The Curious Club : ธุรกิจต้องสงสัย

The Curious Club : ธุรกิจต้องสงสัย ธุรกิจต้องสงสัย เพราะคำตอบจะเกิดขึ

05/09/2023

สุขสันต์วันเกิดคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) อายุครบ 93 ปีไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2023
วันนี้เราเลยรวบรวม 93 วาทะคลาสสิกจากคุณปู่บัฟเฟตต์ที่เป็นทั้งเกล็ดความรู้ คำเตือนสติ รวมไปถึงแนวทางการลงทุนและการใช้ชีวิตมาให้ทุกๆ คนอ่านกันครับ
1. กฎข้อแรกของการลงทุนคือ อย่าขาดทุน และกฎข้อที่สองของการลงทุน คือ อย่าลืมกฎข้อแรก
2. การกระจายความเสี่ยงคือการป้องกันความไม่รู้ สำหรับคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่มันไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่นัก
3. อย่าไปเครียดมากกับผลลัพธ์ประจำปี ไปโฟกัสที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 4-5 ปีแทนดีกว่า
4. เรื่องการลงทุนทั้งหมดก็คือการเลือกหุ้นที่ดีในเวลาที่ดี และอยู่กับมันไปเรื่อยๆ ตราบใดที่มันเป็นบริษัทที่ดีอยู่
5. ธุรกิจของอเมริกา และผลที่ตามมาก็คือตะกร้าหุ้นเหล่านั้น ค่อนข้างแน่นอนว่าจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
6. นักลงทุนควรทำประหนึ่งว่ามีการ์ดสำหรับใช้เพื่อตัดสินใจที่มีรูเจาะได้เพียง 20 ครั้งทั้งชีวิต
7. สิ่งสำคัญที่เราทำกับผู้จัดการโดยทั่วไปคือหาคนที่สามารถตีลูกเบสบอลโดนโดยเฉลี่ย .400 แล้วไม่ต้องบอกพวกเขาจะต้องเหวี่ยงไม้ยังไง
8. คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนคืออารมณ์ ไม่ใช่สติปัญญา
9. ผมไม่รู้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ราคามันจะขึ้นหรือจะลงแต่สิ่งที่แน่ ๆ ก็คือบิตคอยน์ ไม่ได้ผลิตอะไรเลย และไม่ว่ามันจะราคาเท่าไร ผมก็จะไม่ซื้อมัน เพราะมันไม่มีมูลค่าอะไร
10. ซื้อหุ้นเหมือนกับตอนที่จะซื้อบ้าน เข้าใจและชื่นชอบมันเพียงพอที่จะเป็นเจ้าของแม้จะไม่มีตลาดหุ้นแล้วก็ตาม
11. หลายปีข้างหน้าจะส่งผลให้ตลาดตกต่ำครั้งใหญ่เป็นครั้งคราว ถึงขั้นตื่นตระหนก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหุ้นเกือบทั้งหมด ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าความเลวร้ายนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด
12. ผมยืนยันที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่เกือบทุกวันเพื่อนั่งคิด นั่นไม่ใช่เรื่องปกติของธุรกิจอเมริกา
13. ซื้อบริษัทที่มีประวัติความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งและมีแฟรนไชส์ธุรกิจที่โดดเด่น
14. สำหรับนักลงทุน การซื้อหุ้นของบริษัทที่ยอดเยี่ยมในราคาที่สูงเกินไปสามารถลบล้างผลลัพธ์จากการพัฒนาธุรกิจที่น่าพึงพอใจในทศวรรษต่อมาได้เลย
15. ผมเชื่อในเรื่องการให้ลูกๆ มีเพียงพอที่พวกเขาทำอะไรก็ได้ แต่ไม่มากจนไปจนไม่ต้องทำอะไรเลย
16. โลกบ้าไปแล้ว สิ่งที่เราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์คือคนไม่ได้เรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย
17. กุญแจสำคัญในการลงทุนไม่ใช่การประเมินว่าอุตสาหกรรมจะส่งผลกระทบต่อสังคมมากน้อยเพียงใด หรือจะเติบโตมากเพียงใด แต่เป็นการประเมินความได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัทหนึ่ง และเหนือสิ่งอื่นใดคือความคงทนของข้อได้เปรียบนั้น
18. ในบรรดาข้อเสนอต่างๆ ที่คุณได้รับ หากคุณลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีต้นทุนต่ำมาก โดยที่คุณไม่ได้ใส่เงินเข้าไปทั้งหมดครั้งเดียว แต่เฉลี่ยไปเรื่อยๆ ในระยะเวลามากกว่า 10 ปี คุณจะทำได้ดีกว่า 90% ของคนอื่นเริ่มลงทุนไปพร้อมๆ กัน
19. อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตสูงมาก บางครั้งก็ 18% บางครั้งก็ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าผมยืมเงินด้วยดอกเบี้ย 18% หรือ 20% ผมถังแตกอย่างแน่นอน
20. เงินสดสำหรับธุรกิจก็เหมือนกับออกซิเจนของมนุษย์เรานี่แหละ เมื่อมีก็ไม่เคยคิดถึง เมื่อไม่มีกลับเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในหัว
21. อย่าไปจมอยู่กับสิ่งที่คนอื่นกำลังทำ การเป็นคนสวนทางก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่การเดินตามคนอื่นก็ไม่ใช่เช่นกัน คุณต้องแยกตัวเองออกจากอารมณ์ให้ได้
22. ตลอดเวลา 240 ปีที่ผ่านมา การเดิมพันสวนอเมริกาถือเป็นความผิดพลาด และตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะเริ่มทำแบบนั้น
23. ผมไม่เคยพยายามที่จะสร้างรายได้ในตลาดหุ้น ผมซื้อโดยคิดว่าตลาดจะปิดในวันพรุ่งนี้และไม่เปิดทำการอีกเลยเป็นเวลาห้าปี
24. ผมไม่มีความเห็นว่า (ทองคำ) จะไปอยู่ที่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมบอกคุณได้ก็คือ มันจะไม่ทำอะไรเลยระหว่างนี้ ยกเว้นนั่งมองคุณอยู่เฉยๆ ในขณะที่ Coca-Cola จะทำเงินได้ และผมก็คิดว่า Wells Fargo จะทำเงินได้มากมาย
25. ผมแค่นั่งอยู่ในออฟฟิศแล้วก็อ่านทั้งวันเลย
26. ผมไม่พูดเลยว่าถ้าผู้สมัครที่ผมเลือกไม่ชนะ และน่าจะครึ่งหนึ่งเลยที่พวกเขาไม่ชนะ ผมจะเก็บของกลับบ้านไม่ทำอะไรแล้ว
27. หากผลตอบแทนจะอยู่ที่ 7 หรือ 8 เปอร์เซ็นต์ และคุณจ่ายค่าธรรมเนียม 1 เปอร์เซ็นต์ มันจะสร้างความแตกต่างอย่างมากให้กับเงินที่คุณจะมีในวัยเกษียณเลย
28. เราต้องการผลิตภัณฑ์ที่คนใช้รู้สึกอยากจูบคุณแทนที่จะตบคุณ
29. ถ้าคุณไม่ได้คิดจะถือหุ้นในมือไป 10 ปี ก็อย่าคิดที่จะถือมันแม้แต่ 10 นาที
30. การลงทุนที่สำคัญที่สุดที่คุณจะทำได้คือการลงทุนในตัวเอง
31. ถ้าคุณซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่นานคุณก็จะต้องขายสิ่งที่จำเป็น
32. หากคุณรู้สึกไม่สบายใจที่จะประมาณการรายได้ในอนาคตของสินทรัพย์อย่างคร่าว ๆ ก็ลืมมันไปและไปต่อเถอะ
33. ถ้าคุณชอบที่จะใช้เวลาหกถึงแปดชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการลงทุนก็ทำเลย หากไม่ชอบก็ DCA ในกองทุนดัชนี
34. หากคุณอยู่ในกลุ่ม 1% ที่โชคดีที่สุดของมนุษยชาติ คุณเป็นหนี้มนุษยชาติที่จะต้องคิดถึงอีก 99% ที่เหลือ
35. หากคุณฉลาด คุณจะทำเงินได้มากมายโดยไม่ต้องกู้ยืม
36. ในศตวรรษที่ 20 สหรัฐอเมริกาอดทนผ่านสงครามโลกสองครั้งและความขัดแย้งทางทหารที่ราคาแพง ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่และความตื่นตระหนกทางการเงินนับสิบครั้ง วิกฤตการณ์น้ำมัน การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ และการลาออกของประธานาธิบดีที่น่าอับอาย แต่ดาวโจนส์เพิ่มขึ้นจาก 66 จุด เป็น 11,497 จุดได้
37. ตลอดระยะเวลา 54 ปีที่ (ชาร์ลี มังเกอร์และผม) ทำงานร่วมกัน เราไม่เคยมองข้ามโอกาสการลงทุนที่น่าดึงดูดเนื่องจากสภาพแวดล้อมระดับมหภาคหรือทางการเมือง หรือมุมมองของผู้อื่น จริงๆ แล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องเลยเมื่อเราตัดสินใจ
38. ในโลกธุรกิจ กระจกมองหลังจะชัดกว่ากระจกหน้ารถเสมอ
39. นักลงทุนควรจำไว้ว่าความตื่นเต้นและค่าใช้จ่ายเป็นศัตรูของพวกเขา
40. [ถือเป็นความผิดพลาดอันร้ายแรงสำหรับนักลงทุนมองระยะยาวในการวัด 'ความเสี่ยง' การลงทุนของตนด้วยอัตราส่วนพอร์ตหุ้นกู้ต่อหุ้น]
41. ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องอะไรพิเศษเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดา
42. มันอาจจะใช้เวลาถึง 20 ปีในการสร้างชื่อเสียง แต่ใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาทีในการทำลายมันลง ถ้าคุณคิดได้อย่างนี้ การกระทำของคุณก็จะต่างไปอย่างสิ้นเชิง
43. สิ่งหนึ่งที่ผมจะบอกคุณคือเงินสดเป็นการลงทุนที่แย่ที่สุดที่คุณสามารถมีได้ ทุกคนพูดว่าเงินสดคือราชาอะไรทำนองนั้น เงินสดจะมีค่าน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่ธุรกิจที่ดีจะมีมูลค่ามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
