เริ่มซักที

เริ่มซักที หนังสือดี โค้ชดี..คำแนะนำดีแค่ไหน
ถ้าไม่เริ่มทำสักที..ก็ไม่เกิดผลลัพธ์
(1)

ไม่ควรต้องมีใครมาลำบากไปกับเราแต่ถ้าใครยังอยู่กับเราในวันที่ยากลำบาก"จงรักษาเขาไว้ให้ดี"เพราะนั่นอาจจะเป็ฯของขวัญที่ดีที...
12/12/2024

ไม่ควรต้องมีใครมาลำบากไปกับเรา
แต่ถ้าใครยังอยู่กับเราในวันที่ยากลำบาก
"จงรักษาเขาไว้ให้ดี"
เพราะนั่นอาจจะเป็ฯของขวัญที่ดีที่สุด ที่เราเคยได้รับแล้ว
เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากหรอก
แต่บางครั้งความสามารถที่มี มันก็ยากที่เรารับเอาอยู่
นอกจากจะต้องฝืนปลุกกำลังใจให้ตัวเองแล้ว
บางครั้งก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะผ่านแต่ละวันไปยังไง
ถ้าวันนี้ยังมีคนแบบข้อความในภาพบนโพสต์อยู่
จงดูแลกันและกันให้ดี เพราะไม่รู้ว่าในช่วงชีวิตนี้จะได้เจอคนคนนี้อีกไหม
อย่างน้อยเราคงไม่ปล่อยให้ตัวเองกลับไปลำบากแบบนั้นอีก
ถึงความลำบากที่ผ่านมาแล้วต้องสูญเสียอะไรไปมาก
แต่ก็ยังได้รู้จักคนดีๆที่อยู่กับเราในช่วงเวลานั้น
"จงรักษาเขาไว้ให้ดี"

"เอาไว้ก่อน ยังไม่มีเวลา"วันนี้ผมกลับมาเขียนเทคนิคนี้อีกครั้งจากครั้งแรกที่เคยเขียนเรื่องนี้เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วแล้วก็ย...
11/12/2024

"เอาไว้ก่อน ยังไม่มีเวลา"
วันนี้ผมกลับมาเขียนเทคนิคนี้อีกครั้ง
จากครั้งแรกที่เคยเขียนเรื่องนี้เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว
แล้วก็ยังยืนยัน (นั่งยัน นอนยัน) ว่าเป็นวิธีที่ผมมองเวลาในแต่ละวัน
คำพูดที่ได้ยินบ่อยมากตอนทำงานประจำ
และตัวเองก็ใช้คำพูดนี้บ่อยเช่นกัน พอพูดนานเข้าๆ
จนติดปากและกลายเป็นความชิน ก็เริ่มที่จะ เอะ ใจแล้วว่า
ทำไม เรามีเวลาดูหนัง ฟังเพลง ที่เราชอบ
เราหาเวลาให้กิจกรรมนี้ได้เสมอ
แต่พอบางกิจกรรมที่รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเร่งรีบทำมัน
กลับตอบโต้มันด้วยคำว่า "ไม่มีเวลา"

หลังจากนั้นจึงเริ่มที่จะลงมือวางแผนประจำวันดู
โดยเอาเวลาทำงานซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้มาเป็นตัวตั้ง
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน
โดยเริ่มตั้งแต่ 08.00-17.00 น.
แยกเวลาพักเที่ยงออก 1 ชั่วโมง

ตอนนี้เราใช้เวลาทำงานไปแล้ว 8 ชั่วโมง
ต่อมาเวลาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ
เวลานอนหลับพักผ่อนซึ่งโดยมากจะใช้ที่ 8 ชั่วโมงต่อวัน
เวลาในส่วนนี้มีความพิเศษตรงที่สามารถยืดหยุ่นได้จะพักมากหรือน้อย
มาถึงเวลา 8 ชั่วโมง ส่วนสุดท้ายเป็นส่วนที่ผมเรียก
"ช่วงเวลาทอง" ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาในการนำมาพัฒนาศักยภาพของตัวเอง
ช่วงเวลาที่ใช้คิดวางแผนชีวิตในระยะสั้นกลางยาว
ถือว่ามันคือเวลาที่ควรเก็บเกี่ยวมากที่สุด
และช่วงนี้นี่เองที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของชีวิตในอนาคต
อาจจะใช้เรียนรู้ภาษาใหม่ๆ วัฒนธรรมใหม่ๆ
ใช้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ หรือลงเรียนคอร์สความรู้ใหม่ๆซักคอร์ส
จริงๆแล้วใน 8 ชั่วโมงที่แบ่งไว้นั้นสามารถแบ่งย่อยไปได้ให้ละเอียดได้อีก
เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง
เช่นผมตีเวลาว่าง 1 ชั่วโมงตอนเที่ยงของวันทำงาน
เป็นช่วงเวลาที่จะได้ใช้พัฒนาตัวเอง
เรามักจะมองข้ามไป ทั้งที่มันมีค่าเป็น 1 ใน 8 ส่วนที่ใช้พัฒนาการเรียนรู้ได้
และในเวลา 8 ชั่วโมงของการพัฒนาตัวเองนั้น ยังมีกิจกรรมยิบย่อย เช่น อาบน้ำ
ทานข้าว กิจกรรมต่างที่เราไม่ได้ใช้พัฒนาตัวเอง
หรือแม้กระทั่งเวลาเดินทางไปทำงาน
เมื่อลองวิเคราะห์ดูจริงๆแล้ว
โดยเฉลี่ยเราเหลือเวลาในการพัฒนาตัวเองเพียง 4-6 ชั่วโมงต่อวัน
ถึงจะมีน้อยแต่หากได้ลองนำมันมาใช้พัฒนา
และค้นพบตัวเองแล้วจะพบว่ามันมีค่ามากๆ ช่วงหนึ่งเลยทีเดียว

