Wealthy Thai สื่อที่มีความคิดสร้างสรรค์ ด้านการเงิน การลงทุน เพื่อนำเสนอข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือแก่นักลงทุน ติดต่อโฆษณา/สนับสนุน รบกวนติดต่อ : คุณมินตรา (เป้) 086-516-0092

ทรัมป์ระงับขึ้นภาษี หนุน SET ฟื้นลุ้นผ่านแนวต้าน 1,312 และ 1,320 จุด บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET ได้รับปัจจัยหนุนให้ฟื้น...
04/02/2025

ทรัมป์ระงับขึ้นภาษี หนุน SET ฟื้น
ลุ้นผ่านแนวต้าน 1,312 และ 1,320 จุด
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาด SET ได้รับปัจจัยหนุนให้ฟื้นตัวได้ต่อ หลังปธน. ทรัมป์ระงับการขึ้นภาษีต่อแคนนาดาและเม็กซิโกไว้ 1 เดือน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาในภาพรวมยังเป็นขาลง และยังไม่มีสัญญาณเปลี่ยนแนวโน้ม ทำให้การฟื้นตัวยังมีหลายแนวต้านคอยสกัด โดยล่าสุดอยู่ที่ 1312 และ 1320 จุด ตามลำดับ ด้านแนวรับอยู่ที่ 1280-1290 จุด

#หุ้น #ภาวะตลาดหุ้น

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด คาด SET ได้รับปัจจัยหนุนให้ฟื้นตัวได้ต่อ หลังปธน. ทรัมป์ระงับการขึ้น...

“กุมภา-ปีมะเส็ง” รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงกับ “ตราสารหนี้ทั่วโลก”...ส่วน “หุ้นเวียดนาม” พื้นฐานแกร่ง-ศก.โตดี-ราคาถูก ตอ...
03/02/2025

“กุมภา-ปีมะเส็ง” รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงกับ “ตราสารหนี้ทั่วโลก”...
ส่วน “หุ้นเวียดนาม” พื้นฐานแกร่ง-ศก.โตดี-ราคาถูก ตอบโจทย์ระยะยาว !!!
ลายแทงกองทุน: “America First” เริ่มเขย่าขวัญตลาดการลงทุนทั่วโลก และน่าจะทำให้ “เงินเฟ้อสหรัฐ” ไม่ลงง่าย อย่างไรก็ตาม ดอกบี้ยยังคงเป็นแนวโน้มขาลง ซึ่งยังส่งผลบวกต่อการลงทุนใน “ตราสารหนี้ทั่วโลก”
และยังเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ยังคงน่าสนใจลงทุนในปีนี้
ส่วน “หุ้นเวียดนาม” น่าจะประคองตัวจากนโยบายการค้าของสหรัฐได้ จากเศรษฐกิจภายในประเทศที่โตอย่างแข็งแกร่ง กำไรบจ.ยังเติบโตได้ดี ราคา “ถูก” ที่สำคัญปีนี้ น่าจะถูกยกระดับู่ตลาดเกิดใหม่ในดัชนี “FTSE EM” ด้วย นั่นจะทำให้มีเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเวียดนามอีกมากเลยทีเดียว
วันนี้ทางทีมงาน ‘Wealthy Thai’ จึงได้คัดสรร “4 กองทุนเด่น” กุมภา-ปีมะเส็ง กับ 2 ธีมที่น่าสนใจ “ตราสารหนี้โลก” และ “หุ้นเวียดนาม” มาฝากกัน
“KT-CSBOND-A” ลุย "ตราสารหนี้" ทั่วโลก เน้น "Capital Securities"
มาเริ่มกันที่ “KT-CSBOND-A: กองทุนเปิดเคแทม แคปปิตอล ซีเคียวริตี้ ฟันด์ (ชนิดสะสมมูลค่า)” ของบลจ.กรุงไทย ที่เน้นลงทุนใน “ตราสารหนี้ทั่วโลก” โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุดจากการลงทุนใน "Capital Securities" ที่มีราคาน่าสนใจ ผ่านกองทุนหลัก ‘PIMCO GIS Capital Securities Fund” ที่บริหารจัดการโดย PIMCO Global Advisors (Ireland) Limited
สำหรับหน้าตาพอร์ตของกองทุนหลัก (ณ วันที่ 31 ธ.ค. 24) พบว่ามีการลงทุนในตราสารหนี้หลักๆ ประกอบด้วย 1) Additional Tier 1 63.83% และ 2) Non-Financials อีก 26.33%
“โดยอุตสาหกรรมหลักที่ลงทุน ได้แก่ ประกอบด้วย 1) Banking 83.21% และ 2) Government 26.61% ทั้งนี้ตราสารหนี้ที่ลงทุนส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ใน 1) Eurozone 53.97%, 2) United States 41.49% และ 3) United Kingdom 19.23% ตามลำดับ”
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กองทุน ‘KT-CSBOND-A’ เคยมีผลขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -24.33%
“PRINCIPAL VNEQ-A” เฟ้น "หุ้นเวียดนาม" เพิ่มโอกาสผลตอบแทน
สลับมาที่ “PRINCIPAL VNEQ-A: กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้” ของบลจ.พรินซิเพิล ที่เน้นลงทุน "หุ้นเวียดนาม" ที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต รวมทังตราสารทุนอื่นใดที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องและ/หรือที่ได้รับผล ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนาม ด้วยการลงทุน “โดยตรง” จกทีมงานผู้จัดการกองทุนของบลจ.พรินซิเพิลเอง
สำหรับหน้าตาพอร์ต (ณ วันที่ 30 ธ.ค. 24) พบว่ามีการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมหลัก ประกอบด้วย 1) ธนาคาร 37.10%, 2) บริการรับเหมาก่อสร้าง 9.91%, 3) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 9.13%, 4) อาหารและเครื่องดื่ม 6.67% และ 5) เครื่องใช้ไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ 5.41%
“โดยหุ้นที่ลงทุนมากสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) FPT 9.13%, 2) MBB 8.75%, 3) TCB 7.08%, 4) HDB 6.63% และ 5) VCB 5.84% ตามลำดับ”
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กองทุน ‘PRINCIPAL VNEQ-A’ เคยมีผลขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -43.72%
“UPINCM” เฟ้น "หุ้นกู้" คุณภาพดีทั่วโลก
ถัดมาเป็น “UPINCM: กองทุนเปิด ยูไนเต็ด แพลตินัม อินคัม ออพพอร์ทูนิตี้ส์ พลัส ฟันด์ - หน่วยลงทุนชนิดรับซื้อคืนอัตโนมัติ” ของบลจ.ยูโอบี ที่เน้นลงทุน "หุ้นกู้" คุณภาพดีทั่วโลก โดยบลจ.อาจมอบหมายให้ “UOBAM (Singapore)” เป็นผู้รับดำเนินการลงทุนในต่างประเทศ และ UOBAM (Singapore) อาจมอบหมายให้ “Wellington Management Company” เป็นผู้รับ ดำเนินการลงทุนต่อบางส่วนหรือทั้งหมด
สำหรับหน้าตาพอร์ต (ณ วันที่ 30 ธ.ค. 24) พบว่ามีการลงทุนใน “ตราสารหนี้เอกชน” 90.55% โดยลงทุนผ่าน 2 กองทุน ประกอบด้วย

