Wealthy Thai สื่อที่มีความคิดสร้างสรรค์ ด้านการเงิน การลงทุน เพื่อนำเสนอข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือแก่นักลงทุน ติดต่อโฆษณา/สนับสนุน รบกวนติดต่อ : คุณมินตรา (เป้) 086-516-0092

“บลจ.ยูโอบี” เติมเต็มกองทุน “ThaiESG” เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำส่ง “UTSB-THAIESG” ลงทุน “ตราสารหนี้ภาครัฐไทยยั่งยืน”ขาย I...
09/12/2024

“บลจ.ยูโอบี” เติมเต็มกองทุน “ThaiESG” เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ
ส่ง “UTSB-THAIESG” ลงทุน “ตราสารหนี้ภาครัฐไทยยั่งยืน”
ขาย IPO วันที่ 9 – 13 ธ.ค. 67 นี้ !!!
กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ตราสารหนี้ไทย ซัสเทนเนเบิล - ชนิดหน่วยลงทุนไทยเพื่อความยั่งยืน ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและไม่จ่ายเงินปันผล

- เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทย ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับด้านความยั่งยืน

- มีความน่าเชื่อถือสูง

- ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

- ระดับความเสี่ยงกองทุน = 3 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ)

- ไม่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำ

- เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ-ปานกลาง
เสนอขายครั้งแรก IPO ตั้งแต่วันที่ 9-13 ธันวาคม 2567
สามารถดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.uobam.co.th/th/mutual-fund/00842/UTSB-THAIESG
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ตัวแทนจำหน่าย บลจ.ยูโอบี หรือที่ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด
โทร 02-786-2222

https://www.uobam.co.th/th/home
คำเตือน

• ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

• ผู้ลงทุนควรศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมดังกล่าวด้วย

• ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดข้อมูลต่างๆ ในหนังสือชี้ชวน SRI Fund ก่อนการลงทุน เพื่อให้รับทราบถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ ก่อนการลงทุน อาทิ นโยบายการลงทุน หลักทรัพย์ที่กองทุนนั้นได้ไปลงทุน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ตลอดจนค่าธรรมเนียม รวมถึงสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนที่ได้รับอนุญาตก่อนการซื้อขาย ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อของกองทุน SRI Fund ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ทุกครั้งก่อนการตัดสินใจลงทุน

#กองทุน #ลดหย่อนภาษี

09/12/2024

เคาะแล้ว! “โรงพยาบาลนครธน” หรือ NKT เสนอขาย IPO ที่ราคา 7.80 บาท/หุ้น

KTC เปิดแผนปี 68วางเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรโต 10-12%พร้อมมุ่งเป็นองค์กรดิจิทัลเต็มรูปแบบ นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน...
09/12/2024

KTC เปิดแผนปี 68
วางเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรโต 10-12%
พร้อมมุ่งเป็นองค์กรดิจิทัลเต็มรูปแบบ
นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เปิดเผยว่า เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ จะช่วยเพิ่มรายได้ในภาคประชาชนและสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกกับธุรกิจบริการสินเชื่อผู้บริโภค
สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2568 เคทีซีคาดว่าพอร์ตสินเชื่อรวมจะขยายตัวที่ 4-5% และคุมอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Ratio) รวมให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2% และมีแผนระดมเงินกู้ยืมระยะยาวประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ ลงทุนด้านเทคโนโลยี รวมถึงรองรับหุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาวที่จะครบกำหนดประมาณ 13,000 ล้านบาท
ในส่วนของยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตปี 2568 คาดจะเติบโตที่ประมาณ 10-12% ด้วยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ไม่ต่ำกว่า 320,000 ล้านบาท และเพิ่มจำนวนสมาชิกใหม่ 250,000 บัตร โดยเน้นกลุ่มผู้มีรายได้ 50,000 บาทขึ้นไป รวมถึงกลุ่มคนเริ่มทำงาน (First Jobber) สร้างความแตกต่างในด้านการทำกิจกรรมทางการตลาดและส่งเสริมการขายโดยใช้จุดแข็งด้านคะแนนสะสม KTC FOREVER ในการเพิ่มมูลค่าให้สมาชิก โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทุกหมวดสำคัญ เช่น หมวดอาหาร ช้อปปิ้ง เติมน้ำมัน และท่องเที่ยว เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมาชิกทุกกลุ่มเซ็กเมนต์
ส่วนธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ตั้งเป้าเติบโตที่ 3% และคุม NPL Ratio ให้อยู่ในระดับต่ำกว่าระดับ 2.8% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม 3.3% โดยเน้นการขยายฐานสมาชิกใหม่ผ่านพันธมิตรธุรกิจต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อผ่านช่องทางสมัครสินเชื่อออนไลน์ E-Application ที่ลูกค้าสามารถทำรายการได้ด้วยตนเอง รู้ผลอนุมัติพร้อมรับเงินโอนเข้าบัญชีภายใน 30นาที พร้อมสร้างประสบการณ์การใช้งานให้กับสมาชิกผ่านฟังก์ชัน “รูด โอน กด ผ่อน” ครบจบในบัตรเดียว และสานต่อโครงการ “เคลียร์หนี้” เพื่อเสริมวินัยทางการเงินแก่สมาชิก
ขณะที่สินเชื่อ "เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน" ตั้งเป้าการเติบโตที่ 3,000 ล้านบาท เน้นขยายพอร์ตสินเชื่อคุณภาพผ่านสาขาธนาคารกรุงไทยตัวแทนจำหน่าย และพันธมิตรธุรกิจต่างๆ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำและเจ้าของกิจการขนาดเล็กที่เป็นเจ้าของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ และกำลังมองหาสินเชื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายและปลอดภัย พร้อมรับวงเงินใหญ่สูงสุด 100% ของราคาประเมิน อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที โดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน
นอกจากนี้ เคทีซียังได้เตรียมการเพื่อก้าวสู่องค์กรดิจิทัลอย่างยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ “Building a Sustainable Future Through Digital Transformation” บน 4 แนวทางหลัก ประกอบด้วย
1. Reach Better ใช้ช่องทางดิจิทัลในการขยายฐานสมาชิกกลุ่มใหม่ที่นิยมทำรายการด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการด้วยการพัฒนา E-Application ที่ง่าย ไร้รอยต่อ และปลอดภัย สามารถรู้ผลการสมัครได้เร็วขึ้น พร้อมพัฒนาและทดสอบเครื่องมือในการประเมินคุณภาพสินเชื่อ (Credit Scoring Model) ใหม่ๆ เพื่อแสวงหาโอกาสของการขยายฐานสมาชิกที่ยังอยู่ในระดับความเสี่ยงที่รับได้
2. Grow Healthier การบริหารฐานข้อมูลสมาชิกอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาบริการใหม่ๆ บนแอป KTC Mobile ที่ทำให้สมาชิกสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของเคทีซีได้อย่างสะดวกรวดเร็วตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิก และสร้างความมั่นใจในการใช้จ่าย
3. Bond Tighter เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของบริการรวมถึงการสื่อสารบนช่องทางออนไลน์ ทั้งผ่านแอป “KTC Mobile”Line Connect, Facebook และเว็บไซต์ www.ktc.co.th เพื่อให้สมาชิกใช้งานง่าย สะดวกและมั่นใจมากขึ้น รวมถึงเครื่องมือที่ช่วยให้ทีมงานคอนแทคเซ็นเตอร์ (Contact Center) สามารถให้บริการตอบคำถามได้รวดเร็วและถูกต้องแม่นยำ เพื่อให้สมาชิกได้รับความพึงพอใจมากที่สุด
4. Work Smarter เตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือ กระบวนการและการพัฒนาทักษะ (Upskill) ด้านไอทีให้กับบุคลากรเคทีซีทั้งองค์กร ส่งเสริมการคิดริเริ่มและปรับปรุงกระบวนการทำงาน โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพงาน ลดค่าใช้จ่าย และพัฒนาทักษะของพนักงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ จากกลุยทธ์ที่กล่าวมาข้างต้น เคทีซีคาดว่าจะใช้งบลงทุนในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) สูงกว่าปี 2567 แต่ไม่เกินระดับ 1,000 ล้านบาท
“เคทีซีพร้อมพัฒนาองค์กรด้วยกลยุทธ์ที่ยั่งยืน ในการสร้างนวัตกรรมทางการเงินที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการอย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างยั่งยืน และธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต” นางพิทยา กล่าว

