ทันเหตุทั่วไทย

ทันเหตุทั่วไทย นำเสนอข่าวของอาสาทุกพื้นที่
(417)

ทันเหตุทั่วไทย รายงานข่าวสด เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ สาธารณะภัย สภาพการจราจร สภาพภูมิอากาศต่างๆ พร้อมเตือนภัย อีกทั้งทันเหตุทั่วไทย ยังเป็นสื่อสังคมจิตอาสา..และขอร่วมเป็นสือกลางในการประสานงานเหตุในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนทุกท่าน...(คนไทยไม่ทิ้งกัน..สังคมยังมีคนดี)

24/02/2025

💥อบจ.ชัยภูมิ ขานรุกรับปรับแผนการศึกษาไทย ☄️ขานรับรูปแบบ Active Learning ที่เห็นผล
📢ตามนโยบาย ก.ศึกษาธิการ
🪔มั่นใจเด็กไทยทั้งไอคิว อีคิว เป็นเลิศ
#การศึกษาไทย #นักเรียน #โรงเรียน #เด็กไทย #การเรียนการสอน

นักเทคนิคการแพทย์ หวิดสิ้นชื่อ ฝนตกถนนลื่น เหินข้ามเกาะกลาง ประสานงากระบะ พังยับวันที่ 24 ก.พ.2568 ที่ถนนสาย 401 เส้นทาง...
24/02/2025

นักเทคนิคการแพทย์ หวิดสิ้นชื่อ ฝนตกถนนลื่น เหินข้ามเกาะกลาง ประสานงากระบะ พังยับ

วันที่ 24 ก.พ.2568 ที่ถนนสาย 401 เส้นทางนคร-ท่าศาลา บ้านปากพยิง ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพขณะฝนกำลังตกอย่างหนักและเกิดอุบัติเหตุรถยนต์เก๋งสีแดงเหินข้ามเกาะกลางถนนพุ่งชนประสานงากับรถยนต์กระบะที่แล่นสวนทางมาอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้ผู้ขับขี่เก๋งได้รับบาดเจ็บ

หลังจากเกิดเหตุเจ้าหน้าที่มูลนิธิประชาร่วมใจ ได้เข้าให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลและนำตัวผู้บาดเจ็บส่ง รพ.ท่าศาลา ต่อมาทราบชื่อผู้บาดเจ็บคือ น.ส.กิตติกานต์ เป็นบุคลากรทางการแพทย์ตำแหน่งหัวหน้าห้องแล็บของโรงพยาบาลท่าศาลา สภาพขาขวาหัก

ต่อมาทาง พ.ต.อ.อภิชาติ จันทร์สำเร็จ ผกก.สภ.ท่าศาลา สั่ งการให้พนักงานสอบสวนเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.กิตติกานต์ฯได้ขับรถยนต์เก๋งมาจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช มุ่งหน้าไปยัง รพ.ท่าศาลา เพื่อไปทำงานตามปกติ

ปรากฏว่าระหว่างทางฝนตกหนักตลอดเส้นทาง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุรถได้แฉลบพื้นผิวจราจรที่มีแอ่งน้ำขังเป็นเหตุให้ควบคุมรถไม่ได้ทำให้เสียหลักเหินข้ามเกาะกลางถนนพุ่งไปอีกฝั่งก่อนพุ่งชนประสานงารถกระบะที่แล่นสวนทางอย่างจังเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ส่วนสาเหตุสันนิษฐานว่าฝนตกถนนลื่นทำให้เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว

ขอบคุณภาพ/ข่าว : ข่าวสด
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9648189

#ทันเหตุทั่วไทย

จับแล้ว ร้านซ่อมรถจอมโกง หลังมข. ดองรถ สลับอะไหล่ โดนอีกกระทง ตร.เจอฉี่ม่วงวันที่ 24 ก.พ. 2568 พ.ต.ท.เมธี สีวันนา รองผกก...
24/02/2025

จับแล้ว ร้านซ่อมรถจอมโกง หลังมข. ดองรถ สลับอะไหล่ โดนอีกกระทง ตร.เจอฉี่ม่วง

วันที่ 24 ก.พ. 2568 พ.ต.ท.เมธี สีวันนา รองผกก.ป.สภ.เมืองขอนแก่น นายปัณณทัต สามิบัติ เจ้าพนักงานปกครอง นายอรรพล ทิพย์ดารา ปลัดอำเภอเมืองขอนแก่น เจ้าหน้าที่สรรพสามิตจังหวัดขอนแก่น และเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองศิลา เข้าตรวจสอบ ร้านซ่อมรถจักรยานยนต์บริเวณหลังประตูเขียวมหาวิทยาลัยขอนแก่น

หลังมีการร้องเรียนว่าผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจชื่อ”ใต้เตียง มข.” ว่าร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ดังกล่าวมีการสลับอะไหล่ หลอกซ่อม ขูดรีดเงิน ดองรถเป็นเดือน ใช้อะไหล่เก่าแต่ลงบิลอะไหล่ใหม่ จนมีผู้เสียหายจำนวนมาก และยังถูกข่มขู่ห้ามไปแจ้งความ

จากการตรวจสอบพบว่าร้านซ่อมเที่ยงทำ เลขที่ 576/55 ถนนตุ้มโฮม บ้านโนนม่วง ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น มีนายวิรัลพัชร พงศ์บุญอนันท์ อายุ 37 ปี เป็นเจ้าของร้าน พบว่ามีรถจักรยานยนต์ที่มีการถอดชิ้นส่วนจำนวน 6 คัน

โดยระหว่างนั้น ได้มีชายไรเดอร์คนหนึ่ง ได้เข้ามาเล่าถึงพฤติกรรมของเจ้าของอู่ หลังนำรถจักรยานยนต์มาจอดซ่อม เพราะเนื่องจากน้ำมันเครื่องแห้ง แต่ผ่านไป 6 เดือน ยังซ่อมไม่ได้ และชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ ถูกถอดออกกระจัดกระจาย แทนที่จะเป็นการถอดดูเครื่องยนต์ แต่กลับถอดชิ้นส่วนออกเกือบทั้งคัน

พ.ต.อ.ยศวัจน์ แก้วสืบธัญนิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบหาสิ่งผิดกฎหมายภายในห้องพัก แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด และเมื่อตรวจปัสสาวะพบว่าผลออกมาเป็นบวก โดยนายวิรัลพัชร ได้รับสารภาพกับตำรวจว่า เมื่อวานนี้ได้เสพยาบ้ากับเพื่อนที่รู้จักกัน จำนวน 5 เม็ด ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป

ส่วนนายวิรัลพัชรก็จะมานั่งซ่อมรถจักรยานยนต์ต่อ จากนั้นตนเองก็จะซ่อมรถไปตามปกติ จากนั้นตำรวจได้ควบคุมตัวมาที่สถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น ซึ่งผู้ใดถูกนายวิรัลพัชร หรือช่างพลหลอกลวง สามารถเข้าแจ้งความเพิ่มเติมได้ที่สภ.เมืองขอนแก่น

ขอบคุณภาพ/ข่าว : ข่าวสด
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9647738

#ทันเหตุทั่วไทย

ฝนถล่มสงขลา ท่วมใจกลางเมือง ถนนเส้น ‘สวนสัตว์-ตลาดสวนตูล’ น้ำขัง รถติดอ่วมเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ จส.100 รายงานว่า เมื...
24/02/2025

ฝนถล่มสงขลา ท่วมใจกลางเมือง ถนนเส้น ‘สวนสัตว์-ตลาดสวนตูล’ น้ำขัง รถติดอ่วม

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ จส.100 รายงานว่า เมื่อเวลา 18.30 น. เกิดเหตุน้ำท่วมบริเวณแยกน้ำกระจาย ถนนกาญจนวนิช ต.พะวง อ.เมือง จ.สงขลา รถไม่สามารถสัญจรได้ การจราจรติดขัด

