BrandAge Online Brand & Marketing Wisdom รอบรู้ทันเกมธุรกิจ และการตลาด
ติดตามแบบเจาะลึกได้ที่ www.brandage.com
(1)

สิ่งที่มาพร้อมกับการก้าวข้ามจากการเป็นแค่สถานที่ช้อปปิ้ง สู่การเป็น Community ของการใช้ชีวิตของคนแต่ละกลุ่ม ก็คือ แนวคิด...
06/03/2025

สิ่งที่มาพร้อมกับการก้าวข้ามจากการเป็นแค่สถานที่ช้อปปิ้ง สู่การเป็น Community ของการใช้ชีวิตของคนแต่ละกลุ่ม ก็คือ แนวคิดในการเลือกวางองค์ประกอบของศูนย์การค้าให้สามารถเชื่อมโยงเข้ากับไลฟ์สไตล์ของแต่ละกลุ่มที่ค่อนข้างจะซับ เซ็กเม้นต์ หรือแยกย่อยออกไปอย่างมากในปัจจุบัน
ซึ่งหากไล่เรียงการวางส่วนผสมของศูนย์การค้าตั้งแต่อดีตแล้ว จะพบว่า ศูนย์การค้าแต่ละแห่งหนีไม่พ้นที่จะเลือกวางส่วนผสมของแม่เหล็กในศูนย์แต่ละตัวออกมาเป็นช้อปปิ้ง เอนเตอร์เทน ร้านอาหาร และบริการต่างๆ ซึ่งย้อนไปในอดีต ส่วนของช้อปปิ้งอาจจะถูกให้น้ำหนักมากที่สุด
แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป เอนเตอร์เทน อาจจะเป็นมิกซ์ที่สำคัญสำหรับการสร้างแรงดึงดูดของศูนย์การค้า เพราะคนไทย มักจะใช้เวลาพักผ่อนส่วนใหญ่ด้วยการมาศูนย์การค้า ต่อเมื่อศูนย์การค้าก้าวข้ามจากแค่การช้อปปิ้งมาสู่การใช้ชีวิตอย่างเต็มรูปแบบอย่างในปัจจุบัน ร้านอาหาร จึงถูกให้ความสำคัญและมีสัดส่วนมากขึ้น เพราะออนไลน์ทำให้คนสามารถช้อปปิ้งจากที่ไหน ในช่วงเวลาใดก็ได้ การมาช้อปในศูนย์การค้าจึงเป็นเรื่องของการส่งมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่ รวมถึงการสร้างคอมมูนิตี้ของคนแต่ละไลฟ์สไตล์ขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้ามาใช้ชีวิตประจำวันร่วมกัน
นั่นคือ การมองศูนย์การค้าในเชิงกายภาพ ซึ่งเทรนด์หรือแนวโน้มของศูนย์การค้าของบ้านเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โดย ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ นักวิชาการค้าปลีก ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เทรนด์ของศูนย์การค้าทั่วโลกรวมถึงบ้านเรา กำลังก้าวข้ามจากแค่การเป็น The third place มาสู่การเป็น The fourth place ที่เป็นเรื่องของ to be myself ที่สะท้อนตัวตนในสิ่งที่เขาอยากเป็น เป็นการก้าวข้ามจากแค่เรื่องของการเป็น Community ของศูนย์การค้า
เรียกได้ว่า เป็นการก้าวข้ามจากมุมมองแค่เรื่องของกายภาพที่เป็นมุมมองเดิมๆ ในเรื่องของกลุ่มเป้าหมายของศูนย์การค้าที่มองลูกค้าในเชิง Demographic เป็นหลัก
หากมองเข้ามาที่พัฒนาการของศูนย์การค้าในบ้านเราแล้ว จะพบว่า เริ่มต้นจากการเป็นสถานที่ช้อปปิ้งที่รวบรวมเอาร้านค้าและบริการเข้ามาไว้ในศูนย์ ก่อนที่จะก้าวมาสู่เรื่องของการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า เป็นการก้าวข้ามจากแค่เรื่องของการบริหารพื้นที่ขายหรือ Space Management เพื่อให้ได้กำไรจากค่าเช่ามากที่สุด มาสู่การบริหารประสบการณ์ลูกค้า ทำให้ศูนย์การค้าไม่ได้เป็นแค่สถานที่ช้อปปิ้ง แต่เป็น Community ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละกลุ่ม
ทำให้ การเลือกวางส่วนผสมของศูนย์การค้า ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของ Lifestyle Mix ที่ต้องผสมผสานการใช้ชีวิตของคนแต่ละไลฟ์สไตล์ให้ผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัว
ตัวอย่างในเรื่องนี้ก็คือ การดีไซน์ให้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล อีสต์วิลล์ มีสเปซสำหรับคนรักสัตว์ หรือมีลู่วิ่งออกกำลังกาย เพื่อตอบโจทย์การเป็นชุมชนตามความชอบของคนแต่ละไลฟ์สไตล์
ว่าไปแล้ว เรื่องของการก้าวขึ้นมาเป็น The fourth place ของศูนย์การค้านั้น ยังคาบเกี่ยวกับเรื่องของการเป็น Community ของแต่ละไลฟ์สไตล์ แต่อาจจะมีการลงลึกถึงการตอบโจทย์ในสิ่งที่ลูกค้าโดยเฉพาะในคนกลุ่ม Gen Z ที่มีความเป็นตัวของตัวเองค่อนช้างสูง โดยต้องส่งมอบในเรื่องสิ่งที่พวกเขาต้องการเป็น หรือสะท้อนความเป็นตัวตนของพวกเขา ซึ่ง ดร.ฉัตรชัย มองว่า ในอนาคต เราอาจจะเห็นมอลล์ที่เป็นที่แสดงตัวตนของกลุ่ม LGBT
ในอดีต เราคงคุ้นเคยกับคำว่า The Third Place แต่ปัจจุบัน คำว่า Third Place อาจจะไม่พอเพียงกับสำหรับคน Generation นี้ อีกต่อไป แต่ต้องเป็น Fourth Place
การเป็น fourth place ของศูนย์การค้านั้น จะเป็นเรื่องของความต้องการพื้นที่ในการแสดงความเป็นตัวของตัวเอง หรือ Be My Self ของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เพียงแค่การต้องการแค่สถานที่ช้อปปิ้งเหมือนคนใน Generation อื่นๆ แต่การก้าวข้ามจากการตอบโจทย์แค่เรื่องของการช้อปปิ้งมาสู่การเป็น Community ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของลูกค้า ขณะเดียวกันก็ต้องก้าวข้ามจากเรื่องของการเป็นแค่ Point of Sale มาสู่การเป็น Point of Connect อีกด้วย

06/03/2025

"บอสณวัฒน์" มงลงได้จัดประกวดมิสยูนิเวิร์สครั้งที่ 74 ในไทยปลายปีนี้

06/03/2025

YouTube นำร่อง Premium Lite ในอเมริกา เพื่อชมวิดีโอส่วนใหญ่ได้แบบไม่มีโฆษณา ในราคา 89 บาท/เดือน ส่วนประเทศไทยรออีกนิดดด

BYD ยักษ์ EV ของจีนและของโลกจับมือ DJI ผู้นำตลาดโดรนของโลก เปิดตัวระบบปล่อยโดรนติดรถยนต์ “Lingyuan” ที่ BYD พัฒนาขึ้นร่ว...
06/03/2025

