Massive Momentum We design training course using special learning models(IAM Model) that build Momentum in your organization.

5126 ✨ คือ จำนวนตัวเลขความผิดพลาดล้มเหลวที่ John Dyson มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dyson เคยทำไว้ หลังจากที่เขาพยายามสร้าง...
20/01/2025

5126 ✨ คือ จำนวนตัวเลขความผิดพลาดล้มเหลวที่ John Dyson มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dyson เคยทำไว้ หลังจากที่เขาพยายามสร้างเครื่องดูดฝุ่นไร้ถุงครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องราวของ Dyson คือการส่งต่อแรงบันดาลใจของความคิดสร้างสรรค์และความพยายามจาก Thomas Alva Edison ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟที่เคยกล่าวคำคมบาดใจไว้ว่า 💡 “ผมไม่ได้ล้มเหลว ผมแค่ค้นพบ 10,000 วิธีที่ใช้ไม่ได้เท่านั้น”
🌾 นับตั้งแต่ยุคเกษตรกรรม มาถึงยุคดิจิทัลใหม่ 🌐 ไม่มียุคสมัยไหนที่เรียกร้องต้องการ ‘นวัตกรรม (Innovation)’ อย่างบ้าคลั่งเท่ากับยุคนี้อีกแล้ว เราต่างรู้ดีว่า innovation คือหนทางสำคัญที่ทำให้เราอยู่รอด และเติบโตอย่างยั่งยืน 🚀
องค์กรส่วนใหญ่จึงเรียกร้องความคิดสร้างสรรค์ (เพราะมันนำไปสู่นวัตกรรม) 💡 แต่กลับลงโทษคนที่ล้มเหลวจากการทดลองสิ่งใหม่ ❌ นี่คือปรากฏการณ์ย้อนแย้งที่สะท้อนถึงปัญหาที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมองค์กรจำนวนมาก 🏢
📖 ในหนังสือ "Creativity, Inc." โดย Ed Catmull ผู้ร่วมก่อตั้ง Pixar เขาได้เน้นย้ำว่าการสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์นั้นต้องเริ่มจากการยอมรับความล้มเหลวว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างสรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องลงโทษ
📊 งานวิจัยจาก Harvard Business School ยังชี้ให้เห็นว่าบริษัทที่มีวัฒนธรรมเปิดกว้างต่อความล้มเหลวมีแนวโน้มที่จะสร้างนวัตกรรมได้มากกว่าและมีผลประกอบการที่ดีกว่าในระยะยาว 📈
คำถามสำคัญคือ ❓ "เราจะสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และยอมรับความล้มเหลวได้อย่างไร" จากประสบการณ์ของผมในฐานะผู้บริหารและที่ปรึกษาให้กับหลายองค์กร 🧑‍💼 ผมขอแบ่งปันแนวทางดังนี้:
1️⃣ ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อความล้มเหลวโดยมองว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้ 📚 ไม่ใช่สิ่งที่ต้องลงโทษ
2️⃣ สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการทดลอง 🛡️ โดยกำหนดงบประมาณและเวลาสำหรับโครงการนวัตกรรมให้ชัดเจน
3️⃣ จัดให้มีการแบ่งปันบทเรียนจากความล้มเหลวอย่างสม่ำเสมอ 💬 เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้
4️⃣ ให้รางวัลกับความกล้าเสี่ยงและความพยายาม 🏆 ไม่ใช่แค่กับผลลัพธ์สุดท้าย
5️⃣ ฝึกอบรมผู้บริหารให้เข้าใจถึงความสำคัญของการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์ 🎓
การสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย ❌ แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการเติบโตและสร้างนวัตกรรมในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 🌍
สิ่งที่ผมอยากเน้นย้ำคือ ✨ ความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว ตราบใดที่เราจำกัดวงความเสียหายและได้เรียนรู้จากมัน 📈 ความล้มเหลวคือก้าวสำคัญบนเส้นทางสู่ความสำเร็จ 🏅 องค์กรที่เข้าใจและยอมรับความจริงข้อนี้จะเป็นองค์กรที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว 🌱
และถ้าผู้บริหารของคุณยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ ❓ ให้คุณเขียนตัวเลข 5126 ตัวโตๆ ติดไว้ที่ตำแหน่งที่พวกเราทุกคนเห็นได้ง่ายที่สุด 👀 แล้วถามพวกเขาว่า...