เช่นเดียวกับที่ บริเวณหน้าสวนสัตว์สงขลา บริเวณหน้าตลาดสวนตูล ถ.สงขลา-นาทวี อ.เมือง จ.สงขลา มีน้ำท่วมขัง การจรารติดขัด

ขณะที่ นายสรรเพชญ บุญญามณี ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ในจังหวัดสงขลามีฝนตกหนักตั้งแต่ช่วงเช้า ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ของอำเภอเมืองสงขลา กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนสภาพอากาศแปรปรวน และฝนตกหนักถึงหนักมากในบริเวณภาคใต้ ซึ่งจะมีผลจนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568

“ผมขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านพื้นที่ที่มีฝนฟ้าคะนอง ไม่อยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือใกล้สิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ระมัดระวังคลื่นลมแรง โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยใกล้ชายฝั่ง ขอให้ทุกท่านโปรดติดตามข่าวสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด และหากพื้นที่ใดต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งให้ผมหรือทีมงานทราบได้ทันทีครับ”นายสรรเพชญกล่าว

ขอบคุณภาพ/ข่าว : มติชนออนไลน์
https://www.matichon.co.th/region/news_5064415

#ทันเหตุทั่วไทย

ตัวพ่ออยู่จีน ส่งลิ่วล้อมาไทย ถือวีซ่านทท.-น.ร. ฝังตัวเปิดเว็บพนัน สูบเงินคนไทยวันละแสนเมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 24 กุมภ...
24/02/2025

ตัวพ่ออยู่จีน ส่งลิ่วล้อมาไทย ถือวีซ่านทท.-น.ร. ฝังตัวเปิดเว็บพนัน สูบเงินคนไทยวันละแสน

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ต.ท.กวิณวัชร์ อารยะสุริวงศ์ รอง ผกก.ตม.ชลบุรี พ.ต.ท.ปิยะพงษ์ เอนสาร สวญ.ตร.ทท.พัทยา พร้อมด้วยตำรวจชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี ตำรวจชุดสืบสวนท่องเที่ยวเมืองพัทยา ตำรวจชุดสืบสวน สภ.หนองปรือ ตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดชลบุรี สนธิกำลังกว่า 30 นาย นำหมายค้นศาลจังหวัดพัทยาเลขที่ ค.39/2568 เข้าทำการตรวจค้นบ้านพักภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านซอยเขาตาโล หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังได้รับร้องเรียนจากกลุ่มชาวบ้าน ว่ามีกลุ่มชาวจีนใช้ชีวิตอยู่ในบ้านลักษณะผิดปกติ สงสัยว่าจะมีการลักลอบกระทำผิดกฎหมาย

จากการเข้าปิดล้อมบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านหรู มีเนื้อที่ 150 ตารางวา และมีรั้วล้อมรอบขอบชิด ซึ่งจากการเข้าตรวจสอบในเบื้องต้นพบกลุ่มชาวจีนทั้งชายและหญิงกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และมีโทรศัพท์มือถือวางเรียงรายไม่ต่ำกว่า 20 เครื่อง ตำรวจจึงแสดงหมายค้นและเข้าทำการตรวจสอบอย่างละเอียด โดยทำการตรวจยึดโน้ตบุ๊กได้จำนวน 3 เครื่อง และโทรศัพท์มือถือ 29 เครื่อง และทำการสอบปากคำกลุ่มชาวจีนซึ่งนั่งอยู่ภายในบ้าน เป็นผู้หญิง 1 คน (ถือวีซ่านักท่องเที่ยว) และผู้ชาย 4 คน (ถือวีซ่านักเรียน)

จากการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดพบกลุ่มชาวจีนดังกล่าวลักษณะทำหน้าที่เป็น แอดมิน คอยรับโอนเงินให้กับกลุ่มชาวจีน เข้ามาเล่นเกมเสี่ยงโชค ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นมาเฉพาะตัว คล้ายกับการเล่นพนันเกมสล็อต-พนันออนไลน์ ซึ่งชาวจีนกลุ่มนี้จะมีหน้าที่รับโอนเงินและตอบข้อความในแอพพลิเคชั่นวีแชต แล้วให้นักเสี่ยงโชคเข้าไปเล่นเกม ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีเงินหมุนเวียนต่อวันเป็นจำนวนหลายหมื่นหยวน (หรือราวๆ 1 แสนบาทต่อวัน) โดยกลุ่มชาวจีนจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดเงินที่โอนเข้าไปเล่นเกม

นอกจากนี้จากแนวทางการสืบสวนยังพบตัวการใหญ่ซึ่งเป็นผู้ควบคุมโปรแกรมอยู่ในประเทศจีน โดยชาวจีนกลุ่มนี้มีหน้าที่เป็นแอดมินตอบลูกค้า และคอยรับการโอนเงิน ซึ่งตำรวจอยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผล เนื่องจากโปรแกรมดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการเล่นพนันออนไลน์

มีรายงานเปิดเผยจากการเข้าจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากตำรวจชุดสืบสวนพบว่ามีกลุ่มชาวจีนมาเช่าและมีการใช้ไฟฟ้าที่แพงผิดปกติ รวมถึงชาวบ้านในละแวกดังกล่าวให้ข้อมูลว่าบ้านหลังดังกล่าวมีชาวจีนเข้าออกเป็นประจำ แต่ส่วนใหญ่จะเก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ออกมาให้คนในหมู่บ้านเห็น จึงตัดสินใจเข้าทำการตรวจค้น

ขอบคุณภาพ/ข่าว : มติชนออนไลน์
https://www.matichon.co.th/region/news_5064415

#ทันเหตุทั่วไทย

“สมศักดิ์” เปิดประชุมบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ ส่งเสริมใช้ยาสมุนไพร แทน ยาแผนปัจจุบัน แนะ 5 รายการหลัก เริ่มใช้ได้เลย...
24/02/2025

“สมศักดิ์” เปิดประชุมบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ ส่งเสริมใช้ยาสมุนไพร แทน ยาแผนปัจจุบัน แนะ 5 รายการหลัก เริ่มใช้ได้เลย เผย หากโรงพยาบาลใดใช้เยอะ เตรียมรางวัลไว้ให้ 60 ล้านบาท ตั้งเป้า ปี 69 ใช้สมุนไพรไทย ในระบบ สปสช. ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการการเสริมสร้างความเชื่อมั่นการใช้ยาจากสมุนไพรสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ โดยมี นายแพทย์ภูวเดช สุระโคตร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ เข้าร่วม ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพ

โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบัน มีการใช้ยาในระบบสาธารณสุขของรัฐ ประมาณ 70,500 ล้านบาท เป็นยาแผนตะวันตก 69,000 ล้านบาท เป็นยาสมุนไพรเพียง 1,500 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ เป็นการใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประมาณ 400 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่มียาสมุนไพรหลายชนิด ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน กระทรวงสาธารณสุข จึงตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มการสั่งใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 และไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท ในปี 2569 เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ป่วย ลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ สนับสนุนการยกระดับภูมิปัญญาไทย และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในประเทศ

“ผมขอให้บุคลากรทางการแพทย์ มีความเชื่อมั่นในยาสมุนไพร และเชิญชวนให้สั่งใช้ ในการรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาสมุนไพร 10 รายการ ใน 10 กลุ่มโรคที่พบบ่อย ได้แก่ ยาไพล แก้ปวดกล้ามเนื้อและข้อ ยาฟ้าทะลายโจรรักษาไข้หวัดและโควิด 19 ยาขมิ้นชันแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ยาเพชรสังฆาตช่วยเรื่องท้องผูกริดสีดวงทวาร ยาขิงบรรเทาอาการวิงเวียน ยามะระขี้นกแก้เบื่ออาหาร ยากล้วยบรรเทาอาการท้องเสีย ยาหอมเทพจิตช่วยเรื่องนอนไม่หลับ ยาพริกแก้อาการชาจากอัมพฤกษ์ อัมพาต และยาว่านหางจระเข้ ใช้ทาผิวหนัง แผล ผมจึงขอมอบนโยบายให้ทุกท่าน ช่วยกันผลักดัน การใช้ยาสมุนไพร ผมเชื่อว่า จะเป็นการสร้างรายได้ให้ประเทศ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ให้กับพืชสมุนไพรไทย” รมว.สาธารณสุข กล่าว

