ทนายพรี่หมี

ทนายพรี่หมี สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่เพจกฎหมาย (?) ที่จะมาเล่ากฎหมายในสไตล์ “เพื่อนเล่าให้ฟัง” ครับ

22/12/2024

< ความรักทนายกับลูกความ ? >

มีมิตรสหายท่านหนึ่งถามมาละน่าสนใจว่า “ทนายคบลูกความได้ไหม ?”

ถามว่าทนายสามารถจีบลูกความได้ไหม ? คำตอบคือ มรรยาททนายไม่ได้ห้ามครับ ลูกความทนาย เต็มที่ได้เลย

แต่สำหรับการทำงานด้วยกัน มีความสุ่มเสี่ยงค่อนข้างสูงแน่นอนครับ ปัญหาที่ตามมามีดังนี้

1.ทนายต้องทำงานกับลูกความด้วยหลัก “เหตุและผล” ไม่ใช่ “ความรู้สึก” อะไรไดัคือได้ ไม่ได้คือไม่ได้ ไม่ต้องอวย ซึ่งพอมีความรักมาข้องเกี่ยว มันจะต้านความรู้สึกยากครับ และอาจจะมองคดีไม่ตรงตามความจริง (ผมถึงพูดบ่อยๆว่า การรับว่าคดีให้คนสนิท ผมจะไม่เอาแล้ว 😓 มันคุมความคิดยาก)

2.ถ้าทั้งสองฝ่าย มืออาชีพมากพอ ก็ดีไป แต่บางครั้ง ทนาย-ลูกความ ก็เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานกัน เราต้องทำงานเป็นทีม

ให้นึกภาพง่ายๆว่า สมมติเจอลูกความครั้งแรก ถูกใจ จีบ แต่คดีแม่งนานเป็นปี กว่าจะถึงขั้นลูกความมีบท สืบพยาน ก็โน่นนนน เผลอๆ คบไปไม่รอด เลิกกัน อันนี้หยาบเลย

ถ้ามืออาชีพกันมากพอ ก็ดีไป แต่ถ้างี่เง่าล่ะ ??? บันเทิงล่ะครับ พูดอะไรไม่ฟัง เผลอๆถอนทนายกันอีก

ถ้าทนายท่านใดที่คิดจะจีบลูกความตัวเอง แนะนำให้รอคดีถึงที่สุดก่อน ดีที่สุดครับ อันนั้นไม่ติดสถานะลูกความ จะทำอะไรก็ตามใจ

ส่วนตัวมองว่า ยังไงก็ยังควรต้องมีการประหารชีวิตอยู่ครับผู้ใดที่พรากชีวิตผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเลือดเย็น ก็ไม่สมควรที่จะมีช...
20/12/2024

ส่วนตัวมองว่า ยังไงก็ยังควรต้องมีการประหารชีวิตอยู่ครับ

ผู้ใดที่พรากชีวิตผู้อื่นโดยเจตนาอย่างเลือดเย็น ก็ไม่สมควรที่จะมีชีวิตต่อไปครับ

อาชญากรบางคนก็ไม่ได้มีความสำนึก หรือ บางครั้งผู้เสียหายก็อาจต้องอยู่อย่างหวาดหวั่น

ต่อให้มีโทษจำคุกตลอดชีพ ก็ใช่ว่าเขาจะจำตลอดชีวิต มีลดโทษ มีเพิ่มชั้น สุดท้ายก็มีโอกาสออก ก็เพิ่มโอกาสให้ผู้เสียหายถูกแก้แค้นได้อีก (บางคนฉลาดมากพอก็แกล้งทำดีเพื่อได้รับผลประโยชน์ได้)

ถ้าจะบอกว่า “ไม่ให้โอกาสเขาเหรอ ?” งั้นผมถามกลับว่า แล้วคนที่ตายเขาเคยได้รับโอกาสมีชีวิตบ้างไหม ?

แม้ว่าเหตุผลในการดีเบตจากฝั่งสิทธิมนุษยชนจะมองว่า “กลัวจับแพะมาประหาร”

แต่ตรรกะที่หยิบยกมามันไม่ได้ถูกต้อง เพราะ เรื่องแพะคือเรื่องความบกพร่องในกระบวนพิจารณาที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นไม่ว่าคดีนั้นจะมีอัตราโทษแบบใด

