The People of Chiangrai

The People of Chiangrai เล่าเรื่องราวของคนเชียงรายผ่านมุมมองที่แตกต่างของคนเชียงราย และคนหน้าใหม่ๆที่ตกหลุมรักพื้นที่นี้

เพจนี้ตั้งใจทำขึ้นเพื่ออยากให้คนได้รู้ว่าในไทย ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ ที่มีมิติมุมมองความคิดที่หลากหลาย ทุกจังหวัดทุกพื้นที่ มีผู้คน มีเรื่องราวที่น่าสนใจ เราอยากถ่ายทอดมุมมองการมองชีวิตผ่านสายตา มุมมองของคน....ผู้ที่เชื่อว่ามีความแตกต่างที่น่าสนใจ อยากถ่ายทอดให้ทุกคนได้ฟัง

“อยู่กรุงเทพฯ ก็สะดวกดี แต่ที่เชียงราย เราไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องเผื่อเวลารถติด บรรยากาศก็ดี อากาศก็ดี สงบกว่า มีเวลาอยู่...
29/04/2024

“อยู่กรุงเทพฯ ก็สะดวกดี แต่ที่เชียงราย เราไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องเผื่อเวลารถติด บรรยากาศก็ดี อากาศก็ดี สงบกว่า มีเวลาอยู่กับตัวเอง”

แววก็ปกติคนที่นี่เลยค่ะ เข้ากรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็ก เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย งานสุดท้ายเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโส S&P ตั้งใจทำงานเก็บเงินไปเรื่อย ๆ คิดว่าจะไม่กลับมาอยู่เชียงรายเลยด้วยซ้ำ กลับบ้านแค่ปีละครั้ง

จริง ๆ ก่อนหน้านี้เคยกลับเชียงรายแล้วรอบนึงค่ะ ตอนนั้นอายุ 27 ปี เราก็อยากกลับมาอยู่กับลูก กลับมาก็ไปรับจ้างขายสับปะรด ที่นั่งริมถนนน่ะค่ะ ได้วันละร้อย ประกันสังคมก็ไม่มี พอดีตอนนั้นเพื่อนมาชวนไปทำร้านกาแฟด้วยกัน ก็เลยลาออกกลับกรุงเทพฯ

ระหว่างนั้น พ่อก็โทรมาชวนว่าจะกลับบ้านมั้ย เรามีซื้อห้องที่กรุงเทพฯ ไว้แล้ว ก็เลยยังไม่ได้กลับไป วันนึงเรากลับมาเที่ยวที่บ้าน พ่อก็บอกว่าเขาถมที่แล้วนะ ทำรั้วแล้ว กลับมาอยู่บ้านมั้ย เราเห็นว่าพ่อแม่ก็อายุเยอะแล้ว ก็เลยตัดสินใจกลับค่ะ ตั้งใจกลับมาดูแลแม่และพ่อ ดูแลได้ 3-4 ปี พ่อแม่ก็เสีย

ให้ย้อนกลับไปไม่เสียใจเลยนะที่กลับบ้าน เราได้ดูแลพ่อแม่จนนาทีสุดท้าย ทำหน้าที่ลูก ได้ทำอาหารให้เขาทาน ได้ดูแลพวกเขา ถ้าตอนนั้น เราไม่กลับมา เราได้เจอเขาแค่ปีละครั้งเอง แม้ตอนอยู่กรุงเทพฯ ได้เงินเยอะกว่า แต่เราคงเสียใจทั้งชีวิตแน่เลยที่ไม่ได้ดูแลพวกเขา

ตอนนี้ 40 กว่าแล้ว ไม่คิดกลับกรุงเทพฯ แล้วค่ะ อยู่นี่ถ้าเราไม่ฟุ่มเฟือยก็อยู่ได้นะ ตอนนี้ลูกเราโตแล้ว ไม่ห่วงอะไรแล้ว ก็ทำงาน เก็บเงินไป และอีกอย่างอยู่นี่อุ่นใจ ข้างบ้าน รอบ ๆ บ้านก็พี่น้องเพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกันทั้งนั้น ก็ดูแลกันไป บรรยากาศก็ดี อากาศก็ดีกว่ากรุงเทพฯ ถ้าอยู่กรุงเทพฯ เราไม่มีใคร ไม่มีญาติพี่น้อง

