Thailand Development Report

Thailand Development Report TDR ทำขึ้นมาเพื่อมุ่งเน้นในการนำเสนอข่าวสารด้านการพัฒนาของประเทศไทย

26/08/2024

Investment Breaking News!!!

BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุนของ Western Digital ผู้ผลิต Harddisk ระดับโลก มูลค่าการลงทุน 23,500 ล้านบาท

23/08/2024

TDR Investment Update!!!
BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุนค่ายรถยนต์รัวๆ 5 โครงการในเดือนเดียว ฮุนไดผลิตรถไฟฟ้า/แบตเตอรี่ ฟากฉางอันผลิตเครื่องยนต์/แบตเตอรี่/ชิ้นส่วน

MG เปิดไลน์การผลิต ALL NEW MG3 HYBRID+สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกอย่างยั่งยืนชลบุรี – 15...
16/08/2024

MG เปิดไลน์การผลิต ALL NEW MG3 HYBRID+
สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกอย่างยั่งยืน

ชลบุรี – 15 สิงหาคม 2567 - บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ได้รับเกียรติจาก นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบการควบคุมทางสรรพสามิต และ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พร้อมคณะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเปิดไลน์การผลิตรถไฮบริดรุ่นล่าสุด ALL NEW MG3 HYBRID+ ก่อนเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในไทย วันที่ 20 สิงหาคม นี้ พร้อมเยี่ยมชมฐานการผลิตรถยนต์เอ็มจีในไทย ที่ครอบคลุมการผลิตรถยนต์ในทุกรูปแบบการขับเคลื่อน ทั้งรถยนต์สันดาปภายใน รถยนต์พลังงานทางเลือก และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงโรงงานประกอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกในประเทศไทย พร้อมแสดงศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกการขับเคลื่อนอย่างครบวงจร มุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้อย่างครอบคลุมที่สุด



นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญของ เอ็มจี ในการต้อนรับ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต และ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พร้อมคณะผู้บริหาร และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ให้เกียรติร่วมเปิดไลน์การผลิตรถยนต์ไฮบริดรุ่นล่าสุด ALL NEW MG3 HYBRID+ ก่อนเปิดตัว อย่างเป็นทางการในไทย วันที่ 20 สิงหาคม นี้ พร้อมเยี่ยมชมโรงงานผลิตรถยนต์แบบครบวงจรของ เอ็มจี ซึ่งตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่ทั้งหมด 437.5 ไร่ ที่พัฒนาขึ้นภายใต้งบการลงทุนที่สูงถึงกว่า 30,000 ล้านบาท โดย เอ็มจี ถือเป็นแบรนด์รถยนต์จีนที่มีการลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยสูงเป็นอันดับต้นๆ กับจุดเด่นของโรงงานที่สามารถผลิตและประกอบรถยนต์ครอบคลุมทุกรูปแบบการขับเคลื่อนด้วยกำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คันต่อปี โดยมีพื้นที่ของโรงประกอบตัวถัง (Body Shop) โรงพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop) โรงประกอบรถ (General Assembly Shop) ครอบคลุม ไปถึงส่วนของคลังจัดเก็บอะไหล่เพื่อรองรับรถยนต์ของเอ็มจีทุกรุ่น รวมถึงพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ซึ่งประกอบด้วย โรงประกอบแบตเตอรี่YBRIDPLUS ละคณะหน่วยงานภาครัรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน ภายในโรงงานมีการจัดสรรพื้นที่เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนการประกอบแบตเตอรี่ ประกอบด้วยสายการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัยอย่างการนำหุ่นยนต์ (Robotic) เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานที่แม่นยำสามารถประกอบแบตเตอรี่ Cell-To Pack ได้สูงสุดมากกว่า 50,000 แพ็คต่อปี

ตลอดระยะเวลาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยกว่า 10 ปี เอ็มจี ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาแบรนด์อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยอย่างครอบคลุม ในฐานะผู้บุกเบิกยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เอ็มจี ได้พัฒนาและขยาย MG EV ECOSYSTEM เพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต พร้อมทั้งให้ความร่วมมือกับภาครัฐในนโยบายส่งเสริมต่างๆ โดยมีเป้าหมายให้คนไทยได้ใช้ยานยนต์คุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ ล่าสุด เอ็มจี ได้เริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ เริ่มต้นด้วยโกลบอลโมเดลอย่าง NEW MG4 ELECTRIC นอกจากนี้ ยังพร้อมตอบรับ การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกอย่างยั่งยืน ด้วยการขยายไลน์การผลิตเพื่อรองรับการผลิตรถไฮบริดอย่าง ALL NEW MG3 HYBRID+ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นถึงเทคโนโลยียานยนต์ที่ผสมผสานทั้งระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน และระบบไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดรับกับทิศทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ ที่ไทยมีโอกาสเป็นฐานการผลิตระดับโลกได้

นายจ้าว เฟิง กรรมการผู้จัดการรองประธานกรรมการบริหารติภาครััฐงานภาคีรับริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด กล่าวว่า “การเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตรถยนต์ เอ็มจี ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงศักยภาพและความพร้อมของ เอ็มจี ในการลงทุนและทำการตลาดในประเทศไทย ยังมีอีกหนึ่งความสำคัญที่ เอ็มจี ได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐร่วมเป็นสักขีพยานในการพิธีปล่อยรถ ALL NEW MG3 HYBRID+ รถไฮบริดคุณภาพสูง รุ่นล่าสุดออกจากสายการผลิต เพื่อเตรียมพร้อมเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ โดยรถยนต์รุ่นนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นเรือธงที่ เอ็มจี มุ่งมั่นให้เป็นหนึ่งในยนตรกรรมที่สะท้อนถึงแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ เอ็มจี ที่พร้อมผลักดันการผลิตรถไฮบริดแทนที่รถยนต์สันดาปภายใน เพื่อเดินหน้าสู่การเป็น Green mobility และสอดคล้องกับเทรนด์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมพร้อมรองรับการเปลี่ยนผ่านสังคมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มขั้นตามแนวทางของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก”

07/08/2024

Investment breaking News !!!
ฮุนได จับมือ ธนบุรีประกอบรถยนต์ และ Thonburi Energy Storage ประกอบแบตเตอรี่ และ EV ในประเทศไทย

06/08/2024

TDR Investment News!!

