14/02/2023
ประโดมัญชา ลาพัน
===============
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2486 มันชา ลาพัง ถูกสังหาร ในกองอิรวดี ตำบลปาดัว ในหมู่บ้าน Tokyal พ่อ Man Ba Thaw เขาเกิดจากแม่ชื่อกานนามทิน เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 3 คน ในปี 1949 เมื่อการปฏิวัติด้วยอาวุธของชาวกะเหรี่ยงเริ่มต้นขึ้น Mansha เป็นเด็กหญิงอายุ 6 ขวบที่ยังเด็กพอที่จะรู้ว่าต้องทำอะไร.............
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
มันน์ ชิตชเว 5 กรกฎาคม โรงเรียนป่าไม้เมื่อ พ.ศ. 2486 ตำบลเมา ปิน พม่าของอังกฤษ..............
เสียชีวิต
14 กุมภาพันธ์ 2551 (อายุ 64 ปี) อ. แม่สอด ประเทศไทย
สาเหตุการตาย
ถูกลอบสังหาร
ประเทศชาติ
กะเหรี่ยง
พรรคการเมือง
สมาคมแห่งชาติกะเหรี่ยง
คู่สมรส
ทอง ทอง
เด็ก
โซยา พัง
, นัม บาว์ พัง ,
สลอง พัง ,
ซอ เซย์ เซ..................
โรงเรียนแม่
มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง
สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ชาวกะเหรี่ยงและชาวพม่าอาศัยอยู่ร่วมกันตั้งแต่สมัยโบราณ มีความรักและการมีเพศสัมพันธ์กัน
พร้อมกันกับจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติชาวกะเหรี่ยง รัฐบาล Faspal ได้ก่อจลาจลชาติพันธุ์กะเหรี่ยง-พม่า และผลักดันการปฏิวัติของชาวกะเหรี่ยงให้เดินผิดทาง ชาวกะเหรี่ยงและชาวพม่าที่อาศัยอยู่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการจลาจลของชาติพันธุ์ ทันใดนั้นความรักที่พวกเขามีมาหลายชั่วอายุคนก็หายไป และพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความเกลียดชังมาจากไหน หมู่บ้านกะเหรี่ยงและหมู่บ้านพม่าเผากันเอง กะเหรี่ยง-พม่าฆ่ากัน ศพของชาวกะเหรี่ยงและชาวพม่าผู้บริสุทธิ์ถูกกระแสน้ำพัดหายไปตามริมฝั่งแม่น้ำของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำมยิต ซึ่งมีแม่น้ำและทะเลสาบมากมาย
หมู่บ้าน Mansha ในป่าก็ถูกเผาเช่นกัน และชาวบ้านถูกบังคับให้หนี ในตอนนั้น พ่อของ Mansha ถูกจับในข้อหาสนับสนุนการปฏิวัติของชาวกะเหรี่ยง ดังนั้นแม่ของ Mansha จึงต้องหนีไปพร้อมกับพี่น้องสามคนของเธอ แม่ของ Mansha ได้รับบาดแผลถูกแทงที่ขา น้องสาวของเขาป่วยเป็นฝีดาษขณะวิ่งและเสียชีวิตบนถนน
อาจกล่าวได้ว่าคลื่นของการปฏิวัติกะเหรี่ยง สงครามกลางเมือง และผลกระทบที่รุนแรงของการจลาจลทางชาติพันธุ์ได้ทิ้งร่องรอยไว้ในความคิดและหัวใจของ Mansha สตรีผู้รอบรู้ ในปี พ.ศ. 2502-60 ฉันศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายไทโกเนในเมืองพะทาเนา สอบผ่านชั้นประถมศึกษาปีที่ 8 ที่โรงเรียนมัธยมพะตะเนาและสอบผ่านโรงเรียนมัธยมในย่างกุ้ง
ในปี พ.ศ. 2505 ในปีเดียวกับที่เขาเข้าเรียนและศึกษาที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง เขาเริ่มมีบทบาทในกบฏเซวินกรกฎาคม ในปี พ.ศ. 2509 เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปะด้วยวิชาเอกประวัติศาสตร์
ขณะที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ปลายปี พ.ศ. 2506 เขาได้ติดต่อกับองค์กรแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU และจนถึงปี พ.ศ. 2509 เขาได้รับผิดชอบกิจกรรมใต้ดินของ KNU