1) Jupiter Financials Contingent Capital Fund 58.99%

2) PIMCO GIS Capital Securities Fund 20.35%
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กองทุน ‘UPINCM’ เคยมีผลขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -17.26%
“MVIET” ลุย "หุ้นเวียดนาม" สไตล์ Fund of Funds
ปิดท้ายกันด้วย “MVIET: กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เวียดนาม ออพพอร์ทูนิตี้” ของบลจ.เอ็มเอฟซีที่เน้นลงทุนใน “หน่วยลงทุน” ของกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ ที่มีนโยบายการลงทุน ในตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศเวียดนาม หรือที่ผู้ออกตราสารมีธุรกิจหลักในประเทศ เวียดนาม
สำหรับหน้าตาพอร์ต (ณ วันที่ 30 ธ.ค. 24) พบว่ามีการลงทุนผ่านกองทุนที่สำคัญๆ ประกอบด้วย

1) Lumen Vietnam Fund 50.55%

2) Vietnam Equity (UCITS) Fund 48.9%
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กองทุน ‘MVIET’ เคยมีผลขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -45.4%
สำหรับใครที่กำลังมองหาโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในช่วง “ดอกเบี้ยขาลง” และตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว เชื่อว่าทั้ง 2 ธีม “ตราสารหนี้โลก” และ “หุ้นเวียดนาม” จะเป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

#กองทุน #ลายแทงกองทุน #กองตราสารหนี้โลก #กองหุ้นเวียดนาม #กรุงไทย #พรินซิเพิล #ยูโอบี #เอ็มเอฟซี

“โอสถสภา” เปิดแผนยุทธศาสตร์ปี 2568เดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ดันรายได้โตตอกย้ำความเป็นผู้นำในไทย-เร่งบุกตลาดตปท.บริษัท โอสถส...
03/02/2025

“โอสถสภา” เปิดแผนยุทธศาสตร์ปี 2568
เดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ดันรายได้โต
ตอกย้ำความเป็นผู้นำในไทย-เร่งบุกตลาดตปท.
บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ตั้งเป้ายอดขายปี 68 โตตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม พร้อมบุกตลาดเวียดนาม ด้วยเครื่องดื่ม 2-in-1 Energy + Rehydration ย้ำปี 71 ขับเคลื่อนรายได้สู่เป้าหมาย 40,000 ล้านบาท มองราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรง เกิดจากความกังวลของตลาด
นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยว่า ในปี 2568 คาดยอดขายจะเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง (Mid-single-digit) ตามการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่ม โดยบริษัทจะเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทั้ง Gen Z, มิลเลนเนียล และผู้สูงอายุ รวมถึงตอบรับกับเทรนด์การดูแลรักษาสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
โดยมีแผนผลักดันการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง และตอกย้ำตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ของ M-150 ด้วยความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ หลากหลายราคา ตอบโจทย์ความต้องการพลังงานที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ M-150 ขวดแก้วราคา 12 บาท, รสน้ำผึ้งราคา 10 บาท, M-Sparkling ในรูปแบบกระป๋องอัดก๊าซ ราคา 20 บาท
และล่าสุดออกแคมเปญฉลอง 40 ปี M-150 ฝาเหลืองลิมิเต็ดเอดิชั่นราคา10 บาท เพื่อตอบแทนผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มต่างจังหวัดที่ได้รับความกดดันด้านรายได้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมแผนสร้างการเติบโตให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ M-150 ต่อเนื่องตลอดปี พร้อมขยายช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง
“M-150 ฝาเหลืองลิมิเต็ดเอดิชั่นราคา 10 บาท เป็นการทำโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยดื่ม และดึงดูดลูกค้าเก่าให้กลับมาอีกครั้ง โดยเป็นการจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) เท่านั้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นเป้าหมายอย่างแท้จริง โดยบริษัทมีเป้าหมายผลักดันสัดส่วนทางการตลาดของ M-150 ให้กับไปอยู่ในระดับเดิมที่ 35% จากปัจจุบันที่ปรับลดลงมาอยู่ที่ 32%” นางวรรณิภากล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมขยายพอร์ตเครื่องดื่มฟังชันนัลดริงก์ ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่และเทรนด์สุขภาพ โดยมี ”ซีวิท” ซึ่งโอสถสภาเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี และ “เปปทีน” ที่เป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มบำรุงสมองและกำลังเติบโตอย่างโดดเด่น ในขณะที่เครื่องดื่มคาลพิสก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังเตรียมส่งนวัตกรรมเครื่องดื่มออกสู่ตลาดอีกมากมาย อาทิ เครื่องดื่มแก้แฮงค์ซึ่งมีโอกาสและศักยภาพสูง สอดรับกับมูลค่าตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และไลฟ์สไตล์การดื่มสังสรรค์ที่เริ่มกลับมาอีกครั้ง
รวมถึงสร้างการเติบโตกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล โดย “เบบี้มายด์” เป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์อาบน้ำสำหรับเด็ก และกำลังก้าวขึ้นชิงตำแหน่งผู้นำตลาดแป้งเด็ก พร้อมต่อยอดจุดแข็ง “ความอ่อนโยนและความหอม” ขยายสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ อาทิ เบบี้มายด์ แอนด์ บียอนด์ ที่ขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกคนในครอบครัว และสร้างสรรค์กลยุทธ์การตลาดที่นำเทรนด์เช่น Trendsetter collaboration กับ น้องหมีเนย Butterbear ในปีที่ผ่านมา ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลมีการเติบโตที่ดีต่อเนื่องในตลาดต่างประเทศ
สำหรับการสร้างการเติบโตของธุรกิจเครื่องดื่มในต่างประเทศ บริษัทจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นอกเหนือจากเมียนมาร์และลาวที่โอสถสภาเป็นผู้นำอันดับ 1 เริ่มรุกตลาดสู่เวียดนามซึ่งมีศักยภาพและอัตราการเติบโตสูง โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแบบ 2-in-1 Energy + Rehydration เพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ในเวียดนาม โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปี 2568 จะอยู่ในระดับ 25% ทรงตัวจากปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทยังดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี (67-71) ผลักดันรายได้เติบโตแตะระดับ 40,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ด้วยการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก (Grow the core) พร้อมแสวงหาโอกาสการเติบโตผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) โดยเน้นในกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มและสินค้าเครื่องใช้ส่วนบุคคล ตลอดจนธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่สามารถสร้างศักยภาพการเติบโตให้กับบริษัทในอนาคต
“ส่วนประเด็นที่ราคาหุ้นของ OSP ปรับตัวลดลงแรงในช่วงหลายวันที่ผ่านมานั้น มองว่าเซนติเมนต์โดยรวมช่วงนี้อาจไม่ดีนัก ทำให้ตลาดเกิดความกังวล แต่บริษัทไม่ได้มีความกังวล เป็นเพียงการทำโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์ตามปกติเท่านั้น เพราะหากทำแล้วขาดทุน เราคงไม่ทำ” นางวรรณิภา กล่าว
นอกเหนือจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่หลากหลายแล้ว บริษัทยังเสริมความแข็งแกร่งในด้านการดำเนินงาน ด้วยการปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีโครงสร้างและกระบวนการทำงานเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต เสริมทีมผู้บริหารด้านธุรกิจเครื่องดื่มโดยเฉพาะ เปลี่ยนจากการบริหารแบบ Functional structure สู่ Category structure อย่างชัดเจนเพื่อเสริมศักยภาพและเพิ่มความคล่องตัว
อย่างไรก็ตาม นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) จะควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเครื่องดื่มในประเทศ (Group Chief Domestic Beverage Officer) นำทัพกำหนดทิศทางและวางกลยุทธ์ธุรกิจเครื่องดื่ม เสริมด้วย Chief Marketing & Innovation Officer นำทีมการวิจัยการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์, Chief Consumer & Category Officer ดูแลการตลาดและ Trade Marketing และ Chief Customer & Channel Officer พัฒนาและขยายศักยภาพช่องทางการจัดจำหน่าย
ขณะเดียวกันบริษัทยังได้ทรานส์ฟอร์มองค์กร เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาบริหารจัดการข้อมูลและกระบวนการทำงาน ผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างเข้มข้น พร้อมเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรผ่านโมเดล "ACT" ซึ่งมุ่งเน้น Achievement (ความสำเร็จ), Consumer Focus (ชนะใจลูกค้า) และ Teamwork (คว้าชัยเป็นทีม) ที่จะทำให้พนักงานและองค์กรสามารถปรับตัว เติบโต และเผชิญความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
“โอสถสภาไม่ได้มองเพียงแค่การเติบโตในระยะสั้น แต่เราให้ความสำคัญกับการวางรากฐานเพื่อสร้างธุรกิจแห่งอนาคตด้วยแนวคิด Human Touch with Right Technology ที่ผสานความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งเข้ากับการเลือกใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด จะเป็นจุดแข็งที่ทำให้โอสถสภาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย สร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่า และเชื่อมต่อแบรนด์เข้ากับวิถีชีวิตผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ซึ่งจะทำให้โอสถสภาครองความเป็นผู้นำ และก้าวสู่เป้าหมายการเติบโตระยะยาวที่ตั้งไว้” นางวรรณิภา กล่าว