Omoda & Jaecoo Manufacturing ผู้ผลิตรถไฟฟ้าภายใต้เครือเชอรี่ เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 255 ล้านบาท พร้อมตั้งสายการประกอบในประเทศไทยเร็วๆ นี้

26/07/2024

บอร์ดอีวี เห็นชอบมาตรการ คงภาษีสรรพสามิต รถยนต์ไฮบริด เท่าเดิมอีก 5 ปี แลกลงทุนเพิ่มขั้นต่ำ 3,000 ล้านบาท คาด 5 รายเข้าร่วมโครงการ

16/07/2024

ซีรีส์ “Alien” เลือกถ่ายทำในไทย 123 วันเงินสะพัด 3,000 ล้านบาท จ้างงาน 1,600 คน ใช้โรงถ่ายภาพยนตร์ 13 โรง งบประมาณการลงทุนสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย

07/07/2024

มทร.อีสาน วิทยาเขตขอนแก่น ตั้งโต๊ะแถลงข่าวสร้างโรงงานประกอบรถไฟฟ้า Metro Train ฝีมือคนไทย อนาคตทดสอบวิ่งร่วมกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม

04/07/2024

BYD เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในไทย เม็ดเงินการลงทุน 35,000 ล้านบาท อนาคตฐานผลิต รถไฟฟ้า-ปลั๊กอินไฮบริด ส่งออกอาเซียน

25/06/2024

ด่วน!! “GULF” จับมือ ”Google cloud“ ร่วมลงทุนธุรกิจดาต้าเซนเตอร์ ผลักดันการใช้งาน GDC air-gapped สำหรับองค์กรในประเทศไทย

24/06/2024

"Standard Energy" ลงทุนโรงงานระยองผลิต Silicon wafer และ PV cell ขนาด 3 GW สําหรับแผงโซลาร์เซล เล็งจ้างงานกว่า 1,000 ตําแหน่ง พร้อมเดินไลน์ผลิตเดือนหน้า

23/06/2024

"Harman" บริษัทเครือซัมซุง ทุ่ม 3 พันล้านตั้งโรงงานแหลมฉบัง ผลิตลำโพงในรถ คาดเริ่มจ้างงานเฟสแรก 1,200 คน

21/06/2024

"Auto store" บ.หุ่นยนต์คลังสินค้านอร์เวย์ประกาศเปิดโรงงาน “ประกอบหุ่นยนต์”แห่งแรกในไทยที่จังหวัดระยอง

20/06/2024

EV Update News!!
CALB ผู้ผลิตแบตเตอรี่เจ้าใหญ่จากจีนเพิ่มทุนจดทะเบียนในไทยเป็น 100 ล้านบาท หลัง BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุน

16/06/2024

BOI อนุมัติส่งเสริม 8 โครงการ มูลค่า 5.7 หมื่นล้านบาท ไฟเขียว Data Center ชั้นนำอเมริกา ลงทุน 7.1 พันล้านบาท

09/06/2024

ฉางอัน จับมือ ไทยซัมมิท ซัมมิทออโต้ และอาปิโก้ไฮเทค วางแผนซื้อชิ้นส่วนในประเทศล็อตแรก 20,000 ล้านบาท เตรียมผลิตรถในประเทศปี 2568

08/06/2024

TDR News Update!!!
กองทัพอากาศ ลงนามร่วม ไทยคม วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การบินและอวกาศ ส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

07/06/2024

TDR Info : ทำความรู้จัก EV-E801/800 รถไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่จากประเทศญี่ปุ่น (BEMU-Battery Electric Multiple Unit)

EV-E801/800 เป็นรถไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่จากประเทศญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่า BEMU-Battery Electric Multiple Unit เป็นรถชุดพลังงานแบตเตอรี่รุ่นล่าสุดที่นำมาใช้ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อทดแทนการใช้ Kiha40/48 ในเส้นทางรองที่ไม่มีการติดตั้งสายส่งเหนือหัว



---------------------------------------------------------------------------

Thailand Development Report หรือ TDR เป็นบล็อกข่าวและข้อมูลที่ทำขึ้นมาเพื่อมุ่งเน้นในการนำเสนอข่าวและบทความด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย

ช่องทางการติดตาม
Facebook : facebook.com/ThaiDevReport

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพจ สนับสนุนเพจ
E-mail : [email protected]
Tel : 092-2529509 (คุณไอซ์)

01/06/2024

เศรษฐา เล็งปลดล็อก “ตัดต่อพันธุกรรมพืช” ส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์พืช เพิ่มรายได้เกษตรกร แข่งขันประเทศเพื่อนบ้าน

31/05/2024

กระทรวงการคลังเตรียมเพิ่มทุน 1.2 หมื่นล้านบาทในการบินไทยก่อนกลับเข้า SET กลางปีหน้า

30/05/2024

Cal-comp electronics Thailand คาดโรงงานใหม่ในมหาชัยและ เพชรบุรี จะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 เน้นผลิตสินค้ามาร์จิ้นสูงรับออเดอร์ต่างประเทศ ; Printer, SSD, EV Charger, AI Server และ Wearable Device

TDR Auto Update : Juneyao Auto โผล่ทดสอบรถ EV ในไทยJuneyao Air EV โผล่ทดสอบรถในไทยแบบเงียบๆ โดยภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ทางท...
28/05/2024

TDR Auto Update : Juneyao Auto โผล่ทดสอบรถ EV ในไทย

Juneyao Air EV โผล่ทดสอบรถในไทยแบบเงียบๆ โดยภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ทางทีมงานของ TDR ได้ถ่ายภาพมาจากปั้ม ปตท. บริเวณอำเภอศรีราชา และเมื่อได้สอบถามกับทางทีมงานที่มากับรถจึงได้ทราบว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ Juneyao Auto ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมาในประเทศจีน โดยในจีนเปิดตัวในชื่อ Juneyao Air EV

และสำหรับรถที่นำมาทดสอบในไทยที่ทางทีมงานได้ไปสำรวจเบื้องต้น พบว่าเป็นรถพวงมาลัยขวาเรียบร้อยแล้ว ทาง TDR คาดการณ์ทางแบรนด์ Juneyao มีแผนเปิดตัวในเมืองไทยในเร็วๆ นี้ เนื่องจากตัวรถค่อนข้างมีความพร้อมมากเลยทีเดียว