อ่านถึงตรงนี้ก็อาจจะมีความรู้สึกว่า ยังต้องมีเวลาทำความสะอาดบ้าน
กิจกรรมนัดยิบย่อย ในส่วนนี้ผมจึงมองว่า ควรมีการจัดตารางเวลาสำหรับสัปดาห์หรือเดือน
เพื่อให้มองเห็นภาพรวมของกิจกรรมที่เราจะทำ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
เกลี่ยให้เราได้ใช้ชีวิตหลากหลายด้าน อาจจะมีช่วงปล่อยจอยบ้าง
แต่ก็ไม่ทำให้แผนการเสีย
8/8/8 เป็นเพียงเทคนิคการจัดการเวลาหนึ่ง
ที่สามารถนำไปประยุกต์เป็นรูปแบบอื่นได้
เช่นเมื่อตอนทำงานแรก ใช้เทคนิคแบ่งเวลาเป็น 8/7/9 คือ
ทำงาน 8 ชั่วโมง, นอนพักผ่อน 7 ชั่วโมง, พัฒนาตัวเอง 9 ชั่วโมง
และอาจจะปรับเปลี่ยนได้ตามเนื้องานที่เข้ามา
เช่นต้องทำ OT ต่อ ทำให้ชั่วโมงส่วนการทำงานเพิ่มขึ้น
จึงต้องลดชั่วโมงการพัฒนาตัวเองลง

และเมื่อเราจัดการเวลาได้ดีแล้ว ปัญหาเรื่องความง่วงก็จะลดลง
เราจะมีช่องว่างไว้เพื่ออะไรหลายๆอย่างในชีวิต
คำว่า "ไม่มีเวลา" เป็นข้ออ้างชนิดหนึ่งที่บ่งบอกว่าคนพูดไม่มีการจัดการเวลา
หนังสือแนะนำผมจะลงไว้ในคอมเมนท์
หากสนใจ และมองไม่เห็น ให้กดที่ปุ่ม "เกี่ยวข้องมากที่สุด"
แล้วเลือก "ความคิดเห็นทั้งหมด"
ก็จะมีรายการหนังสือที่ผมใช้เป็นแนวทางจัดการแผนงานต่างๆในแต่ละวัน

10/12/2024

อะไรที่ช่วยให้คุณผ่าน
“คำพูดที่บั่นทอน”
เราจากเป้าหมายมาได้?

ยอมถอยบ้าง..บางทีก็ไม่ได้แย่ด้วยความที่ช่วงนี้ผมขับรถบ่อยหลายครั้งเมื่อเราจะพารถออกจากซองที่จอดเราจำเป็นต้องบังคับทิศทาง...
10/12/2024

