17/08/2024
AI ในอนาคตอาจใช้ไฟฟ้าสูงกว่าไอซ์แลนด์ทั้งประเทศ
ปัจจุบัน มีผู้ใช้งาน ChatGPT จำนวนมาก ซึ่งจำนวนผู้ใช้งานที่สูง ก็ตามมาด้วยการใช้งานไฟฟ้าที่สูงตาม
ถึงแม้จะมีการประมาณการจำนวนไฟฟ้าที่ถูกใช้โดย AI แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนและเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และเป็นเพียงภาพรวมของการใช้พลังงานทั้งหมดของ AI เนื่องจากโมเดล Machine Learning สามารถทำงานได้หลากหลาย ทำให้การคำนวนพลังงาน ขึ้นอยู่กับงานที่ทำ
นอกจากนี้ องค์กรอย่าง Meta, Microsoft, และ OpenAI ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีเพียง Judy Priest ซีทีโอหน่วยคลาวด์ของ Microsoft กล่าวในอีเมลกับ The Verge ว่า ขณะนี้บริษัทกำลังลงทุนในการพัฒนาวิธีวัดปริมาณการใช้พลังงานและผลกระทบคาร์บอนของ AI และพยายามหาวิธีทำให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในทั้งการฝึกอบรมและการใช้งาน
ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่สามารถระบุได้คือ ความแตกต่างในการใช้ไฟฟ้าระหว่างการฝึกโมเดลเป็นครั้งแรก และการใช้งานจริงโดยผู้ใช้งาน เนื่องจากการฝึกเทรนใช้พลังงานสูงมาก
และใช้ไฟฟ้ามากกว่าเมื่อเทียบกับดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมๆ
--------------------------------------------
เทียบอัตราการใช้พลังงานของ AI ตามรูปแบบงาน
--------------------------------------------
ตัวอย่างเช่น การสตรีม Netflix หนึ่งชั่วโมง ต้องใช้ไฟฟ้าประมาณ 0.0008 เมกะวัตต์ชั่วโมง
นั่นหมายความว่า การรับชม Netflix 1,625,000 ชั่วโมงจึงจะใช้พลังงานเท่ากับการฝึก GPT-3
อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานอาจมากขึ้น เนื่องจากขนาดของโมเดล AI มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโมเดลที่ใหญ่ขึ้นก็ต้องการพลังงานมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น การจำแนกตัวอย่างที่เป็นลายลักษณ์อักษรใช้พลังงานเพียง 0.002 กิโลวัตต์ชั่วโมง และการสร้างข้อความ 0.047 กิโลวัตต์ชั่วโมง เทียบกับการสตรีม Netflix เพียงเก้าวินาที และ 3.5 นาทีตามลำดับ ส่วนการสร้างภาพด้วยโมเดล AI ใช้พลังงานโดยเฉลี่ย
2.907 กิโลวัตต์ชั่วโมง ต่อการอนุมาน 1,000 ครั้ง เทียบกับการชาร์จสมาร์ทโฟน เฉลี่ยใช้พลังงาน 0.012 กิโลวัตต์ชั่วโมง
--------------------------------------------
พลังงานโดยอุตสาหกรรม AI เพิ่มขึ้นสองเท่าทุก 100 วัน
--------------------------------------------
Alex de Vries นักศึกษาปริญญาเอกจาก VU Amsterdam รวบรวมข้อมูลและคำนวณว่า ภายในปี 2027 อุตสาหกรรม AI อาจใช้พลังงานระหว่าง 85-134 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี หรือ 0.5% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกภายในปี 2570 หรือใกล้เคียงกับความต้องการพลังงานต่อปีของประเทศเนเธอร์แลนด์
รายงานจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศเสนอการประมาณการที่คล้ายกัน โดยกล่าวว่า
การใช้ไฟฟ้าจากดาต้าเซ็นเตอร์จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคตเนื่องจากความต้องการของ AI และคริปโตเคอเรนซี่ จากจำนวนการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์อยู่ที่ประมาณ 460 เทราวัตต์ชั่วโมงในปี 2022 อาจเพิ่มขึ้นเป็นระหว่าง 620-1,050 เทราวัตต์ชั่วโมงในปี 2026 เทียบเท่ากับความต้องการพลังงานของสวีเดนหรือเยอรมนีตามลำดับ