BRIEF: ครม. ตีกลับข้อเสนอ ‘ยุติโทษประหารชีวิต’ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ เพราะเชื่อว่า เป็นสิ่งที่ยังจำเป็น
หลังจากที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต ตามแนวทางนานาชาติ ล่าสุด (17 ธันวาคม 2567) คณะรัฐมนตรี (ครม.) ตีกลับข้อเสนอ พร้อมยืนยันว่าจำเป็นต้องมีโทษประหารอยู่ เพราะความผิดร้ายแรง ส่งผลกระทบต่อจิตใจประชาชน
นับเป็นอีกความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ ‘โทษประหารชีวิต’ ในประเทศไทย โดยเมื่อวานนี้ คารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงกรณีที่ กสม. นำเสนอแนวทางปรับปรุงกฎหมายที่มีโทษประหารชีวิต ต่อ ครม. เนื่องจาก กสม.เห็นว่าโทษประหารชีวิตเป็นโทษที่สูง และหลายประเทศงดเว้นไปแล้ว จึงอยากให้ยกเลิก
ที่ผ่านมา ครม.รับทราบ และมีความเห็นเพิ่มเติมจากศาลยุติธรรมว่า โทษบางชนิดและความผิดบางชนิด ยังจำเป็นต้องมีโทษประหารอยู่ ซึ่งศาลยุติธรรมยังระบุว่า โทษที่มีความผิดร้ายแรงนั้น ส่งผลกระทบต่อจิตใจประชาชน
ด้านของ กสม.เห็นว่าโทษประหารชีวิตเป็นโทษที่สูง และหลายประเทศงดเว้นไปแล้ว จึงอยากให้ยกเลิก ทั้งนี้มีการประชุมและติดตามสถานการณ์โทษประหารชีวิต ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
ย้อนกลับไปเมื่อ 25 กันยายนที่ผ่านมา สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ระบุถึงข้อเสนอแนะ ‘ให้ยุติโทษประหารชีวิต’ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ในการประชุมระหว่าง กสม.กับเครือข่ายยุติโทษประหารชีวิต พร้อมด้วยหน่วยงานรัฐฯ ที่เกี่ยวข้อง โดย กสม.มีข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้
1 ไม่กำหนดโทษประหารชีวิตในกฎหมายที่ตราขึ้นใหม่

2 แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่มีโทษประหารชีวิตสถานเดียว ให้ศาลมีทางเลือกการลงโทษอื่นแทนการประหารชีวิต

3 ทบทวนกฎหมายที่มีโทษประหารชีวิตที่ไม่ได้สัดส่วนกับความผิด ไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์ที่สุด หรือ Most serious crime และ

4 ยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยไม่มีการประหารชีวิตเกิน 10 ปี และยกเลิกโทษประหารชีวิตในกฎหมายทั้งหมด
สำหรับสถานการณ์โทษประหารชีวิตในประเทศต่างๆ จากการสำรวจของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) ในปี 2565 พบว่า 55 ประเทศ ยังคงมีโทษประหารชีวิต โดย 9 ประเทศในจำนวนนี้ ใช้โทษประหารชีวิต เฉพาะกับอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุด เช่น การสังหารหมู่หลายครั้ง หรืออาชญากรรมสงคราม และ 23 ประเทศมีโทษประหารชีวิต แต่ไม่ได้ใช้มาเป็นเวลา 10 ปี
อีกทั้งพบว่า จีนเป็นประเทศที่มีการประหารชีวิตสูงที่สุด ซึ่งในปี 2566 มีการประหารชีวิตทั้งหมด 1,153 ครั้ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจีนไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้โทษประหารชีวิต จึงไม่สามารถระบุตัวเลขที่เชื่อถือได้ได้ และจำนวนที่ Amnesty International พบนั้น เป็นการรวบรวมจากสถิติอย่างเป็นทางการ รายงานของสื่อ และข้อมูลที่ส่งต่อจากคนที่ถูกตัดสินประหารชีวิต และครอบครัวของพวกเขา
ท่ามกลางข้อถกเถียงหลากหลาย เกี่ยวกับโทษประหารชีวิต ซึ่งฝ่ายหนึ่งเห็นว่ายังจำเป็นอยู่ ในขณะที่อีกฝ่ายมองว่าโทษนี้ ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง ต่อจากนี้สถานการณ์ดังกล่าวในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามต่อไป
อ้างอิงจาก

https://prachatai.com/journal/2024/12/111749
https://www.nhrc.or.th/index.php/th/NHRC-News-and-Important-Events/13637
https://www.bbc.com/news/world-45835584
https://www.amnesty.org.uk/resources/death-penalty-report-2023

#ครม #โทษประหารชีวิต #สิทธิมนุษยชน

20/12/2024

พวกเปโดที่บอกปรึกษาทนายแล้วคุ้มเนี่ย

หมายถึงทนายเองนะที่คุ้ม เขียนคำแถลงประกอบคำรับสารภาพอย่างเดียว ไม่ต้องสืบ สบาย~

ผ่านแล้วมันก็ดีแหละ แต่ผมก็ตั้งข้อสังเกต law in action หน่อยละกันเคส domestic violence เป็นเคสที่ตำรวจมักจะมองเป็นเรื่อง...
17/12/2024

