เล่าทุกเรื่อง กับริชาร์ต

เล่าทุกเรื่อง กับริชาร์ต เล่าทุกเรื่องบนโลกที่สนใจ และอยากเล่าให้คนที่สนใจเหมือนกันฟัง

02/01/2025

“New Year Resolution : ปณิธานปีใหม่” การตั้งเป้าเพื่อเป็นคนใหม่ในปีใหม่เป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าถึงขั้นต้องกดดันตัวเองให้ทำได้ตามเป้า แค่เราเข้าใจตัวเอง เคารพตัวเอง ยอมรับทั้งด้านดีด้านลบ ไม่ฝืนโกหกความรู้สึกตัวเอง รักและใจดีกับตัวเราเองก่อนให้ได้เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

31/12/2024

กำลังจะหมดปี 2024 ในอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว ชวนคุยกันหน่อยว่าชีวิตที่ผ่านมาทั้งปีเป็นอย่างไรกันบ้าง?

30/12/2024

คำพูดของ "ติช่า" เนี่ยพูดถูกเลย นักข่าวนิสัยยังไง ก็เขียนข่าวเหมือนนิสัยตัวเอง เช่นกันกับที่ตั้งฉายาให้คนดังยังไง ตัวเองก็เป็นคนแบบนั้นแหละ อยากให้มี "สมาคมผู้ชมรายการทีวี" ตั้งฉายากลับนักข่าว รายการข่าว ผู้ประกาศข่าว ผู้สื่อข่าว หรือสำนักข่าวบ้าง จะได้รู้ว่าผู้ชมมองยังไง

28/12/2024

การที่คอนเทนต์ขยะยังอยู่ได้และถูกทำซ้ำๆ แค่คนชอบดูคอนเทนต์พวกนี้อย่างเดียวไม่พอ แต่มันมีโฆษณา มีสปอนเซอร์ มีลูกค้าจากสินค้าหรือบริการที่ยอมจ่ายเงินสนับสนุนเพียงเพราะได้ยอดวิวคนดูโดยไม่สนเนื้อหาซึ่งราคาก็ไม่ได้ว่าถูกด้วย แต่ครีเอเตอร์น้ำดี สายสาระแทบไม่มีการสนับสนุน

สมัยนี้รับคนทำงานดูเกรด ดูสถาบันมั้ย...?สำหรับบริษัทอื่นๆ อันนี้ไม่แน่ใจว่ายังมีความคิดแบบนี้อยู่หรือเปล่า ว่าจะต้องรับเ...
01/12/2024

สมัยนี้รับคนทำงานดูเกรด ดูสถาบันมั้ย...?
สำหรับบริษัทอื่นๆ อันนี้ไม่แน่ใจว่ายังมีความคิดแบบนี้อยู่หรือเปล่า ว่าจะต้องรับเด็กที่จบมาเกรดเฉลี่ยสูงๆ หรือว่าดูที่สถาบันการศึกษามาก่อน แต่บริษัทของผมมองเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ 2 หรือ 3 ในการพิจารณาเพื่อจะรับใครเข้าทำงานสักคน
เพราะสิ่งที่ให้ความสำคัญลำดับแรกก็คือ มีพอร์ตอะไรมาให้ดูบ้างในตอนที่เรียน หรือฝึกงานมา พอร์ตผลงานตรงกับสายงานหรือตำแหน่งที่เราจะรับหรือไม่ แล้วในพอร์ตนั้นสามารถการันตีได้ว่าเป็นผลงานของตัวเองจริงๆไม่ใช่ไปขโมย ก๊อปงาน หรืออวดอ้างสรรพคุณเกินจริงกวาดศักยภาพที่ทำได้หรือเปล่า? ซึ่งการประเมินศักยภาพเบื้องต้นจะอยู่ในขั้นตอนการสัมภาษณ์งาน
อย่างในตอนนี้ที่บริษัทมีพนักงาน 8 คน ที่จบจากสถาบันการศึกษาที่ค่อนข้างหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่จะมาจากสถาบันการศึกษาที่อยู่รอบนอกของกรุงเทพฯ หรือมหาลัยต่างจังหวัด
🔹ม.แม่ฟ้าหลวง 2 คน
🔹ม.ศรีปทุม 2 คน
🔹ม.ราชมงคลธัญบุรี 2 คน
🔹ม.ศรีปทุม 2 คน
🔹ม.ขอนแก่น 1 คน
🔹จุฬาฯ 1 คน (ป.โท และกำลังจะต่อ ป.เอก)
โดย 2 ใน 8 คนเป็นเด็กฝึกงานที่ผมรับเป็นพนักงานต่อเลย
สำหรับแต่ละคนที่เลือกมาทำงานถูกพิจารณาจากพอร์ตผลงาน 70% ส่วน 20% ดูที่เกรดที่จบมา ซึ่งอย่างน้อยก็มีการพิจารณาบ้างเนื่องจากว่าเกรดคือตัวชี้วัดแรกๆ ที่เราเห็นถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง และอีก 10% พิจารณาจากการสัมภาษณ์งานและบุคลิกว่าจะสามารถเข้ากับบริษัทและคนที่อยู่มาก่อนได้หรือไม่?
ในงานสาย creative และ content แบบบริษัทของผม การดูเกรดหรือว่าดูชื่อชั้นของสถาบันเพียงอย่างเดียวมันวัดยากมากว่าใครจะสามารถทำงานได้จริง เพราะมันแทบไม่ได้มีหลักการ แต่มันอาศัยความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำงานชิ้นนั้นออกมาให้ตรงกับโจทย์ และตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากน้อยขนาดไหน
หลายครั้งตำราเรียนที่เรียนรู้มาจากในมหาวิทยาลัย อาจจะใช้ไม่ได้ทั้งหมดเลยในการทำงานจริง เพราะหลายสิ่งต้องเรียนรู้ใหม่โดยเฉพาะวิธีคิด รายการรับมือกับโจทก์ที่ท้าทาย ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์มที่ไม่หยุดนิ่ง
อีกทั้งภาษาอังกฤษยังสำคัญมากในการทำงาน เพราะข้อมูลต่างๆ ที่ใช้ประกอบการทำงานส่วนใหญ่แล้วเป็นแหล่งข้อมูลจากต่างประเทศ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอะไรก็ตามที่อยู่ในฝ่ายปฏิบัติงานด้าน production จะต้องได้ภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ระดับพอใช้จนถึงระดับดี
ยิ่งช่วงนี้ที่บริษัทกำลังเป็นช่วงที่มีนักศึกษาฝึกงานเข้ามา และเป็นปีที่มีนักศึกษาฝึกงานมาจากหลากหลายสถาบันและส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัดทั้งนั้น ขนาดที่ว่าจะต้องมาฝึกงานยังต้องดูว่า resume และพอร์ตผลงานมีทำอะไรมาบ้างตลอดการเรียนที่ผ่านมา 3-4 ปี และต้องผ่านการสัมภาษณ์งานก่อนเข้ามาฝึกงานที่นี่ว่าจะสามารถฝึกในตำแหน่งที่ตัวเองทำได้ดีแล้วพร้อมเรียนรู้จริงๆ ไม่ใช่ว่าจะยื่นขอฝึกงานแล้วก็รับได้เลย
ฉะนั้นทุกวันนี้บอกได้เลยว่า ใครที่มาแต่ตัว มาต่อใบเกรด มาแต่ใบจบ แต่ตอนที่เรียนอยู่ไม่เคยมีผลงานหรือมีอะไรมาโชว์เลย โอกาสในการได้งานจะน้อยมากหรือแทบไม่ได้เลย แต่ในขณะที่คนที่มีพอร์ตผลงานมาแต่พอสู้อีกหลายๆคนที่เป็นคู่แข่งขันไม่ได้ ก็อาจจะไม่ถูกพิจารณารับเข้าทำงานเหมือนกัน
โลกการทำงานในยุคปัจจุบันที่ต้องแข่งขันแทบจะตลอดเวลา และต้องก้าวเดินให้เร็วไม่ช้าไปกว่าคู่แข่งก็ต้องนำคู่แข่ง บริษัทไม่มีเวลามานั่งแบกใคร อุ้มใครที่ไม่ช่วยเหลือตัวเองให้น่าถูก support คนที่ธรรมดาๆ มากเกินไปจำไม่ใช่ตัวเลือกขององค์กรต่างๆ
และคนที่มีของเท่านั้น จะถูกรุมแย่งตัวไปทำงาน เพราะงานที่ดีไม่ได้มีเพียงพอสำหรับทุกคน คนที่พร้อมเท่านั้นจะเป็นผู้ถูกเลือก