BYD ยักษ์ EV ของจีนและของโลกจับมือ DJI ผู้นำตลาดโดรนของโลก เปิดตัวระบบปล่อยโดรนติดรถยนต์ “Lingyuan” ที่ BYD พัฒนาขึ้นร่วมกับ DJI โดยระบบนี้ใช้ได้กับรถยนต์ทุกรุ่นของบริษัท, ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัว (Xinhua) ของจีน

แต่ระบบดังกล่าวยังมีจำหน่ายเฉพาะในจีนเท่านั้น เช่นเดียวกับรถยนต์ BYD รุ่นติดตั้งโดรน และระบบมีราคา 16,000 หยวน (ประมาณ 2,197 ดอลลาร์)

ราคาซื้อระบบ Lingyuan จะรวมโดรนของ DJI ด้วย ซึ่งตามรายงานไม่ได้ระบุว่าเป็นโดรนรุ่นใด แต่จากวิดีโอจะเห็นว่าเป็น DJI Air 3S รวมไปถึงโรงเก็บโดรนที่ติดตั้งบนหลังคา และแอปที่ทำงานร่วมกับระบบได้, ตามรายงานของสำนักข่าว South China Morning Post ของจีน

Wang Chuanfu ประธานบริษัท BYD ได้กล่าวในงานเปิดตัวระบบดังกล่าวที่นครเซินเจิ้น ศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีของจีนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า "BYD และ DJI ร่วมมือกัน พัฒนาระบบที่บูรณาการอย่างสมบูรณ์แบบ เริ่มตั้งแต่ระดับพื้นฐานขึ้นมา"

โดรน DJI ที่ติดตั้งบนรถ BYD สามารถขึ้นและลงจอดแนวดิ่ง “บินด้วยความเร็วสูงสุด 25 กม./ชม.” และสามารถกลับมาได้โดยอัตโนมัติตราบใดที่โดรนอยู่ห่างจากยานพาหนะไม่เกิน 2 กิโลเมตร โดรนยังสามารถบินตามรถที่กำลังวิ่งที่ความเร็วสูงถึง 54 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ และโรงเก็บโดรนบนหลังคารถจะชาร์จไฟฟ้าโดรนโดยอัตโนมัติ เมื่อโดรนเข้าจอด

ระบบดังกล่าวยังมีแอปสำหรับตัดต่อวิดีโอ (อาจเป็นแอปที่มีอยู่แล้วของ DJI) และแอปสำหรับ "การจดจำ AI (AI recognition) ซึ่งจากวิดีโอสาธิตของ BYD ระบุว่า "การจดจำท่าทางด้วย AI (AI Posture recognition) ทำให้ Lingyuan ถ่ายภาพรอบ ๆ รถ" แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเจ้าของ BYD สามารถติดตั้งระบบนี้บนรถด้วยตัวเองได้หรือไม่



ที่มา
https://www.brandage.com/article/41969

กลยุทธ์ Collaboration Marketing แม้จะเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ถูกพูดถึงมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่กลยุทธ์นี้ก็มีแนวโน้มที่ถูกนำไ...
05/03/2025

กลยุทธ์ Collaboration Marketing แม้จะเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ถูกพูดถึงมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่กลยุทธ์นี้ก็มีแนวโน้มที่ถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบัน
แต่สิ่งที่น่าจับตามองก็คือการทำ Collaboration ในปัจจุบันนั้น ไม่ใช่แค่การสร้างกระแสสั้นๆ อีกต่อไป แต่ต้องนำไปสู่การเสริมข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืนโดยต้องมีการวิเคราะห์จุดอ่อน - จุดแข็งของกันและกันเป็นอย่างดีว่าจะทำการ Collab โดยมีวัตถุประสงค์อย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขยายช่องทางขายเพิ่มขึ้น การขยายฐานของแบรนด์ไปสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ หรือแม้กระทั่ง การเข้าถึงข้อมูลใหม่ๆ ที่เป็นการมองไปถึงการเพิ่มยอดขายอย่างเป็นรูปธรรม มากกว่าแค่การสร้างสีสันชั่วครั้งชั่วคราว
ขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกันระหว่างแบรนด์ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือแบรนด์ที่อยู่คนละอุตสาหกรรม การทำ Collaboration Marketing จะต้องเป็นการส่งมอบหรือสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี
อย่างล่าสุด การจับมือกันของ 7 – Eleven กับน้องหมีเนย ที่ใช้ลูกเล่นในการสื่อสารว่า เป็นการเปิดตัวเด็กฝึกงานคนใหม่ “น้องเนย Butterbear” ที่ทำออกมาภายใต้แคมเปญ “เพื่อนที่ฮีลใจใกล้ๆ คุณ” มีเป้าหมายเพื่อส่งต่อพลังบวก ความสุข ความน่ารัก ความสดใส ให้สามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมพร้อมกันทั่วประเทศ
การทำแคมเปญที่ว่านี้สร้างแรงกระตุ้นได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะเสริมให้ภาพแนวทางในการดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้า นำเสนอบริการที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารความสัมพันธ์ สร้างความพึงพอใจ และความผูกพันของลูกค้า ที่น้องเนยจะเข้ามาช่วยส่งต่อในเรื่องนี้ได้ค่อนข้างลงตัว
ขณะที่ “น้องเนย” เองก็ได้ในแง่มุมของการช่วยสร้างกระแส ที่ทำให้สามารถเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิต ประจำวันของคนไทย ผ่านสาขาต่างๆ ของ 7 –Eleven ที่กระจายอยู่มากกว่า 1.4 หมื่นสาขา ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อเรื่องของการ Branding ตัวน้องเนยเองอีกด้วย
หรืออย่างการ Collaboration กันระหว่างเลย์กับบาร์บีคิวพลาซ่าที่ทำไปเมื่อปีที่ผ่านมา ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ดีของการทำ โดยในครั้งนั้น รัฐ ตระกูลไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เคยพูดถึงเรื่องนี้ว่าการทำ Collaboration Marketing ครั้งนั้น โจทย์แรกของเราคือทำอย่างไรให้ไม่เหมือนที่ผ่านมา และทำยังไงให้แบรนด์เข้าใกล้ผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น เพราะผลประโยชน์จากการทำร่วมกันครั้งนี้เป็นของผู้บริโภค
แน่นอนว่า การที่มีเลย์เป็นพาร์ทเนอร์แน่นอนว่าทำให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้นด้วยช่องทางจัดจำหน่ายที่แข็งแรงของทางเลย์ และยังเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าบาร์บีคิวพลาซ่าได้ลองชิมน้ำจิ้มของบาร์บีคิวพลาซ่าในรูปแบบมันฝรั่งที่ต่างออกไปจากที่เคย
ที่สำคัญยังช่วยให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ชีวิตประจำวันผ่านทางพันธมิตรอย่างเลย์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดปาร์ตี้หรือชมซีรีส์ที่บ้านก็เหมือนได้ทานบาร์บีคิวพลาซ่าไปด้วย
ตัวอย่างล่าสุดที่เกิดขึ้นก็คือการ Collab กันระหว่างบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์สินค้าของซันโทรี่และเป๊ปซี่โคในประเทศไทย จับมือธุรกิจห้าดาว (Five Star) ธุรกิจแฟรนไชส์อาหาร บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด ในกลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดตัวไก่ห้าดาวซอสเป๊ปซี่ ภายใต้แคมเปญ “คู่ซ่าไฟว์สตาร์เป๊ปซี่”
แน่นอนว่า นอกจากการเอาแบรนด์ไปสอดแทรกในเมนูใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้นแล้ว ยังมีเรื่องของการทำโปรโมชันเพื่อกระตุ้นการขาย ด้วยการการจับคู่คอมโบเซต “ไก่ทอดซอสเป๊ปซี่” หรือ “วิงซ์กรอบซอสเป๊ปซี่” กับเครื่องดื่มเป๊ปซี่ขนาด 340 มล. ในราคาสุดพิเศษเพียงชุดละ 69 บาท จากราคาปกติ 84 บาท