#หุ้น #บัตรเครดิตKTC #เคทีซี

เช็คลิสต์หุ้นเข้าคำนวณดัชนี SET50 / SET100 รอบครึ่งแรกปี 68ใกล้เข้ามาแล้วสำหรับการประกาศหุ้นเข้าและออกใน SET50 และ SET10...
09/12/2024

เช็คลิสต์หุ้นเข้าคำนวณ
ดัชนี SET50 / SET100 รอบครึ่งแรกปี 68
ใกล้เข้ามาแล้วสำหรับการประกาศหุ้นเข้าและออกใน SET50 และ SET100 รอบครึ่งแรกปี 2568 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะประกาศรายชื่อหุ้นในช่วงกลางเดือนธ.ค. นี้ และจะมีผลเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 68 ดังนั้น Wealthy Thai จึงมีรายชื่อหุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดเข้าและออกใน 2 ดัชนีนี้จากการคำนวณของนักวิเคราะห์มาฝาก
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้าและออกใน SET50 และ SET100 สำหรับรอบครึ่งแรกปี 2568 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 67 และมีผลเริ่มใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 68
โดยผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 66 – 29 พ.ย. 67 (ครบตามที่ตลาดฯ ใช้จริงในการคำนวณหาหุ้นเข้าและออก) โดยผลของการคาดการณ์น่าจะมีความแม่นยำสูง โดยบล.กรุงศรี หวังว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะเข้าคำนวณใน SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU โอกาสเข้า 100%, SAWAD โอกาสเข้า 100%, COM7 โอกาสเข้า 95% และ CCET โอกาสเข้า 95%
ส่วนหุ้นคาดว่าจะหลุดจาก SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL โอกาสหลุด 95%, BCP โอกาสหลุด 95%, TIDLOR โอกาสหลุด 95% และ EA โอกาสหลุด 100%
ด้านหุ้นที่คาดจะเข้าคำนวณใน SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO
ขณะที่หุ้นที่คาดว่าจะหลุดจาก SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA
ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50 และ SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะเดียวกันแนะนำ เก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้ โดยแนะนำ SAWAD และ BANPU เป็นหุ้นเด่น
จากข้อมูลข้างต้น Wealthy Thai จึงได้สำรวจปัจจัยพื้นฐานของหุ้น BANPU และ SAWAD ซึ่งมีโอกาสจะเข้าคำนวณใน SET50 ถึง 100% ว่าจะมีทิศทางการเติบโตอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนให้กับแฟนเพจ
มาเริ่มที่ BANPU บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองแนวโน้มไตรมาส 4/67 กำไรปกติและกำไรอัตราแลกเปลี่ยนจะเร่งตัวขึ้น แม้ปริมาณฝนตกในประเทศอินโดนีเซียที่เพิ่มขึ้นจะเป็นอุปสรรคต่อการผลิตถ่านหินและเป็นช่วงปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า BLCP HPC
อย่างไรก็ตามคาดผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นพลิกจากขาดทุนจากไตรมาส 3/67 และ 4/66 โดยมีปัจจัยหนุนจากอุปสงค์พลังงานเข้าสู่ High Season ในฤดูหนาวทำให้ล่าสุดจากต้นไตรมาส 4/67 ถึงปัจจุบัน ราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยอยู่ที่ 2.6 ดอลลาร์/mmbtu เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อนหน้า และราคาถ่านหินเฉลี่ยอยู่ที่ 145 ดอลลาร์/ตัน เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อนหน้า
รวมถึงต้นทุนการเงินลดลง หลังกระบวนการ Spin-off BKV เสร็จสมบูรณ์ และการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมากไม่เกิดขึ้น อีกทั้งมีโอกาสพลิกเป็นรับรู้กำไรอัตราแลกเปลี่ยน เพราะล่าสุดเงินบาทอ่อนค่าราว 2.5 บาท/ดอลลาร์ พร้อมคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 5.7 พันล้านบาท และคงคำแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเหมาะสม 7 บาท
ในขณะที่ SAWAD บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดทิศทางกำไรสุทธิของ SAWAD ในไตรมาส 4/67 จะเติบโตทั้งจากไตรมาส 4/66 และ 3/67 หนุนจากการตั้งสำรองที่ผ่อนคลายลง หลังเร่ง Write Off ไปแล้วในไตรมาส 3/67 บวกกับผลขาดทุนจากการขายรถยึดของ SCAP ที่คาดจะลดลงต่อตามปริมาณการขายที่ต่ำลง ในฝั่งรายได้ดอกเบี้ยคาดกลับมาโตจากไตรมาส 3/67 จากการเร่งปล่อยสินเชื่อในช่วงปลายปี ซึ่งมีความต้องการสินเชื่อค่อนข้างมาก หนุนให้คงคาดการณ์ทั้งปี 2567 SAWAD จะมีกำไรสุทธิ 5.4 พันล้านบาท โต 8.4% จากปีก่อน
ทั้งนี้ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองผลการดำเนินงานของ SAWAD ผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้ว และเริ่มเห็นคุณภาพสินทรัพย์ที่ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากการบริหารจัดการของบริษัทเอง รวมถึงผลบวกจากมาตรการอัดฉีดเงิน 10,000 บาท ให้กับกลุ่มเปราะบางที่จะเห็นผลเต็มไตรมาสในไตรมาส 4/67 ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside จากมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 51 บาท จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

#หุ้น #โพยหุ้น #ลงทุน

SET สัปดาห์นี้มีโอกาสไซด์เวย์อัพ!รับปัจจัยภายนอก-กองทุนลดหย่อนภาษีหนุนบล.กสิกรไทย ประเมินดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีโอกาสไซ...
09/12/2024

SET สัปดาห์นี้มีโอกาสไซด์เวย์อัพ!
รับปัจจัยภายนอก-กองทุนลดหย่อนภาษีหนุน
บล.กสิกรไทย ประเมินดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีโอกาสไซด์เวย์อัพ กรอบ 1,435-1,460 จุด รับบรรยากาศการลงทุนดีขึ้นจากปัจจัยภายนอก พร้อมกระแสเงินลงทุนจากกองทุนลดหย่อนภาษีหนุน แนะ 3 ธีมการลงทุนและหุ้นเด่นประจำวัน

#หุ้น #ภาวะตลาดหุ้น #ดัชนีหุ้นไทย

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ คาดตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่งตัวขึ้นในกรอบ 1,435-1,460 ....