5 สัญญาณที่บ่งบอกว่าตัวเรากำลังพัฒนาขึ้นแบบที่เราไม่รู้ตัว1. เราจะใส่ใจกับเรื่องดราม่าน้อยลง : อะไรที่เราเคยรู้สึกว่ามัน...
13/11/2024

5 สัญญาณที่บ่งบอกว่าตัวเรากำลังพัฒนาขึ้นแบบที่เราไม่รู้ตัว
1. เราจะใส่ใจกับเรื่องดราม่าน้อยลง : อะไรที่เราเคยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ชวนให้หงุดหงิด ให้ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนั้นๆ ไม่ว่าทางไหนก็ทางหนึ่ง และเก็บมาคิด มาสนใจ มาให้น้ำหนักความสำคัญ แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้นำไปสู่สิ่งที่ดีต่อตัวเรา เราจะเริ่มปล่อยผ่าน วางเฉย และเลือกที่จะไม่สนใจ นี่แหละคือการเติบโต
2. วงสังคมเราจะเล็กลงแต่เปลี่ยนไปด้วยคุณภาพ : เราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะ ไม่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับเพื่อน หรือคนรู้จักทุกกลุ่ม แต่คบคนที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ห้อมล้อมตัวเราไปด้วยคนที่ช่วยยกระดับชีวิต ความคิด ทัศนคติ เต็มใจสนับสนุนและส่งเสริม รวมทั้งให้กำลังใจในเส้นทางที่เรากำลังเดินไป ไม่ใช่คนที่เต็มไปด้วยปัญหาแล้วฉุดเราลงมาให้ไปอยู่กับพวกเขา
3. กล้าที่จะออกจากจุดที่ไม่สบายใจ : เราเลือกที่จะปฏิเสธบางสิ่งที่เรารู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องให้ความสำคัญ แล้วไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เช่นการออกกำลังกาย การเรียนรู้ต่อทักษะใหม่ๆ หรือเรียนรู้และลองทำในสิ่งที่ยากขึ้นมากกว่าเดิม เพื่อขยายขีดจำกัดของตัวเองว่าเราสามารถไปแตะจุดที่เราไม่เคยไปถึงได้ แล้วเมื่อถึงตอนนั้นในวันที่เราทำได้เราก็กลายเป็นอีกคนนึงที่ตบโตมากกว่าคนที่ไม่กล้าลงมือทำ
4. ไม่จำเป็นจะต้องเอาใจคนทุกคน : เพราะเรารู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้ และเลือกที่จะให้เวลาและพลังงานที่มีค่าในชีวิตไปกับเรื่องที่สำคัญกว่าที่จะพาเราไปสู่ในเส้นทางที่ดีขึ้น ปล่อยวางบางคนที่ไม่เข้าใจที่เรา ไม่ต้องเข้าใจคนไม่ชอบเรา โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลาอธิบาย และเลือกพูดหรืออธิบายกับคนที่พร้อมฟังหรือเปิดใจกับเรา ไม่จำเป็นต้องหันทุกมุมของเราให้ทุกคนเห็น แต่เลือกที่จะหันบางมุมให้กับคนบางคน โดยที่มุมนั้นจะต้องไม่ใช่มุมที่ทำให้เป็นผลเสียต่อตัวเราในอนาคต
5. ลงทุนกับการพัฒนาตัวเอง : ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มพูนคลังความรู้ที่มีอยู่แล้วให้เพิ่มมากขึ้น การลงเรียนคอร์สหรือหลักสูตรต่างๆ ที่ต่อยอดหรือพัฒนาให้เราสามารถมีทักษะใหม่ๆ เพื่อนำไปใช้ในอนาคตยามจำเป็น เพราะเราเข้าใจว่าการลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในการพัฒนาตัวเราเอง

25/03/2024

คนเราเถียงกันเรื่องการมี Work Life Balance ยังไงก็ไม่จบเพราะการ Balance ของแต่ละคนไม่เท่ากัน
ประเด็นคือ หลายคนมีทัศนคติว่าการจะมีสมดุลระหว่างเรื่องงานกับชีวิตส่วนตัว มันต้องหยุดทำอีกอย่างเพื่อจะทำอีกอย่างแบบหักดิบ เช่น ฉันจะไม่ทำงานหลังเลิกงาน เพราะฉันต้องการชีวิตส่วนตัว แต่พรุ่งนี้ต้องมึงมีพรีเซนต์ในที่ประชุมนะ และทั้งวันในเวลางานก็ดันไม่ทำอะไร มัวแต่เล่นเฟส ดู YouTube กินมะม่วงดอง เม้าส์กับเพื่อนในแผนก เดินไปเดินมาระหว่างร้านกาแฟกับมุมตึกเพื่อสูบบุหรี่ สุดท้ายหมดวัน งานไม่คืบหน้า แล้วบอกว่าหมดเวลางาน ไม่ทำแล้วถึงเวลาใช้ชีวิตส่วนตัว ทั้งๆ ที่งานจ่อเร่งด่วนรีบใช้
สุดท้ายมาปั่นพรีเซนต์แบบเอาเป็นเอาตายในตอนเช้าก่อนเริ่มประชุมไม่กี่ชั่วโมงแบบลวกๆ เต็มไปด้วยจุดผิดพลาดเพียบเพราะไม่มีเวลาตรวจสอบให้ละเอียด นี่มันใช่ Work Life Balance ที่ถูกต้องจริงหรือ?
การจะมีสมดุลชีวิตที่ดีได้ อย่างน้อยมันต้องรู้จักหน้าที่ของตัวเองก่อนมั้ย? ว่าตอนนี้เราควรทำอะไรเป็นอันดับแรก เช่น ตอนนี้เวลางาน คือควรทำงานค่ะ!! อยู่ในชั่วโมงการทำงานก็ตั้งใจทำให้เรียบร้อย
ตอนไหนควรไปพักก็พัก พักก็ต้องพักตามเวลาที่กำหนด ไม่ใช่ลากเกินเวลา เขาให้พักเที่ยงถึงบ่ายโมง ไม่ใช่ไปพักตั้งแต่ 11:30 น. กลับขึ้นมาอีกทีปาไปบ่าย 2 แบบไร้เหตุอันควร
ปัญหาการไม่รู้จักบริหารเวลาแบบถูกต้องตามหน้าที่ต่างหากหรือไม่ที่ทำให้สมดุลชีวิตคนเราคลาดเคลื่อน ต้องแก้ที่นิสัยตัวเราด้วยหรือเปล่าหรือโบ้ยที่ระบบขององค์กรอย่างเดียว
เคยเจอคนที่ต้องการ Work Life Balance ในอุดมคติ แต่วิถีปฏิบัติคือไม่เอาอะไรสักอย่างมั้ย? แต่ดันอยากได้ชีวิตแบบคนทำงานหนักและเจริญก้าวหน้า คือตัวเองอยากทำงานสบายๆ ไม่กดดัน ไม่ต้องถูกโฟกัส ทำงานไปวันๆ ให้จบแล้วกลับบ้าน แต่มักชอบตั้งคำถามกับอีกคนที่ทำงานหนัก performance ดี มีผลงานชัดเจน และทุ่มเทว่าเขาเป็นแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามีแต่คำนินทาด้านแย่ๆ ของคนอื่นทั้งจริงทั้งเท็จ ทั้งมโน
สุดท้ายคนแบบหลังก้าวหน้านำไปไกล ได้เลื่อนขั้น ได้ปรับเงินเดือน ได้โอกาสมากมายในชีวิตเข้ามา แต่กลับมาบอกกับโลกว่ามันไม่แฟร์ ทำไมถึงไม่ได้แบบคนนั้น ทำไมยังย่ำอยู่กับที่ ทำไมเงินเดือนไม่ขยับ หรือขยับช้า ทำไม Lifestyle ชีวิตถึงเหมือนเดิม
แต่พอจะให้ทำแบบคนที่สำเร็จก็มักเลือกไม่ทำ กลัวเสียสมดุลชีวิตแบบที่ตัวเองเป็นอยู่ ไม่อยากเหนื่อย ไม่อยากรับผิดชอบ ไม่อยากนั่นนี่ บลาๆๆๆ แต่กลับอยากได้ผลลัพแบบอีกคนที่ก้าวหน้ากว่า สำเร็จกว่า
ก่อนจะบอกว่าชีวิตอยากมี Work Life Balance แบบในอุดมคติ ลองสำรวจตัวเองก่อนมั้ยว่า เราเหมาะจริงๆ ที่จะมีชีวิตแบบนั้นหรือไม่ บริหารจัดการตัวเองได้ไม่ขาดตกบกพร่องทุกด้านทุกหน้าที่จริงหรือเปล่า โดยที่ไม่กระทบกับตัวเราหรือคนอื่นๆ ที่ต้องทำงานด้วย
อีกทั้งหากอยู่ในสถานการณ์ตอนตัวเองป่วย ตอนออกจากงาน มีเงินมากพอจะดูแลตัวเองหรือยัง หลังอายุ 60 สามารถใช้ชีวิตแบบมีคุณภาพหลังจากการทำงานได้หรือไม่ ถ้าตอบสิ่งเหล่านี้ได้ว่าฉันทำได้แสดงว่าคุณมีสมดุลชีวิตที่ดี
ฉะนั้นถ้าคุณเลือก Balance ชีวิตแบบนี้ คุณก็ต้องพอใจกับมันหรือรับมันให้ได้ และอย่าตั้งคำถามว่าทำไมชีวิตอีกคนเขาไปข้างหน้าได้ไกลกว่าเรา และคาดหวังอยากได้ผลลัพแบบเขา แต่จะเอาวิธีการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ
ชีวิตเราเลือกได้ แต่โลกจะเป็นผู้เลือกให้ชีวิตแบบเรานั้นเดินคู่ขนานไปกับโลก หรือเขี่ยเราออกจากลู่ต่างหาก

