Thailand Industrial today

Thailand Industrial today นำเสนอข่าวสาร สาระน่ารู้เกี่ยวกับธุรกิจอุตสาหกรรมทุกประเภท MAGAZINE FOR LEADERS IN EVERY INDUSTRIAL BUSINESS

♦ สถาบันอาหาร - ส.อ.ท. - สภาหอการค้าฯ ชี้ส่งออกอาหารไทยครึ่งปีแรก 67 โต 9.9% มูลค่า 8.5 แสนล้านบาทสถาบันอาหาร สภาอุตสาหก...
20/08/2024

♦ สถาบันอาหาร - ส.อ.ท. - สภาหอการค้าฯ ชี้ส่งออกอาหารไทย
ครึ่งปีแรก 67 โต 9.9% มูลค่า 8.5 แสนล้านบาท
สถาบันอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยการส่งออกสินค้าอาหารของไทย 6 เดือนแรกปี 2567 มีมูลค่า 852,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 ลุ้นครึ่งปีหลังขยายตัวต่อเนื่อง คาดอัตราต่ำกว่าครึ่งปีแรก หรือในราวร้อยละ 7.8 มีมูลค่า 797,568 ล้านบาท มั่นใจเป้าส่งออกทั้งปี 67 จะแตะ 1.65 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 8.8 หลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในภาคเกษตรที่ต่อเนื่องมาจากในช่วงครึ่งปีแรก ค่าเงินบาทยังคงผันผวนและมีทิศทางแข็งค่าขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราค่าระวางเรือ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ แจงตัวเลขไทยส่งออกอาหารไปจีนเกินดุลปี 2566 มูลค่า272,000 ล้านบาท ครึ่งปีแรก 2567 เกินดุลมูลค่า 131,866 ล้านบาท

ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย สถาบันอาหาร//การแถลงข่าวร่วม 3 องค์กรเศรษฐกิจด้านธุรกิจเกษตรและอาหาร มีตัวแทนหลักของทั้ง 3 องค์กร ประกอบด้วย ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต ร่วมให้รายละเอียด

ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือของ 3 องค์กร ในส่วนของสถาบันอาหารจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้การดำเนินงานของศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร โดยมีสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมบูรณาการข้อมูล พบว่า การส่งออกสินค้าอาหารไทยในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 แตะระดับ 852,423 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 ปัจจัยหลักมาจากความต้องการสินค้าอาหารไทยในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบหลักในการแปรรูปหลายรายการอ่อนตัวลง โดยราคาปลาทูน่าที่ลดลงส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมปลาทูน่าแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยง กลุ่มผู้ผลิตซอสได้รับต้นทุนน้ำตาลและถั่วเหลืองที่มีราคาถูกลง ราคากากถั่วเหลืองและราคาข้าวโพดที่ลดลงเอื้อต่อผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุตสาหกรรมไก่ การลดลงของราคาข้าวสาลีในตลาดโลกช่วยลดต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ขนมปังกรอบ รวมทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น

สำหรับกลุ่มสินค้าที่ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นและส่งผลบวกต่อภาพรวมส่งออกอาหาร ได้แก่ ข้าว (+25.3%/+55.7%) แป้งมันสำปะหลัง (+21.1%/+30.5%) อาหารสัตว์เลี้ยง (+20.7%/+41.7%) ปลาทูน่ากระป๋อง (+20.7%/+19.2%) ซอสและเครื่องปรุงรสรส (+10.7%/+16.7%) และผลิตภัณฑ์มะพร้าว (+19.7%/+29.4%) ส่วนกลุ่มสินค้าที่ปริมาณส่งออกลดลง ส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านผลผลิต โดยเฉพาะผลไม้สดที่ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 11.9 น้ำตาลทราย ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 46.4 กุ้ง ปริมาณส่งออกลดลง ร้อยละ 6.8 และสับปะรด ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 13.0

“ทั้งนี้ ปริมาณและราคาส่งออกข้าวไทยเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการตลาดโลกหลังอุปทานข้าวโลกตึงตัวจากการที่อินเดียยังคงจำกัดการส่งออก การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงและปลาทูน่ากระป๋องขยายตัวสูง อานิสงส์จากราคาปลาทูน่าที่อยู่ในระดับต่ำ ความต้องการปลาทูน่ากระป๋องในกลุ่ม OEM มีแนวโน้มโดดเด่นเพราะได้รับประโยชน์จากราคาขายลดต่ำลงตามต้นทุนวัตถุดิบ ซอสและเครื่องปรุงรสรสขยายตัวจากการที่ผู้ประกอบการไทยเน้นการรุกตลาดซอสบนโต๊ะอาหาร (Dipping/Table Sauces) รสชาติเผ็ดร้อนมากขึ้น หลังจากซอสในกลุ่มดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ในประเทศฝั่งชาติตะวันตกทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา การส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าวขยายตัวสูงในกลุ่มกะทิที่นำไปประกอบอาหารในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย รวมถึงกะทิที่ผสมและใช้เป็นเครื่องดื่มสุขภาพในตลาดจีน”

ตลาดส่งออกอาหารไทยในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 ส่วนใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับสูง อาทิ แอฟริกา (+38.5%) โอเชียเนีย (+29.0%) สหรัฐอเมริกา (+23.0%) สหราชอาณาจักร (+17.2%) ตะวันออกกลาง (+16.7%) สหภาพยุโรป (+14.4%) CLMV (+12.5%) และญี่ปุ่น (+8.4%) มีเพียงตลาดส่งออกไปยังประเทศอินเดีย (-18.1%) และจีน (-5.0%) ที่หดตัวลง โดยอินเดียหดตัวลงตามสินค้าน้ำมันปาล์มเป็นหลักและหันไปนำเข้าน้ำมันถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดจีนหดตัวลงตามสินค้าผลไม้สด(ทุเรียน) กุ้ง และไก่สดแช่แข็ง เป็นต้น

ดร.ศุภวรรณ กล่าวต่อว่า สำหรับมูลค่าการค้าอาหารโลก 6 เดือนแรก ปี 2567 หดตัวลงร้อยละ 4.0 มูลค่าการค้า 933 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยประเทศผู้ส่งออก 9 อันดับแรกของโลก มีอันดับโลกไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา บราซิล เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี จีน ฝรั่งเศส สเปน แคนาดาและอิตาลี ตามลำดับ สำหรับประเทศไทยส่งออกในรูปดอลลาร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เป็นอันดับที่ 12 ของโลก