05/03/2025

คนไทยใช้งาน GenAI เพิ่มก้าวกระโดด แต่ผู้หญิงยังมีบทบาทน้อยกว่าผู้ชาย

LINE CONFERENCE THAILAND 2025 (LCT25) งานสัมมนาประจำปีของ LINE ประเทศไทย ปีนี้มีการแนะนำโซลูชั่นใหม่ๆ ที่เป็นไฮไลต์อยู่ห...
05/03/2025

LINE CONFERENCE THAILAND 2025 (LCT25) งานสัมมนาประจำปีของ LINE ประเทศไทย ปีนี้มีการแนะนำโซลูชั่นใหม่ๆ ที่เป็นไฮไลต์อยู่หลายบริการด้วยกัน ทีมงานรวบรวมมาให้แล้ว

1. LINE PREMIUM โมเดลธุรกิจแบบ Subscribe
LINE PREMIUM เป็นบริการระบบสมาชิกที่ผู้ใช้ LINE สามารถเลือกสมัครเพื่อประสบการณ์แชตที่ดียิ่งขึ้น ด้วยฟีเจอร์พิเศษที่มีมากกว่า LINE ทั่วไป

2. LINE GIFT
บริการ e-Gifting ที่จะเปลี่ยนมุมมองการให้ของขวัญในมิติใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ Social Gifting ให้การมอบความรู้สึกดีๆ แก่เพื่อนบน LINE ทำได้ง่ายๆ ผ่านหน้าแชตได้ทันที

3. LINE HEALTH
บริการการเชื่อมต่อผู้ใช้กับผู้ให้บริการทางการแพทย์ออนไลน์ เพื่อลดข้อจำกัด สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ไกลจากโรงพยาบาล หรือไม่มีเวลาเดินทางมาหาหมอ

4. IP Business
เป็นความร่วมมือกันระหว่าง IPX (LINE FRIENDS) – LINE WEBTOON เพื่อพัฒนาสู่การเป็นครีเอทีฟสตูดิโอ ผู้สร้างสรรค์และพัฒนาคาแร็กเตอร์ที่เติบโตเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งระดับโลก สามารถสร้างสรรค์ IP ต่างๆ ครองใจเหล่าแฟนๆ ทั่วโลก

5. LINE MINI APP
LINE MINI APP พัฒนาขึ้นมาเพื่อขยายขีดความสามารถของแพลตฟอร์มให้นักพัฒนาสามารถสร้าง App ของตัวเองบน LINE ได้ ลดข้อจำกัดในการพัฒนา Native App ที่ใช้เวลาและทรัพยากรสูง เป็นพื้นที่ให้นักพัฒนาสร้างบริการบน LINE ให้ลูกค้าผู้ใช้งานเข้าถึงได้อย่างง่าย

6. LINE DEVELOPER PARTNER
โปรแกรมส่งเสริมศักยภาพนักพัฒนาไทย เปิดโอกาสให้นักพัฒนาเข้าถึงการสนับสนุนรอบด้านจาก LINE เพื่อต่อยอดเป็นพาร์ตเนอร์องค์กรนักพัฒนาชั้นนำระดับประเทศ โดย LINE พร้อมเปิดรับสมัครองค์กรนักพัฒนาทั่วไทย

บ้านหรูกำลังไต่ระดับไปสู่ Red Ocean หลังดีเวลลอปเปอร์พาเรดกันลงตลาดเพื่อจับกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ทำให้เจ้าตลาดบ้านหรูร...
05/03/2025

บ้านหรูกำลังไต่ระดับไปสู่ Red Ocean หลังดีเวลลอปเปอร์พาเรดกันลงตลาดเพื่อจับกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ทำให้เจ้าตลาดบ้านหรูระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปอย่าง SC Asset ขยับหนีคู่แข่งผ่านกลยุทธ์ Global Collaboration โดยจับมือ Chanintr ผู้นำเข้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านระดับไฮเอนด์ สร้างสรรค์เฟอร์นิเจอร์เอ็กซ์คลูซีฟจาก Barbara Barry ดีไซน์เนอร์ระดับโลกเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด

อ่านเพิ่มเติม: https://www.brandage.com/article/41963



#แกรนด์บางกอกบูเลอวาร์ด

หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าแบรนด์ Drinkware ระดับโลกอย่าง YETI นั้นเกิดขึ้นจากลังน้ำแข็งของประเทศไทยYETI ก่อตั้งขึ้นใน...
05/03/2025

หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าแบรนด์ Drinkware ระดับโลกอย่าง YETI นั้นเกิดขึ้นจากลังน้ำแข็งของประเทศไทย

YETI ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 โดย 2 พี่น้อง Roy และ Ryan Seiders ผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมแอดเวนเจอร์ และการตกปลาเป็นชีวิตจิตใจ ที่กำลังมองหาคูลเลอร์เก็บความเย็น และได้เจอกับคูลเลอร์จากโรงงานในไทย จากนั้นได้เปิดบริษัทนำเข้าคูลเลอร์จากไทย

ต่อมาทั้ง 2 จึงอยากพัฒนาคูลเลอร์ให้ดีกว่าเดิม เพราะปัญหาคูลเลอร์ที่มีขายกันอยู่นั้นไม่แข็งแรงทนทานพอ จึงคิดที่จะทำให้ถังคูลเลอร์มีความแข็งแรงมากที่สุด จนได้มาเป็นคูลเลอร์ที่แข็งแรงมากจนใช้นั่งแทนเก้าอี้ได้ หรือไว้ยืนขึ้นเหยียบเวลาตกปลาโดยไม่ต้องกลัวพัง

คูลเลอร์ของ YETI แข็งแรงมากถึงขนาดที่หมีกริซลี่ก็ไม่สามารถทุบมันได้ และยังผ่านการทดสอบและได้รับการอนุมัติจาก Interagency Grizzly Bear Committee และผลพลอยได้คือ มันดันเก็บความเย็นได้ดีกว่าคูลเลอร์ทั่วไป จึงเป็นที่มาที่ทำให้ทั้ง 2 คิดหาชื่อให้แบรนด์สินค้า จนสุดท้ายก็ออกมาเป็น YETI หรือสัตว์ประหลาดยักษ์หิมะ

ไม่กี่วันที่ผ่านมา Element 72 ผู้จัดจำหน่ายแบรนด์ Urban Lifestyle และ Urban Outdoor ระดับพรีเมียม ของประเทศไทย ได้มีการเปิดตัวร้าน YETI Flagship Store แห่งแรกในเอเชียที่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ บริเวณชั้น 2 โซน Parade ณ ศูนย์การค้า One Bangkok

