LM Thai LM (Logistics Manager) แหล่งข่าวสารด้านโลจิสติกส์ชั้นนำ

Wallenius Wilhelmsen ขยายกองเรือขนส่งยานยนต์ รุ่น Sharper ขนาด 11,700 CEU เพิ่มสองลำ และเตรียมปรับแผนขยายขนาดเรือเพิ่มอี...
21/12/2024

Wallenius Wilhelmsen ขยายกองเรือขนส่งยานยนต์ รุ่น Sharper ขนาด 11,700 CEU เพิ่มสองลำ และเตรียมปรับแผนขยายขนาดเรือเพิ่มอีกสองลำ

สายการเดินเรือ Wallenius Wilhelmsen ประกาศทางเลือกในการยกระดับเรือขนส่งยานยนต์ในตระกูล Shaper ขนาด 11,700 ซีอียู (CEU) เพิ่มเติมจำนวนสองลำ ณ อู่ต่อเรือ China Merchants Jingling Shipyard

โดยแผนการขยายกองเรือเพิ่มสองลำถือเป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งซื้อเรือขนส่งสินค้าสี่ลำที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะได้รับมอบในช่วงครึ่งหลังของปี 2028

นอกจากนี้ Wallenius Wilhelmsen ยังเดินหน้ายกระดับกองเรืออีกสองลำ ด้วยการปรับขนาดเรือจากขนาด 9,300 ซีอียู เป็น 11,700 ซีอียู ส่งผลให้สายการเดินเรือฯ ยกระดับกองเรือตระกูล Shaper รวมเป็นทั้งหมดแปดลำ

“การประเมินตัวเลือกและยกระดับเรือในตระกูล Sharper เพิ่มเติม สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการลดอัตราการปล่อยคาร์บอนให้เท่ากับศูนย์ของ Wallenius Wilhelmsen เรือชุดนี้ได้รับการเตรียมความพร้อมสำหรับการปล่อยคาร์บอนเท่ากับศูนย์และรองรับเชื้อเพลิงในอนาคตตั้งแต่วันแรกที่ปฏิบัติการ ซึ่งจะช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงและลดการปล่อยคาร์บอนลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ” Mr. Xavier Leroi รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ แผนก Shipping Services สายการเดินเรือ Wallenius Wilhelmsen กล่าว

ภายหลังการประกาศเพิ่มเติมดังกล่าวจะทำให้ Wallenius Wilhelmsen มีกองเรือตระกูล Shaper รวมทั้งหมด 14 ลำ แบ่งเป็นเรือขนาด 11,700 ซีอียู แปดลำ และเรือขนาด 9,300 ซีอียู หกลำ

OOCL จัดพิธีตั้งชื่อเรือ OOCL Bauhiniaเมื่อเร็วๆ นี้ สายการเดินเรือ Orient Overseas Container Line (OOCL) ได้จัดพิธีตั้ง...
20/12/2024

OOCL จัดพิธีตั้งชื่อเรือ OOCL Bauhinia

เมื่อเร็วๆ นี้ สายการเดินเรือ Orient Overseas Container Line (OOCL) ได้จัดพิธีตั้งชื่อเรือลำใหม่ในชื่อ OOCL Bauhinia ณ อู่ต่อเรือของบริษัท Dalian COSCO KHI Ship Engineering (DACKS) โดยเรือลำดังกล่าวเป็นหนึ่งในกองเรือขนส่งสินค้าขนาด 16,000 ทีอียู จำนวนสิบลำ ที่ทาง OOCL ได้สั่งประกอบขึ้นใหม่ และถือเป็นเรือขนาด Neo Panamax รุ่นใหม่ล่าสุดในรอบสิบปีของบริษัทฯ

เรือ OOCL Bauhinia มีความยาว 366.99 เมตร กว้าง 51.0 เมตร และลึก 30.2 เมตร โดยมีระยะกินน้ำลึกที่ 14.5 เมตร และสามารถบรรทุกตู้สินค้าได้ถึง 16,828 ทีอียู สำหรับเรือขนส่งสินค้าชุดใหม่นี้ OOCL ได้เลือกตั้งชื่อเรือตามชื่อดอกไม้ โดยชื่อ ‘Bauhinia’ มาจากดอกไม้ประจำเมือง Hong Kong ซึ่งสะท้อนถึงความผูกพันและความภาคภูมิใจในฐานะบริษัทที่ก่อตั้งและดำเนินกิจการใน Hong Kong มายาวนานกว่า 55 ปี

โดยภายในพิธี ทางบริษัทฯ ได้เชิญ Ms. Xiaoli Ma กรรมการผู้จัดการ บริษัท COSCO-HIT Terminals (Hong Kong) และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท Asia Container Terminals มาเป็นผู้อุปถัมถ์และตั้งชื่อเรือดังกล่าว พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติจำนวนมากร่วมเป็นสักขีพยาน

Mr. Peter Pan ผู้อำนวยการและสมาชิกคณะกรรมการบริหาร สายการเดินเรือ OOCL กล่าวว่า “ผมขอขอบคุณอู่ต่อเรือ DACKS อย่างยิ่ง สำหรับความร่วมมืออันยอดเยี่ยมที่แสดงให้เห็นมาโดยตลอด หลังจากการส่งมอบเรือขนส่งสินค้าขนาด 24,000 ทีอียูให้กับเราในช่วงที่ผ่านมา วันนี้พวกเขาได้พิสูจน์อีกครั้งถึงความเป็นอู่ต่อเรือชั้นนำ ด้วยการพัฒนาและต่อเรือขนาด 16,000 ทีอียูให้กับเรา เรือลำนี้ได้รับการออกแบบและพัฒนาด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงาน เราเชื่อมั่นว่าเรือลำใหม่นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ลดการปล่อยคาร์บอน และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต

OOCL Bauhinia จะถูกนำไปให้บริการในเส้นทาง Trans-Pacific Trade PCC1 ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียและฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีรอบการวนเรือเริ่มต้นจาก Ningbo ไปยัง Shanghai, Pusan, Long Beach, ก่อนจะวนกลับไปที่ Pusan, Ningbo และสิ้นสุดที่ Shanghai ด้วยระยะเวลาทั้งสิ้น 42 วัน

CMA CGM เปิดบริการ BMS เชื่อมตุรกี ทะเลเอเดรียติก และเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกเมื่อเร็วๆ นี้ แผนกการเดินเรือระยะสั้น สายก...
20/12/2024

CMA CGM เปิดบริการ BMS เชื่อมตุรกี ทะเลเอเดรียติก และเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก

เมื่อเร็วๆ นี้ แผนกการเดินเรือระยะสั้น สายการเดินเรือ CMA CGM ประกาศเปิดบริการขนส่งสินค้าทางทะเลรายสัปดาห์ใหม่ในชื่อ BORA MED SERVICE (BMS) เชื่อมระหว่างตุรกี ภูมิภาคทะเลเอเดรียติก และเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เพื่อส่งมอบบริการขนส่งสินค้าเชื่อมต่อตลาดในทะเลเอเดรียติกสู่ตลาดการค้าโลก