“แนวโน้มการส่งออกอาหารไทยในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมีมูลค่า 797,568 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 โดยการส่งออกในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะมีมูลค่า 395,536 ล้านบาท และ 402,032 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 และ 9.9 ตามลำดับ โดยภาพรวมในปี 2567 คาดว่าการส่งออกของอาหารไทยจะมีมูลค่า 1.65 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เทียบจากปีก่อน(66) ที่มีมูลค่า 1.51 ล้านล้านบาท มีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการที่ประเทศคู่ค้ากังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร หลายประเทศขาดศักยภาพในการผลิตสินค้าเพื่อการแข่งขันในตลาดโลก สินค้าอาหารไทยมีภาพลักษณ์ด้านคุณภาพมาตรฐานและได้รับความเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออกขยายตัวต่ำกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในภาคเกษตรที่ต่อเนื่อง ค่าเงินบาทยังคงผันผวนและมีทิศทางแข็งค่าขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราค่าระวางเรือ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค

อย่างไรก็ตามในประเด็นข้อกังวลเรื่องการนำเข้าสินค้าอาหารจากจีนในกลุ่มผัก ผลไม้ที่มีปริมาณมากขึ้นนั้น จากข้อมูลการค้าอาหารระหว่างไทยกับจีนในปี 2566 พบว่าไทยส่งออกไปจีนที่มูลค่า 370,000 ล้านบาท ขณะที่นำเข้าจากจีนมูลค่า 98,000 ล้านบาท เกินดุล 272,000 ล้านบาท สินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีน ได้แก่ ผลไม้สด ทูน่าลอยน์ และวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยมีสัดส่วนร้อยละ 25 ร้อยละ 5 และร้อยละ 4 ตามลำดับ สินค้าที่ไทยส่งออกไปจีน เช่น ผลไม้สด แป้งมันสำปะหลัง น้ำตาลทราย โดยมีสัดส่วนร้อยละ 60 ร้อยละ 9 และร้อยละ 8 ตามลำดับ ส่วนในครี่งปีแรก 2567 ไทยเกินดุลการค้าอาหารกับจีน มูลค่า 131,866 ล้านบาท”

ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านการส่งออก ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการค้นหาและกลั่นกรองลูกค้าที่มีศักยภาพทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ๆ เพื่อขยายโอกาสของสินค้าอาหารไทยในอนาคต ขณะเดียวกันก็ต้องหันกลับมามองตลาดในประเทศด้วยว่าปัจจุบันมีสินค้าอะไรบ้างที่กำลังถูกเบียดแย่งส่วนแบ่งตลาดจากสินค้านำเข้า โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากประเทศจีนที่รุกหนักมากทั้งธุรกิจร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ที่เชื่อมโยงไปสู่สินค้าเกี่ยวเนื่อง ตัวอย่างเช่น เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มชนิดต่างๆ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ผักและผลไม้อบแห้ง ขนมขบเคี้ยวต่างๆ เป็นต้น ซึ่งตลาดอาหารในประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพทั้งมิติของตลาดในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยที่มีมากถึง 65 ล้านคน และกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคนต่อปี จึงเป็นที่หมายปองของหลายๆ ประเทศ

ดังนั้น การบรรลุเป้าหมายด้านความปลอดภัย ความมั่นคง และความยั่งยืนของสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องมีมาตรการติดตามและเฝ้าระวังสินค้าอาหารและเครื่องดื่มจากจีน รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการไทยต้องมีกลยุทธ์ในการปรับตัวรับสภาวะการแข่งขันดังกล่าว ทั้งในด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนสินค้า การรักษาคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยอาหาร การมุ่งเน้นการผลิตสินค้าตามที่ตลาดต้องการ ตลอดจนการเฟ้นหาลูกค้าและตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ทางธุรกิจเหล่านี้เชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญช่วยให้สินค้าอุตสาหกรรมอาหารของไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าต่างชาติได้ทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก

ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนและภาคผลิตของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งการส่งออกอาหารไทยยังมีปัจจัยจากแรงกดดันเรื่องต้นทุนค่าระวางเรือ ส่งผลให้ผู้นำเข้าปลายทางชะลอการนำเข้าโดยตรง ประกอบกับสินค้าที่ประเทศจีนสามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก ส่งผลทำให้ตลาดต่างๆ อยู่ในภาวะการแข่งขันสูง ดังนั้น ยังคงต้องติดตามการตอบโต้ทางการค้าของประเทศปลายทางด้วย

“ประเด็นที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและติดตามใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาทที่ผันผวนอย่างรุนแรง จากมาตรการทางการเงินของประเทศต่างๆ ที่เริ่มมีการลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ เบื้องต้นผู้ประกอบการต้องประกันความเสี่ยงค่าเงิน ส่วนในภาพรวมธนาคารแห่งประเทศไทยต้องติดตามนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ อย่างใกล้ชิด และแก้ไขสถานการณ์ให้ทันเหตุการณ์ไม่ปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าจนไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของการส่งออกของประเทศไทยที่ยังเป็นส่วนสำคัญในการชี้ชะตา GDP ของไทยในอนาคต”

สุดท้ายนี้ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ภายใต้นโยบาย “Connect-Competitive-Sustainable” เราได้มุ่งมั่นยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเกษตรและอาหารของไทย โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนโครงการอันส่งผลต่อการเพิ่มศักยภาพธุรกิจเกษตรและอาหารตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ อาทิ จัดตั้งศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร หรือ ศูนย์ AFC ร่วมกับภาคีเครือข่าย 28 องค์กร เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าล้นตลาดและราคาตกต่ำให้เกิดเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งได้ร่วมมือกับสถาบันอาหารในการศึกษารูปแบบบริหารจัดการเครือข่ายความร่วมมือ และสร้างต้นแบบการบริหารจัดการ Food Valley ในจังหวัดขอนแก่นภายใต้โครงการ Khon Kaen Food Valley Cluster เพื่อขยายผลให้เป็น Role Model ไปในจังหวัดต่างๆ ตลอดจนการรณรงค์บริโภคอาหารโปรตีนทางเลือกในการประชุมภายในองค์กรอย่างน้อย 30% ของมื้ออาหารปกติ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจอาหารจากโปรตีนทางเลือกของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายมูลค่าอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของไทย 500,000 ล้านบาทในปี 2570 ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์เป้าหมาย SDGs และ BCG เท่านั้น แต่ยังจะเป็นการจัดการและเพิ่มมูลค่าของ Food waste และ Food loss ในระบบการผลิตอาหาร เพื่อความยั่งยืนของเกษตรกรผู้ประกอบการและความยั่งยืนของโลกอีกด้วย