---------------------------------------------------------------------------

Thailand Development Report หรือ TDR เป็นบล็อกข่าวและข้อมูลที่ทำขึ้นมาเพื่อมุ่งเน้นในการนำเสนอข่าวและบทความด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย

ช่องทางการติดตาม
Facebook : facebook.com/ThaiDevReport
Website : thdevelopmentreport.blogspot.com

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพจ สนับสนุนเพจ
E-mail : [email protected]
Tel : 092-2529509 (คุณไอซ์)

24/05/2024

Nexpoint x TDR

บมจ. เน็กซ์ พอยท์ ร่วมกับบริษัท DAYUN ลงนามใน MOU เพื่อผลิต และจัดจำหน่ายรถ Mini SUV แต่เพียงผู้เดียวของประเทศไทย มีเป้าหมายราคาต่ำกว่า 490,000 บาท มุ่งเน้นกลุ่ม ECO Car ซึ่งมีรถจดทะเบียนใหม่ปีละประมาณ 100,000 คัน

นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้ลงนามในบันทึกตกลงความเข้าใจ (MOU) เพื่อลงทุนตั้งไลน์การประกอบรถ Mini SUV ของบริษัท DAYUN แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย พร้อมเปิดครับดีลเลอร์เพื่อทำการตลาดและขายรถของบริษัท DAYUN เพิ่มเติม

โดยรถ Mini SUV ที่จะนำมาผลิตและประกอบในประเทศไทยนี้มีจุดเด่นคือภายนอกมีขนาดที่กะทัดรัด แต่ภายในกว้างขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย อีกทั้งยังมีช่วงล่างอิสระคอยสปริง 4 ล้อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน โดยคาดว่าจะมีราคาเปิดตัวต่ำกว่า 490,000 บาท เพื่อเจาะตลาดนักเรียน นักศึกษา และพนักงานประจำ

บริษัท DAYUN Group เป็นบริษัทจีน ที่มุ่งเน้นผลิตและประกอบรถเชิงพาณิชย์เป็นหลัก โดยได้เริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก (Mini SUV) ราคาประหยัดซึ่งสามารถขายได้กว่า 20,000 คัน ในปัจจุบัน มีทุนจดทะเบียนถึงกว่า 5,000 ล้านบาท การร่วมมือกันในครั้งนี้จะมุ่งเน้นการผลิตและประกอบรถ Mini SUV เป็นหลัก โดยมีเป้าหมายมุ่งเน้นกลุ่ม ECO CAR ในประเทศไทยที่ปีที่แล้วมีจำนวนรถจดทะเบียนเกือบ 100,000 คัน

“NEX เป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ เรามีความเชี่ยวชาญทั้งด้านแบตเตอรี่และการซ่อมบำรุง การริเริ่มบุกตลาดรถไฟฟ้าประหยัดขนาดเล็กร่วมกับ DAYUN ในครั้งนี้จะช่วยขยายฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของกลุ่ม รวมทั้งเจาะตลาดใหม่ ๆ เพื่อเสริมความแกร่งให้กับกลุ่มบริษัทเพิ่มเติม รวมทั้งยังช่วยให้ประเทศไทยเข้าสู่ Green Society ได้เร็วยิ่งขึ้น ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้นำเข้ารถต้นแบบเพื่อมาทดลองวิ่งในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะสามารถนำเข้ามาจัดจำหน่ายได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ และจะต่อยอดขยายไปสู่การผลิตในประเทศไทย รวมทั้งนำยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่น ๆ เข้ามาเสริมทัพในอนาคต”นายคณิสสร์ กล่าว

---------------------------------------------------------------------------

Thailand Development Report หรือ TDR เป็นบล็อกข่าวและข้อมูลที่ทำขึ้นมาเพื่อมุ่งเน้นในการนำเสนอข่าวและบทความด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย

ช่องทางการติดตาม
Facebook : facebook.com/ThaiDevReport
Website : thdevelopmentreport.blogspot.com

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพจ สนับสนุนเพจ
E-mail : [email protected]
Tel : 092-2529509 (คุณไอซ์)

TDR ทำขึ้นมาเพื่อมุ่งเน้นในการนำเสนอข่าวสารด้านการพัฒนาของประเทศไทย

23/05/2024

NEX จับมือ Dayun automobile ลงนามสัญญาร่วมพัฒนาเชิงกลยุทธ์เพื่อผลิต และประกอบรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศไทย

21/05/2024

SVOLT Energy Technology ผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า คาดปี 68-69 ขยายการลงทุนในไทย มูลค่าเกือบ 2 หมื่นล้านบาท พร้อมจับมือบ้านปูลงทุนโรงงานประกอบ ESS ส่งออกเอเชียแปซิฟิก

17/05/2024

กรุงไทยปิดดีลปล่อยกู้ “NatureWorks” 1.26 หมื่นล้าน ก่อสร้าง รง.ผลิตพลาสติกชีวภาพ PLA ในไทย

09/05/2024

กลุ่ม ปตท. - มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ลงนามศึกษาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรร่วมกัน ชูไทยเป็นศูนย์กลางผลิตและส่งออกป้อนตลาดต่างประเทศ

หน้าที่อันเที่ยงตรง-คนคิดคดใจไม่ถึง?เรื่องราวที่อาจกล่าวได้ว่ามาถึงครึ่งทางแล้วสำหรับความขัดแย้งที่ยากจะปรากฏให้พบเห็น ก...
07/05/2024

หน้าที่อันเที่ยงตรง-คนคิดคดใจไม่ถึง?