“จะให้เราเสี่ยงทดลองสิ่งใหม่ 🔬 หรือจะเอาเลขนี้ไปเสี่ยงกับการซื้อหวยใต้ดินดี” 🎰
=======

📊 การบริหารการเปลี่ยนแปลงคือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อน ROI ในโครงการที่เน้นข้อมูลเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะในยุคที่ธุรกิจต้อง...
18/01/2025

📊 การบริหารการเปลี่ยนแปลงคือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อน ROI ในโครงการที่เน้นข้อมูลเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะในยุคที่ธุรกิจต้องพึ่งพาข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจ
👥 การยอมรับของพนักงานมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่พวกเขามักกังวลว่างานจะถูกกระทบหรือภาระงานจะเพิ่มขึ้น Beth Montag-Schmaltz และ Erin Daly ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงจาก West Monroe ได้แบ่งปัน 6 วิธีในการนำพาพนักงานผ่านการเปลี่ยนแปลง:
1. เข้าใจการต่อต้านตามธรรมชาติของพนักงาน 🧠
การปรับตัวไม่ได้เกิดขึ้นทันที เพราะสมองถูกกำหนดมาให้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง อะมิกดาลา (ส่วนที่ควบคุมอารมณ์) จะตอบสนองก่อนส่วนที่ใช้เหตุผล ทำให้เราเริ่มจากการไม่รู้ ผ่านการมองโลกในแง่ดีแบบไม่มีข้อมูล จนถึง "หุบเขาแห่งความสิ้นหวัง" เมื่อการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น อะมิกดาลาจะเปลี่ยนเป็นโหมดป้องกันตัวแบบสู้หรือหนี พนักงานอาจรู้สึกเครียดหรือไม่สบายใจ ความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผลลดลง
ในที่สุด เส้นโค้งก็สามารถพุ่งขึ้นไปสู่ความสงสัย การทดสอบและการสำรวจ และในที่สุดก็เป็นการยอมรับและความเชี่ยวชาญ
2. ตระหนักว่าอารมณ์ติดต่อกันได้ 🤝
ผู้นำควรแสดงความกระตือรือร้นและความตื่นเต้นเพราะอารมณ์สามารถส่งต่อได้ การสนทนาที่เป็นบวกและมุ่งเน้นการแก้ปัญหาจะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
สมองอาศัยสัญญาณภายนอกและการเชื่อมต่อจากผู้อื่นเพื่อกำหนดอารมณ์ของบุคคล การสนทนาที่เป็นบวกและมุ่งเน้นการแก้ปัญหาทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ที่จริงแล้ว ภายในสองชั่วโมงของการอยู่กับผู้อื่นในสภาพจิตใจที่คล้ายกัน การเต้นของหัวใจจะซิงค์กันและผู้คนจะแบ่งปันอารมณ์ของคนที่แสดงอารมณ์มากที่สุดในห้อง: ในกรณีนี้ ในอุดมคติคือผู้จัดการการเปลี่ยนแปลง
3. แบ่งบทบาทให้ชัดเจน 📋
• 👔 ผู้บริหารระดับสูง: กำหนดกลยุทธ์และวิสัยทัศน์
• 👥 ผู้จัดการระดับกลาง: สร้างความเข้าใจและจัดการความกังวล
• 👤 หัวหน้างาน: ดูแลผลกระทบและการสนับสนุนที่ทีมต้องการ
4.ให้เวลาพนักงานปรับตัว ⏳