♦ “ถิรไทย” โตสวนกระแสโกยรายได้รวม 1,504.27 ล้านบาท♦ กำไรสุทธิพุ่ง 149.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 210.00 ล้านบาท หรือ 247.14%บร...
20/08/2024

♦ “ถิรไทย” โตสวนกระแสโกยรายได้รวม 1,504.27 ล้านบาท
♦ กำไรสุทธิพุ่ง 149.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 210.00 ล้านบาท หรือ 247.14%

บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า และอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศ เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 มีกำไรสุทธิสำหรับผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 149.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 210 ล้านบาท หรือร้อยละ 247.14%

นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 ว่า โดยบริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 149.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 210.00 ล้านบาท หรือร้อยละ 247.14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 60.45 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายหม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีรายได้รวม 1,504.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 796.44 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 112.52 ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งมอบหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังขนาด 333.3 MVA 525kV ที่เพิ่มขึ้น โดยรายได้จากการบริการยังคงอยู่ในระดับเดิมที่ 85.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.42 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.69



ในส่วนของกำไรขั้นต้น จากการขายอยู่ที่ร้อยละ 24.71 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 10.61 โดยเป็นผลมาจากความสำคัญที่ตลาดให้กับคุณภาพของหม้อแปลงไฟฟ้าที่สูงขึ้น สำหรับกำไรขั้นต้นจากการบริการอยู่ที่ร้อยละ 49.03 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 36.98 เนื่องจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยได้พยายามขยายฐานลูกค้าที่มีความต้องการเฉพาะทางมากขึ้น



สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้นเป็น 33.46 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.21 จากปีก่อน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลงเหลือ 113.74 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.65 เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากนโยบายการเพิ่มประสิทธิภาพในทุกส่วนขององค์กร


นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นใจให้กับลูกค้า และผู้ถือหุ้นของเราด้วยการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นคุณภาพและความคุ้มค่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอีกด้วย

♦ เคอิซูปุโรสุ และ เอสเคเอส บิลดิ้ง เมนเทนแนนท์ เปิดตัวบริษัท เลเซอร์คลีนนิ่ง เอสเค♦ พร้อมรุกตลาดทำความสะอาดล้ำสมัยบริษั...
20/08/2024

♦ เคอิซูปุโรสุ และ เอสเคเอส บิลดิ้ง เมนเทนแนนท์ เปิดตัวบริษัท เลเซอร์คลีนนิ่ง เอสเค
♦ พร้อมรุกตลาดทำความสะอาดล้ำสมัย
บริษัท เคอิซูปุโรสุ จำกัด นำโดย นายโคจิ คาโต ประธานบริษัท (กลาง) และ บริษัท เอส เค เอส บิลดิ้ง เมนเทนแนนท์ จำกัด นำโดย นายวรดิศ ธนภัทร ประธานกรรมการ (ซ้าย) ได้ร่วมกันเปิดตัว บริษัท เลเซอร์ คลีนนิ่ง เอสเค จำกัด เพื่อให้บริการและจำหน่ายโซลูชั่นทำความสะอาดด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ล้ำสมัย

บริษัท เลเซอร์ คลีนนิ่ง เอสเค จำกัด มุ่งเน้นการให้บริการในอุตสาหกรรมโรงงานต่าง ๆ เช่น โรงงานอาหาร โรงงานเหล็ก โรงงานเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อากาศยาน รางรถไฟ ปิโตรเคมี และอื่น ๆ ด้วยนวัตกรรมทำความสะอาดด้วยเลเซอร์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

นอกจากนี้ บริษัท เลเซอร์ คลีนนิ่ง เอสเค จำกัด ยังได้จับมือกับพันธมิตรชั้นนำ คือ บริษัท พรพลอะนาลิติคอล จำกัด โดย คุณพลสิน เตชะมณีสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ (ขวา) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและรุกตลาดในประเทศไทยอย่างเต็มที่

♦ EGCO Group ชู 3 เป้าหมายขับเคลื่อนความหลากหลายทางชีวภาพ♦ ในงานวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ปี 2567ดร.วรพงษ์ สินสุข...
20/08/2024

♦ EGCO Group ชู 3 เป้าหมายขับเคลื่อนความหลากหลายทางชีวภาพ
♦ ในงานวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ปี 2567

ดร.วรพงษ์ สินสุขถาวร ผู้จัดการฝ่ายแผนงาน EGCO Group หนึ่งในผู้ร่วมเสวนาจากภาคเอกชน เปิดเผยว่า“EGCO Group มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม ให้เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน มากว่า 32 ปี โดยให้ความสำคัญกับการดูแลด้านความหลากหลายทางชีวภาพตลอดห่วงโซ่อุปทานของการดำเนินงาน พร้อมกันนี้ ได้กำหนดนโยบายและตั้งเป้าหมายในการขับเคลื่อนด้านความหลากหลายทางชีวภาพ 3 ด้าน ได้แก่ 1) ไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียคุณค่าด้านความหลากหลายทางชีวภาพสุทธิ (No Net Loss) และมุ่งมั่นลดผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพจากกิจกรรมตลอดทั้งวงจรชีวิตของโรงไฟฟ้า 2) สร้างผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพสุทธิเชิงบวก ในทุกการดําเนินงานและตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Net Positive Impact) และ 3) หลีกเลี่ยงการดำเนินงาน การสำรวจ การควบรวมและเข้าซื้อกิจการโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ใกล้กับพื้นที่ที่เป็นเขตป้องกันขององค์การระหว่างประเทศเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติ (The International Union for Conservation of Nature: IUCN) หรือเป็นพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในขณะเดียวกัน EGCO Group ยังร่วมดูแล อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและป่าต้นน้ำในพื้นที่สำคัญของประเทศไทย ผ่านการดำเนินงานของมูลนิธิไทยรักษ์ป่า มากว่า 22 ปี”