09/12/2024

“สอนลูก” ให้ใช้เงินเป็น...เริ่มได้ตั้งแต่ “วัยก่อนเข้าเรียน” ตั้งแต่ 1) การออมเงิน, 2) การใช้เงิน, 3) การตัดสินใจเลือกกับโอกาสที่จะเสียไป, 4) การได้เงินจากการทำงาน, 5) การชะลอการซื้อ !!!
#กองทุน

เคล็ดลับ “วางแผนภาษี”...ชาวฟรีแลนซ์ !!!Wealth EZ: ในโลกของการทำงาน “อาชีพอิสระ” หรือที่รู้จักกันดีว่า “ชาวฟรีแลนซ์” ซึ่ง...
08/12/2024

เคล็ดลับ “วางแผนภาษี”...ชาวฟรีแลนซ์ !!!
Wealth EZ: ในโลกของการทำงาน “อาชีพอิสระ” หรือที่รู้จักกันดีว่า “ชาวฟรีแลนซ์” ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาส ทำให้ “การวางแผนภาษี” เป็นเสมือนเข็มทิศที่ช่วยนำทางสู่ความสำเร็จทางการเงิน ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการประหยัดเงิน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ไขสู่ความมั่นคงและการเติบโตในอาชีพ
เมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางอาชีพ “ฟรีแลนซ์” จะพบว่ารายได้จะไม่มีความแน่นอน บางเดือนอาจมีรายได้สูง บางเดือนมีรายได้น้อย แต่ “การวางแผนภาษี” ที่ดีจะช่วยให้รับมือกับความไม่แน่นอนนี้ได้ เพราะไม่เพียงช่วยให้รักษาสภาพคล่องทางการเงิน แต่ยังเป็นเกราะป้องกันจากการลืมจ่ายภาษีได้
ในฐานะ “ฟรีแลนซ์” ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่นเดียวกับผู้มีรายได้ประจำทั่วไป โดยเงินได้จะจัดอยู่ในเงินได้ประเภทที่ 2 หรือเงินได้มาตรา 40(2) และเงินได้ประเภทที่ 8 หรือเงินได้มาตรา 40(8)
- เงินได้ประเภทที่ 2 เป็นรายได้รูปแบบรับทำงานให้เป็นครั้งคราวที่ไม่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์เป็นเจ้านายลูกน้อง เช่น ค่าจ้างฟรีแลนซ์ ค่าคอมมิชชั่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ตัวแทนประกันภัย นายหน้าหาพื้นที่เช่า นายหน้าหางาน นายหน้านำเรือเข้าท่า ที่ปรึกษาด้านธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตรกรรม การอุตสาหกรรม การขนส่ง วิทยากร การรับรีวิวสินค้า ออกแบบกราฟิก งานเขียนและแปลภาษา ค่าตอบแทนของพริตตี้ พิธีกร MC ผู้ประกาศข่าว พิธีกร นักจัดรายการวิทยุ ผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงอิสระ ผู้กำกับการแสดง
“โดยในส่วนของการหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้ประเภทที่ 2 จะหักค่าใช้จ่าย ได้วิธีเดียว คือ หักแบบเหมา 50% ของเงินได้ แต่ได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และหากผู้มีเงินได้มีทั้งเงินได้ประเภทที่ 1 และ 2 ให้นำเงินได้ทั้ง 2 ประเภทรวมกัน แต่หักค่าใช้จ่ายได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และหักค่าลดหย่อนส่วนตัวได้อีก 60,000 บาท”
ตัวอย่าง: นาย ก. อาชีพฟรีแลนซ์ ปี 2567 ได้รับเงินจากการออกแบบปกนิตยสาร 400,000 บาท ก็จะหักค่าใช้แบบเหมา เท่ากับ 400,000 x 50% = 200,000 บาท แต่เนื่องจากกฎหมายหักค่าใช้จ่ายได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ทำให้ นาย ก. หักค่าใช้จ่ายปี 2567 ได้สูงสุดจำนวน 100,000 บาท จึงเหลือรายได้ 300,000 บาท
เมื่อได้จำนวนการหักค่าใช้จ่ายแล้ว ก็ต้องนำไปหักค่าลดหย่อนส่วนตัวได้อีก 60,000 บาท แสดงว่า นาย ก. มีเงินได้สุทธิไปคำนวณภาษีปี 2567 เท่ากับ 240,000 บาท (300,000 – 60,000)
จากอัตราภาษีแบบขั้นบันใด ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทำให้นาย ก. ได้รับการยกเว้น 150,000 บาทแรก ดังนั้น เหลือเงิน 90,000 บาท ในการเสียภาษี ทำให้ปี 2567 เสียภาษีเงินได้ 4,500 บาท (90,000 x 5%)
- เงินได้ประเภทที่ 8 เป็นเงินได้จากธุรกิจการ พาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง เช่น ขายก๋วยเตี๋ยว ภัตตาคาร โรงพิมพ์ สีข้าว ตัดเย็บเสื้อผ้า ตัดผมเสริมสวย นักร้องนักแสดง ส่วนฟรีแลนซ์ที่มีรายได้และอยู่ในเงินได้ประเภทนี้เป็นที่นิยม คือ รายได้จากการเปิดร้านขายของออนไลน์
“สำหรับการหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้ประเภทที่ 8 สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่าย 60% หรือตามจริง และหักค่าลดหย่อนส่วนตัวได้อีก 60,000 บาท แต่หากเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม”
ตัวอย่าง: นาย ข. เปิดร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์ ปี 2567 มีรายได้ 700,000 บาท เลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่าย 60% ทำให้หักค่าใช้จ่ายได้ 420,000 บาท (700,000 x 60%) จึงเหลือรายได้ 280,000 บาท และเมื่อหักค่าลดหย่อนส่วนตัวได้อีก 60,000 บาท ทำให้มีเงินได้สุทธิ 220,000 บาท (280,000 – 60,000)
จากอัตราภาษีแบบขั้นบันใด ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทำให้นาย ข. ได้รับการยกเว้น 150,000 บาทแรก ดังนั้น เหลือเงิน 70,000 บาท ในการเสียภาษี ทำให้ปี 2567 เสียภาษีเงินได้ 3,500 บาท (70,000 x 5%)
ขั้นตอน “การวางแผนภาษี” สำหรับ “ชาวฟรีแลนซ์”