ยอมถอยบ้าง..บางทีก็ไม่ได้แย่
ด้วยความที่ช่วงนี้ผมขับรถบ่อย
หลายครั้งเมื่อเราจะพารถออกจากซองที่จอด
เราจำเป็นต้องบังคับทิศทางรถเพื่อให้ออกจากซอง
มีทั้งเดินหน้า และถอยหลัง เพื่อหามุมที่จะให้รถออกจากซองได้
โดยไม่ไปชนกับกำแพงหรือรถคันอื่น
นึกไปนึกมา ก็นึกถึงตอนที่ตัวเองยืนกราน ดันทุรัง
ถ้าเรายังใช้นิสัยดันทุรังที่มีอยู่ในการเอารถออกจากซอง
รถคงจะถลอกหรือยุบกันไปในไม่ช้า
การได้ขับรถนี่ก็ดีเหมือนกันเพราะได้เตือนตัวเองด้วย
บางครั้งเรามองว่าเราต้อง "เดินหน้าจึงจะมีโอกาสสำเร็จ"
ทั้งๆที่บางช่วงจังหวะของชีวิตมีอุปสรรคขวางกั้น
เราก็ยังดื้อรั้นที่จะพุ่งชนมัน
ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุให้เราต้องเจ็บตัวและเสียเวลาโดยใช่เหตุ
บางทีการถอยออกมาเพื่อเปิดมุมมองให้กว้างยิ่งขึ้น
จะช่วยให้เราได้พบกับทางเลือกมากขึ้น อาจจะเสียเวลามากขึ้นนิดหน่อย
แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่ทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้
สมองมักหลอกเราเสมอว่าการถอยหลัง
คือการยอมรับความเป็นผู้แพ้
ทั้งที่ถ้าเราถอยออกมาก่อน แล้วเปลี่ยนมุม
จะทำให้เราเดินหน้าไปได้ง่ายและเร็วกว่าการพุ่งชน
เช่นเดียวกับการถอยรถออกจากซอง
เราจะเดินหน้าชนกำแพงข้างหน้าจนกำแพงพังก็ได้
ส่วนใหญ่แล้วจะถอยหลังเพื่อหาช่องว่าง
แต่บางสถานการณ์ของชีวิตเรากลับเต็มใจ
ที่จะพุ่งชนกำแพง
"ถอยออกมาสักหน่อยเพื่อเปิดมุมมองให้กว้างขึ้น"

"ไม่รู้ว่าไม่รู้"พอตั้งสติได้กับความล้มเหลวในเรื่องเดิม ซ้ำๆซากๆก็พบว่าสิ่งที่เราต้องรู้ให้ได้มันคือ "เราไม่รู้ว่าไม่รู้...
09/12/2024

"ไม่รู้ว่าไม่รู้"
พอตั้งสติได้กับความล้มเหลวในเรื่องเดิม ซ้ำๆซากๆ
ก็พบว่าสิ่งที่เราต้องรู้ให้ได้มันคือ "เราไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร"
ไม่รู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยให้สิ่งนั้นสำเร็จ
ไม่รู้ว่าเรารู้อะไรบ้างที่ทำให้สิ่งนั้นสำเร็จ
ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่เราไม่รู้
พอได้เริ่มพินิจพิจารณาด้วยสามคำถามนี้ก็พบว่า
ไม่แปลกใจเลยที่เราจะทำเรื่องนั้นผิดซ้ำซาก
เพราะเราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเรา "ไม่รู้ว่าไม่รู้"
วัยเรียน ไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าวัตถุประสงค์ของหนังสือหรือแต่ละวิชามีไว้ทำไม
สารบัญหรือคำนำของหนังสือมีไว้เพื่ออะไร
ก็เลยไม่แปลก ที่ไม่รู้ว่าต้องเรียนบางวิชาไปทำไม
แล้วก็ไม่แปลก ที่พอเรียนแล้วเอาไปใช้งานจริงไม่ได้
ในความเงียบหลังจากผิดหวังที่ทำไม่สำเร็จ
ตั้งแต่วันนั้น เกิดเสียงดังในใจที่เหมือนเป็นอะไรที่เบิกเนตรได้เป็นอย่างดี
นั้นก็คือ ต้องรู้ให้ได้ว่าเรา "ไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร" อะไรที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้สำเร็จ
สิ่งที่จะทำให้ "รู้ว่าไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร" ได้ก็คือ
"ลงมือทำหรือเอาตัวเองไปอยู่ในจุดนั้นสักที"
และยิ่งทำพลาดทางก็จะเริ่มเปิด
เริ่มเปิดในที่นี้ก็คือปัจจัยที่จะทำให้สำเร็จจะเริ่มเฉลยออกมา
หรืออย่างน้อยที่สุดการบันทึกวิธีที่ทำลงไป ก็ไม่ใช่วิธีที่จะทำให้สำเร็จ
อาจจะต้องเพิ่มกระบวนการอะไรบางอย่างหรือปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่
หลังจากนั้นก็เริ่มมีมุมมองที่ดีและสบายใจเกี่ยวกับการลงมือทำอะไรหลายๆอย่าง
แก้ปมในใจที่ว่ากลัวเริ่มใหม่แล้วพลาดอีก
กลับกลายเป็นก็ลองทำไปเลยสิ พลาดก็จะได้รู้ว่าพลาดเพราะอะไร
สุดท้ายมันก็มีแต่ได้กับได้
แล้วยังต้องรออะไรอีก?
ลงมือทำ > บันทึกวิธีที่ใช้ > พลาด > ย้อนกลับมาดูวิธีที่ใช้ > รู้ว่าไม่รู้อะไร
> ปรับกระบวนการ > ลงมือทำใหม่
ไป #เริ่มซักที !

