Kenzo Kimura We optimise your REACH performance

โพสต์หาย - ยอด Reach ตกเขียน "Vาย" ก็ไม่ช่วยอะไร กับ 6 เรื่องที่เข้าใจ Facebook ผิดผู้ใช้ Facebook หลายรายเกิดความสับสนบ...
19/08/2024

โพสต์หาย - ยอด Reach ตก
เขียน "Vาย" ก็ไม่ช่วยอะไร
กับ 6 เรื่องที่เข้าใจ Facebook ผิด
ผู้ใช้ Facebook หลายรายเกิดความสับสน
บางครั้งโดนลบโพสต์หาย
โดยที่ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด
หรือยอด Reach ในเพจลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ทำความเข้าใจ Facebook ให้มากขึ้นกับ 6 เรื่องนี้
-------------------
1. Facebook ไม่ได้ปิดกั้นการซื้อ-ขายบนแพลตฟอร์ม
ผู้ใช้สามารถใช้คำว่า "ขาย" ได้ตามปกติ
ไม่จำเป็นต้องเลี่ยงใช้คำว่า "Vาย" แทน "ขาย"
โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลบโพสต์
หรือถูกกดยอดการเข้าถึง (Reach)
สิ่งที่ Facebook ให้ความสำคัญคือประเภทของสินค้าที่ขาย
เช่น ครีมหน้าขาว อาวุธ อาหารเสริมที่ไม่ได้รับการรับรอง
หรือสินค้าผิดกฎหมาย อาจถูกระบบลบโพสต์โดยอัตโนมัติ
2. การพิมพ์ข้อความ "อย่าปิดกั้นการมองเห็น"
ไม่มีผลต่อการเพิ่มยอดการเข้าถึง (Reach) ของโพสต์
บางเพจที่ประสบปัญหายอดการเข้าถึงต่ำ
พยายามแก้ปัญหาโดยใช้แฮชแท็ก เช่น
#อย่าปิดกั้นการมองเห็น หรือ #เปิดการมองเห็น
Meta ยืนยันว่าการใช้แฮชแท็กเหล่านี้
ไม่ได้ช่วยเพิ่มยอดการเข้าถึงแต่อย่างใด
3. การโพสต์แบบเขียนบทความ
Facebook กำลังเผชิญปัญหาจากกลุ่ม Scammer
และนักพนันที่ใช้แพลตฟอร์มในทางที่ไม่เหมาะสม
Meta ใช้ระบบ AI เพื่อคัดกรองเนื้อหาที่มีความเสี่ยง
AI มีรายการ "คำต้องห้าม" ที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม
หากโพสต์มีคำเหล่านี้ อาจถูกระบบตรวจจับว่า
เป็นโพสต์ของมิจฉาชีพหรือกลุ่มการพนัน
และอาจถูกลงโทษในข้อหา Fraud and Deception
ผู้ใช้สามารถส่งคำอุทธรณ์ให้ Facebook พิจารณาเป็นรายกรณี
ถ้าการอุทธรณ์ผ่านการพิจารณา บทลงโทษจะถูกยกเลิก
4. Facebook จะตรวจจับและลดยอดการเข้าถึง (Reach) ทันที
ในโพสต์ที่มีลักษณะเชิญชวนให้คนมาติดตามหรือกดไลค์เพจ
ระบบ Facebook เชื่อว่าเนื้อหาที่ดีคือเนื้อหาที่ผู้คนแชร์กันเอง
โดยไม่ต้องมีการเชิญชวน ประโยคหรือคำที่เข้าข่าย
Engagement Bait เช่น "ฝากกดไลค์ กดแชร์" หรือ
"มาคอมเมนต์กันเยอะๆ" จะถูกระบบตรวจจับ
5. Facebook ให้ความสำคัญมากกับการป้องกัน Spam
รวมถึงการพิมพ์ข้อความซ้ำๆ เช่นวิธี Copy-Paste /
การส่งอีโมจิสั้นๆ ซ้ำๆ Facebook มองว่าพฤติกรรมเหล่านี้
เป็นความพยายามสร้างจำนวนการสนทนาที่ไม่เป็นธรรมชาติ
6. การแปะลิงค์ในโพสต์ไม่ได้ส่งผลให้ยอดการเข้าถึง
ลดลงอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด ผู้ใช้สามารถแปะลิงค์ในโพสต์ได้
โดยไม่มีผลกระทบต่อยอดการมองเห็น
อย่างไรก็ตามข้อควรระวังเกี่ยวกับลิงค์ที่แปะคือ
ต้องมั่นใจว่าเป็นลิงค์ที่ถูกต้อง, ไม่นำไปสู่เว็บไซต์ผิดกฎหมาย,
ไม่เกี่ยวข้องกับการพนันมีความเสี่ยงอาจนำไปสู่บทลงโทษจากระบบ
เช่น การให้ Red Flag, การติด Restriction หรือคาดโทษ

>>>>>>>>>>>

'GPT-4o' AI เหมือนมนุษย์ที่เข้าใจทั้งเสียง ภาพ และข้อความ-------------------------------------------------GPT-4o คืออะไร...
18/08/2024

'GPT-4o' AI เหมือนมนุษย์
ที่เข้าใจทั้งเสียง ภาพ และข้อความ
-------------------------------------------------
GPT-4o คืออะไร?
-------------------------------------------------
คือโมเดลภาษาใหม่ที่พัฒนาโดย OpenAI
ที่มีความสามารถในการประมวลผลและตอบสนอง
ต่อข้อมูลทั้งรูปแบบเสียง ภาพ และข้อความแบบเรียลไทม์
ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การโต้ตอบระหว่างมนุษย์
กับคอมพิวเตอร์ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น
ตอบสนองต่ออินพุตเสียงได้ภายในเวลาเพียง 232 มิลลิวินาที
ซึ่งใกล้เคียงกับเวลาตอบสนองของมนุษย์

-------------------------------------------------
ความสามารถอันโดดเด่นของ GPT-4o
-------------------------------------------------
- ตอบสนองต่ออินพุตเสียง
- เข้าใจและแปลภาษา
- เขียนเนื้อหาสร้างสรรค์ในรูปแบบต่างๆ
เช่น บทกวี โค้ด สคริปต์ และบทเพลง
- ตอบคำถามของคุณอย่างมีเหตุผล
แม้ว่าจะเป็นคำถามปลายเปิด ท้าทาย หรือแปลกประหลาด
- เห็น จดจำและเข้าใจวัตถุและฉากในภาพ