พี่แวว
เกิดเชียงราย และเลือกแล้วว่าจะใช้ชีวิตที่นี่ ที่บ้านเชียงราย

“เชียงรายมันพูดภาษาเดียวกับเรา เหมาะกับจังหวะชีวิตของเรา”พี่เชค : เรื่องทั้งหมดเลยนะ เริ่มจากพอดีเราไปทำงานที่ญี่ปุ่น อย...
09/04/2024

“เชียงรายมันพูดภาษาเดียวกับเรา เหมาะกับจังหวะชีวิตของเรา”

พี่เชค : เรื่องทั้งหมดเลยนะ เริ่มจากพอดีเราไปทำงานที่ญี่ปุ่น อยู่นู่นก้อยโทรมาร้องไห้เรื่องงานอยู่ 2-3 วัน จริง ๆ ก้อยเขา pain เรื่องงานมาซักพักแล้ว เราก็กลับมาคุยกัน เรื่องแบบทำงานทำไม ทำแล้วได้อะไร ให้เขาไปทบทวนกับชีวิตเขา สุดท้ายก็ตัดสินใจออกจากงาน

น้องก้อย : เรื่องนึงเลยก็คือ เราไม่เข้าใจว่าทำไมคนทำงานด้วยกัน ต้องมามีปัญหากันเอง เก็บแรงไว้เอาไปไฟต์กับลูกค้าให้ได้งานดี ๆ ไม่ดีกว่าเหรอ

พี่เชค : เราสองคนเลยมานั่งคุยกัน ว่าเราอยากทำอะไร อยู่ที่ไหน ก็ลองทำอะไรสนุก ๆ หลายอย่าง จนสรุปได้ว่า เราไม่ได้อยากอยู่กรุงเทพฯ เลยมาคิดต่อ ตอนแรกครอบครัวเรามีบ้านที่ตราด มีเพื่อนอยู่ที่ภูเก็ต จันทบุรี ก็ลองไปดู แต่ก้อยเขาไม่ชินกับเรื่องอากาศแบบฝน 8 แดด 4

น้องก้อย : ก็มีลองไปเมืองอื่นของภาคเหนือเหมือนกันค่ะ แต่สำหรับเรา เชียงใหม่เท่ากับกรุงเทพฯ ซึ่งเราต้องการออกจากกรุงเทพฯ ก็เลยไม่ใช่คำตอบ แล้วก็มีไปลำพูน เพราะพอดีบ้านแม่อยู่ลำพูน สรุปคือพอมาถึงลำพูน มันเป็นเมืองเหงานะ เป็นเมืองรีไทร์ เราก็ยังไม่อยากรีไทร์ขนาดนั้น แล้วพี่เชคเขาก็มีเพื่อนอยู่เชียงราย ก็เลยไปเชียงรายกัน เชียงรายมันพูดภาษาเดียวกับเรา เหมาะกับจังหวะชีวิตของเรา หรือสิ่งที่เรากำลังจะทำ เชียงรายกำลังจะโต เป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นที่กำลังจะโตค่ะ เพราะฉะนั้นมันน่าจะเหมาะ ฟิตอินกับเรามากกว่า

พี่เชค : ผมมองว่าที่นี่คล้าย ๆ เมลเบิร์น คือหนึ่ง ชิลล์ สองคือเวลาเพื่อนมา เราก็ยังมีที่นัดเจอกัน แฮงก์เอาต์กันได้ ปีแรกที่มาอยู่ ก็อยู่อพาร์ทเม้นท์ในเมือง เริ่มมองหาว่าจะทำอะไร ก้อยยังรับงานจากกรุงเทพฯ เป็น freelance ปีที่สอง เริ่มมองหาที่เล็ก ๆ ทำบ้าน และปีที่สาม เราก็มีบ้านกัน