14/10/2023

แชร์ข้อเสียของการมีเงินเดือนสูงที่ชีวิตต้องแลกมา
ก่อนจะมาทำธุรกิจของตัวเอง ครั้งหนึ่งเราก็เคยเป็นพนักงานบริษัทกินเงินเดือนหลักเกือบแสน + เงินเพิ่มเติมอื่นๆ ก็หลักแสนพอดี และทำให้รู้ว่าคนที่เงินเดือนสูงๆ ที่ชีวิตดูสวยหรูด้วยสายตาคนภายนอกนั้นมันไม่ได้หรูแบบที่เห็นในโซเชียลหรอก
และหลายคนก็อยากได้เงินเดือนเยอะๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ตัวเองที่ล้วนแต่ใช้เงินทั้งสิ้น ซึ่งมันก็ไม่ผิดนะ แต่มันมีอะไรหลายอย่างที่ต้องแลกมาเหมือนกัน
1. ความเครียด : ด้วยการที่เราเองก็ยังถือว่าอายุงานไม่มากเมื่อเทียบกับตำแหน่งงาน ประสบการณ์ยังไม่สูงเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน และเราต้องไปแข่งกับเขา ซึ่งมันเครียดมาก เพราะไม่ใช่แค่ว่าเราจะต้องดึงสักยภาพตัวเองออกมามากกว่า เรียกว่าเค้นจนแทบกดดันมากกว่า วันนึงกว่าจะผ่านไปได้นี่สมองบอบช้ำพอควร เหนื่อย ล้า และหน้าตาวันๆ แทบไม่ได้ยิ้มเลย เพราะถูกคาดหวังสูง
2. รับหน้าที่กระโถน : การถูกคาดหวังและกดดันจากข้างบนและข้างล่าง ยิ่งเราเป็นระดับหัวหน้าทีม น้องในทีมภายใต้การปกครองของเราที่หากว่ามีปัญหาอะไร ก็ต้องคายมาที่เราก่อน 5 คนก็ 5 คาย 10 คนก็ 10 คาย 100 คน 1000 คนก็คายขึ้นมา ปัญหาสารพัดที่หัวหน้าทีมอย่างเราต้องรับเอาไว้ และกดดันว่าทำไมต้องให้ทำงานหนักขนาดนี้ ไม่เพียงแค่ข้างล่างคายขึ้นมา ข้างบนก็คายลงมาอีก กดดันเรื่อง Performance เราและทีม ความคาดหวังสารพัดเรื่องที่ข้างบนก็ต้องการจากทีมเพื่อการเติบโตของอะไรต่างๆ ที่จะนำไปสู่เป้าหมายร่วมขององค์กร ดั้งนั้นการ Balance Expectations ของทั้งสองฝั่งเป็นเรื่องที่โคตรยากและเหนื่อย แต่เป็น Skill set ที่สำคัญของคนที่อยู่ระดับ Manager ขึ้นไป
3. โดนปลดออกหรือไล่ออกได้ง่าย : อย่างว่าเนอะบริษัทจ่ายค่าตัวเราขนาดนี้ แน่นอนความคาดหวังกับความสามารถที่เรามีก็ย่อมสูงตาม แต่ถ้าหากเงินเดือนที่ได้มันสูงเกินจริงกว่าความสามารถของเรา การถูกพิจารณาให้ปลดจากตำแหน่ง หรือโดนไล่ออกนั้นจะง่ายกว่าพนักงานระดับปฏิบัติการทั่วไปที่เงินเดือนหมื่นต้นๆ อารมณ์แบบเงินเดือนเป็นแสนแต่ฝีมือไม่ถึง ซึ่งถ้าใครที่เห็นคนระดับนี้เอะอะเปลี่ยนงาน เอะอะย้ายที่ทำงานบ่อยๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากการทำงานไม่ได้ตาม Performance ที่ต้องการและโดนปลด ฉะนั้นต้องระวังดีๆ และต้องมั่นใจว่าเงินเดือนที่เราขอหรือเราได้สมควรแล้วสำหรับ Skill ที่เรามีจริงๆ หรือไม่เราก็ต้องไป Up Skill ให้มันเทียบเท่ากับเงินเดือนที่เราได้ ไม่งั้นจ้างตั้งแพงแต่ทำงานไม่ได้เขาไม่เก็บไว้ให้เปลืองงบฯ หรอก
4. อย่าถามหา Work Life Balance : ไอ้ความคาดหวังตามกระแสนิยมว่าชีวิตเราต้องมี Work Life Balance อันนี้เลิกคิดไปได้เลย เพราะยิ่งเราเติบโตมากขึ้นงานเราก็จะมากขึ้น จุกจิกขึ้น ปัญหาที่ต้องแก้เยอะขึ้น จนมันลุกล้ำชีวิตส่วนตัวที่แม้แต่วันหยุดก็ยังต้องคิดเรื่องงาน ไปเที่ยวพักผ่อนก็ยังโดนตามงาน 5 ทุ่ม เที่ยงคืนยังคุยเรื่องงานกับผู้บริหาร เพราะมันไม่ใช่ว่าหัวหน้าเราสั่งอย่างนึง ไปทำงานเสร็จแล้วจบ แต่มันต้องคิดต่อว่าเราจะบริหาร วางแผน และแก้ปัญหาทีมอย่างไรให้มันดีขึ้น เส้นกันระหว่างงานกับชีวิตจะบางหรือแทบไม่เหลือ รู้แหละว่ามันไม่ดี แต่ถ้างานเกิดความเสียหายจากการเพิกเฉยของเรา เพียงเพราะว่านี่ไม่ใช่เวลางานของฉันเลยไม่แก้ ก็เตรียมตัวโดนสอบและถูกถีบออกได้เลย
สรุปนะ เงินเดือนสูงๆ เยอะๆ มันก็ดีแหละ ใครๆ ก็อยากรายได้สูงกันทั้งนั้น เพื่อไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ ซึ่งมันแทบไม่ได้ใช้ แต่ว่า Skill Set เราต้องเหมาะกับเงินเดือนด้วย เพราะไม่มีใครจ้างเราเป็นแสนให้มานั่งกระดิกตีนทำงานสบายๆ หรืองานพื้นฐานที่เงินเดือน 20,000 ทำได้หรอกจริงมั้ย
แต่พอมาทำธุรกิจเองปุ๊บหนักกว่าเดิมอี๊ก!!!