-------------------------------------------------
GPT-4o เริ่มเปิดตัวและใช้งานแล้ววันนี้
ใน ChatGPT ฟรีสำหรับทุกคน
-------------------------------------------------
ในส่วนพัฒนาสามารถเข้าถึง GPT-4o
API ในรูปแบบข้อความและการมองเห็นได้แล้ว
GPT-4o เร็วขึ้น 2 เท่า ถูกกว่าครึ่งหนึ่ง
และมีขีดจำกัดอัตราที่สูงกว่า 5 เท่า
เมื่อเทียบกับ GPT-4 Turbo
OpenAI วางแผนที่จะเปิดตัวการสนับสนุน
ความสามารถด้านเสียงและวิดีโอใหม่ของ GPT-4o
ให้กับพันธมิตรกลุ่มเล็กๆ ที่เชื่อถือได้
ใน API ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

>>>>>>>>>>>

AI ในอนาคตอาจใช้ไฟฟ้าสูงกว่าไอซ์แลนด์ทั้งประเทศปัจจุบัน มีผู้ใช้งาน ChatGPT จำนวนมาก ซึ่งจำนวนผู้ใช้งานที่สูง ก็ตามมาด้ว...
17/08/2024

AI ในอนาคตอาจใช้ไฟฟ้าสูงกว่าไอซ์แลนด์ทั้งประเทศ
ปัจจุบัน มีผู้ใช้งาน ChatGPT จำนวนมาก ซึ่งจำนวนผู้ใช้งานที่สูง ก็ตามมาด้วยการใช้งานไฟฟ้าที่สูงตาม
ถึงแม้จะมีการประมาณการจำนวนไฟฟ้าที่ถูกใช้โดย AI แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนและเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และเป็นเพียงภาพรวมของการใช้พลังงานทั้งหมดของ AI เนื่องจากโมเดล Machine Learning สามารถทำงานได้หลากหลาย ทำให้การคำนวนพลังงาน ขึ้นอยู่กับงานที่ทำ
นอกจากนี้ องค์กรอย่าง Meta, Microsoft, และ OpenAI ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีเพียง Judy Priest ซีทีโอหน่วยคลาวด์ของ Microsoft กล่าวในอีเมลกับ The Verge ว่า ขณะนี้บริษัทกำลังลงทุนในการพัฒนาวิธีวัดปริมาณการใช้พลังงานและผลกระทบคาร์บอนของ AI และพยายามหาวิธีทำให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในทั้งการฝึกอบรมและการใช้งาน
ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่สามารถระบุได้คือ ความแตกต่างในการใช้ไฟฟ้าระหว่างการฝึกโมเดลเป็นครั้งแรก และการใช้งานจริงโดยผู้ใช้งาน เนื่องจากการฝึกเทรนใช้พลังงานสูงมาก
และใช้ไฟฟ้ามากกว่าเมื่อเทียบกับดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมๆ

--------------------------------------------
เทียบอัตราการใช้พลังงานของ AI ตามรูปแบบงาน
--------------------------------------------
ตัวอย่างเช่น การสตรีม Netflix หนึ่งชั่วโมง ต้องใช้ไฟฟ้าประมาณ 0.0008 เมกะวัตต์ชั่วโมง
นั่นหมายความว่า การรับชม Netflix 1,625,000 ชั่วโมงจึงจะใช้พลังงานเท่ากับการฝึก GPT-3
อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานอาจมากขึ้น เนื่องจากขนาดของโมเดล AI มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโมเดลที่ใหญ่ขึ้นก็ต้องการพลังงานมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น การจำแนกตัวอย่างที่เป็นลายลักษณ์อักษรใช้พลังงานเพียง 0.002 กิโลวัตต์ชั่วโมง และการสร้างข้อความ 0.047 กิโลวัตต์ชั่วโมง เทียบกับการสตรีม Netflix เพียงเก้าวินาที และ 3.5 นาทีตามลำดับ ส่วนการสร้างภาพด้วยโมเดล AI ใช้พลังงานโดยเฉลี่ย
2.907 กิโลวัตต์ชั่วโมง ต่อการอนุมาน 1,000 ครั้ง เทียบกับการชาร์จสมาร์ทโฟน เฉลี่ยใช้พลังงาน 0.012 กิโลวัตต์ชั่วโมง

--------------------------------------------
พลังงานโดยอุตสาหกรรม AI เพิ่มขึ้นสองเท่าทุก 100 วัน
--------------------------------------------
Alex de Vries นักศึกษาปริญญาเอกจาก VU Amsterdam รวบรวมข้อมูลและคำนวณว่า ภายในปี 2027 อุตสาหกรรม AI อาจใช้พลังงานระหว่าง 85-134 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี หรือ 0.5% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกภายในปี 2570 หรือใกล้เคียงกับความต้องการพลังงานต่อปีของประเทศเนเธอร์แลนด์
รายงานจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศเสนอการประมาณการที่คล้ายกัน โดยกล่าวว่า
การใช้ไฟฟ้าจากดาต้าเซ็นเตอร์จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคตเนื่องจากความต้องการของ AI และคริปโตเคอเรนซี่ จากจำนวนการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์อยู่ที่ประมาณ 460 เทราวัตต์ชั่วโมงในปี 2022 อาจเพิ่มขึ้นเป็นระหว่าง 620-1,050 เทราวัตต์ชั่วโมงในปี 2026 เทียบเท่ากับความต้องการพลังงานของสวีเดนหรือเยอรมนีตามลำดับ
ในขณะที่ World Economic Forum เผยว่า พลังการคำนวนของ AI เพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ 100 วัน ซึ่งความต้องการพลังงานในการคำนวณ อาจเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 10,000 เท่า ทำให้พลังงานที่จำเป็นในการทำงานด้าน AI กำลังเร่งตัวขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีระหว่าง 26-36% ซึ่งหมายความว่าภายในปี 2028 AI อาจใช้พลังงานมากกว่าที่ประเทศไอซ์แลนด์ใช้ทั้งประเทศในปี 2021

--------------------------------------------
ฟังมุมมองการแก้ปัญหาจากนักวิชาการ
--------------------------------------------
บริษัทบางแห่งที่เกี่ยวข้องกับ AI อ้างว่า
เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้
เช่น Microsoft ที่กล่าวว่า AI จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง
ในการพัฒนาโซลูชั่นด้านความยั่งยืน และเน้นย้ำว่า
Microsoft กำลังทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน
ของการเป็นคาร์บอนเป็นลบ น้ำเชิงบวก และขยะเป็นศูนย์
ภายในปี 2030
โดย Luccioni กล่าวว่า เขาอยากเห็นบริษัทต่างๆ
แนะนำการจัดอันดับ Energy Star สำหรับโมเดล AI
ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
ในลักษณะเดียวกับที่ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า
ส่วน de Vries อยากให้สังคมคำนึงถึงความจำเป็นในการใช้งาน AI
งานบางประเภทอาจไม่ต้องใช้ AI หรือไม่?
เนื่องจากเมื่อพิจารณาถึงข้อจำกัดทั้งหมดของ AI แล้ว
AI อาจไม่ได้เหมาะหรือสามารถแก้ปัญหาได้ในหลายๆ ครั้ง
และเราจะเสียเวลาและทรัพยากรไปมากในการหาวิธีที่ยากลำบาก