รวบรวมรายได้ทั้งหมด จดบันทึกรายได้ทุกประเภทตลอดปีภาษี (มกราคม - ธันวาคม) แยกตามแหล่งที่มาและวิธีการคำนวณภาษี
เก็บหลักฐานค่าใช้จ่าย รวบรวมใบเสร็จค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการทำงานตลอดปี เช่น ค่าสินค้า ค่าขนส่ง ค่าเช่าออฟฟิศ ค่าอุปกรณ์ ค่าโฆษณา เพื่อใช้เป็นหลักฐานหักค่าใช้จ่ายแบบตามจริงสำหรับรายได้ประเภท 40(8)
รวบรวมค่าลดหย่อน เก็บหลักฐานค่าลดหย่อนส่วนตัวและเงินบริจาคตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าเลี้ยงดูบุตร เบี้ยประกัน ดอกเบี้ยบ้าน เงินสะสมกองทุน SSF และ RMF
คำนวณภาษี นำรายได้ทั้งหมดมาหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน แล้วคำนวณภาษีตามอัตราแบบขั้นบันได 5 - 35% ของเงินได้สุทธิ
ยื่นแบบแสดงรายการ กรอกแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ 91 ผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันกรมสรรพากร พร้อมแนบเอกสารประกอบ เช่น หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย ใบเสร็จค่าลดหย่อน หลักฐานค่าใช้จ่าย
ชำระภาษี จ่ายภาษีที่คำนวณได้ภายในกำหนด หากมียอดภาษีที่ต้องชำระเพิ่ม สามารถขอผ่อนชำระได้ 3 งวด
ประโยชน์ “การวางแผนภาษี” ของ “ชาวฟรีแลนซ์” เมื่อมีรายได้หลายทาง

- ช่วยให้ประหยัดเงินได้อย่างถูกกฎหมาย โดยการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่าง ๆ อย่างเต็มที่ เช่น การลงทุนในกองทุน SSF RMF หรือ Thai ESG ซึ่งสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายในการทำงานหลายอย่างที่สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ เช่น ค่าอุปกรณ์ ค่าเช่าพื้นที่ทำงาน หรือค่าพัฒนาทักษะวิชาชีพ
-.ช่วยจัดการกระแสเงินสดได้ดีขึ้น เมื่อทราบภาระภาษีที่ต้องจ่ายล่วงหน้า ก็สามารถวางแผนการเงินได้แม่นยำขึ้น ไม่ต้องเผชิญกับปัญหาเงินขาดมือเมื่อถึงเวลาต้องจ่ายภาษี
- ช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร เมื่อมีระบบบัญชีที่เป็นระเบียบ มีเอกสารครบถ้วน และยื่นแบบแสดงรายการภาษีอย่างถูกต้อง จะมีความมั่นใจมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ
- ช่วยให้มองเห็นภาพรวมทางการเงินได้ชัดเจนขึ้น โดยจะเข้าใจว่ารายได้จากแต่ละช่องทางมีผลต่อภาษีอย่างไร ช่วยให้ตัดสินใจเรื่องการรับงานหรือการลงทุนได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น
- ช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ เมื่อประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้อง ก็จะมีเงินทุนมากขึ้นสำหรับการพัฒนาทักษะ การลงทุนในอุปกรณ์ใหม่ ๆ หรือการขยายธุรกิจได้
ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand และ www.tfpa.or.th

#การวางแผนภาษี #วางแผนภาษีชาวฟรีแลนซ์ #การวางแผนการเงิน

ILM หุ้นค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ปันผลดีจับตาปี 68-69 ชูผลตอบแทนสูง 6-7%หุ้นปันผลสัปดาห์นี้ Wealthy Thai ขอนำเสนอ ILM หรือ บริ...
08/12/2024

ILM หุ้นค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ปันผลดี
จับตาปี 68-69 ชูผลตอบแทนสูง 6-7%
หุ้นปันผลสัปดาห์นี้ Wealthy Thai ขอนำเสนอ ILM หรือ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้านค้าปลีกจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านครบวงจรในประเทศไทยที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีอย่าง "Index Living Mall"
โดย ILM ถือเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากปันผลสม่ำเสมอ อีกทั้งยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เป็นหนึ่งในหุ้นที่นักลงทุนระยะยาวหรือนักลงทุนสายปันผลให้ความสนใจ โดย ILM จ่ายปันผลเฉลี่ยปีละ 2 ครั้ง และมีนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของบริษัท หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทกำหนดไว้ในแต่ละปี
ทั้งนี้ ในปี 2567-2569 นักวิเคราะห์ประเมินว่าบริษัทจะจ่ายปันผลสูงราว 6-7% และเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่าปี 2567 ILM จะจ่ายปันผลรวมที่ 1.05 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 6.3% ซึ่งบริษัทจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท ดังนั้นหากอ้างอิงประมาณการข้างต้น ในงวดผลประกอบการ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 67 บริษัทน่าจะเหลือปันผลที่ต้องจ่ายอีก 0.80 บาท
ส่วนปี 2568 คาดว่าจะจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 1.11 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 6.6% และปี 2569 คาดว่าจะจ่ายปันผล 1.20 บาท คิดเป็น Dividend Yield สูงถึง 7.2%
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดไตรมาส 4/67 กำไรจะอยู่ในระดับทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า โดยรายได้ยังทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/66 แม้จะมีการเติบโตจาก Online และ สาขาใหม่ แต่รายได้งานโครงการและงานบริการลดลง หลัง Banana IT มีการยกเลิกพื้นที่เช่า
ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ตามการขยายสาขาใหม่ 3 แห่งในไตรมาส 4/67 อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับสิทธิประโยชน์ BOI จากการติดตั้ง Solar เข้ามาช่วยราว 6 ล้านบาท
สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2568 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตในระดับ 2 หลัก (Double digit) ส่วนบล.กรุงศรี คาดว่ารายได้ของ ILM จะเติบโต 5% จากปี 2567 โดยในปีหน้าจะมีสาขาใหม่ ประกอบด้วย 1. Little walk ศิริราช (พรานนก) ขนาด 4,000 ตร.ม. ปัจจุบันมี pre-occupancy rate ที่ราว 50% และ Little walk รามคำแหง ขนาด 5,000 ตร.ม. มี pre-occupancy rate ที่ราว 35% ซึ่งใช้งบลงทุน 120-150 ล้านบาทต่อสาขา และคาดจะใช้เวลาคืนทุนราว 6 ปี
2.สาขาในต่างจังหวัดจำนวน 3 สาขา ซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ที่ ILM ยังไม่มีสาขาเปิดดำเนินการ ขนาดเฉลี่ย 7,000-8,000 ตร.ม. ใช้งบลงทุนประมาณ 180 ล้านบาทต่อสาขา และคาดใช้ระยะเวลาคืนทุนใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต 7 ปี ซึ่งบริษัทมองว่าสามารถ Breakeven ได้ภายในปี 2568 ซึ่งเป็นปีที่เปิดเลย
ในส่วนของคำแนะนำการลงทุน บล.กรุงศรี ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย ปี 25568 ที่ 21.50 บาท โดยมอง ILM ยังมีจุดดี คือ ปันผลสูงเฉลี่ย 5-6% ในขณะที่ Valuation ยังถูกซื้อขาย