44. เป็นช่วงเวลาเหมาะสมสำหรับนักลงทุน บรรยากาศแห่งความกลัวคือเพื่อนที่ดีที่สุด ผู้ที่ลงทุนเฉพาะตอนที่นักวิจารณ์แชร์ทัศนคติดีๆ มักกลายเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมากเพื่อความมั่นใจที่ไร้ความหมาย
45. มันเป็นเรื่องที่ดีที่แวดล้อมตัวเองด้วยคนที่ดีกว่าคุณ เลือกเพื่อนร่วมงานที่มีพฤติกรรมที่ดีกว่าคุณแล้วคุณจะลอยไปในทิศทางนั้น
46. คุณแค่ทำสิ่งที่ถูกเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตก็พอ ตราบใดที่คุณไม่ทำสิ่งที่ผิดมากจนเกินไป
47. การซื้อบริษัทที่ยอดเยี่ยมในราคาเหมาะสม ดีกว่าการซื้อบริษัทที่โอเคในราคาที่ยอดเยี่ยม
48. เลือกดัชนีกว้างๆ เช่น S&P 500 แล้วอย่าใส่เงินของคุณทั้งหมดในคราวเดียว ทำไปเรื่อยๆ
49. ทำสิ่งต่างๆ ให้เรียบง่ายและหวือหวา เมื่อมีใครสัญญาว่าจะมอบกำไรอย่างรวดเร็ว ให้ตอบกลับว่า "ไม่" อย่างรวดเร็วเช่นกัน
50. ถ้าทำบริษัทขาดทุน ผมยังพอจะเข้าใจ แต่ถ้าทำบริษัทเสียชื่อเสียงแม้แต่น้อย ผมโหดแน่นอน
51. ทีมผู้บริหารจำนวนมากก็แค่ตัดสินใจว่าจะซื้อ [บางอย่าง] X ล้านในช่วง X เดือน นั่นไม่ใช่วิธีการซื้อของ คุณซื้อเมื่อราคาขายต่ำกว่ามูลค่า ... ไม่ใช่สมการที่ซับซ้อนเลยในการพิจารณาว่าการซื้อหุ้นคืนนั้นจะเป็นประโยชน์หรือไม่
52. ความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ประสบความสำเร็จมากๆ ก็คือ คนที่ประสบความสำเร็จมากๆ จะปฏิเสธเกือบทุกอย่าง
53. คนส่วนใหญ่สนใจหุ้นเมื่อคนอื่นๆ สนใจ เวลาที่ควรจะสนใจคือตอนที่ไม่มีใครสนใจ คุณไม่สามารถซื้อสิ่งที่เป็นที่นิยมและทำผลตอบแทนได้ดีหรอก
54. อย่าลงทุนในธุรกิจที่คุณไม่เข้าใจ
55. แบรนด์ระดับพรีเมียมของคุณต้องเสนอบางอย่างที่พิเศษแหละ ไม่เช่นนั้นก็ขายไม่ได้
56. คุณสามารถเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเศรษฐกิจในอนาคตได้ดีที่สุดโดยลงทุนด้านการศึกษาของตัวเอง หากคุณตั้งใจเรียนและเรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย คุณจะอยู่ในจุดที่ดีที่สุดในการสร้างความปลอดภัยให้กับอนาคตของตัวเอง
57. สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในหลุมคือหยุดขุดหลุมให้ลึกไปกว่าเดิม
58. สิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยได้คือจดเหตุผลที่คุณซื้อหุ้นก่อนตัดสินใจซื้อ ลองเขียนว่า "ฉันกำลังซื้อหุ้น Microsoft ในราคา 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐเพราะว่า..." บังคับให้ตัวเองให้เขียนลงไป มันทำให้ความคิดและวินัยของคุณชัดเจนขึ้น
59. เมื่อน้ำลงเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าใครบ้างที่เปลือยกายว่ายน้ำ
60. โอกาสมีมาไม่บ่อยนัก เมื่อฝนตกเป็นทอง ให้เอาถังออกมารอง ไม่ใช่ปลอกนิ้วเย็บผ้า
61. ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย คุณค่าคือสิ่งที่คุณได้รับ
62. อ่านแบบนี้ 500 หน้าทุกวัน ความรู้ทำงานแบบนั้นแหละ มันสะสมเหมือนดอกเบี้ยทบต้น พวกคุณทุกคนสามารถทำได้ แต่ผมรับประกันได้ว่ามีไม่มากหรอกที่จะทำ
63. ความเสี่ยงมาจากการที่ไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่
64. ถ้าธุรกิจไปได้ดี ไม่นานราคาหุ้นก็จะตามมา
65. ในเมื่อผมไม่มีทางทำนายความเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างแม่นยำ ผมขอแนะนำให้คุณซื้อหุ้นของ Berkshire เฉพาะในกรณีที่คุณคิดว่าจะถือครองหุ้นเหล่านี้เป็นเวลาอย่างน้อยห้าปีเท่านั้น ผู้ที่แสวงหาผลกำไรระยะสั้นควรมองหาที่อื่น
66. ใครบางคนกำลังนั่งอยู่ใต้ร่มเงาในวันนี้ ก็เพราะใครบางคนได้ปลูกต้นไม้ต้นนี้ไว้เมื่อนานมาแล้ว
67. สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับเราคือเมื่อบริษัทที่ยิ่งใหญ่ประสบปัญหาชั่วคราว... เราต้องการซื้อพวกเขาเมื่อพวกเขาอยู่บนเตียงผ่าตัด
68. การเก็งกำไรเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดเมื่อดูง่ายที่สุด
69. โอกาสที่ดีที่สุดในการใช้เงินทุนคือเมื่อสิ่งต่างๆ ล่มสลาย
70. อยู่ห่างจากมัน [บิตคอยน์] โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นภาพลวงตา...ความคิดที่ว่ามันมีคุณค่าที่แท้จริงนั้นเป็นเรื่องตลกในความคิดของผม
71. ตลาดหุ้นเป็นเกม [เบสบอล] ที่ไม่สไตรค์เอาท์ คุณไม่จำเป็นต้องเหวี่ยงทุกไม้ รอจังหวะของคุณได้
72. มันไม่ใช่เรื่องผิดที่นักลงทุนที่ 'ไม่รู้อะไรเลย' รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย ปัญหาคือเมื่อคุณเป็นนักลงทุนที่ 'ไม่รู้อะไรเลย' แต่คุณคิดว่าคุณรู้อะไรบางอย่างมากกว่า
73. มูลค่าตลาดของพันธบัตรและหุ้นที่เราถืออยู่นั้นลดลงอย่างมากพร้อมกับตลาดทั่วไป เรื่องนี้ไม่รบกวนชาร์ลีและผมเลย แน่นอนว่าเราชอบราคาที่ลดลงหากเรามีเงินทุนเพื่อเพิ่มสถานะของเรา
74. ไม่ว่าจะพูดถึงถุงเท้าหรือหุ้น ผมชอบซื้อสินค้าคุณภาพที่ลดราคา
75. มีธุรกิจหลายประเภทที่ผมกับชาร์ลีไม่เข้าใจ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เราต้องอดหลับอดนอน มันแค่หมายความว่าเราก็ดูอันต่อไป และนั่นคือสิ่งที่นักลงทุนรายย่อยควรทำเช่นกัน
76. วอลสตรีท คือ ที่ที่เดียวที่คนขับรถโรลส์-รอยซ์ไปขอคำแนะนำจากคนที่ขึ้นรถไฟใต้ดิน
77. ผมจะไม่ยอมแลกการนอนไม่หลับทั้งคืนกับโอกาสในการทำกำไรเพิ่มขึ้น
78. เราจะปฏิเสธโอกาสที่น่าสนใจมากกว่าที่จะเลเวอเรจงบดุลของเรามากเกินไป
79. คุณค่าเพียงอย่างเดียวของนักพยากรณ์หุ้นคือการทำให้หมอดูดูดี
80. ชาร์ลีและผมยังคงเชื่อว่านักคาดการณ์ตลาดระยะสั้นนั้นเป็นพิษ และควรถูกขังไว้ในที่ปลอดภัย ห่างจากเด็กและจากผู้ใหญ่ที่ประพฤติตัวในตลาดเหมือนกับเด็กด้วย
81. สิ่งที่ฉลาดในราคาหนึ่งก็งี่เง่าได้ในอีกราคาหนึ่ง
82. ผมจะไม่พยายามกระโดดข้ามรั้วที่มีความสูง 7 ฟุต แต่ผมจะมองไปรอบๆแล้วหาที่ที่รั้วสูงแค่ 1 ฟูตแล้วเดินข้ามมัน
83. เมื่อสามารถซื้อหุ้นได้ต่ำกว่ามูลค่าธุรกิจ มันคือการใช้เงินสดที่น่าจะดีที่สุด
84. เมื่อเงินหลายล้านล้านดอลล่าร์ถูกจัดการโดยคนทำงานวอลสตรีทที่เก็บค่าธรรมเนียมสูง โดยปกติแล้วจะเป็นผู้จัดการเหล่านั้นแหละที่ได้ผลประโยชน์มหาศาล ไม่ใช่ลูกค้า
85. เมื่อเราเป็นเจ้าของบางส่วนของธุรกิจที่ยอดเยี่ยมและมีการบริหารจัดการที่โดดเด่น ระยะเวลาการถือครองที่เราชอบที่สุดคือตลอดไป
86. เมื่อคุณมีผู้จัดการที่มีความสามารถและคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมดูแลธุรกิจที่พวกเขาหลงใหล คุณจะสิบกว่าคนก็ได้ที่ทำงานให้กับคนและยังมีเวลางีบหลับยามบ่าย ในทางกลับกันหากคุณมีคนที่ทำงานให้คุณที่เป็นคนหลอกลวง ไร้ความสามารถ หรือไม่สนใจ แค่เพียงคนเดียว คุณจะรู้เลยว่ามันเป็นงานหนักเกินจะรับมือเลย
87. ความกลัวที่แผ่กระจายเป็นวงกว้างคือเพื่อนของนักลงทุน เพราะมันมาพร้อมกับของถูก
88. คุณไม่ได้ถูกหรือผิดเพราะคนอื่นไม่เห็นด้วยกับคุณ คุณถูกเพราะข้อมูลและเหตุผลของคุณถูกต้อง
89. คุณไม่สามารถยืมเงินได้ในอัตราดอกเบี้ย 18 หรือ 20 เปอร์เซ็นต์แล้วเอาชนะได้
90. คุณไม่สามารถมีลูกได้ภายในหนึ่งเดือนโดยทำให้ผู้หญิงเก้าคนตั้งท้อง
91. คุณอยากจะคบหากับคนประเภทที่คุณอยากจะเป็น คุณจะพาตัวเองไปอยู่ในจุดนั้นเอง และคนที่สำคัญที่สุดที่ว่านั้นคือ คู่ชีวิตของคุณ ผมไม่รู้จะอธิบายถึงความสำคัญนี้ยังไง แต่การแต่งงานกับคนที่ใช่ จะทำให้ชีวิตคุณแตกต่างไปเลยล่ะ
92. ผู้คนต่างต้องการเวลาของคุณ แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่คุณซื้อไม่ได้ ผมเองก็สามารถซื้อได้ทุกสิ่งที่ต้องการ แต่ผมซื้อเวลาไม่ได้เช่นกัน
93. ขนาดวงความสามารถของคุณไม่สำคัญมากเท่าไหร่นัก แต่การรู้ขอบเขตของมันต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ
#วอร์เรนบัฟเฟตต์ #วาทะ #การเงิน #วันเกิด #ประโยค #คำพูด