ชาร์ลส์ ปิณฑานนท์ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง บริษัท อิลีเม้นท์ 72 จำกัด กล่าวว่า “YETI ถูกขนานนามให้เป็น "King of Camping" เนื่องจากสินค้าได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบการตั้งแคมป์ และสินค้าแต่ละชิ้นของ YETI มีความทนทาน ตอบโจทย์ทั้งสายลุย และสาย Glamping ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในไทยและเอเชีย การตั้งแคมป์แบบหรูหราได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะมีสถานที่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายแต่ยังได้สัมผัสธรรมชาติ”

ชาร์ลส์ ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า คนไทยมีความนิยมในแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและคุณภาพดี ซึ่งส่งผลให้ YETI ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือแคมปิ้ง แต่กลายเป็นไอเทมแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ไปด้วย เช่น แก้วน้ำที่ได้รับความนิยมจนชื่อ YETI กลายเป็นคำเรียกทั่วไปของแก้วเก็บอุณหภูมิในไทย

ปัจจุบัน YETI ได้มีการขยายไลน์สินค้านอกเหนือจากตลาด Drinkware โดยมีการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมกลางแจ้ง อาทิ เป้สะพายหลัง อุปกรณ์เก็บอาหาร กระทะ และอุปกรณ์ทำอาหารสำหรับแคมปิ้ง ที่ตอบโจทย์นักการเดินทางที่ชอบผจญภัย

กลายเป็นภารกิจแรกที่ท้าทายความสามารถของ “แซม - ไพศาล อ่าวสถาพร” ในการก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโสและผู้บริหารสู...
04/03/2025

กลายเป็นภารกิจแรกที่ท้าทายความสามารถของ “แซม - ไพศาล อ่าวสถาพร” ในการก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโสและผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) สำหรับการปั้นร้าน Chang Canvas (ช้าง แคนวาส) ให้ก้าวขึ้นมาเป็น Iconic Social Brewhouse ของตลาดร้านอาหารบ้านเรา ที่เป็นการนำเอาร้านอาหาร มาผนวกเข้ากับคอนเซ็ปต์ของ Microbrewery ซึ่งจะเป็นอีกแม่เหล็กสำคัญของ “วัน แบงค็อก” โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ของกลุ่มไทยเบฟ
แม้จะผ่านความท้าท้ายมาแล้วจากการปั้นร้านอาหารในเครือของกลุ่มไทยเบฟหลายแบรนด์ ไล่ตั้งแต่โออิชิ ไปจนถึงการทำให้ร้านอาหารไทยในตำนานอย่าง “บ้านสุริยาศัย” ไปจนถึงการทำแบรนด์ศูนย์อาหารอย่าง “ฟู้ด สตรีท” จนติดตลาด แต่แซมก็บอกว่า Chang Canvas เป็นอีกความท้าทายที่สำคัญ
เพราะในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่การทำให้แบรนด์ Chang Canvas ติดปากจนก้าวขึ้นไปเป็นอีกหนึ่งเดสติเนชั่น ของลูกค้าในยามที่อยากจะพักผ่อนหรือสังสรรค์กับเพื่อนเท่านั้น แต่หมุดหมายสำคัญอีกอย่าง ยังอยู่ที่การสร้างให้ Chang Canvas ก้าวขึ้นไปเป็นตัวที่ช่วยสะท้อนภาพของการเป็น “เนชั่น เบียร์” ของแบรนด์ช้างในภาพรวมอีกด้วย
พูดง่ายๆ ก็คือหากจะนึกถึงเบียร์ที่เป็นตัวแทน หรือสัญลักษณ์ของเบียร์ไทยแล้วล่ะก็ เบียร์ช้างจะเป็นภาพจำแรกๆ ของคนทั่วโลก ในฐานะตัวแทนของเบียร์ไทย ซึ่งจะคล้ายคลึงกับกลยุทธ์ที่เบียร์สัญชาติญี่ปุ่นอย่างซัปโปโร ทำผ่านร้านสไตล์ Microbrewery ของตัวเองในประเทศญี่ปุ่น
หากยังพอจำกันได้ในภาพรวมของกลยุทธ์การทำตลาดภายใต้แบรนด์ช้างของไทยเบฟ สิ่งหนึ่งที่กลายเป็นคีย์กลยุทธ์ของแบรนด์นี้ก็คือเรื่องของการยกระดับแบรนด์สู่การเป็นแบรนด์พรีเมียม ที่ไทยเบฟวางกลยุทธ์ Premiumization ไว้เป็นกลยุทธ์หลัก เพื่อเข้ามายกระดับแบรนด์ให้มีภาพของความเป็นพรีเมียมมากขึ้น
เมื่อลงในรายละเอียดแล้วจะเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นกับการออกเบียร์ตัวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นช้างเอสเปรสโซ่ช้าง โคลด์บรูว์ หรือช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์ ที่เข้ามาช่วยเสริมพอร์ตให้ภาพของความเป็นพรีเมียมชัดเจนขึ้น
แน่นอนว่า Chang Canvas คือหนึ่งในทัชพอยท์สำคัญที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มในเรื่องดังกล่าวด้วย โดยนอกจากSeasonal Beer ซีรีส์ปัจจุบันที่จำหน่ายอยู่อย่าง Pudtan Weizen: เบียร์ Weizen สูตรต้นตำรับ ใช้ Wheat Malt และยีสต์ของแคว้นบาวาเรีย ผสมผสานกลิ่นผลไม้, Cloves และดอกพุดตาน มีกลิ่น Flowery Infuse เข้ากับ Hops ได้เป็นอย่างดี Roselle Rose' Weizen: เบียร์ Weizen ใช้ Wheat Malt และยีสต์ของแคว้นบาวาเรีย ผสม Mulberry และ Roselle มีสีสันสวยงาม ดื่มง่าย สดชื่น Indian Gooseberry (IPA): เบียร์ IPA หอมกลิ่นฮอปส์ 4 สายพันธุ์ มีกลิ่นผลไม้ Tropical และมะขามป้อม มีรสชาติเข้มข้น และ Wild Honey Dunkel: เบียร์ดำ Dunkel หอมกลิ่น Toffee และ Caramel จาก Munich Malt และ Caramel Malt ผสมน้ำผึ้งวุ้งกระสัง หอมหวานเป็นเอกลักษณ์แล้ว
ยังมีเบียร์ช้างทั้งตัวคลาสิค ช้างเอสเปรสโซ่ ช้าง โคลด์บรูว์ และช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์ วางขายในรูปแบบของเบียร์สดอีกด้วย โดยในส่วนของช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์ จะแตกต่างออกไป โดยมาในรูปแบบของขวด
“Chang Canvas เป็นร้านอาหารที่อยู่ภายในโรงผลิตเครื่องดื่ม (เบียร์) หรือเป็นเบียร์เฮ้าส์ที่ใช้ผลิตเบียร์สำหรับจำหน่ายภายในร้านจริงๆ ดังนั้น จึงไม่ใช่เพียงแค่การทำมาร์เก็ตติ้งหรือการสร้างแบรนด์เพื่อให้เป็นที่รู้จักเท่านั้น แต่ยังมีข้อกำหนด และกฎระเบียบเฉพาะต่างๆ อย่างช่วงเวลาของการขายเบียร์ ที่ถือเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะแตกต่างออกไปจากการปั้นแบรนด์ร้านอาหารอื่นๆ ที่เคยทำมา”

“สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” เสริมแกร่ง “โกลบอล สปอร์ต พาร์ทเนอร์ชิพ” กับ “โมโต จีพี” การแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบ ที่มีผู้ต...
04/03/2025

“สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” เสริมแกร่ง “โกลบอล สปอร์ต พาร์ทเนอร์ชิพ” กับ “โมโต จีพี” การแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบ ที่มีผู้ติดตามชมมากเป็นอันดับ 1 ของโลก จาก 220 ประเทศทั่วโลก ล่าสุด ได้ประกาศขยายความร่วมมือในฐานะ พาร์ทเนอร์ ออฟ “โมโต จีพี” ฤดูกาล 2025-2026สานความแน่นแฟ้นสู่ปีที่ 13
.
คุณวรวุฒิ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด คีย์แมนสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังดีลความร่วมมือกับพันธมิตรกีฬาระดับโลก เผยว่า “นับเป็นเวลามากกว่า 1 ทศวรรษที่ “สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” และ “โมโตจีพี” มีความร่วมมือระหว่างกันตั้งแต่ปี 2014 และล่าสุด ได้ประกาศขยายสัญญาความร่วมมือในฐานะ พาร์ทเนอร์ ออฟ โมโต จีพี ไปจนถึงปี 2026 ซึ่งไฮไลต์ในปีนี้เราจะได้เห็นนักแข่งชาวไทยลงแข่งรุ่นโมโตจีพีแบบเต็มฤดูกาล และประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นสนามเปิดฤดูกาล ซึ่งทาง “ลีโอ”
ได้เตรียมกิจกรรมพิเศษไว้มากมาย เพื่อเอาใจแฟนความเร็วได้ร่วมประสบการณ์ระดับโลกแบบเวิลด์คลาส ออฟ สปอร์ต พร้อมภารกิจการนำแบรนด์ของคนไทยสู่การเป็นโกลบอลแบรนด์ที่ทั่วโลกรู้จัก รวมถึงผลักดันนักกีฬาไทยให้ก้าวไปสู่การแข่งขันในรายการกีฬาระดับโลกเพิ่มมากขึ้น”
.
ความร่วมมือระหว่าง สิงห์ กับ โมโตจีพี ถือเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของสิงห์ในฐานะหนึ่งในผู้สนับสนุนกีฬามอเตอร์สปอร์ตที่สำคัญระดับโลก อาทิ การเข้าสนับสนุนทีมแข่ง F1 ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก ซึ่งสิงห์ถือเป็นแบรนด์ไทยอันดับแรกของโลกที่เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์หลักในสนับสนุนวงการ F1 ในฐานะออฟฟิเชียล พาร์ทเนอร์ ทีมแข่งดังอย่าง Infiniti Red Bull Racing ต่อเนื่องด้วยทีม Scuderia Ferrari, Alfa Romeo F1 Team และ Stake F1 Team Kick Sauber นอกจากนั้นในปี 2023 ยังได้ร่วมเป็น ออฟฟิเชียล พาร์ทเนอร์ “ดิ โอเพ่น” กอล์ฟเมเจอร์รายการเก่าแก่ที่สุดของโลก และล่าสุดกับการเปิดศักราชปี 2025 ด้วยการเป็น ออฟฟิเชียล พาร์ทเนอร์ “ONE Championship” ศึกศิลปะการต่อสู้ระดับแนวหน้าของโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เผยแพร่ไปยังผู้ชมกว่า 195 ประเทศทั่วโลก
สำหรับในศึกโมโตจีพีฤดูกาล 2025 “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักแข่งคนแรกของไทยที่สร้างประวัติศาสตร์ ที่ก้าวขึ้นไปบิดในรุ่นท็อปสุด “โมโตจีพี” ประเดิมสนามโฮมเรซ ได้อย่างประทับใจด้วยการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 18 พร้อมไปกับ “ลีโอ” ที่เสิร์ฟความมันส์ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ กับกิจกรรมพิเศษตลอด 5 วัน กับคอนเสิร์ต 6 ศิลปินดัง และอินฟลูสายสองล้อ ในการเชื่อมโยงไลฟ์สไตล์ผ่านประสบการณ์ระดับโลกแบบเวิลด์คลาส ออฟ สปอร์ต
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.brandage.com/article/41957

#สิงห์ #โมโตจีพี #โมโตจีพี2026

ใครยังโทรสั่งพิซซ่า ยกมือขึ้น....นั่นคือ คำถามเชิงสงสัยว่า ในยุคที่แอปพลิเคชันเข้ามามีบทบาทต่อการสั่งอาหารในรูปแบบเดลิเว...
04/03/2025