สิ่งที่เซอร์ไพรส์สำหรับเราสองคน คือ คนเชียงรายไม่ดัดจริต เขาเปิดมากกก เราไม่ต้องพูดภาษาเมืองเหมือนเขา แต่เขาก็ welcome เรา เราได้เจอแก๊งเด็กรุ่นใหม่ เปิดร้าน ทำอะไรเยอะแยะของตัวเอง ทุกคนทำตัวสบาย ๆ ไม่พิธีรีตอง เราว่านี่แหละเสน่ห์ของที่นี่เลยที่เราชอบ เชียงรายต้องลองมาอยู่ มันมีจังหวะที่คนกรุงเทพฯ แบบเราไม่รู้จัก ลองหาจังหวะดี ๆ

น้องก้อย : ปีหลัง ๆ ที่อยู่ เราเริ่มไม่รับงานจากกรุงเทพฯ แล้ว เราว่าพอเรามาอยู่ ใจเรานิ่งขึ้น เราเห็นอะไรผ่านมุมมองของคนที่นี่ ทำให้เราเข้าใจว่าบางงานที่เรารับมันแค่ฉาบหน้า ดูสวยหรู แลกกับค่าจ้างที่เราต้องปั้นเรื่องขึ้น เราไม่อยากทำอะไรแบบนั้นแล้ว เลยเลิกรับ เราอยากทำอะไรที่เป็นตัวตน ที่เราอยากทำจริง ๆ

พี่เชค น้องก้อย เจ้าของเพจ อยากอยู่เชียงราย
อยากอยู่จริง ๆ และทำพื้นที่นี้ให้ดี

“หนูไม่เคยมีความฝันว่าจะมีบ้านที่กรุงเทพฯ เคยมีแล้วขายทิ้งแล้วด้วย” ประโยคนี้ทำให้เรารู้ว่า ชิงชิงรักเชียงรายแค่ไหนเราอย...
22/02/2024

“หนูไม่เคยมีความฝันว่าจะมีบ้านที่กรุงเทพฯ เคยมีแล้วขายทิ้งแล้วด้วย”
ประโยคนี้ทำให้เรารู้ว่า ชิงชิงรักเชียงรายแค่ไหน

เราอยู่ดอยมาตั้งแต่เกิด เราพูดจีนนะ แต่เราไม่พูดภาษาเมือง พูดไม่เป็นเลย
ตอนเด็ก ๆ บ้านเราก็เริ่มจากศูนย์ ไม่ได้มีพื้นฐานชามาก่อน ที่บ้านหม่าม้าเป็นไกด์ ป๊าเป็นคนไต้หวัน เป็นคนขุดแปลง ปรับแปลง แล้วเค้าก็ช่วยกันปรับแปลงที่บ้าน เพราะที่บ้านปลูกชาได้ ก็ปรับแปลง ปลูกชากัน ก็เริ่มจากตรงนั้น แล้วหม่าม้าก็มีสกิลการขายอยู่แล้ว ก็เลยเปิดร้านชา

โดยเจตนารมณ์เราต้องการให้ลูกค้าได้ชิม ให้ลูกค้าได้รู้เรื่องชา แค่นั้นเลย พอเราให้ก่อน หลังจากนั้นลูกค้าก็แฮปปี้กับเรา ก็เลยเหมือนมาเจอเพื่อน ลูกค้ามาซื้อชา ก็จะได้เข้าใจรสชาติที่แท้จริงของชา ตอนนั้นเราก็ช่วยแม่ขายไป และเราก็จะถูกสอนว่า ให้ไปเป็นไกด์ ..คนดอย เข้ามากรุงเทพฯ เรียนหนังสือ จบแล้วก็ไปฝึกไกด์กัน เงินเยอะ พาคนไทยนี่แหละไปเที่ยวจีน เพราะเราพูดจีนได้