ผ่านแล้วมันก็ดีแหละ แต่ผมก็ตั้งข้อสังเกต law in action หน่อยละกัน

เคส domestic violence เป็นเคสที่ตำรวจมักจะมองเป็นเรื่องเล็กๆ ขนาดผัวตีเมีย ตำรวจยังไม่อยากทำแต่เน้นไกล่เกลี่ยจบๆไป

อันนี้พ่อแม่ตีลูกนี่หนักเลย ต้องยอมรับว่าบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมพร้อมไหม ? เปิดรับไหม กว่าจะฝ่าด่านเข้าไปในศาลกับเรื่องแบบนี้ ซึ่งก็อาจจะต้องใช้เวลาสักนิดนึงหลังกฎหมายออก เพื่อให้บุคลากรมี awareness กับเรื่องนี้

Fun fact : หากเป็นกรณีแบบนี้ เด็กจะต้องใช้วิธีการเดียวในการดำเนินคดี คือ ต้องแจ้งความเท่านั้น ไม่สามารถฟ้องร้องคดีต่อศาลได้เพราะติดคดีอุทลุม

📍 16 ธันวาคม 2567 ที่ประชุมวุฒิสภา (สว.) ได้ลงคะแนนพิจารณาเห็นชอบ "ร่างกฎหมายห้ามตีเด็ก" เตรียมส่งให้นายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศเป็นกฎหมายต่อไป ❤️

✅ TLDR : ที่ประชุมวุฒิสภา ผ่านร่างกฎหมายห้ามตีเด็ก โดยกำหนดว่า "พ่อแม่มีสิทธิทำโทษบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ กล่าวคือ อายุยังไม่ถึง 20 ปี และไม่ได้จดทะเบียนสมรส หรือว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรมได้ แต่ต้องไม่เป็นการทารุณกรรม ไม่ทำร้ายร่างกายและจิตใจด้วยความรุนแรง และไม่ทำด้วยวิธีที่มิชอบ เช่น ทำโทษด้วยการด้อยค่าบุตร ลดทอนคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"

หลังจากเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎร (สส.) ได้ยกมือผ่านร่างแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดไม่ให้พ่อแม่ลงโทษลูกด้วยวิธีการทำร้ายร่างกายและจิตใจ โดยได้ข้อสรุปการแก้ไขว่า "ผู้ใช้อำนาจปกครองมีสิทธิทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือกระทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย จิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ"

จากนั้น ตามกระบวนการเสนอแก้ไขร่างกฎหมาย สถานีต่อไปคือการพิจารณาโดยที่ประชุมวุฒิสภา (สว.) ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยในการพิจารณาวาระหนึ่ง สว. มีแนวโน้มเห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว และที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายห้ามตีเด็ก ในวาระหนึ่ง ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 187 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง

หลังจากนั้น ที่ประชุม สว. ได้ประชุมพิจารณาต่อในวาระสอง โดยไม่มีการแก้ไขถ้อยคำที่เป็นสาระสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าว ทำให้การประชุมวาระสามได้ดำเนินการต่อในวันเดียวกัน และมติที่ประชุมเห็นชอบร่างกฎหมาย ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 181 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง

โดยหลังจากร่างกฎหมายนี้ได้ผ่านที่ประชุมวุฒิสภา จะมีการดำเนินการส่งร่างกฎหมายไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อนำร่างกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย ประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป

ถือเป็นอีกก้าวสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเยาวชนและเด็กไทย ในการมีพื้นที่ปลอดภัยภายในครอบครัว ผ่านการมีกฎหมายป้องกันการใช้ความรุนแรงภายในครอบครัว (Domestic Violence) ผ่านการทารุณกรรมทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นการสร้างบาดแผลทางใจในเด็ก อันส่งผลต่อพัฒนาการที่ถดถอย และส่งผลร้ายแรงสุขภาพจิตของเด็ก ผู้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมืองในวันข้างหน้า 🌻

ภาพจาก : ไทยรัฐ
ข้อมูล : iLaw เรียบเรียงโดย : .tourlife
#จิตวิทยา #กฎหมายไม่ตีเด็ก #สุขภาพจิต

14/12/2024

ใครบิดหนี้ กยศ. โดยอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย ขออวยพรให้มีเงินเข้าบัญชีเยอะๆ ทำธุรกิจรุ่งๆครับ คุณทำถูกแล้ว นี่แหละเส้นทางรวย