“การกังวลถึงความล้มเหลวคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราไม่ได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่”หลายครั้งที่เรากลัวว่าจะทำพลาด กลัวว่าผล...
08/12/2024

“การกังวลถึงความล้มเหลว
คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราไม่ได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่”
หลายครั้งที่เรากลัวว่าจะทำพลาด
กลัวว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นอย่างที่หวัง
ความกลัวนี้แหละที่ทำให้เราไม่ได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่
ยิ่งถ้าเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำ หรือเคยล้มเหลวมาก่อน
ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งทำให้ขาดความมั่นใจมากขึ้น
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?
แทนที่เราจะใช้พลังสมองไปกับการสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหา
กลับเสียพลังไปกับความกังวล
กลัวจนเผลอจินตนาการถึงความผิดพลาดมากกว่าความสำเร็จ
และบางครั้ง ความกลัวนั้นเองก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้แผนการที่ยิ่งใหญ่ต้องล่ม
[จะทำยังไงกับมันดี?]
การลบความกลัวออกไปทั้งหมดอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่สิ่งที่เราทำได้คือทำให้ภาพเป้าหมายในใจชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มองให้เห็นชัดว่าความสามารถและทักษะของเราจะพาเราไปถึงจุดนั้นได้ยังไง

1.โฟกัสที่ตัวเอง
ลองสำรวจตัวเองว่าเรามีจุดเด่นอะไร มีทักษะไหนที่ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมาย แล้วมุ่งพัฒนาจุดที่ยังขาดอยู่
นี่แหละจะช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบัน แทนที่จะจมอยู่ในความกลัว

2.ให้เป้าหมายเป็นแรงผลักดัน
ทุกครั้งที่รู้สึกกลัว ลองนึกถึงภาพความสำเร็จที่ชัดเจน
ว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตคุณยังไง
ให้เป้าหมายเป็นตัวนำพลังงานของคุณ
ไม่ใช่ความกลัวที่ไม่มีเหตุผล
เลิกฟังคำพูดที่ไม่ได้ช่วยสร้างสรรค์ แล้วเริ่มเดินหน้าซะที!
อย่าปล่อยให้คำพูดที่ดูถูกหรือความกังวลเกี่ยวกับสายตาคนอื่นมาทำใหเรสตัวเล็กลง ถ้ายอมรับความล้มเหลวได้
คำพูดพวกนั้นก็ไม่มีผลอีกต่อไป
เพราะทุกความล้มเหลวคือบทเรียนที่จะทำให้คุณเติบโตขึ้น

ล้มแล้วไง? เรียนรู้ แล้วเริ่มใหม่!
อย่ากลัวที่จะเริ่ม เพียงเพราะคิดว่ามันอาจไม่สำเร็จ
ความสำเร็จที่แท้จริงเริ่มต้นจากการลงมือทำ
แม้จะผิดพลาด แต่นั่นคือส่วนหนึ่งของกระบวนการที่พาคุณไปถึงจุดหมาย
#เริ่มซักที สิวะ

"ถ้าเจ้าทำแต่สิ่งที่ทำได้ เจ้าจะไม่มีวันดีขึ้นกว่าตอนนี้"ผมได้มานั่งอ่านบทความเก่าๆที่ตัวเองเคยเขียนไว้บนเพจนี้แล้วมาสะด...
06/12/2024

"ถ้าเจ้าทำแต่สิ่งที่ทำได้ เจ้าจะไม่มีวันดีขึ้นกว่าตอนนี้"
ผมได้มานั่งอ่านบทความเก่าๆที่ตัวเองเคยเขียนไว้บนเพจนี้
แล้วมาสะดุดตากับวลีนี้ซึ่งสำหรับผม
ถือว่าเป็นวลีที่ผลักดันให้ผมเริ่มทำอะไรใหม่ๆหลายอย่างในชีวิต
ในวันที่เราลงมือทำสิ่งใดด้วยความตั้งใจ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่หวัง
มันอาจทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นคนโชคร้ายที่สุดในโลก
บางครั้ง ความผิดพลาดเหล่านั้นก็กัดกร่อนความมั่นใจของเรา
เปลี่ยนวันที่สดใสให้กลายเป็นวันหม่นหมอง
หลายครั้งที่เรามองความสำเร็จของคนอื่นแล้วรู้สึกว่า “ฉันก็ทำได้เหมือนกัน”
แต่พอลงมือทำ กลับพบกับข้อผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า
จนเริ่มสงสัยว่าเราอาจไม่มีความสามารถเหมือนพวกเขา
แต่หากเรากลับมาทบทวนตัวเองอยู่เสมอ
ทั้งในสิ่งที่เราทำและเป้าหมายที่เราตั้งไว้
เราจะพบว่า ความผิดพลาดนั้นไม่ได้เป็นตัววัดว่าเราดีหรือแย่
แต่มันคือครูที่ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่ยังขาด และนำเราไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
แน่นอนว่าการก้าวออกจากสิ่งที่คุ้นเคยมักเต็มไปด้วยความเสี่ยง
เราอาจพลาดเพราะไม่เข้าใจกระบวนการ หรือใจร้อนจนข้ามขั้นตอนสำคัญ
และเมื่อผิดพลาด เราอาจรู้สึกผิดหวังจนอยากล้มเลิก
แต่ลองมองอีกมุม หากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน
เรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดพลาด
สิ่งที่เราได้รับจากความล้มเหลวคือ “ความรู้”
เราได้รู้ว่า “เรายังขาดอะไร”
แล้วหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาเรียนรู้ แก้ไข และลองใหม่อีกครั้ง
ทุกครั้งที่เราลุกขึ้นหลังจากล้ม ผลลัพธ์ย่อมเปลี่ยนไป
และโอกาสที่จะประสบความสำเร็จย่อมสูงขึ้นกว่าที่เคย
"ถ้าเจ้าทำแต่สิ่งที่ทำได้ เจ้าจะไม่มีวันดีขึ้นกว่าตอนนี้"