ในปี พ.ศ. 2510 เขามาถึงพื้นที่การปฏิวัติของชาวกะเหรี่ยงพะโคโรมาและรับหน้าที่ของสมาคมแห่งชาติกะเหรี่ยง ในปี พ.ศ. 2511 Mansha เข้าร่วมในเสาธงแดงที่นำโดยพันตรี Baudwin ของพรรค KNUP เสาธงแดงไปถึงกลางรัฐฉานเท่านั้น ไม่สามารถเดินหน้าได้เนื่องจากการปิดล้อมของศัตรู เราต้องหันหลังกลับ พันตรีบอร์วินเสียชีวิตกลางถนนเช่นกัน
ในปี 1969 กองทัพฝ่ายเหนือที่นำโดยกัปตัน Ayehan ได้พยายามอีกครั้ง เหตุการณ์ที่ไม่เหมือนใครคือกลุ่มที่นำโดยกัปตัน Ayehan ไม่ได้เดินออกจากพื้นที่ปฏิวัติ นอกเครื่องแบบแล้วขึ้นรถไฟจากตองนูไปมัณฑะเลย์ จากที่นั่น ก่อนถึงเมืองมยิตจีนา ผมนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Namtee Alang Maran หลังจากลงจากสถานี Maman กองพัน KIA (11) พันตรี Zaw Saig (ปัจจุบันคือพันเอก Zaw Saig เจ้าหน้าที่การต่างประเทศ KIO) ให้การต้อนรับและพาฉันไป
คณะที่นำโดยกัปตัน Ayehan ไปถึงเมืองหลวงของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน กองทัพจีน ฉันพยายามขอความช่วยเหลือทางการเมือง แต่ฉันไม่ได้รับอะไรมากเท่ากับความช่วยเหลือในทางปฏิบัติ Pado Saw Thamein Tun ซึ่งปัจจุบันเป็นสมาชิกของคณะกรรมการกลางของ KNU ได้เข้าร่วมในการเดินทางครั้งนี้ด้วย
ในปี พ.ศ. 2515 คณะผู้แทนที่นำโดยนายสโก เลตาดอ เลขาธิการใหญ่ KNUP ได้เดินทัพไปทางเหนืออีกครั้ง ถึงมณฑลยูนนานในประเทศจีน จีนมีแนวโน้มที่จะขอความช่วยเหลือผ่านพรรคคอมมิวนิสต์พม่า คณะผู้แทน KNUP พบกับพรรคคอมมิวนิสต์พม่า พรรคคอมมิวนิสต์พม่าในขณะนั้นหัวโล้นและหยิ่งยโส จึงไม่มีความก้าวหน้าที่จับต้องได้ มีเหตุการณ์ที่น่าจดจำที่นี่ ในระหว่างการหารือระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งพม่าและคณะผู้แทน KNUP มานชาได้หารือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของพม่า ที่นี่ Lord Ba Thein Tin คำราม Mansha อีกครั้ง "ในประวัติศาสตร์ของพม่า คุณได้มาถึงตัวเองแล้ว คือมัน?'' ระหว่างการเดินทางไปทางเหนือ (68, 69, 72), Mansha La Phang เข้าร่วมทั้งหมดสามครั้ง (69, 72) Pado Saw Thamein Tun ก็ร่วมทริปด้วย
แนวคิดทางการเมืองแบบซ้ายขวาหลังสงครามมีอิทธิพลระหว่างประเทศ และการปฏิวัติของชาวกะเหรี่ยงก็มีนัยยะแบบซ้าย-ขวาเช่นกัน ความสามัคคีในชาติแตกสลายในช่วงการปฏิวัติของชาวกะเหรี่ยงเนื่องจากแนวคิดทางการเมืองแบบซ้าย-ขวา เนื่องจากการสลายตัวของเอกภาพของชาติกะเหรี่ยง การปฏิวัติของชาวกะเหรี่ยงก็ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นกัน ผู้นำของการปฏิวัติกะเหรี่ยงได้พยายามสร้างเอกภาพของชาติขึ้นใหม่ ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2517 สภาเคเอ็นยูครั้งที่ 9 จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้สร้างเอกภาพของชาติกะเหรี่ยงขึ้นใหม่
ฟาร์มโรงเรียนพันตรีเมียหม่องเซย์จีซึ่งก่อตั้งขึ้นในบาเกียวในปี 2518 และเป็นผู้นำของ KNUP และประธานาธิบดีแมนน์ บาซานตะวันออก; KNU ที่นำโดยนายพล Mya สามารถสร้างเอกภาพของชาติขึ้นมาใหม่ได้
ในปี 1975 Mansha แต่งงานกับ Nan Ning Shwe เพื่อนร่วมโรงเรียนจากหมู่บ้านเดียวกับเขา และตำรวจหญิงชาวกะเหรี่ยงในเขต KAN Yue Nyaung Laip เขามีลูก 4 คน แต่แรก นามบุบผาพันธุ์ นามโซยะพัง ล้วนเป็นฝางทั้งสิ้น
Mansha มีนิสัยจริงจังกับทุกเรื่อง ชื่อน้องของเขาคือ Mann Chitshwe เมื่อเขาเข้าร่วมการปฏิวัติกะเหรี่ยง เขาใช้ชื่อมันชาละพัง ชื่อนี้มีความหมายในตัวเอง Mann เป็นชื่อแรกของชาวกะเหรี่ยง Sha แปลว่าดวงดาว "ลา" แปลว่าพระจันทร์ "ฝาง" แปลว่า แสงสว่าง ความหมายของชื่อทั้งหมด (หมันชาลาพัง) คือสีของดวงดาวและดวงจันทร์