07/07/2023

🔑 3 เหตุผลที่ทำให้คุณเป็น ‘ผู้ถูกเลือกให้ผิดหวังทางด้านการเงิน’
‘สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ’ คำกล่าวที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ผลสำรวจจาก The Deloitte Global 2022 ที่ไปสอบถามกลุ่มตัวอย่าง เป็น คน Gen Y และ Gen Z จำนวนกว่า 23,220 คนทั่วโลก ซึ่งเป็นมนุษย์เงินเดือน ในจำนวนนี้มี คนไทย 300 คนรวมอยู่ด้วย พบว่า เกินครึ่งของกลุ่มตัวอย่าง ใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน และต่างกังวลว่าจะไม่มีเงินไปจ่ายบิลตอนสิ้นเดือน
คุณอาจจะรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้แปลกอะไรหรอก เมื่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น รายได้ที่ไม่ได้ขึ้นตามมา ช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคมนับวันยิ่งกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่คนที่มีเงินเดือนสูง ๆ ตอนนี้ก็ประสบปัญหาเดือนชนเดือนมากขึ้นเช่นกัน (อาจจะไม่ได้มากเท่ากับคนที่มีรายได้น้อย)
มีแบบสำรวจอีกชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจในปี 2020 ในอเมริกาที่พบว่าคนที่รายได้น้อย (ราว 15,000 เหรียญ/ปี) ประมาณ 40% เงินจะหมดก่อนสิ้นเดือน และที่น่าสนใจคือกลุ่มคนที่มีรายได้สูง (ราว 200,000 เหรียญ/ปี) ก็เงินหมดก่อนสิ้นเดือนกว่า 32% เลยทีเดียว
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคนที่เงินเดือนเยอะ ๆ ก็ใช้เงินแบบเดือนชนเดือนแทบไม่ต่างจากคนเงินเดือนน้อย ๆ เลย เพราะฉะนั้นรายได้อาจจะไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้เราถังแตกก่อนสิ้นเดือน เหตุผลมันอาจจะไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขในบัญชี แต่อยู่ที่สมองและพฤติกรรมการใช้จ่ายของเรามากกว่า
📝 ลองมาดู 3 เหตุผลที่ทำให้เราชักหน้าไม่ถึงหลัง กลายเป็นผู้ถูกเลือกให้ผิดหวังทางด้านการเงินอยู่ร่ำไป ไม่ว่ารายได้ของคุณจะมากหรือน้อยแค่ไหนกันดีกว่า
📌 1. คุณประเมินความฉลาดเรื่องการเงินของตัวเองสูงเกินไป
คุณคิดว่าตัวเองมีทักษะความรู้ในเรื่องการเงินมากแค่ไหน? ระหว่าง 1 (น้อยที่สุด) และ 6 (มากที่สุด)
หลังจากให้คะแนนตัวเองเรียบร้อยแล้ว ลองตอบคำถาม 6 ข้อข้างล่างนี้ครับ (ห้ามถามคนอื่นหรือใช้อากู๋ช่วยนะครับ)
1️⃣ ถ้าคุณมีเงินในบัญชี 100 บาท และได้ดอกเบี้ย 2% ต่อปี หลังจาก 5 ปีผ่านไปคุณจะมีเงินกี่บาท?
ก. มากกว่า 102 บาท
ข. น้อยกว่า 102 บาท
ค. 102 บาท พอดี
2️⃣ ให้จินตนาการว่าดอกเบี้ยสำหรับบัญชีสะสมทรัพย์คือ 1% ต่อปี และค่าเงินเฟ้อคือ 2% ต่อปี หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งปี เงินที่มีอยู่ในบัญชีจะสามารถซื้อของได้มากกว่าวันนี้, เท่ากับวันนี้ หรือ น้อยกว่าวันนี้
ก. มากกว่า
ข. เท่ากับ
ค. น้อยกว่า
3️⃣ ถ้าดอกเบี้ยขึ้น ส่วนใหญ่แล้วจะราคาตราสารหนี้จะเป็นยังไง?
ก. ขึ้น
ข. ลง
ค. เท่า ๆ เดิม
ง. มันเกี่ยวกันด้วยเหรอ?
4️⃣ สินเชื่อบ้านแบบ 15 ปีนั้นส่วนใหญ่รายเดือนจะสูงกว่าสินเชื่อบ้านแบบ 30 ปี แต่โดยรวมแล้วดอกเบี้ยที่จ่ายตลอดอายุสินเชื่อนั้นจะถูกกว่า?
ก.จริง
ข. ไม่จริง
5️⃣ การซื้อหุ้นของบริษัทเดียวมักให้ผลตอบแทนที่ปลอดภัยกว่ากองทุนรวมหุ้น?
ก. จริง
ข. ไม่จริง
6️⃣ สมมุติว่าคุณไปกู้หนี้มา 1,000 บาท และดอกเบี้ยต่อปีคือ 20% ทบต้นทุกปี ถ้าเราไม่จ่ายอะไรเลย เงินที่กู้มาจะเพิ่มเป็นสองเท่าในเวลากี่ปี?
ก. น้อยกว่า 2 ปี
ข. 2-4 ปี
ค. 5-9 ปี
ง. 10 ปีขึ้นไป
ตอนนี้ลองดูว่าตอบถูกกี่ข้อนะครับ 1=ก, 2=ค, 3=ข, 4=ก, 5=ข และ 6=ข ให้คะแนนตัวเองข้อละ 1 คะแนนครับ
คนมากกว่า 71% จะคิดว่าตัวเองนั้นมีทักษะความรู้เกี่ยวกับการเงินสูงมาก แต่พอตอบคำถาม 6 ข้อตรงนี้มีเพียง 1/3 เท่านั้นที่ตอบถูกหมดทุกข้อ ซึ่งทำให้เห็นว่าเราประเมินความฉลาดเรื่องการเงินของตัวเองสูงเกินไป
อันนี้เป็นเรื่องปกติครับ มันเป็นภาวะที่เรียกว่า “Dunning-Kruger Effect” คนที่ไม่รู้อะไรเลยมักจะประเมินความสามารถตัวเองสูงเกินไป ซึ่งไม่ว่าจะเรื่องไหนในชีวิต ทุกคนสามารถประสบเจอกับปัญหานี้ได้เช่นเดียวกัน ไม่เว้นเรื่องเงินด้วย บางทีเราคิดว่าเรารู้ดี แต่ที่จริงแล้วอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้
📌 2. เราไม่รู้ว่าเงินไปอยู่ไหนหมด
เวลาประสบปัญหาเรื่องเงิน คนมักจะคิดถึงวิธีหาเงินให้มากขึ้น ถ้ามีเงินมากขึ้นปัญหาก็หมดไปเองแหละ ซึ่งนั่นก็ถูกเพียงครึ่งเดียว เหมือนเราพยายามวิดน้ำเข้าถังที่มีรูรั่ว บางทีวิดเข้าไปเท่าไหร่ มันเต็มได้ยาก และเต็มได้ไม่นานก็หายไปอีกแล้ว
การหาเงินเพิ่มขึ้น ทำงานเสริม หรืออะไรต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่มันจะดีกว่าถ้าเราสามารถตัดค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปทำงานหาเงินให้มากขึ้นจะดีกว่า
เพื่อจะตัดค่าใช้จ่าย เราก็ต้องรู้ว่าเงินไปอยู่ที่ไหน นั่นก็หมายความถึงการทำบัญชีรายรับรายจ่าย จดเงินเข้าเงินออก เพื่อที่จะได้เห็นว่าเงินไปอยู่ตรงไหนบ้าง แล้วหลังจากนั้นก็ทำงบการเงินของตัวเองในแต่ละเดือน ว่าจะใช้จ่ายอะไรตรงไหนได้เท่าไหร่ ทำอย่างต่อเนื่องแล้วมันจะเห็นเลยว่ารูรั่วมันไปอยู่ตรงไหน แล้วเราจะตัดส่วนไหนที่ไม่จำเป็นออกไปได้บ้าง
เริ่มแบบนี้ก็ได้ครับ สมมุติว่าอยากจะประหยัดเงินสัก 1,000 บาทเดือน ก็ทำบัญชีก่อนว่าเดือนที่ผ่านมาเงินเข้าเงินออกไปตรงไหนเท่าไหร่บ้าง ใช้สูตร 50/30/20 เพื่อจัดแบ่งหมวดหมู่ของรายจ่ายที่จ่ายไปด้วย
50% ของรายได้สำหรับสิ่งที่จำเป็น (ค่าเช่าบ้าน, ค่าน้ำ, ค่าไฟ, อินเทอร์เน็ต ฯลฯ)
30% ของที่อยากได้ (สมาชิก Netflix, Disney+, ค่าสมาชิกยิมที่ไม่เคยใช้, ค่ากินข้าวนอกบ้าน ฯลฯ)
20% เก็บออม/จ่ายหนี้ (เงินฉุกเฉิน, ลงทุน จ่ายหนี้)
ถ้าจัดรายจ่ายทุกอย่างแล้วมันขาดเกินตรงไหนก็ต้องเริ่มปรับ ดูว่าเงินตรงไหนตัดได้บ้าง กาแฟเปลี่ยนร้านที่ถูกลงได้ไหม? กินข้าวนอกบ้านจำเป็นต้องทุกวันรึเปล่า? หรือสมาชิกยิมถ้าไม่ได้ใช้ก็ตัดก่อนก็ได้?​ พวกสตรีมมิ่งทั้งหลายถ้าเหลืออันเดียวพอไหม? ค่าเน็ตใช้แพลนที่ต่ำลงมาหน่อยได้รึเปล่า? ฯลฯ สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเงินเล็ก ๆ ในตัวมันเอง แต่พอรวมกันแล้วเยอะไม่น้อยเลยทีเดียวต่อเดือน อาจจะประหยัดมากกว่า 1,000 บาท ด้วยซ้ำ
📌 3. แรงกดดันทางสังคมและการเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ (บนโซเชียล)
เราทราบดีว่าโซเชียลมีเดียนั้นส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเราอย่างมากโดยที่ไม่รู้ตัว เราถูกกดดันจากคนรอบตัวที่ประสบความสำเร็จ (จริงบ้างไม่จริงบ้าง) เห็นคนนั้นไปเที่ยวยุโรป คนนี้ออกรถป้ายแดง คนนั้นทำธุรกิจร้อยล้าน คนนู้นสร้างบ้านใหม่พร้อมสระว่ายน้ำ ฯลฯ​ เราเห็นชีวิตคนอื่นที่สวยงาม (จริงบ้างไม่จริงบ้าง) ก็เริ่มเปรียบเทียบกับชีวิตของตัวเอง
จากที่มีความสุขดี พอเห็นคนอื่นมีความสุข ตัวเองกลับทุกข์เพราะดูเหมือนสุขไม่เท่าคนอื่นซะงั้น
การเปรียบเทียบคือโจรขโมยความสุขตัวฉกาจ เพราะเราไม่มีทางเอาชนะมันได้เลย
มีการทำแบบทดสอบครั้งหนึ่งที่พบว่า 90% ของ Gen Y บอกว่าการใช้โซเชียลมีเดียเหมือนเป็นการบังคับให้พวกเขาเปรียบเทียบความร่ำรวยและไลฟ์สไตล์กับคนอื่น ๆ ที่รู้จัก (Gen X บอก 71% และ Boomer บอก 54%) และแบบทดสอบอีกชิ้นก็พบว่า 57 ของ Gen Y นั้นซื้อของแบบ ‘ที่ไม่ได้วางแผนเอาไว้’ เพราะสิ่งที่เห็นบนโซเชียลมีเดียด้วย
เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า FOMO (Fear of Missing Out) มาแล้ว อาการของความรู้สึกที่ไม่อยากพลาดอะไรใหม่ ๆ หรือสิ่งที่เป็นเทรนด์ในเวลานั้นเพราะกลัวจะตามคนอื่นไม่ทัน
ที่จริงแล้วเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วในช่วงที่เริ่มมีโทรทัศน์ ช่วงแรก ๆ ตอนที่ยังไม่มีการขายกันอย่างกว้างขวาง บางเมืองมี บางเมืองไม่มี ปรากฏว่าเมืองไหนที่คนชั้นกลางที่สามารถซื้อโทรทัศน์มาดูได้ ก็จะเห็นภาพอันสวยงามอันสมบูรณ์แบบของคนที่มีเงิน กลายเป็นว่าคนที่มีทีวีเริ่มรู้สึกเศร้าและไม่มีความสุขกับชีวิต แต่สำหรับในเมืองที่ยังไม่มีทีวี คนชนชั้นกลางก็มีความสุขดีตามปกติ
กลุ่มที่มีทีวีที่บ้านรู้สึกว่าตัวเองขาดตกบกพร่องในชีวิต ไม่มีสิ่งที่ ‘ควรมี’ หรือ ‘ควรได้’ เมื่อเปรียบเทียบกับภาพที่ฉายบนทีวี ไม่เกี่ยวกับเรื่องฐานะทางบ้านหรือระดับรายได้เลย แต่เป็นการเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองในตอนนั้นกับสิ่งที่เห็นเท่านั้น
ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันเช่นเดียวกัน การเสพสื่อเยอะ ๆ ทำให้รู้สึกพึงพอใจในชีวิตลดลง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร วิธีหนึ่งที่จะช่วยตรงนี้ได้คือการกลับไปยังข้อที่สองแล้วถามตัวเองก่อนจะซื้อว่า
“นี่คือสิ่งที่จำเป็นหรือแค่อยากได้?” (ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอย่างหลัง)
แล้วถ้าถามแล้วยังอยากได้อยู่ทำยังไง?​ ให้รอวันสองวันเพื่อตัดสินใจอีกทีครับ เพราะอาการ FOMO จะเริ่มหายไปแล้ว สติจะกลับมามากขึ้น สุดท้ายอย่าลืมว่าเบื้องหลังภาพสวย ๆ บนโซเชียลมีเดียของคนอื่น อาจจะแอบซ่อนบางอย่างที่ไม่สวยงาม (หนี้ ภาระ ความรับผิดชอบ ความรู้สึกกังวลใจ ความเครียด ปัญหาสุขภาพ ครอบครัว สภาพจิต ฯลฯ) อยู่ก็ได้
เรารู้ว่าภาพในอินสตาแกรมเขาสวยก็จริง แต่เงินในบัญชีเขาสวยรึเปล่า? เราไม่รู้หรอก
แทนที่จะพยายามเลียนแบบชีวิตของคนอื่น ให้กลับมาโฟกัสกับสิ่งที่มอบคุณค่าให้กับตัวเองดีกว่า หรือถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน อยากหาตัวอย่างที่ดีในการใช้ชีวิตแบบมัธยัสถ์ ก็ลองตามอินฟลูเอนเซอร์ที่มีไลฟสไตล์แบบนั้นก็ได้เช่นกัน
#ผู้ถูกเลือกให้ผิดหวังทางด้านการเงิน #การเงินส่วนบุคคล #เก็บออม
[อ้างอิงในคอมเมนต์]