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนขอยกตัวอย่างรายการสมุนไพรทดแทนแผนยาปัจจุบัน 5 รายการหลัก 1.ครีมไพร ทดแทน อานาเจสิก บาร์ม 2.ยาประศระมะแว้ง ทดแทน ยาแก้ไอ เช่น จีจี ไซรับ 3.ขมิ้นชัน ธาตุอบเชย ทดแทน ยาขับลม เช่น เอ็มคาร์มิเนทิฟ 4.เพชรสังฆาต แทนยา เดฟลอน และ 5.มะขามแขก ใช้แทน ไบซาโคดิล ซึ่งรายการยา ที่ตนยกตัวอย่าง หมอสามารถเลิกใช้ยาแผนปัจจุบันได้เลย โดยถ้าช่วยส่งเสริม ตนก็จะมีรางวัล เป็นงบประมาณในการพัฒนาให้แต่ละพื้นที่รวมกว่า 60 ล้านบาท จะได้ช่วยกันส่งเสริมสมุนไพรไทยกันอย่างเต็มที่ ซึ่งล่าสุด ตนก็ช่วยผลักดันสมุนไพรไทย ไปเปิดตลาดตะวันออกกลาง โดยให้นำร่องนำยาดม ยาหม่อง ไปในช่วงพิธีฮัจย์ก่อน เพราะมีคนเดินทางไปร่วมนับล้านคน ส่วนปีถัดไป ก็ขอให้เพิ่มยาไปเรื่อยๆ

นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า วันนี้ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้จัดกิจกรรม เพื่อให้คณะแพทย์ของโรงพยาบาลทั่วประเทศ รู้ว่า กรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้รับงบประมาณในส่วนการสนับสนุนจาก สปสช. จำนวน 1,500 ล้านบาท โดยกรมการแพทย์แผนไทยฯ ก็มีหน้าที่กระตุ้นผู้ประกอบการสมุนไพรไทย เพื่อให้ทราบว่า รัฐบาลให้การสนับสนุนเรื่องนี้ เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุข ได้เห็นถึงว่า มีการใช้งบประมาณในการซื้อยาแผนปัจจุบัน กว่า 69,000 ล้านบาท แต่สัดส่วนของยาไทย ที่ผ่านมา ไม่ถึง 1,000 ล้านบาท ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข จะสนับสนุนสมุนไพรไทยอย่างเต็มที่ ด้วยการลดโปรมแกรมยาแผนปัจจุบันที่ใช้ใน 5 กลุ่ม โดยหากโรงพยาบาลไหนส่งเสริมสมุนไพรได้ดี ก็มีการตั้งรางวัลไว้ให้ 60 ล้านบาท รวมถึงขณะนี้ สปสช.ได้ประกาศยาไทย 106 รายการแล้ว ซึ่งในจำนวนนี้ มีถึง 32 รายการ ที่ใช้แบบไม่อั้น หรือ ปลายเปิด ที่เหลือ 74 รายการเป็นปลายปิด

เมื่อถามว่า งบประมาณ 60 ล้านบาท ที่จะนำมาเป็นรางวัลให้กับผู้ที่ใช้สมุนไพร เป็นงบประมาณของอะไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นส่วนของ สปสช.เตรียมไว้แล้ว ถ้าใครลดยาแผนปัจจุบันใน 5 ด้านได้เร็ว โรงพยาบาลนั้น ก็จะได้เงิน 200,000 บาท โดยถ้าช้า ก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้ให้ทุกโรงพยาบาล

เจอตัวแล้ว สาวสอง สวมรอยใช้ห้อง หลอกขายตัว อ้างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ตั้งใจทำป้าเดือดร้อนจากกรณี น.ส.ฐานิดา อายุ 53 ปี แ...
21/02/2025

เจอตัวแล้ว สาวสอง สวมรอยใช้ห้อง หลอกขายตัว อ้างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ตั้งใจทำป้าเดือดร้อน

จากกรณี น.ส.ฐานิดา อายุ 53 ปี แม่บ้านหมอนวดแผนไทยร้องขอความช่วยเหลือจาก กัน จอมพลัง หลังถูกสาว LGBTQ หลอกเหยื่อโอนเงินมัดจำซื้อบริการ แล้วแอยอ้างพิกัดเลขห้องพักของตนไปให้ชายหนุ่มที่ซื้อบริการ จนทำให้ห้องพักของ น.ส.ฐานิดา ถูกชายหนุ่มตามมาเคาะเรียกเพื่อใช้บริการเป็นประจำเพราะความเข้าใจผิด ได้รับความเดือดร้อน

เพราะถูกเคาะประตูห้องเรียกตลอดทั้งวัน ไม่เว้นวันแม้กระทั่งช่วงกลางดึกเสียสุขภาพจิต จนต่อมากัน จอมพลัง ได้พาผู้เสียหายเดินทางมาพบ พ.ต.อ.รณภัฎ ทับทิมธงไชย ผกก.สภ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อให้ช่วยติดตามตัว สาว LGBTQ มาดำเนินคดี ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ต่อมาเวลา 15.30 น. กันจอมพลัง พร้อมด้วย น.ส.ฐานิดา อายุ 53 ปี ผู้เสียหาย เดินทางมาโรงพัก หลังทราบว่าตำรวจไปเชิญตัวนายลักษณ์ อายุ 39 ปี สาว LGBTQ ที่ก่อเหตุมาสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหา ก่อความเดือดร้อนรำคาญ ในเบื้องต้น ส่วนฝ่ายชายผู้เสียหายที่ถูกร้องโอนเงินค่ามัดจำซื้อบริการยังไม่มีใครเดินทางมาเข้าแจ้งความเนื่องจากกลัวอับอาย

นายลักษณ์ อายุ 39 ปี สาว LGBTQ กล่าวว่า เหตุผลที่ตนทำเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้ตั้งใจ หลังจากตนเห็นข่าวตนก็เลิกและไม่ยุ่งเกี่ยวเลย อยากขอโทษสังคม ขอโทษนักข่าว และขอโทษคุณป้า ตนไม่ได้ตั้งใจระบุเลขห้องป้า

สาเหตุที่ระบุห้องป้าไปเพราะตนเคยอาศัยอยู่ที่ตึกเดียวกับป้าก่อน แต่ไม่เคยรู้จักหรือมีเรื่องผิดใจกับคุณป้ามาก่อน ตนใช้วิธีสุ่ม ไม่คิดว่าจะทำให้ป้าได้รับความเดือดร้อนถึงขนาดนี้ พอตนเคยส่งไปให้ผู้ชายที่ติดต่อมาได้ครั้งแรก ตนก็เลยส่งใหเคนต่อๆไปตนก็ให้ใช้เลขที่ห้องเดิม ตนต้องขอโทษคุณป้าด้วยแบะพร้อมยอมรับข้อกล่าวหาในการถูกดำเนินคดีต่อไป และหลังจากนี้ตนจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีก

นายลักษณ์ กล่าวอีกว่า ส่วนหนึ่งที่ตนตัดสินใจหลอกพวกผู้ชายที่ติดต่อมาซื้อบริการเป็นเพราะตนเกิดความคับแค้นใจผู้ชายเหล่านี้ที่ต้องการมามีอะไรกับตนหรือกลุ่มกะเทยในราคาค่าตัวแสนถูกเพียงไมกี่ร้อยบาท เหมือนกับว่ากะเทยเป็นที่ระบายราคาถูกของคนกลุ่มนี้ ตนจึงหลอกให้โอนเงินค่ามัดจ่ายเพียงหลักร้อยมา เพื่อสั่งสอนพวกผู้ชายเหล่านี้ให้เข็ดหลาบ อย่าไปคิดว่าราคาค่าตัวกะเทยจะถูกเพียงแค่เงินไม่กี่ร้อยบาท