ถ้าถามว่าชอบหนังสือเล่มไหนคงจะตอบยากหน่อยแต่ถ้าถามว่าอ่านเล่มไหนบ่อยสุดคำตอบเดียวที่มีคือ "วิธีชนะทุกข์และสร้างสุข"หรือผ...
04/12/2024

ถ้าถามว่าชอบหนังสือเล่มไหนคงจะตอบยากหน่อย
แต่ถ้าถามว่าอ่านเล่มไหนบ่อยสุด
คำตอบเดียวที่มีคือ "วิธีชนะทุกข์และสร้างสุข"
หรือผมเรียกติดปากว่า "How to stop worrying"
ซึ่งเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าในใจผมมาตลอดหลายปีตั้งแต่ได้อ่านครั้งแรก
ชื่อหนังสืออาจจะชวนให้คนที่ไม่ชอบอ่านแนว How to เบือนหน้าหนี
เพราะแค่ขึ้นต้นมาก็ How to แล้ว
ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยอมรับว่าเป็นหนังสือระดับท็อปของชั้นหนังสือของผมอยู่ดี
ก็เพราะเนื้อหาในเล่มนี้แหละที่ช่วยชีวิตผมไว้หลายครั้งจากสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ
"จงใช้ชีวิตอยู่ในห้องที่มีแต่วันนี้"
ปฐมบทของเล่มเนื้อหาก็ตราตรึงแล้ว ถ้านึกอะไรไม่ออกเกี่ยวกับปัญหาที่กำลังเจอ
ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ยิ่งเครียดก็ยิ่งไม่เจอทางออก
ก็แค่ใช้ชีวิตไปทีละวัน ความเครียดไม่ได้มาทำให้อะไรๆมันดีขึ้น
สู้เอาเวลาไปแก้ไขทีละเล็กทีละน้อยดีกว่า
เพราะวันนี้ ตอนนี้ เป็นช่วงเวลาเดียวที่เราพอจะสัมผัสและใช้ประโยชน์จากมันได้
อดีตและอนาคต มันมีก็จริงแต่ถ้าใช้ประโยชน์จากมันไม่ได้ก็ใชัปัจจุบัน
"อย่าให้ตัวด้วงชอนไชท่านจนล้มลง"
เป็นบทที่ผมอ่านด้วยความเพลิดเพลิน และถือเป็นบทที่ผมชอบที่สุดเลยก็ว่าได้
ด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับทหารเรือนายหนึ่ง
ถูกส่งเข้าไปทำหน้าที่ในเรือดำน้ำช่วงสมัยสงครามโลก
ซึ่งระเบิดทำลายเรือดำน้ำของฝ่ายตรงข้าม
ก็หวังจะทำลายเรือดำน้ำของเขาจนตลอด 15 ชั่วโมง
เขากลัวจนกระทั่งเหงื่อออกทั่วร่างกายทั้งที่อากาศหนาว
จนคิดไปถึงเรื่องที่เขาเคยกังวลในอดีตว่าถึงมันจะดูหนักหนาแค่ไหน
ก็ไม่เท่ากับที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้
ซึ่งทั้งหมดที่ผ่านมาก็ทำให้เขาผ่านมาได้

ซึ่งอาชีพแรกหลังเรียนจบผมทำงานอยู่บนเรือเดินทะเล
จึงเข้าใจความรู้สึกนั้นเป็นอย่างดี ตอนทุกข์ ตอนเครียดจะไปไหนก็ไม่ได้
คืบก็ทะเลศอกก็ทะเล ต้องทนอยู่กับเรื่องที่กังวล
จนรู้สึกว่าต้องหาวิธีอยู่กับมันให้ได้