ทั้งนี้ บริการ BMS จะปฏิบัติการด้วยเรือขนส่งสินค้าขนาด 2,500 ทีอียู ทั้งสิ้นหกลำ โดยมีกำหนดปฏิบัติการเที่ยวปฐมฤกษ์ออกจากท่าเรือ Antalya ประเทศตุรกี ในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ โดยมีรอบการวนเรือจาก Antalya ไปยัง Izmir, Aliaga, Ambarli, Gebze, Gemlik, Malta, Ancona, Ravenna, Venezia, Trieste, Koper, Rijeka, Bar, Taranto ก่อนจะวนกลับไปยัง Malta, Limassol, Alexandria, Beirut และวนกลับไปยัง Antalya อีกครั้ง

CNC เปิดตัวบริการ CV8 เชื่อมจีนตอนกลางสู่เวียดนามตอนใต้สายการเดินเรือ CNC ประกาศเปิดบริการขนส่งสินค้าทางทะเลใหม่ล่าสุดใน...
19/12/2024

CNC เปิดตัวบริการ CV8 เชื่อมจีนตอนกลางสู่เวียดนามตอนใต้

สายการเดินเรือ CNC ประกาศเปิดบริการขนส่งสินค้าทางทะเลใหม่ล่าสุดในชื่อ CV8 เชื่อมระหว่างจีนตอนกลางและเวียดนามตอนใต้ เพื่อส่งมอบบริการขนส่งสินค้าที่มาพร้อมข้อได้เปรียบทางการแข่งขันและความน่าเชื่อถือให้แก่ลูกค้า โดยบริการ CV8 ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนบริการ CV2 ที่มีอยู่เดิมของ CNC พร้อมนำเสนอขีดความสามารถในการรองรับสินค้าและความถี่รอบการวนเรือที่มากขึ้นให้แก่ลูกค้า

โดยบริการ CV8 มาพร้อมข้อได้เปรียบทางการแข่งขันมากมาย อาทิ การขนส่งสินค้าเส้นทางตรงระหว่างจีนตอนกลางและเวียดนามตอนใต้ ความถี่รอบการวนเรือรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้น ระยะเวลาการขนส่งที่รวดเร็ว และการปฏิบัติการด้วยเรือขนส่งสินค้าที่ CNC เป็นเจ้าของสองลำ

ทั้งนี้ บริการ CV8 มีกำหนดปฏิบัติการเที่ยวปฐมฤกษ์ด้วยเรือขนส่งสินค้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเหลว CMA CGM ESCURIAL ออกจากท่าเรือ Shanghai ประเทศจีน ในวันที่ 28 ธันวาคมนี้ โดยมีรอบการวนเรือเริ่มจาก Shanghai ไปยัง Ningbo, Ho Chi Minh City และวนกลับไปยัง Shanghai อีกครั้ง

Hapag-Lloyd ลงนามข้อตกลงระยะยาว รับซื้อเชื้อเพลิงเมทานอลสีเขียวสายการเดินเรือ Hapag-Lloyd ลงนามข้อตกลงระยะยาวกับ Goldwin...
19/12/2024

Hapag-Lloyd ลงนามข้อตกลงระยะยาว รับซื้อเชื้อเพลิงเมทานอลสีเขียว

สายการเดินเรือ Hapag-Lloyd ลงนามข้อตกลงระยะยาวกับ Goldwind พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระดับโลกด้านพลังงานสะอาด ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ใน Beijing ประเทศจีน เพื่อส่งมอบเชื้อเพลิงเมทานอลสีเขียวปริมาณ 250,000 ตันต่อปี โดยเชื้อเพลิงเมทานอลสีเขียวประกอบด้วยเชื้อเพลิงเมทานอลชีวภาพและเชื้อเพลิงอี-เมทานอล โดยจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ได้อย่างน้อย 70 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังสอดคล้องกับข้อกำหนดของใบรับรองความยั่งยืนในปัจจุบัน

“ด้วยกลยุทธ์ ‘Strategy 2030’ เรามุ่งมั่นดำเนินการตามข้อตกลงปารีสเพื่อลดอุณหภูมิลงให้ได้ 1.5 องศา และยังถือเป็นการลงทุนด้านความยั่งยืน โดยจากข้อตกลงดังกล่าว เรากำลังดำเนินการจัดหาเชื้อเพลิงสีเขียวตามที่กำหนด โดยจะถือเป็นก้าวสำคัญในการเข้าใกล้เป้าหมายในการปฏิบัติการกองเรือที่มีอัตราการปล่อยคาร์บอนเท่ากับศูนย์ภายในปี 2045 โดยถือเป็นความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานในอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าทางทะเล” Mr. Rolf Habben Jansen ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการเดินเรือ Hapag-Lloyd AG กล่าว

โดยภายในปี 2030 สายการเดินเรือ Hapag-Lloyd มุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ของกองเรือให้ได้ราวหนึ่งในสามเมื่อเทียบกับปี 2022 โดยเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมแล้ว เชื้อเพลิงเมทานอลสีเขียวตามปริมาณที่ได้สั่งซื้อสามารถลดการปล่อยคาร์บอนเทียบเท่าจากการปฏิบัติการกองเรือได้ถึง 400,000 ตันต่อปี

ทั้งนี้ Goldwind กำลังวางแผนสร้างโรงงานเมทานอลสีเขียวแห่งใหม่ที่ใกล้กับโครงการเดิมที่มีอยู่ใน Hinggan League ประเทศจีน ขณะเดียวกัน Goldwind จะทำการส่งมอบเชื้อเพลิงเพิ่มเติมล่วงหน้าจากที่กำหนดไว้ในปี 2026

“เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้บรรลุข้อตกลงในครั้งนี้ร่วมกับ Hapag-Lloyd การร่วมมือกันในครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า Goldwind ได้รับความไว้วางใจจากหนึ่งในสายการเดินเรือที่มีความสำคัญมากที่สุดของโลก เรายินดีอย่างยิ่งกับโอกาสในการเป็นพันธมิตรลดการปล่อยคาร์บอนรายสำคัญของ Hapag-Lloyd โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนตามเป้าหมายของอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Goldwind โดย Goldwind มีความยินดีกับการลงนามข้อตกลงในครั้งนี้และมุ่งมั่นสานต่อความร่วมมือในครั้งนี้ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น” Mr. Wu Gang ประธาน บริษัท Goldwind กล่าว

