CREATIVE TALK "The Future Belongs to Your Creativity"

ติดต่อฝากข่าวประชาสัมพันธ์/Media Partner: [email protected]

สนใจลงโฆษณา: [email protected]

20/12/2024

SAPPE แบรนด์เครื่องดื่มที่เริ่มต้นจากขนมครองแครง!?
มาฟังเบื้องหลังกว่าจะมาเป็นแบรนด์ SAPPE Beauti ที่เป็นแบรนด์เครื่องดื่มนวัตกรรมชั้นนำและเป็นต้นกำเนิดของ Functional drink ในไทย
ไอเดียอะไรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มาลองฟังคำตอบนี้ไปด้วยกัน!
ติดตามบทสัมภาษณ์เต็มได้ในวันเสาร์ที่ 21 ธ.ค. เวลา 19:00 น. ทาง CREATIVE TALK

รวม 100 คำถามรีวิวตัวเอง ชวนทบทวนว่าตอนนี้เราเป็นยังไงบ้างในช่วงใกล้สิ้นปีนั้น เป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมในการทบทวนตัวเอง กั...
20/12/2024

รวม 100 คำถามรีวิวตัวเอง ชวนทบทวนว่าตอนนี้เราเป็นยังไงบ้าง
ในช่วงใกล้สิ้นปีนั้น เป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมในการทบทวนตัวเอง กับเรื่องราวในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการสะท้อนตัวเอง (Self-Reflection) ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือทรงพลังชั้นดี ที่จะช่วยให้คุณสามารถเติบโตขึ้นมาได้ เพียงแค่รู้จักวิเคราะห์ตัวเอง
ก่อนจะหมดปีไป CREATIVE TALK เลยอยากจะชวนทุกคนมาคุยกับตัวเอง และคนรอบข้างด้วยกับ #มัดรวม100คำถาม ที่ช่วยให้คุณรู้จักตัวเองมากขึ้น จากจุดแข็งที่ควรพัฒนา ไปจนถึงสิ่งที่ต้องการปรับปรุงเพื่อเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า ลองเลือกตามความเหมาะสมได้เลย!
🤔 กลุ่มคำถามสะท้อนตนเองด้วยการมองหาอดีต 🤔
1. ความทรงจำแรกในชีวิตของคุณคืออะไร?
2. ความสัมพันธ์ของคุณกับพ่อแม่เป็นอย่างไร?
3. คุณมีบาดแผลทางใจในวัยเด็กที่ยังเด่นชัดอยู่หรือเปล่า?
4. สิ่งที่คุณเอาชนะมันมาได้?
5. ในอดีตคุณภูมิใจกับอะไรมากที่สุด?
6. ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของคุณคือตอนไหน? ลองเล่าเรื่องนี้แบบละเอียดหน่อย
7. ของขวัญที่ดีที่สุดที่เคยได้รับคืออะไร? แล้วทำไมมันถึงมีความหมายมากที่สุด?
8. ถ้าทำได้ จะย้อนเวลาไปเปลี่ยนอดีตไหม? แล้วทำไมถึงเลือกทำแบบนั้น?
9. บทเรียนชีวิตที่มีค่าที่สุดที่ได้เรียนรู้คืออะไร? คุณเรียนรู้มันได้ยังไง?
10. คุณใช้เวลากับใครมากที่สุดในวัยเด็ก? ความสัมพันธ์นั้นเป็นแบบไหน? แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?
11. ถ้าเขียนจดหมายถึงตัวเองในอดีตได้ คุณอยากจะเขียนบอกอะไร?
12. คุณทำเป้าหมายอะไรสำเร็จแล้วบ้าง?
13. ตอนไหนที่คุณประสบกับความพ่ายแพ้ที่หนักที่สุด? คุณเอาชนะมันได้ยังไง? ถ้าเป็นในปัจจุบันคุณจะจัดการกับเหตุการณ์นั้นอย่างไร?
14. คุณยังคงรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนวัยเด็กหรือคนสำคัญในอดีตอยู่หรือไม่? พวกเขาสบายดีไหม? พวกเขาสอนให้คุณเรียนรู้ถึงคุณค่าของอะไร?
15. ความทรงจำที่คุณชื่นชอบที่สุดคือตอนไหน? แล้วเพราะอะไร?
📌 กลุ่มคำถามสะท้อนตนเองด้วยการอยู่กับปัจจุบัน 📌
16. คุณมีความสุขไหม? ทำไมถึงมีหรือทำไมถึงไม่มี?
17. คุณกำลังเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง?
18. คุณมีกิจวัตรที่ทำอย่างสม่ำเสมอหรือเปล่า? คุณชอบมันไหม?
19. คุณต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตของคุณตอนนี้?
20. อะไรทำให้คุณนอนไม่หลับตอนกลางคืน?
21. บอก 3 คนที่สนิทกับคุณที่สุดตอนนี้คือใคร? ลองบอกความสัมพันธ์เหล่านั้นหน่อย
22. งานอดิเรกที่ชอบคืออะไร?
23. ตอนไหนที่คุณรู้สึกมีชีวิตชีวามากที่สุด? แล้วคุณจัดเวลาให้สิ่งของ หรือสถานที่เหล่านั้นบ่อยไหม?
24. ตอนนี้คุณภูมิใจกับเรื่องอะไร? แล้วทำไมถึงภูมิใจในเรื่องนั้น?
25. ตอนนี้คุณรู้สึกละอายใจกับเรื่องอะไร? แล้วเพราะอะไรถึงละอายใจในเรื่องนั้น?
26. คุณรู้สึกพอใจกับชีวิตในตอนนี้ไหม? ลองเล่าให้ฟังหน่อย
27. ด้านไหนในชีวิตของคุณที่รู้สึกว่าต้องได้รับการปรับปรุงบ้าง? อาทิ งาน / ความสัมพันธ์ / สุขภาพ และอื่น ๆ
28. ตอนตื่นนอน ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวคืออะไร?
29. คุณใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ไหน? คุณกำลังทำอะไรในที่แห่งนั้น? คุณสนุกกับมันหรือเปล่า?
30. อะไรในชีวิตที่คุณรู้สึกว่าควบคุมไม่ได้? คุณพยายามที่จะหาวิธีควบคุมสิ่งเหล่านั้นบ้างไหม? แล้วคิดว่าตัวเองสามารถควบคุมมันได้อย่างไร?
🔭 กลุ่มคำถามมองไปยังอนาคตเพื่อสะท้อนปัจจุบัน 🔭
31. ในอีก 5 ปีข้างหน้าคุณเห็นตัวเองเป็นแบบไหน?
32. แล้วถ้าเป็นในอีก 10 ปีข้างหน้าล่ะ คุณเห็นตัวเองยังไงบ้าง?
33. มีเป้าหมายอะไรที่อยากทำให้สำเร็จบ้าง?
34. มีอะไรอยู่ในเป้าหมายชีวิตของคุณบ้าง? แล้วได้ลองทำสิ่งนั้นบ้างหรือยัง?
35. ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต คุณพอใจกับมันไหม? คุณจะเริ่มใช้ชีวิตเหมือนเป็นวันสุดท้ายบนโลกได้อย่างไร?
36. ในอนาคตคุณหวังว่าจะก้าวหน้าได้จากสิ่งไหน?
37. บ้านในฝันของคุณมีหน้าตาเป็นแบบไหน? แล้วบ้านคุณในตอนนี้ คุณอยากปรับปรุงมันยังไง?
38. จงเขียนเกี่ยวกับ ‘ความสำเร็จ’ ในอุดมคติ หน้าตาของมันเป็นยังไงดูเหมือนอะไร? และจะไปถึงจุดนั้นได้ยังไง?
39. กิจกรรมของวันหยุดในฝันที่คุณอยากทำคืออะไร?
40. ลองเขียนจดหมายถึงตัวเองในอนาคต คุณอยากจะรู้สิ่งไหน? แล้วอยากจะบอกอะไรกับตัวเอง?
41. คุณรู้สึกอย่างไรเมื่ออายุมากขึ้น? ทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น?