เข้าใจ "ผลกระทบมาราธอน" (คำเรียกของ Daly และ Montag-Schmaltz) ที่ผู้นำมักวิ่งนำหน้าพนักงานเร็วเกินไป ผลกระทบนี้อ้างถึงจุดเริ่มต้นที่แออัดของการวิ่งระยะไกล ผู้นำอยู่ที่จุดเริ่มต้นแล้ว จากนั้นก็วิ่งออกไป ก่อนที่พนักงานจะมีโอกาสเข้าแถว ผู้นำต้องชะลอและทำให้แน่ใจว่าทีมได้รับข้อมูลและเวลาเพียงพอในการทำความเข้าใจ
5. สร้างแบรนด์ให้กับการเปลี่ยนแปลง 🎯
ทำให้การเปลี่ยนแปลงจับต้องได้ผ่านการสร้างแบรนด์ภายใน เช่น คำขวัญ สัญลักษณ์ และการเล่าเรื่องความสำเร็จ ผู้บริหารข้อมูลต้องสื่อสารทั้งด้วยตัวเลขและเรื่องราว เพื่อดึงดูดทั้งหัวและใจของพนักงาน
6. ระบุและให้รางวัลผู้นำการเปลี่ยนแปลง 🏆
แทนที่จะเสียเวลากับผู้ต่อต้าน ให้มุ่งเน้นไปที่ "ผู้ติดตาม" หรือผู้ที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง สร้างโปรแกรมยกย่องและให้รางวัล เพื่อกระตุ้นให้เกิดการยอมรับในวงกว้าง
💡 "การรับรู้คือความเป็นจริง" Montag-Schmaltz กล่าว "คุณต้องจัดการการรับรู้และความพร้อมก่อนที่จะเปิดตัวสิ่งใหม่หรือใหญ่" การบริหารการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้องค์กรมีโอกาสบรรลุเป้าหมายมากกว่าถึงสามเท่า 📈
=====



👥 ถ้าคุณคือ 'นักขาย' คุณจะได้พบกับคนหลากหลายรูปแบบ เจ้าของบริษัทเป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่...
16/01/2025

👥 ถ้าคุณคือ 'นักขาย' คุณจะได้พบกับคนหลากหลายรูปแบบ เจ้าของบริษัทเป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร
แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้มีรูปแบบเดียวเหมือนกันทั้งหมด นี่คือเหตุผลที่ทำให้การขายให้เจ้าของบริษัทต้องใช้วิธีการที่ละเอียดอ่อนกว่าการขายให้กับคนกลุ่มอื่นๆ
.
💼 แต่หลายครั้งเจ้าของบริษัทคือผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในกระบวนการซื้อของพวกเขา
ในบางโอกาสการทำงานตรงกับเจ้าของบริษัทจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการก้าวข้ามความวุ่นวายและขายตรงถึงคนที่จะเป็นผู้จ่ายเงินให้คุณ
.
🤝 เชื่อผมเถอะ เพราะผมเองก็เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเช่นกัน ผมก่อตั้งบริษัทฝึกอบรม และได้เห็นกระบวนการขายของสุดยอดนักขายจำนวนมากที่ใช้เทคนิคในการปิดการขายกับผม ผู้ซึ่งไม่มีวันยอมจ่ายเงินให้กับอะไรง่ายๆ ได้สำเร็จ
.
🤗 แต่ผมก็ยอมรับว่า การขายให้กับเจ้าของบริษัทนั้นง่ายกว่ามากๆ ถ้าตัวคุณเองก็เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเช่นกัน เพราะในทางจิตวิทยาจะมีความรู้สึกของความเป็นเพื่อนร่วมงานและความเข้าใจกันและกันที่มีอยู่ในความสัมพันธ์นี้
.
💪 แต่สำหรับพนักงานขายที่ไม่ใช่ผู้ก่อตั้งบริษัทก็ไม่ต้องกังวล ยังมีวิธีที่คุณสามารถสร้างความไว้วางใจในระดับนี้กับเจ้าของบริษัทได้ และมันจะทำให้คุณปิดการขายที่มีมูลค่าสูงได้มากขึ้น
.