“เชื้อเพลิงเมทานอลสีเขียวถือเป็นแนวทางสำคัญต่อกลยุทธ์เชื้อเพลิงหลายชนิดของ Hapag-Lloyd โดยเป็นการเน้นย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับโซลูชันขนส่งสินค้าที่มีความยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยโครงการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จริงจากการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และเราเห็นคุณค่าของการร่วมมือกับ Goldwind เป็นอย่างยิ่ง โดยถือเป็นพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญและมีวิสัยทัศน์ร่วมกันทำให้เรามองเห็นความก้าวหน้าสำคัญที่มีต่อเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเท่ากับศูนย์” Mr. Jan Christensen ผู้อำนวยการระดับสูง บริษัท Global Fuel Purchasing กล่าว

MSC Foundation ช่วยเหลือชุมชนผู้ประสบภัยซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิที่เคลื่อนตัวเข้าสู่...
18/12/2024

MSC Foundation ช่วยเหลือชุมชนผู้ประสบภัยซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิที่เคลื่อนตัวเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถือเป็นหนึ่งในเหตุวาตภัยที่รุนแรงที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยความเร็วลมกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้เกิดเหตุอุทกภัย และดินถล่ม ทำลายอาคารบ้านเรือนอย่างรุนแรง ส่งผลให้ประชาชนมากกว่า 5.3 ล้านชีวิต โดยในจำนวนนี้มีเด็กอย่างน้อย 1.5 ล้านชีวิต ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติดังกล่าว อีกทั้งยังส่งผลให้ชุมชนที่ได้รับผลกระทบขาดแคลนน้ำสะอาด อาหาร ที่อยู่อาศัย รวมถึงระบบสาธารณสุขและการศึกษา

ด้วยเหตุนี้เอง MSC Foundation จึงไม่รอช้าที่จะให้ความช่วยเหลือชุมชนผู้ประสบภัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเร่งด่วน ภายใต้การสนับสนุนจากบริษัท MSC ประจำประเทศ คอยให้ความช่วยเหลือด้านการเยียวยาและซ่อมแซมอย่างเต็มศักยภาพ

Commitment to Supporting Communities
MSC Foundation ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับพันธมิตรและหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไรทั่วประเทศไทย เมียนมา และเวียดนาม เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยพิบัติดังกล่าว โดยทั้ง MSC Myanmar, MSC Thailand, และ MSC Vietnam ต่างมีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ ผ่านการคัดเลือกและประสานงานพันธมิตรในพื้นที่เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือด้านการบริหารจัดการที่สำคัญ

โดยในส่วนของประเทศไทย MSC Thailand ได้ร่วมมือกับสภากาชาดไทยในการส่งมอบยาและปัจจัยที่จำเป็นให้แก่ผู้ประสบภัยราว 3,500 คน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย

ในเมียนมา MSC ได้ร่วมมือกับมูลนิธิ Community Partners International (CPI) ในการส่งมอบยาและปัจจัยที่จำเป็นให้แก่ผู้ประสบภัยราว 1,250 คน ครอบคลุมผู้พิการราว 250 คน ใน Bago นอกจากนี้ MSC ยังได้ร่วมมือกับสภากาชาดเมียนมาในการกระจายและส่งมอบปัจจัย อาทิ น้ำสะอาด อาหาร และอุปกรณ์ด้านสุขอนามัย ให้แก่ผู้ประสบภัยราว 3,000 คน รวมถึงให้ความช่วยเหลือในการซ่อมแซมบ้านเรือนและฟื้นฟูความเป็นอยู่ที่ดีด้วย

ขณะที่ในเวียดนาม MSC ได้ให้ความช่วยเหลือในการซ่อมแซมโรงเรียนที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ ซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยมากกว่า 2,100 คน

SINO คว้าใบรับรอง C-TPAT จากหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐอเมริกา มุ่งยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยบริษัท SINO Log...
18/12/2024

SINO คว้าใบรับรอง C-TPAT จากหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐอเมริกา มุ่งยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัย

บริษัท SINO Logistics Corporation (SINO) ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญจากการได้รับการรับรองความร่วมมือด้านการค้าศุลกากรเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย (Customs-Trade Partnership Against Terrorism: C-TPAT) จากหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐอเมริกา (U.S. Customs and Border Protection: CBP) ถือเป็นการช่วยยกระดับมาตรฐานด้านการให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศของบริษัทฯ เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าในสหรัฐอเมริกาที่เป็นฐานลูกค้าหลัก

คุณนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท SINO Logistics เปิดเผยว่า “ในช่วงที่ผ่านมา SINO ได้มุ่งยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง ผ่านการยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยในซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลก พร้อมสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ SINO ได้รับการรับรอง C-TPAT จากหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยระดับโลกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ”

โดยการได้รับการรับรอง C-TPAT ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของ SINO Logistics ด้านการให้บริการที่ได้รับมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ซึ่งไม่เพียงเป็นการยกระดับการดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์ของบริษัทฯ แต่ยังช่วยยกระดับความเชื่อมั่นให้แก่พันธมิตรและลูกค้าจากหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา เนื่องจาก SINO Logistics ถือเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาที่มีปริมาณการขนส่งสินค้ามากเป็นอันดับสองของโลก อีกทั้งยังถือเป็นอันดับหนึ่งของไทยอีกด้วย

คุณนันท์มนัสกล่าวเสริมว่า “เราภาคภูมิใจอย่างยิ่งในฐานะผู้ประกอบการไทยที่ได้รับการรับรอง C-TPAT ซึ่งเป็นผลจากความพยายามและความมุ่งมั่นในการให้บริการที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานระดับโลก เราเชื่อมั่นว่าการรับรองนี้จะเป็นหลักประกันที่ช่วยยกระดับความมั่นใจในประสิทธิภาพการให้บริการโลจิสติกส์ รวมถึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้ SINO สามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจในตลาดโลกอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าผ่านการส่งมอบบริการขนส่งสินค้าไปยังจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็วและปลอดภัย”

COSCO SHIPPING ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการเติมเชื้อเพลิงเมทานอลให้แก่เรือขนส่งสินค้าเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 พฤศจิก...
17/12/2024

COSCO SHIPPING ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการเติมเชื้อเพลิงเมทานอลให้แก่เรือขนส่งสินค้าเป็นครั้งแรก

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัท CHIMBUSCO Jiangsu ในเครือของสายการเดินเรือ COSCO SHIPPING ได้ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการเติมเชื้อเพลิงเมทานอลปริมาณ 79.5 ตัน ให้แก่เรือ NCL VESTLAND เรือขนส่งสินค้าระบบเชื้อเพลิงคู่รองรับเชื้อเพลิงเมทานอล ขนาด 1,300 ทีอียู ณ อู่ต่อเรือ Sanfu Shipbuilding ใน Taizhou ประเทศจีน นับเป็นความสำเร็จครั้งแรกในการเติมเชื้อเพลิงเมทานอลให้แก่เรือขนส่งสินค้าของ COSCO SHIPPING