--------------------------------------------
การนำ AI และ เทคโนโลยีควอนตัมมาใช้ในระยะยาว
--------------------------------------------
World Economic Forum กล่าวว่า หนึ่งในการแก้ปัญหานี้
ควรอยู่ที่การควบคุมความสามารถของ AI
เพื่อส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยการควบคุม AI อย่างมีกลยุทธ์
เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์พลังงานหมุนเวียน
และช่วยในการสร้างโลกที่ยั่งยืนมากขึ้นสำหรับคนรุ่นต่อไป
เพราะ AI ที่ใช้อย่างถูกต้อง
จะสามารถเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบรรลุเป้าหมาย
การเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนสามเท่า
และประสิทธิภาพการใช้พลังงานสองเท่าภายในสิ้นทศวรรษ
ตามการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (COP28) เมื่อปีที่แล้ว
ส่วนในระยะยาว การส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่าง AI
และเทคโนโลยีควอนตัมที่กำลังเติบโต
เป็นกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อน AI ไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ตรงกันข้ามกับการประมวลผลแบบเดิมที่ใช้พลังงานเพิ่มขึ้น
ตามความต้องการในการคำนวณที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เทคโนโลยีควอนตัมยังมีศักยภาพ
ในการเปลี่ยนแปลง AI ด้วยการทำให้โมเดลมีขนาดกะทัดรัดมากขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ และปรับปรุงฟังก์ชันการทำงานโดยรวม
ทั้งหมดนี้ปราศจากการปล่อยพลังงานจำนวนมาก
จนกลายเป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรม
การตระหนักถึงศักยภาพนี้จำเป็นต้องมีความพยายามร่วมกัน
ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนจากรัฐบาล การลงทุนในอุตสาหกรรม
การวิจัยทางวิชาการ และการมีส่วนร่วมของสาธารณะ
ด้วยการรวมองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกัน
จึงเป็นไปได้ที่จะจินตนาการและสร้างอนาคตที่ความก้าวหน้าใน AI
ดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับการรักษาสุขภาพของโลก

>>>>>>>>>>>

Google เพิ่มฟีเจอร์ 'AI Overviews' ตัวช่วยค้นหาคำตอบอย่างรวดเร็วในงาน Google I/O 2024 ได้มีการเผยถึง ความสามารถของ AI ที...
16/08/2024

Google เพิ่มฟีเจอร์ 'AI Overviews'
ตัวช่วยค้นหาคำตอบอย่างรวดเร็ว
ในงาน Google I/O 2024 ได้มีการเผยถึง ความสามารถของ AI ที่ถูกนำมาใช้งานบน Google Search ทั้ง AI Overviews ทำให้ค้นหาคำตอบอย่างรวดเร็วและตรงใจมากขึ้น, ช่วยวางแผนล่วงหน้าหรือค้นหาวัตถุจากวิดีโอได้
ผู้ใช้งานสามารถยิงคำถามที่สนใจลงไปใน Google Searchไม่ว่าคำถามจะซับซ้อนแค่ไหนก็ตาม AI ก็จะค้นหาและรวบรวมคำตอบและลิสต์มาให้เลือก
ฟีเจอร์นี้กำลังจะเปิดให้ใช้งานในอเมริกาก่อน
ส่วนประเทศอื่นจะตามมาเร็วๆ นี้
คาดว่าจะได้ใช้งานกันแบบครบ ๆ ภายในสิ้นปีนี้

--------------------------------------------------
AI Overviews สรุปคำตอบให้อ่านง่ายขึ้น
--------------------------------------------------
สามารถปรับแต่งรูปแบบข้อมูลที่ปรากฏได้ตามใจชอบ
เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าใจข้อมูลมากขึ้น
สามารถปรับให้เป็นข้อความที่อ่านง่ายขึ้นหรือสรุปเป็นหัวข้อ

--------------------------------------------------
Google Search ตอบคำถามที่ซับซ้อนได้
--------------------------------------------------
Google ใช้โมเดล Gemini ที่ปรับแต่งเอง
ทำให้มีความสามารถให้เหตุผลแบบเป็นหลายๆ ขั้นตอนได้ไม่ต้องแยกค้นหาทีละคำถามแบบเดิม เตรียมเปิดให้ใช้งานใน Search Lads เร็วๆ นี้สำหรับการป้อนคำถามเป็นภาษาอังกฤษ ใช้ได้ในสหรัฐอเมริกา

--------------------------------------------------
ฟีเจอร์ Plan ahead ช่วยวางแผนล่วงหน้า
--------------------------------------------------
สามารถใช้ Google Search ในการช่วยวางแผนล่วงหน้า
ได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกิน หรือทริปท่องเที่ยววันหยุด ฟีเจอร์นี้เตรียมจะปล่อยให้ใช้งานเป็นภาษาอังกฤษในประเทศอเมริกาในช่วงปลายปีนี้

--------------------------------------------------
AI-organized search จัดเรียงข้อมูล
--------------------------------------------------
หากเราต้องการแรงบันดาลใจหรือไอเดียใหม่ๆ
Google AI ช่วยได้ด้วย AI-organized Results Page
ที่จะจัดระเบียบผลค้นหาต่างๆ ให้ โดยจะใช้ AI มาจัดหมวดหมู่แบบใหม่ตามเนื้อหาในแต่ละประเภท ทำให้ง่ายต่อการสำรวจข้อมูล

--------------------------------------------------
ค้นหาวัตถุด้วยวิดีโอ
--------------------------------------------------
Google Lens ได้อัปเกรดความสามารถใหม่
สามารถค้นหาวัตถุด้วยภาพเคลื่อนไหวได้
ช่วยประหยัดเวลาในการค้นหาไปได้เยอะขึ้น

>>>>>>>>>>>

คอนเทนต์ปัง! ด้วย 8 ตัวชี้วัด KPI ของ Content Marketing 1. Pageview / Reachจำนวนการเข้าชมหน้าบทความหรือบล็อก และการเข้าถ...
15/08/2024