31/05/2023

สูตรคัดหุ้น Hybrid แบบ CANSLIM ผสานพื้นฐานหุ้น + เทคนิค เพื่อคัดหุ้นที่เติบโตต่อเนื่องจาก William J. O’Neil
ปัญหาหนึ่งของนักลงทุนในตลาดหุ้นไม่ว่ายุคสมัยไหนคือการคัดกรองหุ้นที่จะสร้างผลกำไรที่สวยงามให้กับเงินทุนที่ทุ่มลงไป และเราก็มักจะเจอคำถามหนึ่งเหมือนเป็นทางแยกที่นักลงทุนสักคนต้องเลือกว่าจะไปเป็นนักลงทุนทางเทคนิค (Technical) ที่เน้นเรื่องการพฤติกรรมราคาหุ้นและภาวะตลาดเป็นหลัก หรือจะเป็นทางพื้นฐาน (Fundamental) ที่ดูปัจจัยพื้นฐานของกิจการเป็นหลัก
วิลเลียม เจ. โอนีล (William J. O’Neil) ผู้ก่อตั้งสื่อหนังสือพิมพ์การลงทุน Investor’s Business Daily และหนึ่งในบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์มาวิเคราะห์หุ้นในยุคแรกๆ พยามยามแก้ไขปัญหานี้และสร้างกลยุทธ์ที่ผสมผสานระหว่างพื้นฐานหุ้นและเทคนิคเข้าด้วยกันขึ้นมาชื่อว่า “CAN SLIM” ซึ่งระบุคุณลักษณะ 7 ประการของหุ้นที่จะเป็นผู้ชนะในตลาดในช่วงที่กำลังจะมาถึง
โอนีลถือกำเนิดในปี 1933 เรียนจบด้านธุรกิจจาก Southern Methodist University ในปี 1955 และเริ่มลงทุนเต็มตัวในปี 1958 ในฐานะนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ Hayden, Stone & Company ซึ่งตรงนี้เองที่เขาได้เริ่มเรียนรู้เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์และกลายเป็นพื้นฐานในการสร้างกลยุทธ์การลงทุนของตัวเองขึ้นมา
ความสำเร็จครั้งใหญ่ของโอนีลเกิดขึ้นในปี 1962-1963 ที่เงินลงทุนจาก 5,000 เหรียญ กลายเป็น 200,000 เหรียญ หรือเติบโตกว่า 400% ภายในหนึ่งปี หลังจากนั้นเขาก็ออกมาก่อตั้งโบรกเกอร์ของตัวเองชื่อว่า William O’Neil & Co. ในปี 1963 และต่อมาเขาได้ก่อตั้งกองทุน O’Neil Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในปี 1967 สร้างผลตอบแทนได้มากถึง 116% (แต่หลังจากนั้นผลตอบแทนก็ไม่ได้สูงเท่าเดิมและหยุดไปในปี 1975)
ในปี 1984 โอนีล ก่อตั้ง Investor’s Business Daily สื่อหนังสือพิมพ์ที่เต็มไปด้วยกราฟและข้อมูลที่ใช้หลักการคัดหุ้นแบบ CAN SLIM (กลายเป็นสื่อดิจิตัลเต็มตัวในปี 2016) และเขียนหนังสือชื่อดังอย่าง “How to Make Money in Stocks: A Winning System in Good Times and Bad” (มีแปลไทยชื่อ ‘CAN SLIM คัดหุ้นชั้นยอด ด้วยระบบชั้นเยี่ยม’)
ในวันที่ 28 พฤษภาคม โอนีลเสียชีวิตด้วยวัย 90 ปี จากความชราภาพตามกาลเวลา แม้ช่วงหลังเราอาจจะไม่ได้เห็นผลงานของเขามากนัก แต่แนวคิดหลักการคัดหุ้นแบบ CAN SLIM ของเขาก็ยังทรงอิทธิพลและถูกนำมาใช้อยู่เป็นประจำ
สำหรับนักลงทุนคนไหนที่อยากรู้ว่าหุ้นตัวไหนเข้าข่ายบ้างสามารถเปิดแอปฯ Streaming ของตัวเองขึ้นมาได้ เข้าไปที่ “Menu -> Stock Screener -> CAN SLIM”
ตรงนี้จะบอกเลยว่ามีหุ้นตัวไหนที่ผ่านการคัดเลือกด้วยวิธีการของโอนีลบ้าง โดยใน Streaming อธิายเอาไว้ว่า “เป็นการค้นหาหุ้นที่มีผลประกอบการดีและมีอัตราเติบโตของกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Growth) อีกทั้งยังเป็นหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวของราคาเพิ่มขึ้นสูงกว่าภาวะตลาด”
แล้วหลักการคัดเลือกมีอะไรบ้าง (ตัวเลขตรงนี้อาจจะแตกต่างกับใน Streaming)
C = Current Earnings : ผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดกำไรเพิ่มขึ้น > 25% จากปีก่อนหน้า
A = Annual Earnings : เติบโตติดต่อกัน 3 ปี > 25% (ถ้าให้ดีก็ 5 ปี) และ ROE > 15%
N = New Product / Service / High : มีสินค้าใหม่ บริการใหม่ ที่แตกต่าง ที่ดันราคาขึ้นสูง
S = Supply & Demand : หุ้นขนาดเล็กที่มีปริมาณการซื้อขายสูงๆ ให้ดู Volume การซื้อขายว่าสูงขึ้นกว่าในอดีต หรือลองดูหุ้นที่มี Free Float ต่ำ มีรายย่อยถือไม่เยอะมาก เพื่อให้ราคายกเร็วมากขึ้น (ตรงนี้เข้าไปดูที่เว็บ set ได้ครับ)
L = Leader or Laggard : เลือกหุ้นผู้นำตลาดเท่านั้น ขึ้นได้เร็วกว่าคนอื่น ลงได้ช้ากว่าคนอื่น
I = Institutional Sponsorship : ต้องมีรายใหญ่อย่างกองทุนรวมหรือนักลงทุนสถาบันสนใจด้วย
M = Market Direction : ต้องใช้เทคนิคการดูเทรนด์ตลาดเข้ามาช่วยว่าเป็นขาขึ้น
แน่นอนว่ากลยุทธ์การลงทุนใดก็ตามมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคหรือพื้นฐานหรือแม้แต่การผสมผสานกันอย่าง CAN SLIM แต่สิ่งที่โอนีลได้สร้างขึ้นมานั้นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นสำหรับนักลงทุน
แม้จะไม่มีใครทราบว่าตลาดหุ้นจะไปทางไหน แต่อย่างน้อย ๆ ความรู้ที่โอนีลทิ้งไว้สำหรับคนรุ่นหลังก็ยังคงกำหนดแนวทางการลงทุนของคนรุ่นใหม่ ๆ ต่อไปอีกหลายปี
#วิลเลียมโอนีล #เทคนิคคัดหุ้น ังไง?
[อ้างอิงในคอมเมนต์]

30/05/2023

- แบบสำรวจขนาดใหญ่ระดับโลก ตัวอย่าง 22,000 คนจาก 44 ประเทศที่ทำโดย Deloitte หนึ่งในบริษัทที่ปรึกษา Big Four และหน่วยงานด้านการวิจัยสถานที่ทำงานพบว่ามากกว่าครึ่งของพนักงานกลุ่ม Gen Z & Millennial ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน
- เพื่อรับมือกับปัญหาทางการเงิน 46% ของคน Gen Z และ 37% ของ Millennial ต้องหางานเสริมหรืองานประจำอีกแห่งหนึ่ง
- ประเด็นเรื่องค่าครองชีพกลายเป็นสิ่งที่คนทั้งสองกลุ่มกังวลมากที่สุด ตามมาด้วยปัญหาการว่างงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- งานเสริมที่ได้รับความนิยมคือการขายของออนไลน์ แอปส่งของหรือขนส่ง งานศิลปะ และการเป็นอินฟูลเอนเซอร์
- เว็บไซต์ PYMNTS ผู้นำด้านข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับนวัตกรรมการชำระเงินรายงานว่า 64.4% ของผู้ใหญ่ในอเมริกานั้นไม่มีเงินเหลือเลยในบัญชีธนาคารเมื่อถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2022
- โดยเฉลี่ยแล้ว Gen Z และ Millennial มีเงินออมน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อน ซึ่งทำให้ต้องทำงานเสริมมากขึ้นเพื่อความมั่นคง
- ความกังวลเรื่องการเงิน รวมถึงเงินเดือนที่ต่ำและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ขัดขวางไม่ให้พนักงานรุ่นใหม่ขอเลื่อนตำแหน่ง หางานใหม่ และทำตามเป้าหมายส่วนตัว อย่างเช่นการเริ่มต้นครอบครัวหรือการซื้อบ้านหลังแรกของตัวเองด้วย