42. คุณอยากเป็นที่รู้จักไหม แล้วอยากเป็นที่รู้จักเพราะอะไร?
43. คุณวางแผนที่จะบรรลุเป้าหมายในอนาคตไหม? ถ้าเอาตามความเป็นจริง คุณจะทำยังไงเพื่อให้สำเร็จ?
44. อยากให้ตัวเองในอนาคตมีนิสัยอะไรติดตัว?
45. คุณหวังว่าวันธรรมดาสำหรับตัวคุณในอนาคตจะเป็นอย่างไร?
🧑🏻‍💻 กลุ่มคำถามสะท้อนความคิดจากจิตวิญญาณในการทำงาน 🧑🏻‍💻
46. คุณชอบงานปัจจุบันของตัวเองไหม? ทำไมถึงชอบ และทำไมถึงไม่ชอบ?
47. งานในฝันของคุณเป็นแบบไหน?
48. คุณรู้สึกหลงใหลในงานของคุณหรือไม่?
49. เป้าหมายในอาชีพของคุณคืออะไร?
50. คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการทำงาน? มีบทเรียนอะไรที่สอนคุณบ้าง?
51. ความสัมพันธ์ของคุณกับเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างไรบ้าง?
52. คุณรู้สึกมีคุณค่า ได้รับความเคารพ หรือคำชื่นชมในที่ทำงานบ้างหรือเปล่า?
53. รู้สึกอย่างไรกับความสมดุลระหว่างงานและชีวิต? แล้วจะปรับปรุงมันได้อย่างไร?
54. คุณเห็นภาพอนาคตการทำงานของตัวเองเป็นยังไงในอีก 5 ปีข้างหน้า?
55. คุณมีทักษะพิเศษอะไรบ้างในการทำงาน?
🧘🏻 กลุ่มคำถามเพื่อทำความรู้จัก ‘ตัวตน’ ที่แท้จริง 🧘🏻
56. ถ้านี่เป็นวันสุดท้ายของชีวิต วันนี้คุณจะยังทำตามแผนเดิมไหม?
57. คุณกำลังยึดติด กับสิ่งที่จำเป็นต้องปล่อยมือไปหรือเปล่า?
58. อะไรที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ?
59. ล่าสุด คุณได้ทำอะไรเป็นที่น่าจดจำบ้างหรือไม่?
60. วันนี้คุณทำให้ใครยิ้มแล้วหรือยัง?
61. คุณก้าวข้ามคอมฟอร์ตโซนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
62. หากคุณต้องปลูกฝังข้อคิดสักข้อให้กับเด็ก ๆ คุณจะให้คำแนะนำอะไร?
63. คุณเคยแสดงความมีน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องไหนที่ตัวเองจะไม่มีวันลืม?
64. สิ่งนึงที่คุณอยากให้คนอื่นจดจำเกี่ยวกับตัวคุณในช่วงบั้นปลายชีวิตคืออะไร?
65. ‘รัก’ หรือ ‘ถูกรัก’ อะไรสำคัญกว่ากัน?
66. คุณมีเพื่อนกี่คนในชีวิตที่ไว้วางใจได้?
67. คุณกล้าทำเรื่องผิดกฎหมายเพื่อช่วยคนที่รักหรือไม่?
68. อะไรแย่กว่ากันระหว่าง ‘ล้มเหลว’ หรือ ‘ไม่เคยพยายามเลย’ ?
😌 กลุ่มคำถามพัฒนาชีวิตด้วยคำถามสะท้อนสุขภาพจิต 😌
69. ปัจจุบันคุณดูแลสุขภาพจิตของตัวเองแบบไหน?
70. ตอนไหนที่คุณรู้สึกมีความสุขที่สุด? แล้วจะทำยังไงให้ทำสิ่งนั้นให้ได้ทุกวัน?
71. กิจกรรมการดูแลตนเองที่คุณชอบคืออะไร? เพราะอะไรถึงชอบ?
72. การรักตัวเองมีความหมายต่อคุณอย่างไร? แล้วรู้สึกว่าคุณรักตัวเองไหม? เล่าให้ฟังหน่อย
73. คุณรู้สึกมั่นใจในตัวเองหรือไม่? ถ้าหากไม่ จะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ใช้ชีวิตด้วยความมั่นใจได้?
74. คุณจะปรับปรุงสุขภาพจิตของคุณตอนนี้ได้ยังไง?
75. รู้สึกหมดไฟหรือเปล่า? รู้สึกว่าขาดแรงจูงใจตรงไหน? แล้วคุณจะปรับปรุงสิ่งนั้นได้อย่างไร?
💪 กลุ่มคำถามสะท้อนตนเองด้วยการพัฒนาสุขภาพกาย 💪
76. คุณนอนหลับสนิทไหม? แล้วคุณต้องนอนหลับนานเท่าไร?
77. สุขภาพลำไส้ของคุณเป็นยังไงบ้าง? รู้สึกไม่สบายท้องหลังรับประทานอาหารหรือเปล่า?
78. อาหารอะไรที่ทานแล้วรู้สึกดี? อาหารอะไรที่ทานแล้วรู้สึกไม่ดี?
79. ออกกำลังกายแบบไหนที่คุณชอบที่สุด?
80. คุณทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ทำให้รู้สึกดีเป็นประจำหรือไม่? ลองเพิ่มรายการอาหารที่มีประโยชน์ในเมนูที่ต้องทานทุกวันดูสิ
81. ที่ที่คุณอยู่ในปีที่ผ่าน มีสภาพแวดล้อมที่ดีหรือไม่?
💏 กลุ่มคำถามสะท้อนตนเองในเรื่องของความสัมพันธ์ 💏
82. คุณเป็นคน Introvert หรือ Extrovert มากกว่ากัน?
83. ความสัมพันธ์ไหนที่สำคัญกับคุณมากที่สุด? แล้วเพราะอะไรถึงสำคัญ?
84. คิดว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่ดีหรือไม่?
85. คุณแสดงความรักต่อผู้อื่นอย่างไร?
86. คุณประสบกับความวิตกกังวลเวลาเข้าสังคมหรือไม่? ทำไม? แล้วคุณจัดการกับความวิตกกังวลนี้อย่างไร?
87. คุณสนิทกับใครมากที่สุดในครอบครัว?
88. มีความสัมพันธ์ใด ๆ ที่คุณอยากจะจุดประกายมันอีกครั้งหรือไม่? แล้วคุณจะเริ่มสานสัมพันธ์ใหม่ได้อย่างไร?
89. คุณมีความสัมพันธ์ที่เป็นพิษอยู่หรือไม่? ทำไมถึงเป็นพิษ? ได้วางแผนที่ออกจากสิ่งนี้บ้างหรือเปล่า? เล่าให้ฟังหน่อย
90. คิดว่าคนอื่นมองคุณแบบไหน? แล้วคิดว่าตัวเองเป็นแบบอย่างที่ดีหรือไม่? เพราะอะไร
📝 กลุ่มคำถามสะท้อนตนเองด้วยการจดบันทึกเรื่องราวดี ๆ 📝
91. อะไรที่ทำให้คุณยิ้มได้?
92. จินตนาการไม่ออกเลยว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไงถ้าขาดสิ่งนี้
93. เมื่อคุณเจ็บปวด ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือทางอารมณ์ก็ตาม สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้เพื่อตัวเองคืออะไร
94. บอกเรื่องงานที่ทำให้คุณรู้สึกพึงพอใจ ไม่ว่างานนั้นจะได้รับค่าตอบแทน หรือไม่ได้รับค่าตอบแทน
95. เล่าเรื่องเกี่ยวกับรักแรกของคุณหน่อย ไม่ว่าจะเป็นบุคคล สถานที่ หรือสิ่งของ
96. เขียนรายชื่อผู้คนในชีวิตที่สนับสนุนคุณ คนที่คุณสามารถไว้วางใจได้อย่างสนิทใจ และจากนั้นหาเวลาออกไปเที่ยวกับพวกเขา
97. บอก 2 ช่วงเวลาที่จะไม่มีวันลืมในชีวิต เล่าให้ฟังหน่อย และทำไมลืมไม่ลง
98. ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขสำหรับคุณเป็นอย่างไร?
99. อะไรทำให้คุณน้ำตาไหลได้เสมอ?
และท้ายที่สุดในคำถามข้อที่ 💯 ก็คือ
"ประโยคอะไรที่ทำให้คุณรักตัวเองมากขึ้นในปีที่ผ่านมา"
✍🏻 แปล เรียบเรียง: พีรพล สดทรัพย์
🎨 ภาพประกอบ: ชนสรณ เวชสิทธิ์
#มัดรวม #สรุป #รีวิวตัวเอง #ถามตัวเอง