16/09/2023

เมื่อวานนี้เป็นวันสุดท้ายที่พนักงานของ JKN ในทีมกองบรรณาธิการฝ่ายข่าวและทีมสตูดิโอ จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงภายในบริษัท พนักงานราว 50 ชีวิตก็ต้องตกงาน ในฐานะผมก็เคยทำงานที่นั่นในช่วงแรกๆ ที่ก่อตั้งช่อง และเป็นเพื่อนร่วมอาชีพสื่อ ที่เคยผ่านชีวิตที่ไม่มั่นคง ทำงานไปก็ระแวงไปว่าเราจะตกงานตอนไหน บริษัทจะปลดพนักงานตอนไหน ถ้าเกิดขึ้นชีวิตจะเป็นยังไง จะหาเงินยังไง จะกินจะอยู่ยังไง เพราะเราก็ไม่ใช่คนเก่งที่แบบว่าตกงานปุ๊บที่อื่นรอชวนไปทำงานด้วยปั๊บ เราก็แค่คนทำงานธรรมดาๆ ไม่ได้เก่งหรือโดดเด่นอะไร
มานั่งนับย้อนกลับไปนี่ก็ผ่านมาแล้ว 4 ปีกับการหลุดออกจากการเป็นพนักงานในองค์กร หลุดจากวงจรชีวิตมนุษย์เงินเดือน แล้วใช้ชีวิตที่เลือกสร้างเองที่เริ่มต้นจากการเป็นฟรีแลนซ์ ก่อนจะค่อยๆ ขยับมาเป็นเจ้าของกิจการ ตอนแรกคิดว่าเราจะรอดได้ยังไง ไม่น่าเกิน 3 เดือนต้องหาที่ทำงานใหม่ ยอมลดเงินเดือน หรือเปลี่ยนสายอาชีพเพื่อไม่ให้ตกงานแน่ๆ แต่สุดท้ายมันก็รอดนะ แถมยังมีแรงมากพอที่จะช่วยให้ชีวิตคนอื่นให้รอดไปด้วย
เราเห็นหลายคนต้องเผชิญกับการตกงาน เปลี่ยนงาน โดน Lay off เลิกจ้าง กิจการปิด ปรับลดพนักงาน โดยเฉพาะในชีพสายงานสื่อแบบเรา เหมือนชีวิตที่ไร้ความมั่นคง ทำงานไปก็ต้องพะวงไปว่าจะโดยกับตัวเองวันไหนสักวัน
เราคือคนหนึ่งที่เคยอยู่ในสภาพนั้น เพราะเรารู้ว่าเราไม่ใช่คนเก่งจัดๆ ที่มีตัวเลือกในชีวิตเยอะ หรือใครก็อยากช้อนเราไปทำงานต่อที่อื่นเลย เราคือคนธรรมดา ที่ธรรมดาจริงๆ ในสายอาชีพไม่ได้เก่งหรือโดดเด่นกว่าใคร ในวันที่เราถูกให้ออกจากงานมันน่าเจ็บปวดนะ เราผิดอะไร เราไม่เก่งตรงไหน เกิดคำถามวนเวียนในหัวตลอดเวลา
แต่วันที่เราเห็นเพื่อนร่วมสายอาชีพจำนวนมากตกงาน หรือให้ออกจากงานเพราะบริษัทต้องการลดต้นทุน เราเข้าใจพวกเขามากๆ แต่พวกเขาไม่ทันได้วางแผนเตรียมใจที่จะรับมือเพราะมันกระทันหัน แล้วยังไม่รู้ว่าชีวิตจะเอายังไงต่อ ยิ่งบางคนอายุก็มากแล้วยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่
วันที่ผมเลือกว่าไม่เอาแล้ววงจรแบบนี้ ขอใช้ชีวิตที่ตัวเองเลือกกำหนดเองดีกว่า วันแรกก็ไม่เห็นหรอกอนาคตอยู่ตรงไหน จะรอดมั้ย รู้ว่าถ้าไม่ทำอ่ะเรานี่แหละจะไม่รอดแน่ๆ แต่ผ่านวันเวลาไป ชีวิตมันก็เดินมาเรื่อยๆ ตามวันและเวลามันพิสูจน์ว่าปีที่ 1 รอด ปีที่ 2 รอด ปีที่ 3 ก็ยังรอด ปีที่ 4 พาคนอื่นรอดไปด้วยอีก 6-7 ชีวิต แล้วยิ่งมั่นใจว่าวันนั้นเลือกถูกมากที่ตัดสินใจแบบนี้
เราไม่ได้เก่งกว่าใคร แต่เราเลือกทำในสิ่งที่คนอื่นมองว่าเป็นไปไม่ได้ เลือกที่จะบอกเราเพ้อฝัน เพ้อเจ้อ หัวเราะเยาะเราในตอนนั้น แต่เราก็แค่ทำอย่างที่เราเชื่อมั่น และวันนี้มันตอบตัวเราได้แล้วว่า เราไม่เคยกังวลเรื่องการขาดรายได้เลยแม้แต่น้อย เรามีชีวิต มีโอกาสที่ดี และมีความสุขที่จะเดินต่อในเส้นทางสายผู้ประกอบการ และสร้าง ขยายธุรกิจของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ
แน่นอนว่าพอมาทำธุรกิจเราก็เจอโจทย์ยากๆ ใหม่ๆ ในฐานะผู้ประกอบการที่ต้องแบกรับสารพัดเรื่อง สารพัดปัญหา คิดแค่ว่าทำอย่างไรที่จะให้น้องๆ พนักงานทุกคนมีเงินเดือนทุกๆ เดือนสม่ำเสมอ และทำงานกับเราอย่างมีความสุข มีอนาคตที่จะได้เติบโต มันคือความท้าทายอีกแบบที่เราต้องเจอในสนามที่เราไม่คุ้นเคย
เราเชื่อว่าไม่มีใครเคยทำอะไรมาก่อนตั้งแต่เกิดหรอก มันก็ต้องลองผิดลองถูกกันมาทั้งนั้นแหละ แล้วให้ทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าดีหรือร้ายเป็นบทเรียนคอยสอนตัวเรา ให้เราพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในแต่ละวัน
เราแค่อยากจะบอกว่าให้กำลังใจทุกคนในทุกๆ สายอาชีพที่ไม่รู้ว่าอนาคตตัวเองนั้นมั่นคงหรือไม่ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท และพึงระลึกเสมอว่าเรามีสิทธิ์ที่จะโดนแจ็กพอตได้ทุกเมื่อ เงินที่ได้ก็ต้องแบ่งเก็บ หรือไม่ก็มองหาอาชีพหรือช่องทางรายได้เสริมไว้เป็นกระเป๋าเงินสำรองชีวิตบ้าง เพราะเราพึ่งพารายได้ทางเดียวไม่ได้อีกต่อไป และหมั่นเรียนรู้ทักษะชีวิตใหม่ๆ อัปเดตเพื่อให้เรายังคงมีโอกาสมากกว่าคนอื่นในวันที่วิชาความรู้ของเราตอนนี้มันกำลังเก่าหรือตกยุกแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นเมื่อวันที่เราโดนแจ็กพอต เราจะได้ยังไปต่อกับชีวิตได้
เป็นกำลังใจให้กับทุกๆ คนผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ครับ

ห่างหายไปนานจากเพจ เพราะที่ผ่านมางานยุ่งรัดตัว และมีหลายอย่างที่ต้องทำ จนไม่มีเวลาจะมาเล่าอะไรให้ฟังเลย ซึ่งแน่นอนว่าคนค...
07/06/2023