29/05/2023

ค่าจ้างขั้นต่ำของไทย ต่ำเกินไปจริงหรือไม่. : วิธีการกำหนด “ค่าจ้างขั้นต่ำ” อย่างไรให้เหมาะสม?
วันนี้จะมาชวนวิเคราะห์ว่าค่าจ้างขั้นต่ำของไทยนั้นต่ำเกินไปจริงหรือไม่ และวิธีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร
ค่าจ้างขั้นต่ำ ณ ปัจจุบัน อยู่ระหว่าง 328-354 บาทต่อวัน (แตกต่างกันไปตามพื้นที่) เป็นการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อเดือนตุลาคม 2565 โดยเพิ่มขึ้นจาก 313-336 บาทต่อวัน แต่หากย้อนกลับไปดูค่าจ้างปี 2561 จะพบว่ามีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 308-330 บาทต่อวัน
นั่นหมายถึงระหว่างปี 2561-2565 (ก่อนการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ในเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา) ค่าจ้างเพิ่มขึ้นเพียง 5-6 บาทต่อวัน (เพิ่มขึ้น 1.82%) จะเห็นว่าค่าจ้างขั้นต่ำแทบจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยในช่วงเวลา 5 ปี ในขณะที่ดัชนีราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นประมาณ 8%
แสดงว่า ก่อนเดือนตุลาคม 2565 การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการอยู่ประมาณ 6.18%
อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2565 ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 5.36% ช่วยทำให้ส่วนต่างระหว่างการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและการขึ้นของราคาสินค้าและบริการในประเทศ
=============
ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก รวมถึงไทย การพิจารณาว่าจะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำหรือไม่ ปรับเท่าไหร่ ในแต่ละปี เป็นการตกลงกันของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนนายจ้าง ผู้แทนลูกจ้าง และผู้แทนรัฐบาล
การปรับเปลี่ยนค่าจ้างที่ช้ากว่าราคาสินค้า ในทางเศรษฐศาสตร์ เราเรียกว่า Wage rigidity ค่ะ สภาพแบบนี้มักเจอในประเทศ ที่มีคณะกรรมการกำหนดค่าจ้างมีสัดส่วนลูกจ้างน้อยกว่านายจ้างและรัฐบาล และเป็นประเทศที่พึ่งพาแรงงานในการผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ (Labour-intensive production)
การปรับเปลี่ยนค่าจ้างขั้นต่ำ ควรเกิดขึ้นเป็นประจำ ด้วยความถี่ที่เหมาะสม มีระดับการเพิ่มขึ้นที่ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป ค่ะ
ทำไมการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละปีจึงเป็นเรื่องจำเป็น?
สำหรับประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อเป็นบวก โดยเฉพาะเมื่อมีอัตราการว่างงานต่ำ การขึ้นค่าจ้างจะทำให้ประชาชนมีรายได้ที่แท้จริงไม่ลดลงมากนัก มีรายได้เพียงพอต่อค่าครองชีพและมีเงินเหลือพอสำหรับการพัฒนาตนเองและดูแลครอบครัว และยังเป็นแรงจูงใจในการเข้าสู่ตลาดแรงงาน
ส่วนการจะปรับขึ้นเท่าไหร่นั้นต้องดูหลายๆ ปัจจัยประกอบกัน เพราะค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น ย่อมหมายถึง ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการทั้งภาคเอกชนและภาครัฐจะต้องสูงขึ้น และหากภาคเอกชนเลือกที่จะคงต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ ก็อาจต้องเลือกที่จะปลดลูกจ้าง ซึ่งจะทำให้มีจำนวนผู้ตกงานหรือว่างงานเพิ่มขึ้น ส่วนการปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้สูงขึ้นจะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่สัดส่วนการใช้แรงงานในการผลิต การใช้จ่ายของประชาชนผู้มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง
BUILK ทำการสำรวจจากโครงการก่อสร้างทั้งสิ้นกว่า 5,000 โครงการในปี 2563 พบว่ามีต้นทุนค่าแรงประมาณ 30% ของต้นทุนโครงการ
กลุ่มธุรกิจที่ใช้แรงงานจำนวนมาก ได้แก่ ธุรกิจภาคบริการ และเกษตรกรรม โดยแรงงานประมาณ 45% อยู่ในธุรกิจภาคบริการ และประมาณ 31% อยู่ในภาคเกษตรกรรม โดยกลุ่ม SME มีการใช้แรงงานในกระบวนการผลิตมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่
งบประมาณภาครัฐของไทยส่วนใหญ่เป็นงบในส่วนการดำเนินงาน ซึ่งรวมถึงเงินเดือนข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานกระทรวงสาธารณสุข การปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้สูงขึ้นก็หมายถึงงบในส่วนการดำเนินงานนี้จะต้องสูงขึ้นด้วย รายจ่ายรัฐบาลก็จะสูงขึ้น
=============
เมื่อมีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำที่มากเกินไปในการปรับค่าจ้างหนึ่งครั้ง เรามักจะพบว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ ราคาสินค้าในท้องตลาด หรือก็คือ อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น และเพื่อจัดการกับภาวะเงินเฟ้อที่มากเกินไป อัตราดอกเบี้ยนโยบายก็จะสูงขึ้นตามมา
ด้วยภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงในประเทศไทย และยังมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมาก รวมถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อระบบการผลิตและระบบการเงินของประเทศ
การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการทำให้การบริโภคลดลง นักท่องเที่ยวอาจหนีไปเที่ยวประเทศที่มีราคาสินค้าและบริการต่ำกว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้มีการลงทุนลดลง และเสี่ยงสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก
แม้ว่าการปรับค่าจ้างขึ้นนั้น อาจจะเกิดขึ้นเพียงปีเดียว แต่ผลกระทบของการขึ้นค่าจ้างต่ออัตราเงินเฟ้อนั้น มักเป็นแบบต่อเนื่อง เนื่องจากต้นทุนที่ขึ้นในเดือนนี้จะมีผลต่อราคาของสินค้าและบริการในเดือนหน้าหรือเดือนถัดๆ ไป และผลผลิตหรือสินค้าที่มีราคาสูงขึ้นนี้ก็คือวัตถุดิบของการผลิตสินค้าในรอบถัดไป ราคาสินค้าในรอบถัดๆ ไป ก็จะได้รับผลต่อเนื่องนี้ไปด้วย นั่นหมายถึงผลโดยรวมของการขึ้นค่าจ้างไม่ได้จำกัดอยู่เพียง 1 ปี และถ้าเศรษฐกิจของไทยไม่สามารถโตได้มากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ก็จะเริ่มเข้าสู่ภาวะอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการขยายตัวของผลผลิตต่ำกว่าการขยายตัวของกำลังซื้อ
ทางเศรษฐศาสตร์ เราเรียกปรากฎการณ์แบบนี้ว่า inertial inflation
การอัดฉีดเม็ดเงินเช้าระบบทางตรง (เช่น การให้เงินได้เปล่า) ที่มาพร้อมกับการเพิ่มรายได้ที่มากและรวดเร็วเกินไป (เช่น การยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ พร้อมกับการลดภาษีรายได้) >> อาจจะทำให้ระบบมีเม็ดเงินมากเกินไป ทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นเกินกว่าปริมาณการผลิตที่ผลิตได้ ประเทศก็จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจที่คล้ายกับประเทศในกลุ่มละตินอเมริกา ที่เกิดวิกฤตเงินเฟ้อ ตามด้วยวิกฤตค่าเงิน และวิกฤตเศรษฐกิจ
การดำเนินนโยบายการเงินการคลังจึงต้องมีคำว่า "สมดุล" ไม่ให้มีปริมาณเงินและการใช้จ่ายในระบบเพิ่มขึ้นมากเกินไป
=======
ทั้งนี้ ประเทศไทยอาจเลียนแบบการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มยุโรป ด้วยการปรับอัตราค่าจ้างตามอัตราเงินเฟ้อทุกปี เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่เท่ากับต้นทุนค่าครองชีพที่สูงขึ้น และยังช่วยลดผลกระทบของการขึ้นค่าจ้างต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภาวะเงินเฟ้อรุนแรงและกระทบต่อการเติบโตของประเทศ
==========
ดร. นงนุช ตันติสันติวงศ์ (เพจ : https://www.facebook.com/Dr.Nuch)
Visiting Academic
School of Electronics and Computer Science
University of Southampton, UK
==========
#ค่าแรงขั้นต่ำ #นงนุชตันติสันติวงศ์ #ค่าแรง450 #เศรษฐศาสตร์ #เงินเฟ้อ