คอนเทนต์ปัง! ด้วย 8 ตัวชี้วัด KPI ของ Content Marketing
1. Pageview / Reach
จำนวนการเข้าชมหน้าบทความหรือบล็อก
และการเข้าถึงคอนเทนต์ของเรา สองเกณฑ์นี้
เป็นเกณฑ์ที่เบสิกที่สุดวัดในการวัด Brand Awareness
ว่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นแค่ไหน หากเริ่มทำ Content Marketing ไปแล้ว แล้วจำนวนการเข้าชมเพิ่มขึ้นก็แสดงว่าคุณถูกมองเห็นมากขึ้น มีคนรับรู้การมีอยู่ของแบรนด์มากยิ่งขึ้น
2. Social Media share & Engagement
หากคุณมีจำนวนคนกดลิงก์จากโพสต์ของคุณ
การแสดงความคิดเห็น หรือการแชร์ต่อที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเป็นแบบออแกนิก นั่นก็แสดงว่า
คุณกำลังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพอีกด้วย เพราะสาเหตุที่คนจะกดแชร์หรือคอมเมนต์ได้ พวกเขาจะต้องชอบคอนเทนต์ของคุณก่อน
3. Follower & Subscriber
จำนวนผู้ติดตามหรือ Subscribe เป็นอีกเกณฑ์
ที่ช่วยวัด Brand Awareness ที่บ่งบอกว่าคอนเทนต์ของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้
4. Returning visitors
คือผู้ชมที่กลับมายังเว็บไซต์ของเราอีก ซึ่งถ้าการทำ Content Marketing ของเราให้ประโยชน์ มีความน่าเชื่อถือ และดึงดูดความสนใจได้มากพอ คนกลุ่มนี้จะอยากกลับมาเรียนรู้แบรนด์ของคุณเพิ่มที่เว็บไซต์ ทำให้ค่า Returning Visitors เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ถ้าพวกเขากลับมาอีก มักจะไปยังหน้าราคาสินค้า หน้ารีวิวจากลูกค้า หน้า About Us หรือหน้าบล็อก
5. Average Time on Site / Average Engagement Time
เป็นเวลาเฉลี่ยที่ใช้บนหน้าเว็บไซต์ของเรา ยิ่งผู้เยี่ยมชมอยู่ในหน้าเว็บไซต์ของเรานานๆ อาจบ่งบอกได้ว่าพวกเขาสนใจคอนเทนต์ และมีโอกาสที่จะมีส่วนร่วมกับหน้านั้นๆ มากยิ่งขึ้น หรืออาจจะไปยังหน้าอื่นๆ บนเว็บไซต์มากขึ้น
6. Avg. Position
อันดับของหน้า Landing Page จากคำค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด
เมื่อเราค้นหา แล้วคอนเทนต์ของเราอยู่ในลำดับที่เท่าไร
สามารถดูได้ที่ Google Search Console ได้เลย
ซึ่งตัวเลขนี้จะมีความแปรผันไปตามกาลเวลา
7. Click Through Rate (CTR)
ถ้าคุณอยากสร้างโอกาสทางการขายให้สูงขึ้น
นอกจากการทำคอนเทนต์ให้ดีแล้ว อย่าลืมใส่ปุ่ม CTA (Call to Action) ที่บอกชัดเจนว่าให้ทำอะไร หรือจะได้รับอะไร ลงในคอนเทนต์ให้เหมาะสม เพื่อกระตุ้นการคลิก
เพิ่มโอกาสทางการขายให้มากขึ้น
8. Conversion
ค่านี้จะบอกคุณได้ว่าคอนเทนต์ไหนที่ทำให้เกิด Conversion หรือทำให้เกิดการซื้อได้มากที่สุด โดยสามารถติดตามได้ด้วยการใช้ลิงก์ UTM ที่สร้างขึ้นมาสำหรับแต่ละคอนเทนต์ จากนั้นรอเก็บผลลัพธ์และปรับปรุงคอนเทนต์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

>>>>>>>>>>>

Tiktok เปิดตัวช่วยใหม่ 'Ai Avatar' พากษ์เสียงได้ 10 ภาษาฟีเจอร์ใหม่ที่จะมาช่วยให้องค์กรและครีเอเตอร์ได้ขยายฐานผู้ชมทั่วโ...
14/08/2024

Tiktok เปิดตัวช่วยใหม่ 'Ai Avatar' พากษ์เสียงได้ 10 ภาษา
ฟีเจอร์ใหม่ที่จะมาช่วยให้องค์กรและครีเอเตอร์
ได้ขยายฐานผู้ชมทั่วโลกโดยใช้ Avatar
ที่ปรับแต่งได้และสามารถพากย์เสียงได้หลายภาษา
ต่อยอดจากชุดเครื่องมือโฆษณา Symphony generative AI
เครื่องมือใหม่นี้มีจุดประสงค์เพื่อที่จะทำลายกำแพงภาษา
ในการตลาดและอนุญาตให้แบรนด์ต่างๆ
เชื่อมต่อกับผู้คนแบบใส่ความเป็นคนเพิ่มเติมเข้าไปด้วย

-----------------------------------------------------

เครื่องมือ AI ใหม่ 2 ตัว: Symphony Digital Avatars
และ Symphony AI Dubbing
Symphony Digital Avatars เป็นอวตาร์ดิจิทัล
ที่ปรับแต่งได้ มีทั้งแบบสำเร็จรูปและแบบกำหนดเอง
แบบสำเร็จรูป : อิงจากนักแสดงที่หลากหลายเชื้อชาติและภาษา
แบบกำหนดเอง : สร้างขึ้นเพื่อให้เหมือนกับครีเอเตอร์
หรือบุคคลสำคัญของแบรนด์ พูดได้หลายภาษา
Symphony AI Dubbing เป็นเครื่องมือแปลภาษา
ช่วยให้ผู้สร้างสามารถพากย์เสียงวิดีโอเป็น 10 ภาษา
วิดีโอที่ใช้ AI สร้างอวตาร์จะต้องมีป้ายกำกับว่า “สร้างด้วย AI”
TikTok ยังไม่ได้ประกาศราคาสำหรับเครื่องมือเหล่านี้

-----------------------------------------------------

การรวมสำเนียงที่หลากหลายไว้ในที่นี้
แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้สามารถกำหนดให้อวตาร์
ใช้ภาษาอังกฤษแบบ บริติช หรือ อเมริกัน
หรือระบุสำเนียงตามภูมิภาคที่คล้ายคลึงกันได้
วิดีโอสาธิตที่ TikTok แสดงให้เห็นอวตาร์ดิจิทัลแบบกำหนดเอง
อิงตาม Adrienne Lahens หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์
และการดำเนินงานด้านเนื้อหาประจำโลกของ TikTok
อาจดูแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่ก็ดูเป็นธรรมชาติพอ
ที่จะน่าเชื่อถือ หากเราไม่ได้เพ่งไปที่การเคลื่อนไหว
หรือการแสดงออกที่มากเกินไป
อย่างไรก็ตาม ครีเอเตอร์ผู้สร้างงานจะต้องมั่นใจว่า
เครื่องมือพากย์เสียงใหม่ของ TikTok
จะแม่นยำพอที่จะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการแปลความ
และผู้ใช้ TikTok ที่เบื่อหน่ายโฆษณาบนแพลตฟอร์ม
อาจจะรู้สึกหงุดหงิดไม่แพ้กันกับการที่อวตาร์ดิจิทัล
นำเสนอขายสินค้า คล้ายแพลตฟอร์มขายของอีกเจ้านึง

>>>>>>>>>>>

แจก 9 ทริก เอาชนะ TikTok Algorithm 1. Hook คนดูให้อยู่หมัดภายใน 3 วินาทีในกรณีที่เป็นคลิปสั้นความยาวไม่เกิน 1 นาที ส่วนว...
13/08/2024