แสงของดวงดาวสว่างและสงบ ผู้นำที่มีปฏิสัมพันธ์กับ Man Shala Phang สหาย ทุกคนรู้สึกสงบทั้งใจและอิ่มท้องเป็นการส่วนตัว และนามสกุล (ฟาง) มีความหมายอื่น ได้รับการตั้งชื่อตามพันเอก Fang Xiao ผู้บัญชาการกองพลน้อย (ที่ 4) ของส่วนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ บุตรชายของ Patanaw ซึ่งเป็นที่นับถือและภาคภูมิใจของชาว Myitung Pau พันเอก Fan Xiao เป็นทหาร เขาเป็นผู้นำที่โดดเด่นในด้านการเมือง
Mansha เพิ่มชื่อ Fan ต่อท้ายชื่อลูก ๆ ของเขา เขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะส่งต่อมรดกแห่งการปฏิวัติให้กับลูกหลานของเขา ชื่อลูกสาวของเขา Zoyafan ได้มาจากชื่อของผู้พลีชีพชาวโซเวียตสองคน Zoya และ Shoya ที่ต่อสู้กับเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
Mansha เป็นสมาชิกของคณะกรรมการกลางในปี 1984 ในวันเดียวกันนั้น เขายังเป็นสมาชิกของประธานกลางของแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (NDF) ในปี พ.ศ. 2527 ชาวคะเรนนีมีพรมแดนติดกับรัฐฉานทางตอนใต้ รัฐฉานตอนเหนือ ในการจัดทริปทางเหนือสู่ชายแดนรัฐคะฉิ่น KNPP เคเอ็นยู แอล.พี พาโน หจก.พี.เอส สพม กกอ กลุ่มต่างๆ เช่น SSPP เข้าร่วมในฐานะผู้นำกองทัพคนที่สองพร้อมกับผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ ในระหว่างการเดินทางนั้น การจัดตั้งสหภาพแรงงานแห่งชาติของ NDF ของแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติทำงานเพื่อความเท่าเทียมและการตัดสินใจด้วยตนเองของชนกลุ่มน้อย ผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ในท้องถิ่น ประชาชนร่วมอภิปรายอย่างคับคั่ง
ในปี 1984 คณะผู้แทน Northern Chi (MADA) ได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งพม่า หัวหน้าคณะผู้แทน Northern Chi (Madat) คือนาย U Soe Aung สมาชิกของคณะกรรมการกลาง KNU และ Phe Phu Phe ประธาน KNPP เป็นหัวหน้าทีมคนที่สอง คูรี มัน ทู เลขาธิการใหญ่ KNPP รับผิดชอบกองทัพ Mansha เป็นรองเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในแง่ของความเป็นผู้นำ Mansha อยู่ในระดับ (4) ในปี 1986 เมื่อคณะผู้แทน Northern Chi (Madat) กลับไปยังสำนักงานใหญ่ของ KNU ใน Manalpalow พวกเขาได้ดำเนินการต่อต้าน Mansha ในการลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาถูกไล่ออกจากการเป็นสมาชิกของคณะกรรมการกลาง มาเป็นทหารธรรมดา Mansha รู้สึกถึงโลกการเมืองนี้ ในแนวหน้าฉันยังต้องแบกรับความรับผิดชอบของสหายที่มีกระเป๋าเป้สะพายหลัง
ในช่วงเวลาของการจลาจลเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2531 ผู้นำทหาร ตามคำแนะนำของผู้นำ KNU นายพล Saw Bo Mya ได้มอบหมายให้ Mansha เป็นเจ้าหน้าที่ส่วนตัว การจลาจลของประชาชนในปี พ.ศ. 2531 เขายังเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการรวมนักศึกษาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่มาถึงพื้นที่ปฏิวัติ