23/05/2023

‘งบประมาณฐานศูนย์’ หนึ่งใน MOU ของ “รัฐบาลก้าวไกล” คืออะไร? Jimmy Carter อดีตประธานาธิบดีสหรัฐก็เคยใช้ แต่ก็ไม่ได้มีแต่ข้อดี
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังวางแผนงบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัวในปีถัดไป
คุณก็คงเริ่มจากลิสต์รายการของค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คาดเดาว่าส่วนไหนต้องใช้เงินเท่าไหร่ หลังจากนั้นก็จัดลำดับความสำคัญว่าอันไหนควรมาก่อนมาหลัง อย่างเช่นจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่างวดรถ ค่าอาหาร น้ำมัน และค่าน้ำค่าไฟ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น หลังจากนั้นก็จะมีพวกค่าใช้จ่ายอย่างไปทานอาหารข้างนอก ของที่อยากได้ หรือเก็บเอาไว้สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือไปเที่ยววันหยุด ประมาณนั้น
เราสามารถใช้หลักการเดียวกันนี้เพื่อจัดเตรียมงบสำหรับการทำงานในทีม แผนก หรือองค์กร เพื่อควบคุมและเพิ่มประสิทธิภาพของเงินที่จะใช้จ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลักการนี้เรียกว่า ‘งบประมาณฐานศูนย์’ (zero-based budgeting หรือ ZBB) เป็นกระบวนการตรวจสอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดใหม่ของคุณจาก ‘จุดเริ่มต้น’ (ฐานศูนย์) แทนที่จะย้อนกลับไปดูงบประมาณจากปีก่อนแล้วก็เพิ่มเติมเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา (Incremental Budgeting)
ที่จริงแล้วหลักการเรื่องงบฯฐานศูนย์ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร จิมมี คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐในปี 1976 เคยกล่าวเอาไว้ระหว่างหาเสียงว่า
“ถ้าผมได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี… จะจัดทำงบประมาณฐานศูนย์ซึ่งจะประเมินทุกโปรแกรมทุกปี และกำจัดโปรแกรมที่ล้าสมัยออกไป”
สมัยที่เป็นผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย คาร์เตอร์พอใจกับวิธีจัดทำงบประมาณฐานศูนย์อย่างมาก จึงอยากจะนำเข้ามาใช้ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย แม้ว่าโดยหลักการแล้วมันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นได้ แต่ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่กลายเป็นจุดอ่อน สุดท้ายหลักการนี้จะถูกทิ้งไปในปี 1981
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าแนวคิดนี้จะเป็นไปไม่ได้ เพราะช่วงที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นทั้งบริษัทเอกชนใหญ่หลายแห่งอย่าง Coca-Cola, Honeywell, Coty, Uniliver, Hershey, GM, Kraft Heinz, Kellogg หรือ Mondelez เริ่มกลับมาให้ความสนใจวิธีจัดการงบประมาณแบบนี้อีกครั้ง หรือภาครัฐก็เริ่มมีเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องรัดเข็มขัดเรื่องการเงินหรือสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมไม่ค่อยดี อาจจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ ยืดหยุ่นให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นและลดจุดอ่อนลง แต่โดยพื้นฐานแล้วก็ยังเป็นการทำงบประมาณฐานศูนย์อยู่
สำหรับบ้านเราเรื่องนี้กลายเป็นที่สนใจของหลาย ๆ คนเพราะมันเป็นหนึ่งในข้อตกลง MOU ของ “รัฐบาลก้าวไกล” ตามที่ตกลงเซ็นสัญญาร่วมกันเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2023 และถึงแม้มันจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในประเทศไทยก็ยังไม่เคยมีการจัดทำงบประมาณแบบนี้มาก่อน เพราะฉะนั้นลองมาดูกันครับว่าข้อดีข้อเสียมีอะไรบ้าง และมันจะเข้ามาแก้ปัญหาได้จริง ๆ ไหม
#งบประมาณฐานศูนย์_(Zero-based_budgeting)_คืออะไร?
การจัดทำงบประมาณ ไม่ว่าจะเป็นในครัวเรือน ทีม องค์กร หรือแม้แต่รัฐบาล เป้าหมายหลักก็คือการควบคุมการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพสูงสุดทุกบาท

ซึ่งวิธีที่เราหลายคนอาจจะเคยทำสำหรับส่วนตัวก็คือการมองย้อนกลับไปในปีก่อนว่าใช้จ่ายอะไรบ้าง แล้วหลังจากนั้นก็เพิ่มหรือลดเงินตามสิ่งที่คิดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
ยกตัวอย่างเช่นเราอาจจะคิดว่าค่าน้ำมันรถที่จะต้องใช้ในอนาคตจะเหมือนเดิม แต่ด้วยราคาน้ำมันที่ลดลงเราจะลดงบประมาณจากปีก่อนลงเพื่อให้ตรงกับราคาที่ลดลงไปด้วย โดยมีสมมติฐานพื้นฐานคือเราจะใช้รถยนต์ในระดับเดียวกับที่ใช้เมื่อปีที่แล้วโดยมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการจัดทำงบประมาณแบบเพิ่มเติมเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา (Incremental Budgeting) ซึ่งก็ถูกใช้กันกว้างขวางทั้งในธุรกิจและรัฐบาลต่าง ๆ เพราะมันเป็นระบบที่ตรงไปตรงมา ง่ายที่จะเข้าใจได้ แต่มันก็มีปัญหาด้วยเช่นกัน
อย่างแรกเลยคืองบประมาณแบบนี้จะมาจากบนลงล่าง (Top-Down) ระดับบนจะเป็นคนกำหนดโครงการ แต่ระดับล่างที่ดูแลโครงการไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้เนื่องจากไม่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง เกิดเป็นช่องว่างที่ใช้งบไม่หมด ต้องเร่งระบายงบ (บางคนเรียกว่า ‘งบล้างท่อ’) นำไปสู่การใช้งบประมาณแบบผิด ๆ เพราะงบกับความต้องการไม่สมดุลกันอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นงบประมาณแบบนี้จะมาพร้อมกับหลักคิด “ไม่ใช้ก็ศูนย์” คือถ้าใช้ไม่หมด ปีหน้าอาจจะถูกตัดงบได้ กลายเป็นการใช้งบไปกับงานที่ไม่ได้สำคัญ โปรเจกต์ที่ไม่มีคุณภาพ ก่อให้เกิดโอกาสทุจริตคอร์รัปชัน และที่สำคัญคือเป็นรายจ่ายของรัฐที่ไม่จำเป็นเลย
สำหรับงบประมาณฐานศูนย์ ซึ่งต้นกำเนิดของวิธีจัดทำงบประมาณเช่นว่านี้มาจากแนวคิดของ พีท ไฟร์ (Pete Pyhrr) พนักงานบริษัทเท็กซัส อินสตรูเม้นท์ (Texas Instrument) ในรัฐเท็กซัสในช่วงปี 60’s เขาเสนอว่า การทำงบประมาณฐานศูนย์คือไม่มีข้อสันนิษฐานอะไรเลย ทุกอย่างเหมือนล้างกระดานใหม่ทั้งหมด ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมการใช้จ่ายโดยการตั้งคำถามถึงคุณค่าของสิ่งที่จะทำทั้งหมด วัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแต่ละโปรเจกต์ และกำจัดอันไหนก็ตามไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความจำเป็นเพียงพอ
เพราะฉะนั้นสำหรับงบฯฐานศูนย์แล้ว เมื่อเริ่มตั้งงบประมาณ ทุกอย่างจะเริ่มใหม่ทั้งหมด เป็นการตั้งงบแบบล่างขึ้นบน (Bottom-Up) หรือข้าราชการระดับล่างเป็นผู้ทำและเสนอโครงการขึ้นไป ให้ระดับบนพิจารณาเพื่อตั้งงบประมาณสำหรับปีถัดไป และผ่านการตรวจสอบทุกปีเพื่อพิจารณาว่าวัตถุประสงค์และจำนวนค่าใช้จ่ายเหมาะสมหรือไม่
ถ้าเอามาใช้กับงบของครอบครัวเรื่องค่าน้ำมัน แทนที่จะปรับงบลดลงนิดหน่อยตามราคาน้ำมันที่ลดลง เราจะเริ่มโดยการตั้งคำถามว่าต้องขับรถไปทำงานรึเปล่า? แล้วเริ่มตั้งงบจากตรงนั้นเลยนั่นเองครับ
เมื่อรัฐอนุมัติแล้ว เงินงบประมาณจะถูกนำไปใช้ตามความต้องการอย่างแท้จริง ไม่เกิดปัญหางบเหลือแล้วเอาไปใช้ในโครงการที่ไม่อยู่ในแผน ไม่มีปัญหาเรื่องงบค้างท่อเมื่อเงินไม่เหลือ ลดการทุจริตและทราบที่มาที่ไป โปร่งใส ลดต้นทุน เป็นประโยชน์กับทั้งรัฐบาลและประชาชนด้วย
มันเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการลดงบประมาณหรือจำกัดการเพิ่มงบประมาณ และสามารถเปลี่ยนทรัพยากร ให้ข้อมูลและเหตุผลเพิ่มเติมที่เชื่อถือได้เพื่อสนับสนุนคำของบประมาณในแต่ละส่วน แต่ก็ต้องเข้าใจว่ามันไม่ใช่ยาครอบจักรวาลถ้าเกิดปัญหาอยู่ที่การจัดการ แต่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการจัดทำงบประมาณเมื่อมีการนำไปใช้และดำเนินการอย่างเหมาะสม
ซึ่งในปัจจุบันที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย แนวคิดงบฯฐานศูนย์จึงเริ่มมีการพูดถึงและถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่งในหลาย ๆ ภาคส่วน และสามารถช่วยแก้ปัญหาการใช้จ่ายเกินตัวในโครงการต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผลประโยชน์ต่อประชาชนผู้เสียภาษีด้วย
เมื่อใช้ในรัฐบาล การจัดทำงบประมาณฐานศูนย์แบบนี้จะมีการกำหนดให้ทุกโปรเจกต์ หน่วยงาน และแผนกต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าทุกงานและทุกค่าใช้จ่ายทุกปีนั้นมีความจำเป็น โดยไม่มีหลักคิด “ไม่ใช้ก็ศูนย์” และไม่มีแรงจูงใจที่จะใช้งบประมาณของปีที่แล้วเพื่อหาวิธีที่จะได้รับงบมากขึ้นในปีหน้า
#มันไม่ใช่เรื่องใหม่และก็ไม่ได้ดีไปทั้งหมด
อย่างที่บอกไปครับว่าวิธีการนี้มีมานานแล้วตั้งแต่ 70’s และอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์ก็เคยใช้มาแล้ว
สมัยที่เป็นผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย คาร์เตอร์ใช้วิธีนี้แล้วได้ผลเป็นอย่างดี แต่พอมาระดับรัฐบาลกลางด้วยขนาดและจำนวนคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ขั้นตอนจึงซับซ้อนและเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีข้อมูลและเอกสารจำนวนมหาศาล แต่ละหน่วยงานภายในรัฐบาลจำเป็นต้องระบุ “หน่วยการตัดสินใจ” ตามตรรกะภายในงบประมาณของตน จากนั้นแต่ละหน่วยจะสร้าง “แพ็กเกจการตัดสินใจ” ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายที่เสนอพร้อมกับวิธีการวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผล
แพ็กเกจนี้ก็จะมีคำของบประมาณของหน่วยงาน ซึ่งต้องทำในระดับเงินทุนที่แตกต่างกันสี่ระดับ ตั้งแต่ขั้นต่ำที่จำเป็นเพื่อให้โปรแกรมไปต่อ ไปจนถึงระดับที่สูงพอที่จะพัฒนาให้ดีมากขึ้น จากนั้นแพ็คเกจการตัดสินใจทั้งหมดที่อยู่ในการควบคุมของผู้จัดการจะได้รับการจัดอันดับและส่งต่อขึ้นไปในระดับบริหารเพื่อการตรวจสอบ การแก้ไข และการจัดลำดับความสำคัญเพิ่มเติม
ด้วยความยุ่งยากและใช้เวลามหาศาลกว่าจะจัดงบกันได้สุดท้ายเมื่อประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน (Ronald Reagan) เข้ารับตำแหน่งวิธีการนี้ก็ถูกยกเลิกไป