ทุกครั้งที่ตนไปโพสต์หาผู้ชายนั้นจะโพสต์หลอกใน X ในทวิตเตอร์ ซึ่งก็มีทั้งรูปของตนจริงๆ แต่บางครั้งก็ใช้รูปคนอื่นมาหลอก ซึ่งบ่อยครั้งที่รูปของตนก็มีผู้ชายติดต่อมาเพื่อขอมีอะไรด้วยเพราะตนก็ไม่ได้ขี้เหล่ บางครั้งเจอฝ่ายชายนิสัยดีๆพร้อมเต็มใจจ่ายค่าตัวในตนในหลักพัน ตนก็จะให้พิกัดห้องที่แท้จริงไปเพื่อให้ฝ่ายชายมาหา แต่ถ้าหากเป็นฝ่ายชายที่โอนเงินหลักร้อยมามัดจำ ตนก็จะให้ห้องมั่วสุ่ม ๆ ไป โดยไม่ได้คิดว่าจะทำให้คุณป้าเดือดร้อนจากความมักง่ายของตน

ทางด้านน.ส.ฐานิดา ทิพย์ศิดาคม อายุ 53 ปี หรือป้าใหม่ กล่าวว่า ผู้ชายที่มาเคาะห้องสร้างความเดือดร้อนให้กับเป็นอย่างมาก เพราะเขาคิดว่าเป็น ห้องของสาว LGBTQ คนนี้นัดหมายเขามา ทำให้ตนกับลูกสาวเครียดกับเรื่องนี้จนร้องไห้กันเพราะทั้งระแวงและหวาดกลัวไปหมด ไม่มีความสุขเลย จนอยากจะขายห้องพักห้องไป สภาพจิตใจคนในครอบครัวก็ย่ำแย่ จะออกจากห้องแต่ละครั้งก็กลัวจะมาคนมาทำร้ายเพราะเจ้าใจผิด

ตนยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาระบุเลขห้องพักตนด้วย ถ้าผู้ชายเหล่านั้นโกรธที่มาไม่เจอคนที่นัดมา ตนจะเดือดร้อนไหม คราวหน้าก็อย่าไปทำแบบนี้กับใครอีก มันมีแต่ผลเสียกระทบคนอื่นๆไปหมด ตอนนี้ตนยังหวาดกลัวอยู่เลย

กัน จอมพลัง กล่าวว่า ตนขอฝากเตือนไปถึงคนที่คิดก่อเหตุในลักษณะแบบนี้ด้วยว่า ทางเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมตัวได้ทุกเรื่องไม่ใช่เรื่องยากอะไร เรื่องนี้แม้บทลงโทษทางกฏหมายจะไม่หนักแต่กฏแห่งกรรมมันหนักแน่นอน เพราะทำให้บุคคลอื่นๆที่ได้รับผลกระทบไปด้วยคือครอบครัว ญาติพี่น้อง เดือดร้อนไปด้วย

พ.ต.อ.รณภัฎ ทับทิมธงไชย ผกก.สภ.บางใหญ่ กล่าวว่า หลังจากได้รับเรื่องดังกล่าวแล้ว ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนลงพื้นที่สืบหาข่าวจนทราบว่าอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง จนทราบว่าผู้ก่อเหตุมาหลบพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ตลาดแก้วอิน จึงใช้หมายเรียกเชิญตัวมาสอบสวน ซึ่งผู้ก่อเหตุก็ให้ความร่วมมือและให้การรับสารภาพ

คดีนี้ในเบื้องต้นเป็นคดีสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้อื่น มีอัตราโทษปรับ ส่วนเรื่องที่ค่ามัดจำโอนเงินนั้นต้องรอให้ทางผู้เสียหายมาเข้าแจ้งความจึงจะสามารถดำเนินคดีได้ สำหรับคดีค้างเก่าเรื่องที่ผู้ก่อเหตุเคยขโมยเครืองปรับอากาศนั้นอยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีเช่นกัน

กัน จอมพลัง กล่าวว่า ตนขอฝากเตือนไปถึงคนที่คิดก่อเหตุในลักษณะแบบนี้ด้วยว่า ทางเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมตัวได้ทุกเรื่องไม่ใช่เรื่องยากอะไร เรื่องนี้แม้บทลงโทษทางกฏหมายจะไม่หนักแต่กฏแห่งกรรมมันหนักแน่นอน เพราะทำให้บุคคลอื่นๆที่ได้รับผลกระทบไปด้วยคือครอบครัว ญาติพี่น้อง เดือดร้อนไปด้วย

ขอบคุณภาพ/ข่าว : ข่าวสด
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9644758

#ทันเหตุทั่วไทย

ระทึก เก๋งชนต้นไม้ ไฟลุกท่วมคัน รุดช่วยคนขับ หวิดดับคาซากเมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 21 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ก...
21/02/2025

ระทึก เก๋งชนต้นไม้ ไฟลุกท่วมคัน รุดช่วยคนขับ หวิดดับคาซาก

เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 21 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.กาฬสินธุ์ ร.ต.ท.หญิง วิภากร บัวอ่อน ร้อยเวร สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ได้รับแจ้งอุบัติเหตุรถยนต์ชนต้นไม้และเกิดเพลิงไหม้ บริเวณใกล้ปั๊มน้ำมัน บนถนนสายกาฬสินธุ์-สมเด็จ ต.โพนทอง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ หลังรับแจ้งจึงรีบประสานงานกับหน่วยดับเพลิง ทต.โพนทอง และหน่วยกู้ชีพ-กู้ภัยในพื้นที่ เพื่อเข้าระงับเหตุและช่วยเหลือ

ที่เกิดเหตุพบรถเก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า ชนอัดกับต้นไม้จนเกิดไฟลุกท่วมทั้งคัน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องเร่งฉีดน้ำดับไฟใช้เวลากว่า 30 นาทีในการควบคุมเพลิงไว้ได้ ส่วนคนขับโชคดีที่ชาวบ้านและพลเมืองดีในละแวกนั้นเห็นเหตุการณ์ และรีบเข้าช่วยเหลือนำตัวคนขับออกจากรถได้ทันก่อนไฟจะลุกลาม ทราบชื่อผู้บาดเจ็บ น.ส.อนัญญา (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี ชาว ต.เชียงเครือ อ.เมืองกาฬสินธุ์ ได้รับบาดเจ็บขาหักทั้งสองข้าง และบาดเจ็บตามร่างกายหลายจุด หน่วยกู้ชีพ รพ.กาฬสินธุ์ได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนนำตัวส่ง รพ.กาฬสินธุ์

สอบถามนายอับดุลการีมคาน (สงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี พ่อค้าขายเนื้อ หนึ่งในพลเมืองดี กล่าวว่า ขณะเกิดเหตุอยู่ที่ร้านได้ยินเสียงดัง และเห็นรถยนต์คันดังกล่าววิ่งมาด้วยความเร็วก่อนเสียหลักพุ่งชนต้นไม้อย่างจัง เมื่อเห็นควันไฟเริ่มลุกไหม้บริเวณใต้ท้องรถ จึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุซึ่งเป็นหญิงสาวร่วมกับประชาชนคนอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้น และสามารถเข้าช่วยเหลือทำให้หญิงสามปลอดภัยก่อนที่ตัวรถจะเกิดไฟลุกท่วมและมีเสียงระเบิด

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสอบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ และอยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ เพื่อประกอบสำนวน เบื้องต้นคาดว่าอาจเสียการควบคุมรถ ประกอบกับขับมาด้วยความเร็ว ซึ่งจะต้องรอผลการสอบสวน โดยสอบปากคำคนขับและผู้เห็นเหตุการณ์อย่างละเอียด เพื่อสรุปสาเหตุต่อไป