แจก 9 ทริก เอาชนะ TikTok Algorithm
1. Hook คนดูให้อยู่หมัดภายใน 3 วินาที
ในกรณีที่เป็นคลิปสั้นความยาวไม่เกิน 1 นาที
ส่วนวิดีโอที่มีความยาวเกิน 1 นาที
อาจไม่จำเป็นต้องฮุกคนดูภายใน 3 วินาทีแรกเสมอไป
สำหรับ TikTok เองก็อยู่ในช่วงโฟกัสวิดีโอที่มีความยาวกว่า 1 นาที และพร้อมดันวิดีโอในช่วง 15 วินาทีแรก
------------------------------------

2. สร้างคอนเทนต์ให้ต่างผ่านความ Niche
อาจเพิ่มโอกาสให้อัลกอริทึมเจอคลิป และส่งคอนเทนต์ของเราไปยังหน้าฟีดมากขึ้น จนกลายเป็นคอนเทนต์ Niche ที่มีฐานแฟนได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้
จำเป็นต้องเลือกใช้องค์ประกอบวิดีโอให้เหมาะสมกับแพลตฟอร์ม และสไตล์ของกลุ่มเป้าหมายทั้งชื่อท็อปปิก แฮชแท็ก หรือแผ่นเสียง
------------------------------------

3. ใช้ Keyword Research ต่อยอดคอนเทนต์
ผู้ใช้ TikTok ปัจจุบันโดยเฉพาะผู้ใช้ Gen Z
ใช้แพลตฟอร์มเป็นเครื่องมือในการค้นหาแทน Google ไปแล้ว ซึ่งนี่จะเป็นแหล่งไอเดียชั้นดีสำหรับครีเอเตอร์
ในการนำคีย์เวิร์ดที่คนค้นหามาต่อยอดในการทำคอนเทนต์ เหมือนกับ SEO บนแพลตฟอร์มอื่นๆ
------------------------------------

4. ปรับรูปแบบคอนเทนต์ให้เข้ากับแพลตฟอร์ม
ควรปรับรูปแบบคอนเทนต์ให้เข้ากับ TikTok
โดยการปรับวิดีโอให้อยู่ในอัตราส่วน 9:16 แบบเต็มจอ
และจัดภาพ รวมถึงแคปชันในคลิปให้อยู่ในจุด Safe Zone เพื่อไม่ให้รบกวนประสบการณ์การรับชมของคนดู
------------------------------------

5. โพสต์คอนเทนต์ให้ถูกเวลา เน้นความสม่ำเสมอ
หมายถึง เวลาที่กลุ่มเป้าหมายของเรามักเข้ามาดูคลิปวิดีโอ
เนื่องจากอัลกอริทึมไม่ได้สนใจว่าเราจะโพสต์วิดีโอเวลาไหนแต่จะดูที่ยอด Engagement ต่อคลิปวิดีโอนั้นๆ มากกว่า
รวมถึงควรโพสต์อย่างสม่ำเสมอในแบบที่ตัวเองทำ
เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้ว่าเราจะโพสต์คอนเทนต์ตอนไหนบ้าง และจะได้เป็นโอกาสในการเพิ่มยอด Engagement อีกด้วย
------------------------------------

6. ติด Hashtag ให้ Algorithm ฟีดคอนเทนต์
จะช่วยเพิ่มโอกาสให้อัลกอริทึมช่วยดันคอนเทนต์
ไปหน้า For You Page มากขึ้น เพราะผู้ใช้ TikTok
ส่วนมากค้นหาคอนเทนต์ผ่านแฮชแท็ก
เมื่อมีคนค้นหาแฮชแท็กที่เราติดบนคลิป
ก็อาจทำให้คลิปเราไปแสดงบนหน้าค้นหานั้นได้
และยิ่งคอนเทนต์มีคนดูเยอะเท่าไหร่
ก็ยิ่งทำให้อัลกอริทึมส่งคอนเทนต์ให้คนเห็นเพิ่มมากเท่านั้น แต่อย่าติดแฮชแท็กที่ไม่เกี่ยวข้อง และแฮชแท็กเยอะจนเกินไป เพราะนั่นจะทำให้อัลกอริทึมคิดว่าเราเป็นสแปม!
------------------------------------

7. ใช้เพลงฮิตช่วยพาคลิปให้ติดเทรนด์
หากเสียงที่ใข้เป็นที่นิยมอยู่แล้ว ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้คนดูที่เข้ามาในแผ่นเสียงดังกล่าวเจอคลิปของเราได้ และส่งผลให้อัลกอริทึมยิ่งดันคอนเทนต์ขึ้นหน้า For You Page มากขึ้นตามไปด้วยครีเอเตอร์สามารถเข้าไปดูแผ่นเสียง หรือเพลงไหนที่กำลังเป็นที่นิยมได้ใน TikTok Creative Center
------------------------------------

8. ใส่ Caption เพิ่มทางเลือกให้คนดูแบบ Sound Off
มีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยที่รับชมวิดีโอแบบไม่มีเสียง
อาจเพราะด้วยสภาพแวดล้อม เช่น อยู่ในที่สาธารณะแบบไม่มีหูฟัง จึงทำให้แคปชันกลายเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้คนดูเข้าใจคอนเทนต์แม้ไม่ได้เปิดเสียง
TikTok มีเครื่องมือช่วยสร้างแคปชันอัตโนมัติให้ใช้ได้ด้วย
------------------------------------

9. ตามเทรนด์ให้ทัน เพื่อดันคอนเทนต์สู่ Viral
การทำคอนเทนต์ตามเทรนด์ควรเพิ่มความครีเอทีฟ
และใส่ความแตกต่างเข้าไปด้วย เพื่อให้คอนเทนต์ที่เราทำมีความโดดเด่น และสามารถสะกดคนดูได้ รับรองว่าพอทำคอนเทนต์ในกระแส จะช่วยให้อัลกอริทึมดันคอนเทนต์มากขึ้นไม่มากก็น้อยแน่นอน

>>>>>>>>>>>

Meta แชร์ทริค 'LIVE สด' อย่างไรให้คนสนใจMeta แชร์ข้อมูลพบว่าการ Live เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเข้าใกล้ฐานผู้ติดตามมา...
13/08/2024