บทนี้จึงเป็นอีกบทที่ทรงคุณค่าและผมค่อนข้างอิน จนอยากให้คนได้อ่านกัน
ใครที่ติดตามเพจนี้มาตั้งแต่เริ่มก็คงจะทราบกันดีว่า
หนังสือเล่มนี้และหนังสืออีกชุด ผมรีวิวไว้หลายโพสต์
เชื่อเถอะว่าผมเล่าได้ไม่เบื่อเลยเกี่ยวกับสิ่งที่ผมไปเจอมา
และเรื่องราวที่หนังสือเล่มนี้ช่วยให้ผมผ่านพ้นสถานการณ์หนักๆไปได้
ในเฟซบุ๊คส่วนตัวก็ใช้รูปของผู้เขียนเล่มนี้ในส่วนของหน้าปก
ถ้ามีอะไรจะขอบคุณก็คงมีผู้เขียนและผู้แปลหนังสือเล่มนี้
"อย่าให้ตัวด้วงชอนไชท่านจนล้มลง"
ส่วนใครที่สนใจหนังสือเล่มนี้ก็สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์นี้ครับ
https://s.shopee.co.th/3VTYQzYzF6

ให้ตัวเองเป็นอิสระจากการกลัวความล้มเหลวด้วยการลงมือทำ ทำไปเลยตอนที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ หรือเพิ่มความเข้มข้นในงานมากขึ้นผมมักจ...
03/12/2024

ให้ตัวเองเป็นอิสระจากการกลัวความล้มเหลว
ด้วยการลงมือทำ ทำไปเลย
ตอนที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ หรือเพิ่มความเข้มข้นในงานมากขึ้น
ผมมักจะรู้สึกกดดัน จนบางทีรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
แม้แต่งานที่ถนัดก็ยังเผลอทำพลาดได้
จนมีเวลามาพิจารณาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
พอได้ Deep talk กับตัวเอง ก็พบว่าสิ่งที่ทำให้ผมว้าวุ่นก็คือ
"ความกลัวว่าจะล้มเหลว" เลยคิดว่า
ถ้าการกดดันตัวเองไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ลองเปลี่ยนมาใช้เวลานั้นผ่อนคลาย และบอกตัวเองว่า
“ถ้าผิดพลาดบ้าง...แล้วจะเป็นอะไรไป?”
เพราะทุกความผิดพลาดคือโอกาสให้เราเรียนรู้ว่า
อะไรคือสาเหตุ และจะปรับปรุงยังไง

หรืออีกทางนึงถ้าจัดการกับความกลัวไม่ได้ก็ไม่ต้องไปทำมัน
แล้วรอดูผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
กดดันตัวเองมากเกินไป
สุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย

"เมื่อเข้าใจความทุกข์ก็แทบไม่ต้องวิ่งตามหาความสุขเลย"มองย้อนชีวิตกลับไปผมพยายามมองหาสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขเสมอไม่ว่...
02/12/2024

"เมื่อเข้าใจความทุกข์
ก็แทบไม่ต้องวิ่งตามหาความสุขเลย"
มองย้อนชีวิตกลับไป
ผมพยายามมองหาสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวในที่ที่ชอบ หรือการทานอาหารอร่อยๆ
ยิ่งในช่วงเวลาที่เจอปัญหาหรือความเครียด
การมองหาความสุขยิ่งกลายเป็นสิ่งสำคัญ
ผมเติมเต็มตัวเองด้วยกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย แต่...เรื่องจริงที่พบคือ
"ความสุขนั้นไม่เคยอยู่นาน"
เมื่อผ่านไป สิ่งที่เคยให้ความสุขกลายเป็นเรื่องธรรมดา
สถานที่เดิมๆ อาหารที่เคยโปรด ก็เริ่มจืดชืด
จนต้องมองหากิจกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความสุขที่หายไป
ชีวิตกลายเป็นการไล่ล่าความสุขแบบไม่มีที่สิ้นสุด
วันหนึ่ง ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง
"เราจะต้องวิ่งหาความสุขแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?"
และถ้าในวันที่เจอความเครียดจนทุกข์
ความสุขจะต้องมาจากการทำสิ่งใหม่ๆ เท่านั้นจริงหรือ?
ผมเริ่มเปลี่ยนวิธีจัดการกับตัวเอง
แทนที่จะหนีไปหาความสุข ผมเลือกเผชิญหน้ากับความทุกข์
ด้วยการเขียนระบายความคิดของตัวเองออกมา
การได้เห็นปัญหาอย่างชัดเจน ทำให้รู้ว่า
หลายเรื่องที่เครียด...เรามีวิธีแก้ไข
และในบางเรื่องที่แก้ไม่ได้ การปล่อยมันไว้อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
เมื่อเริ่มเข้าใจและจัดการกับปัญหา
ผมสังเกตเห็นว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ทนทานต่อสถานการณ์มากขึ้น
มันไม่ใช่เพราะชีวิตไม่มีปัญหาอีกต่อไป
แต่เพราะเราเรียนรู้ที่จะ "อยู่กับมัน"
"ปัญหาทุกอย่างมีต้นเหตุ ถ้ามันเกิดได้...ก็ต้องแก้ได้"
แต่สิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผ่านความทุกข์ได้คือ "สติ"
และผมจะเล่าเรื่องนี้ในโพสต์ต่อไป
เพราะถ้าการหาความสุขมันยากนัก
ลองหันมา "เข้าใจความทุกข์" ที่เกิดขึ้นแทนดูสิ
ไม่ว่าคุณจะเจออะไรอยู่ #เริ่มซักที