ขอบคุณภาพ/ข่าว : มติชนออนไลน์
https://www.matichon.co.th/region/news_5060636

#ทันเหตุทั่วไทย

หม่องชิต ตู่ บุกเคเคปาร์ค ลุยช่วยเหยื่อแก๊งคอล ส่วนKBA. หยุดแล้วเหตุแบกรับภาระไม่ไหวเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พลตรีหม่อง...
21/02/2025

หม่องชิต ตู่ บุกเคเคปาร์ค ลุยช่วยเหยื่อแก๊งคอล ส่วนKBA. หยุดแล้วเหตุแบกรับภาระไม่ไหว

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พลตรีหม่องชิต ตู่ ผู้บัญชาการทหารกะเหรี่ยงแห่งชาติ (KNA) และเลขาธิการบีจีเอฟ. ยังคงเดินหน้าลุยปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก อย่างต่อเนื่อง หลังจากใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือเข้าตรวจค้นตามอาคารต่างๆและยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และควบคุมชาวต่างชาติได้จำนวนมาก ซึ่งไม่สามารถสรุปจำนวนได้ และได้นำส่งให้กับตำรวจ และตม.เมียนมาที่จังหวัดเมียวดีแล้ว

ล่าสุดพลตรีหม่องชิต ตู่ ได้นำกำลังทหารเข้าไปพื้นที่เคปาร์ค ฝั่งเมียนมาทางใต้ของจังหวัดเมียวดี ซึ่งสามารถช่วยเหลือได้จำนวนมาก แต่ส่วนมากเป็นชาวจีน ซึ่งเคเคปาร์คเป็นสถานที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในเรื่องแก๊งคอลเซ็ลเตอร์ และการทรมานคนมาก โดยตั้งอยู่ตรงข้ามบ้านไร่ดอนชัย ตำบลแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งอยู่ทางใต้เมียวดี ตรงบ้านไร่ ตำบลแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก จุดนี้เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสุ่มเสี่ยง ทหารบีจีเอฟ.ต้องใช้ติดอาวุธครบมือเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อชาวต่างชาติ และมีชาวจีนเป็นส่วนมาก ซึ่งจะต้องมีการคัดกรองระหว่างเหยื่อกับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ โดยจะส่งให้เจ้าหน้าที่เมียนมาดำเนินการ ซึ่งชาวต่างชาติที่ฝ่ายบีจีเอฟ.จับมานั้น จะต้องเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างไทย จีน และเมียนมา

สำหรับพื้นที่ ที่ฝ่ายกะเหรี่ยงบีจีเอฟ.นำไปดูแลนั้น อยู่ในพื้นที่เมียวดี 2 แห่ง ที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยบีจีเอฟ. และสนามฟุตบอลในเมียวดี นอกจากนั้น อยู่ที่เขตพื้นที่ชเวโก๊กโก่อีกหลายแห่ง ส่วนพื้นที่กะเหรี่ยงดีเคบีเอ.มีเหยื่อประมาณ 300 คน แต่ได้ยุติการปฏิบัติการไปแล้ว เพราะไม่สามารถแบกรับภาระในการเลี้ยงดูได้ ขณะที่ทางฝ่ายไทยเองก็ยังไม่รับ เว้นแต่มีสถานทูตติดต่อมา

ขอบคุณภาพ/ข่าว : มติลนออนไลน์
https://www.matichon.co.th/region/news_5060496

#ทันเหตุทั่วไทย

บุหรี่ไฟฟ้ายังเกลื่อน โรงเรียนในบุรีรัมย์ ตร บุกจับเอเย่นของกลางเพียบ สสจ.เผยน่าห่วงเด็กรู้ไม่เท่าทันตร.เข้าระงับเหตุนัก...
21/02/2025

บุหรี่ไฟฟ้ายังเกลื่อน โรงเรียนในบุรีรัมย์ ตร บุกจับเอเย่นของกลางเพียบ สสจ.เผยน่าห่วงเด็กรู้ไม่เท่าทัน

ตร.เข้าระงับเหตุนักเรียนทะเลาะวิวาท เจอบุหรี่ไฟฟ้าขยายพบพบมีแหล่งจำหน่าย ขอหมายศาลค้นเจอเพียบเตรียมขายให้กับเด็กนักเรียน ขณะสาธารณสุขชี้ เจอเด็กเล็กสุด 11 ปีสูบบุหรี่ไฟฟ้า เตือนอันตรายและคาดว่าน่าจะมีนักเรียนสูบอีกเป็นจำนวนมากแต่ยังไม่พบ
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ หลังจากพบเด็กนักเรียนล้มป่วยด้วยอาการแน่นหน้าอก ไอ และมีอาการทางเดินหายใจ รวม 7 ราย ไม่รวมวัยรุ่นอายุ 15 ปี ที่เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อเดือนมกราคม 1 ราย เด็กทั้งหมดอยู่ในเขตพื้นที่ ต.ดอนมน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์

ซึ่งต่อมา พล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ สั่งการให้ พ.ต.อ.ชูสิทธิ์ หล่อแสง รองผู้บังคับการฯเร่งติดตามหาแหล่งจำหน่าย จนกระทั่งสามารถจับกุมคนจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าได้ที่เข้ามาเช่าบ้านอยู่ที่หน้าโรงเรียนเพื่อคอยจำหน่ายให้กับวัยรุ่นและเด็กนักเรียนได้ 2 ราย

ล่าสุด ตำรวจ สภ.ละหานทราย อ.ละหานทราย ได้เข้าไประงับเหตุเด็กนักเรียนทะเลาะวิวาทกัน ซึ่งจากการค้นตัวพบบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ในกระเป๋า จึงทำการขยายผลและทราบแหล่งที่มาของบุหรี่ไฟฟ้า ก่อนจะยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนางรองอนุมัติหมายค้น ต่อมาวันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 68) ได้นำหมายค้นศาลจังหวัดนางรองที่ 14/2568 ลง 20 กุมภาพันธ์ 68 และหมายค้นที่ 15/2568 ลง 20 กุมภาพันธ์ 68 จำนวน 2 หมาย

จากการตรวจค้นพบบุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ M BAR9K ขนาด 13,000 คำ รวมจำนวน 37 ชิ้น, บุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ M BAR9K ขนาด 9,000 คำ รวมจำนวน 140 ชิ้น, หัวบุหรี่ไฟฟ้ายี่ห้อ M BAR9K จำนวน 304 ชิ้น น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 31 ชิ้น, ยาแก้ไอ จำนวน 54 ขวด ,ยาแก้แพ้ จำนวน 164 ขวด ,ยาแก้ปวด 42 แผง และยังพบอาวุธปืนขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุน 2 นัด จับกุมผู้ต้องหา 3 คน

นายพีรวัฒน์ หรือ ท็อป (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี น.ส.น้ำผึ้ง อายุ 20 ปี และน.ส.นรีนุช อายุ 20 ปี ทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าเป็นเจ้าของและเตรียมเอาไว้จำหน่ายให้กับวัยรุ่นและเด็กนักเรียน

หลังสอบสวนส่งตัวให้ พ.ต.ท.มานพ ทองพลับพลา สว.(สอบสวน)เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย เบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหา ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นสิ่งของต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยผิดกฎหมาย,จำหน่ายยาอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต,มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน

ด้านนายแพทย์พิเชษฐ พืดขุนทด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า จากที่ได้รับรายงานมา มีเด็กนักเรียนที่เข้าโรงพยาบาลด้วยอาการแน่นหน้าอก ไอ และมีอาการทางเดินหายใจทั้งหมด 7 ราย มีอายุ 11 ปี 2 ราย 12 ปี 2 รายและ 13 ปี 14 ปี 15 ปีรายละ 1 ราย

ตอนนี้มีเด็กอายุ 15 ปีอาการหนักสุดได้ส่งต่อมารักษาที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์แล้ว รายนี้พ้นขีดอันตรายแล้วแต่ต้องคอยดูอาการอย่างใกล้ชิด

นายแพทย์พิเชษฐ กล่าวด้วยว่า กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มแรกที่พบเด็กนักเรียนใช้บุหรี่ไฟฟ้า ตอนนี้ได้มีทั้งครู ตำรวจ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ลงพื้นที่ทำการสอบสวน หาสาเหตุ และได้ดำเนินการแก้ไข เบื้องต้นจะใช้โอกาสนี้คือที่เด็กเจ็บป่วยเพราะบุหรี่ไฟฟ้า มาเป็นบรรทัดฐานต่อไป ยอมรับเป็นห่วงเด็กเยาวชนเพราะคาดว่าน่าจะมีบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ในโรงเรียนอีกหลายโรงเรียนซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่ามีมากแค่ไหน

ขอบคุณภาพ/ข่าว : มติชนออนไลน์
https://www.matichon.co.th/region/news_5060423

#ทันเหตุทั่วไทย

บุกรวบ 2 หนุ่มจีน ซุกสินค้าเถื่อนเกือบ 7 พันชิ้น อึ้งเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มี มอก.วันที่ 20 ก.พ. 2568 พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช...
20/02/2025

บุกรวบ 2 หนุ่มจีน ซุกสินค้าเถื่อนเกือบ 7 พันชิ้น อึ้งเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มี มอก.