นอกเหนือจากปัญหาเรื่องเวลาและความซับซ้อนแล้ว เนื่องจากการจัดงบฯฐานศูนย์จำเป็นต้องเริ่มใหม่ทุกปี มันจึงกลายเป็นการโฟกัสไปยังโครงการระยะสั้นและยากต่อการนำไปใช้กับการตัดสินใจระยะยาวที่ต่อเนื่องของรัฐบาล เช่น โครงการการศึกษาและสิทธิต่างๆ อีกทั้งยังก่อให้เกิดการแข่งขันและความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในเรื่องการจัดสรรทรัพยากรอีกด้วย
สิ่งที่สำคัญที่สุด แม้ว่าจะมีหน่วยการตัดสินใจ แพ็กเกจ และเหตุผลประกอบทั้งหมดแล้ว สุดท้ายคนที่เคาะก็คือระดับบนอยู่ดีว่าจะเก็บหรือตัดส่วนไหนบ้าง ไม่ว่าจะใช้กระบวนการจัดทำงบประมาณแบบใด การตัดสินใจตรงนี้ก็อาจจะมีแรงกดดันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้สนับสนุน ประชาชน และส่วนอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แต่ถึงยังไงก็ตาม แนวคิดเรื่องการทำงบประมาณฐานศูนย์ก็ยังมีคนนำมาปรับใช้อยู่เรื่อย ๆ บางที่ใช้การจัดงบฯฐานศูนย์ในส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งใช้ระบบงบประมาณแบบเพิ่มเติม ยกตัวอย่างเช่นหน่วยงานหนึ่งอาจจะได้งบ 80% ของปีก่อน ส่วนที่เหลือก็ใช้หลักการงบประมาณฐานศูนย์เพื่อชี้แจงว่าทำไมถึงต้องการเงินเพิ่ม หรืออีกแนวคิดหนึ่งคือการใช้งบประมาณฐานศูนย์เป็นช่วงปี แต่ไม่ต้องทุกปีแทน
#งบประมาณฐานศูนย์จะเป็นยังไงต่อไป?
ในการทำแบบสำรวจในบริษัทเอกชนอย่าง Coca-Cola, Kellogg, Campbell Soup, ConAgra, Boston Scientific และ Tribune Publishing ที่บอกว่าหลังจากลองใช้งบประมาณฐานศูนย์แล้วค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลดลงไป 1.6% - 3.5% ซึ่งสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ก็ถือว่าเป็นเงินไม่น้อย
แม้ว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตและข้อเสียของแนวคิดนี้ก็มีไม่น้อย แต่มันก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับความต้องการที่จะปลดล็อกกระบวนการจัดทำงบประมาณของรัฐบาลจากสมมติฐานเดิม ๆ และไม่ให้การใช้จ่ายในอดีตควบคุมสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แต่ก็อย่างที่กล่าวไปทั้งหมดแล้วแนวคิดนี้ก็ยังถือว่าซับซ้อนและใช้เวลาค่อนข้างเยอะ ข้อเสนอใน MOU ของ “รัฐบาลก้าวไกล” จะยังต้องมีการจัดเตรียมเรื่องนี้ให้ดี พยายามปิดข้อด้อยที่เคยเกิดขึ้นในอดีต วิเคราะห์อย่างรอบคอบว่าผลประโยชน์ที่ได้จะคุ้มค่ากับต้นทุนหรือไม่
อย่างล่าสุด นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก็ออกมาบอกเหมือนกันว่ามันมีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีก็คือสะท้อนงบในอนาคต แต่ข้อเสียคือต้องใช้ข้อมูลมหาศาล ต้องมีการเตรียมพร้อมกับทุกหน่วย ระบบค่อนข้างใหญ่ หน่วยงานราชการกลาง สถานศึกษา พยาบาล ฯลฯ ซึ่งปี 2024 อาจจะยังทำไม่ได้ แต่ปี 2025-2026 อาจจะเป็นไปได้ และอาจจะเหมาะสมกว่าถ้าเป็นรอบทุก ๆ 5 ปี แทนที่จะเป็นทุกปีแทน และทุกฝ่ายต้องพร้อมกันด้วย
นายสมชัย ศรีสุทธิยา ประธานยุทธศาสตร์และนโยบาย พรรคเสรีรวมไทย ฐานะนักวิชาการศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต ก็เน้นย้ำเรื่องนี้ว่าเขาเองก็สนับสนุนเรื่องงบประมาณฐานศูนย์ โดยกล่าวว่า
“ZBB. เป็นการพิจารณางบประมาณแบบฐานศูนย์ พิจารณาตั้งแต่บาทแรกของการตั้งงบประมาณของหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงาน คือ การรื้อระบบงบประมาณใหม่ โดยหน่วยราชการต้องชี้แจงความมีเหตุผลของงบประมาณที่เคยได้รับในอดีต ว่า มีความจำเป็นอย่างไร จึงจะได้งบในอนาคต ไม่ใช่ว่า เคยได้ ก็ต้องได้ต่อไป”
“อย่างไรก็ตาม ในเชิงประสบการณ์ของต่างประเทศ ZBB. ควรเป็นนโยบายที่มาใช้ทุก 5 ปี หรือ 10 ปี เพื่อทบทวนใหญ่ มากกว่าที่จะใช้ต่อเนื่องทุกปี มิเช่นนั้น เวลาที่ใช้ในการทำงบประมาณอาจจะยาวกว่าเวลาที่ใช้งบประมาณ”
#สรุป
โดยสรุปแล้ว แม้งบประมาณฐานศูนย์จะส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการใช้จ่ายของภาครัฐ แต่ก็มีข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น เช่น งานเอกสารและข้อมูลที่ต้องจัดเตรียม ใช้ทั้งทรัพยากรคนและเวลามหาศาล การมองข้ามบริการที่จำเป็น ความผิดพลาดในการตั้งงบประมาณ หรือความยากลำบากในการประเมินผลประโยชน์ที่ไม่เป็นตัวเงิน แต่อย่างไรก็ตามในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ปัญหาเรื่องงบล้างท่อ การใช้งบประมาณที่ผิด ทุจริตคอร์รัปชัน จนประเด็นเรื่องโปร่งใสของการใช้งบถือเป็นเรื่องสำคัญ งบประมาณฐานศูนย์อาจจะเป็นคำตอบก็ได้
การจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพผ่านกระบวนการจัดทำงบประมาณที่ดีนั้นมีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร การใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันการมีส่วนร่วมของคนที่ตั้งงบประมาณจากข้างล่างก็จะช่วยสนับสนุนเหตุผลที่น่าเชื่อถือในคำของบประมาณด้วย แต่ปัจจัยทางการเมืองยังมีบทบาทในกระบวนการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อการจัดสรรทรัพยากรและกระบวนการทบทวนนโยบายอยู่เสมอ
ในขณะที่เรากำลังก้าวไปสู่อนาคตที่ไม่แน่นอนซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพของบริการสาธารณะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ การจัดทำงบประมาณฐานศูนย์อาจเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากขึ้นในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการใช้จ่ายสาธารณะในทุกระดับของทุกส่วนในรัฐบาล
ประการสุดท้ายและที่สำคัญที่สุด รัฐบาลเองก็ต้องมั่นคง อดทนต่อแรงกดดันทางการเมืองและเคารพผลลัพธ์ของกระบวนการจัดทำงบประมาณด้วย เพราะหากท้ายที่สุดแล้วเจอกดดันแล้วทำได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ มันก็ไม่สำคัญหรอกว่ารัฐบาลจะใช้วิธีจัดงบประมาณฐานศูนย์หรืออะไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจจะเป็นศูนย์ด้วยเช่นกัน
#งบประมาณฐานศูนย์ #งบฯฐานศูนย์ #รัฐบาลก้าวไกล
[อ้างอิงในคอมเมนต์]

ที่อยู่

Chiang Mai
50230

เบอร์โทรศัพท์

+66981919698

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Curious Club : ธุรกิจต้องสงสัยผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The Curious Club : ธุรกิจต้องสงสัย:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์