โดย COSCO SHIPPING ใช้เวลาในการเติมเชื้อเพลิงทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง 5 นาที โดยใช้สถานีเติมเชื้อเพลิงเมทานอลเคลื่อนที่ที่ได้รับการพัฒนาร่วมกันระหว่าง CHIMBUSCO Jiangsu และ COSCO (Lianyungang) Liquid Loading & Unloading Equipment ในการปฏิบัติการ ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติการเติมเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างราบรื่น CHIMBUSCO Jiangsu ได้จัดประชุมเพื่อวางแผนเกี่ยวกับขั้นตอนการเติมเชื้อเพลิง การรับรองความปลอดภัย และมาตรการรับมือเหตุฉุกเฉินเป็นจำนวนหลายครั้ง ส่งผลให้การปฏิบัติการเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับในการเติมเชื้อเพลิงเมทานอลในท้ายที่สุด

อนึ่ง สถานีเติมเชื้อเพลิงเมทานอลเคลื่อนที่ในการปฏิบัติการดังกล่าวใช้ระบบปั๊มเชื้อเพลิงเป็นแหล่งพลังงานหลักในการปฏิบัติการเติมเชื้อเพลิง โดยประกอบด้วยโมดูลหลักที่ครอบคลุมหลายโมดูลเพื่อช่วยให้ขั้นตอนการเติมเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยให้การปฏิบัติการเป็นไปอย่างไร้รอยต่อและสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สถานีเติมเชื้อเพลิงเมทานอลนี้ยังนำเสนอศักยภาพที่ยืดหยุ่น อาศัยต้นทุนที่น้อย และสามารถเติมเชื้อได้มากถึง 180 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง นับเป็นโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสำหรับการปฏิบัติการเติมเชื้อเพลิงเมทานอลในปัจจุบัน อีกทั้งยังสามารถช่วยสนับสนุนอู่ต่อเรือในการทดสอบการเติมเชื้อเพลิงเมทานอลที่ตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างครอบคลุม

OOCL เปิดบริการ CHL2 เชื่อมแหลมฉบังสู่ท่าเรือหลักของจีนสายการเดินเรือ OOCL เปิดตัวบริการขนส่งสินค้าทางทะเลใหม่เชื่อมระหว...
17/12/2024

OOCL เปิดบริการ CHL2 เชื่อมแหลมฉบังสู่ท่าเรือหลักของจีน

สายการเดินเรือ OOCL เปิดตัวบริการขนส่งสินค้าทางทะเลใหม่เชื่อมระหว่างจีนและไทยในชื่อ China Laem Chabang Service (CHL2) โดยมีกำหนดปฏิบัติการเที่ยวปฐมฤกษ์ในวันที่ 10 มกราคม ปี 2025

โดยบริการ CHL2 จะช่วยยกระดับความครอบคลุมในเครือข่ายขนส่งสินค้าของ OOCL ระหว่างจีนตะวันออก จีนตอนใต้ และท่าเรือแหลมฉบัง (laem Chabang) ของไทย โดยบริการดังกล่าวมาพร้อมข้อได้เปรียบด้านระยะเวลาการขนส่งสินค้าที่รวดเร็ว อีกทั้งยังจะช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือให้แก่บริการของ OOCL ทั้งนี้ บริการ CHL2 ได้รับการออกแบบมาเพื่อสนับสนุนความต้องการทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้นของตลาดในภูมิภาคโดยเฉพาะ

โดยบริการ CHL2 มีรอบการวนเรือเริ่มจาก Shanghai ไปยัง Ningbo, Xiamen, Nansha, Laem Chabang, Shekou และวนกลับไปยัง Shanghai อีกครั้ง

Syngenta และ Maersk ขยายระยะการเป็นพันธมิตรด้านโซลูชันซัพพลายเชนที่ยั่งยืนSyngenta Crop Protection ผู้นำระดับโลกด้านนวัต...
16/12/2024

Syngenta และ Maersk ขยายระยะการเป็นพันธมิตรด้านโซลูชันซัพพลายเชนที่ยั่งยืน

Syngenta Crop Protection ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมการเกษตร และ Maersk ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรชั้นนำ ประกาศขยายการเป็นพันธมิตรในการให้บริการโลจิสติกส์แบบ 4PL อีกเป็นเวลาห้าปี โดยการต่อสัญญาในครั้งนี้เป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทที่มีต่อความรับผิดชอบด้านกระบวนการโลจิสติกส์ผ่านการปรับและการใช้นวัตกรรมซัพพลายเชนอย่างต่อเนื่อง

โดยหัวใจสำคัญของการร่วมมือกันครั้งนี้ คือการให้ความสำคัญกับโลจิสติกส์ที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยทั้งสองบริษัทฯ ได้มุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ตลอดซัพพลายเชน โดย Maersk มุ่งมั่นบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับศูนย์ในทุกธุรกิจให้สำเร็จภายในปี 2040 ขณะที่ Syngenta ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยเร่งลดการปล่อยคาร์บอนในการปฏิบัติการและตั้งเป้าหมายชัดเจนเพื่อการปฏิบัติการด้านความยั่งยืน ภายใต้การร่วมมือกันจะมีการรายงานการปล่อยคาร์บอนและการสื่อสารอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลลัพธ์ด้านความยั่งยืน ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญต่อผลการดำเนินธุรกิจ

ตลอดแปดปีที่ผ่านมา Syngenta และ Maersk ประสบความสำเร็จในการก้าวผ่านภาวะหยุดชะงักครั้งใหญ่ได้ด้วยความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น ทั้งการระบาดของโควิด-19 และวิกฤตทะเลแดง รวมทั้งได้มองหาโอกาสในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากซัพพลายเชนของ Syngenta

“เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ขยายการเป็นพันธมิตรร่วมกับ Maersk ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความมุ่งมั่นเรื่องความยั่งยืนและนวัตกรรมเหมือนกันกับเรา ทั้ง Syngenta และ Maersk มีความเห็นที่สอดคล้องกันในเรื่องการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการขับเคลื่อนนวัตกรรม การเป็นพันธมิตรของเราได้พิสูจน์ถึงคุณค่านี้ และเราคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะบรรลุเป้าหมายใหม่นี้ร่วมกันด้วยการพัฒนาและปรับใช้โซลูชันที่ทันสมัยเพื่อนำมาปรับใช้ในซัพพลายเชนของเรา การยกระดับโลจิสติกส์เชิงดิจิทัล และเทคโนโลยี AI” Mr. Mike Hollands หัวหน้าระดับโลกฝ่าย Production & Supply บริษัท Syngenta Crop Protection กล่าว

CULines เข้าร่วมงาน Global Freight Summit 2024 ใน Dubaiสายการเดินเรือ CULines เข้าร่วมงานแสดงสินค้าและบริการ Global Frei...
16/12/2024