วันที่ 20 ก.พ. 2568 พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผบช.น. พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.3 พ.ต.อ.กฤษ ก้อมน้อย ผกก.สน.มีนบุรี, พ.ต.อ.สุทธิพร สุกก่ำ รรท.ผกก.สส.บก.น.3 สั่งการให้ พ.ต.ท.ชำนาญ โพธิ์น้อย พ.ต.ท.สุริยา กุญแจกล สว.กก.สส.บก.น.3, พ.ต.ต.สมมาตร คงทอง สว.ฝอ.บก.น.3/ชปส.บก.น.3

จับกุมเครือข่ายคนจีนขายของหนีภาษี จำนวน 2 ราย ได้แก่ นายจาง ไวเซิน (MR.ZHANG WEISEN) สัญชาติจีน อายุ 27 ปี นายหลี เซาซง (MR.LI SHAXIONGX) สัญชาติจีน อายุ 34 ปี ข้อหาร่วมกันซ่อนเร้น หรือรับไว้ด้วยประการใด ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่ยังมิได้ผ่านพิธีศุลกากร ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร

พร้อมด้วยของกลางอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก มอก. และสิ่งของหรือสินค้าที่ไม่มีหลักฐานการเสียภาษี ประกอบด้วย 1.ที่ตัดขนสัตว์ไฟฟ้า 60 ชิ้น 2.อุปกรณ์รถจักรยานยนต์ 29 ชิ้ม 3.ที่ตัดผมไฟฟ้า 11 ชิ้น 4.พาวเวอร์แบงก์ 135 ชิ้น 5.สเปย์ขัดเบาะรถ 20 กระป๋อง 6.สวิตช์เซ็นเซอร์ 245 ชิ้น 7.ปลั๊กไฟ USB จำนวน 72 ชิ้น 8.เครื่องขัดเท้าไฟฟ้า 40 ชิ้น 9.พัดลมไฟฟ้า 43 ตัว 10.กระเป๋าสะพายข้าง สีดำ 90 ใบ 11.กระเป๋าสะพายข้าง สีขาว 15 ใบ 12.กระเป๋าสะพายหลัง สีม่วง 100 ใบ

13.กระเป๋าสะพายหลัง สีดำ 380 ใบ 14.กระเป๋าสะพายหลัง สีขาว 70 ใบ 15.กระเป๋าผ้า 50 ใบ 16.กระเป๋าโน้ตบุ๊ก 60 ใบ 17.ตลับเมตร 370 อัน 18.น้ำมันเครื่อง ขนาด 2 ลิตร จำนวน 40 แกลอน 19.สายไฟฟ้า 50 เส้น 20.ล็อกเบรกรถยนต์ 90 ชิ้น 21.เครื่องทดสอบไฟฟ้า 100 ชิ้น 22.เครื่องโกนขนไฟฟ้า 400 ชิ้น 23.พัสดุห่อบรรจุพร้อมส่ง 180 ชิ้น รวมของกลางทั้งหมด 2,650 ชิ้น

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมนำกำลังไปตรวจสอบบริเวณบ้านเลขที่ 4/64 หมู่บ้านบัวขาว แยก 48 ซ.รามคำแหง 174 แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พบเห็นชายชาวจีน 2 คน ช่วยกันขนสิ่งของขึ้นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอแวนซา สีขาว ทะเบียน ญฮ 9946 กรุงเทพมหานคร จึงแสดงตัวเป็นตำรวจและแสดงบัตรข้าราชการ

ทั้งนี้ ชาวจีน 2 คนไม่สามารถพูดและสื่อสารด้วยภาษาไทยได้ จึงขอความร่วมมือจากล่ามแปลภาษาสื่อสาร ตำรวจสอบถามถึงเอกสารหนังสือเดินทางให้การว่า ไม่ได้พกเอกสารหนังสือเดินทางติดตัวมา

สอบถามทั้ง 2 คน ให้การอ้างว่า สิ่งของทั้งหมดเป็นของนายเฮ้า คนจีน ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ได้ว่าจ้างให้ช่วยกันขนส่งสินค้าจากภายในบ้านไปบรรจุหีบห่อบริเวณที่พัก จากนั้นจะนำไปส่งที่ร้านรับส่งพัสดุเพื่อกระจายสินค้าให้ลูกค้า โดยได้ค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาทต่อคน

ตำรวจสอบถามถึงเอกสารการนำเข้าสินค้าและเอกสารการเสียภาษีสินค้า เบื้องต้นไม่มีเอกสารดังกล่าวมาแสดง จึงแจ้งสิทธิตามกฎหมายและแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับ จากการตรวจสอบเอกสารหนังสือเดินทางเบื้องต้นพบว่าเป็นของจริง ก่อนควบคุมตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สน.มีนบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย

ต่อมาวันที่ 18 ก.พ. 2568 ชุดสืบสวนนครบาล 3 ร่วมกันปิดล้อมตรวจค้นบ้านเลขที่ 58 ซ.รามคำแหง 182 แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ตรวจค้นพบของกลางอีกจำนวนมาก ประกอบด้วย 1.ลัง 400 ชิ้น 2.แบตเตอรี่ชาร์ตรถยนต์ขนาดกลาง 1,020 ชิ้น 3.แบตเตอรี่ชาร์จรถยนต์ขนาดใหญ่ 150 ชิ้น 4.ที่โกนหนวดไฟฟ้า 800 ชิ้น 5.แบตเตอรี่ตัดผม 230 ชิ้น 6.เครื่องวัดกระแสไฟฟ้า 720 ชิ้น

7.ที่ชาร์จแบตรถยนต์ 240 ชิ้น 8.ปลั๊กไฟฟ้า 200 ชิ้น 9.ที่หนีบผม 60 ชิ้น 10.ที่ล็อกพวงมาลัยรถยนต์ 48 ชิ้น 11.สว่านไฟฟ้า 26 ชิ้น รวม 52 ชิ้น 12.เต้าเสียบปลั๊กไฟ จำนวน 4 ลัง ลังละ 10 ชิ้น รวม 40 ชิ้น 13.ปัตตาเลี่ยนไร้สาย จำนวน 12 ลัง ลังละ 9 ชิ้น รวม 100 ชิ้น รวมของกลางทั้งหมด จำนวน 4,060 ชิ้น

ขอบคุณภาพ/ข่าว : ข่าวสด
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9642440

#ทันเหตุทั่วไทย

เตือน แมงกะพรุนกะลาสีเรือ เกยเต็มหาดตะโละสะมิแล พิษอ่อน แต่ไม่จำเป็นอย่าจับเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ศูนย์วิจัยทรัพยากรท...
20/02/2025

เตือน แมงกะพรุนกะลาสีเรือ เกยเต็มหาดตะโละสะมิแล พิษอ่อน แต่ไม่จำเป็นอย่าจับ

เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง (สงขลา) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้รับข้อมูลผ่านทางสื่อออนไลน์เฟซบุ๊ก จากผู้ใช้นามว่า Marco G. Tahini ได้โพสต์ลงในกลุ่ม “นี่ตัวอะไร” ว่าได้พบสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ที่บริเวณชายหาดตะโละสะมิแล จ.ปัตตานี มีลักษณะคล้ายแมงกะพรุน แต่ไม่ทราบชนิด ขึ้นเต็มชายหาด พร้อมส่งรูปถ่ายประกอบ

เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ จึงได้ลงพื้นที่ดังกล่าวเพื่อตรวจสอบ พบการแพร่กระจายของแมงกะพรุนกะลาสีเรือตามลม (Velella velella) ขนาดลำตัวเฉลี่ย 3-5 ซม. จำนวนมากบริเวณพื้นที่ชายหาดตะโละสะมิแล (19,000 ตัว/ 100 ม.)