ห่างหายไปนานจากเพจ เพราะที่ผ่านมางานยุ่งรัดตัว และมีหลายอย่างที่ต้องทำ จนไม่มีเวลาจะมาเล่าอะไรให้ฟังเลย ซึ่งแน่นอนว่าคนคงคิดว่าผมทิ้งเพจไปแล้ว
แต่พอดีได้มีเวลาจะกลับมาทำละ เพื่อเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ผมไปเจอมา น่าจะมาเรื่อยๆ ให้ได้ติดตามกัน ตอนนี้ผมอยู่ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม พอดีมีธุรต้องมาเรื่องงานที่นี่ ซึ่งทำให้ได้เห็นความเป็นไปของเมืองใหญ่อันดับที่ 1 ของประเทศที่ไม่ใช่เมืองหลวงในด้านต่างๆ ซึ่งต้องบอกว่านี่เป็นมุมมองของผมที่มาที่นี่ ไม่ใช่ในฐานะนักท่องเที่ยว แต่มาเพื่อภาระกิจเรื่องาน ซึ่งเป็นเพียงมุมมองของผมที่พอจะสรุปได้ประมาณนี้
🔵 สิ่งที่น่าชื่นชมในโฮจิมินห์ซิตี้
🔹 รถเมล์เป็นระบบแอร์ทั้งหมดไม่มีรถร้อนแล้ว ราคาแค่ 7 บาทตลอดสาย ออกจากสนามบินก็ 7 บาท แต่รถเมล์มีน้อยมากๆ และคนก็เหมือนไม่ค่อยจะนิยมใช้ขนส่งมวลชนกัน เพราะทุกบ้านมีมอเตอร์ไซค์เอาไว้แว๊นไปไหนมาไหนสบายกว่า
🔹 ต้นไม้ใหญ่เยอะมากกก โคตรร่มรื่น มีทุกถนนใจกลางเมือง เดินเที่ยงๆ บ่ายๆ ก็ไม่ร้อน ทั้งๆ ที่เมืองตั้งอยู่ระนาบเดียวกับชุมพร ผิดกับกรุงเทพฯ คือ ร้อนอบอ้าวไฟไหม้ เดินกลางแจ้งไม่ได้แสบผิว แค่ออกจากชายคาบ้านก็เหงื่อแตกแล้ว
🔹 ค่าครองชีพไม่หนีไทยค่อนไปทางถูกกว่า รายได้แบบคนไทยใช้จ่ายที่นี่สบายตัว แต่ถ้าเป็นคนท้องถิ่นก็ถือว่าแอบสูง ด้วยรายได้คนที่นี่ถือว่ายังต่ำกว่าไทยประมาณเท่าตัว
🔹 สายไฟลงดินในพื้นที่ส่วนใหญ่ของทั้งเมือง ไม่ว่าจะถนนใหญ่ ถนนเล็ก ดูแล้วสะอาดตาดี ต้นไม้เลยโตเต็มที่ไม่โดนตัดหัวโกร๋นแบบใน กทม. ความโชคดีที่ในยุคที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ได้ปลูกเอาไว้ และไม่โดนไถ โดนตัดไป
🔹 พื้นที่สีเขียว พื้นที่สาธารณะเยอะมาก เดินเข้าถึงง่ายไม่มีรั้วกั้นแบบที่ต้องตั้งใจไปถึงจะเข้าสวนแบบบ้านเรา เดินข้ามถนนตรงไหนก็ได้ ก็เข้าสวนแล้ว
🔹 เมืองสะอาดกว่า เป็นระเบียบกว่าฮานอย คนดูมีมารยาทสากลมากกว่า ถือว่าค่อนข้างเซอร์ไพรส์ เพราะมาตรฐานที่เซตเอาไว้คือประมาณมะนิลา ซึ่งนอกจากย่านธุรกิจหลัก นอนนั้นสกปรกมาก แต่ที่โฮจิมินห์สะอาดกว่ามาก ถือว่าพัฒนาเมืองได้ดีเลยแหละ
🔹 ยังไม่เจอการโกงแบบที่เขาโดนๆ กันนะ ไม่เจอเรื่องการทอนตังไม่ครบ หรือปัญหาการเดินมายัดทัวร์ให้เราซื้อ อาจจะมีในเมืองอื่นๆ แต่ที่นี่ไม่เจอ คนค่อนข้างไม่จุ้นจ้านกับเราถ้าเราไม่เดินไปถามแม่ค้า ไม่ซื้อของก็ไม่มีด่าลับหลังหรือแสดงท่าทางไม่พอใจแบบที่รีวิวกันนะ แค่แยกย้ายก็จบ
🟠 สิ่งที่เฉยๆ กับโฮจิมินห์ซิตี้
🔸 รถเยอะแบบ เยอะมากกกกกกกกกก ความหนาแน่นของมอไซค์คือกรุงเทพฯ สู้ไม่ได้เลย น่าจะเพราะถนนส่วนใหญ่ไม่ได้กว้างขวาง แถมบีบแตรกันสนั่นทั้งที่มีเหตุผลและไม่มีเหตุผล คือถ้าเอาแตรออกนี่คนเวียดนามคงลงแดงตายแน่ๆ
🔸 การข้ามถนน อย่าหวังว่าเขาจะจอดชะลอให้ ถ้าจะข้ามให้ดูจังหวะดีๆ ก็เดินข้ามเลย อย่าวิ่ง อย่ายึกๆ ยักๆ เดี๋ยวเขาหลบไม่ถูกเราจะโดนชน แรกๆ ก็ไม่ชินหรอก แต่อยู่สักครึ่งวันเดินบ่อยๆ ก็เซียน เพราะเราข้ามไฮเวย์ 6 เลน 8 เลน ก็ข้ามไปกลับได้หลายรอบแล้ว 55555
🔸 วินัยจราจรแทบไม่ต่างจากไทย ลักไก่ฝ่าไฟแดง หรือเบียดแทรก ยกเว้นเรื่องใส่หมวกกันน็อก ที่นี่คนใส่แบบ 100% ทั้งคนซ้อนคนขับ ต่อให้ไปแค่ใกล้ๆ ก็ใส่ แถมไม่ค่อยเจอการขี่ย้อนศรน่ารังเกียจแบบไทย มีแอบขี่ขึ้นทางเท้ามีบ้าง แต่ไม่มาเป็นคาราวานแบบใน กทม.
🔸 ทุกที่มีแต่คน คน คน แล้วก็คน ด้วยขนาดเมืองมันเล็กกว่ากรุงเทพฯ แต่มีประชากรเกือบเท่ากรุงเทพฯ คือ 12 ล้าน (โฮจิมินห์ซิตี้ 10 ล้าน) อะไรๆ ก็เลยดูหนาแน่นไปหมด คนเลยเยอะไปเสียทุกที่ วุ่นวายดี
🔸 อาหารติดหวาน+เค็ม หวานแบบตัดขา เค็มแบบฟอกไต กินไม่เคยหมดสักมื้อ
🔸 ผู้หญิงสวย หุ่นดี ผิวดีมีเยอะ แต่ผู้ชายหล่อๆ หายากมาก วัยรุ่นหรือคนทำงานบ้านเราเจอได้เกลื่อนถนน แต่ที่นี่คนหน้าตาดีๆ ไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่ทรงแบบเนิร์ดใส่แว่นหนาๆ แถมส่วนใหญ่จะตัวเล็กกว่าคนไทย ส่วนสูงโดยเฉลี่ยจะเตี้ยกว่าคนไทย โภชนาการอาจจะยังไม่ดีเท่า เด็กไทยสูง 180 นี่แทบจะมาตรฐาน แต่ที่นี่ผมสูง 173 ยังดูสูงกว่าคนเวียดนามโดยทั่วไป แถมดูค่อนข้างผอมบางไม่มีมัดกล้ามเนื้อ แต่ประชากรวัยหนุ่มสาวเยอะ แทบไม่ค่อยเจอคนสูงอายุ
🔸 แฟชั่นล้าหลังกว่าไทยหลายปี เทสการแต่งตัว การเลือกเสื้อผ้าคนไทยชนะขาดลอย ห้างก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าเดิน หรูสุดคล้ายๆ เดอะมอลล์ชานเมือง แต่เล็กกว่ามาก
🔸 ศิลปะ วัฒนธรรม ไม่ได้ว้าว เพราะความที่ได้รับอิทธิพลจากจีนสูงมาก เลยคล้ายๆ จีน แต่ความแกรนด์น้อยกว่าเยอะ สายชอบเรื่อง culture จะผิดหวังมาก
🔸 ความ Nice ของผู้คนน้อยกว่าไทย เพราะอาจจะด้วยประเทศเพิ่งเริ่มพัฒนา ผู้คนเลยคร่ำเคร่งก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน เรื่องความละเอียดละออทางสุนทรียะของผู้คนเลยไม่มี ดูกระด้างๆ แต่เขาก็ดูพยายามจะส่งเสริมนะ แต่มันยังห่างไกลมากจากการปลูกฝังในบุคลิก
🔸 ที่เที่ยวน้อย น้อยแบบแทบไม่มีอะไรให้เที่ยวเลยในตัวเมือง ยิ่งไม่ค่อยมีขนส่งมวลชนยิ่งเดินทางไม่สะดวก รถเมล์น้อย รถไฟฟ้ายังไม่เสร็จ ถึงเสร็จก็สายสั้นๆ ไม่ผ่านจุดใจกลางเมือง ถ้าเทียบกับ กทม. แล้ว ที่เที่ยวที่ไปคือเยอะแบบทั้งชีวิตก็เที่ยวไม่หมด
🔸 อสังหาริมทรัพย์ที่นี่แพงกว่ากรุงเทพฯ คอนโด 1 ห้องนอน 32 ตารางใกล้ตัวเมืองราคาแพงกว่าคอนโดฯ ในย่านสุขุมวิท รัชดา สาทร แถมดีไซน์โบราณ ไม่ค่อยสวย คนทั่วไปที่นี่รายได้ต่อหัวไม่สูงนัก เงินเดือนไม่ค่อยมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ และราคาอสังหาฯ แพง การจับจองที่อยู่อาศัยราคาสูงๆ เลยตกอยู่ในมือชาวต่างชาติเสียเยอะ
🔸 แต่คนท้องถิ่นที่เริ่มรวย หรือมีรายได้สูงก็เพิ่มขึ้นรวดเร็วจากเศรษฐกิจที่เติบโต รถยุโรปหรูๆ จึงมีให้เห็นบ้าง แต่ไม่มาก นอกนั้นมีแต่รถเกาหลีฯ เกลื่อนเมือง
📍 สรุป : บินมาโฮจิมินห์ เหมือนบินมาต่างจังหวัดของไทย ให้อารมณ์เมืองใหญ่ ไม่ได้ดีว้าว แต่ไม่ได้ได้แย่ ไม่ได้ทันสมัย สะดวก หรือสนุกเท่า กทม. มาเที่ยวแบบเปลี่ยนที่นอน 2 - 3 วันก็พอ เพราะไม่ค่อยมีไรทำ แล้วบินต่อไปที่อื่นๆ แทน จึงไม่แปลกใจที่ทำไมคนเวียดนามจึงแห่มาเมืองไทยกันมากเป็นอันดับที่ 4 ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทย

07/02/2023

การตายในหน้าที่ของคนทำสื่อฯ จริงๆ ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ก็มีพี่ๆ พนักงานของสื่อช่องใหญ่เก่าแก่ ตายคาห้องทำงานเช่นกัน
พูดตามตรงว่าอาชีพสื่อฯ มวลชนเป็นอาชีพที่ทำงานหนัก เกือบทุกที่ทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ มีวันหยุดแค่วันเดียว การทำงานเกินเวลาเป็นเรื่องที่โคตรปกติ โดยเฉพาะสายข่าว ซึ่งเราก็คือคนๆ นั้นที่เคยผ่านชีวิตแบบนี้มาแล้ว และอยู่กับมันเป็นสิบๆ ปี
เชื่อหรือไม่ว่า สื่อใหญ่เกือบทุกช่อง พนักงานของสถานีที่ต้องทำงานล่วงเวลาแทบไม่มี OT ซึ่งมันไม่มีมาตั้งแต่ที่เข้าสู่ยุคทีวีดิจิทัล เพราะแต่ละช่องต่างเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันกับการลงทุนที่มหาศาล และเกิดสภาวะขาดทุนยับเยินจนหลายช่องต้องปิดตัวลงอย่างที่เป็นข่าว
และการแข่งขันเพื่อช่วงชิงเรตติ้งและเม็ดเงินโฆษณา ทำให้คนในวงการนี้ต้องทำงานหนักอย่างมากโดยเฉพาะคนเบื้องหลัง และคนภาคสนาม ซึ่งแลกมากกับเงินเดือนอันน้อยนิด เมื่อเทียบกับคนเบื้องหน้า
ในฐานะที่ผมเองก็ผ่านชีวิตของการเป็นคนเบื้องหน้าและเบื้องหลังมาหมดแล้ว และอยู่มาหลายช่อง ผมบอกได้เลยว่า พนักงานระดับปฎิบัติการทั่วไปเช่น ผู้สื่อข่าวภาคสนาม ช่างภาพ ฝ่ายเทคนิค ตัดต่อ ฝ่ายออกอากาศ หรือแม้แต่พนักงานรีไรท์ข่าว รายได้ต่อเดือนต่างจากผู้ประกาศข่าว หรือพิธีกรราว 2 - 10 เท่า แถมทำงานหนักกว่ามาก
เช่นนักข่าวภาคสนาม เงินเดือนราว 20,000 บาท บวกค่า OB รายงานสดนอกสถานที่ (ซึ่งมีแค่บางช่อง) รวมแล้วอาจจะได้ 23,000 ต่อเดือน ทำงาน 9 ชั่วโมง++ ซึ่งในความจริง ไม่มีหรอก 9 ชั่วโมงเนี่ย ลากกันไป 12 ชั่วโมงกันแทบทั้งนั้น
แต่ผู้ประกาศข่าว หรือพิธีกร ถ้าเป็นพนักงานประจำช่องเอกชน เงินเดือนขั้นต่ำที่ได้เลยคือ 30,000++ บาท และยังมีค่าอ่านต่อชั่วโมงหรือต่อรายการราว 800 - 3,000++ บาท
ถ้าเป็นผู้ประกาศประจำมีรายการที่ต้องนั่งประจำของตัวเองทุกวัน ก็บวกค่าอ่านไป 6 วันต่อสัปดาห์ = 4,800 - 12,000++ บาท
ทำงานเดือนนึงมี 24 วัน 19,200 - 72,000++ บาท
รวมๆ แล้วรายได้ต่อเดือนก็อยู่ที่ราว 40,000 - 100,000++
นี่คือรายได้ขั้นต่ำของผู้ประกาศข่าว ซึ่งจริงๆ แล้วผู้ประกาศข่าวหรือพิธีกรอาจจะได้มากกว่านี้ในปัจจุบัน แถมถ้าใครไปอ่านแทนสล็อตของเพื่อนที่ต้องสลับหรือลาหยุดกัน ก็ได้ค่าอ่านเพิ่ม รวมทั้งยังสามารถใช้ชื่อเสียงไปรับงานนอก รับเป็นพิธีกรนอกได้อีกด้วย โดยเรตค่าตัวต่อชั่วโมงก็หลักหมื่นขึ้นต่อ 1 อีเวนท์
โดยไม่จำเป็นต้องนั่งแช่อยู่ที่สถานีตลอดเวลา บางช่องเข้างานก่อนหน้ารายการจะเข้าเพียงชั่วโมงเดียว แต่งหน้าทำผม เปลี่ยนเสื้อผ้า และวิ่งเข้าสตูฯ อ่านเสร็จออกไปพักผ่อน ไปนอนงีบ หรือไปรับงานต่อได้ ไม่ต้องอยู่ครบลูปประจำเช่นคนทำงานเบื้องหลัง
บางคนที่มีชื่อเสียงประมาณหนึ่งรายได้มากกว่า 200,000 ต่อเดือน หรืออาจจะถึง 400,000 ต่อเดือน ขึ้นอยู่กับการดีลซื้อตัวไป และชื่อเสียงของคนๆ นั้น
เชื่อมั้ยว่าในขณะที่คนเบื้องหลังเงินเดือนแทบไม่ขึ้น หรือขอให้ลดเงินเดือน แต่คนเบื้องหน้าจะเป็นตำแหน่งท้ายๆ ที่ถูกให้ขอลดเงินเดือน เพราะจริงๆ ช่องกลัวการย้ายช่องของผู้ประกาศข่าวมากๆ เพราะนั่นคือโลโก้ของช่อง ไม่ต่างจากดารา - นักแสดง
ฐานันดรของผู้ประกาศข่าวนั้นมีอภิสิทธิ์ค่อนข้างสูงในสถานี หลายช่องมีที่จอดรถเฉพาะให้เหมือนผู้บริหาร มีลิฟต์ส่วนตัวที่ไม่ต้องไปใช้ปนกับพนักงาน สามารถขึ้นลิฟต์ตรงไปที่สตูดิโอได้เลย
นี่คือประสบการณ์ตรงของผมที่เคยทำงานนะ ไม่ได้จะมาดิสเครติดใคร แต่จะบอกให้เห็นภาพว่า ในสังคมคนทำข่าวเอง ก็มีคุณภาพชีวิตที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างคนเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ซึ่งหลายช่องให้ความสำคัญไม่เท่ากัน
ทุกวันนี้นับช่องได้เลยว่าที่ไหนให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งแทบไม่มีแล้ว บางช่องพนักงานเป็นการต่อสัญญารายปี รายสองปี บางช่องเป็นระบบไซน์คอนแทคฯ และไม่มีสวัสดิการใดๆ
บางครั้งทำให้คิดได้ว่า อาชีพที่เป็นดังความภาคภูมิใจของคนที่เข้ามาอยู่อาชีพนี้ เป็นฐานันดรที่ 4 ของสังคม เป็นกระบอกเสียงที่ทำงานอย่างหนักหน่วง แต่คุณภาพชีวิตกลับตรงกันข้ามจริงๆ