ในปี พ.ศ. 2531 เขาเข้าร่วมในฐานะผู้นำในการก่อตั้งพรรคแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งพม่า (DAB) ในฐานะสมาชิกของคณะกรรมการบริหารกลาง เขายังเป็นหนึ่งในบุคคลที่พยายามจัดระเบียบและรวบรวมกองกำลังชาติพันธุ์และกองกำลังประชาธิปไตย ในการประชุม KNU ครั้งที่ 10 ในปี 1991 Mansha ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของคณะกรรมการกลางอีกครั้ง
เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2535 เขาได้เข้าร่วมในการก่อตั้งสภาแห่งชาติแห่งสหภาพเมียนมาร์ (UNCUB) และดำรงตำแหน่งเลขาธิการร่วม (3) เขาดำรงตำแหน่งสมาชิกของสำนักเลขาธิการจนกระทั่งเสียชีวิต ในปี 1995 (ครั้งที่ 11) รัฐสภา KNU เขาได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการร่วม (1) ในการประชุมรัฐสภาเคเอ็นยูครั้งที่ 12 ในปี พ.ศ. 2543 เขาได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการใหญ่เคเอ็นยู ในการประชุมรัฐสภา KNU ครั้งที่ 13 ในปี 2547 เขาได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการใหญ่อีกครั้ง
ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2538 ถึงสิ้นปี พ.ศ. 2539 สมาคมแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU และนะวาตะได้จัดการประชุม 4 ครั้ง และในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เขาเป็นผู้นำการประชุมครั้งที่สองที่เมืองมะละแหม่ง ในการประชุมครั้งที่สามซึ่งจัดขึ้นที่เมืองมะละแหม่งในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2539 นายพลตะมะลาโบเป็นหัวหน้ากลุ่ม Mansha เป็นผู้นำคนที่สอง ในการประชุมครั้งที่สี่ของเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2539 นายพล Tamalabo หัวหน้ากลุ่ม Mansha ทำหน้าที่เป็นผู้นำคนที่สอง
ในการพูดคุยระหว่าง KNU และ Nawata นั้น Nawata ไม่เห็นด้วยกับการยอมจำนนอย่างชัดเจน ซึ่งหมายถึงการละทิ้งแนวทางติดอาวุธและเข้าสู่กรอบกฎหมาย เขายืนหยัดในหลักการที่ KNU กำหนดไว้ในการแก้ปัญหาการเมืองด้วยวิธีการทางการเมือง Nawata โกรธ Mansha ที่ไม่สามารถให้ KNU ยอมจำนนได้ Navata ตั้งใจว่าตราบใดที่ Mansha อยู่ที่นั่น เขาก็จะไม่มีทางหลอกลวง KNU ได้
ระหว่างการเดินทางอันยาวนานกว่า 60 ปีของการปฏิวัติกะเหรี่ยง มีลูกหลานผู้ยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติกะเหรี่ยงจำนวนไม่น้อยที่ได้เสียสละเพื่อประเทศชาติและการปฏิวัติ ในช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติชาวกะเหรี่ยง โก คอ ซอว์ บาอูจี ซึ่งเป็นผู้นำขบวนการกู้ชาติชาวกะเหรี่ยง นายพล Sai K. ขยะน้อย นายพล มิน หม่อง พันตรีจิงปา ตอนนี้มันชาลาพังเป็นผู้นำระดับสูงของการปฏิวัติกะเหรี่ยง ผู้พลีชีพในการปฏิวัติชาวกะเหรี่ยงนับไม่ถ้วนได้สละชีวิตอันสูงส่งอย่างกล้าหาญ ทุกครั้งที่เราคิดถึงการเสียสละตนเองของผู้พลีชีพเหล่านี้ เราจะเสียใจ พวกเราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องเดินตามเส้นทางที่ปูด้วยชีวิตและเลือดของผู้พลีชีพเหล่านี้ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าและต่อสู้จนกว่าประชาชนจะได้รับอิสรภาพ เคเอ็นยู ปาโด มันชา ลาพัน เลขาธิการสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงกล่าวสุนทรพจน์ครั้งสุดท้ายในการสัมมนาเอกภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงสองสัปดาห์ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต “เราต้องฉลองการปฏิวัติจนถึงที่สุด” เขาสั่ง #ประโดมัญชาลาพัน #ပဒိုမန်းရှာလားဖန်