โดยแมงกะพรุนชนิดนี้จัดอยู่ในกลุ่มไฮโดรซัว (Hydrozoa) ซึ่งเป็นแมงกะพรุนที่เคยมีรายงานการพบที่จ.ภูเก็ต เเละ จ.สงขลา เป็นแมงกะพรุนที่มีพิษเล็กน้อย ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่ไม่จำเป็นไม่ควรจับด้วยมือเปล่า เพราะจะก่อให้เกิดผื่นแดงหรือระคายเคืองในคนที่แพ้พิษได้

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากได้รับพิษจากแมงกะพรุน ให้ใช้น้ำส้มสายชูราดบริเวณที่สัมผัสอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 30 วินาที ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาล พร้อมนี้เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างเพื่อนำมาศึกษาวิจัยต่อไป

ขอบคุณภาพ/ข่าว : มติชนออนไลน์
https://www.matichon.co.th/region/news_5058487

#ทันเหตุทั่วไทย

วงจรปิดจับชัด หนุ่มหลอนยา ควบเก๋งบุกตบหัวเจ้าอาวาสวัดดังยโสธรจากกรณีโลกออนไลน์โพสต์ภาพกล้องวงจรปิดขณะชายรายหนึ่งบุกเข้าไ...
20/02/2025

วงจรปิดจับชัด หนุ่มหลอนยา ควบเก๋งบุกตบหัวเจ้าอาวาสวัดดังยโสธร

จากกรณีโลกออนไลน์โพสต์ภาพกล้องวงจรปิดขณะชายรายหนึ่งบุกเข้าไปในกุฏิเจ้าอาวาส ชี้นิ้วโวยวาย ก่อนลงมือทำร้ายร่างกายพระเจ้าของกุฏิ จากนั้นได้ขับรถเก๋งหลบหนีไป เหตุเกิดที่วัดหอก่อง ต.ฟ้าหยาด อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร เวลา 13.00 น. วันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่พบ พระครูอมรโชติวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดหอก่อง ในฐานะเจ้าคณะอำเภอมหาชนะชัย (ธรรมยุติ) พระในคลิป กล่าวว่า ช่วงบ่ายโมงวานนี้ ตนนั่งอยู่ในกุฏิตามปกติ จากนั้นได้มีชายคนหนึ่งขับรถเก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า มาจอดที่หน้ากุฏิ ก่อนลงจากรถเดินตรงมาตะคอกใส่ตนว่า “รู้เบอร์แม่ตนได้อย่างไร” ตนไม่ได้รู้จักชายคนดังกล่าวจึงไม่ได้ตอบอะไรไป จากนั้นชายคนเดิมได้ใช้มือตบศีรษะตน ซึ่งตนก็ได้ใช้มือถือฟาดกลับแต่ไม่ถูกตัวชายคนดังกล่าว จากนั้นเขาได้เดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปเลย

ตนจึงได้โทรแจ้งตำรวจเข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ เบื้องต้นได้ไปตรวจร่างกายเพื่อนำมาดำเนินคดีกับชายรายดังกล่าว เพราะเท่าที่ฟังจากตำรวจได้ความว่า ชายคนดังกล่าวได้ไปก่อเหตุลักษณะเดียวกันไว้หลายพื้นที่ แต่ไม่มีคนไปแจ้งความ ตนจึงจะแจ้งความดำเนินคดีเพื่อไม่ให้ไปก่อเหตุกับใครได้อีก

พระครูอมรโชติวัฒน์กล่าวต่อว่า ในส่วนของคดีทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.มหาชนะชัย ได้ควบคุมตัวผู้ก่อเหตุได้ตั้งแต่ช่วงเย็นวานนี้ โดยสามารถจับกุมได้ที่บ้านพักใน ต.เชียงเพ็ง อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ทราบชื่อคนก่อเหตุ คือ นายวิศรุต (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี โดยตัวนายวิศรุตได้ขับรถเก๋งของน้องสาวออกมาจากบ้านพัก โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง ตรวจพบมีสารเสพติดในร่างกาย ซึ่งนายวิศรุตรับว่าเสพยาบ้ามา 2 เม็ดก่อนจะมาก่อเหตุ และจากการสอบถามผู้นำชุมชนของผู้ก่อเหตุทราบว่า ผู้ก่อเหตุมักมีพฤติกรรมเข้าไปทำร้ายพระในวัดในเขต อ.ป่าติ้ว มาก่อน แต่ไม่มีผู้เสียหายไปแจ้งความดำเนินคดี

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้แจ้ง 4 ข้อหาหนักแก่นายวิศรุตคือ บุกรุกเคหสถาน, ใช้กำลังประทุษร้าย, เป็นผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย, เสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.มหาชนะชัย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ขอบคุณภาพ/ข่าว : มติชนออนไลน์
https://www.matichon.co.th/region/news_5058838

#ทันเหตุทั่วไทย

เฉียบ!ครั้งแรกในไทย นวัตกรรม’แปลงเพศกุ้ง’ ลดต้นทุน-รุกตลาดจีนสิ้นสุดการรอคอย สำหรับการจับกุ้งล็อตแรกของ ประกอบ ทรัพย์ยอด...
20/02/2025

เฉียบ!ครั้งแรกในไทย นวัตกรรม’แปลงเพศกุ้ง’ ลดต้นทุน-รุกตลาดจีน

สิ้นสุดการรอคอย สำหรับการจับกุ้งล็อตแรกของ ประกอบ ทรัพย์ยอดแก้ว นายกสมาคมผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย ที่ได้ริเริ่มลองเลี้ยงกุ้งในนวัตกรรมการเลี้ยงกุ้ง โดย การแปลงเพศกุ้ง เป็นครั้งแรกไปพร้อมๆ กับการเพิ่มความหนาแน่นจำนวนกุ้งให้มากกว่าเดิมต่อบ่อ

ซึ่งการเลี้ยงเป็นผลสำเร็จครั้งแรกของประเทศ บ่อกุ้งนี้ตั้งอยู่ ต.ดอนใหญ่ อ.บางแพ จ.ราชบุรี มีพื้นที่การเลี้ยงประมาณ 300 ไร่ “ประกอบ” ถือว่าเป็นผู้คร่ำหวอดมีความเชี่ยวชาญในวงการเลี้ยงกุ้งมายาวนานกว่า 30 ปี หลังจากที่เคยเลี้ยงกุ้งแบบโบราณ มีทั้งการผสมการเลี้ยงระหว่างตัวผู้ตัวเมียในบ่อเดียวกัน และการเลี้ยงแบบตัวผู้ล้วนไม่ปนตัวเมีย มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ต้นทุนการผลิตต่อครั้งก็จะไม่เท่ากัน จึงพยายามมองหาเทคนิคการเลี้ยงกุ้งแบบต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่า ลดเวลาการเลี้ยง และลดต้นทุนการผลิตให้น้อยลง และตลาดมีความต้องการ ตอบโจทย์ความต้องการให้กับลูกค้าต่างประเทศ จึงทดลองเลี้ยงกุ้งแบบแปลงเพศประมาณ 3 บ่อ เป็นครั้งแรก โดยได้รับการแนะนำจากคณะอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล เข้ามาทดลองและช่วยเหลือในเรื่องนี้ โดยเพิ่มจำนวนปริมาณกุ้งในบ่อจากปกติ พร้อมกับเทคนิคต่างๆ ในการทดลองเลี้ยงจนประสบผลสำเร็จ สามารถจับกุ้งในขนาดที่ต่างประเทศมีความต้องการ อีกทั้งผลผลิตที่ได้ยังเพิ่มมากขึ้นกับระยะเวลาการเลี้ยงที่เท่าเดิม และยังช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงได้อีกด้วย