เรื่องราวที่อาจกล่าวได้ว่ามาถึงครึ่งทางแล้วสำหรับความขัดแย้งที่ยากจะปรากฏให้พบเห็น กรณีรัฐบาลขัดแย้งกับธนาคารกลางแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติ ช่างน่าค้นหาว่าเหตุใดที่ทำให้ความขัดแย้งอุบัติขึ้นมาจนกลายเป็นประเด็นร้อนทางเศรษฐกิจ

สำหรับใครที่ไม่รู้ ก็จะบอกให้รู้ เพราะอากาศที่กลายร่างเป็นวัตถุจับต้องไม่ได้ นามว่า “เหรียญดิจิทัล” สุดยอดโครงการมูลค่า 5 แสนล้านบาท อันล่อตาล่อใจแจก 1 หมื่นบาทต่อหัว

แต่เมื่อลมปากคนหลายคนที่พร่ำบอกจะทำตามสัญญา แจกกันถ้วนหน้า ร่ำรวยกันทุกคน กลับกลายเป็นว่าวันเวลานี้ยังเป็นวุ้นไม่เกิดเสียที แล้วยิ่งสับสนวุ่นวายไปอีกเมื่อมีเงื่อนไขประดังประเดเพิ่มเข้ามา จากถ้วนหน้ากลายเป็นบางคนผู้มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ เกณฑ์ร้านค้าเข้าระบบที่ไม่ชัดเจนตลอดจนเข้าข่ายเอื้อนายทุนใหญ่ ที่สำคัญแอพพลิเคชั่นโทเคนที่ต้องวางระบบอีกนับหลายล้านบาทเพียงเพื่อโครงการใช้แค่ครั้งเดียว และล่าสุดกลายเป็นประเด็นที่ทำให้วิพากษ์วิจารย์กันอย่างเนืองแน่นคือการ “ยืม” เงินจาก ธนาคารธกส. เข้ามาใช้จ่ายไปก่อน

ความไม่แน่นอนเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากกลุ่มคนคอยสกัดคัดค้าน แต่เป็นเพราะมันเกินตัว เกินความความสามารถของเหล่ากะลาสีแห่งนาวารัฐลำนี้แล้วต่างหากเล่า ดังนั้นหนทางที่จะทำให้เรือลำนี้แล่นต่อไปได้ดั่งใจกัปปิตันเรือปราถนา คืออัญเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้ามาช่วยเหลือ เป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากผู้กุมความมั่นคงทางการเงินของประเทศ “แบงก์ชาติ”

แต่แล้วความหวังกลับมอดดับวูบหายไปเมื่อแบงก์ชาติและเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางการเงินบอกถึงเหตุผล 4 ข้อใหญ่ ๆ ที่แยกย่อยอีกไม่ต่ำกว่า 3 ข้อ ให้กับรัฐบาลผู้ที่ไขว่คว้าหาความหวัง ยกตัวอย่างคร่าว ๆ (อ่านฉบับเต็ม: https://bit.ly/3UNp3ZT)

1. เอาเงินไปช่วยกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 15 ล้านคน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที และใช้งบประมาณเพียง 150,000 ล้านบาท เนื่องจากคนกลุ่มรายได้น้อยมีสัดส่วนการใช้จ่ายเพื่อบริโภคสูงกว่ากลุ่มรายได้อื่น และมักซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศมากกว่าสินค้านำเข้า

2. เงินทุนไม่ได้เสกมาจากอากาศ ภาระหนี้อาจเพิ่มขึ้นจนชำระไม่ไหว ชำระไม่ทัน ทำให้ความสามารถในการดำเนินนโยบายการคลังอื่นของรัฐบาลลดลง มีความเสี่ยงที่จะมีงบประมาณไม่เพียงพอรองรับในภาวะฉุกเฉิน ความน่าเชื่อถือในระดับโลกหดหาย แบ่งจ่ายเงินเป็นระยะ ๆ ไปจะเหมาะว่า

3. ให้ลองคิดถึงความคุ้มค่าของการนำงบประมาณ 500,000 ล้านบาท ไปใช้ลงทุนในโครงการที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวดูน่าสนใจกว่านะ

4. การใช้งบประมาณจากแหล่งต่าง ๆ จะต้องมีความสอดคล้องกับกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน เช่น สิทธิการใช้จ่ายภายใต้โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะต้องไม่ขัดแย้งกับการควบคุมระบบเงินตราและชัดเจนในที่มาของเงินตรานั้น หากทำไม่ได้ตามนั้นมีความเสี่ยงผิดกฎหมาย หรือขัดต่อ พรบ. ที่กำหนด

5. ไปใช้ระบบชำระเงินที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ระบบพร้อมเพย์ และ Thai QR Payment เถอะ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน ลดต้นทุนในการพัฒนาระบบ และใช้ประโยชน์สูงสุด จากโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่มีอยู่เดิมจะสะดวกกว่า

ข้อเสนอทั้งหมดนี้ เป็นการยืนยันในภาระหน้าที่ของแบงก์ชาติที่จะต้องมองภาพรวม รักษาเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศ

แต่เมื่อสิ้นคำของแบงค์ชาติ รัฐบาลก็เกิดอาการวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม แขนขาเริ่มสั่นสะท้านเมื่อได้ยินคำว่า “อาจผิดกฎหมาย” ปรากฏขึ้นมา แต่ฝีปากยังกล้าหาญจากการถูกยุยงกดดันให้ใช้ระบบพร้อมเพย์ อันเป็นมรดกผลงานของรัฐบาลที่เคยป่าวว่าด่าทอเป็นเผด็จการ และด้วยมีชนักปักหลังคือคำพูดตัวเอง จะให้กลับคำขายผ้าเอาหน้ารอดคงไม่ได้ เดี๋ยวได้อับอายกันถ้วนหน้าแทน ยิ่งได้ยินคำแนะนำอื่น ๆ ที่คันหูยุบยิบ ๆ เสมือนตำหนิว่าเป็นโครงการเด็กเล่นขายของ เลยจริตออกกิริยาเผยว่า

“แบงค์ชาตินี่แหละขวางโครงการ ทำให้ล่าช้า ไม่มีความแน่นอน”
แม้จะติติงเขาไปแบบนั้น แต่ไม่วายร้องขอในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้พ่วงตามมาอย่าง “ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ให้หน่อยเป็นของแถม

เหล่าผู้เชี่ยวชาญทางการเงินในคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เลยจัดให้ตามคำขอด้วยการ “คงอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม” ไปซะเลย

เลยมีคนออกอาการเด็กขาดขนม ฮ่องเต้ซินโดรมกำเริบ แบบนี้จะกู้เงินมาทำโครงการต่อยังไงล่ะ เริ่มกระแนะกระแหนว่าแบงก์ชาติไม่ยอมทำตามนโยบายรัฐบาล โดยไม่ดูเลยว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ใช่สิ่งที่จะมาชี้นิ้วสั่งลด ๆ เพิ่ม ๆ ได้โดยใจคิด เพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นอัตราดอกเบี้ยที่สำคัญที่สุดที่จะส่งผลกับอัตราดอกเบี้ยอื่น ๆ ในระบบเศรษฐกิจ ทั้งเงินกู้และเงินฝากในธนาคาร รวมไปถึงการไหลเวียนของกระแสเงินทุน สภาพคล่องระดับประเทศและนอกประเทศ