07/12/2022

เมื่อวานนี้พรรคเพื่อไทยมีการแถลงนโยบายหาเสียงพรรค เพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า โดยนโยบายหนึ่งที่สร้างให้เกิดคำถาม โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการคือ นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และปริญาตรี เริ่มที่ 25,000 บาท
แน่นอนว่ามันคือนโยบายหาเสียงเพื่อเรียกคะแนนเสียง เพราะอย่างที่ทราบคือตอนนี้รายได้กับรายจ่ายไม่สัมพันธ์กัน ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ภาษีที่สูงขึ้น รายจ่ายที่มากขึ้น
เอาจริงๆ ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ต้องทำงานแลกเงิน ก็คงรู้สึกว่ามันน่าจะดีเมื่อแรงงาน ลูกจ้าง หรือพนักงานมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่เชื่อหรือไม่ว่ากลไกต่างๆ ที่จะตามมาหารายได้เพิ่มขึ้นจริงๆ แบบกระโดดคือ ค่าครองชีพ เพราะเพียงแค่จะมีข่าวการปรับขึ้นค่าจ้างเมื่อไหร่ ราคาสินค้า และการครองชีพ จะพุ่งสูงแซงหน้าไปก่อนเสมอ เพราะมันไปกระทบกับต้นทุนการผลิต และต้นทุนธุรกิจของผู้ประกอบการ
คือแบบนี้ ต้นทุนค่าแรงพนักงานนับเป็นหนึ่งใน fixed costs ที่ขึ้นแล้วขึ้นเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการนำไปคำนวณต้นทุน ประกอบกับค่าวัตถุดิบ ค่าใช่จ่ายด้านสาธารณูปโภค ค่าเช่าอาคาร ค่านั่น ค่านี่ รวมทั้งภาษีธุรกิจ ที่รวมเข้าในอยู่ในสินค้าหรือบริการ
ยังไม่รวมอัตราแปรผันของเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ราคาพลังงานที่ไม่สามารถเอาแน่เอานอนได้และปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าลดลง
ขณะที่อัตราการขยายตัวของดีมานด์และเศรษฐกิจเป็นไปอย่างชะลอตัว สวนทางกับการขึ้นค่าแรง ทำให้ความเสี่ยงที่ต้นทุนจะทับตัวตายและกำไรบางเฉียบ หรือขาดทุนไปเลย
ผลที่ตามมาคือ อัตราการจ้างงานจะลดลง และการปลดพนักงานจะสูงขึ้นโดยเฉพาะตำแหน่งที่อยู่แล้วไม่ได้สร้างมูลค่าให้กับองค์กร เพราะบริษัทจะไม่เลือกแบกต้นทุนที่สูญเปล่า หรือเก็บคนที่ทำงานน้อยเอาไว้เป็นต้นทุน และต้องมีการรีดทักษะคนทำงานชนิดที่ว่าเลือดทุกหยดต้องเป็นทองคำ ถ้าเป็นน้ำเปล่าก็ไร้ค่า
ในฐานะที่ทำธุรกิจด้วย ผมมองว่าถ้าวันนึงค่าแรงเพิ่ม มันกระทบต่อ Cash flow ธุรกิจอย่างแน่นอน เพราะขนาดธุรกิจไม่ได้ใหญ่ และรายได้ไม่สูง ฉะนั้นโปรเจคการรับพนักงานใหม่จะหยุดชะงัก โอกาสที่คนตกงานหรือเด็กจบใหม่จะได้งานทำจะยิ่งน้อยหรือแทบไม่มี
และถ้าให้เลือกระหว่างการรับคนจบใหม่ที่ไม่รู้เลยว่าฝีมือจะเป็นยังไง กับการเพิ่มค่าจ้างให้คนเก่าที่อยู่มาก่อนและรู้ฝีมือกันดี ก็คงจะเลือกอย่างหลังแทน เพราะไม่มีความเสี่ยง และที่สำคัญเราเห็นผลงานกันมาอยู่แล้ว แต่อาจจะเพิ่มงานให้ทำเพิ่มขึ้นอีก ไม่ทีทางที่จะใช้คนแค่ 1 หรือ 2 ทักษะอย่างแน่นอน เรียกว่างานหนักเพื่อให้คุ้มค่าจ้าง
อีกทั้งอาจจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการใช้เทคโนโลยีทดแทนแรงงานคนมากขึ้น งานที่ไม่ต้องใช้ทักษะจะถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรหรือ AI ที่ลงทุนครั้งเดียวใช้ได้ยาวๆ ไม่มีความเยอะเรื่องแบบมนุษย์
ส่วนการจ้างคนก็เลือกคนที่เป็นตัวท็อปเพียงไม่กี่คนที่ต้องผ่านการคัดเลือกที่เข้มข้นมากกว่าเดิม ยากกว่าเดิม และโอกาสน้อยลงกว่าเดิม คนธรรมดาทั่วๆ ไปจะถูกคัดออก เพราะจ้างไปก็ไม่คุ้มเงิน และโอกาสที่เด็กจบใหม่ที่ไม่เจ๋งจริง ไม่มีผลงาน ไม่ใช่ตัวท็อป แค่ค่าเฉลี่ยคนธรรมดาๆ ทั่วไปจะได้งานก็แทบหมดโอกาส เพราะก็ไม่มีใครอยากจ้างคนฝีมือธรรมดาๆ มาทำงาน การแข่งขันจะสูงขึ้น ต้องบอกว่ามันไม่ต่างอะไรกับสังคมเกาหลี ที่ที่ยืนในสังคมมีได้ให้คนเก่งเท่านั้น และทิ้งคนธรรมดาๆ ไว้ข้างหลัง
หลายคนไม่เข้าใจว่าการที่ค่าแรงเพิ่มแบบไม่เป็นไปตามโครงสร้างทางเศรษฐกิจตามจริงมันไม่ได้ส่งผลดีเลย เพราะเมื่อค่าแรงจะขึ้นเพียงเพราะนโยบายประชานิยม สิ่งที่จะขึ้นก่อนค่าแรงคือ ค่าครองชีพ ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่าย ต้นทุนการใช้ชีวิตก็พุ่งหนีไปก่อนแล้ว ฉะนั้นค่าแรงที่ขึ้นแบบกระโดดอย่างไม่สมเหตุสมผล และไม่ได้วางรากฐานให้แน่น สิ่งที่ตามมาคือโครงสร้างทางเศรษฐกิจจะพังแทน
ที่ผ่านมาผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายเล็ก รายกลาง รายย่อยไม่ได้รับการดูแล และเข้าถึงแหล่งเงินในระบบง่ายเหมือนรายใหญ่ ซึ่งทำให้สายป่านธุรกิจไม่ได้ยาวพอจะเติบโตได้ท่ามกลางต้นทุนที่สูง ซึ่งผลที่ตามมาคือรายจ่ายไม่สมมาตรกับรายได้ และไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือสนับสนุนโดยภาครัฐ โดยเฉพาะการลดภาระผู้ประกอบการที่เพื่อให้กับการพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการเติบโต
หากต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้นแบบกระโดด คิดดูว่าตอนนี้ข้าวแกงตามสั่งจานละ 60 คิดว่าถ้าเกิดมันกระโดดขนาดนั้นราคาอาหารจะพุ่งขนาดไหน ยังไม่รวมค่าครองชีพอื่นๆ ที่หนีไปแบบตามไม่ทันค่าครองชีพ
รวมการย้ายฐานการผลิตของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่เลือกไปลงทุนยังประเทศที่มีทักษะใกล้เคียงกันหรือสูงกว่า แต่ค่าแรงน้อยกว่ามันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างน้อยแน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำถามคือแล้วทำไมจะขึ้นไม่ได้ จะกดค่าแรงเหรอ?
ไม่มีใครอยากจะมานั่งกดค่าแรงหรอก ทุกคนทำงานก็ต้องการได้เงิน แต่ในประเทศที่ค่าแรงสูงๆ คุณต้องไปดูโครงสร้างเศรษฐกิจภายในดูว่าเขาทำอย่างไร
แน่นอนคือการเพิ่มผลิตภาพ และการที่ภาครัฐเอื้อประโยชน์ด้วยนโยบายทางภาษี การพยุง การอัดฉีด และการหาตลาดควบคู่กับการสนับสนุนทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อให้ฐานมีความแข็งแรงพอและมูลค่าการผลิตสูงขึ้นก่อน แล้วค่าแรงจะขยับตาม ไม่ใช่การบังคับให้ต้องกำหนดเพดานค่าแรง แต่ไม่พูดเลยว่าจะช่วยเหลืออย่างไรให้โครงสร้างพื้นฐานแข็งแรงก่อน
ในฐานะคนทำงานก็อยากได้เงินเดือนสูงๆ ในฐานะผู้ประกอบการก็อยากให้เงินเดือนสมเหตุสมผล ฉะนั้นการจะปรับขึ้นค่าจ้างก็คงต้องรอบคอบอย่างมาก เพราะหากเป็นการบีบบังคับ และไม่ได้ช่วยเหลือ เอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการบ้าง ถ้า SMEs ที่มีประมาณ 2 ล้านกว่าราย คิดเป็น 30% ของขนาดเศรษฐกิจไทยล้มครืนขึ้นมา แทนที่จะทำให้เกิดการสร้างงาน จ้างงาน อาจจะมีคนตกงานหรือไม่ได้งานอีกหลายล้านคน ซึ่งเศรษฐกิจก็พัง