EGCO Group ได้ดูแลความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่เข้าไปดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ โรงไฟฟ้าขนอม จ.นครศรีธรรมราช ที่มีโครงการจัดทำข้อมูลฐานสัตว์บ่งชี้ความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งด้านประเภท ชนิด จำนวน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิต ในช่วงก่อนและหลังการก่อสร้างโรงไฟฟ้า รวมถึงมีโครงการสำรวจประชากรโลมา ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนม ที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญด้านความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเล มีความโดดเด่นและมีความสำคัญทางสังคมในด้านการท่องเที่ยวของ อ.ขนอม ในขณะที่โรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration จ.ระยอง มีโครงการลดการใช้น้ำที่ใช้ในการหล่อเย็น ด้วยการนำน้ำกลับมาใช้ซ้ำเพิ่มจาก 8 รอบ เป็น 11 รอบ สำหรับโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ มีโครงการอนุรักษ์เต่าทะเล ควบคู่กับโครงการฟื้นฟูป่าชายเลนที่ถูกกัดเซาะ ในขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานลม Boco Rock ในออสเตรเลีย มีโครงการศึกษาระบบนิเวศและร่วมดูแลค้างคาว ซึ่งเป็นสัตว์ประจำถิ่นที่สำคัญ เป็นต้น



นอกจากนี้ EGCO Group ยังได้ดำเนินงานด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าต้นน้ำที่สำคัญของประเทศไทย ผ่านมูลนิธิไทยรักษ์ป่า องค์กรสาธารณกุศลที่ EGCO Group ก่อตั้งและสนับสนุนการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2545 เพื่อดำเนินภารกิจ 3 ด้านหลัก ได้แก่ การอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนบนแนวคิด “คนอยู่ได้ ป่าอยู่ได้” ผ่านโครงการ “หมู่บ้านไทยรักษ์ป่า” การสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายชุมชน ผ่าน “เครือข่ายชุมชนไทยรักษ์ป่า” ในหลายพื้นที่ เพื่อพัฒนาศักยภาพของชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการปลูกจิตสำนึกเยาวชนและประชาชน ผ่าน “โครงการเครือข่ายเยาวชนไทยรักษ์ป่า” และ “โครงการพัฒนาเส้นทางศึกษาธรรมชาติ”



ทั้งนี้ ภายในงานวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ประจำปี 2567 EGCO Group ยังได้ร่วมจัดนิทรรศการการดูแลความหลากหลายทางชีวภาพตลอดห่วงโซ่อุปทานของโรงไฟฟ้าในกลุ่มเอ็กโก ทั้งในและต่างประเทศ และการดำเนินงานของมูลนิธิไทยรักษ์ป่า ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานอย่างมาก

♦ สแกนเนีย เจ๋ง กวาดแชร์ตลาดรถบรรทุกเพิ่ม♦ สวนกระแสตลาดรวมชะลอตัวแรงนายลุค มูแลน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สแกนเนีย สยาม จ...
20/08/2024

♦ สแกนเนีย เจ๋ง กวาดแชร์ตลาดรถบรรทุกเพิ่ม
♦ สวนกระแสตลาดรวมชะลอตัวแรง

นายลุค มูแลน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด กล่าวถึงการดำเนินธุรกิจของสแกนเนียที่ให้ความสำคัญและมุ่งเน้นด้านความยั่งยืนว่า นโยบายดังกล่าวเป็นหัวใจที่ สแกนเนีย ยึดมั่นและสนับสนุนมาโดยตลอด กับการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ดังนั้นการเปิดตัวรถบรรทุก สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 วันนี้ จึงไม่ใช่แค่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่เป็นความตั้งใจในการส่งผ่านสิ่งที่ดีที่สุดแก่ธุรกิจและสังคม

โดยรถบรรทุก สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 เป็นรถที่เรามุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่อง มุ่งหวังที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ เนื่องจากมาตรฐานยูโร 5 ของสแกนเนีย ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเฉพาะมาตรฐานการปล่อยมลพิษเท่านั้น แต่เป็นการยกระดับนวัตกรรมและเทคโนโลยีรถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซลสันดาปใหม่หมด โดยเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีแรงบิดสูงขึ้น แต่ประหยัดน้ำมันได้ดีขึ้นมากกว่า 8% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม มีการเพิ่มระบบเบรคเสริมใหม่ช่วยยกระดับทั้งความปลอดภัยและการสึกหลอของอะไหล่มากกว่าเดิม ปล่อยมลพิษน้อยกว่ารถบรรทุกยูโร 3 มากถึง 5 เท่า ซึ่งการพัฒนา สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 นั้น ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปี วิ่งทดสอบในสภาพถนนจริงมามากกว่า 10 ล้านกิโลเมตร และจำหน่ายทั่วโลกมาแล้วกว่า 2 ปี ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในวงการขนส่ง

ซึ่งความคุ้มค่าของรถบรรทุก สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 ในมุมของธุรกิจและผู้ประกอบการ จะอยู่ที่การได้รถที่เป็นนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกไปใช้งาน ประหยัดน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของธุรกิจ และมีโอกาสมากขึ้นในการได้สัญญาจ้างงานของหลายบริษัทที่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ส่วนของคนขับก็ขับขี่ด้วยความมั่นใจมากขึ้นจากประสิทธิภาพและระบบความปลอดภัยของรถในทุกสภาพถนน ลดการเกิดอุบัติเหตุและลดการเหนื่อยล้าจากการขับขี่ นอกจากนั้นการลดการปล่อยไอเสียเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนให้แก่โลกอีกด้วย