ใครยังโทรสั่งพิซซ่า ยกมือขึ้น....
นั่นคือ คำถามเชิงสงสัยว่า ในยุคที่แอปพลิเคชันเข้ามามีบทบาทต่อการสั่งอาหารในรูปแบบเดลิเวอรี่ ทั้งการสั่งผ่าน แอปของแบรนด์พิซซ่าเอง และแอปของผู้ให้บริการฟู้ด เดลิเวอรี่ ตามไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี จนทำให้การสั่งพิซซ่า ผ่านเบอร์โทร 1112 หรือ 1150 น่าจะลดน้อยลง
เรื่องนี้ถูกเฉลย โดย ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) แบรนด์ลีดเดอร์ในตลาดพิซซ่ามูลค่า 11,000 ล้านบาท แบรนด์พิซซ่า เจ้าของเบอร์โทร 1112 ที่เราคุ้นเคย
โดยเขาบอกว่า การเข้ามามีบทบาทของแอปพลิเคชันทำให้การสั่งพิซซ่าของลูกค้า เกือบทั้งหมด มาจากการสั่งผ่านแอปพลิเคชัน The Pizza Company 1112 และ เว็บไซต์ www.1112.com/th โดย 50% จะเป็นการสั้งผ่านแอปของเดอะพิซซ่า ส่วนที่เหลือจะเป็นการสั่งผ่านแอปของผู้ให้บริการฟู้ด เดลิเวอรี่
ขณะที่การโทรสั่งพิซซ่าผ่านเบอร์ 1112 นั้น ยังพอมีอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นการสั่งโดยลูกค้าที่เป็นองค์กรหรือบริษัทต่างๆ ที่สั่งพิซซ่าเพื่อเลี้ยงพนักงานในช่วงของการประชุม โดยสั่งทีละหลายๆ ถาด
ผู้บริหารของเดอะพิซซ่า คอมปะนี บอกอีกว่า เบอร์โทร 1112 นั้น ทิศทางของมันจะมุ่งไปสู่การเป็น Customer ServiceCenter มากกว่าแค่การเป็นเบอร์โทรสำหรับการสั่งพิซซ่า ซึ่งจะเป็นแนวโน้มที่คล้ายคลึงกับคอลเซ็นเตอร์ของหลายๆ บริษัท ที่แอปพลิเคชันเข้ามามีบทบาทในการติดต่อแทนที่การโทร โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ ที่อยู่ในเจนซี ที่โตมากับตรงนี้โดยตรง
เบอร์โทร 1112 เกิดมาพร้อมกับแบรนด์เดอะพิซซ่า คอมปะนี ที่ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ปส่งเข้าตลาดมา ปีนี้เป็นปีที่ 24 โดยการทำ Branding ของพิซซ่า แบรนด์นี้จะมีเบอร์ 1112 เป็นสิ่งที่ถูกสื่อสารออกมาพร้อมกัน เพราะประสบการณ์ในการบริโภคพิซซ่าของคนไทย ส่วนใหญ่เกิดจากโมเม้นต์ของการสั่งพิซซ่ามาทานร่วมกันที่บ้าน
เมื่อมองมาที่ตัวเลขสัดส่วนของการขายแต่ละช่องทางของเดอะพิซซ่า คอมปะนี ในปีที่ผ่านมา พบว่า 50% ของการขาย ยังมาจากช่องทางเดลิเวอรี่ แม้บริบทต่างๆ จะเปลี่ยนไปหลังการแพร่ระบาดโควิด – 19 ยุติลง ส่วนอีก 30% จะมาจากการขายผ่านช่องทางนั่งทานในร้าน และอีก 20% จะมาจากเทคโฮมหรือการซื้อกลับบ้าน
ขณะที่การซื้อต่อบิลในปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 500-550 บาท โดยมีความถี่ในการใช้บริการในทุกช่องทางเพิ่มขึ้นจาก 2.5 ครั้ง เป็น 3.5 ครั้งต่อเดือน
สิ่งที่น่าสนใจในการทำตลาดเดลิเวอรี่ของผู้นำตลาดอย่างเดอะพิซซ่า คอมปะนีก็คือการปรับกลยุทธ์ในเรื่องของเดลิเวอรี่ จากเดิมที่จะการันตีการส่งเร็วภายในไม่เกิน 30 นาที มาสู่ การการันตีการส่งไม่เกิน 20 นาที ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของบ้านเรา และเป็นลำดับที่ 2 ต่อจากอินเดียที่นำกลยุทธ์นี้มาใช้
เดอะพิซซ่า คอมปะนี เริ่มใช้กลยุทธ์การันตีการส่งเร็วภายใน 20 นาที เมื่อปีที่ผ่านมา ส่วนในปีนี้ ยังให้ความสำคัญกับการการันตีส่งสินค้าภายใน 20 นาที ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ถ้าไม่ทันได้รับพิซซ่าถาดกลางฟรี 1 ถาด เพื่อเป็นมาตรฐานของแบรนด์ และตอบสนองเรื่องความรวดเร็วกับคุณภาพของอาหาร
ซึ่งเดอะพิซซ่า คอมปะนี สามารถรักษามาตรฐานไว้ได้สูงมาก โดยสามารถส่งสินค้าได้ทันภายใน 20 นาทีถึง 97% ของจำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมด และใช้เวลาโดยเฉลี่ยเพียง 17 นาทีในการจัดส่งสินค้าเท่านั้น
ผู้บริหารของเดอะพิซซ่า คอมปะนี บอกกับเราว่า การปรับกลยุทธ์ในครั้งนี้ เกิดจากการนำเอา Pain Point ของลูกค้า ที่ต้องการรับประทานพิซซ่าร้อนๆ เหมือนที่นั่งทานในร้าน ซึ่งช่วงเวลา 20 นาทีที่จัดส่งถึงมือลูกค้านี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่พิซซ่ายังมีความร้อนเหมือนกับที่เสิร์ฟในร้าน
การการันตีการส่งไม่เกิน 20 นาทีนี้จะเริ่มจากพื้นที่ในกรุงเทพฯ สำหรับ 40 สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ร่วมรายการ ซึ่งพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะมีสาขาของเดอะพิซซ่า คอมปะนี เปิดอยู่ประมาณ 70– 80 สาขา โดยเลือกสาขาที่อยู่ในทำเลที่มีรัศมีการส่งที่สามารถคอนโทรลได้ เป็นสาขานำร่องก่อน หลังจากนั้นจะมีการขยายไปยังสาขาอื่นๆ เพิ่ม เติมต่อไป

04/03/2025

คุณรุจ พี่รุจ ป้ารุจ จะหมดไป..
เปิดบริการ LINE PREMIUM สร้างได้ 3 SubProfile
เปลี่ยนรูป&ชื่อโปรไฟล์ของตัวเอง
ตอบโจทย์ใช้ชีวิตหลายบทบาท 169 บาท/เดือน

หนึ่งในบริการใหม่ที่จะได้เห็นในปีนี้ของ LINE กับ LINE GIFT บริการ e-Gifting ที่จะเปลี่ยนมุมมองการให้ของขวัญในมิติใหม่ภาย...
04/03/2025

หนึ่งในบริการใหม่ที่จะได้เห็นในปีนี้ของ LINE กับ LINE GIFT บริการ e-Gifting ที่จะเปลี่ยนมุมมองการให้ของขวัญในมิติใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ Social Gifting ให้การมอบความรู้สึกดีๆ แก่เพื่อนบน LINE ทำได้ง่ายๆ ผ่านหน้าแชตได้ทันที ด้วย e-Voucher ผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ จากแบรนด์ชั้นนำและสินค้าที่ส่งตรงถึงผู้รับได้แม้ไม่รู้ที่อยู่
พฤติกรรมการซื้อและให้ของขวัญของผู้บริโภคชาวไทย
จากข้อมูลพบว่า ผู้บริโภคชาวไทยเลือกซื้อของขวัญผ่านช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่
• การซื้อของขวัญออนไลน์ (61%)
• การซื้อของขวัญแบบออฟไลน์ (39%)

พฤติกรรมการให้ของขวัญ
หลังจากซื้อของขวัญแล้ว ผู้บริโภคมีวิธีมอบของขวัญที่แตกต่างกัน ได้แก่
• ให้ของขวัญด้วยตนเอง (Face-to-Face) (53%)
• การส่งของขวัญไปยังที่อยู่ของผู้รับ (29%)
• การใช้บริการพัสดุและการจัดส่ง (14%)
• ช่องทางอื่น ๆ (4%)
3 เหตุผลหลักที่ผู้คนเลือกให้ของขวัญ ได้แก่
1. การเสริมสร้างความสัมพันธ์ (88%)
2. เทศกาลและวันหยุด (66%)
3. โอกาสพิเศษและช่วงเวลาสำคัญในชีวิต (62%)
บริการ e-Gifting มีฟีเจอร์สำคัญ ได้แก่ การเปิดโอกาสให้ผู้รับสามารถปรับเปลี่ยนสีและขนาดของสินค้าได้ตามต้องการ
พร้อมทั้งตั้งค่าให้เพื่อนเห็นรายการ Wishist เพื่อให้การเลือกของขวัญตรงใจมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ตั้งเวลาส่ง vouchers ช่วยให้ไม่พลาดการมอบของขวัญในวันสำคัญ
ทั้งหมดนี้จะทำให้การให้ของขวัญเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคยและเพิ่มความหมายให้กับการสื่อสารผ่านแชท LINE คาดว่าจะพร้อมให้บริการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

“LINE GIFT ไม่ใช่แค่เรื่องของการให้ของขวัญ แต่มันยังคงอยู่เหมือนเดิมที่เราคงเน้นเรื่องสื่อสาร เรื่องการแชท คำว่าขอบคุณนะ ไปกันต่อ มันจะสามารถส่งผ่านให้มีน้ำหนักมากขึ้น" คุณจิรัฏฐ์ วรรธนกรินธ์ Head of LINE GIFT ประเทศไทย กล่าวทิ้งท้าย

คาลเท็กซ์ ประกาศกลยุทธ์การตลาด ปี 2568 คว้า “หลิง-ออม” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์หญิงคู่แรกในประวัติศาสตร์ของคาลเท็กซ์ โดยการ...
04/03/2025