"ปัญหาไม่ใช่ทางตัน ถ้าความคิดสร้างสรรค์ยังทำงาน" เจาะ 11 เรื่องธุรกิจ ที่มองปัญหาให้เหมือนของเล่น จากผู้สร้างสรรค์งาน Th...
19/12/2024

"ปัญหาไม่ใช่ทางตัน ถ้าความคิดสร้างสรรค์ยังทำงาน" เจาะ 11 เรื่องธุรกิจ ที่มองปัญหาให้เหมือนของเล่น จากผู้สร้างสรรค์งาน Thailand Toy Expo
🎪🎄☃️ ลานหน้ากิจกรรมเซ็นทรัลเวิลด์ในช่วงคริสต์มาส เรียกได้ว่าเป็นอีกหมุดหมายของใครหลายคน ที่จะต้องแวะไปถ่ายรูป ร่วมจอยกับ Happy Moment สักครั้ง! แต่ความปังปีนี้มันพิเศษยิ่งกว่า
ความพิเศษนี้เกิดจากการร่วมสัมภาษณ์สุด Exclusive ระหว่าง CREATIVETALK และ คุณจี๊ป - พงศธร ธรรมวัฒนะ เจ้าของงาน Thailand Toy Expo และเจ้าของแบรนด์ J.P. Toys Gallery ถึงแง่มุมความคิดสร้างสรรค์ที่เนรมิตรหลาย ๆ สิ่งที่เป็นครั้งแรกของไทย ตั้งแต่การนำศิลปินมารวมตัวกันมากถึง 11 ศิลปิน ที่ถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และสร้างสรรค์อาร์ตทอย 23 คาแรกเตอร์ กว่า 56 ตัว ไว้ในที่เดียวในโลก
🤖 นี่คือครั้งแรกของงานคริสต์มาสที่รวมศิลปินนักออกแบบมารวมตัวกันไว้มากที่สุด
คุณจี๊ป พงศธร ได้ค่อย ๆ เริ่มปูภาพใหญ่ให้ผู้อ่านได้เห็นภาพก่อนว่านี่เป็นปีแรกที่ได้ทำงานร่วมกันกับเซ็นทรัลเวิลด์ในมหกรรมเทศกาลคริสต์มาส อย่าง “centralwOrld X J.P. Toys Gallery Presents Merry Ville 2025” เป็นหนึ่งในการสร้างปรากฏการณ์ (Phenomena) ใหม่ ๆ ให้กับวงการ เพื่อให้เกิด Happy Moment กับทุกคน
ภายใต้คำว่า Merry Ville นี่คือเมืองที่ทุกคนเข้ามาแล้วสามารถซึมซับความสุขที่ดีออกไปได้ แต่ในเชิงการออกแบบกลับท้าทายกว่าที่คิด เพราะว่าการออกแบบในแต่ element + จุดแข็งของแต่ละศิลปิน เพื่อให้มันมาแมทช์กันในธีมใหญ่ที่วางไว้ ไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างเช่น ลาบูบู้ ที่เราได้ดีลกับศิลปินตรงอย่างคุณ คาซิง ลุง (Kashing Lung) ศิลปินผู้ออกแบบลาบูบู้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักจะเห็นลาบูบู้แทบจะทุกรูปแบบแล้ว ดังนั้นการจะทำให้แตกต่างจึงเป็นหนึ่งในความท้าทาย แล้วที่สำคัญครั้งนี้เป็นการทำงานกับศิลปินโดยตรงโดยไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาเฉย ๆ บวกกับ Develop ทุกขั้นตอน จนกระทั่งมาเจอตรงกลาง
โดย Concept หลักที่ทุกคนจะได้เห็นในปีนี้ถูกคิดจากความเป็น Toy Maker เสมือนกับ J.P. TOYS ที่เป็นร้านขายของคนเล่น ที่เราอยากให้สร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ให้พี่ ๆ ลุงป้าน้าอา พาหลาน ๆ มาอยู่ในโลกแห่งของเล่น โดยมีเมมเบอร์ใหม่เกิดขึ้นมา เป็นน้องคนที่ 3 แห่งบ้าน J.P. TOYS ที่มีชื่อว่า “น้องแอบิเกล” เป็นตัวแทนแห่งความสุขให้กับทุกคน
เล่ามาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าทุกคนก็คงจะได้เห็นอาร์ตทอยมากมายใจกลางเซ็นทรัลเวิลด์ แต่ในเชิงเบื้องหลังมันมีโจทย์อีกมากมายที่ต้องเผชิญ ซึ่ง คุณจี๊ปก็ได้แชร์เรื่องราวทั้งการ Creative Idea, การทำงานกับลูกค้า, การทำงานกับศิลปิน ซึ่งตกผลึกจาก Wisdom ของคนที่ทำจริงมาก่อนทั้งหมด 11 ข้อ ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่านี่จะเป็น Checklist ธุรกิจที่สำคัญ ในการไปต่อยอดไอเดีย ต่อยอดพลังดี ๆ ให้กับผู้ประกอบการ และคนทำงานทุกคน!
🤖 เจาะเบื้องหลังแนวคิด 11 เรื่องจริง! ของคนทำธุรกิจ จงอย่าด้อยค่าความชอบ และอย่าดูถูกความชอบของใคร
🧩 1. ให้เกียรติ, เปิดกว้าง, เชื่อมั่น และเคารพไอเดียของอีกฝ่าย
เมื่อเราต้องทำงานกับใครสักคน หรือเกิดการทำงานร่วมกับแบรนด์, ศิลปิน, พาร์ทเนอร์ต่าง ๆ มักจะมีอุปสรรคเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่จะทลายอุปสรรค์เหล่านี้ได้จริง คือการที่ต่างคนต่างกล้าแชร์ความต้องการ โดยมีพื้นฐานในการให้เกียรติ, เปิดกว้าง, เชื่อมั่น และเคารพไอเดียของอีกฝ่าย
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ เซ็นทรัลเวิลด์ และ J.P. TOYS ทำงานร่วมกันได้สำเร็จ คือการที่ทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ฟังที่ให้เกียรติ โดยไม่เกลียดสิ่งที่ผู้พูดสื่อสารอย่างจริงใจ รวมถึงผู้พูดก็ให้เกียรติผู้ฟัง ในการนำเสนอไอเดียอย่างเต็มที่ เพื่อแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันนั่นเอง
“อย่าให้การสื่อสารเป็นข้ออ้างของการสร้าง Creative”
ส่วนใหญ่คนมักจะบอกว่า Creative ต้องมาตกม้าตาย เพียงเพราะลูกค้าไม่ซื้อไอเดียเรา หรือคุยกันไม่ลงตัว ผลงานจึงออกมาไม่ได้ดั่งใจ แต่ในความเป็นจริงนั้น เราต้องกลับมามองที่จุดเริ่มต้นว่า “เราได้สื่อสาร เราได้แชร์ความต้องการ เราได้ข้อตกลงในการทำงานร่วมกันแล้วจริง ๆ หรือยัง ?” ดังนั้นการให้เกียรติ เชื่อมั่นว่าเราเลือกเขามาแล้ว และเคารพการตัดสินใจร่วมกันจึงมีความสำคัญมาก ๆ
🧩 2. ทำงานร่วมกัน ต้องกล้าให้คำเตือน
คุณจี๊ปเล่าประสบการณ์ในการทำงานกับเซ็นทรัลเวิลด์ ให้เราฟังว่าระหว่างการแลกเปลี่ยนไอเดียในช่วงแรก มันมีบางอย่างที่อาจจะขัดวัฒนธรรมร่วมกัน หรือมีประเด็นอ่อนไหว (Sensitive Issue) จะเกิดการเตือนร่วมกัน อย่างกรณีนี้เซ็นทรัลเวิลด์มีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกันกับแบรนด์มามากมาย เขาจึงช่วยเตือนได้ว่า อันไหนควรระวัง อันไหนควรคิดให้มาก