นางสาวดวงใจ พงศ์ประเทืองสุข ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการงานขายและกลยุทธ์ประจำประเทศไทย บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด กล่าวถึงการเติบโตของตลาดรถบรรทุกว่า กลุ่มที่เติบโตได้ คือ กลุ่มรถขนส่งเชื้อเพลิงปิโตเลียม น้ำมัน วัตถุอันตราย ซึ่งวิ่งงานในประเทศและระหว่างประเทศ และกลุ่มขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมากหรือมีโครงสร้างขนาดใหญ่ (Heavy Haulage) เป็นการวิ่งงานโครงการก่อสร้างที่ได้จากนโยบายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงโครงการขนาดใหญ่ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น รถทั้ง 2 กลุ่มที่ยังมีแนวโน้มเติบโต เป็นกลุ่มที่นิยมเลือกใช้รถบรรทุกสแกนเนีย ทำให้ยอดจดทะเบียนรถสแกนเนียปีที่ผ่านมาและปีนี้แทบไม่ลดลงเลย โดยตอนนี้ลูกค้าเร่งซื้อรถบรรทุก สแกนเนีย Euro3 ล็อตสุดท้าย และได้แรงส่งจากประกาศของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) ที่กำหนดให้รถบรรทุกใหม่ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ต้องผ่านมาตรฐาน Euro5 ทำให้สแกนเนีย ซึ่งมีรถบรรทุก Euro5 พร้อมอยู่แล้ว ไม่รอช้าที่จะเปิดตัวรถบรรทุก สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 (Scania Super Euro5) ขึ้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทย

ด้านแผนและกลยุทธ์การตลาดนั้น ก่อนการเปิดตัวได้เปิดการจองล่วงหน้า (Pre Booking) กับลูกค้าไปบ้างแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีมียอดจองสูงถึง 40 คัน ส่วนหลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะมีการจัดโรดโชว์ (Road Show) ไปยังทั่วประเทศเพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองขับและสัมผัสถึงประสิทธิภาพของ สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 ที่แท้จริง นอกจากนั้นยังมีกลยุทธ์เสริมสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถ สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 ได้ง่ายขึ้น โดยทาง สแกนเนีย ไฟแนนซ์ ได้เปิดเงื่อนไขพิเศษแก่ผู้สนใจมีทั้งดาวน์ 0% และการเช่าดำเนินงาน (Operating Lease) ที่เป็นอีกทางเลือกช่วยให้ลูกค้าผ่อนค่างวดได้ถูกลงอย่างมาก

สำหรับ สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 ที่นำเข้ามาจำหน่ายในครั้งนี้ เป็นรถหัวลากทั้ง 4 รุ่น โดย 3 รุ่นจะเป็น 420 แรงม้า และอีกหนึ่งรุ่นเป็น 460 แรงม้า แต่ละรุ่นเหมาะกับลักษณะงานไม่เหมือนกัน

- รุ่น P420 A6x2NZ จะเป็นรถบรรทุกลากหางที่เป็นตู้ผ้าใบ เป็นพื้นเรียบ หรือตู้คอนเทนเนอร์

- รุ่น P420 A6x2NA (ADR) เป็นรถบรรทุกแท็งก์น้ำมันหรือสารเคมี จะมีอุปกรณ์ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการขนส่งที่เป็นลักษณะการขนส่งวัตถุอันตราย

- รุ่น P420 A6x2NA เป็นรถบรรทุกเพลาเดียวเหมือนกัน แต่มีระบบเบรกเสริมรีทาร์เดอร์ มีถังน้ำมันเสริมอีกถังหนึ่ง เพื่อตอบโจทย์การขนส่งขึ้นเขาหรือขนส่งระยะทางไกลข้ามประเทศ

- รุ่น G460 A6x4NZ เป็นรถบรรทุกที่มีแรงม้ามากขึ้น เป็นรถขับเคลื่อน 2 เพลา เหมาะกับการขนส่งเครื่องจักรที่มีน้ำหนักมาก

สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 นั้น นับว่ามีความคุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างมาก เพราะไม่ใช่แค่พัฒนาระบบบำบัดไอเสีย แต่เป็นการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด ให้แรงบิดและแรงม้ามากขึ้น และยังประหยัดน้ำมันได้มากกว่า มีระบบเบรกเสริมใหม่เพิ่มเติม รวมถึงเพิ่มรายละเอียดอื่นๆ อีกมากมายด้วย

นายณรงค์ฤทธิ์ อิทธิสารรณชัย ผู้อำนวยการสนับสนุนการขายและโลจิสติกส์ บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด ได้ให้รายละเอียดของจุดเด่นรถบรรทุก สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 ว่า นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ของ สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 มีหลายส่วนที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ที่พัฒนาระบบฉีดจ่ายน้ำมันใหม่เรียกว่าระบบ Scania XPI ที่เป็นระบบฉีดจ่ายน้ำมันด้วยแรงดันสูงทำให้เผาไหม้ได้สมบูรณ์ขึ้น จึงปล่อยไอเสียลดลง เครื่องยนต์ใหม่ถูกออกแบบมาให้ลดแรงเสียดทานพร้อมมีระบบหล่อเย็นที่พัฒนาขึ้นร่วมกัน การเปลี่ยนฝาสูบแยกเป็นฝาสูบเดี่ยวทำให้การหายใจของเครื่องยนต์ดีขึ้นมีแรงบิดมากขึ้น อย่างรุ่น 420 แรงม้า จะให้แรงบิดสูงถึง 2,300 นิวตันเมตร มากกว่าสแกนเนียรุ่นเดิมถึง 10% และยังมีรอบเครื่องต่ำกว่าเดิม ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นถึงอย่างน้อย 8% ซึ่งหากเปลี่ยนเฉพาะระบบบำบัดไอเสียอย่างเดียว อาจทำให้แรงม้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