#หุ้น #หุ้นไทยวันนี้ #โอสถสภา

SET ดิ่งหนัก 24 จุด หลุดแนวรับ 1,300!วิตก “ทรัมป์” ขึ้นภาษีนำเข้า หนุนดอลลาร์แข็งค่าโบรกฯ แนะทยอยสะสมหุ้น “Domestic Play...
03/02/2025

SET ดิ่งหนัก 24 จุด หลุดแนวรับ 1,300!
วิตก “ทรัมป์” ขึ้นภาษีนำเข้า หนุนดอลลาร์แข็งค่า
โบรกฯ แนะทยอยสะสมหุ้น “Domestic Play” กำไรแกร่ง
ดัชนีตลาดหุ้นไทยเช้านี้ดิ่งหนัก 24 จุด ตามตลาดสหรัฐฯ และเอเชีย เหตุวิตก “ทรัมป์” ลงนามขึ้นภาษีนำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 25% และจีน 10% ดันดอลลาร์แข็งค่า ด้านนักวิเคราะห์แนะกลยุทธ์ลงทุน ทยอยสะสมหุ้น “Domestic Play” กลุ่มกำไร Q4/67 โตแกร่ง
วันนี้ (3 ก.พ. 68) ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 1,290.79 จุด ลดลง 23.71 จุด หรือ -1.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 27,530.37 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดลบถ้วนหน้า โดยดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 38,932.66 จุด ลดลง 639.83 จุด หรือ -1.61% ส่วนดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 20,048.87 จุด ลดลง 176.24 จุด หรือ -0.87% ขณะเดียวกันดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดที่ระดับ 2,468.74 จุด ลดลง 48.63 จุด หรือ -1.93% สำหรับตลาดหุ้นจีนปิดทำการในวันนี้เนื่องในเทศกาลตรุษจีน
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ดัชนีหลักทั้ง 3 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนลบในวันศุกร์ (31 ม.ค.) หลังนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรหลังปธน.ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) โดยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าจากแคนาดา-เม็กซิโก 25% และจากจีน 10% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. นี้ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และหุ้นที่เกี่ยวข้องอย่าง Constellation ผู้ผลิตเบียร์ และ Corona / Chipotle ร้านอาหารเม็กซิกันปรับตัวลดลง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐยังเผชิญแรงขายจากหุ้นกลุ่มพลังงานนำโดย Chevron (-4.6%) ที่รายงานผลประกอบการ 4Q24 ออกมาไม่สดใส
ขณะที่รายงานตัวเลขเศรษฐกิจในวันศุกร์ตัวเลขดัชนี PCE สหรัฐเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.6% yoy แม้จะสอดคล้องกับตลาดคาด แต่การเร่งตัวจากเดือนพ.ย. (+2.4%) สร้างความกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อ สหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูง
แนะนำจับตานโยบายการค้าสหรัฐฯ เพิ่มเติม หลังทรัมป์ระบุว่าจะเตรียมเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าอย่างน้ำมันและก๊าซในวันที่ 18 ก.พ. แต่ยังไม่มีการระบุประเทศเป้าหมายออกมา รวมถึงรายงานผลประกอบการของหุ้นขนาดใหญ่อย่าง Alphabet, Amazon, Walt Disney ล่าสุดดัชนี Futures ทั้ง DJIA และ NASDAQ 100 ร่วงลงกว่า 500 จุด เช้าวันนี้ (3 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรครั้งใหม่ของสหรัฐฯ อาจจะนำไปสู่สงครามการค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทเอกชน
สำหรับตลาดหุ้นไทยในวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดปรับตัวลงแรงจากแรงกดดันของหุ้นขนาดใหญ่ (CPALL, DELTA, GULF) รวมถึงแรงขายทำกำไรจากหุ้นในกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง ทั้งนี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้แกว่งในกรอบ 1,300-1,330 จุด โดยมองว่าแนวโน้มหลักยังไม่สดใสทั้งจากแรงกดดันจากปัจจัยภายใน ประเด็นหุ้นเฉพาะตัวที่ยังมีความไม่แน่นอน และปัจจัยภายนอก หลังปธน.ทรัมป์ ประกาศให้เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และจากจีน 10% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.นี้
ทั้งนี้ ทางด้านแคนาดาและเม็กซิโกประกาศว่าจะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดสงครามการค้ารอบใหม่ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมทั้งอาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น สัปดาห์นี้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ม.ค. ของไทย (6 ก.พ.) ตลาดคาด +1.3% yoy (vs +1.2% yoy ในเดือน ธ.ค.) รวมถึงผลประกอบการ 4Q24 (ADVANC, TIDLOR, THCOM) ในวันศุกร์นี้ (7 ก.พ.) ปัจจัยต่างประเทศ ติดตามรายงานตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐและข้อมูลเงินเฟ้อยูโรโซน (3 ก.พ.) / ตำแหน่งว่างงานเปิดใหม่จาก JOLTS (4 ก.พ.) / การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานนอก ภาคเกษตรกรรมจาก ADP – PMI ภาคการบริการสหรัฐ (5 ก.พ.) / อัตราการว่างงานและตัวเลข ภาคตลาดแรงงานสหรัฐ (7 ก.พ.) รวมถึงผลการประชุม BoE (6 ก.พ.) ที่คาดว่าจะมีการปรับลด อัตราดอกเบี้ย 0.25
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ เชิงกลยุทธ์แนะนำทยอยสะสมหุ้น ‘Domestic Play’ ที่คาดผลประกอบการไตรมาส 4/67 เติบโตเด่น เช่น ค้าปลีก, ท่องเที่ยว, สื่อสาร, ไฟแนนซ์, ขนส่งและโลจิสติกส์, นิคมอุตสาหกรรม และการแพทย์