13/12/2024

อันนี้น่าสนใจแหะ 👀 มันมีคนสันดานแบบนั้นด้วยเหรอ 🤔

อยู่ๆก็มีเรื่องราวให้นอนไม่หลับ~

< ฟ้องหมิ่นประมาทแบบทุเรศเกินควร ทนายโดนตอกกลับได้ : ว่าด้วยการใช้สิทธิไม่สุจริตของทนายความตาม ฎีกา 826/2564  > คดีหมิ่น...
13/12/2024

< ฟ้องหมิ่นประมาทแบบทุเรศเกินควร ทนายโดนตอกกลับได้ : ว่าด้วยการใช้สิทธิไม่สุจริตของทนายความตาม ฎีกา 826/2564 >

คดีหมิ่นประมาทในความรู้สึกผม จะว่าเป็นคดีง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ซึ่งประเด็นส่วนใหญ่จะวนๆกันอยู่ไม่กี่ประเด็นคือ คำพูดหมิ่นไหม ? , กล่าวถึงโจทก์จริงไหม ? , เฟสจำเลยจริงหรือเปล่า ?

แทบไม่มีความยุ่งยากเรื่องพยานหลักฐานเลย แค่แคปเฟสที่หมิ่น โปรไฟล์คนที่เกี่ยวข้อง บริบทอื่นๆประกอบว่ามีเรื่องอะไรกันมายังไง เวลาสืบส่วนมากถ้าหมิ่นโดยการโฆษณาก็โจทก์ จำเลยปากเดียวจบๆ

จึงเป็นคดีที่ทนายป้ายแดงก็น่าลงทุน easy money ได้ง่ายๆ
(แต่ชนะไหมอีกเรื่อง) ยิ่งเป็นอินฟลูใจป้ำๆหน่อย ฟ้องแบบ slapp ปิดปากรายตัวได้เลย

แต่ด้วยความง่ายของมัน และความดิ้นได้ของข้อความ ประกอบกับทนายทำงานไม่ยากนัก บางครั้งคนก็อาจใช้ช่องทางนี้ในการฟ้อง “ปิดปาก” หรือ ”ต่อรอง“ ได้ แน่นอนทนายก็รับๆทำไปนั้นแหละ แพ้ชนะไม่รู้กูได้ตังค์ และ กูเป็นทนายกูไม่โดนร่างแหหรอก

”แน่ใจเหรอครับบบ ? 😉“

ถึงจะไม่โดนฟ้องเท็จ เบิกเท็จ แต่ทนายก็อาจจะโดนคดีแพ่งฐาน “ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต” ได้ (จริงๆละเมิดไม่น่ากลัวหรอก แค่เสียตังค์ แต่มรรยาทนี่น่าคิด ไปคุยกับสภาทนายเอาเอง แต่ถ้าผมเป็นกรรมการมรรยาท ก็เอาข้อ 18 ไปแดกซะ)

ตามฎีกาที่ 826/2564 เรื่องมันมีอยู่ว่า

1.A ฟ้อง B เพื่อเพิกถอนนิติกรรม โดย A มีการบรรยายฟ้องว่า B มีพฤติการณ์ไม่สุจริต ฉ้อฉล หลอกลวงต่างชาติ

เอาละ B เห็นคำฟ้องมาแบบนี้ โดนเส้นสิครับ ไม่ยอม ของขึ้น เลยให้ทนายไปฟ้อง A ฐาน “ห มิ่ น ป ร ะ ม า ท”

โดยหลักแล้ว หากเป็นกรณีการพิจารณาคดีหรือกระบวนการในศาลเนี่ย คู่ความจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้นตราบเท่าที่วิแพ่ง วิอาญาจะให้ (แต่เรื่องเบิกความเท็จ ฟ้องเท็จ แจ้งเท็จมีผลนะ)

กฎหมายหมิ่นประมาทไม่มีผลในชั้นศาลไม่ว่าจะเบิกความ หรือ เขียนในคำฟ้อง คำให้การ จะเขียนด่ากันใส่กันก็ตามสบาย ตามมาตรา 331 อยู่แล้ว

ซึ่งเรื่องพวกนี้ “ทนาย“ ไม่รู้ ไม่ได้ครับ ฎีกาก็มี ตัวบทก็ตรงๆ ให้เด็กมัธยมอ่านยังว่าไม่ผิด

2. แน่นอนครับ คดี B ฟ้อง A ฐานหมิ่นประมาท ก็ยกสิครับ เหลือเหี้ยอะไรอะ

และการที่ทนายฟ้องมาในข้อกฎหมายที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่เข้า แปลว่าอะไรรู้ไหมครับ ? แปลว่ามึงไม่กะชนะ มึงกะปิดปากเขานั่นแหละ แล้วยิ่งเป็นการโยนคุกให้คนอื่น ก็ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