ไม่รู้ว่า ครม. และท่านนายกฯ จะตระหนักรู้เมื่อไหร่ บริหารประเทศชาติไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องรู้จักรุกรู้จักถอย ใช้สติปัญญาไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน แต่อนิจจาดูจากการแถลงการณ์จากที่ผ่านมาก็พอทราบชะตากรรมดี พยายามชิงเสียงของมวลชนที่หลายคนไม่มีความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องระบบการเงินดีพอมาเป็นพวกดันแผ่นหลัง ปลุกระดมทำกระแสว่าแบงก์ชาติเป็นอิสระมากเกินไป จนทำงานด้วยกันยาก

พูดอะไรออกมานี่ไตร่ตรองดีแล้วหรือ?

สำหรับแบงก์ชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ หรือ รัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น มีหน้าที่หลักในการดูแลกำกับเรื่องการเงินของชาติ ทั้งออกกฎเกณฑ์และควบคุมสถาบันการเงิน นำออกหมุนเวียนซึ่งธนบัตรไทยรวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเงินตราระหว่างประเทศ และเฝ้าระวังอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่น ที่ทุก ๆ ประเทศทั่วโลกล้วนใช้มาตรฐานแบบเดียวกันคือ แบงก์ชาติต้องไม่อยู่ใต้อำนาจใคร ดังนั้น ธนาคารกลางส่วนใหญ่จากทุกประเทศทั่วโลกจึงก็มีความเป็นอิสระจากการแทรกแซงจากฝั่งการเมือง เพื่อให้นโยบายการเงินทำหน้าที่ดูแลด้านเสถียรภาพ ไม่ใช่เน้นแค่ฉาบฉวยระยะสั้น หรือทำตามคำสั่งของใคร แต่ต้องมีควบคุมความเป็นอิสระโดยการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ชี้วัดเห็นผลได้ มีกลไกในการเปิดเผยข้อมูล และสื่อสารการตัดสินใจกับสาธารณะ และในบริบทขอบเขตหน้าที่ของธนาคารกลางนั้น คือความเป็นอิสระในการดำเนินงานและการเลือกใช้เครื่องมือ ไม่ใช่ความเป็นอิสระในการจัดการต่อเป้าหมายตามคำสั่งที่วางโดยผู้อื่น ในเรื่องนี้เศรษฐกิจแบงก์ชาติยังคงต้องร่วมมือกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่เสมอ เพื่อการเลือกวางแผนและเป้าหมายที่เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ

ร่ายซะยืดยาว ให้พูดแบบง่าย ๆ คือธนาคารกลางหรือแบงค์ชาติเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำเท่านั้น ส่วนผู้ที่ตัดสินใจและลงมือปฏิบัติให้เกิดผลคือรัฐบาล

พึงทราบเอาไว้เถิด หากประเทศใดก็ตาม ธนาคารกลางไม่มีความเป็นอิสระ หรือโดนกดดันจากฝั่งการเมืองมากเกินไป จะทำให้นักลงทุนเริ่มเป็นห่วง เพิ่มความระมัดระวัง และกังวลว่าจะเกิดปัญหากับเสถียรภาพของเศรษฐกิจนั้นๆ จนไม่อยากเข้ามาลงทุน หรือยิ่งไปกว่านั้นคือแห่ขนเงินออกไปฝากที่อื่นเลย ที่มีตัวอย่างเกิดขึ้นในหลายประเทศกำลังพัฒนาอันเป็นชนวนเหตุนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจอยู่มากมาย เพราะธนาคารกลางหรือแบงก์ชาตินั้น เปรียบเสมือนตัวแทนแห่งความไว้วางใจในระบบการเงินของประเทศ เงินทุกบาททุกสตางค์ของทุกคนไม่ว่าจะเป็นนายทุน ข้าราชการ แรงงานในระบบ การค้าขายกับต่างชาติ หรือคนทั่ว ๆ ไปที่ใช้จ่ายเงินในชีวิตประจำวัน มีธนบัตรของไทยใช้จ่ายไม่ขาดมือ เพราะแบงก์ชาติคอยควบคุมดูแลรักษาเสถียรภาพ ไม่พังเหมือนบางประเทศ ที่แค่จะซื้อขนมห่อเดียว ต้องแบกเงินเป็นก้อนเพื่อไปซื้อมันมา อยากเป็นกันเช่นนั้นหรือไม่

ประเทศไทยเราคงไม่มีวันนั้นหรอกกระมัง...

ใครไม่เคยเห็นตราสัญลักษณ์ “ธนาคารแห่งประเทศไทย” เชิญไปค้นหาซะเดี๋ยวนี้เลย เป็นรูป “พระสยามเทวาธิราช” พระหัตถ์ขวากำถุงเงิน สื่อความหมายถึงผู้คุมถุงเงินทองของชาติ และ “พระแสงธารพระกร” ในพระหัตถ์ซ้าย สื่อถึงบทบาทหน้าที่หลักของ “แบงก์ชาติ” พิทักษ์ปกปักษ์รักษาทรัพย์สินของชาติอย่างเที่ยงตรง เที่ยงธรรม ไม่หวั่นเกรงใครหน้าไหน แม้วันเวลานี้มีมารมรสุมเต้นทะโมนระรานป่าวร้องใด ๆ ก็จักหยัดยืนอย่างองอาจจนผ่านพ้นภัยร้ายไปได้ ดังคำกล่าวว่าคนดีพระย่อมคุ้มครอง: เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รับมอบทองคำจำนวน 12.5 กิโลกรัม จากหลวงปู่คลาด ครุธัมโม วัดป่าบ้านใหม่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ประธานสงฆ์และผู้แทนคณะศิษยานุศิษย์พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน) ซึ่งทองคำดังกล่าว เป็นทองคำที่ได้รับจากการจัดงานบุญประเพณี "ผ้าป่า 12 เมษาฯ สืบหน่อต่อแขนงคลังหลวง บูชาพระคุณองค์หลวงตา" ตามเจตนารมณ์ของหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เพื่อสมทบเข้าเป็นทุนสำรองเงินตรา รวมสินทรัพย์ที่ได้รับมอบมาทั้งหมดในช่วงก่อนหน้านี้ แบ่งเป็นทองคำแท่งน้ำหนักรวมประมาณ 13,117.339 กิโลกรัม และเงินตราต่างประเทศจำนวน 10,457,159.63 ดอลลาร์ สรอ. (ข้อมูล ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2566)