#หุ้น #ดัชนีตลาดหุ้นไทย #หุ้นไทย #ตลาดหุ้นไทย

ส่องแนวโน้ม 3 หุ้นใหญ่กลุ่มลีสซิ่งกำไรโต-คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นโพยหุ้นในสัปดาห์นี้ Wealthy Thai อยากชวนแฟนเพจมาสำรวจแนวโน...
03/02/2025

ส่องแนวโน้ม 3 หุ้นใหญ่กลุ่มลีสซิ่ง
กำไรโต-คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น
โพยหุ้นในสัปดาห์นี้ Wealthy Thai อยากชวนแฟนเพจมาสำรวจแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 และปี 2567 ของหุ้นใหญ่ในกลุ่มลีสซิ่งอย่าง SAWAD, MTC และ TIDLOR ว่าจะเป็นอย่างไร จะเติบโตแค่ไหน และยังน่าสนใจเข้าลงทุนหรือไม่
มาเริ่มกันที่ SAWAD หรือ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดว่าบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ที่ 1,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2% จากไตรมาสก่อนหน้า เพราะรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2% จากไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้การขายประกัน
อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ลดลง 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2% จากไตรมาสก่อนหน้า จากขาดทุนรถยึดลดลงเหลือ 150-200 ล้านบาท จากไตรมาส 3/67 ที่ 250 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 5% จากไตรมาสก่อนหน้า เพราะการชำระหนี้ของลูกหนี้ดีขึ้น สำหรับสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาส 3/67 จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อจำนำทะเบียน ด้านคุณภาพสินทรัพย์ควบคุมได้ NPL Ratio ที่ 3.50% ใกล้กับไตรมาส 3/67 ที่ 3.49%
ทั้งนี้ หากอ้างอิงคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของบล.กรุงศรี ที่ 1,320 ล้านบาท จะส่งผลให้ภาพรวมกำไรสุทธิปี 2567 ของ SAWAD จะอยู่ที่ราว 5,147 ล้านบาท เติบโต 2.94% จากปีก่อน
ส่วนคำแนะนำการลงทุนบล.กรุงศรี แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 42 บาท เพราะเห็นพัฒนาการทางด้านบวกในด้านคุณภาพสินทรัพย์ ทั้งการลดลงของขาดทุนรถยึด การลดลงของลูกหนี้ stage 2 และการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) รวมถึงกำไรสุทธิปี 2568 คาดกลับมาเติบโต 10% จากปี 2567 ที่ทรงตัว
สำหรับ MTC หรือ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) นักวิเคราะห์จากบล.กรุงศรี คาดจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ที่ 1,510 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 1% จากไตรมาสก่อนหน้า เพราะการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ย (NII) ที่ 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 3% จากไตรมาสก่อนหน้า จากสินเชื่อรวมที่เพิ่มขึ้น จากกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกันเป็นหลัก และการขยายสาขาที่ 8,172 สาขา ด้านคุณภาพสินทรัพย์บริหารได้ดีมาก NPL Ratio อยู่ที่ 2.80% ลดลงต่อจาก 2.82% ในไตรมาส 3/67 จากการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ดีขึ้น
หากอ้างอิงคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของบล.กรุงศรี ที่ 1,510 ล้านบาท จะส่งผลให้ภาพรวมกำไรสุทธิปี 2567 ของ MTC จะอยู่ที่ราว 5,835 ล้านบาท เติบโต 18.92% จากปีก่อน
ด้านคำแนะนำการลงทุน บล.กรุงศรี ยังคงคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 58 บาท พร้อมคงเป็น Top Pick ของกลุ่ม Consumer Finance เพราะมีการพัฒนาการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงบวกตั้งแต่ไตรมาส 3/67 และการตามเก็บหนี้ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อในปี 2568 รวมถึงคาดผลประกอบการไตรมาส 4/67 ถึงปี 2568 ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
ขณะที่ TIDLOR หรือ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คาดกําไรสุทธิไตรมาส 4/67 (งบประกาศ 7 ก.พ. 68) ที่ 1,049 ล้านบาท เติบโต 6% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนด้วยแนวโน้มรายได้เติบโตจากสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมฯ (ตามฤดูกาล) ประกอบกับทิศทาง CREDIT COST ลงตาม NPL อยู่ในการบริหารจัดการ โดยคาดทรงตัวจากไตรมาส 3/67 ที่ 1.9% หลังมีการเก็บกวาด NPL ช่วงก่อนหน้า รวมถึง นโยบายสินเชื่อปล่อยใหม่เข้มงวดและการตามเก็บหนี้ดีขึ้น
หากอ้างอิงคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของบล.เอเซีย พลัส ที่ 1,049 ล้านบาท จะส่งผลให้ภาพรวมกำไรสุทธิปี 2567 ของ TIDLOR จะอยู่ที่ราว 4,235 ล้านบาท เติบโต 11.74% จากปีก่อน
ส่วนคำแนะนำการลงทุน บล.เอเซีย พลัส ยังคงแนะนํา “Outperform” ให้ราคาเป้าหมายที่ 19.50 บาท จากระดับ PER ที่ซื้อขาย 10 เท่า ไม่แพงเมื่อเทียบกับกลุ่มฯ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐช่วงไตรมาส 1/68 คาดช่วยให้คุณภาพสินทรัพย์ช่วงดังกล่าวอยู่ในการควบคุม