จึงเป็นที่มาของ ”ฎีกา“ นี้ครับ โดย A ก็ฟ้องทนายอีกฝ่ายกลับนั่นแหละครับ แต่เป็นคดีแพ่งฐานใช้สิทธิไม่สุจริต โดยศาลฎีกาก็ลงโดยให้เหตุผลว่า

“มึงเป็นทนาย ไม่รู้เรื่องนี้ไม่ได้ไอสัส“

ดังนั้นจากนิทานที่เล่าๆมาเนี่ย กล่าวโดยสรุปคือ

หากฟ้องหมิ่น หรือ คดีอื่นๆแบบทุเรศเกินไป ดูยังไงก็ไม่เข้า เด็กมัธยมยังว่าไม่เข้า ทนายโดนตอกได้ครับ

แต่หากคดีหมิ่นนั้นๆ ดูทรงแล้วมันก้ำกึ่ง ต้องหวังพึ่งหรือดูที่การนำสืบของโจทก์อีกทีหนึ่ง แม้สืบแล้วยกอันนี้ทนายอาจรอดได้ครับ

12/12/2024

Fun fact : โกงเจ้าหนี้ แค่มีโนติสมาแล้วคิดจะย้ายทรัพย์ก็อาจจะโดนแล้วครับ ไม่ต้องถึงขั้นมีหมายมาหรอก

11/12/2024

หมอความนับเป็นแพทย์ไหม 😅

จากใจคนที่เป็นทนาย แค่หน้ากรงก็ แค่ห้องขังใต้ถุนศาลก็รู้สึกหดหู่แล้วจำได้มีอยู่วันนึง ไปศาลอาญารัชดา มีแม่คนนึงเกาะลูกกร...
10/12/2024

จากใจคนที่เป็นทนาย แค่หน้ากรงก็ แค่ห้องขังใต้ถุนศาลก็รู้สึกหดหู่แล้ว

จำได้มีอยู่วันนึง ไปศาลอาญารัชดา มีแม่คนนึงเกาะลูกกรงคุยกับลูกที่อยู่ในนั้น หน้าก็แทบไม่ได้เห็น แต่โคตรหดหู่ เห็นแล้วรู้สึกว่า ตอนทำผิดอะเพื่อนเยอะ ห้าว แต่พออยู่ในกรงก็มีแต่ทนาย (ที่พ่อแม่อาจจะนำเงินทั้งชีวิตมาจ้าง) กับพ่อแม่ที่มาเยี่ยม

พี่เป้เเกพูดถูกนะ

หนังดูเพื่อความบันเทิงได้ เเต่ไม่ต้องทําตาม

09/12/2024

ถ้าจะบอกว่า “สนามจิ๋ว” คือสนามเส้นสายผมว่าก็ฟังดูไม่แฟร์กับองค์กรศาลสักเท่าไหร่ (จริงๆผมก็ไม่ได้สนับสนุนระบบสนามจิ๋วเท่าไหร่เหมือนกัน) เพราะก็ต้องสอบให้ผ่านอยู่ดี

แต่เอาเป็นว่า สนามจิ๋วมันเอื้อต่อคนมีตังค์ไปเรียน ตปท. มากกว่า แบบมี 2 ใบ เก็บคดีนิดหน่อยสอบได้เลย

อะ แน่นอนคนมีตังค์ระดับนั้นเขาทำอาชีพอะไรกันล่ะ ??

เพียงแต่ดีกรีความยากข้อสอบมันมีความยากแบบ เห็นได้ชัดว่ามันยากน้อยกว่า

ในการสืบพยานหลายๆคดี แน่นอนแหละ ว่าเราก็ต้องเจอกับพยานหลายแบบ พยานกวนตีน พยานที่ไม่ค่อยเข้าใจคำถาม (ส่วนใหญ่เหตุมาจากทนา...
06/12/2024

ในการสืบพยานหลายๆคดี แน่นอนแหละ ว่าเราก็ต้องเจอกับพยานหลายแบบ พยานกวนตีน พยานที่ไม่ค่อยเข้าใจคำถาม (ส่วนใหญ่เหตุมาจากทนายที่ถามไม่เข้าใจ) หรือ พยานฝั่งตนเองตอบถามค้านผิดแผน สิ่งที่เห็นบ่อยคืออาการหงุดหงิดของทนาย

และส่วนมากก็มักจะไปเกรี้ยวกราดใส่พยาน พยานฝั่งอื่นพอเข้าใจ แต่พยานฝั่งตัวเองนี่….