ซึ่งทางคุณจี๊ป ก็รับฟังและพร้อมปรับ เพราะเราไม่ได้ทำงานคนเดียว การคิดถึงศิลปินที่เราทำงานร่วมกัน คิดถึงลูกค้าที่เดินในงาน คิดถึงภาพใหญ่ที่จะออกไปสู่สายตาผู้คน การแคร์สภาพแวดล้อม แคร์คนทำงานร่วมกันสำคัญมาก ๆ ในทางกลับกันแต่ถ้าไอเดียเหล่านั้นไม่มีกรณี Sensitive Issue เขาจะเปิดโอกาสให้ใส่ไอเดียกันแบบเต็มข้อได้เลย!
🧩 3. ไอเดียใกล้ตัวนี่แหละ! ทรงพลังที่สุด
คำว่าใกล้ตัว หมายถึงสภาพแวดล้อมที่เราพบเจอ คุณจี๊ปได้ยกตัวอย่างถึง คำว่า “คนส่วนใหญ่ เวลานึกถึงเทศกาลคริสต์มาส ต้องการอะไร ?” ซึ่งคำตอบมันชัดมาก “ต้องการของขวัญ” นี่คืออันดับแรกที่คนมักจะอยากได้ในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ ซึ่งไอเดียนี้ก็ได้ต่อยอดมาเป็น “น้องแอบิเกล” ผลงาน Collaboration ศิลปินระหว่าง Jessica Ng และ ‘น้องแอบิเกล’ โดยน้องได้ถือกล่องของขวัญสุดน่ารัก ซึ่งมีความหมายว่าการส่งมอบความสุขให้กับทุกคน รวมไปถึงคาแรกเตอร์อื่น ๆ ก็ถูกคิดจากไอเดียเหล่านี้เช่นกัน
🎯 Labubu คือ Toy Maker เสมือนเป็นพี่ใหญ่ของงานที่พร้อมมามอบความสุขให้กับทุกคน
🎯 แทนที่จะเป็นกวางเรนเดียร์ เราก็ปรับคอนเซปต์ให้เป็นขบวนของปีศาจสุดน่ารัก เช่น Frankenstein ก็เป็นตัวแทนของคนขับรถส่งของ เป็นต้น
🧩 4. สิ่งที่น่ากลัวของการทำธุรกิจ คือการเข้าไปอยู่ในเทรนด์
คุณจี๊ปย้ำว่า นี่ไม่ใช่วิธีคิดที่ถูกหรือผิด แต่เป็นเกล็ดความรู้ที่อยากให้ทุกคนได้ไตร่ตรอง เพื่อให้แมทช์กับธุรกิจของตัวเอง “แต่ในนิยามของคำว่า เทรนด์ = เกิด และ ดับ” แต่กลับกันหากคุณอยู่ในกลุ่มของตัวเอง มี Community ที่แข็งแรง มันจะ Stable หรือมั่นคงกว่า ยืนระยะได้ดีกว่า ยิ่งคุณทำให้กลุ่มแฟนคลับแข็งแรงได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นข้อได้เปรียบในธุรกิจของคุณ และส่งผลไปถึงการเป็น Top ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ
🧩 5. หาให้เจอ! อะไรที่เราทำได้ดี แล้วแตกต่าง
โดยส่วนใหญ่แล้วเวลาเราทำงานกับ “แบรนด์” การที่เขาอยากร่วมงานกับเรา มันเกิดจากการที่แบรนด์เล็งเห็น ข้อได้เปรียบที่เรามีเหนือคู่แข่งในตลาด ดังนั้นสิ่งที่คุณจี๊ปทำมาโดยตลอด และถือเป็นเคล็ดไม่ลับคือ การทำ ‘เช็กลิสต์’ ว่าอะไรที่เราทำได้แล้วแตกต่าง และอะไรที่เราทำไม่ได้ เพราะถ้าเราทำธุรกิจโดยไม่รู้ว่าเรามีดีอะไร สิ่งนี้น่ากลัวกว่าการไม่มีลูกค้าเข้าซะอีก!
🧩 6. มองปัญหาให้เหมือนของเล่น ฝึกแก้ปัญหาด้วยการ Creative บ่อย ๆ
“ใครว่าการแก้ปัญหาไม่ใช้ Creative” คุณจี๊ปเล่าว่าในการทำงานร่วมกับศิลปิน มักเจอปัญหามากมาย ซึ่งต่อให้เราจะทำงานกับศิลปินมามาก แต่การจะแก้ปัญหาด้วยวิธีเดิม ๆ บางครั้งมันไม่ได้ผล เพราะปัญหาใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน
“ขนาดปัญหามันยัง Creative แล้วทำไมเราจะแก้ปัญหาด้วยการ Creative ไม่ได้!!”
คุณจี๊ปบอกว่าศิลปินหลาย ๆ คนก็อยากเลือกพื้นที่การจัดวางในพื้นที่ศูนย์การค้า ใคร ๆ ก็อยากตั้งในจุดที่ตัวเองต้องการ แต่เราไม่สามารถเสิร์ฟความต้องการได้ทุกคน วินาทีนั้นคุณจี๊ปแก้ปัญหาด้วยการเหลือบไปมองลูกชาย “ให้น้อง Toy ลูกชายของคุณจี๊ป จิ้มเลือกเลย!”
เพราะ พอเป็นเด็กเขาจะมีจินตนาการ มี Creative หน้าที่ของผู้ใหญ่อย่างเรา คือฟังเหตุผลของเด็ก เพื่อฝึกให้เขาได้ทดลอง เรียนรู้ไปในตัวด้วย เช่น โมเดลน้องทอย เขาเป็นผู้สร้างเขาก็ต้องอยู่ข้างบน หรือ เราต้องมีองครักษ์ปกปักรักษาตัวละครหลักนะ ก็เป็นหนึ่งในกิมมิคของเหล่าสัตว์ประหลาดที่เราจะเห็นอยู่รอบศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เสมือนการปกปักรักษาเพื่อนตัวน้อยของเขาจากไอเดียของลูกชายของคุณจี๊ปนั่นเอง
ดังนั้นหน้าที่ของคนแก้ปัญหา ต้องไม่มองว่าสิ่งเหล่านี้คือไม่ดี ยิ่งเราทำงานกับเด็กต้องไม่มีคำว่าถูกหรือผิด เรื่องนี้ลองมาปรับใช้กับคนรุ่นใหม่ได้ ฟังเขาให้มาก แล้วหยิบมาวิเคราะห์ ถ้าไอเดียเหล่านั้นมาจาก Insight ของเด็กด้วยกัน นั่นคือความต้องการของลูกค้า เพราะลูกค้าของเราคือเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่ยังมีหัวใจเป็นเด็ก รักของเล่น รักความสุขที่ได้เก็บสะสม และให้ Value กับเหล่าน้อล ๆ
🧩 7. ต่อให้สินค้าดีแค่ไหน แต่ถ้าคนทำงานไม่แฟร์ ก็จะไม่ทำ!
ใครเป็นแฟนคลับ หรือ กลุ่ม Community ของ J.P. TOYS จะรู้ดีว่า เวลาแบรนด์นี้จะทำอะไรสักอย่าง เขาจะต้องเลือกมาระดับหนึ่งแล้ว และเป็นของดี!
คุณจี๊ปเน้นย้ำเรื่องนี้บ่อยมากในการทำโปรดักส์สักชิ้น “อย่ามองเพียงแค่ของมันดี แต่ต้องมองไปให้ถึงตัวตนและนิสัย” อย่างคุณจี๊ปเองทำงานร่วมกับศิลปินเขาก็ต้องมองให้ทะลุถึงเรื่องนี้ ดูว่าเขาให้ Value กับคุณค่าที่เราเชื่อหรือไม่ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าก็มีคนบางกลุ่มเขามาเพื่อหารายได้ หวังกำไรเพียงอย่างเดียว ซึ่งคนแบบนี้เราจะไม่เลือกทำธุรกิจกับเขาเด็ดขาด!
🧩 8. ห้ามมองข้าม Community เพราะมันคือ Break Barriers
ความมหัศจรรย์ของ Community คือการ Break Barriers หรือการไม่มีกำแพงมาปิดกั้น เราต่างเท่าเทียม ทุกคนเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องได้อย่างสนิทใจ ลองคิดภาพว่าคุณจี๊ปเป็น CEO แต่เมื่อผมลงไปเล่นของเล่น มีกลุ่มคนที่ชอบของเล่น พวกเราคือเพื่อนกัน หรือแม้กระทั่งลูกน้องเรา หากเรามีความชอบเดียวกัน มี Community เหมือนกันมันจะไม่มีเส้นแบ่งของคำว่าลูกน้องหรือหัวหน้าเลย เพราะทุกคนคือคนที่รักในของเล่นเหมือน ๆ กัน ทุกคนเท่าเทียมกันทั้งหมด!