#หุ้น #หุ้นปันผล #อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ #ลงทุน

08/12/2024

“RMF-หุ้น” 11 เดือนแรกปี24 โชว์ผลตอบแทนเฉลี่ย +7.06%, ดีสุด +48.02%, แย่สุด -28.35%...กลุ่ม “RMF-หุ้นตปท.” ธีมหุ้นเทคฯ กินรวบ “Top5” โชว์ผลงานสุดปังเฉลี่ย +36.95% !!!
#กองทุน ันละนิด

บริษัทที่มี “CG” ดี จะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่น...สามารถที่จะแข่งขันและเติบโตได้ในระยะยาว !!!Wealth Sustainable: “CG” (Corp...
07/12/2024

บริษัทที่มี “CG” ดี จะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่น...
สามารถที่จะแข่งขันและเติบโตได้ในระยะยาว !!!
Wealth Sustainable: “CG” (Corporate Governance หรือ บรรษัทภิบาล) คือ ระบบการกำกับดูแลที่จัดให้มีโครงสร้างและกลไกต่างๆ ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์และมีการ “ถ่วงดุลอำนาจ” ระหว่างผู้ถือหุ้น คณะกรรมการ ฝ่ายจัดการ โดยมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการธุรกิจอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้
“คณะกรรมการบริษัท” ต้องรู้ก่อนว่า “CG” สำคัญ มีการกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารความเสี่ยง การตรวจสอบภายใน การต่อต้านคอร์รัปชัน การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ การพัฒนานวัตกรรมและการขยายขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงกลไกการกำกับดูแลให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย (เช่น ผู้ถือหุ้น นักลงทุน พนักงาน ลูกค้า คู่ค้า เป็นต้น)
“ที่สำคัญคือ ต้องมีการติดตามผลการดำเนินงานและสื่อสารให้ผู้มีส่วนได้เสียรับทราบอย่างสม่ำเสมอและตรงไปตรงมาโดยมีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน ถูกต้อง โปร่งใส น่าเชื่อถือ และสามารถแจกแจงรายละเอียดได้เข้าใจง่ายและทันต่อเหตุการณ์ รวมถึงสามารถเปรียบเทียบข้อมูลของปีก่อนหน้าได้”
ในเรื่องของ “การบริหารความเสี่ยง” นั้น คณะกรรมการมีหน้าที่กำกับดูแลให้การบริหารความเสี่ยงขององค์กรไม่เพียงแต่คำนึงถึงความเสี่ยงจากการดำเนินงานโดยปกติ จะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงด้านความยั่งยืน ที่ครอบคลุมความเสี่ยงดิจิทัล ความเสี่ยงด้านมาตรการทางภาษี รวมถึงความเสี่ยงทางกายภาพและความเสี่ยงเปลี่ยนผ่านด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Physical & Transition Risk) ซึ่งกำลังกลายเป็นความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยิ่ง
รวมไปถึง “Emerging Risk” ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงจากภายนอก (External Risk) ที่ได้รับการระบุและคาดว่าจะส่งผลกระทบช่วง 3 - 5 ปี ต่อภาคอุตสาหกรรมหรือต่อธุรกิจ ซึ่งบางกรณีอาจเริ่มส่งผลกระทบต่อธุรกิจในปัจจุบันแล้ว แต่ไม่รวมถึงความเสี่ยงธุรกิจตามปกติที่บริษัทรับรู้อยู่ก่อนแล้ว
อีกเรื่องที่สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้สามารถ “ป้องกันการทุจริตในองค์กร” ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบในการบั่นทอนการเติบโตของธุรกิจได้ องค์กรจึงต้องจัดให้มีระบบป้องกันการทุจริตโดยแบ่งแยกหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานโดยจัดทำคู่มือและขั้นตอนการปฏิบัติงานให้ชัดเจน ควรกําหนดโครงสร้างองค์กรตามหลัก “Three Lines of Defense” เพื่อให้เกิดการ “Check & Balance” กำหนดผู้มีอำนาจดำเนินการในการอนุมัติธุรกรรมต่างๆ ที่เหมาะสม มีระบบทางบัญชี การเงิน และการเก็บบันทึกข้อมูลที่เพียงพอต่อการตรวจสอบ
พร้อมทั้งจัดให้มี “การตรวจสอบภายใน” อย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนกำหนดมาตรการแจ้งเบาะแสให้ชัดเจนและให้พนักงานตระหนักว่าการแจ้งเบาะแสเป็นหน้าที่และวัฒนธรรมองค์กร โดยองค์กรต้องมีมาตรการ “คุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส” ด้วย และเมื่อพบเบาะแสการทุจริต ต้องดำเนินการพิจารณาโดยจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาที่ประกอบด้วยหัวหน้าฝ่ายที่พนักงานสังกัด ฝ่ายตรวจสอบภายใน ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายกำกับองค์กร และฝ่ายบุคคล เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงและกลั่นกรองข้อมูล แจ้งผู้ถูกกล่าวหาให้ชี้แจงและพิสูจน์ข้อเท็จจริง พิจารณาลงโทษผู้กระทำผิด เมื่อได้ข้อสรุป ต้องแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบ
“นอกจากนี้ บริษัทที่มี ‘CG’ ดี ไม่ควรมองข้ามเรื่องการจ่ายค่าตอบแทนแก่กรรมการและผู้บริหารองค์กร โดยต้องกำหนดให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน พร้อมทั้งคำนึงถึงผลตอบแทนระยะยาวของบริษัทและผู้ถือหุ้น”
“คณะกรรมการ” อาจจัดตั้งคณะกรรมการชุดย่อยที่จำเป็นเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนดไว้ให้เหมาะสมกับบริบทองค์กร เพื่อช่วยพิจารณาและกลั่นกรองรายละเอียดที่จำเป็นต่างๆ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริษัทตามอำนาจดำเนินการ เช่น คณะกรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง คณะกรรมการด้านบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน คณะกรรมการด้านเทคโนโลยี เป็นต้น
บริษัทที่มี “CG” ดีจะทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นว่า ธุรกิจมีรากฐานที่แข็งแรง ทำธุรกิจแบบมืออาชีพ มีกลไกตรวจสอบความผิดปกติและมีการจัดการความเสี่ยง สามารถที่จะแข่งขันและเติบโตได้ในระยะยาว ดังนั้น คณะกรรมการ ฝ่ายจัดการ และทุกหน่วยงานในองค์กรจึงต้องให้ความสำคัญกับการวางโครงสร้างและระบบ “CG” ที่ดี

#บรรษัทภิบาล

TIDLOR จากต้นปีราคาร่วง 22%กูรูยังประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ”คาดผลงานไตรมาส 4 สดใส รับสินเชื่อโตราคาหุ้น บริษัท เงินติดล้อ ...
07/12/2024