หลายๆคนเน้น acting ว่าแบบ เห้ย ถามพยานต้องแบบอินยังกะตำรวจสอบผู้ร้าย เพื่อโชว์พาวเวอร์ให้ลูกความเห็น

แต่อันที่จริงผมมองว่าไม่เห็นจำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นเลย…. ถ้าให้ว่ากันตามตรงมันดูตลก และ cringe มาก เหมือนพวกทนายเบียวๆน่ะครับ

หนักเข้า เจอถามค้านแล้วถามติงแบบหงุดหงิดเพราะพยานดันตอบล้มคำฟ้องตัวเองไป เคยเจอแบบกระแทกกระดาษที่กระจก อันนี้ยิ่งตลก และ ยิ่งดูไม่ค่อยมืออาชีพเท่าไหร่

ถ้าว่ากันตามหลักของผม การหัวร้อนในศาลไม่มีผลดีสักอย่าง (หรือมี ? ใครเคยหัวร้อนแล้วได้ประโยชน์บอกหน่อย เผื่อเป็นทริคทางจิตวิทยา) เพราะว่า การถามพยานฝ่ายตรงข้าม เราไม่ใช่ตัวความ แม้ว่าจะฟ้องได้งี่เง่าแค่ไหน แต่เราเป็นทนาย ทำตามหน้าที่ ว่าด้วยเหตุผล ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปดุดันใส่เขา

ลองนึกง่ายๆครับ เวลาที่มีคนพูดกับเราแล้วมันเป็นสิ่งที่ เอาง่ายๆคือ เตือนหรือสอนเรา ระหว่างการพูดหงุดหงิดใส่ กับ พูดดีๆใจเย็นๆ

อันไหนน่าฟังกว่ากัน ? และอันไหนมีประสิทธิภาพการสื่อสารมากกว่ากัน

ถ้าสำหรับผม การเตือนดีๆ พูดจาดีๆ น่าฟังและน่าปฏิบัติตามกว่า ในขณะที่ถ้าถูกเกรี้ยวกราดใส่ จิตใต้สำนึกจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายคือ “ศัตรู” ของเรา และจะเปิดการ์ดใส่ หรือ ตอบโต้ทันที รวมถึงไม่ปฏิบัติตาม

การถามพยานก็เหมือนกันครับ หากไปออกลูกนักเลงใส่ ใครเขาจะอยากตอบ อยากให้ความร่วมมือกับเรา ถูกไหมครับ ? ยิ่งเจอพยานจุดเดือดต่ำก็… ไปกันใหญ่…. กลายเป็นตีกับพยานอีก (จุดนี้ยิ่งดูตลก ดูบันเทิงมากครับ)

และยิ่งเราเป็นสถานะทนายความ คนทั่วไป ศาล ย่อมคาดหวังให้เป็นคนสงบนิ่ง เยือกเย็น มีเหตุผลอยู่แล้ว (นอกศาลบ้าบอแค่ไหน ปากร้าย ปากแซ่บ ร่างกายรักการปะทะแค่ไหน อยู่ในศาลต้องเข้าโหมดนี้ให้ได้)

พอเราหัวร้อนปุ๊ป ก็ไม่มีใครมองเราดีหรอกครับ และอีกฝั่งเห็นจะยิ่งยิ้ม หึหึ เลย “อ้าว กูจี้จุดอ่อนนี่หว่า”

ที่เขียนนี่ก็เตือนตัวเองด้วย เพราะผมเองก็หัวร้อนง่ายโดยพื้นฐาน (แต่ก็ไม่เคยหัวร้อนในศาล) และ แม้ว่าผมจะเขียนรุนแรงไปบ้าง ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ แต่ผมก็คิดว่ามันก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้องในวงการและอยากให้ค่านิยมการคุกคามพยานด้วยน้ำเสียง ท่าทางควรหมดไปครับ

< ชี้สองสถานและการกำหนดประเด็นข้อพิพาท (ฉบับมักเกิ้ล) > ในคดีแพ่งนั้นไม่ว่าจะโจทก์ หรือ จำเลยก็ตาม นัดแรกที่เราจะต้องไปศ...
02/12/2024

< ชี้สองสถานและการกำหนดประเด็นข้อพิพาท (ฉบับมักเกิ้ล) >

ในคดีแพ่งนั้นไม่ว่าจะโจทก์ หรือ จำเลยก็ตาม นัดแรกที่เราจะต้องไปศาล คือนัด “ชี้สองสถาน” ซึ่งนัดนี้มันคืออะไรในทางกฎหมาย เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังฉบับมักเกิ้ลที่ไม่ได้เรียนกฎหมายนะครับ