คาลเท็กซ์ ประกาศกลยุทธ์การตลาด ปี 2568 คว้า “หลิง-ออม” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์หญิงคู่แรกในประวัติศาสตร์ของคาลเท็กซ์ โดยการเลือก หลิง-ออม มาเป็นตัวแทนของแบรนด์ในครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงทิศทางใหม่ของคาลเท็กซ์ ที่ต้องการเชื่อมต่อกับกลุ่มลูกค้า “New Gen” คนรุ่นใหม่ และ “Women Power” ผู้หญิงยุคใหม่ แต่ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ทันสมัย และใกล้ชิดกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากขึ้น ตั้งเป้าเปิดตัวบัตรสมาชิกดิจิทัล และโมบายแอปพลิเคชันใหม่ในสิ้นปี เพื่อขยายฐานลูกค้ากว่า 2 ล้านราย ตอบโจทย์พฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ตั้งเป้ายอดขายโต 15%
เหมินฝัน ธัญไพสิษฐ์ ผู้บริหารสูงสุดสายการตลาด บริษัท สตาร์ ฟูเอลส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (SFL) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) และเป็นผู้ได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการประกอบธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้ชื่อ “คาลเท็กซ์” ในประเทศไทย เผยถึงกลยุทธ์การตลาดปี 2568 ของน้ำมันเชื้อเพลิงคาลเท็กซ์ว่า “ปีนี้เรามุ่งขับเคลื่อนการสื่อสารเชิงรุก ภายใต้แนวคิด “Brandformance” (Brand + Performance) สร้างภาพ “จดจำ” แบรนด์ให้อยู่ในใจลูกค้ามากที่สุด เชื่อมโยงพลังของแบรนด์กับประสิทธิภาพทางการตลาดอย่างไร้รอยต่อ ผ่าน 5 กลยุทธ์การตลาดเร่งเครื่อง Brandformance”
1. สร้าง Brand Value ผ่านการตอกย้ำน้ำมันคุณภาพ คาลเท็กซ์ เทครอน
2. เข้าถึง “New Gen” และ “Women Power” มากขึ้น ด้วยแบรนด์แอมบาสเดอร์ และโฆษณาใหม่
3. Customer Experience ด้วย “บัตรสมาชิกดิจิทัล” และ “โมบายแอปพลิเคชัน” ตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าสมาชิกกว่า 2 ล้าน
4. โปรโมชันแรงต่อเนื่องทุกไตรมาส กระตุ้นการใช้งานจริง
5. ผนึกพลังพันธมิตรทางธุรกิจระดับแนวหน้า

#หลิงออม #หลิงออมแฟนคลับ

ทยอยประกาศผลประกอบการปี 2567 ออกมากันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ประกาศผลประกอบการของปี...
04/03/2025

ทยอยประกาศผลประกอบการปี 2567 ออกมากันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ประกาศผลประกอบการของปี 2567 ออกมากันครบแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้รวมลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 แต่ก็มีอีกหลายบริษัทที่มีรายได้รวมเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ สวนทางกับทิศทางการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 ซึ่งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้รายงานว่า มูลค่ารวมของยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งปี 2567 ลดลงจาก ปี 2566 ประมาณ 6.3% จากปัจจัยลบรอบด้าน ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย รวมไปถึงปัญหาของการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างลำบาก เพราะสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ ส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2567 ลดลง ทั้งในส่วนของจำนวนและมูลค่ารวม ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่พยายามหาช่องทางในการสร้างรายได้แบบต่อเนื่องตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา
นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย มองว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มีรายได้รวมในปี 2567 ลดลงคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปี 2566 แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายเช่นกันที่มีรายได้เพิ่มขึ้น หรือลดลงจากปีก่อนหน้านี้ไม่มาก หรือลดลงประมาณ 2 – 3% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยยังมีกำลังซื้ออยู่ในตลาดต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการรายใดจะเข้าถึงและสามารถดึงดูดให้ผู้ซื้อจองและโอนกรมสิทธิ์ได้มากกว่ากัน
สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้มากที่สุดในปี 2567 ใน 5 อันดับแรก คือ แสนสิริ มีรายได้รวมทั้งปี 2567 ประมาณ 39,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ประมาณ 2% ตามมาด้วย เอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้รวมประมาณ 37,460 ล้านบาท และ ศุภาลัย มีรายได้ประมาณ 31,985 ล้านบาท ส่วน แลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีรายได้รวม 28,151 ล้านบาท และ พฤกษาฯ มีรายได้รวม 20,996 ล้านบาท
ทั้งนี้ใน 5 อันดับแรกนี้ ครองผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยมาต่อเนื่องทั้งรายได้และยอดขาย โดยผู้ประกอบการบางรายอาจเคยครองตำแหน่ง อันดับที่ 1 หรือ อันดับ 2 ต่อเนื่องมายาวนาน แต่ด้วยภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงโฟกัสของผู้ประกอบการที่เปลี่ยนไปมีผลต่อรายได้รวมเช่นกัน
ส่วนของกำไรสุทธิในกลุ่ม 5 อันดับแรก มีเพียง ศุภาลัย เท่านั้นที่มีผลกำไรเป็นบวกเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของปี 2566 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ มีกำไรลดลงไม่มากหรือมีนัยสำคัญอะไรต่อผลประกอบการมากนัก โดยเฉพาะ แสนสิริ และเอพี (ไทยแลนด์) ที่ลดลง 13.3% และ17.1% ตามลำดับ เนื่องจากผลกำไรยังมีมูลค่าเกิน 5 พันล้านบาท ซึ่งกำไรที่ลดลงในปีที่ผ่านมาอาจจะชดเชยกลับมาในปี 2568 นี้ก็เป็นไปได้ แม้ว่าสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะยังไม่ฟื้นตัว และมีทิศทางที่ต้องจับตามองอยู่ก็ตาม
อย่างไรก็ตามในปี 2568 ผู้ประกอบการรายใหญ่มีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่มากกว่าปี 2567 และยังคงเป็นการขับเคี่ยวกันของ 3 รายหลัก คือ เอพี (ไทยแลนด์) ที่ประกาศแผนการลงทุนมีมูลค่าโครงการวมมากถึง 65,000 ล้านบาท จากจำนวน 42 โครงการ ในขณะที่ แสนสิริ เปิดขายโครงการใหม่จำนวน 29 โครงการ เท่านั้น แต่มีมูลค่าโครงการมากถึง 52,000 ล้านบาท โดยโฟกัสไปที่กลุ่มสินค้าระดับบน-ลักชัวรีมากขึ้น ส่งผลให้มูลค่าเฉลี่ยต่อโครงการสูงกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ และ ศุภาลัย มีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 36 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 46,000 ล้านบาท

04/03/2025

Prada ใกล้บรรลุข้อตกลงซื้อ Versace แล้ว ด้วยวงเงินมูลค่าราว 54,400 ล้านบาท

หากมองเข้ามาที่ตลาดน้ำปลามูลค่า 10,000 ล้านบาทแล้วจะพบว่า ตลาดนี้มีการเติบโตไม่มากนักเฉลี่ยปีละ 1 -2% เท่านั้น เนื่องจาก...
03/03/2025