#หุ้น #โพยหุ้น #หุ้นลีสซิ่ง

SET สัปดาห์นี้แกว่งตัวในกรอบ 1,290-1,340 จุดโบรกฯ แนะกลยุทธ์เน้นหุ้นผลงานแกร่ง-ปันผลสูงบล.กสิกรไทย ประเมินดัชนีหุ้นไทยสั...
03/02/2025

SET สัปดาห์นี้แกว่งตัวในกรอบ 1,290-1,340 จุด
โบรกฯ แนะกลยุทธ์เน้นหุ้นผลงานแกร่ง-ปันผลสูง
บล.กสิกรไทย ประเมินดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่งตัวในกรอบ 1,290-1,340 จุด มองแนวโน้มหลักยังเป็นขาลง รับประเด็นกดดันปม “ทรัมป์” ขึ้นภาษีนำเข้า ด้านกลยุทธ์เแนะนำเน้นหุ้นผลงานแกร่ง-ราคาถูก-ปันผลสูง

#หุ้น #ภาวะตลาดหุ้น #ดัชนีหุ้นไทย

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ คาดตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่งตัวในกรอบ 1,290-1,340 จุด ม...

03/02/2025

ใครอยาก “ปลดหนี้ไว” ยกมือขึ้น...เปิด 5 แนวทาง ช่วยคุณ “ปลดหนี้” ได้ไวของจริง !!!
#กองทุน

เส้นทาง “อิสรภาพทางการเงิน”...จาก “ความฝัน” สู่ “ความจริง” ที่ใครๆ ก็ทำได้ !!!Wealth EZ: คุณเคยฝันถึงชีวิตที่ไม่ต้องกังว...
02/02/2025