เราเป็นคนเชียงราย ที่เข้ากรุงเทพฯ บ่อยมาก เพราะกรุงเทพฯ เหมือนเป็นที่ฮีลใจเรา ไปบำบัด ไปเพิ่ม energy ให้ตัวเอง ช่วงไหนเหนื่อยใจ เราก็จะเข้ากรุงเทพฯ ไปรับจ๊อบเป็นไกด์บ้าง พอดีขึ้น พักใจเสร็จ เราก็กลับมาเชียงราย ทำร้าน เพราะที่นี่คือบ้านเรา

มีคนถามตลอดว่า อยู่เชียงรายจะทำอะไร ดูไม่มีอะไรให้ทำ สำหรับเรา เรามีไอเดียทำนู่น ทำนี่เต็มไปหมด เรามองว่าเชียงรายกำลังโต เริ่มมีมิติหลากหลายขึ้น ตอนนี้ก็มีคนมาอยู่เยอะขึ้น ทั้งคนเชียงรายที่ไปทำงานกรุงเทพฯ แล้วกลับมาช่วงโควิด รวมถึงคนต่างถิ่นที่ย้ายมาอยู่ สำหรับเรามันมีโอกาสเยอะอยู่ แต่ก็ชาเลนจ์อยู่นะ เพราะเราก็เคยเปิดร้านชา แล้วก็ต้องปิดไปเหมือนกัน แต่เราก็ฮึบใหม่ เอาประสบการณ์ทำร้านครั้งที่แล้ว มาปรับปรุง ปั้นร้านใหม่ พยายามทำให้ร้านตัวเองชัดว่าเราจะเป็นร้านชาแบบไหน ช่วงแรก ๆ ใครพูดอะไรมาเราก็รับหมด ก็นอยด์ เขวไปมา แต่สุดท้ายต้องกลับมาหาจุดยืนของตัวเองและของร้าน เราเอาสิ่งที่เห็นแม่ทำที่ร้านแม่ มาใส่ในร้านเรา ให้ความรู้ อยากให้คนรู้จักชาจริงๆ ไม่ใช่กินเพราะเป็นเทรนด์ เราพยายามทำให้ร้านเรา เป็นตัวแทนของคนทำชาจริง ๆ ที่อยากถ่ายทอดความรู้ของชาและสร้างคุณค่าให้ชา

ตอนนี้เปิดมา 2 ปี เริ่มจับจุด หาลูกค้าของตัวเองได้แล้ว ตอนแรกเรามองว่าลูกค้าร้านเราเป็นนักท่องเที่ยว เพราะเราขายแพง คนที่นี่ไม่ยอมจ่าย แต่เปล่าเลย จริง ๆ คนที่นี่แหละ ที่มีใจรักชา เข้ามาแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน เลยมองว่าจริง ๆ แล้ว คนที่อยากมาอยู่เชียงราย ก็มาเลย มาลองอยู่เลย แล้วค่อย ๆ มองหาจังหวะของตัวเอง เราเชื่อว่า พื้นที่เชียงรายยังมีโอกาสอีกเยอะ เพียงแค่รอคนมาปั้น มาสร้าง

โอกาส มันมีแหละ เราแค่ต้องค่อย ๆ มองหา
ชิงชิง คนทำชา เจ้าของร้าน One Tea At A Time

จงรับผิดชอบความสุขของตัวเองประโยคนี้ของพ่อ ทำให้คุณบูกลับบ้าน...เชียงรายบูก็เหมือนคนทั่วไปล่ะค่ะ เรียนโรงเรียนในหมู่บ้าน...
21/02/2024

จงรับผิดชอบความสุขของตัวเอง
ประโยคนี้ของพ่อ ทำให้คุณบูกลับบ้าน...เชียงราย

บูก็เหมือนคนทั่วไปล่ะค่ะ เรียนโรงเรียนในหมู่บ้าน จบมัธยมในเมือง มันก็มี 2 ทางเลือก เรียนต่อที่นี่ หรือเข้ากรุงเทพฯ ไปเรียนมหาวิทยาลัย ตอนแรกเรามาสายคาราเต้ เราอยากจะไปเรียนที่ม.เกษตรฯ เพราะตอนนั้นมีอาจารย์ที่อยากเรียนด้วยมาก ๆ แล้วเราก็สมัครวิศวะคอมพิวเตอร์ที่ม.แม่ฟ้าหลวงด้วย สุดท้ายเราก็ได้เรียนที่ม.แม่ฟ้าหลวง