หายจากการอัพเดทในเพจไป 2 เดือนเนื่องจากภาระงานเยอะมาก และไม่ค่อยได้ออกเดินทางไปไหน แต่พอดีช่วงหนึ่งมีกระแสการปรับปรุงภูม...
06/08/2022

หายจากการอัพเดทในเพจไป 2 เดือนเนื่องจากภาระงานเยอะมาก และไม่ค่อยได้ออกเดินทางไปไหน แต่พอดีช่วงหนึ่งมีกระแสการปรับปรุงภูมิทัศน์ริมคลองแม่ข่า ตรงแนวเส้นกำแพงดิน ในตัวเมืองเชียงใหม่ แล้วมีคนไปถ่ายรูป ไปรีวิวว่าเหมือนบรรยากาศของคลองประเทศเกาหลี หรือญี่ปุ่น ซึ่งมันก็คือการพัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้นจริงๆ จากภาพที่หลายคนไปเห็นมา
ก่อนหน้านี้ผมเคยไปพื้นที่แถวนี้สมัยที่ยังต้องทำข่าว ทำรายการ เกี่ยวกับสังคมเมืองและสิ่งแวดล้อม คลองแม่ข่าตอนนั้นต้องยอมรับว่า สภาพน้ำ สภาพแวดล้อม คือแย่มาก ดูไม่ได้จริงๆ และพบการบุกรุกรุกล้ำริมฝั่งคลอง ตามบ้านเรือนปล่อยน้ำเสียลงไปในคลอง คลองมีสภาพน้ำที่ดำและเน่าเหม็น ไร้สิ่งมีชีวิต เป็นเพียงคลองน้ำคลำที่รองรับน้ำสกปรกจากบ้านเรือน ตึก และอาคารต่างๆ ที่ไหลเทลงมา คงไม่ใช่พื้นที่ที่ใครอยากจะไปเยือนสักเท่าไหร่
แน่นอนว่าการริเริ่มฟื้นฟูคลองแม่ข่าพูดกันมานานมาก เปลี่ยนมาหลายสมัยผู้ว่าฯ น่าจะไม่ต่ำกว่า 10 ปี แต่สุดท้ายก็ไม่ค่อยจะเป็นรูปธรรมสักเท่าไหร่ เนื่องจากมีการคัดค้าน มีปัญหาเรื่องงบประมาณ ความไม่ต่อเนื่องของโครงการ
ในรูปที่ผมยืนอยู่บนสะพานนั้น ถ่ายเมื่อประมาณปี 2019 ซึ่งผมไปลงพื้นที่ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นของเชียงใหม่ หัวเรี่ยวหัวแรงในการที่จะฟื้นฟูคลองแห่งนี้
ถ้าจำไม่ผิดคนที่เป็นคนนำในเรื่องนี้เคยเล่าให้ผมฟังว่า การฟื้นฟูคลองแม่ข่านั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะใช่ว่าคนเชียงใหม่ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ หรือแม้แต่คนที่อาศัยอยู่ริมคลองจะให้ความร่วมมือ เพราะต้องยอมรับว่าบางพื้นที่เป็นการบุกรุกเข้าไปอยู่อาศัยสร้างสิ่งปลูกสร้างกีดขวางทางน้ำ จนคลองบางช่วงแคบกว่ารางระบายน้ำฝนเสียอีก
แต่ด้วยความพยายามผลักดันที่จะฟื้นฟูคลองให้ได้ ประกอบกับได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในเมืองเชียงใหม่ ทำให้การพัฒนาของแม่ข่าค่อยๆ เป็นรูปธรรมที่ระเล็กทีละน้อย
อย่างว่าแหละตอนที่มีการจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงอะไรย่อมมีผู้คัดค้าน แม้แต่นักวิชาการเชียงใหม่บางคนก็คัดค้าน เพราะไม่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม มีการยกข้ออ้างต่างๆ นานา เช่นอ้างว่าตลิ่งแบบนี้จะพัง สัตว์ร้ายที่มากับน้ำจะเข้าบ้านคน เปิดพื้นให้คนนอกเข้ามาทำให้เกิดอาชญากรรม บลาๆ
ถ้ามองในมุมผมนะ คลองแม่ข่าเองเคยอยู่ในสภาพที่เน่าและทรุดโทรมมาไม่รู้กี่ 10 ปี ทำไมนักวิชาการ นักสังคมเหล่านี้ไม่เคยออกมาพูดถึงเลย ปล่อยให้สภาพสังคม สภาพแวดล้อมที่เป็นบ้านเกิดของตัวเองดูแย่แบบนั้นมาแล้วก็มองข้าม
หากเปรียบเทียบภาพซ้ายและภาพขวา แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงทางภูมิทัศน์มันชัดเจน ใครจะมองว่าดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นก็แล้วแต่มุมมอง แต่สำหรับผมมองว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีมาก อย่างน้อยสภาพน้ำกลับมาใสสะอาดกว่าเดิม สิ่งมีชีวิตพวกปลาและสัตว์น้ำต่างๆ สามารถดำรงอยู่ได้ ดีกว่าน้ำเน่าแบบเดิมที่เคยเป็นมาตลอดระยะเวลาก่อนที่ผมจะเกิด แล้วเปิดพื้นที่ให้การสัญจรนั้นเดินทางได้ง่ายเชื่อมต่อระหว่างถนนใหญ่และชุมชนที่อยู่ริมคลอง มีปริมาณไฟส่องสว่าง มีพื้นที่สันทนาการของคนในชุมชน และอาจจะเป็นการสร้างเศรษฐกิจชุมชนจากการที่มีคนเดินทางไปเยี่ยมชม ไปท่องเที่ยว จะเปิดคาเฟ่ เปิดร้านกาแฟ หรือทำเป็นเกสเฮ้าส์ก็ยังได้ ภูมิทัศน์และความสวยงามมันดีขึ้นแล้ว
ที่นี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของคนในชุมชนแล้วแหละว่าจะสามารถรักษาสภาพแบบนี้เอาไว้ได้นานเท่าไหร่ รวมถึงระบบในการจัดการกับสิ่งปฏิกูลต่างๆ แน่นอนว่าเขามีการวางระบบท่อน้ำทิ้งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ให้ไหลลงสู่ลำคลองเหมือนอย่างที่เคย
และบ้านเรือนเริ่มมีการปรับปรุงให้มีความสวยงามสอดคล้องกับภูมิทัศน์แล้วด้วย ซึ่งเป็นชาวบ้านเองที่ปรับปรุงบ้านของพวกเขา
มันน่าจะเป็นทิศทางที่ดีขึ้นและหลังจากนี้ไปก็คงจะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ จุดของเมืองเชียงใหม่ เพื่อให้เป็นเมืองที่ไม่ใช่แค่เมืองน่าท่องเที่ยว แต่ต้องเป็นเมืองที่น่าอยู่ของคนในพื้นที่เองด้วยเช่นกัน

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เล่าทุกเรื่อง กับริชาร์ตผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์