เส้นทาง “อิสรภาพทางการเงิน”...
จาก “ความฝัน” สู่ “ความจริง” ที่ใครๆ ก็ทำได้ !!!
Wealth EZ: คุณเคยฝันถึงชีวิตที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง มีเวลาทำสิ่งที่รัก และเกษียณได้เร็วหรือไม่ ถ้าใช่ สิ่งที่คุณกำลังนึกถึง คือ “อิสรภาพทางการเงิน” (Financial Freedom) ซึ่งหมายถึงสถานะที่บุคคลมีรายได้เพียงพอจากการลงทุนหรือแหล่งรายได้แบบ “Passive Income” เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องทำงานประจำอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การบรรลุอิสรภาพทางการเงินไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ วินัยทางการเงินที่เข้มแข็ง และความอดทนในระยะยาว
“อิสรภาพทางการเงิน”: ความฝันที่เป็นจริงได้
“อิสรภาพทางการเงิน” คือ สภาวะที่มีรายได้เพียงพอจากทรัพย์สินที่สร้าง “กระแสเงินสด” (Cash Flow Generating Assets) โดยไม่ต้องทำงานประจำ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง แต่คำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” ไม่ได้หมายถึงการมีเงินล้นฟ้าหรือใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย แต่หมายถึงการมีเงินเพียงพอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขตามแบบฉบับของตัวเอง
ตัวอย่าง: นาย ก. อายุ 45 ปี มีเงินออม 10 ล้านบาท ลงทุนในหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี เท่ากับว่ามีรายได้ 500,000 บาทต่อปี หรือประมาณ 41,000 บาทต่อเดือน โดยไม่ต้องทำงานประจำ ถ้าค่าใช้จ่ายของนาย ก. อยู่ที่ 35,000 บาทต่อเดือน ก็ถือว่ามี “อิสรภาพทางการเงิน” แล้ว
ทำไม “อิสรภาพทางการเงิน” ถึงสำคัญ
- ความมั่นคงในชีวิต เมื่อมี “อิสรภาพทางการเงิน” ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีเงินพอใช้จ่ายในอนาคตหรือไม่ ทำให้ชีวิตมีความมั่นคงมากขึ้น
- อิสระในการเลือก สามารถเลือกทำในสิ่งที่รักและมีความหมายต่อชีวิต โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลตอบแทนทางการเงินเป็นหลัก
- คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีเวลาให้กับครอบครัว งานอดิเรก และการพัฒนาตัวเองมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพกายและใจ
- ความสามารถในการช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง สามารถอุทิศเวลาและทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือสังคมได้มากขึ้น
เส้นทางสู่ “อิสรภาพทางการเงิน”
การสร้าง “อิสรภาพทางการเงิน” ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปถ้ามีแผนที่ชัดเจนและมุ่งมั่นทำตามแผน นี่คือขั้นตอนสำคัญในการสร้าง “อิสรภาพทางการเงิน”
- กำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน ควรรู้ก่อนว่าต้องการอะไร “อิสรภาพทางการเงิน” หน้าตาเป็นอย่างไร ต้องการมีเงินเท่าไรถึงจะพอใช้โดยไม่ต้องทำงานประจำ วิธีการ คือ คำนวณค่าใช้จ่ายรายเดือนคูณด้วย 12 เดือน แล้วคูณด้วยจำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ
ตัวอย่าง: ต้องการใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท และคาดว่าจะมีชีวิตอยู่อีก 30 ปีหลังเกษียณ ก็ต้องมีเงิน 30,000 x 12 x 30 = 10,800,000 บาท แต่อย่าเพิ่งตกใจกับตัวเลขนี้ เพราะเป็นแค่ตัวเลขคร่าวๆ เท่านั้น ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ เพราะเงินที่มีจะงอกเงยขึ้นเรื่อยจากการนำไปลงทุน
- ลงทุน การลงทุนเป็นกุญแจสำคัญสู่ “อิสรภาพทางการเงิน” เพราะการออมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากค่าเงินมักลดลงเรื่อยๆ ตามอัตราเงินเฟ้อ จึงควรเริ่มต้นด้วยการลงทุนอย่างน้อย 15 - 20% ของรายได้ในแต่ละเดือน
“สำหรับมือใหม่ อาจเริ่มการลงทุนใน ‘กองทุนรวม’ โดยเฉพาะกองทุนดัชนี (Index Fund) ซึ่งมีค่าธรรมเนียมต่ำและให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดโดยรวม อีกวิธีที่ง่ายและได้ผลดี คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) คือ การลงทุนเป็นประจำทุกเดือนในจำนวนที่เท่าๆ กัน ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด และสร้างวินัยในการลงทุน”
- ลดหนี้สินให้เหลือน้อยที่สุด หนี้สินเป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุ “อิสรภาพทางการเงิน” โดยเฉพาะหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือหนี้นอกระบบ ดังนั้น ถ้ามีหนี้สิน ให้พยายามชำระให้หมดโดยเร็วที่สุด
- สร้างเงินออมฉุกเฉิน เงินออมฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญมากในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ควรมีเงินออมอย่างน้อย 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งการมีเงินออมฉุกเฉินจะช่วยให้ไม่ต้องกังวลเวลาเกิดเรื่องไม่คาดคิด และไม่ต้องพึ่งพาการกู้ยืมซึ่งอาจทำให้เป็นหนี้เพิ่ม
- สร้างแหล่งรายได้หลายทาง นอกจากงานประจำ การสร้างแหล่งรายได้หลายทาง เป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินและก้าวสู่อิสรภาพทางการเงินเร็วขึ้น
- ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง การมีวินัยในการใช้จ่ายและรู้จักแยกแยะระหว่างความต้องการและความจำเป็นเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอิสรภาพทางการเงิน
- วางแผนเกษียณอายุ เริ่มออมและลงทุนเพื่อวัยเกษียณตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้มีเวลาในการสร้างผลตอบแทนทบต้นที่มากขึ้น
นอกจากขั้นตอนพื้นฐานที่กล่าวมาแล้ว ยังมีเคล็ดลับเพิ่มเติมที่จะช่วยให้บรรลุ “อิสรภาพทางการเงิน” ได้เร็วขึ้น
- ใช้พลังของการทบต้น (Compound Interest) “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” เคยกล่าวว่า “ดอกเบี้ยทบต้น” เป็นปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ ยิ่งเริ่มออมและลงทุนเร็วเท่าไร ก็จะได้ประโยชน์จากการทบต้นมากขึ้นเท่านั้น เช่น ถ้าเริ่มลงทุน 1,000 บาทต่อเดือนตั้งแต่อายุ 25 ปี และได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี เมื่ออายุ 60 ปี จะมีเงินประมาณ 1.9 ล้านบาท แต่ถ้าคุณเริ่มตอนอายุ 35 ปี จะมีเงินเพียง 860,000 บาทเท่านั้น
- ลงทุนในตัวเอง การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด คือ การลงทุนในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาเพิ่มเติม การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรือการดูแลสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
- สร้างแหล่งรายได้แบบ “Passive Income” เป็นรายได้ที่ได้รับโดยไม่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง เช่น รายได้จากการลงทุน ค่าลิขสิทธิ์ หรือรายได้จากธุรกิจออนไลน์ การมี Passive Income จะช่วยให้มี “อิสรภาพทางการเงิน” เร็วขึ้น
- หาที่ปรึกษาทางการเงิน การมี “นักวางแผนการเงิน” ช่วยวางแผนให้จะยิ่งดี เพราะ “นักวางแผนการเงิน” จะมองได้รอบด้านมากขึ้น เช่น การลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจากการเจ็บป่วย หรือเหตุอื่นๆ ในชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้รายได้ที่ตั้งใจจะเตรียมไว้ใช้ไม่รั่วไหลในระหว่างทาง
- มีความยืดหยุ่นในแผนการเงิน ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ดังนั้น แผนการเงินควรมีความยืดหยุ่นพอที่จะปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ทบทวนและปรับแผนการเงินเป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้ง
มีเท่าไร ถึงเรียกว่ามี “อิสรภาพทางการเงิน”
“อิสรภาพทางการเงิน” ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรวยล้นฟ้า แต่คือสถานะที่มีเงินเพียงพอที่จะใช้ชีวิตตามที่ต้องการ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป ซึ่งแต่ละคนก็จะมีนิยามของการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป แต่คำถามตามมา คือ จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องมีเงินเท่าไรถึงจะพอ
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และค่าใช้จ่ายของตัวเอง ลองจินตนาการดูว่าถ้าไม่ต้องทำงานแล้ว อยากใช้ชีวิตแบบไหน อยากอยู่บ้านหลังใหญ่ อยากขับรถหรู อยากเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ หรืออยากใช้ชีวิตเรียบง่าย เมื่อรู้แล้วว่าอยากใช้ชีวิตแบบไหน ก็ลองคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ดู ว่าควรมีเงินใช้จ่ายต่อเดือนละเท่าไร
สูตร: เงินที่ต้องการ = ค่าใช้จ่ายต่อปี x 25
เช่น ถ้ามีค่าใช้จ่ายปีละ 600,000 บาท จะต้องมีเงินประมาณ 15 ล้านบาท (600,000 x 25) จึงจะถือว่ามี “อิสรภาพทางการเงิน” (เหตุผลที่ต้องคูณ 25 เพราะหลักการที่เรียกว่า กฎ 4% ซึ่งเชื่อว่าถ้าถอนเงินออกมาใช้ปีละ 4% ของเงินลงทุนทั้งหมด เงินก้อนนั้นจะอยู่ได้นานถึง 30 ปี)
หมายเหตุ: สูตร x 25 สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามอายุขัยที่แต่ละคนประมาณการ ซึ่งอาจไม่เท่ากัน
จากตัวอย่าง เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการคำนวณเท่านั้น ในความเป็นจริง จำนวนเงินที่ต้องการอาจจะน้อยกว่านี้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ ถ้าพอใจกับชีวิตเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ค่าใช้จ่ายก็จะน้อยลง
- แหล่งรายได้อื่นๆ เช่น เงินบำนาญ สวัสดิการจากภาครัฐ
- สถานที่อยู่อาศัย ค่าครองชีพในแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน บางคนเลือกย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศที่ค่าครองชีพถูกกว่า
- สุขภาพ ถ้าสุขภาพแข็งแรง ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลก็จะน้อยลง
- ทักษะและความสามารถ ถ้ามีความสามารถพิเศษก็สามารถสร้างรายได้เสริมได้โดยไม่ต้องทำงานประจำ
“อิสรภาพทางการเงิน” ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันอีกต่อไป ด้วยการวางแผนที่ดี มีวินัย และอดทน ทุกคนสามารถก้าวไปสู่จุดนั้นได้ แม้ว่าเส้นทางอาจจะท้าทาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ากับความพยายามอย่างแน่นอน
ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand และ http://www.tfpa.or.th