TIDLOR จากต้นปีราคาร่วง 22%
กูรูยังประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ”
คาดผลงานไตรมาส 4 สดใส รับสินเชื่อโต
ราคาหุ้น บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันทำการล่าสุด โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างหนักถึง 21.90% นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 22.28 บาท เมื่อวันที่ 2 ม.ค.67 และล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.67 ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 17.40 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 108.21 ล้านบาท โดยปัจจัยที่เป็นตัวกดดันราคาหุ้น คาดว่ามาจากความกังวลจากการตั้งสำรองหนี้เสียของบริษัทฯ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ยังคงมีคำแนะนำไปในทิศทางเดียวกัน คือ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น TIDLOR เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นที่ปรับลงมาก่อนหน้าได้สะท้อนปัจจัยลบจากหนี้เสียของสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองไปมากแล้ว อีกทั้งคาดว่ากำไรไตรมาส 4/67 จะดีขึ้น โดยเป็นผลจากสินเชื่อกลับมาเติบโต
โดย บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” TIDLOR พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท โดยไตรมาส 3/67 กำไรลดลง 9.2% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 1.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลหลักจากการตั้งสำรอง ECL สูงเพื่อ clean up balance sheet ทั้งนี้ คาดว่ากำไรไตรมาส 4/67 จะดีขึ้น ผลจากสินเชื่อกลับมาโต Yield สูง และสำรองลดลงตามคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นหลังเคลียร์หนี้ที่มีปัญหาจบในไตรมาส 3/67 ขณะเดียวกัน ได้ปรับคาดการณ์กำไรปี 67 ขึ้น เพื่อสะท้อนการปรับลด credit cost บวกกับการกลับมารุกสินเชื่อ ทำให้คาดว่ากำไรยังทำนิวไฮ +12.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รับผลบวกแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงดีต่อต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายในอนาคต
เช่นเดียวกับ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” TIDLOR พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 23.50 บาท โดยมองว่าราคาหุ้นที่ปรับลงมาก่อนหน้าได้สะท้อนปัจจัยลบจากหนี้เสียของสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองไปมากแล้ว ขณะที่กำไรสุทธิงวด 9 เดือน 2567 คิดเป็น 73% ของประมาณการทั้งปี และยังคงประมาณการเดิม โดยคาดแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของ TIDLOR จะโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน แม้จะมีค่าใช้จ่ายลงทุนระบบเทคโนโลยีและค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น แต่มองว่าการตั้งสำรองควรจะเริ่มทยอยผ่อนคลายลง หลังเร่งจัดการลูกหนี้เช่าซื้อรถบรรทุกมือสองในกลุ่มเสี่ยงสูงไปมากแล้ว และควบคุมการปล่อยสินเชื่อใหม่ในกลุ่มเช่าซื้อรถบรรทุกและจำนำทะเบียนรถยนต์มากขึ้น ทำให้ความเสี่ยงของสินเชื่อใหม่น้อยลงเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ คาดจะเริ่มได้แรงหนุนจากเม็ดเงินโครงการก่อสร้างของรัฐฯ มากขึ้น ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้เช่าซื้อรถบรรทุกมือสองฟื้นตัวขึ้นหนุนให้คาดการทั้งปี 2567 TIDLOR จะมีกำไรสุทธิ 4,362 ลบ. โต 15.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายเดือน พ.ย. -ธ.ค. 2567 TIDLOR จะเริ่มกระบวนการทำ Tender Offer (Share Swap 1:1) เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทเป็น Holding Company และในปี 2568 จะเริ่มขยายธุรกิจใหม่ ๆ มากขึ้น เช่น Insurtech และการขยายสินเชื่อในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหาตลาดใหม่สำหรับการเติบโตในระยะยาว โดยคาดว่าผู้บริหารจะให้ข้อมูลประเด็นดังกล่าวมากขึ้นในช่วงต้นปี 2568

#หุ้น #คลีนิคแก้พอร์ต #ลงทุน #เงินติดล้อ #ราคาหุ้น

“UFFF” ลุย “ตราสารหนี้ตปท.” ระยะสั้นทั่วโลก...เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าสไตล์ “Fund of Funds” !!!กองทุนติดดาว: กลับม...
07/12/2024

“UFFF” ลุย “ตราสารหนี้ตปท.” ระยะสั้นทั่วโลก...
เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าสไตล์ “Fund of Funds” !!!
กองทุนติดดาว: กลับมาอีกครั้งกับคอลัมน์ประจำสัปดาห์อย่าง “กองทุนติดดาว” กองทุนที่ได้เรทติ้ง “Morningstar 5 ดาว” จัดเป็นกองทุนหัวกะทิที่มี ‘ผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง’ (Risk-adjusted returns) ดีสุด 10% แรกของกลุ่ม ตามสูตรลับเฉพาะของคนกลางอย่าง “Morningstar” ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดอันดับกองทุนรวมที่ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนทั่วโลก
ครั้งนี้เป็นกองทุนในกลุ่ม “Global Bond” ที่มีจุดเด่นเน้นลงทุนใน “ตราสารหนี้” เงินฝาก ตราสารทางการเงินที่รัฐบาล หรือภาคเอกชนในต่างประเทศเป็นผู้ออก
“ตราสารหนี้” ต่างประเทศ ยังคงได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่อาจจะยังลงช้าทำให้ Yield ระยะสั้นยังคงสูง และหากดอกเบี้ยปรับตัวลงในอนาคตก็จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงอีกด้วย
ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น ในขณะที่ความเสี่ยงไม่ได้สูงมากนัก กับกลุ่ม “ตราสารหนี้โลก-ระยะสั้น”
วันนี้ ทีมงาน ‘Wealthy Thai’ มี “กองทุนตราสารหนี้โลก” ที่น่าสนใจ ดีกรี “กองทุน 5 ดาว” จากทาง “Morningstar” มาฝากกัน
“UFFF” ลุย “ตราสารหนี้ทั่วโลก”...เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า
สำหรับกองทุนรวมที่คัดมาแนะนำกันในครั้งนี้ มีชื่อว่า “UFFF: กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ฟิกซ์ อินคัม ฟันด์ ออฟ ฟันด์” ของ ‘บลจ.ยูโอบี’ มีความเสี่ยง “ระดับ 4” (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2563 มีนโยบายลงทุน “ตราสารหนี้” เงินฝาก ตราสารทางการเงินที่รัฐบาล หรือภาคเอกชนในต่างประเทศเป็นผู้ออก โดยจะลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศที่มีนโยบายดังกล่าวตั้งแต่ 2 กองขึ้นไป ในลักษณะของ “Fund of Funds” นั่นเอง
หน้าตาพอร์ต...สไตล์ “ตราสารหนี้ตปท.-ระยะสั้น”
จากนโยบายลงทุนทำให้หน้าตาพอร์ตของกอง ‘‘UFFF’’ มีบุคลิกของตราสารหนี้สไตล์ “ตราสารหนี้ต่างประเทศ” ที่มีอายุเฉลี่ย “สั้น” เป็นสำคัญ
สำหรับหน้าตาพอร์ต (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 24) นั้น มีการกระจายลงทุนในกองทุนต่างประเทศมากสุด ประกอบด้วย