พอเรียนจบ เรายังไม่เห็นทางเลยว่าจะทำงานอะไรที่ใช่สำหรับเรา ก็เลยตัดสินใจไปทำงานที่กรุงเทพฯ ตอนเราบอกพ่อ พ่อไม่ได้ว่าอะไร พูดกับเราแค่ประโยคเดียวว่า “จงรับผิดชอบกับความสุขของตัวเองนะ” หลังจากนั้น เราจะทำอะไร ก็จะมีคำนี้อยู่ในหัวตลอด

เราเข้าไปทำเป็นวิศวกรคอมฯที่นึง ชีวิตเหมือนทั่วไป ออกจากบ้าน ทำงาน มีสังคมวัยรุ่น กิน เที่ยว เหมือนทั่วไปแหละ แล้วเราก็รู้สึกว่า เฮ่ย เราไม่ชอบชีวิตแบบนี้ ตอนนั้นก็เอาไงดี พอดีพ่อแม่โดนต่อหัวเสือต่อย แล้วพวกนี้มันมีพิษ เราก็เลยถือโอกาสนี้กลับมาอยู่เชียงรายแป๊บนึง แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เป็นอะไร เราก็เลยอยู่สักพัก แล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร กรุงเทพฯ ก็ไม่ตอบโจทย์ ก็เลยตัดสินใจไปต่างประเทศ ไป work and holiday ไปใช้ชีวิต ไปเจอโลก ก็แฮปปี้ มีความสุขดี

จนมาวันหนึ่งที่เรารู้สึกว่า เราต้องเลือกแล้วล่ะ จะอยู่ต่อต่างประเทศ หรือจะกลับมาอยู่บ้าน อยู่ต่างประเทศก็โอเคเลยนะ เราทำงาน มีเงินเที่ยว เงินเก็บ แต่บูคิดว่าเราต้องเลือกพื้นที่ที่จะใช้ชีวิตแล้วล่ะ เราก็เลยตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน

ตอนแรกกลับมา ที่บ้านมีที่ดินอยู่ เราก็เลยลองปลูกผักเลี้ยงไก่ สมัยนั้นบูมมาก เอาจริง ๆ มันก็เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมาแมวของเราได้นะ แต่มันเลี้ยงเราไม่ได้ เลยกลับมานั่งคิดว่าทำอะไรดีนะ ที่มันทำได้ตลอดปี มีเพื่อนบอกว่า ทำโกโก้สิ แค่นั้นเลย เราเลยลองทำ พอทำไป เริ่มเห็นแววดี เลยบินกลับไปที่ออสเตรเลีย เอาเงินเก็บ ไปลงคอร์สจริงจังเลย เรียนเรื่องโกโก้ และกลับมาพัฒนา โชคดีที่เราจบวิศวะ มันเลยทำให้เราเอาความรู้วิศวะมาจัดการเรื่องระบบกับโกโก้ เราเลยเห็นภาพว่าเราสามารถทำให้พื้นที่นี้เป็นตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำของโกโก้ได้เลย และเรายิ่งทำ เรายิ่งรู้สึกว่าชอบ แล้วอยากทำให้ดี นี่แหละอาชีพที่เรามองหา และก็รู้สึกว่าเราจัดการกับความสุขของเราได้”

- ลงมือทำและรับผิดชอบความสุขของตัวเอง -
คุณบู เจ้าของร้าน Boo Chocolate

ที่อยู่

Chiang Rai

เบอร์โทรศัพท์

+66853552226

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The People of Chiangraiผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The People of Chiangrai:

แชร์


ผู้จััดพิมพ์เผยแพร่ อื่นๆใน Chiang Rai

แสดงผลทั้งหมด