สำหรับระบบเบรคเสริมที่เพิ่มมาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่นั้น คือ เบรค CRB ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยให้รถชะลอตัวจากการปล่อยแรงดันออกจังหวะอัด เพื่อลดกำลังเครื่องยนต์ลงเล็กน้อยทำให้รถชะลอตัว ด้านระบบบำบัดไอเสียนั้น จะไม่มีการไปยุ่งเกี่ยวกับระบบเครื่องยนต์เลย ซึ่งการกำจัดไอเสียจะใช้วิธีฉีดน้ำยาบำบัดไอเสีย หรือ แอดบลู (AdBlue) เข้าไปดักจับแก๊สไนโตรเจนออกไซด์ที่ออกมาจากเครื่องยนต์ ให้กลายเป็นไนโตรเจนและน้ำที่ไม่เป็นอันตรายก่อนปล่อยสู่ภายนอก ส่วนน้ำยาบำบัดไอเสียก็ไม่ใช่สารอันตรายและไม่ติดไฟ อัตราสิ้นเปลืองในการใช้งานนั้นอยู่ที่ 5-7 ลิตรต่อน้ำมัน 100 ลิตร ขึ้นอยู่กับการใช้งาน สภาพถนน สภาพน้ำหนักบรรทุก ความเร็วที่วิ่ง เป็นต้น ส่วนน้ำยาบำบัดไอเสียก็หาซื้อได้ไม่ยาก โดยสามารถซื้อได้จากศูนย์บริการสแกนเนียทั่วประเทศ ซึ่งนักขับสามารถดูระดับน้ำยาได้จากหน้าจอเหมือนการดูน้ำมันเชื้อเพลิง

ด้านการบำรุงรักษา อะไหล่ และการบริการนั้น เครื่องยนต์ซุปเปอร์ จะมีความคงทนและอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้น ซึ่งสแกนเนียมีความพร้อมอย่างยิ่งในการให้บริการ เพราะรถมาตรฐานยูโร 5 มีใช้ในยุโรปมาตั้งแต่ปี 2552 ทำให้ผู้ประกอบการและผู้ขับขี่ไม่ต้องกังวลกับการดูแลรักษา ซ่อมบำรุง อะไหล่ และความเชี่ยวชาญของศูนย์บริการสแกนเนียที่พร้อมช่วยเหลือ ให้คำแนะนำและแก้ไขทุกปัญหาที่เกิดขึ้น

ผู้สนใจรายละเอียดรถบรรทุก สแกนเนีย ซุปเปอร์ ยูโร 5 สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.scania.co.th หรือ โทร 02 017 9200 หรือ LINE OA: Scania TH Group หรือ www.facebook.com/scaniathailandgroup

♦ บางกอกแอร์เวย์ส ประกาศความร่วมมือด้านเที่ยวบินร่วม(codeshare partnership) กับลุฟท์ฮันซ่า และสวิสแอร์   บริษัท การบินกร...
20/08/2024

♦ บางกอกแอร์เวย์ส ประกาศความร่วมมือด้านเที่ยวบินร่วม
(codeshare partnership) กับลุฟท์ฮันซ่า และสวิสแอร์

บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ประกาศลงนามข้อตกลงในการให้บริการเที่ยวบินร่วม กับสายการบินลุฟท์ฮันซ่า และสายการบินสวิสแอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารของทั้งสองสายการบิน ในการเดินทางเชื่อมต่อไปยังจุดหมายปลายทางยอดนิยมทั้งในประเทศไทยและ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้


ภายใต้ข้อตกลงการให้บริการเที่ยวบินร่วมดังกล่าว สายการบินลุฟท์ฮันซ่า และสายการบินสวิสแอร์ จะใช้รหัสเที่ยวบินร่วมบนเที่ยวบินของบางกอกแอร์เวย์สทั้งเส้นทางบินภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยเส้นทางในบินประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ กรุงเทพฯ – ตราด กรุงเทพฯ – สมุย กรุงเทพฯ – ภูเก็ต กรุงเทพฯ – กระบี่ (ไป-กลับ) และเส้นทาง ลำปาง – กรุงเทพฯ สุโขทัย – กรุงเทพฯ และเส้นทางบินระหว่างประเทศได้แก่ กรุงเทพฯ – เสียมเรียบอังกอร์ กรุงเทพฯ – พนมเปญ สิงคโปร์ – สมุย และ หลวงพระบาง – กรุงเทพฯ


ทั้งนี้ ความร่วมมือด้านเที่ยวบินร่วมในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการเชื่อมต่อเครือข่ายเส้นทางบินให้กับสายการบินลุฟท์ฮันซ่า และสายการบินสวิสแอร์แล้ว ยังสามารถเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้ผู้โดยสารของทั้งสองสายการบินและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารในการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางบนรหัสสำรองที่นั่งเดียว และยังรวมไปถึงบริการ checked-through สัมภาระอีกด้วย


ผู้โดยสารที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม หรือสำรองที่นั่ง สามารถติดต่อสายการบินบางกอกแอร์เวยส์ได้ที่ เว็บไซต์ www.bangkokair.com หรือศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า โทร 1771 หรือ 02-2706699 (08.00 – 20.00น.)

♦ กรุงศรี คว้า 2 รางวัลยอดเยี่ยมด้านที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล♦ จากเวที ‘Citywire ASEAN Awards 2023/24’ กรุงศรี (ธนาคารก...
20/08/2024

♦ กรุงศรี คว้า 2 รางวัลยอดเยี่ยมด้านที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล
♦ จากเวที ‘Citywire ASEAN Awards 2023/24’


กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) โดย นางสาวพัสสนีย์ อุดมพาณิชย์ (ที่ 4 จากซ้าย), CFP ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์การลงทุน ร่วมแสดงความยินดีกับทีมที่ปรึกษาด้านการลงทุน Krungsri Investment Intelligence ซึ่งได้รับ 2 รางวัลยอดเยี่ยมด้านที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล จากเวทีระดับสากล Citywire ASEAN Awards 2023/24 ประกอบด้วย รางวัล ‘Best CIO Office – Thailand’ และรางวัล ‘Top 25 ASEAN Selectors – Thailand’ ที่มอบให้กับนายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา (ที่ 3 จากขวา), CFA ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่รู้จัก และได้รับความไว้วางใจในจากลูกค้ากลุ่มที่มีความมั่งคั่ง ทั้งสองรางวัลสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญของกรุงศรีในบทบาทที่ปรึกษาด้านการลงทุนส่วนบุคคล รวมทั้งศักยภาพในการพัฒนาและคัดสรรผลิตภัณฑ์การลงทุนที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครอบคลุม พร้อมช่วยบริหารต่อยอดความมั่งคั่งให้กับลูกค้า เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการเป็น “Investment Wealth Advisory Bank” อย่างแท้จริง

♦ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค พลิกโฉมการจ่ายพลังงานไฟฟ้าด้วย MasterPacT MTZ Active♦ เซอร์กิตเบรกเกอร์ สายพันธุ์ดิจิทัล ช่วยลดการ...
19/08/2024