ในขณะที่ World Economic Forum เผยว่า พลังการคำนวนของ AI เพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ 100 วัน ซึ่งความต้องการพลังงานในการคำนวณ อาจเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 10,000 เท่า ทำให้พลังงานที่จำเป็นในการทำงานด้าน AI กำลังเร่งตัวขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีระหว่าง 26-36% ซึ่งหมายความว่าภายในปี 2028 AI อาจใช้พลังงานมากกว่าที่ประเทศไอซ์แลนด์ใช้ทั้งประเทศในปี 2021
--------------------------------------------
ฟังมุมมองการแก้ปัญหาจากนักวิชาการ
--------------------------------------------
บริษัทบางแห่งที่เกี่ยวข้องกับ AI อ้างว่า
เทคโนโลยีนี้สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้
เช่น Microsoft ที่กล่าวว่า AI จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง
ในการพัฒนาโซลูชั่นด้านความยั่งยืน และเน้นย้ำว่า
Microsoft กำลังทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน
ของการเป็นคาร์บอนเป็นลบ น้ำเชิงบวก และขยะเป็นศูนย์
ภายในปี 2030
โดย Luccioni กล่าวว่า เขาอยากเห็นบริษัทต่างๆ
แนะนำการจัดอันดับ Energy Star สำหรับโมเดล AI
ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
ในลักษณะเดียวกับที่ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า
ส่วน de Vries อยากให้สังคมคำนึงถึงความจำเป็นในการใช้งาน AI
งานบางประเภทอาจไม่ต้องใช้ AI หรือไม่?
เนื่องจากเมื่อพิจารณาถึงข้อจำกัดทั้งหมดของ AI แล้ว
AI อาจไม่ได้เหมาะหรือสามารถแก้ปัญหาได้ในหลายๆ ครั้ง
และเราจะเสียเวลาและทรัพยากรไปมากในการหาวิธีที่ยากลำบาก
--------------------------------------------
การนำ AI และ เทคโนโลยีควอนตัมมาใช้ในระยะยาว
--------------------------------------------
World Economic Forum กล่าวว่า หนึ่งในการแก้ปัญหานี้
ควรอยู่ที่การควบคุมความสามารถของ AI
เพื่อส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยการควบคุม AI อย่างมีกลยุทธ์
เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์พลังงานหมุนเวียน
และช่วยในการสร้างโลกที่ยั่งยืนมากขึ้นสำหรับคนรุ่นต่อไป
เพราะ AI ที่ใช้อย่างถูกต้อง
จะสามารถเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบรรลุเป้าหมาย
การเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนสามเท่า
และประสิทธิภาพการใช้พลังงานสองเท่าภายในสิ้นทศวรรษ
ตามการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (COP28) เมื่อปีที่แล้ว
ส่วนในระยะยาว การส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่าง AI
และเทคโนโลยีควอนตัมที่กำลังเติบโต
เป็นกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อน AI ไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ตรงกันข้ามกับการประมวลผลแบบเดิมที่ใช้พลังงานเพิ่มขึ้น
ตามความต้องการในการคำนวณที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เทคโนโลยีควอนตัมยังมีศักยภาพ
ในการเปลี่ยนแปลง AI ด้วยการทำให้โมเดลมีขนาดกะทัดรัดมากขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ และปรับปรุงฟังก์ชันการทำงานโดยรวม
ทั้งหมดนี้ปราศจากการปล่อยพลังงานจำนวนมาก
จนกลายเป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรม
การตระหนักถึงศักยภาพนี้จำเป็นต้องมีความพยายามร่วมกัน
ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนจากรัฐบาล การลงทุนในอุตสาหกรรม
การวิจัยทางวิชาการ และการมีส่วนร่วมของสาธารณะ
ด้วยการรวมองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกัน
จึงเป็นไปได้ที่จะจินตนาการและสร้างอนาคตที่ความก้าวหน้าใน AI
ดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับการรักษาสุขภาพของโลก
>>>>>>>>>>>