หากมองเข้ามาที่ตลาดน้ำปลามูลค่า 10,000 ล้านบาทแล้วจะพบว่า ตลาดนี้มีการเติบโตไม่มากนักเฉลี่ยปีละ 1 -2% เท่านั้น เนื่องจากน้ำปลาเป็นสินค้าที่ใช้กันแทบทุกครัวเรือนอยู่แล้ว ขณะที่เด็กรุ่นใหม่ๆ เอง ถูกสร้างภาพจำที่ไม่ค่อยดีนักกับสินค้าประเภทนี้
จากมุมมองของ พันธ์ชนะ รัตนประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำปลาพิไชย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำปลาแท้ตราหอยนางรม ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย
เพราะหากจะมองหาวิธีการที่จะทำให้สามารถยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจนี้ จำเป็นต้องหาตลาดใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขยายฐานการทำตลาดออกไปยังต่างประเทศ หรือการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มซอสปรุงรสอื่นๆ เป็นต้น
แต่สิ่งที่น่าสนใจในการทำตลาดของน้ำปลาตราหอยนางรมก็คือการสร้างการบริโภคใหม่ๆ ที่เป็นการขยายโอกาสในการบริโภคน้ำปลา ซึ่งตัวอย่างในเรื่องนี้ก็คือการส่งน้ำปลาพริกแบบซองของแบรนด์หอยนางรม ที่เป็นการเข้าสู่น่านน้ำใหม่ในตลาดน้ำปลาของบ้านเราเมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา
เดิมทีนั้น การออกสินค้าในรูปแบบน้ำปลาพริกแบบซองของผู้เล่นในตลาดน้ำปลาบ้านเรายังไม่มีรายใดเข้ามาทำ ซึ่ง พันธ์ชนะ บอกว่า น่าจะเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสในสร้างยอดขายจากรูปแบบของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นอกเหนือจากน้ำปลาแบบขวดที่เราคุ้นเคยมานาน
ประกอบกับหอยนางรมเองมีโนว์ฮาวในเรื่องของการผลิต ที่สามารถคงความสดของพริกน้ำปลาได้ยาวนาน ขณะที่ เทรนด์การเติบโตของธุรกิจร้านอาหารของบ้านเรา ทั้งสตรีทฟู้ดและร้านอาหารแบบเชนก็กำลังมาแรงในช่วงเวลานั้น
คิดง่ายๆ ว่า แค่มองตัวเลขประชากรที่มีอยู่ในบ้านเรากว่า 60 ล้านคน มีการกินข้าววันละ 3 มื้อ คิดเป็น 180 ล้านมื้อต่อวัน หรือ 65,700 ล้านมื้อใน 1 ปี หากสร้างโดยนำเอาน้ำปลาพริกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มรสชาติให้อาหาร โอกาสในการขายก็เปิดกว้างมากขึ้น
“เรามองเห็นว่าการออกน้ำปลาพริกแบบซองเป็นการเข้ามาช่วยแก้ Pain Point ให้กับทั้งฝั่งผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่ไม่ต้องเสียเวลามานั่งตักน้ำปลาพริกใส่ถุงให้ลูกค้า ขณะเดียวกัน ฝั่งของลูกค้าหรือผู้บริโภคเองก็ไม่ต้องเสียเวลามานั่งแกะถุงน้ำปลาพริกให้ยุ่งยาก มันจึงแมตช์กันพอดีทั้งตัวร้านค้า และลูกค้าที่สามารถช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้พวกเขา เราจึงมั่นใจว่าสินค้าน่าจะไปได้ดีในตลาด”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการเข้าตลาดน้ำปลาพริกของหอยนางรมก็ไม่ได้เป็นตามที่คาดหวังเอาไว้ เพราะช่วงแรกของการทำตลาดน้ำปลาพริกหอยนางรมจะเข้าตลาดด้วยรูปแบบของการบรรจุในถ้วย ซึ่งมีต้นทุนค่อนข้างสูง เฉลี่ยถ้วยละ 3 บาทเลยทีเดียว จนกลายเป็นต้นทุนที่ร้านค้ามองว่าไม่สามารถแบกรับได้
แม้จะสามารถเข้าไปในร้าน 7 –Eleven และขายคู่กับข้าวกล่องของอีซี่ โกได้ แต่ในแง่ของร้านอาหารทั่วไป โดยเฉพาะร้านอาหารสตรีทฟู้ด กลับไม่สามารถเจาะเข้าไปได้
ทำให้ต้องมีการกลับมาวางแผนและปรับรูปแบบใหม่ จนกลายเป็นน้ำปลาพริกที่บรรจุในซองพลาสติก ซึ่งมีราคาลดลงค่อนข้างมาก อย่างในแพ็กเกจจิ้งแบบซองที่บรรจุ 50 ซอง ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 40 – 45 บาท หรือมีราคาเฉลี่ยต่อซองไม่ถึง 1 บาท ทำให้สินค้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ยิ่งสามารถเข้าไปในร้าน 7 –Eleven ได้ก็ยิ่งเป็นเสมือนตัวช่วยส่งให้สินค้าตัวนี้ เดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ทำให้จากการเป็นสินค้าที่มียอดขายในช่วงเริ่มต้นไม่กี่ล้านบาท ในปีล่าสุด สามารทำยอดขายทะยานขึ้นไปแตะหลัก 100 ล้านบาท ต่อปีได้สำเร็จ
ความสำเร็จจากการทำตลาดน้ำปลาพริกแบบซองกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกต่อยอดมาสู่การนำสินค้าเข้ามาทำตลาดในรูปแบบของสินค้าที่บรรจุในซองอีก 2 ประเภท คือน้ำจิ้มซีฟู้ด และซอสพริกศรีราชา ภายใต้แบรนด์ “หอยนางรม” ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ 2 ตัวที่หอยนางรมขยายไลน์ออกมาทำตลาด เพื่อเพิ่มพอร์ตสินค้าให้มีมากกว่าแค่น้ำปลาแท้ โดยต้องการวางให้ แบรนด์หอยนางรมกลายเป็นสินค้าเครื่องปรุงรสที่ครบไลน์ และอยู่คู่กับครัวคนไทย
แม้จะมีคู่แข่งขันตามเข้ามาทำตลาดน้ำปลาพริกแบบซอง แต่การเป็นรายแรกที่เข้ามาบุกเบิกตลาดนี้ กลายเป็น ข้อได้เปรียบ เพราะเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ลูกค้าจะนึกถึง ประกอบกับการมีระบบจัดจำหน่ายผ่านดิสทริบิวเตอร์รายใหญ่อย่าง DKHS เข้ามาช่วยกระจายสินค้าเข้าทั้งโมเดิร์นเทรด และร้านค้าดั้งเดิม ทำให้หอยนางรม มั่นใจว่า จะสามารถผลักดันการเติบโตและขยายการบริโภคน้ำปลาพริกและผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ในเรื่องของยอดขายนั้นก็มีการเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน โดยปี 2565 มียอดขาย 557.30 ล้านบาท ปี 2566 ยอดขาย 574.81 ล้านบาท และล่าสุดปี 2567 มียอดขาย 601.40 ล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัท 25% มาจากต่างประเทศ อีก 75% มาจากในประเทศ

ที่อยู่

3/1 ซอย ประชาสงเคราะห์ 31
Din Daeng
10400

เบอร์โทรศัพท์

+6622749197

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ BrandAge Onlineผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง BrandAge Online:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์