- United SGD Fund 49.59%

- United SGD Money Market Fund 22.04%

- SPDR Portfolio Short Term Corporate Bond ETF 7.01%

- State Street USD Liquidity LVNAV Fund - UOB 3.29%
“ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน ‘UFFF’ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 24) เฉลี่ยอยู่ที่ 0.58% ต่อปี (ดัชนีชี้วัด 1.41% ต่อปี) ขณะที่ความผันผวนของผลการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.70% ต่อปี (ดัชนีชี้วัด 0.58% ต่อปี) อย่างไรก็ดีในช่วง 5 ปีย้อนหลังกองทุนเคยมีผลขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) อยู่ที่ -2.14%”
เงินลงทุนขั้นต่ำ “ครั้งแรก” และ “ครั้งถัดไป” ไม่กำหนด
สำหรับนักลงทุนที่สนใจอยากลงทุนในกองดังกล่าวก็ทำได้อย่างอิสระ เนื่องจากเงื่อนไขของมูลค่าขั้นตํ่าของ “การซื้อครั้งแรก” และ “ครั้งถัดไป” ทางบลจ. “ไม่ได้มีข้อกำหนด” เช่นเดียวกันกับเงื่อนไขการขายผู้ลงทุนสามารถทำได้อิสระ “ไม่มีขั้นต่ำ” เช่นเดียวกัน ซึ่งมีระยะเวลาในการรับเงินค่าขายภายใน 2 วันทําการหลังจากวันทํารายการขายคืน (T+2)
ส่วนรายละเอียดการซื้อขายในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายๆ โดยผ่านทั้งช่องทางออฟไลน์ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จํากัด ทุกสาขา และตัวแทนสนับสนุนการซื้อขายหน่วยลงทุนอื่นๆ ที่บริษัทแต่งตั้งขึ้นหรือช่องทางออนไลน์ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น UOBAM Invest
แม้การมาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” อาจทำให้ขนาดของการปรับลดดอกเบี้ยอาจจไม่ได้มากและเร็วอย่างที่ตลาดเคยคาดไว้ก่อนหน้า แต่ทิศทางดอกเบี้ยยังคงเป็น “ขาลง” อยู่นั่นเอง ใครที่กำลังมองหาโอกาสลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีกว่าโดยไม่เสี่ยงมากนัก “กองทุนตราสารหนี้โลก” ที่เน้นตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยสั้นน่าจะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี ทั้ง Yield ที่ทรงตัวระดับสูงและยังได้ประโยชน์เมื่อ “ดอกเบี้ยปรับตัวลง” อีกด้วย
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

#กองทุน #กองทุนติดดาว #กองทุนตราสารหนี้โลก

“การบินไทย” สยายปีกสู่ยุคใหม่เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน หลังจากที่ “การบินไทย” ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหน...
06/12/2024

“การบินไทย” สยายปีกสู่ยุคใหม่
เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
หลังจากที่ “การบินไทย” ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ทำให้ต้องยื่นขอเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการใน ปี 2563 ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา การบินไทยดำเนินการเปลี่ยนแปลงองค์กรครั้งสำคัญในหลายด้าน
ซึ่งรวมด้วยการปรับโครงสร้างองค์กรในรูปแบบเอกชน การปรับฝูงบินและบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างทุนเพื่อให้กลับมาเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันได้อีกครั้ง เพื่อให้สามารถออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการภายในไตรมาส 2 ปี 2568
โดยความคืบหน้าล่าสุด การบินไทย ประสบความสำเร็จในกระบวนการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการ โดยมีเจ้าหนี้แสดงเจตนาแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติมเกินกว่า 3 เท่าของจำนวนหุ้นที่มีรองรับตามแผนฟื้นฟูกิจการ
ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินเฉพาะกิจการของการบินไทยกลายเป็นบวกภายในสิ้นปีนี้ อันเป็นการบรรลุหนึ่งในเงื่อนไขในการยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ และตอนนี้การบินไทยพร้อมแล้วที่จะเข้าสู่โค้งสุดท้ายของกระบวนการปรับโครงสร้างทุนผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุน พนักงานของบริษัทฯ และบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ตามลำดับภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการในส่วนถัดไป ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไร Wealthy Thai จะพาไปหาคำตอบ

คลิกอ่านต่อ https://www.wealthythai.com/en/updates/stock/stock-of-the-day/32945
#การบินไทย

“RMF-หุ้นตปท.” ธีมเทคฯ มาแรง ทำ “Top5” ปีนี้บวกเฉลี่ย +36.95%...ส่วนธีม Clean Energy ยังไม่ฟื้น กด “Bottom5” ติดลบเฉลี่ย...
06/12/2024