CULines เข้าร่วมงาน Global Freight Summit 2024 ใน Dubai

สายการเดินเรือ CULines เข้าร่วมงานแสดงสินค้าและบริการ Global Freight Summit 2024 ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัท DP World ใน Dubai สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 18-20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยภายในงาน CULines ได้จัดแสดงสินค้าและบริการของสายการเดินเรือฯ ให้แก่ผู้เข้าร่วมงานจากอุตสาหกรรมฯ ทั่วโลก พร้อมทั้งร่วมแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับเครือข่ายการขนส่งสินค้าของ CULines ในแต่ละพื้นที่ รวมถึงบริการขนส่งสินค้าทางรถบรรทุกและเรือลำเลียงตู้สินค้าที่ครอบคลุมและไร้รอยต่อสำหรับบริการโลจิสติกส์ครบวงจร ขณะเดียวกัน สายการเดินเรือฯ ยังได้รับฟังความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าและพันธมิตรภายในงานเพื่อนำไปออกแบบโซลูชันการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ในอนาคต

นอกจากนี้ CULines ยังได้เข้าร่วมกิจกรรมมากมายภายในงาน Global Freight Summit 2024 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานร่วมกับพันธมิตร พร้อมทั้งสร้างความสัมพันธ์ร่วมกับพันธมิตรรายใหม่ในอุตสาหกรรมฯ เพื่อนำเสนอบริการขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพที่สุดให้แก่ลูกค้า

SCCT รับมอบเครนขนาดยักษ์ชุดใหม่ เดินหน้าโครงการขยายท่าเทียบเรือท่าเทียบเรือ Suez Canal Container Terminal (SCCT) รับมอบค...
15/12/2024

SCCT รับมอบเครนขนาดยักษ์ชุดใหม่ เดินหน้าโครงการขยายท่าเทียบเรือ

ท่าเทียบเรือ Suez Canal Container Terminal (SCCT) รับมอบคำสั่งซื้ออุปกรณ์ชุดแรกสำหรับโครงการขยายท่าเทียบเรือ ซึ่งประกอบด้วยเครนหน้าท่า ZPMC ขนาด Super Post-Panamax จำนวนสี่เครื่อง ซึ่งแต่ละเครื่องมาพร้อมความยาวแขนเครนถึง 72 เมตร และขีดความสามารถในการยกขนตู้สินค้าขนาด 65 ตัน พร้อมกันสองตู้ และยกสินค้าได้สูงสุด 100 ตัน และเครนคานขาสูงแบบล้อยางระบบไฟฟ้า (eRTG) จำนวนหกเครื่อง ซึ่งมาพร้อมระบบควบคุมทางไกลและระบบอัตโนมัติที่ทันสมัย นับเป็นหลักชัยสำคัญสำหรับโครงการขยายท่าเทียบเรือของ SCCT โดยอุปกรณ์ดังกล่าวได้รับการขนส่งมายังท่าเทียบเรือ SCCT ผ่านเรือขนส่งสินค้า Zhenhua 35 ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

Mr. Keld Mosgaard Christensen ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ท่าเทียบเรือ SCCT เผยว่า “การรับมอบเครนชุดใหม่นี้ไม่เพียงช่วยยกระดับศักยภาพด้านเทคโนโลยีให้แก่ท่าเทียบเรือ SCCT แต่ยังช่วยสะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายของเราในการยกระดับศักยภาพเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมฯ อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของ SCCT ในด้านการเติบโตและนวัตกรรม เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายของตลาดการค้าโลกในอนาคต”

Mr. Pillarisetti Ravindranath ผู้อำนวยการโครงการ ท่าเทียบเรือ SCCT เผยว่า “โครงการขยายท่าเทียบเรือนี้จะช่วยยกระดับสถานะของ SCCT ในฐานะท่าเทียบเรือที่ช่วยสนับสนุนการค้าโลก อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทของพนักงานมืออาชีพมากกว่า 3,500 คน ที่ปฏิบัติงานในท่าเรือทุกวัน”

ทั้งนี้ ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรในพื้นที่ โครงการขยายท่าเทียบเรือ SCCT ไม่เพียงช่วยยกระดับมาตรฐานด้านประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ รวมถึงขีดความสามารถด้านการปฏิบัติการของท่าเทียบเรือฯ เท่านั้น แต่ยังถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญสำหรับ SCCT เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและชุมชนในพื้นที่ด้วย

Wan Hai Lines เปิดบริการ PS6 เชื่อมเอเชียสู่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาสายการเดินเรือ Wan Hai Lines ประกาศเปิดบริการขน...
14/12/2024

Wan Hai Lines เปิดบริการ PS6 เชื่อมเอเชียสู่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา

สายการเดินเรือ Wan Hai Lines ประกาศเปิดบริการขนส่งสินค้าทางทะเลเส้นทางตรงใหม่ในชื่อ PS6 เชื่อมระหว่างทวีปเอเชียและชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา โดยบริการดังกล่าวถือเป็นความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนพื้นที่ระวางระหว่างสายการเดินเรือ Wan Hai Lines และ Ocean Network Express (ONE) ซึ่งจะมีผลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2025 เป็นต้นไป

โดยบริการ PS6 จะช่วยให้ Wan Hai Lines สามารถส่งมอบบริการขนส่งสินค้าเชื่อมระหว่างทวีปเอเชียและชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา โดยมีรอบการวนเรือเริ่มจาก Shanghai ไปยัง Ningbo, Long Beach, Oakland, Shanghai และวนกลับไปยัง Ningbo อีกครั้ง

นอกจากนี้ ภายใต้แผนการให้บริการขนส่งสินค้าในเส้นทางทรานส์แปซิฟิกในปี 2025 สายการเดินเรือ Wan Hai Lines ยังเตรียมปรับปรุงบริการ AP1 ที่มีอยู่เดิม เพื่อส่งมอบบริการที่มาพร้อมระยะเวลาการขนส่งสินค้าที่รวดเร็วยิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้าในเวียดนาม จีนตอนใต้ และไต้หวัน โดยบริการ AP1 ที่ได้รับการปรับปรุงจะมีผลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2025 เป็นต้นไป โดยมีรอบการวนเรือเริ่มจาก Haiphong ไปยัง Cai Mep, Shekou, Xiamen, Taipei, Los Angeles, Oakland ก่อนจะวนกลับไปยัง Shekou และ Haiphong อีกครั้ง

ทั้งนี้ Wan Hai Lines ตั้งเป้าหมายว่าบริการ PS6 และ AP1 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้ จะช่วยส่งมอบบริการขนส่งสินค้าเชื่อมต่อไปยังชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า

Maersk สั่งซื้อเรือเชื้อเพลิงคู่จำนวน 20 ลำสายการเดินเรือ A.P. Moller – Maersk (Maersk) ลงนามข้อตกลงกับอู่ต่อเรือสามแห่ง...
13/12/2024