“อย่ามองว่า Community = Marketing มันคนละเรื่องกัน”
ก่อนที่จะมีบริษัท ก่อนที่จะมีวันนี้ได้ คุณจี๊ปเริ่มต้นจากการไปส่งของเล่นให้กับลูกค้าถึงมือ ส่งแล้วส่งอีก มีกี่สิบคน กี่ร้อยคน เราก็ต้องไปส่งให้ถึงมือเองกับมือ เพราะว่านี่แหละคือจุดเริ่มต้นของคำว่า Community เราได้เจอคนใหม่ ๆ ได้ถามไถ่กันด้วยว่า ‘คุณเห็นเราจากไหน’ เห็นความชอบของลูกค้า แล้วค่อย ๆ สั่งสมประสบการณ์มาเรื่อย ๆ จนกลายเเป็น Community ขนาดใหญ่
🧩 9. ไอเดียไม่มา คิดไม่ออก “ห้องน้ำ” คือคำตอบ!
ฟังดูเหมือนตลก แต่เป็นเรื่องจริง! คือมันเป็นเรื่องปกติมากที่วันนึงตื่นขึ้นมาหัวจะไม่แล่น ไอเดียไม่มา แต่การได้เข้าห้องน้ำไปปลดทุกข์ ได้อุจจาระ จังหวะนั้นแหละจะเกิดสมาธิ เพราะคนเราจะจดจ่อช่วงเวลานั้น และกลับกันเป็นช่วงที่ผ่อนคลายที่สุด
อย่างบ้านคุณจี๊ปเองถึงขั้นบอกเลยว่า ห้องน้ำผมเตะบอลได้ การมีห้องน้ำที่โล่งช่วยให้เราปลอดโปร่ง ต้องมีอากาศถ่ายเทที่ดี หรืออีกวิธีที่ช่วยได้ดีคือตอนเข้าออฟฟิศ คุณจี๊ปจะไม่มีโต๊ะทำงาน จะชอบเดินเป็นหลัก เพราะการอยู่กับที่ไอเดียจะไม่เกิด เมื่อเราเครียดไอเดียไม่มีทางมา แต่เมื่อเราผ่อนคลายไอเดียจะเกิด!
🧩 10. หัวใจในทำธุรกิจ คือ “ความจริงใจ (Sincere)”
คุณจี๊ปไม่เคยบอกว่าตัวเองสำเร็จ แต่การที่ลูกค้าเชื่อในตัวแบรนด์ หรือการมี Community ของเล่นที่แข็งแรง อย่างทุกวันนี้ได้นั้น คือการมี “ความจริงใจที่ดีต่อลูกค้า ซื่อสัตย์ และต่อตัวคุณเอง”
ทำงานอย่าหวังเงิน ทำงานให้เป็นงาน แล้วงานจะสร้างเงิน เพราะเมื่อมันทำไม่ได้มันจะเฟล แต่กลับกัน ถ้าเราทำงานเป็นงาน เราจะเริ่มสร้างระบบ สร้างรากฐานให้มั่นคง มีโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจน แล้วทุกอย่างเข้าที่เงินจะตามมาเอง แล้วเงินจะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของทำงาน
คุณจี๊ปกล้าบอกเลยว่าทุกวันนี้ทีมงานมีเป้าหมายเดียวกัน เพราะเราปูรากฐานไว้แน่นมากพอ ทุกคนมีแพชชันในการสร้างสรรค์ และอยากทำของเล่นที่ดี ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคของเรา
ในวันที่เราถึงจุดที่มีคนเชื่อ! อย่าลดทอนความเชื่อของลูกค้าด้วยการหลอกลวง หรือเห็นแก่เงินทองจนบังตา แต่จงเชื่อใน Value เชื่อในการทำของดี และจงเป็นตัวจริง เป็นของจริงให้ลูกค้าเชื่อ
🧩 11. Creativity ที่ดี เริ่มจากการเข้าใจพฤติกรรมของคน
เคยสงสัยไหมว่าทำไมงาน Thailand Toy Expo ถึงจัดในห้าง? โดยปกติเรามักจะเห็นงานประเภท Expo จัดพื้นที่ฮอลล์ใหญ่ ๆ ถ้าคิดภาพไม่ออกให้นึกถึงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ อารมณ์ประมาณนั้นเลย แต่คุณจี๊ปกลับไม่เลือกทำแบบนั้น ซึ่งมุมคิดต่างนี้เองจึงกลายเป็นเสน่ห์ให้กับงาน Thailand Toy Expo ในแต่ละปี!
คีย์สำคัญของการไม่เลือกจัดในพื้นที่ฮอลล์ใหญ่ ๆ มาจากพฤติกรรมของคน จาก 2 เรื่องนี้
🎯 เรื่องที่คนมักมองข้ามคือ ‘ปัญหาแฟนทะเลาะกัน’ เช่น เราดูของเล่นใช้เวลานาน ก็จะโดนแฟนตามว่าเสร็จหรือยัง ดูอะไรนานเหลือเกิน แล้วก็ทะเลาะกัน แต่การจัดในห้างจะช่วยเคลียปัญหานี้ได้ดี เพราะถ้าเกิดแฟนเราไม่ได้ชอบของเล่น เขามีแยกไปช้อปสิ่งที่เขาชอบได้ ในทางกลับกันเราที่ชอบของเล่น จะได้มีเวลาดู มีเวลาเลือกซื้อได้เต็มที่ เพราะแก่นของศูนย์การค้า หรือห้างสรรพสินค้า มันมีคอนเทนต์ มันมีแหล่งช้อปมากมายให้เราได้เลือกตามความชอบนั่นเอง ซึ่งดีกว่าการจัดในฮอลล์ใหญ่ ๆ แล้วโดนจำกัดพื้นที่
🎯 คุณจี๊ปไม่เคยมีงบทำ Marketing เลย แต่เขาใช้วิธีสื่อสารในพื้นที่ห้างแทน เพราะคนเดินห้างต่อวันมหาศาล การที่เขาจะเห็นงาน Thailand Toy Expo จึงไม่แปลกที่จะเป็นการโฆษณางานไปในตัว แถมยังเป็นการสร้าง Community ใหม่ ๆ ด้วย เพราะถ้าเราอยู่แต่ในฮอลล์เดิม ๆ เราก็จะเจอแต่คนเดิม ๆ แต่กลับกันวันนี้เราเจอทุก Target ที่ไม่ใช่แค่วัยรุ่น ตั้งแต่คุณป้า คุณลุง คุณน้า จนไปถึงคุณลูก คุณหลาน เต็มไปหมด
คุณจี๊ปมองถึงการสร้าง Hub อย่างแท้จริง ซึ่งแกยอมรับเลยว่าเราไม่ได้กำไรเท่าไหร่ เราขาดทุนด้วยซ้ำ แต่นี่คือการสร้าง Community เป็นพื้นที่ของคนรักของเล่น รวมไปถึงยังเป็นการดึงดูดจากคนทั่วโลกให้รู้จัก Thailand Toy Expo ว่านี่คือมหกรรมของเล่นที่เขาสามารถมาลงทุนได้นะ มาเอ็นจอยกับงานในประเทศไทยได้นะ
🌟 เพราะถ้าวันนี้เรามัวแต่คิด แล้วไม่เริ่มสักทีมันก็ไม่เกิด
สุดท้ายนี้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่า “Learning from mistakes” เพราะ การเรียนรู้จากความผิดพลาด เป็นเรื่องที่ดี และมันจะนำไปสู่การทำผิดพลาดที่น้อยลง! เพื่อให้ประสิทธิภาพงานที่ดีขึ้นอยู่เสมอ
ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของคนทำธุรกิจด้วยใจ ที่น่าติดตามเหมือนกันว่าในอนาคตวงการของเล่นจะเติบใหญ่ไปในทิศทางไหนอีกบ้าง แต่ที่รู้แน่ชัดแล้วคือในปีหน้า! Thailand Toy Expo 2025 จะเกิดขึ้นในวันที่ 3-6 เมษายน 2568 ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เตรียมมาปล่อยจอย รอคอยของเล่นใหม่ ๆ ที่เตรียมเซอร์ไพร์สไว้มากมายในปีหน้า!
✍🏻 เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ
🎨 ภาพประกอบ: อลิสา อรุณสิริเลิศ
#ปัญหา #ความคิดสร้างสรรค์ #ของเล่น