Meta แชร์ทริค 'LIVE สด' อย่างไรให้คนสนใจ
Meta แชร์ข้อมูลพบว่า
การ Live เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ
ในการเข้าใกล้ฐานผู้ติดตามมากขึ้น
และช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มแฟนๆ ได้ยิ่งขึ้น
ซึ่งเคล็ดลับนี้ได้ถูกแบ่งปันโดย Top Creators ชื่อดัง!
1️. Schedule
กำหนดเวลา Live ล่วงหน้า เพื่อช่วยให้เข้าถึงได้มากที่สุด
2️. Topics
กำหนดหัวข้อที่เหมาะสมกับผู้ติดตามหลัก
และในแต่ละ Live ควรมีความยาวอย่างน้อย 20 นาที
3️. Scripts
เตรียมสคริปต์ และข้อมูลทุกอย่างที่ต้องนำเสนอ
ให้พร้อมก่อนเริ่ม Live
4️. Promote
โปรโมท Live ใน Post และ stories ทุกช่องทาง
5️. Q&A
มีช่วงเวลา ถาม - ตอบ เพื่อตอบคำถามของแฟนๆ
สร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดี
6️. Tools
ใช้เครื่องมือ Live Producer และ Live Broadcast
เพื่อให้ Live ได้อย่างราบรื่น
7️. Conversations
ในระหว่าง Live ให้พูดถึงชื่อของแฟนๆ
และจดจำแฟนๆ ที่สนับสนุนด้วยการกด Star
8️. Subscribe!
อย่าลืมใส่ช่องทางการติดตามของคุณ ในทุกแพลตฟอร์ม
เหมาะสำหรับครีเอเตอร์ หรืออินฟลูเอนเซอร์
ที่กำลังต้องการค้นหาฐานผู้ติดตาม กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ
หรือสร้างผู้ติดตามจำนวนมาก
และกำลังมองหาวิธีเพิ่มยอด Engagement

>>>>>>>>>>>

หลุดกรอบ 4Ps ด้วยทฤษฎี 'วัวสีม่วง' (Purple Cow)แนวคิดแบบวัวสีม่วง (Purple Cow) จากหนังสือ Seth Godin นักการตลาดชาวอเมริก...
11/08/2024

หลุดกรอบ 4Ps ด้วยทฤษฎี 'วัวสีม่วง' (Purple Cow)
แนวคิดแบบวัวสีม่วง (Purple Cow)
จากหนังสือ Seth Godin นักการตลาดชาวอเมริกันปี 2002
หลักการสำคัญของ Purple Cow คือการมุ่งหาวัวสีม่วงให้เจอ
คือต้องทำให้คนจดจำแบรนด์ได้
ไม่ว่าจะมาจากการสื่อสารกับลูกค้า หรือตัวผลิตภัณฑ์
ตัวบรรจุภัณฑ์ ที่โดดเด่นสะดุดตา มีบริการที่ไม่เหมือนใคร
หรือเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ก็ได้
กลุ่มเป้าหมายที่ Seth เน้นเป็นพิเศษคือ
ลูกค้ากลุ่ม Early Adopter ที่เป็นกลุ่มที่ชอบลองใช้สินค้าใหม่ๆ
เมื่อมีการ Launch ผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดเป็นกลุ่มแรก
กลุ่มนี้จะสร้างการบอกต่อ คล้ายๆ อินฟลูเอนเซอร์
ที่ออกมารีวิวสินค้าใหม่ให้โซเชี่ยลฟัง
พอเราสร้างสินค้าบริการ หรือแคมเปญที่โดดเด่นจดจำได้
เปรียบเสมือนวัวสีม่วงขึ้นมาแล้ว เรายังต้องการตัวกลาง
ที่จะกระจายข้อมูลข่าวสาร ส่งข้อความต่างๆ
ที่ Seth เรียกว่าไอเดียไวรัส (Ideavirus) ผ่านคนจาม (Sneezer)
ในลักษณะการบอกต่อจากกลุ่มเล็กไปสู่ตลาดหลัก
นั่นคือกลุ่มคนที่ Seth เรียกว่า Otaku
คำศัพท์ญี่ปุ่นที่หมายถึงคนที่มีความสนใจในเรื่องใดเป็นพิเศษ
ซึ่งไม่ได้จำกัดความแค่คนที่สนใจการ์ตูน อะนิเมชั่น เกมส์
และกลุ่มดาราศิลปิน จะสนใจเรื่องไหนก็ได้แบบเข้มข้นเฉพาะด้าน ก็สามารถถูกเรียกว่าโอตาคุได้เช่นกัน
กลุ่มนี้เปรียบดั่งสาวกของแบรนด์
ที่พร้อมจะทำหน้าที่เผยแพร่ความชอบของตัวเอง
ที่มีต่อสินค้าส่งต่อไปยังคนอื่นๆ ได้
หลักการตลาดแบบ Purple Cow ไม่ได้จะขายสินค้าให้ทุกคน
แต่จะมองหากลุ่มลูกค้าที่เหมาะเจาะกับสินค้าบริการจริงๆ
โดยประเด็นอยู่ที่การหา Unmet Need
(ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ที่ยังไม่ถูกเติมเต็มทางความรู้สึก)
ยิ่งเราหา Unmet Need เจอ
จะช่วยให้การขายสินค้าบริการนั้นตรงเป้าถูกจุด
ทำให้ขายสินค้าได้มากขึ้นง่ายขึ้น
และประหยัดงบในการทำการตลาดด้วย
สุดท้ายไม่ว่าวัวจะสีอะไรก็ตาม ย่อมมีอายุขัยจำกัดทั้งนั้น
เพราะเมื่อไหร่ที่วัวสีม่วงตัวนั้นใช้เรียกความสนใจ
หากินต่อไม่ได้แล้ว ธุรกิจของเราอาจตกหรือไปต่อไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ถ้าวันใดที่สีบนตัววัวเริ่มจางลง คนเริ่มไม่อยากมองมันแล้ว
อย่าไปเสียเวลาเปลี่ยนสูตรอาหาร หรืออัดอาหาร
เพื่อหวังให้สีกลับมาสดใสเหมือนเดิม
เราแค่หาวัวสีม่วงตัวใหม่ก็เท่านั้นเอง

>>>>>>>>>>>

Inbound vs Outbound Marketing ต่างอย่างไร? เลือกแบบไหนดี?-------------------------------------------Outbound Marketing -...
11/08/2024