Maersk สั่งซื้อเรือเชื้อเพลิงคู่จำนวน 20 ลำ

สายการเดินเรือ A.P. Moller – Maersk (Maersk) ลงนามข้อตกลงกับอู่ต่อเรือสามแห่งเพื่อสั่งซื้อเรือขนส่งตู้สินค้าเชื้อเพลิงคู่จำนวน 20 ลำ โดยมีพื้นที่ระวางสินค้ารวมกันทั้งหมด 300,000 ทีอียู

“เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ลงนามข้อตกลงสั่งซื้อเรือจำนวน 20 ลำ ซึ่งมีพื้นที่ระวางสินค้ารวมกันถึง 300,000 ทีอียู ตามแผนงานที่ได้ประกาศไว้เมื่อเดือนสิงหาคมปีนี้ โดยคำสั่งซื้อเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดอายุลำเรือและสอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอน โดยเรือทุกลำจะมีเครื่องยนต์เชื้อเพลิงคู่ ปฏิบัติการด้วยเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ” Ms. Anda Cristescu หัวหน้าฝ่ายกองเรือใหม่และกองเรือเช่าเหมาลำ ประจำ Maersk กล่าว

ทั้งนี้ เรือขนส่งตู้สินค้า 20 ลำ จะติดตั้งระบบขับเคลื่อนเชื้อเพลิงคู่เหลว และมีขนาดลำเรือที่หลากหลายตั้งแต่ 9,000 ถึง 17,000 ทีอียู โดยเรือลำแรกจะได้รับมอบในปี 2028 และลำสุดท้ายจะรับมอบในปี 2030

“ด้วยขนาดลำเรือที่แตกต่างกัน เรือทั้งหมดจะสามารถนำไปปฏิบัติการในเครือข่ายการขนส่งที่หลากหลายและมอบความยืดหยุ่นในการใช้งานให้กับเรา โดยเมื่อดำเนินการรับมอบแล้ว เรือขุนส่งสินค้าชุดใหม่จะถูกนำไปปฏิบัติการแทนเรือชุดเดิม” Ms. Cristescu กล่าว

Yusen Logistics ขยายกองรถ EV พร้อมเปิดตัวสถานีชาร์จพลังงานสะอาด ผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน Yusen Logistics เดินหน้าเ...
13/12/2024

Yusen Logistics ขยายกองรถ EV พร้อมเปิดตัวสถานีชาร์จพลังงานสะอาด ผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน

Yusen Logistics เดินหน้าเป้าหมายความยั่งยืน มุ่งลดคาร์บอนฟุตพรินท์ (carbon footprint) ผ่านการขยายกองรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV) และก่อตั้งสถานีชาร์จพลังงานรถ EV ที่คลังสินค้า LLC3 จังหวัดชลบุรี พร้อมผลักดันวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มบริษัทฯ ภายใต้เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน 45 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050
LM มีโอกาสได้พูดคุยกับ Mr. Koichi Hirose รองประธาน และประธานผู้อำนวยการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ, คุณสุวัจชัย เป้าประยูร ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการขนส่งและการจัดการซัพพลายเชน, และคุณพิมาน นวลหงษ์ ผู้อำนวยการบริหาร กลุ่มงานคลังสินค้า บริษัท Yusen Logistics (Thailand) เกี่ยวกับการนำรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในการปฏิบัติการขนส่งสินค้า รวมถึงการเปิดสถานีชาร์จพลังงานรถ EV ซึ่งใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์บนหลังคาของคลังสินค้า LLC3 ใน จ.ชลบุรี

Strategic Vision for EV Adoption
เมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา บริษัท Yusen Logistics ได้กำหนดแผนการลดอัตราการปล่อยคาร์บอนจากการดำเนินการของบริษัท (Scope 1) ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030 เพื่อก่อฐานอันแข็งแกร่งสำหรับเป้าหมายในการลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 จนนำมาซึ่งการตัดสินใจลงทุนสั่งซื้อและปฏิบัติการรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า
Mr. Hirose อธิบายเกี่ยวกับที่มาของการลงทุนครั้งนี้ว่า “เราตัดสินใจลงทุนปฏิบัติการรถบรรทุก EV เนื่องจาก EV ถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบัน ในการก้าวสู่เป้าหมายในการลดคาร์บอนภายในระยะเวลาอันสั้นเมื่อเทียบกับโซลูชันอื่นๆ นอกจากนี้ เทรนด์ในอุตสาหกรรมฯ และความคาดหวังของลูกค้า ยังเป็นอีกปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เราหันมาให้ความสำคัญกับทางเลือกที่ส่งเสริมเป้าหมายด้านความยั่งยืนยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันลูกค้าหลายรายมีความต้องการโซลูชันโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Yusen Food Supply Chain ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Yusen Logistics กับบริษัท Ajinomoto ได้มีการลงทุนให้บริการขนส่งและกระจายสินค้าด้วยรถบรรทุก EV ซึ่งถือเป็นโครงการริเริ่มที่ขับเคลื่อนแนวทางการปรับใช้รถบรรทุก EV ของเราได้เป็นอย่างดี”
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนด้านราคาเชื้อเพลิงพลังงานในประเทศไทยที่มีความผันผวน ราคาน้ำมันที่มักจะผันแปรตามนโยบายของรัฐบาล ยังถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เทคโนโลยี EV ซึ่งใช้พลังงานสะอาด กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับการบริหารต้นทุนอีกด้วย

EV Fleet Deployment and Optimization
บริษัท Yusen Logistics (Thailand) วางแผนขยายกองรถบรรทุก EV เป็นทั้งหมด 10 คันภายในช่วงสิ้นปีงบประมาณ 2024 ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ มีรถบรรทุก EV ในปฏิบัติการอยู่แล้วจำนวนห้าคัน ให้บริการขนส่งสินค้าในอุตสาหกรรมเคมีและยานยนต์เป็นหลัก โดยการปรับใช้รถบรรทุก EV ในระยะแรกเป็นการทดสอบประสิทธิภาพการปฏิบัติการ และศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้รถบรรทุก EV ในการปฏิบัติการโลจิสติกส์
โดยปัจจุบัน Yusen Food Supply Chain ในเครือของ Yusen Logistics (Thailand) ปฏิบัติการขนส่งสินค้าระหว่างโรงงานและศูนย์กระจายสินค้าของ Ajinomoto บนเส้นทางการขนส่งที่กำหนดไว้ พร้อมจัดตารางการชาร์จพลังงานอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบกับประสิทธิภาพการปฏิบัติการ และสามารถให้บริการได้ตามความคาดหวังของลูกค้า
คุณสุวัจชัย กล่าวว่า “การลงทุนปฏิบัติการรถบรรทุก EV เป็นการดำเนินการตามนโยบายของ Yusen Logistics Group ในการบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 โดยภายในสิ้นปีงบประมาณนี้ เราวางแผนที่จะเพิ่มจำนวนรถบรรทุก EV อีกห้าคัน ซึ่งจะส่งผลให้ในปีนี้กองรถบรรทุก EV ในปฏิบัติการของเรามีจำนวนทั้งหมด 10 คัน ยิ่งไปกว่านั้น Yusen Logistics (Thailand) ยังตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนรถบรรทุก EV ตลอดสามปีข้างหน้าอีกปีละ 10 คัน รวมเป็นทั้งหมด 40 คัน”

