันติดต่อกัน เพื่อเร่งสรุปให้ได้ว่ามีข้อมูลพยานหลักฐานเพียงพอให้เชื่อว่าพิธามีความผิดตามที่มีการยื่นคำร้องจริง
ทั้งนี้ ทราบมาว่า ทาง กกต. ได้เชิญให้ผู้บริหารไอทีวีมาชี้แจงต่อ กกต. แล้ว และผู้บริหารไอทีวีก็ได้ให้ข้อมูลว่า ไอทีวีไม่ได้ดำเนินธุรกิจสื่อ ดังนั้น แม้ กกต. จะพยายามอ้างเหตุผลมากมายว่าไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อกล่าวหาต่อพิธาเพื่อให้พิธามาชี้แจงก่อน แต่คำถามคือ ในขณะที่ กกต. ยังมีเวลาเชิญไอทีวีไปชี้แจง แล้ว กกต. มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยอมเสียเวลาให้พิธาไปชี้แจงบ้าง เพื่อให้มีการพิจารณาอย่างรอบด้านเป็นธรรม นอกจากนี้ หากผู้บริหารไอทีวีได้แจ้งต่อ กกต. ว่าบริษัทไม่ได้ดำเนินธุรกิจสื่อจริง กกต. ใช้ข้อมูลหลักฐานอะไรที่นำไปสรุปว่าเชื่อได้ว่าพิธามีความผิดตามที่มีการยื่นคำร้องจริง
ความเร่งรีบผิดปกติ ยังเห็นได้จากการที่หลังจาก กกต. มีมติเมื่อเช้านี้ อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ก็รีบมอบหมายให้เจ้าหน้าที่นำเอกสารไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญทันทีวันนี้
เช่นนี้ กกต. มีเจตนาที่จะ 'ส่งลูกต่อ' ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมประจำสัปดาห์ในช่วงบ่ายเพื่อให้พิธาถูกสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. วันนี้ ก่อนที่จะมีการโหวตนายกฯ ในวันพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) ใช่หรือไม่

ที่อยู่

Kanchanaburi
71190

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ CPU Brainผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง CPU Brain:

แชร์