ช่วงเวลานี้เชื่อว่าแบงก์ชาติได้ทำหน้าที่เต็มความสามารถแล้ว กล่าวชี้แนะตักเตือนในสิ่งที่เหมาะสมจนหมดแล้ว แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าทางพรรครัฐบาล เหล่ากะลาสีและกัปปิตันเรือประเทศไทย เหมือนจะไม่ยอมรามือเสียง่าย ๆ: วันที่ 5 พฤษภาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการจ.มหาสารคามและจ.ร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 5-6 พ.ค. 2567 เมื่อสื่อมวลชนสอบถามถึงกรณีที่หัวหน้าพรรค พูดบนเวที “งาน 10 เดือนที่ไม่รอทำต่อให้เต็ม 10” ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีตอบว่า “ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าเรื่องดอกเบี้ยเป็นเรื่องสำคัญ เป็นรายจ่ายที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน” ดังนั้นที่ หัวหน้าพรรคคนนึงกล่าวเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนมากกว่า “หลังจากนี้จะมีการหารือกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ว่าจะสามารถประสานพูดคุยกับ ธปท.ได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น เพราะหากขัดแย้งกันแล้วประชาชนเดือดร้อนก็จะไม่ดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันแต่ก็มีวิธีอื่นที่สามารถประสานพูดคุยกันได้” นายกรัฐมนตรีระบุ

เมื่อถามว่า ประเด็นที่ฝ่ายค้านมองว่าเวทีของพรรคเพื่อไทยเป็นการบีบ ธปท. ให้เห็นด้วยกับรัฐบาล นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่เคยบีบใคร เป็นแค่การสะท้อนความต้องการของประชาชน

ครับ ไม่เคยบีบ แต่การบอกว่าจะมีการหารือกับ รมต.คลังฯ คนใหม่เพื่อเตรียมพูดคุยกับแบงก์ชาติอีกครั้ง และการที่นายกฯ กล่าวว่า “ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าเรื่องดอกเบี้ยเป็นเรื่องสำคัญ เป็นรายจ่ายที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน” แท้จริงแล้วก็ยังมองว่าแบงก์ชาติเป็นอุปสรรคอยู่นั่นแหละ คำกล่าวอ้างว่าเป็นความต้องการของประชาชน ก็น่าฉงนสงสัย หากอัตราดอกเบี้ยเป็นอุปสรรคทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลง ข้าวยากหมากแพง ผู้คนเดือดร้อนเงินทองฝืดเคือง แบบนี้แบงก์ชาติก็ไม่นิ่งเฉยหรอกนะ ต้องพิจารณาปรับนโยบายการเงิน แต่ช้าก่อน แล้วคนที่รับผิดชอบโดยตรงอยู่ไหนเล่า

นโยบายการคลังของรัฐบาลได้ลงมือทำอะไรบ้างรึยังเอ่ย?

ก่อนหน้านั้นเมื่อ 29 เมษายน 2567 คุณเศรษฐพุฒิ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว CNBC ของสหรัฐในรายการ “Street Sign Asia” มีใจความสำคัญ ว่า “ธปท. ตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเป็นอิสระ โดยไม่สนใจแรงกดดันทางการเมือง แม้ว่าจะเผชิญกับเสียงเรียกร้องให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” โดยชี้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจยังช้าอยู่ ไม่ได้ผูกโยงกับอัตราดอกเบี้ย แต่ขึ้นกับ 3 ปัจจัย คือ
1. การท่องเที่ยวยังไม่กลับมา
2. การส่งออกที่ถดถอย
3. งบประมาณแผ่นดินออกมาล่าช้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด
ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยมากไป ก็จะมีการสร้างหนี้เพิ่มเป็นภาระระยะยาว จึงต้องมีการถ่วงดุลระหว่างดอกเบี้ยกับหนี้สิน

ในรายงานการประชุมฯเดือน เม.ย. คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) “แสดงความกังวลเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น และตระหนักถึงความสําคัญของการชะลอหนี้” ด้วยเหตุว่า “ยอดคงค้างหนี้ในระดับสูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นหนี้ไม่ส่งผลต่อรายได้ในอนาคตหรือการสะสมความมั่งคั่ง” รายงานการประชุม กนง.ระบุ

นี่ถือเป็น "การวางสมดุลอันยากลําบาก" สําหรับแบงก์ชาติที่พยายามเดินหน้าฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและดำเนินนโยบายการเงินไปพร้อมกัน

ก็นั่นปะไร ลดดอกเบี้ยตอนนี้ทำให้ผู้คนหายเดือดร้อนได้ก็จริง แต่มันแค่หายไปรอเดือดร้อนเอาอีกทีในวันหน้าต่างหาก แล้วสามข้อที่เป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล ทำได้แก้ได้สักข้อบ้างหรือยังหนอ?

การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว - แม้มีเทศกาลสงกรานต์มาช่วย ก็ต้องรอดูผลสิ้นไตรมาสสองโน้น พลังนุ่มนิ่มที่โหมกระพือจะช่วยสร้างปรากฏการณ์ฉุดดึงการท่องเที่ยวโงหัวขึ้นมาได้หรือไม่ ก็ต้องรอดูไปทั้งปีเลย

ส่งออกที่ถดถอย - เดือน มี.ค.2567 มีมูลค่า 24,960.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 10.9% กลับมาติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน รวม 3 เดือนปี 2567 (ม.ค.-มี.ค.) การส่งออกมีมูลค่า 70,995.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 0.2% แค่ไตรมาสแรกเริ่มติดลบแล้ว นี่เริ่มส่งสัญญาณบางอย่างแล้วใช่หรือไม่