♦ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค พลิกโฉมการจ่ายพลังงานไฟฟ้าด้วย MasterPacT MTZ Active
♦ เซอร์กิตเบรกเกอร์ สายพันธุ์ดิจิทัล ช่วยลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ MasterPacT MTZ Active ซึ่งเป็นการปฏิวัติการออกแบบเซอร์กิตเบรกเกอร์ใหม่ ควบคู่กับการสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจจะดำเนินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและดิจิทัลที่มากขึ้น MasterPacT MTZ Active ช่วยตอบโจทย์ลูกค้าต่อความท้าทายที่มีความซับซ้อนในแต่ละวัน รวมถึงความต้องการด้านเวลาในการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตลอดจนช่วยให้สามารถรับมือกับต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และข้อเรียกร้องด้านแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน

“โลกของไฟฟ้าและการใช้ดิจิทัลในด้านพลังงาน ในอุตสาหกรรม หรืออาคาร ที่มากขึ้น นับเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการกับวิกฤติพลังงานและสภาพภูมิอากาศ” นายโรฮาน เคลการ์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายผลิตภัณฑ์ทั่วโลก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “ทั้งเราและลูกค้ากำลังใช้ประโยชน์จากพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) เพื่อลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ดังนั้น MasterPacT MTZ Active คือคำตอบล่าสุดของเรา ในการช่วยเร่งให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดคาร์บอน ยืดอายุการใช้งานของสินทรัพย์ โดยไม่กระทบต่อฟังก์ชั่นการทำงานหรือความปลอดภัย”

ปัจจุบันในหลายอุตสาหกรรม มีการใช้พลังงานมากขึ้น และมีความซับซ้อนในด้านการบริหารจัดการมากขึ้นอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ อาคาร และภาคพลังงาน ไปจนถึงเคมีภัณฑ์ รวมถึง ธุรกิจ OEM ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการธุรกิจ ต่างคาดหวังว่าไฟฟ้าจะพร้อมใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญที่ Gartner ได้มีการประเมินต้นทุนความเสียหาย หากมีการหยุดทำงานของดาต้าเซ็นเตอร์ อยู่ที่ 5,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อนาที หรือมากกว่า 300,000 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ทำให้เห็นว่าการรับรองความปลอดภัยของผู้ติดตั้ง ผู้ปฏิบัติงาน และเจ้าหน้าที่บำรุงรักษาก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในอันดับแรกๆ เช่นกัน

♦ MasterPacT MTZ Active: พร้อมสำหรับการปฏิบัติการ

เป็นเวลา 35 ปี ที่ชื่อ MasterPacT เป็นตัวแทนของความหมายว่า ‘นวัตกรรมแห่งเซอร์กิตเบรกเกอร์ และความน่าเชื่อถือ’ โดย ให้บริการแล้วหลายล้านตัวทั่วโลกขณะนี้ ด้วยระบบอัจฉริยะที่มีการเชื่อมต่อกับระบบการจ่ายพลังงาน กลายเป็นสิ่งจำเป็น ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงต่อยอดและพัฒนาประสิทธิภาพของเซอร์กิตเบรกเกอร์ จนกลายเป็นนวัตกรรม MasterPacT MTZ Active มีที่มีหน่วยควบคุมไฟฟ้า ที่ทำหน้าที่เป็นสมองของเบรกเกอร์ ช่วยให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลสิ่งอำนวยความสะดวก สามารถตรวจสอบ และวัดการใช้พลังงานได้ในแบบเรียลไทม์

“เหมือนกับโซลูชั่นการจ่ายพลังงานของชไนเดอร์ อิเล็คทริค จำนวนมาก MasterPacT MTZ Active ทำให้เรามองเห็นสิ่งที่มองไม่เห็น นั่นคือ ‘พลังงาน’ โดยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถดูและติดตามการใช้พลังงานได้แบบเรียลไทม์” นายไอโอนัต ฟาร์กัส รองประทานอาวุโสฝ่าย Europe Hub, Power Products ชไนเดอร์ อิเล็คทริค “ด้วยข้อมูลที่ดูได้อย่างรวดเร็ว บริษัทที่ใช้งาน จึงสามารถตัดสินใจด้านการบริหารจัดการพลังงานได้ดีขึ้น ลดการใช้โดยไม่จำเป็น ลดขยะ และลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์”

นอกจากนี้เมื่อเซอร์กิตเบรกเกอร์หยุดทำงาน (trips) ทั้งจากการโอเวอร์โหลด การลัดวงจร หรือมีกระแสไฟฟ้ารั่วไหลจากอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งหน่วยควบคุมเพื่อลดความเสียหายแบบเร่งด่วน พร้อมด้วยโซลูชั่น QR code รายแรกในอุตสาหกรรม ของ MasterPacT MTZ Active ช่วยให้ผู้ปฏิบัติการสามารถสแกน QR code เพื่อเข้าถึงแนวทางแก้ไขที่ดีที่สุดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการหยุดทำงาน” ฟาร์กัส เผยต่อว่า “เมื่อเกิดการโอเวอร์โหลด คุณจะได้รับคำแนะนำเพื่อให้จ่ายโหลดใหม่ ให้สมดุลกันระหว่างวงจรอย่างรวดเร็ว”

♦ ยกระดับความปลอดภัยและความยั่งยืน
MasterPacT MTZ Active มาตรฐานใหม่ด้านความปลอดภัยและความยั่งยืน มาพร้อม Energy Reduction Maintenance Setting (ERMS) ภายในตัว ช่วยปกป้องอันตรายจากประกายไฟ ที่อาจเกิดกับเจ้าหน้าที่บำรุงรักษา และด้วยการออกแบบที่ใช้งานง่ายของชุดควบคุม ช่วยให้การตั้งค่าฟังก์ชั่นการป้องกันทั้งหมดสะดวกขึ้น รวมถึงเรื่องของกระแสไฟฟ้า การทดเวลา และการแจ้งเตือน

MasterPacT MTZ Active ยังเป็นเบรกเกอร์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสอดรับกับนโยบายความยั่งยืน สามารถนำมาซ่อมแซมและใช้งานใหม่ได้ โดยหากมีการติดตั้ง MasterPacT รุ่น NT/NW อยู่ก่อนแล้ว ยังสามารถอัพเกรด trip unit ให้เป็นชุดควบคุมของ MTZ Active ได้ ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเบรกเกอร์ใหม่ เป็นการลดต้นทุน และลดการเกิดของเสีย

