
13/01/2025
ความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ถ้าแจ้งไปตามความจริงโดยสุจริต
แม้พนักงานอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลพิพากษายกฟ้อง
ก็ไม่มีความผิดตามกฎหมาย
สำหรับความผิดฐาน “แจ้งความเท็จ” นั้น จะอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ซึ่งเป็นบททั่วไป ส่วนมาตรา 172,173,174 เป็นบทเฉพาะ
องค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่งของความผิดฐานนี้คือ “ข้อความอันเป็นเท็จ” ซึ่งหมายความว่า เป็นข้อเท็จจริงในอดีตหรือปัจจุบันที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง (ตามแนวคำอธิบายของ อาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์) นั่นหมายความว่า ข้อความนั้นจะต้องเป็นข้อจริงเท็จจริงที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตหรือปัจจุบัน ไม่เกี่ยวกับเรื่องในอนาคต
ดังนั้นข้อความที่แจ้งต่อเจ้าพนักงานอันจะเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จได้นั้น จึงต้องพิจารณาจาก "ข้อเท็จจริง" เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นคนละเรื่องคนละส่วน
เช่น หากเราไปแจ้งความว่านายดำเดินมาต่อยเรา โดยไม่มีเหตุการณ์ที่นายดำเดินมาต่อยเราเกิดขึ้นจริง เช่นนี้ย่อมเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จได้ เพราะข้อความที่เรานำไปแจ้งว่านายดำเดินมาต่อยเรานั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นความเท็จ
กลับกันหากเราไปแจ้งความว่านายดำเดินมาต่อยเรา ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง นายดำเดินมาต่อยเราจริงๆ แม้ต่อมาศาลจะตัดสินว่านายดำไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่นนี้เราก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ เพราะข้อความที่เรานำไปแจ้งว่านายดำเดินมาต่อยเรานั้นเป็นข้อเท็จจริงตามเหตุการณ์ที่ปรากฎซึ่งเกิดขึ้นจริง ส่วนนายดำจะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่ เป็นการรับฟังพยานหลักฐานและวินิจฉัยตีความข้อกฎหมาย
ดูตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5236/2549 “ข้อความที่จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตรงตามสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยแจ้งความตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ส่วนการกระทำของโจทก์ทั้งสองจะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยแจ้งหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะการแจ้งข้อความย่อมหมายถึงแจ้งเฉพาะข้อเท็จจริงไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย แม้ต่อมาพนักงานสอบสวนจะได้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองตามที่จำเลยแจ้งและพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีโจทก์ทั้งสองก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นเป็นความเท็จ”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5600/2541 “จำเลยนำความไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ขับรถยนต์ เฉี่ยวชนจำเลยได้รับบาดเจ็บเป็นการแจ้งความตามข้อเท็จจริง ที่ปรากฏ ส่วนการกระทำของโจทก์จะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่ จำเลยแจ้งหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะการแจ้งข้อความ ย่อมหมายถึงแจ้งข้อเท็จจริง ไม่เกี่ยวกับกฎหมาย แม้ต่อมา พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์ก็ยังถือไม่ได้ว่าข้อความ ดังกล่าวเป็นความเท็จจำเลยไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3383/2541 การที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 และ 174 นอกจากจะต้องแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อแกล้งให้ ผู้อื่นต้องรับโทษแล้ว ผู้กระทำจะต้องรู้ว่าข้อความที่ แจ้งนั้นเป็นเท็จด้วย จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน โดยมีเหตุการณ์ทำให้จำเลยเข้าใจว่าต้องดำเนินคดีแก่โจทก์ ส่วนการจะตั้งข้อหาดำเนินคดีแก่โจทก์หรือไม่ ก็เป็นอำนาจ หน้าที่ของพนักงานสอบสวน หาได้เกิดจากการกระทำของจำเลย โดยตรง กรณียังไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งข้อความ อันเป็นเท็จดังกล่าว
ข้อสังเกตประการต่อมาคือ เคยมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไปในระดับที่ว่า หากข้อความที่นำไปแจ้งนั้นคลาดเคลื่อนไปบ้างในรายละเอียด แต่สาระสำคัญมีความถูกต้องตามพฤติการณ์และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็ไม่ถือว่ามีความผิดฐานแจ้งความเท็จ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12091/2558)
และท้ายที่สุดการวินิจฉัยว่าข้อความใดจะเป็นความเท็จหรือไม่ ก็จะต้องรู้ว่า ความจริงเป็นอย่างไร ฉะนั้นหากมีการกล่าวหาหรือฟ้องคดี การกล่าวหาของผู้กล่าวหาก็จะต้องระบุมาด้วยว่าข้อความนั้นๆเป็นเท็จอย่างไร และความจริงเป็นอย่างไร และการบรรยายฟ้องนอกจากโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องให้ปรากฎข้อความเท็จแล้ว โจทก์ก็จะต้องบรรยายด้วยว่าความจริงเป็นอย่างไร มิฉะนั้นต้องถือว่าเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 704/2491 , ฎ.95/2507
#ทนายนรเศรษฐ์ #ความผิดฐานแจ้งความเท็จ
#สู้คดีแจ้งความเท็จ