“No one does when they begin.Ideas don’t come out fully formed.They only become clear as you work on them. You just have...
01/12/2024

“No one does when they begin.
Ideas don’t come out fully formed.
They only become clear as you work on them. You just have to get started“

ไม่มีใครทำอะไรเป็น ช่วงเริ่มลงมือทำ
ไอเดียมันไม่ได้ออกมาอย่างเต็มที่
มันจะชัดเจนขึ้นเมื่อคุณลงมือทำเท่านั้น
คุณแค่ต้องเริ่มลงมือทำ
"Mark Zuckerberg"

#เริ่มสักที

คำหนึ่งที่ทำให้ผมยิ้มได้เสมอเมื่อเจอเรื่องที่ไม่เป็นดั่งใจเมื่อขอพรให้เจอ “ความก้าวหน้า” แต่กลับเจอ “ปัญหาที่หนักกว่าเดิ...
19/11/2024

คำหนึ่งที่ทำให้ผมยิ้มได้เสมอเมื่อเจอเรื่องที่ไม่เป็นดั่งใจ
เมื่อขอพรให้เจอ “ความก้าวหน้า”
แต่กลับเจอ “ปัญหาที่หนักกว่าเดิม”
จงตระหนักว่า “คำขอพร” ใกล้เป็นจริงแล้ว

เพราะ ความก้าวหน้าและโชค
มักมาจาก "โอกาส"
โอกาส มักมาจาก "ปัญหา"
وو

ได้เวลา ลงมือแล้ว

เพราะไม่ได้ลองเราไม่รู้ว่า เราไม่รู้อะไรเพราะเราไม่เคยแม้แต่จะถามตัวเองว่าเราไม่รู้ว่าเรารู้อะไรเราจึงไม่รู้ว่าเราต้องรู...
18/11/2024

เพราะไม่ได้ลอง
เราไม่รู้ว่า เราไม่รู้อะไร
เพราะเราไม่เคยแม้แต่
จะถามตัวเองว่าเราไม่รู้ว่าเรารู้อะไร
เราจึงไม่รู้ว่าเราต้องรู้อะไรบ้าง
นี่คือจุดเริ่มต้นของการที่
เราไม่รู้ว่าเราอยากทำอะไร
ไม่ว่าจะทำอะไร #เริ่มซักที

สมัยก่อนมีคำพูดที่ว่าเมื่อหยุดพัฒนาก็เหมือนอยู่กับที่แต่ปัจจุบัน พอหยุดพัฒนาโลกจะเดินหน้าหนีเราไปเอง
15/11/2024

สมัยก่อนมีคำพูดที่ว่า
เมื่อหยุดพัฒนาก็เหมือนอยู่กับที่
แต่ปัจจุบัน พอหยุดพัฒนา
โลกจะเดินหน้าหนีเราไปเอง

"นาฬิกาปลุกช่วยให้ตื่นแต่เป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้ อยากตื่น"ช่วงนี้ผมได้วนกลับมาอ่านบทความที่ตัวเองเคยเขียนไว้บางบทความที...
12/11/2024

"นาฬิกาปลุกช่วยให้ตื่น
แต่เป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้ อยากตื่น"
ช่วงนี้ผมได้วนกลับมาอ่านบทความที่ตัวเองเคยเขียนไว้
บางบทความที่เขียนในตอนนั้น ได้ใช้เตือนตัวเองในตอนนี้เป็นอย่างดี
ช่วงเวลาที่ผ่านมาในฐานะนักใช้ชีวิตคนหนึ่ง
ได้กลับมาสังเกตตัวเองว่า เราก็ได้ลองทำอะไรหลายอย่าง
ทำไปทำมาดันรักที่จะทำมัน จนบางกิจกรรมตัดออกจากตารางไม่ได้เลย
อาจเพราะใช้อารมณ์นำทางด้วยแหละ
ทำให้ได้ออกไปทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำ ไปที่ที่ไม่เคยไป
แต่พอได้ลองทำอะไรตามใจ วันหนึ่งตื่นมาแล้วถามตัวเองว่า "เราทำไปทำไม"
มันไม่มีพลังที่จะทำสิ่งนั้นเลย แต่พอมวนกับตัวเองว่า เพราะเราไม่รู้ว่าเราทำไปทำไม
ก็มีบทความเก่าๆที่เลื่อนไปอ่านเจอที่ว่า
"นาฬิกาปลุกช่วยให้ตื่นแต่เป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้ อยากตื่น"
จึงได้เริ่มเขียนอีกครั้งจากสารตั้งต้นที่ว่า ทำไปทำไม ทำแล้วได้อะไร ทำเพื่อใคร
ซึ่งพอตอบได้อย่างชัดเจน
ก็พบว่า โอเค เราควรเริ่มทำมันต่ออย่างมีทิศทาง
ซึ่งปัญหานี้ถูกแก้อย่างรวดเร็ว
ด้วยการเติมความชัดเจนลงไปในสิ่งที่เราจะทำ