“RMF-หุ้นตปท.” ธีมเทคฯ มาแรง ทำ “Top5” ปีนี้บวกเฉลี่ย +36.95%...
ส่วนธีม Clean Energy ยังไม่ฟื้น กด “Bottom5” ติดลบเฉลี่ย -12.73% !!!
สาระ Fund วันละนิด: วันนี้ จะพามาส่องผลงาน “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ” (RMF) ที่มีนโยบายลงทุนใน “หุ้น” กันบ้าง แต่ครั้งนี้จะโฟกัสไปที่ “RMF-หุ้นต่างประเทศ” ก่อน
ในภาพรวมผลงานกลุ่ม “RMF-หุ้น” ช่วง 11 เดือนแรกปี24 นั้น ถือว่าค่อนข้างดีทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย +7.06% (ดีสุด +48.02%, แย่สุด -28.35%) โดยมีกองทุน 77% ที่ผลตอบแทนเป็น “บวก” อีก 23% ยังคง “ติดลบ” อยู่
ที่น่าสนใจ คือ “RMF-หุ้นตปท.” เป็นกลุ่มที่ผลงานค่อนข้างโดดเด่นและครองอันดับ “Top5” ของปีนี้เอาไว้ได้ทั้งหมด
“RMF-หุ้นตปท.” ที่มีผลงาน “ดีสุด-แย่สุด” 5 อันดับของปีนี้ เป็นกองทุนอะไรบ้างนั้น ทีมงาน ‘Wealthy Thai’ สรุปมาให้แล้ว ตามไปดูพร้อมๆ กันได้เลย
5 “RMF-หุ้นตปท.” ปีนี้ “สุดปัง” โชว์ผลตอบแทนเฉลี่ย +36.95%...“กลุ่มเทคฯ” มาแรงติดโผถึง 4 กอง ส่วน “ASP-DIGIBLOCRMF” แชมป์ผลตอบแทนสูงสุด +48.02%
สำหรับกองทุน “RMF-หุ้นตปท.” ที่มีผลงานดีสุด 5 อันดับแรกนั้น ทำผลตอบแทนได้มากกว่า 30% ทุกกอง เฉลี่ย +36.95% ซึ่งเป็นกองทุนกลุ่มเทคโนโลยีถึง 4 กอง และมีกลุ่มหุ้นสหรัฐอีก 1 กอง นำมาโดย
1) “ASP-DIGIBLOCRMF: กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ดิจิทัล บล็อกเชน เพื่อการเลี้ยงชีพ” ของบลจ.แอสเซท พลัส ทำผลตอบแทนปีนี้ได้ +48.02%
“เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มบริษัทเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล และ เทคโนโลยี Blockchain ครอบคลุมในหลายด้าน ผ่านกองทุนหลัก VanEck Digital Transformation ETF”
2) “SCBRMUSA(A): กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นยูเอส แอคทีฟ เพื่อการเลี้ยงชีพ ชนิดสะสมมูลค่า” ของบลจ.ไทยพาณิชย์ ทำผลตอบแทนได้ +39.93%
“กองทุนเน้นสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากการเติบโตของเงินต้นในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในหุ้นของบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ผ่านกองทุนหลัก Morgan Stanley Investment Funds - US Growth Fund, Class Z Accumulation สกุลเงิน USD”
3) “TNEXTGENRMF-A: กองทุนเปิด ทิสโก้ Next Generation Internet เพื่อการเลี้ยงชีพ ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป” ของบลจ.ทิสโก้ ทำผลตอบแทนได้ +35.67%
“กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับธีม Next Generation Internet ผ่านกองทุนหลัก ARK Next Generation Internet”
4) “KKP TECH RMF-H: กองทุนเปิดเคเคพี EXPANDED TECH เพื่อการเลี้ยงชีพ – HEDGED” ของบลจ.เกียรตินาคินภัทร ทำผลตอบแทนได้ +30.85%
“กองทุนเน้นสร้างผลตอบแทนระยะยาวจากการเติบโตของเงินต้นในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในหุ้นของบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยการกระจาลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงตราสารทุนของบริษัทในกลุ่มบริการสื่อสาร (communication service) และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (consumer discretionary) ในประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ผ่านกองทุนหลัก iShares Expanded Tech Sector ETF”
5) “TTECHRMF-A: กองทุนเปิด ทิสโก้ เทคโนโลยี อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป” ของบลจ.ทิสโก้ ทำผลตอบแทนได้ +30.29%
“กองทุนเน้นลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P North American Expanded Technology Sector ผ่านกองทุนหลัก iShares Expanded Tech Sector ETF”
5 “RMF-หุ้นตปท.” ปีนี้ “สุดแป๊ก” ผลตอบแทนติดลบเฉลี่ย -12.73%...“กลุ่ม Clean Energy” ยังไม่ฟื้น ส่วน “ASP-POWERRMF” ร่วงหนักสุด -28.35%
สำหรับกองทุน “RMF-หุ้นตปท.” ที่มีผลงานท้ายตาราง 5 อันดับแรกนั้น ผลตอบแทนเฉลี่ยยังติดลบ -12.73% ซึ่งเป็นกองทุนกลุ่ม Clean Energy ถึง 3 กอง ตามมาด้วยหุ้นจีนและหุ้นอินโดนีเซียอย่างละ 1 กอง ประกอบด้วย
1) “ASP-POWERRMF: กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ฟิวเจอริสติก พาวเวอร์ ซัพพลาย แอนด์ โมบิลิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ” ของบลจ.แอสเซท พลัส ปีนี้ผลตอบแทนติดลบ -28.35%
“กองทุนมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดใน 3 กลุ่มหลักได้แก่ แหล่งกำเนิดพลังงานสะอาด การจัดเก็บพลังงาน และกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต ในลักษณะ Fund of Funds”
2) “SCBRMCLEAN(A): กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Clean Energy เพื่อการเลี้ยงชีพ ชนิดสะสมมูลค่า” ของบลจ.ไทยพาณิชย์ ติดลบ –13.78%
“กองทุนเน้นลงทุนหุ้นที่ออกโดยบริษัทต่างๆ ทั่วโลกที่มีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและการเปลี่ยนถ่ายพลังงาน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบขนส่งอย่างยั่งยืน อาคารและโครงสร้างพื้นฐานที่คำนึงถึงการใช้พลังงาน ผ่านกองทุนหลัก BNP PARIBAS ENERGY TRANSITION, Class I Capitalisation สกุลเงินยูโร (EUR)”
3) “LHCHINARMF: กองทุนเปิด แอล เอช อิควิตี้ ไชน่า ออพพอร์ทูนิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ” ของบลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ติดลบ -8.13%
“กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีภูมิลำเนา หรือมีธุรกิจหลักอยู่ในประเทศจีน สไตล์ Fund of Funds”
4) “MRENEWRMF: กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี รีนิวเอเบิล เอนเนอร์จี เพื่อการเลี้ยงชีพ” ของบลจ.เอ็มเอฟซี ติดลบ -7.16%
“กองทุนเน้นลงทุนหุ้นพลังงานสะอาดทั่วโลก ผ่านกองทุนหลัก BGF Sustainable Energy Fund ในชนิดหน่วยลงทุน D2 USD”
5) “ES-INDONESIA-RMF: กองทุนเปิดอีสท์สปริง Indonesia Active Equity เพื่อการเลี้ยงชีพ” ของบลจ.อีสท์สปริง ติดลบ -6.23%
“กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นของประเทศอินโดนีเซียเป็นหลัก ผ่านกองทุนหลัก Fidelity Fund Indonesia Fund ในหน่วยลงทุนชนิด Calss Y Acc USD”
ทั้งนี้จะเห็นว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ กลุ่ม “RMF-หุ้นต่างประเทศ” เองก็มีผลงานค่อนข้างหลากหลาย โดยกลุ่มที่โดดเด่นสร้างผลงานได้ดีจะเป็นธีม “หุ้นเทคฯ” และ “หุ้นสหรัฐ” เป็นหลัก ส่วนกลุ่มท้ายตารางผลงานยังไม่ฟื้นจะอยู่ในธีม “Clean Energy” เป็นสำคัญ แต่การกระจายลงทุนไปใน “หุ้นต่างประเทศ” ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวผ่านกองทุน RMF เช่นเดียวกัน
ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจในลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

#กองทุน ันละนิด #กองทุนRMFหุ้น ุ้นต่างประเทศ

ที่อยู่

Chamnan Penjati Building 2nd Fl. , Rama 9 Road , Huaykwang
Bangkok
10310

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Wealthy Thaiผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Wealthy Thai:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

WEALTHY THAI | เกตเวย์สู่ความมั่งคั่ง

เรามุ่งหวังให้ข้อมูลที่นำเสนอ ช่วยให้คนไทยมีความรู้ สู่เส้นทางความมั่นคง และมั่งคั่ง ด้านความรู้ทางด้านการเงิน และการลงทุน

ด้วยเป้าหมายนำเสนอข้อมูล และความรู้การเงิน การลงทุน ให้เข้าถึงง่าย และน่าสนใจมากขึ้นเน้นรูปแบบการนำเสนอที่ผสมผสานระหว่างข้อมูลเชิงลึกที่น่าเบื่อ เข้าใจยาก กับความคิดสร้างสรรค์ และTrend การสื่อสารเข้าด้วยกัน

---

ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ [email protected] ติดต่อโฆษณา [email protected]

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ

  • Five Star International Pictures

    Five Star International Pictures

    ซอยทวีมิตร ถ. พระราม9 เขตข้วยขวาง แขวงห้วยขวาง
  • Fivestarmovies

    Fivestarmovies

    ซอยทวีมิตร ถนนพระราม9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง
  • BKK.LIVING

    BKK.LIVING

    Bkkmenu Co. , Ltd
  • Kdey Gaming

    Kdey Gaming

    Rama Ix Road
  • Kohsoom Anand

    Kohsoom Anand

    Rama Ix Road
  • ปักหมุดชาแนล

    ปักหมุดชาแนล

    อาคารพณิชพลาซ่า ชั้น 4 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร

บริษัทด้านสื่อ/ข่าวสาร อื่นๆใน Bangkok

แสดงผลทั้งหมด