19/12/2024

🤔 ทำไมกันกระแทกถึงต้องเป็นตุ่ม ๆ 🤔
รู้ไหมว่าการที่เรามีกันกระแทกไว้เล่น เอ้ย! ไว้ห่อกันกระแทกของนั้นเกิดมาจากความผิดพลาดล้วน ๆ ประมาณว่าถ้าไม่บังเอิญล้มก็อาจจะเกิดสิ่งนี้ก็ได้ มาฟังกันว่าของดีแบบนี้มันเริ่มขึ้นมาได้ยังไง
#สิ่งประดิษฐ์คิดได้ #กันกระแทก #ปุ่มกันกระแทก

18/12/2024

🤔 ต่างคน ต่างทีม ความคิดก็จะต่างกัน
ในฐานะหัวหน้าทีม หรือแม้แต่ทีมกันเอง ก็น่าจะเคยเจอสถานการณ์นี้ที่บางทีคุยกันแล้วตกลงกันไม่ได้ หรือคุยให้ทีมลองทำบางอย่าง แต่ทีมก็อาจจะมีความดื้อเล็ก ๆ ที่อยากจะทำอีกอย่าง
อีพีนี้มาลองดูกันว่าเราจะคุยกับคนทรงดื้ออย่างไร ให้รู้เรื่องและเข้าใจกันมากขึ้น!
#การสื่อสาร #ดื้อ

🤔 ต่างคน ต่างทีม ความคิดก็จะต่างกันในฐานะหัวหน้าทีม หรือแม้แต่ทีมกันเอง ก็น่าจะเคยเจอสถานการณ์นี้ที่บางทีคุยกันแล้วตกลงก...
18/12/2024

🤔 ต่างคน ต่างทีม ความคิดก็จะต่างกัน
ในฐานะหัวหน้าทีม หรือแม้แต่ทีมกันเอง ก็น่าจะเคยเจอสถานการณ์นี้ที่บางทีคุยกันแล้วตกลงกันไม่ได้ หรือคุยให้ทีมลองทำบางอย่าง แต่ทีมก็อาจจะมีความดื้อเล็ก ๆ ที่อยากจะทำอีกอย่าง
อีพีนี้มาลองดูกันว่าเราจะคุยกับคนทรงดื้ออย่างไร ให้รู้เรื่องและเข้าใจกันมากขึ้น!
พบกันวันนี้! พุธที่ 18 ธ.ค. 67 นี้ เวลา 19:00 น. เป็นต้นไป
#การสื่อสาร

“ความรู้ → ลงมือทำ → ปรับมุมมอง” เริ่มต้นง่าย ๆ ในปี 2025 ด้วยการพัฒนาจุดอ่อน ให้กลายเป็นจุดแกร่งพัฒนาจุดอ่อน ให้กลายเป็...
16/12/2024