#อิสรภาพทางการเงิน #การวางแผนทางการเงิน

PTTEP โบรกฯ ชูปันผลสูง 6% ต่อปีชี้เป็นหุ้นพลังงานเสี่ยงนโยบายรัฐจำกัดหุ้นพลังงานเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน...
02/02/2025

PTTEP โบรกฯ ชูปันผลสูง 6% ต่อปี
ชี้เป็นหุ้นพลังงานเสี่ยงนโยบายรัฐจำกัด
หุ้นพลังงานเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจขนาดใหญ่และการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งมักส่งผลต่อภาพรวมดัชนีไม่มากก็น้อย นอกจากนี้หุ้นพลังงานหลายหลักทรัพย์ยังให้ผลตอบแทนจากปันผลสูง อย่างเช่น PTTEP หรือ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ที่ล่าสุดพึ่งประกาศผลงานปี 2567 และจะจ่ายปันผลในอัตรา 5.125 บาทต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ถึง 4%
โดย PTTEP ประกาศงบไตรมาส 4/67 มีกำไรสุทธิ 1.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า และทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ภาพรวมกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 7.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นปีที่ 3
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเคยประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตรา 4.50 บาทต่อหุ้น ล่าสุด PTTEP ได้ประกาศจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ในอัตรา 5.125 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 25 ก.พ. 2568 และจะจ่ายปันผลในวันที่ 22 เม.ย. 2568 ส่งผลให้ทั้งนี้ปี 2567 บริษัทจะจ่ายปันผลรวมในอัตรา 9.625 บาท
ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า PTTEP ประกาศจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 2567 ที่ 5.125 บาทต่อหุ้น (เป็นไปตามที่ตลาดส่วนใหญ่ประเมินไว้ในช่วง 4.50 –5.50 บาทต่อหุ้น) คิดเป็น Dividend Yield สูง 4.1% ช่วยจำกัด Downside ระยะสั้นให้แก่หุ้นช่วงตลาดหุ้นผันผวน
นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าในปี 2568 บริษัทจะจ่ายปันผลในอัตรา 7.53 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่ 6% ส่วนปี 2569 คาดจะจ่ายปันผลที่ 7.51 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่ 6% เช่นเดียวกัน
ขณะที่ทิศทางไตรมาส 1/68 ฝ่ายวิเคราะห์มองแนวโน้มชะลอตัว เบื้องต้นคาดทำได้ระดับ 1.6 หมื่นล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายจะลดลงจากไตรมาส 4/67 เพราะเข้าสู่ช่วงปิดซ่อมบำรุงแหล่งปิโตรเลียม G2 ในอ่าวไทย และปริมาณส่งมอบน้ำมันโครงการโอมาน – แอลจีเรียกลับสู่ระดับปกติ ส่วนการลดลงจากไตรมาส 1/67 เป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรปี 2568 ที่ 6.6 หมื่นล้านบาท ลดลง 16% จากปีก่อน ตามทิศทางราคาน้ำมัน (สมมติฐานน้ำมันดิบดูไบที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐฯ /บาร์เรล เทียบกับปี 2567 ที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ /บาร์เรล) ทั้งนี้ มองเป็นการชะลอตัวจากฐานสูง โดยภาพรวมกำไรยังแข็งแกร่ง และ ROE ยังสูง 11-12% เพราะคาดปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 500-510 kboed ทำสถิติสูงสุดใหม่ และราคาขายก๊าซจะลดลงเพียงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้ประโยชน์จากโครงสร้างสัญญาราคาขายที่มี Lag-time 6-12 เดือน
ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 158 บาท เพราะเป็นหุ้นพลังงานที่ผลประกอบการแข็งแกร่งไว้ใจได้ อีกทั้งฐานะการเงินมั่นคงด้วยสถานะ Net Cash Company ประกอบกับราคาปัจจุบันมี Dividend Yield ปี 2568 สูง 6% ต่อปี นอกจากนี้ยังเป็นหุ้นพลังงานที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากนโยบายแทรกแซงพลังงานจำกัดด้วย

#หุ้น #หุ้นปันผล #หุ้นพลังงาน #หุ้นปิโตรเคมี #ปตทสผ #หุ้นไทยวันนี้

02/02/2025

“อาณาจักรกองทุนไทย” ปี24 AUM ทะยานแตะ 9.6 ล้านลบ. เพิ่มขึ้น +10.49% คิดเป็น 54% GDP, “บลจ.ดาโอ” โตสุด +95.55%, “บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์” ร่วงสุด -98.36%, “บลจ.ไทยพาณิชย์” ส่วนแบ่งมากสุด 20.15% !!!
#กองทุน ันละนิด

การบรรลุเป้าหมายด้าน “ความยั่งยืน” ที่แท้จริง...ขึ้นอยู่กับการมี “G” (Governance) ที่เข้มแข็ง !!!Wealth Sustainable: “คว...
01/02/2025