Operational Challenges and Benefits
Yusen Logistics ได้แบ่งปันประสบการณ์ในการเปลี่ยนการปฏิบัติการขนส่งสินค้าโดยใช้รถบรรทุก EV ขนส่งสินค้า โดยระบุว่าการใช้รถบรรทุก EV ไม่ได้ส่งผลกระทบในแง่ของประสิทธิภาพการปฏิบัติการมากนัก บริษัทฯ ยังสามารถให้บริการได้โดยไม่หยุดชะงัก ขณะเดียวกันแม้ว่าต้นทุนค่าเชื้อเพลิงจะลดลง แต่ก็ยังมีประเด็นด้านค่าเสื่อมราคาที่บริษัทฯ ต้องให้ความสำคัญ อย่างไรก็ตาม การที่รถบรรทุก EV ต้องการการซ่อมบำรุงที่น้อยกว่าก็ถือเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับรถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซลโดยทั่วไป
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรถบรรทุก EV ยังคงเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือสำหรับการใช้งานในระยะยาว ทั้งในแง่ของมูลค่าและต้นทุนการจัดการรถและแบตเตอรี่หลังหมดอายุการใช้งาน แต่จากผลการทดสอบและการศึกษาของหลายภาคส่วนในภาพรวมยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี
แม้ว่าในแง่ของการปฏิบัติการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุก EV จะยังไม่มีข้อได้เปรียบที่แน่ชัด แต่ Yusen Logistics กลับมองเห็นประโยชน์ทางอ้อมจากการใช้รถ EV ได้อย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของผลตอบรับจากลูกค้า และการยกระดับความภาคภูมิใจในองค์กรของพนักงาน เนื่องจากผลการสำรวจภายในของบริษัทฯ พบว่าพนักงานมีแรงจูงใจในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบในเชิงบวกของการปฏิบัติการรถบรรทุก EV ในแง่ของการมีส่วนร่วมของพนักงานและวัฒนธรรมองค์กร
“แม้ว่า ณ ตอนนี้เราจะยังไม่เห็นข้อได้เปรียบด้านต้นทุน ประสิทธิภาพ และขีดความสามารถในการปฏิบัติการจากการปรับใช้รถบรรทุก EV แต่เราเริ่มเห็นประโยชน์ทางอ้อมมากขึ้น นั่นคือบริษัทฯ ได้รับการกล่าวถึงในเชิงบวก ผลตอบที่ดีจากทั้งลูกค้าและอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวมถึงการสร้างแรงจูงใจในหมู่พนักงานของบริษัทฯ ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนในครั้งนี้ยังช่วยสนับสนุนเป้าหมาย ESG ของ Yusen Logistics ได้มากกว่าที่คิด” Mr. Hirose กล่าว

Overcoming Technical Constraints
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลือกปฏิบัติการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุก EV ในระยะเริ่มต้นย่อมมาพร้อมความท้าทาย โดยหนึ่งในอุปสรรคสำคัญของ Yusen Logistics คือข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการใช้งานจริงและขีดความสามารถในการปฏิบัติการรถบรรทุก EV ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ทำการทดสอบและรวบรวมผลเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ระยะการวิ่งรถและระดับแบตเตอรี่ในการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักแตกต่างกันบนสภาพถนนหลายรูปแบบ ซึ่งการดำเนินการทดสอบเหล่านี้ช่วยให้ Yusen Logistics สามารถปรับกลยุทธ์การปรับใช้รถบรรทุก EV รวมถึงการวางแผนเส้นทางและตารางปฏิบัติการ เพื่อให้การขนส่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
คุณสุวัจชัย กล่าวว่า “ในช่วงแรกที่เราเริ่มใช้รถ EV ความท้าทายหลักมักจะเกี่ยวกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่ เนื่องจากการชาร์จพลังงานแต่ละครั้ง รถบรรทุกจะสามารถปฏิบัติการได้ราว 200-300 กม. ขึ้นอยู่กับน้ำหนักสินค้า สภาพถนน และสภาพการจราจร ดังนั้น เราต้องกลับมาพิจารณาว่าเราจะเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่งรถแต่ละรอบให้มากที่สุดได้อย่างไร เพราะบางครั้งรถบรรทุก EV สามารถทำรอบได้เพียงหนึ่งรอบครึ่ง แทนที่จะเป็นสองรอบ เนื่องจากรถ EV ต้องมีการหยุดเพื่อชาร์จพลังงานด้วย”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับรถบรรทุกทั่วไปที่สามารถปฏิบัติการได้มากกว่า 500 กม. ต่อวัน (ขึ้นกับชนิดรถบรรทุก) ดังนั้น เราจึงต้องมีการปรับแผนปฏิบัติการให้สอดรับกับข้อจำกัดเหล่านี้ เช่น การกำหนดเส้นทางและจัดตารางชาร์จพลังงานให้เหมาะสม ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากปัจจุบันสถานีชาร์จที่เราใช้ยังมีจำกัด ค่าชาร์จต่อครั้งที่สถานีภายนอกยังคงแพง และในบางเส้นทางไม่มีสถานีชาร์จให้บริการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่กำหนดให้เส้นทางบริการด้วยรถบรรทุก EV ของเรายังคงจำกัด”