“ความรู้ → ลงมือทำ → ปรับมุมมอง” เริ่มต้นง่าย ๆ ในปี 2025 ด้วยการพัฒนาจุดอ่อน ให้กลายเป็นจุดแกร่ง
พัฒนาจุดอ่อน ให้กลายเป็นจุดแกร่ง ได้อย่างไร ?
ใคร ๆ ต่างก็มีจุดอ่อน ที่อยากพัฒนาให้แกร่งมากขึ้น เนื้อหาต่อจากนี้จะชวนมาคุยกันว่าเราจะ ‘กำจัดจุดอ่อน อย่างไรให้เป็นจุดแกร่งได้ในอนาคต’ เทคนิคดี ๆ ที่เริ่มต้นได้จากตัวเราเองแบบง่าย ๆ
#จุดอ่อนเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์
ซึ่งจุดอ่อนสามารถพัฒนาได้ และการจะพัฒนาจุดอ่อนให้เป็นจุดแกร่งนั้นมีองค์ประกอบอยู่กัน 3 หัวใจสำคัญ
❤️ 1. หัวใจสำคัญแรกคือ → ความรู้
การมีความรู้สำคัญอย่างไรในการพัฒนาจุดอ่อน ตัวอย่างเช่น เราอยากมีความรู้ในการอ่านออกเขียนภาษาอังกฤษได้ และสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ซึ่งวิธีการเสริมสร้างความรู้ประกอบไปด้วย 6 องค์ประกอบ ดังนี้
🔸 1.1 ความเข้าใจพื้นฐาน
- ก่อนจะเก่งเรื่องไหนได้ พื้นฐานต้องแข็งแรงก่อนเสมอ การเข้าใจพื้นฐานของทุกเรื่องสำคัญ ตัวอย่างเช่น รู้เรื่องความเข้าใจพื้นฐานของภาษา ถ้าเราอยากเก่งภาษาอังกฤษ เราต้องเข้าใจพยัญชนะ, เข้าใจพื้นฐานรากศัพท์ของภาษาให้ดีซะก่อน เป็นต้น
🔸 1.2 ทฤษฎี
- เมื่อเข้าใจพื้นฐานได้แล้ว การเข้าใจหรือรู้ทฤษฎีก็สำคัญ ตัวอย่างเช่น อยากเก่งภาษาอังกฤษ การอ่าน การเขียน การพูด เช่น Past Tense, Present Tense , Future Tense ก็ต้องรู้ในเบื้องต้น เพื่อต่อยอดไปสู่การเข้าใจภาษาอังกฤษ และสามารถอ่านออก เขียนได้ พูดได้ในที่สุด
🔸 1.3 ข้อมูลประกอบ
- ทุกเรื่องต้องมีข้อมูลมาประกอบให้เราเห็นภาพ เข้าใจง่ายขึ้น เช่น ถ้าต้องเก่งภาษาอังกฤษ ก็จะต้องมีข้อมูลประกอบอะไรบ้าง มี Text, มีตัวฝึกเขียนต่าง ๆ เพื่อให้เราเขียนได้ เข้าใจง่ายขึ้น เป็นต้น
🔸 1.4 ข้อเท็จจริง
- แล้วต่อไปมีข้อเท็จจริงอย่างไร เช่น ถ้าอยากเก่งภาษาอังกฤษ เขามีระดับภาษาอะไรบ้าง ถ้าเรายังเข้าใจในระดับสูง ๆ ไม่ได้ ก็ต้องมาเริ่มต้นเรียนในระดับง่าย ๆ ก่อน จะได้ทราบว่าต้องเริ่มเรียนจากจุดไหน
🔸 1.5 ภาพ / วิดีโอ / เสียง
- แล้วเราสามารถหาความรู้ผ่านภาพ, วิดีโอ, เสียง ได้ไหม เพื่อฝึกฝนภาษาอังกฤษให้เราเก่งขึ้น เข้าใจมากขึ้น
🔸 1.6 คำอธิบาย
- มีคำอธิบายในแต่ละทฤษฎี หรือข้อมูลที่เราจำเป็นต้องรู้ เพื่อให้เราเข้าใจ ไปจนถึงฝึกใช้ภาษาอังกฤษ
[ เทคนิคสำคัญของข้อแรกนี้คือ ? ]
- ประเด็นสำคัญที่สุดของการพัฒนาตัวเอง เพื่อทำให้จุดอ่อน กลายเป็นจุดแข็งได้ เราต้องมีความรู้ก่อนเสมอ ซึ่งการจะมีความรู้ได้ ประกอบไปด้วย 6 เรื่องพื้นฐานนี้ที่เราต้องฝึก ทำความเข้าใจ เรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองเสมอ บางคนอยากพัฒนาจุดอ่อนเรื่องอื่นได้ เช่น อยากเข้าสังคมเก่ง, อยากเป็นคนใจเย็น เป็นต้น
❤️ 2. หัวใจสำคัญที่สองคือ → ลงมือทำ
เมื่อคุณมีความรู้แล้ว แต่ถ้าไม่เริ่มลงมือทำ ก็ไม่ต่างอะไรจากการอ่านนิทาน หรือข่าว ที่แค่อ่านให้รู้ แต่ไม่ลงมือทำ ซึ่งการลงมือทำจะประกอบไปด้วย องค์ประกอบทั้งหมด 5 เรื่องนี้
🔸 2.1 วัดผล
เวลาจะพัฒนาอะไรบางอย่าง การวัดผลสำคัญ เช่น คุณต้องการจะวิ่งให้เร็วขึ้น คุณรู้หรือยังว่าหน่วยการวัดผลในการวิ่งมันคืออะไร จะทำอย่างไรให้วัดผลได้จริงว่าเราวิ่งเร็วขึ้น เป็นต้น
🔸 2.2 ตั้งเป้าหมาย
การตั้งเป้าหมายมีไว้เพื่อตอบว่าคุณทำไปเพื่ออะไร เช่น เราไม่อยากมีจุดอ่อนทางภาษาอังกฤษ อยากพูดได้ แสดงว่าเป้าหมายเราต้องพูดภาษาอังกฤษได้ ภายในสิ้นปีนี้ โดยมีการกำหนดกรอบเวลาด้วย เป็นต้น
🔸 2.3 จัดตารางเวลา จัดลำดับความสำคัญ
การจัดลำดับความสำคัญ และตารางเวลาสำคัญมาก เพราะเราจะได้มีจุดเริ่มต้น และสิ้นสุด เห็นภาพว่าใน 1 ปี หรือ 1 เดือนนี้ เราจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
🔸 2.4 เหตุผล แรงจูงใจ
การหาเหตุผล และแรงจูงใจจะเป็นการกระตุ้นถึงสิ่งที่เราอยากไปให้ถึง และอยากสำเร็จ เช่น เราชอบดูซีรีส์เกาหลี เพราะอยากไปประเทศเกาหลี และพูดภาษาเกาหลีได้ ซึ่งแรงจูงใจมาจากความชอบที่เรารักการดูซีรีส์ และส่งผลให้เราฝึกตัวเองในการพูดภาษาเกาหลี เป็นต้น
🔸 2.5 การสื่อสารกับคนรอบข้าง
การสื่อสารกับคนรอบข้างก็สำคัญไม่แพ้นกัน เพราะการขอความช่วยเหลือ หรือกำลังใจจากคนรอบข้างให้คุณทำเรื่องนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น และทำให้เรามีกำลังใจ ทำได้อย่างสม่ำเสมอ
❤️ 3. หัวใจสำคัญสุดท้ายคือ → ปรับมุมมอง
หรือการปรับทัศนคติของเรา ซึ่งเจ้าทัศนคติหรือ Mindset เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดของการทำให้สำเร็จได้เลย โดยการปรับมุมมองจากจุดอ่อนให้เป็นจุดแกร่ง ประกอบด้ยย 5 เรื่องนี้!
🔸 3.1 ความมั่นใจในตัวเอง
สิ่งแรกคือต้องมั่นใจในตัวเองก่อนว่า ตัวฉันมีดีอะไรบางอย่าง ทำอะไรได้บ้าง นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องของการกล้าทำสิ่งใหม่ กล้าพัฒนาตัวเอง
🔸 3.2 ซื่อตรง และจริงใจ
การซื่อตรงกับตัวเอง และจริงใจสำคัญมาก ถ้าวันนี้ทำได้ไม่ดี ก็ต้องซื่อตรงว่าเราทำได้ไม่ดีจริง ๆ เพื่อมองต่ออย่างจริงใจว่า เมื่อวัดผลออกมาแล้วไม่ดี เราจะพัฒนาอย่างไรได้บ้าง
🔸 3.3 กระตือรือร้น
เมื่อรู้สึกว่ามีพลังมาในช่วงไหน หรือกระตือรือร้นในช่วงไหนสำคัญมาก เช่น เราชอบตื่นเช้ามาทำงานเพราะพลังงานมาตอนนั้น หรือ เราชอบให้คนอื่นชื่นชมเวลาทำอะไรสำเร็จ เราสามารถไปบอกคนที่ซัพพอร์ตเรื่องนี้ได้ เป็นต้น
🔸 3.4 ให้ความร่วมมือ
ให้ความร่วมมือกับตัวเอง หรือให้ความร่วมมือกับคนที่มี Feedback ให้กับเราบ้าง
🔸 3.5 มุ่งมั่น มีวินัย
ความมุ่งมั่น มีวินัย จะทำให้คุณก้าวข้ามผ่านอารมณ์ แล้วนำไปสู่การทำให้เป็นกิจวัตร จนสิ่งที่จุดอ่อนของคุณเป็นจุดแกร่งได้ เพราะส่วนใหญ่คนที่ก้าวข้ามไม่ได้อาจจะเพราะหยุดไปตามอารมณ์ ขี้เกียจบ้าง แต่การมุ่งมั่น มีวินัยจะฝึกความสม่ำเสมอ แล้วนำไปสู่ความสำเร็จ
และนี่คือ 3 องค์ประกอบสำคัญ
ของการพัฒนาจุดอ่อนให้กลายเป็นจุดแกร่ง
ความรู้ → ลงมือทำ → ปรับมุมมอง 😎 👍
🤩 ประโยชน์ดี ๆ มาบอกต่อกัน 🤩
แอบมาบอกว่าสำหรับใครที่กำลังหา ‘สมุดจด’ ในรูปแบบ Planner ที่จะเป็นสมุดคู่ใจเพื่อหยิบมาเขียนทบทวนตัวเอง และยังสามารถทำ Brain Dump + Prioritization แบบสำเร็จรูปไม่ต้องนั่งตีตารางเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทาง CREATIVE TALK เองก็ได้จริงจัง และใส่ใจกับการทำสิ่งที่เรียกว่า…
“The Organice Planner by CREATIVE TALK” โดยเป็นการ Collab กันระหว่าง CREATIVE TALK และ ZEQUENZ เพราะเรารู้ว่าการจัดการเวลาในแต่ละวันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราจะนำเครื่องมือช่วยจัดลำดับความสำคัญ และลับคมความคิด ให้ทุกคนได้กระตุ้นสมอง
Planner ที่จะมาช่วยคุณจัดการความคิดและกระตุกไอเดียสร้างสรรค์ได้ในทุก ๆ วัน ที่มีจำกัดเพียงแค่ 500 เล่มเท่านั้น!!
[ สมุดเล่มนี้ทำอะไรได้บ้าง? ]
📖 ลับคมความคิด ผ่าน Creative Exercise 12 รูปแบบ เลือกทำเดือนละครั้ง
📖 About Yourself คุณรู้จักตัวเองดีแค่ไหน? รู้จักตัวเอง เพื่อทบทวนความคิดอยู่เสมอ
📖 ติดตามอารมณ์ บันทึกอารมณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ด้วยการกำหนดสีแทนอารมณ์
📖 จัดระเบียบงาน เริ่มต้นด้วยการดึงทุกสิ่งที่อยู่ในสมองของเราออกมาวางไว้ด้านนอก
📖 จัดการงานได้มีประสิทธิภาพ ด้วย Brain Dump, Prioritize, Monthly Planner และ Weekly Planner และพื้นที่จดไดอารี่บันทึกเรื่องราวประจำวัน
📖 สมุดแพลนเนอร์ แบบไม่ระบุวันที่ ผลิตจากกระดาษคุณภาพดีปราศจากสิ่งปนเปื้อนหรือสารเคมี
📖 เปิดกางได้ 360 องศา สันโค้งมน ยืดหยุ่น ตามแบบฉบับ ZEQUENZ
📖 มาพร้อม Magnetic Bookmark สำหรับคั่นหน้ากระดาษ มีให้เลือก 2 สี คือ สีขาว (White) หรือ สีชมพู (Magenta)
เปิดให้ทุกคนจับจองกันแล้ว! จำนวนจำกัดเพียง 500 เล่มเท่านั้น
✱ ราคาเล่มละ 750 บาท (ค่าจัดส่งแบบ EMS เริ่มต้นที่ 50 บาท) ✱
สั่งซื้อได้ทาง Facebook inbox : https://m.me/zequenz
เรา CREATIVE TALK และ ZEQUENZ เชื่อว่า Planner เล่มนี้จะช่วยเปลี่ยนชีวิต ความคิด และการจัดการ ทำให้คุณรู้สึกดีได้ในทุกวัน
✍🏻 เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ
🎨 ภาพประกอบ: ชนสรณ เวชสิทธิ์
#ความรู้ #ลงมือทำ #ปรับมุมมอง