ในขณะที่การใช้พลังงานไฟฟ้า และการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ได้เปลี่ยนแปลงการผลิต และความต้องการด้านพลังงานทั่วโลก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังคงพัฒนานวัตกรรมของ MasterPacT อย่างต่อเนื่อง โดยอิงข้อมูลจากลูกค้า เพื่อมอบประสิทธิภาพของเบรกเกอร์ที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้

♦ EGCO Group เสริมศักยภาพพนักงาน สร้างสมดุลทำงานอย่างมีความสุขด้วยความเชื่อที่ว่า “ต้นทางดี จะก่อกำเนิดผลลัพธ์ปลายทางที่...
19/08/2024

♦ EGCO Group เสริมศักยภาพพนักงาน สร้างสมดุลทำงานอย่างมีความสุข

ด้วยความเชื่อที่ว่า “ต้นทางดี จะก่อกำเนิดผลลัพธ์ปลายทางที่ดี” และเล็งเห็นว่า พนักงาน คือ ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กรและเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย EGCO Group จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาพนักงานให้มีคุณภาพ เป็นทั้งคนเก่ง คนดี และมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม และมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน โดยสร้าง “Happy Workplace” พัฒนาพนักงานให้มีศักยภาพและมีความสุขในการทำงาน

นางนันทกา โมกขาว ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group เปิดเผยว่า แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องตามค่านิยมหลัก (Core Values) ของ EGCO Group คือ 'T-R-I-E-S' ได้แก่ Teamwork ทำงานเป็นทีม Result-Oriented มุ่งผลสำเร็จของงาน Innovation คิดเชิงนวัตกรรม Ethics & Integrity ซื่อสัตย์ โปร่งใส และ Stakeholder Concerns ใส่ใจผู้มีส่วนได้เสีย ควบคู่ไปกับการดูแลพนักงานให้ทำงานอย่างมีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสมดุลการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม โดยได้เสริมสร้างรูปแบบการทำงานและส่งเสริมสวัสดิการต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับการใช้ชีวิตของพนักงานในสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น ซึ่งมีตัวอย่างการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม อาทิ

· กระตุ้นและส่งเสริมให้พนักงานมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พร้อมสนับสนุนทุกการริเริ่มขับเคลื่อนสิ่งใหม่ ๆ รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้น เช่น โครงการประกวดนวัตกรรม EGCO Group INNERGY ซึ่งเปิดพื้นที่ให้พนักงานได้เสนอและประชันไอเดียนวัตกรรม พัฒนาองค์กรให้เติบโตก้าวหน้า พร้อมสร้างโอกาสในการต่อยอดธุรกิจใหม่

· สนับสนุนความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศ ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน ด้วยการเคารพในความแตกต่าง ไม่แบ่งแยก ไม่เลือกปฏิบัติ ควบคู่กับการดูแลด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน

· ส่งเสริมให้พนักงานได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ด้วยการ Re-skill และ Up-skill ผ่าน E-Learning Platform และการอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมทั้งส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในองค์กรผ่านกิจกรรม Knowledge Sharing

· ดูแลพนักงานให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง จัดให้มีการตรวจสุขภาพประจำปี และมีประกันสุขภาพกลุ่มที่ครอบคลุม รวมทั้งมีบริการฟิตเนสภายในออฟฟิศ โดยมีอุปกรณ์ครบครัน หรือเลือกออกกำลังกายในแบบตัวเองได้ที่ศูนย์ฟิตเนสภายนอกออฟฟิศ พร้อมเทรนเนอร์ให้คำปรึกษา

· ดูแลสุขภาพใจของพนักงานร่วมกับ iSTRONG ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิต จัดให้มีจิตแพทย์คอยให้คำปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว พนักงานสามารถโทรปรึกษาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีการรายงานชื่อหรือหน่วยงานให้ทางบริษัทฯ ทราบ

· เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น ไม่บันทึกเวลาเข้า-ออกทำงาน และสามารถ ‘Work from Anywhere’ ได้ 1 วันต่อสัปดาห์

· เพิ่มความสุขในการทำงาน โดยจัดให้มี Co-working Space พื้นที่ส่วนกลางในบรรยากาศสบาย ๆ สำหรับให้พนักงานได้นัดพูดคุยเรื่องงาน พบปะสังสรรค์ หรือพักผ่อนหย่อนใจ โดยมีกิจกรรมให้เลือกมากมาย เช่น เล่นเกม ดูหนัง นวดผ่อนคลาย อ่านหนังสือ เป็นต้น

· สนับสนุนการร่วมกิจกรรมเพื่อชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม เช่น การส่งเสริมการเรียนรู้ด้านพลังงานในเยาวชนผ่าน “ศูนย์เรียนรู้โรงไฟฟ้าขนอม” การร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำและทรัพยากรธรรมชาติผ่านการดำเนินงานของ “มูลนิธิไทยรักษ์ป่า” โครงการ Khanom Model ปลูกผักอินทรีย์ปลอดสารพิษเพื่อส่งมอบให้ชุมชน โครงการเยี่ยมผู้สูงอายุและคนพิการในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าในกลุ่มเอ็กโก กิจกรรมจิตอาสาพี่เลี้ยงค่ายเยาวชนเอ็กโกไทยรักษ์ป่า เป็นต้น

“EGCO Group ดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ไม่มุ่งเพียงผลประโยชน์หรือผลกำไรสูงสุดเป็นหลักเท่านั้น แต่คำนึงถึงความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว โดยดำเนินธุรกิจควบคู่ไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ชุมชน สังคม (ESG) และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย รวมถึงพนักงานที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อน EGCO Group ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติต่อไป” นางนันทกากล่าว

ที่อยู่

Elephant Tower
Bangkok
10900

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:00
อังคาร 09:00 - 17:00
พุธ 09:00 - 17:00
พฤหัสบดี 09:00 - 17:00
ศุกร์ 09:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+6628389999

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Thailand Industrial todayผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Thailand Industrial today:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

ประเภท