Innovative Charging Infrastructure
ด้วยเหตุนี้ Yusen Logistics จึงได้ริเริ่มก่อสร้างสถานีชาร์จพลังงานรถบรรทุก EV ขึ้นที่คลังสินค้า LLC3 ของบริษัทฯ ที่ จ. ชลบุรี ใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง โดยข้อได้เปรียบด้านที่ตั้งเชิงกลยุทธ์สามารถเพิ่มความสะดวกสบายให้กับการชาร์จพลังงานของกองรถบรรทุก EV ของ Yusen Logistics พร้อมช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพาสถานีชาร์จสาธารณะ ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่าและให้ความสะดวกน้อยกว่า ยิ่งไปกว่านั้น การตั้งสถานีชาร์จที่คลังสินค้า LLC3 ยังสามารถช่วยให้บริษัทฯ ใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้จากแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของคลังสินค้า เพื่อนำมาชาร์จพลังงานให้กับรถบรรทุก EV ซึ่งมีส่วนสำคัญในการลดต้นทุนพลังงานและลดอัตราการปล่อยมลพิษที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ
โดยสถานีชาร์จพลังงานแห่งใหม่ของ Yusen Logistics สามารถชาร์จรถบรรทุก EV ได้พร้อมกันถึงสองคัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จขึ้นอีกเพื่อตอบรับกับแผนการขยายกองรถบรรทุก EV ในอนาคต
คุณพิมาน กล่าวว่า “แม้ว่าการปฏิบัติการรถบรรทุก EV จะฟังดูเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงมีประเด็นที่น่ากังวลคือสถานีชาร์จพลังงานในไทยส่วนใหญ่ยังพึ่งพากระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานไฟฟ้าหลักของประเทศ (national grid) ซึ่งไม่ได้เป็นพลังงานสะอาด 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากกระบวนการผลิตไฟฟ้าในบ้านเรายังคงใช้ถ่านหิน ก๊าซ หรือแหล่งพลังงานสิ้นเปลืองอื่นๆ (non-renewable) จึงส่งผลให้อัตราการปล่อยมลพิษจากการใช้รถ EV ตลอดวงจรไม่ได้สะอาดทั้งหมด ดังนั้น แม้ว่าเราจะลงทุนปฏิบัติการรถบรรทุก EV แต่เราก็สามารถเคลมอัตราการปล่อยคาร์บอนได้เพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
“เงื่อนไขเหล่านี้ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายของ Yusen Logistics (Thailand) ในด้านความมุ่งมั่นลดอัตราการปล่อยคาร์บอนให้น้อยลง นั่นจึงเป็นที่มาของการก่อตั้งสถานีชาร์จรถบรรทุก EV โดยใช้พลังงานที่ผลิตจากแสงอาทิตย์ผ่านแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาคลังสินค้า LLC3 ซึ่งจะทำให้กองรถบรรทุก EV สามารถชาร์จพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้โดยตรงในช่วงกลางวัน”
คุณพิมาน กล่าวต่อว่า “โครงการริเริ่มนี้สามารถช่วยลดอัตราการปล่อยมลพิษตลอดวงจรได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงกลางวันที่เราสามารถชาร์จรถบรรทุกโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสะอาดได้โดยตรง แม้ว่าในช่วงกลางคืนเรายังคงต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหลัก แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและเรากำลังวางแผนที่จะเพิ่มสถานีชาร์จในคลังสินค้าอื่นๆ ของเราอีกในอนาคต ควบคู่ไปกับการศึกษาแนวทางการใช้แบตเตอรี่จัดเก็บพลังงานที่ผลิตจากโซลาร์เซลล์เพื่อนำมาใช้ในการชาร์จพลังงานในช่วงกลางคืนด้วย”

Broader Impact and Future Outlook
โครงการปฏิบัติการรถบรรทุก EV และการก่อตั้งสถานีชาร์จพลังงานของ Yusen Logistics ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมโลจิสติสก์ไทยในการเดินหน้าสู่แนวทางความยั่งยืน เนื่องจากปัจจุบันกระแสการใช้เทคโนโลยีสีเขียวและแหล่งพลังงานทางเลือกกำลังได้รับความสนใจจากทั่วทั้งอุตสาหกรรมฯ จนทำให้บริษัทฯ ได้เดินหน้าวางกลยุทธ์การดำเนินการ พร้อมได้รับการยอมรับในวงกว้างในฐานะผู้นำด้านโซลูชันโลจิสติกส์ที่ยั่งยืนและทันสมัย โดย Yusen Logistics คาดว่าการตัดสินใจลงทุนปรับใช้งานรถบรรทุก EV จะสามารถสร้างแรงกระตุ้นให้บริษัทผู้ให้บริการอื่นๆ ในประเทศไทยหันมาพิจารณาแนวทางดังกล่าวนี้ เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมให้ทั่วทั้งอุตสาหกรรมฯ ได้ร่วมกันดำเนินการตามแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัท Yusen Logistics ยังคงคำนึงถึงผลกระทบของเทคโนโลยี EV ต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว โดยได้ดำเนินการศึกษาอย่างใกล้ชิดและรอบคอบเกี่ยวกับการกำจัดแบตเตอรี่รถ EV ที่หมดอายุการใช้งาน รวมถึงความเป็นไปได้ในการรีไซเคิล ตลอดจนต้นทุนการจัดการรถบรรทุก EV ที่จะปลดระวางในอนาคต ทั้งนี้ แม้ว่าประเด็นเหล่านี้จะยังจำเป็นต้องมีการติดตามและศึกษาต่อไป แต่การเลือกใช้รถบรรทุก EV ยังถือเป็นโซลูชันที่สามารถใช้งานได้จริงและมีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับการลดอัตราการปล่อยคาร์บอนในปัจจุบัน
ไม่เพียงเท่านี้ บริษัท Yusen Logistics ยังมุ่งมั่นวางแผนเดินหน้าศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้งานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อาทิ การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ รถบรรทุกพลังงานไฮโดรเจน และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่จะมีการพัฒนาขึ้นในอนาคต โดยความมุ่งมั่นเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มบริษัท Yusen Logistics ในการลดอัตราการปล่อยคาร์บอน 45 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ผ่านกลยุทธ์การปรับใช้รถบรรทุก EV และเทคโนโลยีอื่นๆ ให้สอดคล้องกับแนวทางของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นโยบายของภาครัฐ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ทั้งนี้ การปรับใช้กองรถบรรทุก EV ในการปฏิบัติการขนส่งสินค้าและการลงทุนก่อตั้งสถานีชาร์จพลังงานของ Yusen Logistics ถือเป็นหลักชัยสำคัญสำหรับความมุ่งมั่นด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืนของบริษัทฯ โดยการเดินหน้ารับมือกับทั้งโอกาสและความท้าทายของเทคโนโลยี EV ในครั้งนี้ได้ตอกย้ำความเป็นบริษัทที่มีแนวคิดก้าวหน้าของ Yusen Logistics ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยและในระดับโลกได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นแบบอย่างให้ทุกคนเห็นว่าธุรกิจจะสามารถดำเนินการเพื่อสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนยิ่งขึ้นได้อย่างไรบ้าง

ที่อยู่

888/119 Mahatun Plaza Building, 11th Floor
Bangkok
10330

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 18:00
อังคาร 09:00 - 18:00
พุธ 09:00 - 18:00
พฤหัสบดี 09:00 - 18:00
ศุกร์ 09:00 - 18:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ LM Thaiผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง LM Thai:

แชร์

LM | Logistics Manager


  • ค้นหาตำแหน่งงานโลจิสติกส์ที่เหมาะกับคุณ http://jobs.logistics-manager.com/

  • ติดต่อลงโฆษณา-ประกาศรับสมัครงานโลจิสติกส์ 02-026-3262

  • ติดตามข่าว บทความ และความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับโลจิสติกส์ได้ที่ https://www.logistics-manager.com/th/