15/12/2024
📌 คนรักงาน เตรียมลาหยุดปี 2025 ปีหน้ามีวันหยุดวันไหนบ้าง และเราจะหยุดวันไหนเพิ่ม หรือเอาไว้เตรียมใจว่าทีมก็อาจจะหยุดด้วย...
14/12/2024

📌 คนรักงาน เตรียมลาหยุดปี 2025
ปีหน้ามีวันหยุดวันไหนบ้าง และเราจะหยุดวันไหนเพิ่ม หรือเอาไว้เตรียมใจว่าทีมก็อาจจะหยุดด้วยเหมือนกัน!
แต่คนรักงานอย่างเรา จะหยุดงานอย่างไร ในเมื่อใจมันรักงาน 😍
#ปฏิทิน2025 #วันหยุดที่ไม่ได้หยุด

3 ขั้นตอนสู่การเป็น Supercommunicator ทักษะปราบเซียนของคนทำงานต่อจากนี้การสื่อสารในที่ทำงานถือเป็นหนึ่งในทักษะปราบเซียนข...
12/12/2024

3 ขั้นตอนสู่การเป็น Supercommunicator ทักษะปราบเซียนของคนทำงานต่อจากนี้
การสื่อสารในที่ทำงานถือเป็นหนึ่งในทักษะปราบเซียนของใครหลายคน
เพราะเรื่องนี้เคยถูกมองว่าใคร ๆ ก็ทำได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นการที่เราจะสื่อสารเรื่องบางเรื่องให้อีกฝ่ายเข้าใจ กลายเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายอีกต่อไป แต่กลับกันคนที่สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลเกิดขึ้น คุณจะยิ่งได้เปรียบในเส้นทางการทำงาน มากกว่าคนที่สื่อสารไม่เก่ง!
การเป็นนักสื่อสารที่เก่งไม่ใช่ความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่สามารถฝึกฝนและปรับปรุงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นและการฝึกฝนที่ถูกวิธี คุณจะสามารถสร้างทักษะสื่อสารให้เหนือกว่าเพื่อนร่วมงาน และเปิดประตูสู่ความสำเร็จในอาชีพการงานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
มีงานวิจัยที่น่าสนใจระบุถึงเรื่องของ Supercommunicator
ในปี 1995 คุณเอเลน และอาร์เธอร์ อารอน (Elaine and Arthur Aron) สองสามีภรรยาจากทีมวิจัยด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยรัฐนิวยอร์ก เกิดความสงสัยว่า ถ้าเราไม่รู้จักกันแต่ต้องทำงานร่วมกัน จะทำอย่างไรให้การสื่อสารเป็นมิตร และไม่ล้ำเส้นจนเกินไป เพราะเชื่อว่าหลายคนเวลาเข้าไปทำงานใหม่ หรือต้องเริ่มทำอะไรใหม่กับคนแปลกหน้า จะมีความกดดัน แต่กลับบางคนกลับไม่กดดันก็มี นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของข้อสงสัย นำไปสู่การวิจัย
โดยทั้งคู่เริ่มทำการวิจัยโดยมีกลุ่มอาสาสมัคร 300 คน ในพื้นที่มีเก้าอี้สองตัว จากนั้นจึงเริ่มจับคู่ถามคำถามร่วมกันครั้งละ 60 นาทีเท่านั้น โดยคำถามเหล่านั้นถูกคัดโดยนักวิจัย ซึ่งมีตั้งแต่คำถามตลก ๆ เช่น ‘ล่าสุดคุณร้องเพลงในห้องน้ำเมื่อไหร่ ?’ ไปจนถึงการถามแบบจริงใจอย่างลึกซึ้ง เช่น ถ้าคืนนี้เธอต้องจากโลกไปโดยไม่มีโอกาสจะได้คุยกับใคร สิ่งที่เธอจะรู้สึกเสียใจมากที่สุดคือเรื่องไหน ?
โดยผลปรากฏว่าการถามคำถามประเภทลึกซึ้ง (The Profound) สามารถสร้างความรู้สึกผูกพัน และความคุ้นเคยได้อย่างรวดเร็วในกลุ่มอาสาสมัครที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และไม่ใช่แค่นั้นหลังจากผ่านการวิจัยมาได้ 7 สัปดาห์อาสาสมัครกว่า 57% ที่เข้าร่วมต่างโทรหาสื่อสารกับคู่สนทนาของตัวเอง และอีก 35% ก็นัดไปเจอพบปะสังสรรค์กัน จากผลการทดลองนี้บ่งบอกว่า แม้จะเป็นคนแปลกหน้า แต่การตั้งคำถามที่เหมาะสม และแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกันอย่างจริงใจอย่างลึกซึ้ง ไม่จำเป็นต้องตลก เฮฮาเสมอไป ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเป็น Supercommunicator
3 ขั้นตอนสู่การเป็น Supercommunicator สุดยอดทักษะการสื่อสารในที่ทำงาน
😎 ขั้นตอนที่ 1: เตรียมตัวก่อนการสนทนาทุกครั้ง!
โดยในการวิจัยของคุณเอเลน และอาร์เธอร์ อารอน ระบุไว้ว่าการฝึกตั้งคำถาม หรือเตรียมตัวก่อนสนทนา ประมาณ 30 วินาที จะช่วย ‘ลดความวิตกกังวล’ ก่อนพูดได้ และยังช่วยลดช่องว่างเวลาคุยกันแล้วจู่ ๆ ก็เงียบลงได้ ซึ่งจะทำให้คนที่เราคุยด้วยมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น และสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับการสื่อสาร
ดังนั้นในกรณีที่เราทำงาน วันนี้เราอาจจะต้องออกไปพบเจอลูกค้าที่ไม่รู้จัก, สื่อสารกับคนในองค์กรที่ไม่คุ้นหน้า หรือต้องสื่อสารเพื่อให้ได้งานชิ้นนั้นจากทีมนี้ ในช่วงเวลาก่อนจะเริ่มสื่อสาร ลองคิดถึงเรื่องที่จะคุยสัก 2-3 หัวข้อ ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับงาน หรือเรื่องทั่วไปก็ได้ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือเกี่ยวข้องกับคนที่เราจะสื่อสารด้วย
🤔 #ประโยชน์ของการใช้เทคนิคนี้คือ
ยิ่งเราได้ฝึกเตรียมพร้อม เตรียมคำถามไว้ให้คิดเสมอว่าคำถามที่เตรียมไว้เพื่อสื่อสาร ‘คือคำถามสำรอง’ เราอาจจะได้ใช้ หรือไม่ได้ใช้ไม่เป็นไร แต่การเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าจะช่วยให้เราสงบนิ่ง และลดความกังวลได้มากกว่าการไม่เตรียมพร้อมอะไรเลย และยิ่งฝึกบ่อย ๆ เราจะเริ่มคาดการณ์ได้ ว่าการต้องคุยกับใครสักคน เราจะเข้าไปคุยกับเขาอย่างไร เพื่อเพิ่มความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
😎 ขั้นตอนที่ 2: ตั้งคำถามจริงใจอย่างลึกซึ้งระหว่างการสนทนา (Deep Question)
เมื่อเราเริ่มสื่อสารไปแล้ว อีกหนึ่งเทคนิคของการเป็น Supercommunicator สุดยอดนักสื่อสารในที่ทำงานคือการ “ตั้งคำถามระหว่างการสนทนา” ลองสังเกตคนที่สื่อสารเก่ง ๆ ก็ได้ว่า หากการพูดคุยหรือสื่อสารกัน ทำไมทุกคำพูด ทำไมทุกคำถามที่เขาสื่อสารออกมา เราได้ในฐานะคนฟังถึงได้ประโยชน์จากสิ่งนั้นเสมอ
คำว่า ‘ตั้งคำถามจริงใจอย่างลึกซึ้ง’ หมายถึง การถามโดยให้อีกฝ่ายอธิบายถึงความเชื่อ, ถึงคุณค่า และประสบการณ์ที่อีกฝ่ายคิดเห็น เพื่อเปิดแง่มุมในแบบที่เขาเป็น ให้อีกฝ่ายได้พูดในเรื่องที่เขาเชื่อ เขาคิดเห็น บางครั้งมันอาจจะเป็นคำถามเบา ๆ อย่างการบอกว่า “วันนี้เธอดูดี แววตาดูมีความสุขจังเลย ไปทำไรมาอะ เล่าให้เราฟังหน่อยสิ ?” ซึ่งดีกว่าแค่การบอกว่า “เธอดูแฮปปี้นะ ?” เพราะการสื่อสารแบบจริงใจอย่างลึกซึ้ง คือการตั้งคำถามเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกภูมิใจ ว่าเราใส่ใจจริง ๆ นะ และลดความกังวลในการพูดคุยกัน เสมือนการมอบความสุขผ่านการสื่อสารซึ่งกันและกัน
🤔 #ประโยชน์ของการใช้เทคนิคนี้คือ
ตัวอย่างของการใช้ประโยค ‘ตั้งคำถามจริงใจอย่างลึกซึ้ง’ มีด้วยกันหลายแบบมาก เช่น
❌ คำถามทั่วไป: บ้านเธออยู่แถวไหน ?
✅ ตั้งคำถามจริงใจอย่างลึกซึ้ง: “สิ่งที่เธอชอบในย่านที่อยู่อาศัย มีที่ไหนน่าสนใจบ้าง ?”
❌ คำถามทั่วไป: ก่อนหน้านี้คุณทำงานที่ไหน ?
✅ ตั้งคำถามจริงใจอย่างลึกซึ้ง: งานที่คุณชอบที่สุดตั้งแต่ทำมา จนถึงวันนี้ คืองานแบบไหน ?
❌ คำถามทั่วไป: ของานชิ้นนี้หน่อยนะ เอาสัปดาห์หน้า ?
✅ ตั้งคำถามจริงใจอย่างลึกซึ้ง: เธอสะดวกไหม เราจะรบกวนช่วยทำกราฟิกชิ้นนี้ ขอเป็นสัปดาห์หน้าได้ เราเห็นเธอทำงานหนักช่วงนี้ ขอบคุณนะ ?
จะสังเกตได้ว่าการตั้งคำถามจริงใจอย่างลึกซึ้งนั้น ดูไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด แต่กลับเป็นคำถามที่ง่ายมาก เพียงแค่เราจริงใจกับความรู้สึก ใส่ใจกับการถาม ใส่ใจกับผู้ฟัง ใส่ใจกับบริบทรอบตัว ยิ่งเราฝึกบ่อย ๆ จะเกิดความคุ้นเคยมากขึ้น และจะทำให้ตัวเราเองเป็นคนที่น่ารักในสายตาคนอื่นมากขึ้น เพราะคุณคือคนที่ห่วงใยคนฟังนั่นเอง
😎 ขั้นตอนที่ 3: ถามคำถามเพื่อติดตาม หรือต่อบทสนทนานั้นอย่างต่อเนื่อง
ขั้นตอนสุดท้ายนับว่ามีความสำคัญมากที่สุด และเป็นความสำคัญที่หลายคนทำผิดพลาดมากที่สุดเช่นกัน เพราะการถามคำถามส่วนใหญ่ เมื่อผู้พูดสื่อสารจบแล้ว มักจะเกิดอาการที่เรียกว่า ‘เดดแอร์’ คือไม่รู้จะคุยอะไรต่อ ดังนั้นการต่อบทสนทนาสำคัญมาก เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อลดช่องว่างการเกิดเดดแอร์ให้มากที่สุด
🤔 #ประโยชน์ของการใช้เทคนิคนี้คือ
โดยสิ่งสำคัญคือการโฟกัสผู้พูดร่วมสื่อสารกับเรา ว่าเขากำลังคุยอะไร เนื้อหาประมาณไหน อย่ารอให้เขาเป็นฝ่ายถามคุณมากจนเกินไป แต่คุณเองก็ต้องเริ่มที่จะถามเขาด้วยการตั้งคำถามจริงใจอย่างลึกซึ้ง แสดงถึงความใส่ใจในการสื่อสารร่วมกัน
โดยสรุปแล้วพื้นฐานของการจะเป็น Supercommunicator หรือสุดยอดทักษะการสื่อสารในที่ทำงานนั้น มีจุดประสงค์สำคัญ ‘เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน’ องค์กรที่ดีต้องมีพนักงาน หรือทีมงานที่ดีเช่นกัน หากเราเริ่มจากตัวเองก่อน เป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้าง ฝึกการตั้งคำถาม ซ้อมการเตรียมพร้อมในทุกโอกาสที่จะเข้ามา แล้วสักวันเพื่อน ๆ จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่ดีขึ้น แถมตัวเราเองก็สบายใจขึ้น เพราะเราเต็มที่กับทุกโอกาสที่ได้รับ และอีกฝ่ายที่สื่อสารกับเราก็จะอยาก ร่วมกับเรา เพราะเราเป็นคนที่คุยแล้ว เข้าใจในเนื้อหาที่คุย แถมยังเข้าใจอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
✍🏻 เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ
🎨 ภาพประกอบ: ชนสรณ เวชสิทธิ์
#ทักษะ

ที่อยู่

บจก. ครีเอทีฟทอล์ค 1248 Pattanakarn Road Suanluang
Bangkok
10250

เวลาทำการ

จันทร์ 10:00 - 19:00
อังคาร 10:00 - 19:00
พุธ 10:00 - 19:00
พฤหัสบดี 10:00 - 19:00
ศุกร์ 10:00 - 19:00

เบอร์โทรศัพท์

+6620131490

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ CREATIVE TALKผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง CREATIVE TALK:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์