Inbound vs Outbound Marketing
ต่างอย่างไร? เลือกแบบไหนดี?
-------------------------------------------
Outbound Marketing
-------------------------------------------
คือการตลาดแบบผลักออกไป
โดยการกระจายสื่อไปยังคนจำนวนมาก
ไปยังคนที่ใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติ เล่นโซเซียล อ่านข่าว
แล้วก็อยู่ดีๆ ก็เลื่อนจอมือถือมาเห็น หรือได้ฟัง
หรือขับผ่านป้ายโฆษณา โดยที่ตัวเองก็อาจจะกำลังสนใจ
หรือไม่ได้กำลังสนใจเนื้อหา/สินค้า ที่อยู่ในโฆษณานั้นๆ ก็ได้
เช่น การใช้สื่อโฆษณาบนทีวี, โฆษณาบนวิทยุ,
การขายผ่านทางโทรศัพท์, โฆษณาบนป้ายบิลบอร์ด ฯลฯ
ปัจจุบัน Digital Marketing นั้น
Outbound Marketing จะมาในรูปแบบของ
In-Stream Video Ads ในเว็บไซต์ YouTube
หรือ แบนเนอร์โฆษณา Display Ads ในเว็บไซต์ต่างๆ
รวมถึง Facebook Ads ที่เราคุ้นเคยกันด้วย
-------------------------------------------
Inbound Marketing
-------------------------------------------
คือการใช้การตลาดเพื่อดึงคนเข้ามาหา
คล้ายกับแม่เหล็ก ต่างจาก Outbound
เป็นการใช้ คอนเทนต์ เพื่อดึงดูดคนที่น่าจะเป็นลูกค้าของเรา
ให้เข้ามาหา โดยมักจะทำในรูปแบบของเว็บไซต์
หรืออาจใช้แฟนเพจของร้านค้าเป็นฐานหลัก
ในการดึงดูดผู้คนที่กำลังสนใจ แน่นอนว่า
เราต้องคาดเดาให้ได้ว่าผู้คนที่กลุ่มเป้าหมายที่เราอยากได้นั้น
กำลังสนใจอะไร แล้วสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องนั้นๆ เตรียมเอาไว้
-------------------------------------------
แล้วธุรกิจอย่างเราจะเลือกแบบไหนดี ?
-------------------------------------------
ในปัจจุบัน Inbound Marketing นับว่ามีบทบาทมากขึ้น
ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะเครื่องมือช่วยเหลือต่างๆ
เเละเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น ทำให้การทำการตลาด
แบบ Inbound Marketing นั้นทำง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก
ความจริงแล้วการตลาดทั้ง 2 แบบ ไม่มีอะไรดีหรือแย่กว่ากัน
เพราะต้องขึ้นอยู่กับบริบท เป้าหมายของธุรกิจ สินค้า
และบริการของคุณ ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร
ถ้าคุณหวังทำกำไรในระยะสั้น เพื่อหาเงินมาหล่อเลี้ยงธุรกิจ
หรือถ้าสินค้าที่คุณขายเป็นสินค้าทั่วๆ ไป
ที่เน้นการเข้าถึงคนเป็นจำนวนมาก
การเลือกแบบ Outbound อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
เเต่ถ้าคุณหวังให้ธุรกิจยั่งยืนในระยะยาว
และพร้อมที่จะลงทุนโดยที่ผลลัพธ์นั้นอาจจะใช้เวลาหลายเดือน
หรือเป็นหลักปี หรือถ้าสินค้าที่คุณขายเป็นสินค้าแบบ B2B
ที่เน้นเจาะตลาดเฉพาะ (Niche Products)
การตลาดแบบ Inbound จะเป็นวิธีที่เหมาะสมมากกว่า

>>>>>>>>>>>

สร้างการตลาดแบบ Personalize ด้วย Marketing Automation Marketing Automation หรือระบบการตลาดอัตโนมัติมีการใช้ซอฟต์แวร์เพื่...
10/08/2024

สร้างการตลาดแบบ Personalize ด้วย Marketing Automation
Marketing Automation หรือระบบการตลาดอัตโนมัติ
มีการใช้ซอฟต์แวร์เพื่อลดการทำงานหรือการดำเนินการ
และเวลาที่ไม่มีประสิทธิภาพ ในกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ
โดยหน้าที่หลักของระบบอัตโนมัตินี้คือการลดความซับซ้อน
และเร่งความเร็วของกิจกรรมทางการตลาดที่ใช้เวลานาน
โดยการทำระบบการตลาดอัตโนมัติ
แบ่งตามความต้องการและวัตถุประสงค์ได้ 5 ประเภท
------------------------------------------------------------

1. เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของนักการตลาด
(Optimaization)
โดยทั่วไปแล้วเรามักจะเสียเวลาทั้งสัปดาห์ไปกับการกรอง
คัดเลือก Cleansing Data ด้วยตัวเอง!
แต่หากเราสร้างระบบการตลาดอัตโนมัติจัดการงานในส่วนนี้
ย่อมหมายความว่าเราสามารถย่นระยะเวลาการดำเนินงานทั้งหมด
ด้วยการตั้งค่า และดำเนินงานเหล่านี้ได้ในทุกเวลาที่เราต้องการ
-----------------------------------------------------------

2. เพื่อการรวมจุดสนใจด้านการตลาด
มาที่ชุดข้อมูลเดียว (Concentration)
เป็นระบบรวมเครื่องมือทางการตลาดเข้าด้วยกัน
และเชื่อมต่อข้อมูลในระบบเดียว
แก้ไขปัญหาความคลาดเคลื่อนของข้อมูล เพิ่มการ Concentrate
ทำให้ข้อมูลที่ได้มีความครอบคลุมต่อการได้ข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ
-----------------------------------------------------------

3. เพื่อการประมาณการและเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ
ด้วย Marketing Automation
การคาดการณ์ประสิทธิภาพของแคมเปญอย่างเดียว
ไม่เพียงพอในการตลาดยุคปัจจุบัน
ทำให้เราต้องพิจารณาข้อมูลที่ได้จากแหล่งต่างๆ เพิ่มเติม
การรวบรวมเอาข้อมูลทั้งหมดนี้มาอยู่ ณ จุดเดียวกัน
ด้วยการสร้างระบบการตลาดอัตโนมัติจึงมีความสำคัญ
ทำให้เราสามาถเห็นภาพรวมของข้อมูล
เพื่อพิจารณาประสิทธิภาพของแคมเปญนั้นๆ ได้
-----------------------------------------------------------

4. เพื่อการเติบโตพร้อมพันธมิตรอย่างมีประสิทธิภาพ
ในงานด้านการตลาดที่ทำเพื่อตอบคำถาม
และหรือตอบกลับความไม่พึงพอใจของของลูกค้าเป้าหมาย
จะต้องมีข้อมูล Support จากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อลดทอนข้อโต้แย้งสำหรับลูกค้าเดิม
และเพิ่มประสิทธิภาพในการโน้มน้าวลูกค้าใหม่
-----------------------------------------------------------

5. เพื่อสร้าง Brand Awareness และ Royalty
และอีกวัตถุประสงค์ของการทำการตลาดอัตโนมัติก็คือ
การสร้างความตระหนักรู้ถึงแบรนด์ และสร้างความภักดีของลูกค้า
โดยสามารถเพิ่มความภักดีของลูกค้าได้ด้วย
ความช่วยเหลือของข้อเสนอพิเศษเฉพาะบุคคล
การทำการตลาดอัตโนมัติแบบ Personalize
ย่อมสามารถเพิ่มแนวโน้มที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า
ที่ตรงกับความต้องการของตนเอง
มากกว่าในกรณีที่เราให้ข้อเสนอแบบสุ่ม
หรือไม่มีข้อเสนอหรือแคมเปญเลย