งบประมาณแผ่นดินออกมาล่าช้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด - อันนี้สิที่รัฐบาลต้องให้คำตอบแก่ประชาชนอย่างยิ่ง ยิ่งงบประมาณล่าช้าทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐที่เป็นหนึ่งในฟันเฟืองหลักทางเศรษฐกิจประเทศหดหายไป ซึ่งกว่างบประมาณจะออกมาก็เพิ่งมีประกาศเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 พระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จำนวนเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยให้บังคับใช้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป หากนับเวลาตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลเสร็จ ก็ใช้เวลานานโข เกิดคำถามว่าเพราะอะไรถึงล่าช้าถึงขนาดนั้นได้

จุ๊ ๆ ๆ โปรดเงียบไว้ อย่าได้แซวเชียวว่าจนถึงตอนนี้กินบุญเก่ากับข้าวเหลือจากรัฐบาลชุดก่อน เดี๋ยวเขาจะหงุดหงิดหน้าแดงร้อนรุ่ม คล้ายถูกจับกล่องดวงใจไม่ทันตั้งตัว กับเรื่องแนวทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไม่ว่าแบงก์ชาติหรือรัฐบาลล้วนมีเครื่องมือเป็นของตนเอง คือนโยบายการเงินกับนโยบายการคลัง ที่ต่างฝ่ายต้องรู้ลึกรู้จริง แล้วมาทำงานประสานกันอย่างลงตัว ที่สำคัญคือต้องรู้ตัวเองก่อนว่ากำลังทำอะไร เจอโจทย์ปัญหาใดอยู่ แต่เหมือนมีบางคนมองไม่เห็น หรือไม่อยากมองเห็นก็มิทราบ

การที่รัฐบาลกระทำตัวป่าวร้องราวกับแบงก์ชาติไม่ยอมให้ช่วยเหลือสนับสนุนใด ๆ เลย ทั้งที่ตนเองเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้ง ความสับสนไม่แน่นอนเหล่านี้ ซึ่งน่าคิดน่าสงสัยเหตุใดรัฐบาลชุดก่อนหน้า ถึงไม่มีปัญหาในเชิงลักษณะขัดแย้งกับแบงค์ชาติเช่นนี้มาก่อน กระทั่งตอนทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกัน ยามนั้นแบงก์ชาติและหน่วยงานอื่นต่างพากันยกนิ้ว กดไลค์ไฟเขียวเลยด้วยซ้ำ

ถ้าหากมั่นอกมั่นใจกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอันสุดแสนบรรเจิดเลิศล้ำ ก็รีบลงมือเสียเถอะ แบงก์ชาติไม่มีอำนาจมาก้าวก่ายอยู่แล้ว คำชี้แนะคำตักเตือนจะทำเป็นหูทวนลมไปก็ยังได้ แต่นี่กลับปากกล้าขาสั่น ชี้นิ้วหาว่าเขาสกัดดาวรุ่ง

แล้วกลัวอะไรอยู่หรือ? ใช่คำง่าย ๆ ที่อ่านว่า “กฎหมาย” ใช่รึเปล่า? หรือกลัวว่าไม่มีใครมาช่วย เป็นแพะรับบาปยามล้มเหลว ประเทศชาติเสียหาย ต่อให้ตาบอดหรือทำมองไม่เห็นนี้ก็ยากจะปฏิเสธ ว่าอยากให้มีคนมารับรองโครงการเหรียญดิจิทัลนี้

โครงการเสี่ยงสูง ย่อมต้องการคนรับประกัน ...ก็แล้วใครล่ะจะกล้ารับประกันว่าโครงการนี้ปลอดภัยหายห่วง แม้แต่ ธกส. ยังทำเฉยขอเปิดหนังสือกฎหมายอ่านก่อนเลย

เขามีแต่ห่วงกลัวเงินในกระเป๋าผู้คนและกระเป๋าของชาติจะหายไปซะมากกว่า

เชื่อกันมั้ยว่า เมื่อเห็นว่าแบงก์ชาติแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ อีกสักพักก็จะหาเรื่องแก้ พ.ร.บ. แบงก์ชาติ ลดความเป็นอิสระ สั่งด้วยปากไม่ได้ ก็มาใช้กฎหมายบีบบังคับ ตามวิสัยนักการเมืองกระเพาะขับเคลื่อนด้วยอำนาจ

คงมีคนสงสัยในเมื่อแบงก์ชาติเป็นเพียงคนแนะนำแนวทาง รัฐบาลเป็นคนคิดแล้วลงมือทำ ไฉนถึงมาระรานก้าวก่ายกันไม่เลิกเสียที?

คำตอบก็ซ่อนอยู่ในคำถามอยู่แล้ว แบงก์ชาติผู้กุมถุงเงินทองของประเทศ มีอยู่ก้อนหนึ่งที่เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ เป็นเงินถุงแดงที่มีเพื่อรับมือวิกฤตการณ์เหตุร้ายแรงของชาติ มูลค่ากว่า 8ล้านล้านบาท อยู่ในอันดับที่ 16 ของโลกเชียวนะ(อัพเดทเมื่อ 15 มี.ค. 67)

มูลค่าสูงถึงเพียงนั้นใครเห็นก็ตาลุกวาว คงคิดว่าเบียดเบียนขอเจียดเงินส่วนนั้นมาคงง่ายกว่ากระมัง

หากรัฐบาลผู้นำประเทศคิดแบบนี้จริง ๆ ล่ะก็ ...มันได้สะท้อนความล้มเหลว ความไร้ความสามารถของรัฐบาลเข้าจริง ๆ เสียแล้วนะสิ

เข้าใจว่ากัปปิตันเรือกำลังลำบาก คนอ่อนประสบการณ์เพิ่งออกเดินเรือครั้งแรก ถูกกดดันจากสถานการณ์คลื่นลมใกล้เข้าตาจน แต่ไม่นานนี้เห็นถ่ายภาพ ว่านับถือสนิทสนมกับอดีตกัปปิตันเรือคนนึงที่ตอนนี้อยู่บ้านเลี้ยงหลานอยู่นี่นะ ลองไปขอคำชี้แนะบ่อย ๆ บ้างก็น่าจะดี

หรือถ้าคำชี้แนะจากผู้อาวุโสน่านับถือยังคันหูอยู่อีก ลองเปลี่ยนคนดีมั้ย?