ก่อนอื่นเลย จะต้องขอท้าวความกันก่อนว่า ใน “คดี” คดีหนึ่ง อย่างที่เราทราบกันว่ามันคือการที่คนเรามีปัญหากัน หรือ ทะเลาะกันนั่นแหละ แล้วเราเอาเรื่องที่เรามีปัญหากัน ทะเลาะกัน มาขึ้นสู่ศาลเพื่อให้ศาลในฐานะผู้รู้กฎหมายมาวินิจฉัย

โดยศาลในที่นี้จะทำหน้าที่เป็น “คนกลาง” คอยตัดสินถูกผิด ซึ่งเขาเองก็จะมีระบบการคิดของเขาในการวินิจฉัย

โดยสเต็ปการวินิจฉัยคดีเบื้องต้นนั้น ก็จะดูจาก “ข้อเท็จจริง” ว่าในคดีนี้เกิดอะไรขึ้นจริงๆบ้าง ซึ่งศาลจะดูจากพยานและหลักฐานที่ต่างฝ่ายต่างนำสืบ เราเรียกง่ายๆว่า “ปัญหาข้อเท็จจริง”

โดยปกติแล้ว หากทั้งสองฝ่ายมีข้อเท็จจริงที่เข้าใจตรงกัน ก็ไม่มีอะไรต้องสืบ ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ ศาลก็จะวินิจฉัยไปตามกฎหมาย แต่ปัญหาคือส่วนใหญ่คดีก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

เพราะแต่ละฝ่ายนั้น ก็มักจะพูดสิ่งที่ตนเองได้ประโยชน์ หรือ เข้าข้างตัวเองเสมอๆ เมื่อข้อเท็จจริงนั้นมันไม่ตรงกัน ก็จะเกิดปัญหาว่า “ใครล่ะพูดจริง” หรือ “ใครกันแน่ที่น่าเชื่อถือมากกว่า” ก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ประเด็นข้อพิพาทขึ้นมา”

นึกภาพง่ายๆครับ สมมติเราเป็นคนกลาง เวลาเพื่อนทะเลาะกัน หรือ มีปัญหากัน หากเพื่อนสองคนพูดเหมือนกัน เราก็ชี้ได้เลยว่า คนไหนผิด คนไหนถูก

แต่หากสองคนพูดไม่ตรงกัน เข้าข้างตนเองมันทั้งคู่ เราก็จะเกิดปัญหาละ ว่ากูควรเข้าข้างใครดีวะ ? เพราะจะต้องมีคนใดคนหนึ่งที่โกหก ซึ่งการที่เราจะรู้ได้ว่าใครพูดจริงเท็จ ก็ต้องใช้พยานหลักฐานในการพิสูจน์ว่าคำพูดใครดูน่าจะมีน้ำหนักมากกว่ากันนั่นเอง

เมื่อเราได้ข้อเท็จจริงที่มีน้ำหนักมากพอ ฟังได้ว่า น่าจะเกิดสตอรี่ตามนี้จริงๆละ ศาลก็จะสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อจะนำไปดูว่า “ไอสตอรี่ที่เกิดขึ้น ใครเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูก” อันนั้นแหละ คือ “ปัญหาข้อกฎหมาย”

แล้วปัญหาสองอย่างเกี่ยวอะไรกับการนัดชี้สองสถานล่ะ ?

ก็เพราะการนัดชี้สองสถาน ศาลจะเรียกคู่ความมาเพื่อคุยเรื่องนี้นั่นแหละ

ในนัดดังกล่าวนี้ ศาลจะนำคำฟ้อง และ คำให้การมาดูเพื่อวิเคราะห์ว่า มีข้อเท็จจริงใดบ้าง ที่สองฝ่ายรับ ข้อเท็จจริงใดบ้างที่สองฝ่ายไม่รับ

หากรับ ก็จบไป แต่หากไม่รับก็ต้องสืบพยานในประเด็นที่สองฝ่ายไม่รับกัน ผมยกตัวอย่างง่ายๆเช่น

โจทก์ฟ้องว่า “จำเลยยืมเงินแล้วไม่คืน”
ส่วนจำเลยสู้ว่า “ยืมจริง แต่จ่ายแล้ว”

สังเกตอะไรไหมครับ ? ประเด็นที่ว่า ยืมไม่ยืมเนี่ย มันตรงกันแล้ว จำเลยก็รับว่า เออ กูยืมจริง

ก็ไม่มีอะไรต้องคุย แต่สิ่งที่ต้องคุยคือ
“สรุปจำเลยจ่ายเงินโจทก์หรือยัง ?” ซึ่งกรณีนี้

จำเลยก็ต้องกลับไปทำการบ้านในการนำสืบว่า สรุปจำเลยจ่ายหรือยัง (ภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลย เนื่องจากจำเลยอ้างข้อเท็จจริงใหม่)

นัดนี้ทนายมีหน้าที่อะไร ?