#เริ่มซักที

วิธีที่จะเปลี่ยนรูปแบบของชีวิต ก็คือการเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตได้ก็ต้องเริ่มทำอะไรใหม่ๆหรือทำสิ่ง...
11/11/2024

วิธีที่จะเปลี่ยนรูปแบบของชีวิต ก็คือการเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต
จะเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตได้ก็ต้องเริ่มทำอะไรใหม่ๆ
หรือทำสิ่งเดิมที่ดีสอดคล้องกับเป้าหมายใหม่ ให้มากขึ้น

อยากชีวิตก้าวหน้า อยากได้เงินเดือนเพิ่ม
แต่ยังไม่พร้อมที่จะพัฒนาตัวเอง
ไม่พร้อมจะหาความรู้มากขึ้น
ไม่พร้อมสละเวลาพักผ่อน
ไม่พร้อมลงมือเริ่มทำอะไรใหม่ๆสักอย่าง

ก็เหมือนอยากถูกลอตเตอรี่
ต่อให้โชคดียังไงก็ไม่มีทางถูก
เพราะยังไม่ซื้อลอตเตอรี่สักที

ไม่ว่าจะทำอะไร #เริ่มซักที

เมื่อเรามีความชัดเจนกับเวลาในแต่ละวันคือการรู้เหตุผลว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่ทำไปเพื่ออะไรมีตารางเวลาที่ชัดเจน เพื่อเป้าหมา...
21/10/2024

เมื่อเรามีความชัดเจนกับเวลาในแต่ละวัน
คือการรู้เหตุผลว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่ทำไปเพื่ออะไร
มีตารางเวลาที่ชัดเจน เพื่อเป้าหมายที่ชัดเจน
จะไม่มีกิจกรรมไหนเลนที่ดูไร้สาระเลย
ต่อให้จะนั่งอยู่เฉย นอนอยู่เฉยๆ หรือเดินเล่น
ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันไร้สาระเลย
กลับกันหากเราปล่อยให้ชีวิต Auto pilot
ให้ชีวิตผ่านไปโดยที่ไม่ได้ปักหมุดหมายไว้ว่าจะไปที่ไหน
ไม่ว่าจะอ่านหนังสือหรือลงคอร์สเรียนเจ๋งๆ
ถึงจุดหนึ่งก็จะรู้สึกเหนื่อย หมดไฟแล้วกลับมาถามตัวเองว่า
“เราทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร”
แผนการจะเกิดก่อนหรือระหว่างการเดินทางก็ย่อมได้
แต่การไม่มีแผนการ มันจะทำให้จะไปไม่ถึงไหนเลย
ต่อให้จะวิ่งเข้าเส้นชัยไปแล้ว
เราก็อาจไม่รู้ตัวเลยก็ได้ว่านั่นคือเส้นชัย
วันนี้เราทำสิ่งนี้เพื่ออะไร
ทำไปทำไม
ถ้าตอบตัวเองได้และเป้าหมายชัดเจน
ต่อให้ไม่ใช่เรื่องใหญ่
อย่างน้อยเราก็ไม่ได้หลงทาง
และรู้ว่าเรากำลังอยู่จุดไหนของทางที่เราจะไป

ไม่ว่าจะทำอะไร #เริ่มซักที

“ชีวิตดีขึ้นแน่นอน”อะไรที่มันพังๆหรือกำลังจะพังมันกำลังพาเราไปเจอทางที่เหมาะสมกับเราที่สุดซึ่งสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจะดี...
10/10/2024

“ชีวิตดีขึ้นแน่นอน”
อะไรที่มันพังๆหรือกำลังจะพัง
มันกำลังพาเราไปเจอทางที่เหมาะสมกับเราที่สุด
ซึ่งสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจะดีหรือไม่ดี
มันก็ขี้นอยู่กับตัวเรา
ตัวเราขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา
การกระทำของเราขึ้นอยู่กับความคิดของเรา

ปรับจิตใจให้มั่นคงเข้มแข็ง
ด้วยการเชื่อจนสุดใจว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น
มุมมองของเราก็จะเปลี่ยนไป
แบบเราเองก็สงสัยว่าบางเรื่องเราผ่านมาได้ยังไง

ถ้าการคิดมากไปกับสถานการณ์จนทำให้เราจิตตก
แล้วไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น
การปรับมุมมองเพื่อให้ใจสงบลงก็ไม่แย่เท่าไหร่

ที่อยู่

Chiang Mai

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เริ่มซักทีผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง เริ่มซักที:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