อดีตกัปปิตันเรือคนก่อนหน้านี่แหละ ประสบการณ์สูงลิบเดินเรือมาได้ตั้ง 9ปีเลยเชียวนะ

เป็นผู้คิดค้น “คนละครึ่ง” ที่แจกเหมือนกันซะด้วย ลองไปขอพูดคุย ขอคำปรึกษารับประสบการณ์สักหน่อย เชื่อว่าอดีตกัปปิตันคนนี้ใจดีอยู่แล้ว

แต่หากพบหน้าแล้ว ต้องยิ้มแย้มนอบน้อม ตัวสูงก็ก้มโน้มตัวลงมาให้มาก พูดจาสุภาพชัดถ้อยชัดคำ อย่าให้เหมือนก่อนหน้าที่เคยเอ่ยสบประมาท ดูหมิ่นการเดินเรือของเขา

เพราะยามนี้ตัวกัปปิตันเรือเองก็ดีเด่นเพียงแค่เรื่องถุงเท้าแค่นั้นเอง...

เขียนและเรียบเรียงโดย แอดมืด Thailand Development Report

---------------------------------------------------------------------------

Thailand Development Report หรือ TDR เป็นบล็อกข่าวและข้อมูลที่ทำขึ้นมาเพื่อมุ่งเน้นในการนำเสนอข่าวและบทความด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย

ช่องทางการติดตาม
Facebook : Thailand Development Report
Website : thdevelopmentreport.blogspot.com

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพจ สนับสนุนเพจ
E-mail : [email protected]
Tel : 092-2529509 (คุณไอซ์)

ธนาคารแห่งประเทศไทย ถือเป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ หรือ รัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีก...
03/05/2024

ธนาคารแห่งประเทศไทย ถือเป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ หรือ รัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น โดยมีหน้าที่หลักในการดูแลกำกับเรื่องการเงินของชาติ ทั้งออกกฎเกณฑ์และควบคุมสถาบันการเงิน นำออกหมุนเวียนซึ่งธนบัตรไทยรวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเงินตราระหว่างประเทศ และเฝ้าระวังอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่น เป็นต้น

นี่เป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ธนาคารกลางควรมีความเป็นอิสระ มาจากปัญหาที่รู้จักกันในนามว่า time inconsistency problem คือปัญหาว่า เรามักจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดใน “ปัจจุบัน” มากกว่า สิ่งที่กำลังจะเกิดใน“อนาคต” แม้ว่าเรารู้ว่าสิ่งที่เหมาะสมในกาลข้างหน้านี้คืออะไรก็ตาม ดังนั้น ธนาคารกลางส่วนใหญ่จากทุกประเทศทั่วโลกจึงก็มีความเป็นอิสระจากการแทรกแซงจากฝั่งการเมือง เพื่อให้นโยบายการเงินทำหน้าที่ดูแลด้านเสถียรภาพ ไม่ใช่เน้นแค่การเจริญเติบโตระยะสั้นเพียงอย่างเดียว แต่ควบคุมความเป็นอิสระโดยการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ชี้วัดเห็นผลได้ มีกลไกในการเปิดเผยข้อมูล และสื่อสารการตัดสินใจกับสาธารณะ

หากประเทศใดก็ตาม ธนาคารกลางไม่มีความเป็นอิสระ หรือโดนกดดันจากฝั่งการเมืองมากเกินไป จะทำให้นักลงทุนเริ่มเป็นห่วง เพิ่มความระมัดระวัง และกังวลว่าจะเกิดปัญหากับเสถียรภาพของเศรษฐกิจนั้นๆ จนไม่อยากเข้ามาลงทุน หรือยิ่งไปกว่านั้นคือขนเงินออกไปฝากที่อื่นเลย ที่มีตัวอย่างเกิดขึ้นในหลายประเทศกำลังพัฒนาอันเป็นชนวนเหตุนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจอยู่มากมาย

ปัญหาในเรื่องงบประมาณ เป็นหน้าที่บริหารจัดการโดยกระทรวงการคลัง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจจึงเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาล และในบริบทขอบเขตหน้าที่ของธนาคารกลางนั้น คือความเป็นอิสระในการดำเนินงานและการเลือกใช้เครื่องมือ ไม่ใช่ความเป็นอิสระในการจัดการต่อเป้าหมายตามคำสั่งที่วางโดยผู้อื่น ในเรื่องนี้ธนาคารกลางยังคงต้องร่วมมือกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อการเลือกวางแผนและเป้าหมายที่เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ พูดแบบง่าย ๆ คือธนาคารกลางหรือแบงค์ชาติเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำเท่านั้น ส่วนผู้ที่ตัดสินใจและลงมือปฏิบัติคือรัฐบาล

คำกล่าวที่ว่าหนี้เพิ่มพูนหรือถูกใช้งานอย่างหนักข้างเดียว ล้วนแล้วมาจากนโยบายบริหารประเทศอันสุดแสนบรรเจิดของรัฐบาลนี้เองมิใช่หรือ ซึ่งก็น่าคิดน่าสงสัยเหตุใดรัฐบาลก่อนหน้านี้ ถึงไม่มีปัญหาในเชิงลักษณะขัดแย้งกับแบงค์ชาติเช่นนี้มาก่อน หรือในอีกแง่นึง คำกล่าวจากนักการเมืองเหล่านี้ เป็นสัญญาณสะท้อนความล้มเหลวในการวางแผนจัดการนโยบายและการคลังของพวกตนกันแน่

“กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สูงขึ้นทุกปี จากการตั้งงบประมาณขาดดุล”
— แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย 3 พฤษภาคม 2567
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจEconomic

02/05/2024

Investment Update News!!!
BOI เผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนในไทยแตะ 2.28 แสนล้านบาท ในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้น 31% อิเล็กทรอนิกส์อับดับ 1

ที่อยู่

Chonburi

เบอร์โทรศัพท์

+66922529509

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Thailand Development Reportผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Thailand Development Report:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

About Us

Thailand Development Report ทำขึ้นมาเพื่อมุ่งเน้นในการนำเสนอข่าวและบทความด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย อย่างตรงไปตรงมา รอบด้าน และสร้างการรับรู้ข่าวสารด้านการพัฒนาประเทศของไทยแบบทันต่อเหตุการณ์

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ


บริษัทด้านสื่อ/ข่าวสาร อื่นๆใน Chonburi

แสดงผลทั้งหมด