การบรรลุเป้าหมายด้าน “ความยั่งยืน” ที่แท้จริง...
ขึ้นอยู่กับการมี “G” (Governance) ที่เข้มแข็ง !!!
Wealth Sustainable: “ความหลากหลายทางชีวภาพ” (Biodiversity) เป็นรากฐานสำคัญที่สนับสนุนความยั่งยืนของระบบนิเวศและเศรษฐกิจของโลก กิจการต่างๆ ล้วนพึ่งพาธรรมชาติในการดำเนินธุรกิจไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ดี การลดลงของ “ความหลากหลายทางชีวภาพ” ในปัจจุบันได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของทรัพยากรและความเสี่ยงต่อธุรกิจในระยะยาว
โดยงานวิจัยของ “Stockholm Resilience Centre” ระบุว่า การสูญเสียความสมบูรณ์ของชีวมณฑล (Loss of Biosphere Integrity) ได้เกินขีดความสามารถในการรองรับของโลกแล้ว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหันหรือไม่สามารถหาทางแก้ไขให้กลับมาเป็นดังเดิมได้ อันจะสร้างความเสียหายต่อสังคมและเศรษฐกิจทั่วโลกในอนาคต
เพื่อรับมือกับ “วิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพ” ที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หลายหน่วยงานทั่วโลกได้ดำเนินการสนับสนุนการอนุรักษ์และการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น กรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออล ว่าด้วย “ความหลากหลายทางชีวภาพของโลก” (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework: KM-GBF) ซึ่งจัดทำและรับรองในการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วย “ความหลากหลายทางชีวภาพ” (Convention on Biological Diversity: CBD) สมัยที่ 15 (COP 15) เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานด้าน “ความหลากหลายทางชีวภาพ” ในระดับโลก หรือออกกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์ที่ปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป และกฎหมายการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพของสาธารณรัฐฝรั่งเศส เป็นต้น
“ประเทศไทยในฐานะภาคีของ CBD ได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับประเทศ (National Biodiversity Strategies and Action Plans: NBSAPs) มาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน NBSAPs เป็นฉบับที่ 5 โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดทำ ซึ่งแผนดังกล่าวได้กำหนดเป้าหมายระดับชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (เป้าหมายระดับชาติฯ) เพื่อคุ้มครอง อนุรักษ์ และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ของความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน”
นอกจากนี้ ไทยยังได้ลงนามใน “NBSAP Accelerator Partnership” ซึ่งเป็นกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก เพื่อสนับสนุนการจัดทำและขับเคลื่อนการดำเนินงานตาม “NBSAPs” ให้บรรลุตามเป้าประสงค์และเป้าหมายของ “KM-GBF” และวิสัยทัศน์ระดับโลกในการอยู่อย่างสอดคล้องและปรองดองกับธรรมชาติ (Living in harmony with nature) ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) ด้วย
สำหรับ “NBSAPs” ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 – 2570) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบร่างแผนเมื่อเดือนตุลาคม 2567 มีการกำหนดเป็นเป้าหมายระดับชาติฯ ที่จะต้องบรรลุภายใน พ.ศ. 2573 ได้แก่ (1) การมีพื้นที่คุ้มครองและพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตพื้นที่คุ้มครอง (OECMs) ของประเทศทั้งบนบกและในทะเลอย่างน้อยร้อยละ 30 (2) ดัชนีสถานภาพชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม (Red List index) ไม่น้อยลงจากข้อมูลปีฐาน พ.ศ. 2568 (3) การมีมาตรการในการจัดการสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่รุกรานที่มีลำดับความสำคัญสูงอย่างน้อยร้อยละ 35 และ (4) สัดส่วนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่ม SET50 ที่เปิดเผยข้อมูลการดำเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงกับความหลากหลายทางชีวภาพโดยสมัครใจ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30
“เป้าหมายที่ 4 นี้เป็นเป้าหมายที่ตลาดทุนจะมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครอง อนุรักษ์ และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ของความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน โดยบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET50 สามารถเปิดเผยข้อมูลที่เชื่อมโยงกับความหลากหลายทางชีวภาพ หรือข้อมูลความเสี่ยง การพึ่งพา และผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงนโยบาย แผน กลยุทธ์ การบริหารความเสี่ยง และผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ การเปิดเผยดังกล่าวเป็นลักษณะสมัครใจ โดยสามารถอ้างอิงกรอบการรายงานตามแนวทางสากล เช่น The Taskforce on Nature-related Financial Disclosures (TNFD) Framework หรือ Global Reporting Initiative (GRI) 101: Biodiversity 2024 เป็นต้น เพื่อช่วยให้การรายงานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพมีมาตรฐาน โปร่งใส น่าเชื่อถือ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล”
ก.ล.ต. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และมุ่งเดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและเข้าใจถึงความเสี่ยงและโอกาสที่จะเกิดกับภาคธุรกิจ โดยเตรียมจะเปิดการจัดอบรมสัมมนาให้แก่บุคลากรของบริษัทจดทะเบียน ตั้งแต่ระดับกรรมการและผู้บริหารที่เป็นผู้กำหนดนโยบายและเป้าหมายของบริษัท ไปจนถึงระดับผู้ปฏิบัติ รวมทั้งเตรียมจัดทำคู่มือเพิ่มเติม เพื่อให้บริษัทมีความพร้อมในการดำเนินการด้านความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลโดยสมัครใจ และสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนกลุ่ม SET50 ในการบรรลุเป้าหมายระดับชาติฯ ข้างต้น
นอกจากนี้ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างติดตามและศึกษามาตรฐานและแนวทางสากลที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย ทั้งในด้านการระดมทุนและการเปิดเผยข้อมูล เพื่อเป็นเครื่องมือให้บริษัทจดทะเบียนและผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถนำมาใช้ได้ในอนาคต
เป้าหมายระดับชาติที่ส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลด้าน “ความหลากหลายทางชีวภาพ” ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET50 เป็นการดำเนินการในลักษณะของ “ความสมัครใจ” ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวไม่เพียงสนับสนุนเป้าหมายระดับประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่บริษัทจะได้แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสีย อย่างไรก็ดี เนื่องจากบริบทของแต่ละบริษัทมีความแตกต่างกันทั้งในด้านการพึ่งพา ผลกระทบ ความเสี่ยง และโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ
“ดังนั้น บริษัทควรพิจารณาว่าความหลากหลายทางชีวภาพมีสาระสำคัญ (Materiality) ต่อบริบทการดำเนินงานของตนในระดับใด รวมถึงควรมีแนวทางการบริหารจัดการ ปกป้องคุ้มครอง อนุรักษ์ หรือฟื้นฟู ความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทการดำเนินธุรกิจ โดยการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องนี้เป็นปลายทางสำคัญของกระบวนการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและเป็นการให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียสำหรับประกอบการตัดสินใจอย่างรอบด้าน”
แม้ “ความหลากหลายทางชีวภาพ” อาจถูกมองว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในมิติ “E” (Environment) ของกรอบ “ESG” แต่การบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่แท้จริงนั้นขึ้นอยู่กับการมี “G” (Governance) ที่เข้มแข็ง บริษัทควรกำหนดนโยบายและกลไกในการบูรณาการความหลากหลายทางชีวภาพเข้าสู่กระบวนการตัดสินใจทางธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ไปพร้อมๆ กับการมีความรับผิดชอบต่อสังคมและโลกใบนี้

#กลต

ที่อยู่

Chamnan Penjati Building 2nd Fl. , Rama 9 Road , Huaykwang
Bangkok
10310

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Wealthy Thaiผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Wealthy Thai:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

WEALTHY THAI | เกตเวย์สู่ความมั่งคั่ง

เรามุ่งหวังให้ข้อมูลที่นำเสนอ ช่วยให้คนไทยมีความรู้ สู่เส้นทางความมั่นคง และมั่งคั่ง ด้านความรู้ทางด้านการเงิน และการลงทุน

ด้วยเป้าหมายนำเสนอข้อมูล และความรู้การเงิน การลงทุน ให้เข้าถึงง่าย และน่าสนใจมากขึ้นเน้นรูปแบบการนำเสนอที่ผสมผสานระหว่างข้อมูลเชิงลึกที่น่าเบื่อ เข้าใจยาก กับความคิดสร้างสรรค์ และTrend การสื่อสารเข้าด้วยกัน

---

ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ [email protected] ติดต่อโฆษณา [email protected]