>>>>>>>>>>>

E-E-A-T Factor กลยุทธ์ SEO ที่คนมีเว็บไซต์ต้องรู้E-E-A-T คือ หลักเกณฑ์สำคัญในการประเมินคุณภาพของเนื้อหาในเว็บไซต์ที่ถูกป...
10/08/2024

E-E-A-T Factor กลยุทธ์ SEO ที่คนมีเว็บไซต์ต้องรู้
E-E-A-T คือ หลักเกณฑ์สำคัญในการประเมินคุณภาพ
ของเนื้อหาในเว็บไซต์ที่ถูกปรับปรุงขึ้นใหม่
ตามแนวทางของ Google
Experience (E) “ประสบการณ์”
การบอกเล่าประสบการณ์ที่เคยพบเจอ
อาจจะมีการสอดแทรกความคิดเห็นลงไปด้วยบางครั้ง
ทำให้เนื้อหาของคุณมีความแปลกใหม่ ไม่ซ้ำกับเว็บไซต์อื่น
Expertise (E) “ความเชี่ยวชาญ”
การเขียนเนื้อหาแบบรู้ลึก รู้จริง
เป็นการเขียนเนื้อหาระดับผู้เชี่ยวชาญ
ที่ผู้รับสารเข้าใจได้โดยง่ายด้วย
Authoritativeness (A) “ความเป็นเจ้าของ”
มีความเข้าใจอย่างถูกต้องและถ่องแท้จนถูกนำไปอ้างอิง
เป็น Reffence ของเว็บไซต์อื่นๆ
จนทำให้เกิด Backlink กลับมาที่เว็บไซต์
Trustworthiness (T) “ความน่าเชื่อถือ”
สร้างได้ด้วยการระบุที่อยู่บริษัท ช่องทางการติดต่อ
ลงบทความด้วยความสม่ำเสมอ

—---------------------------------------------------

7 สูตร การสร้างคอนเทนต์ที่ Google หลงรัก!
ด้วย E-E-A-T Factor
1. ทำ SEO Off-Page ด้วย Backlink ที่มีคุณภาพ
2. สร้างการพูดถึง (Metion) จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
3. ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันเสมอ
4. แสดงช่องทางการติดต่อ
5. สร้างเนื้อหากับผู้เชี่ยวชาญ
6. ทำ Content Marketing Framework
7. โปรโมตนอกเว็บไซต์

>>>>>>>>>>>

9 วิธีสร้าง Brand Loyalty ลูกค้าทางโลกออนไลน์1. สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าจากข้อมูลของ HBR การเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้า...
09/08/2024

9 วิธีสร้าง Brand Loyalty ลูกค้าทางโลกออนไลน์
1. สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
จากข้อมูลของ HBR การเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้า 5%
จะเพิ่มผลกำไรอย่างน้อย 25% ให้กับแบรนด์
จึงควรเข้าใจถึงความสำคัญในการรักษาฐานลูกค้าเก่าและใหม่
หลังจากลูกค้าได้รับสินค้าของคุณไปแล้ว
ควรทำการเพิ่มรหัส QR ที่เชื่อมโยงกับ Google ฟอร์ม
และขอให้ลูกค้าเขียนรีวิวหรือแนะนำผลิตภัณฑ์นั้นๆ
2. เซอร์ไพรส์นักช้อปของคุณ!
ผู้ซื้อออนไลน์ส่วนใหญ่ชอบความเซอร์ไพรส์
เช่น การส่งมอบ “โค้ดส่งฟรีหรือโค้ดส่วนลด” ให้กับผู้ซื้อ
วิธีนี้จะเป็นการกระตุ้นให้นักช้อปซื้อสินค้าจากคุณอีกครั้ง
และผู้ซื้อจะช่วยบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word of Mouth)
ให้กับเพื่อนหรือคนรอบตัวเขาเอง
โดยที่เราไม่ต้องใช้ส่วนลดหรือคะแนนเพื่อกระตุ้นเลย
3. สร้างกลุ่มแบรนด์
คือการรวบรวมคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้หรือภักดีต่อผลิตภัณฑ์
โซเชียลมีเดียและอีเมลเป็นสองช่องทางที่มีอิทธิพลมากที่สุด
สามารถบอกให้คนในกลุ่มช่วยเขียนรีวิวและ
ให้คะแนนบนหน้าผลิตภัณฑ์หรือเพจของคุณ
เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ไปในตัว
4. สร้างคอนเทนต์ให้มีคุณภาพ
โดยการใช้คอนเทนต์ประเภทการให้ความรู้
อย่างแชร์เคล็ดลับ บทสัมภาษณ์ วิดีโอ บล็อกโพสต์
ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่คุณขาย
5. มอบประสบการณ์ลูกค้าแบบ Omni Channel
เป็นการให้ประสบการณ์ลูกค้าที่เน้นความเชื่อมโยง
และประสิทธิภาพในการติดต่อและการซื้อขาย
ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์
สามารถใช้ช่องทางการติดต่อและทำธุรกรรมได้หลายทาง
ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงและใช้บริการได้ทุกที่ทุกเวลา
6. ออกแบบพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันอย่างเสม่ำเสมอ
พัฒนาและออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งาน
เป็นสิ่งจำเป็นและเป็นรากฐานที่สำคัญ
โดยโครงสร้างในการออกแบบควรชัดเจน สะดวก
มีเมนูและปุ่มที่เข้าถึงข้อมูลของแบรนด์
รวมไปถึงระบบการค้นหาในส่วนต่างๆ
ควรเข้าใจและง่ายต่อการคลิก
7. ข้อมูลครบถ้วนและชัดเจน
เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยในการตัดสินใจในการซื้อได้
จึงควรนำเสนอข้อมูลของสินค้าและบริการอย่างครบถ้วนและชัดเจน
8. รับฟังความคิดเห็นของลูกค้า
เพื่อที่คุณจะได้นำข้อมูลเหล่านั้นไปปรับปรุงหรือ
ต่อยอดสินค้าหรือบริการให้ดีขึ้นไปอีกขั้นได้
9. ล็อคข้อมูลลูกค้าไว้อย่างดี
ข้อมูลของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจต้องปฏิบัติตามกฎ
และจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัด
ควรเก็บข้อมูลของลูกค้าเอาไว้อย่างดี
เพื่อป้องกันการเกิดโจรกรรมของข้อมูลขึ้นและ
ควรให้ความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าว่าข้อมูลที่ให้ไปจะเก็บไว้อย่างปลอดภัย
และเมื่อลูกค้าเกิดความไว้ใจกับทางแบรนด์
ดังนั้นการซื้อ-ขายในครั้งต่อไปก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วย

>>>>>>>>>>>

ที่อยู่

259/200 Pibulves
Bangkok
10110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Kenzo Kimuraผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

M O O N ’

Inspired by Life

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ


เอเจนซี่โซเชียลมีเดีย อื่นๆใน Bangkok

แสดงผลทั้งหมด