ประกอบเล่าว่า เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เลี้ยงแบบระบบความหนาแน่นสูง ตอนนี้ที่มีความสามารถส่งออกประเทศจีนได้ แต่เดิมเลี้ยงแบบบางเพราะต้องการกุ้งตัวใหญ่ แต่ทางจีนบอกต้องการขนาด 20-25 ตัวต่อกิโลกรัม จึงต้องปรับกลยุทธ์เลี้ยงให้ได้เร็วขึ้น ความหนาแน่นให้สูงขึ้น พอได้ขนาดก็จับขายเลย ตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าเลี้ยงแบบนี้ จึงทดลองเลี้ยงเพื่อให้เป็นตัวอย่างการเลี้ยงที่มีความเสถียร ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ต้นทุนเท่าไหร่ มีความคุ้มหรือไม่คุ้มอย่างไร

ซึ่งการทดลองการเลี้ยงกุ้งแบบใหม่ และได้จับกุ้งจากบ่อวันนี้ อายุที่ 95 วัน ส่วนกุ้งที่เลี้ยงเป็นกุ้งแปลงเพศ เป็นเพศผู้ 90 เปอร์เซ็นต์ เพศเมีย 10 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมถ้าเลี้ยงแบบระบบโบราณตัวผู้ตัวเมียปนกัน อัตรารอดแค่ 18-22 เปอร์เซ็นต์ แต่พอเลี้ยงเพศผู้ล้วน ในความหนาแน่นที่เท่ากัน อัตรารอดอยู่ที่ 60 เปอร์เซ็นต์ ระยะเลี้ยงสั้นกว่าเดิม แต่พอมาทำความหนาแน่นสูงซึ่งไม่มีใครทำมาก่อน ทุกคนกลัวว่าการเลี้ยงในความหนาแน่นขนาดนี้กุ้งจะตายหรือไม่ อากาศเพียงพอหรือไม่ ความหนาแน่นขนาดนี้กุ้งจะอยู่รอดกินกันเองหรือไม่ ซึ่งได้กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ได้ดูแลอย่างใกล้ชิด ผลที่ได้ทดลองการเลี้ยงก็คือประสบความสำเร็จทั้งหมด

เทคนิคคือใช้ความหนาแน่นปกติ 8-10 ตัว จะใช้ 3-5 ตัวต่อตารางเมตร แต่ตอนนี้เพิ่มขึ้นไปเป็น 17-20 ตัวต่อตารางเมตร การดูแลจากเดิมการเลี้ยงอาหาร 2 มื้อ จะเพิ่มเป็น 3 มื้อ จุลินทรีย์ก็เพิ่มปริมาณให้ถี่ขึ้น เพราะกินมากขึ้นมีของเสียมากขึ้นก็จะต้องจัดการสิ่งต่างๆ ให้มากขึ้นตามมาด้วย

ส่วนกุ้งเป็นเพศผู้ล้วน ใช้ฮอร์โมนชีวะโมเลกุล เป็นการลดฮอร์โมนความเป็นทางเพศผู้ลง ให้กุ้งกลายมาเป็นตัวเมีย ถ้าแบบโบราณจะเพาะแบบธรรมชาติ จะออกมาเป็นตัวเมีย 50-70 เปอร์เซ็นต์ เวลาตัวผู้ลอกคราบแล้วตัวเมียจะกินตัวผู้ เวลาตัวเมียลอกคราบตัวผู้ก็จะไม่กินตัวเมียแต่จะกลายเป็นผสมพันธุ์ จึงทำให้กุ้งตัวผู้รสชาติออกมาไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ส่วนตัวเมียมีราคาต่ำ

สำหรับกุ้งที่แปลงเพศทำได้ 3 วิธีคือ 1.การเพาะแบบธรรมชาตินำเอามาเลี้ยงในบ่อดิน ช่วงการเลี้ยงแรกๆ ให้จับแยกกันเพราะยังไม่มีฮอร์โมนทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง หากแยกช่วงหนุ่มสาวจะทำให้กุ้งไม่เจริญเติบโต จึงต้องแยกตัวผู้กับตัวเมียออกจากกันก่อน ก็จะได้กุ้งเพศผู้ล้วนเช่นกัน วิธีที่ 2 คือ เอากุ้งตัวผู้ตัวเล็กๆ มาเลี้ยงโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องเพื่อดึงท่อน้ำเชื้อออกทั้ง 2 เส้น ที่โคนขาคู่ที่ 5 ก็จะทำให้กุ้งตัวผู้นั้นร่างเป็นตัวผู้ พอเอาไปเลี้ยงแล้วเขาจะโตขึ้นจะฟอร์มไข่ได้ด้วยตัวเองแต่สามารถมีไข่ได้ ก็เอาตัวผู้ที่ไม่ได้ถูกดึงท่อน้ำเชื้อเอามาผสม พอผสมเสร็จตัวผู้ที่มีไข่ได้เอาลูกมาเพาะพันธุ์ก็จะกลายเป็นตัวผู้ 90 เปอร์เซ็นต์ และวิธีที่ 3 คือ ต้องขอขอบคุณคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล ให้ทุนของมหาวิทยาลัยช่วยทำพ่อแม่พันธุ์ออกมา คือ การใช้ฮอร์โมนชีวะโมเลกุล ได้จดลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยเรียบร้อย โดยฉีดเข้าไปที่กุ้งตัวผู้ไม่ต้องดึงเพศ ในการลดฮอร์โมนทางเพศลง แล้วกุ้งตัวนั้นพอถูกลดฮอร์โมนก็จะมาฟอร์มไข่ได้ และนำตัวผู้ที่ไม่ได้ถูกฉีดมาผสม เมื่อลูกออกมาก็จะได้เหมือนกัน จึงมี 3 วิธีที่ใช้ในการเลี้ยงที่ประสบความสำเร็จ

จึงถือเป็นเทคนิคการเลี้ยงกุ้งในวงการเกษตรกรไทยที่ประสบความสำเร็จน่าภาคภูมิใจ เป็นแบบอย่างให้เกษตรกรคนอื่นๆ นำไปทดลองการเลี้ยงในพื้นที่ของตนเองได้ เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต นำไปสู่การเพิ่มรายได้ และยังตอบสนองความต้องการตลาดต่างประเทศอีกด้วย

ขอบคุณภาพ/ข่าว : มติชนออนไลน์
https://www.matichon.co.th/region/news_5058658

#ทันเหตุทั่วไทย

ที่อยู่

Bangkok
10170

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ทันเหตุทั่วไทยผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ทันเหตุทั่วไทย:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

Our Story

ว.2 ว.8 ทันเหตุทั่วไทย ของศูนย์วิทยุวันเรสคิว (One Rescue) เป็นศูนย์ประสานเหตุ วิทยุสื่อสารเครื่องแดง ความถี่ 245.9500MHz (ช่อง77) และในระบบ Zello ช่อง ศูนย์ข่าว วันเรสคิว (One Rescue) รายงานข่าวสด เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ สาธารณะภัย สภาพการจราจร สภาพภูมิอากาศต่างๆ พร้อมเตือนภัย ทุกวัน อีกทั้งยังเป็นสื่อสังคมจิตอาสา..และขอร่วมเป็นสื่อกลางในการประสานงานเหตุในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนทุกท่าน...(คนไทยไม่ทิ้งกัน..สังคมยังมีคนดี)