1.ชี้แจงแนวทางการนำสืบว่า เราจะสืบพยานบุคคลทั้งหมดกี่ปาก (ทั้งนี้พยานบุคคลอาจเพิ่มได้ แต่ควรจะไปเพิ่มก่อนสืบ)

2.ดูว่า ศาล กำหนดประเด็นอะไรในคดี ซึ่งทนายก็ต้องมอนิเตอร์ให้ดี หากมีอะไรผิดแผกไปเช่น โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องยืมเงินแล้วไม่คืน จำเลยสู้ว่ายืมจริงแต่คืนแล้ว

และศาลเสือกกำหนดประเด็นว่า “มีการกู้จริงไหม“ อันนี้ฝ่ายโจทก์ก็ต้องค้านว่า จำเลยรับประเด็นนี้แล้ว

หรือหากฝั่งจำเลย ศาลไม่กำหนดประเด็นว่า ”มีการคืนเงินให้โจทก์จริงหรือไม่ ?“ จำเลยก็ต้องค้าน เพราะถ้าไม่ค้านแล้วปล่อยจอย จำเลยสืบๆไป = นอกประเด็น และศาลจะลงให้ไม่ได้

3.นัดนี้ คู่ความสองฝ่าย (ทนาย) มักเผชิญหน้ากัน ทนายแต่ละฝ่ายอาจจะดูทรงหรือโยนหินถามทางว่า สะดวกเจรจาไหม หากสะดวกก็อาจจะเลื่อนไปเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยกันก่อน แต่บางครั้งก็ไม่เจรจา ”กูไม่ยอม ไอสัสส“ ก็นัดสืบไป

Fun fact : อีเว้นท์ชี้สองสถาน มักจะเกิดขึ้นในคดีแพ่งสามัญ (คดี พ.) ซึ่งมีความซีเรียสสูง เป็นคดีแพ่งเต็มรูปแบบ

หากเป็นคดีมโนสาเร่ หรือ คดีผู้บริโภค มักจะไม่มีการชี้สองสถานเพราะกฎหมายมองว่า มันคดีเล็กๆ ยืดหยุ่นกันได้ (นัดแรกของคดีมโนฯ กับคดี ผบ. ผมจะพูดถึงในโพสต์ต่อไปครับ)

Fun fact 2 : หากเป็นคดีอาญา จะไม่มีชี้สองสถานเพราะประเด็นข้อพิพาทในคดีอาญาหลักๆแล้ว มีอย่างเดียวคือ “จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ?”

นัดที่คล้ายๆกับการชี้สองสถาน จะเป็น “นัดสอบคำให้การ” แทน ซึ่งก็คล้ายๆกัน คือ แถลงศาลว่าสืบกี่ปาก ถามจำเลยว่ารับสารภาพหรือจะสู้คดี แล้วจะสู้เรื่องอะไร

แต่หากจำเลยยกข้อยกเว้นมาต่อสู้เช่น ป้องกัน , วิจารณ์โดยสุจริต อันนี้ก็จะงอกภาระการพิสูจน์ของจำเลยเข้ามา

(ขออนุญาตรีเมคมีมเก่าครับ 555555555555)

01/12/2024

ซาวด์เสียงนิดนึง คือเราอยากให้เพจเราสามารถเข้าถึงคนทั่วไปได้ด้วย แต่ก็อยากเขียนเนื้อหาที่มันทนายจ๋าๆเลย ซึ่งที่คิดไว้ก็น่าจะเป็นเรื่องกระบวนพิจารณาในศาล (แต่จะพยายามเขียนให้มักเกิ้ลที่ไม่ได้เป็นทนายเข้าใจได้) คิดว่ายังไงกันครับ 😓

คือเคยมีลูกเพจบางคนบอกเหมือนกันว่า พวกกฎหมายสบัญญัติ (วิแพ่ง วิอาญา) คนเขียนน้อย และ คนทั่วไปสนใจ

คือมันก็ท้าทายตัวเองอย่างหนึ่งด้วย ที่อยากจะเขียนวิแพ่งให้คนธรรมดาที่ไม่ได้เรียนกฎหมาย ไม่ได้เป็นทนายเข้าใจได้

ไม่รู้คนจะเบื่อกันเปล่านะ รบกวนซาวด์เสียงทีฮะ

ข่าวดีครับ cios เปิดแล้วนะครับเหล่าทนาย introvert ทั้งหลาย
28/11/2024

ข่าวดีครับ cios เปิดแล้วนะครับเหล่าทนาย introvert ทั้งหลาย

27/11/2024

ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมองเสือน่ารัก 😓

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ทนายพรี่หมีผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์