📝 ผมจะแนะนำวิธีการสื่อสารและการขายให้กับเจ้าของบริษัท เคล็ดลับต่อไปนี้สามารถช่วยคุณในการติดต่อลูกค้าใหม่ การสื่อสารทางอีเมล และการโทรคุยกับเจ้าของบริษัทในสายแรกๆ ได้
.
🌟 เคล็ดลับสำหรับการขายให้กับเจ้าของบริษัท:
1. 🔄 สะท้อนรูปแบบการเขียนของพวกเขา:
เจ้าของบริษัทจำนวนมากอาจจะละเลยความเป็นทางการในอีเมลของพวกเขา พวกเขามักจะไม่ใช้การเกริ่นนำหรือปิดท้ายอีเมลแบบยาวๆ
.
✍️ ลองเขียนอีเมลให้สั้น กระชับ แน่นอนว่าการส่งอีเมลถึงเจ้าของบริษัทด้วยรูปแบบที่ไม่เป็นทางการไปเลยนั้นมีความเสี่ยง
ฉะนั้นจงทำให้ภาษาทางการของคุณสั้นกระชับมากขึ้นซึ่งจะทำให้คุณโดดเด่นจากผู้ขายที่ยึดติดภาษาทางการซึ่งดูเหมือนหุ่นยนต์
.
2. 👥 ใช้เจ้าของบริษัทเพื่อการแนะนำ:
หลายครั้งที่คนที่คุณควรคุยด้วยมักจะไม่ใช่เจ้าของบริษัท แต่อาจจะเป็นหัวหน้าทีมคนใดคนหนึ่ง
เมื่อส่งอีเมลถึงเจ้าของบริษัท ให้ถามว่ามีคนที่เหมาะสมในทีมที่คุณควรคุยเกี่ยวกับ Solution ของคุณที่จะมาช่วยแก้ปัญหาให้ธุรกิจของเขาหรือไม่
.
3. ⏰ เลือกเวลาส่งอีเมลที่ไม่ธรรมดา:
ลองส่งอีเมลในช่วงสุดสัปดาห์หรือหลังเวลาทำงาน เจ้าของธุรกิจมักจะเป็นคนที่ยุ่งมากและมักทำงานจนดึกและจะทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์
หากอีเมลของคุณปรากฏในกล่องจดหมายของพวกเขาในช่วงเวลาที่พวกเขามักจะว่างกว่าเวลาทั่วไป อีเมลของคุณจะมีโอกาสได้รับการตอบกลับมากขึ้น
.
4. 🧮 คำนวณตัวเลขให้พวกเขาเห็นชัดๆ:
อย่าทำให้เจ้าของธุรกิจต้องคิดมากเกินไป เจ้าของธุรกิจกำลังจัดการกับงานสำคัญ กำลังตัดสินใจ และจัดการกับการแจ้งเตือนมากมายตลอดทั้งวัน
คุณต้องอธิบายว่าพวกเขาสามารถคาดหวัง ROI แบบไหนได้บ้างจากการเลือกใช้ Solution ของคุณโดยคำนวณเป็นตัวเลขที่ชัดเจนที่สุด
5. ⏱️ เคารพเวลาของพวกเขา (ทำให้สั้น):
คำแนะนำนี้ชัดเจน และไม่ได้จำกัดเฉพาะกับเจ้าของธุรกิจ การเขียนอีเมลสั้นๆ แสดงให้เห็นว่าคุณรู้วิธีสื่อสารคุณค่าอย่างกระชับและแสดงความเคารพต่อเวลาของพวกเขาด้วย
6. 🚫 ไม่ใช้คำฮิตที่ไม่มีความหมาย:
เจ้าของธุรกิจมักมีเครื่องตรวจจับความไม่จริงใจที่แม่นยำ หากคุณใช้ภาษาทางการแบบองค์กรและคำที่นิยมใช้กันมากเกินไป พวกเขามักจะมองข้ามคุณไป จงสื่อสารให้เรียบง่ายและพูดให้เป็นมนุษย์มากขึ้น
.
7. 👥 พูดถึงลูกค้าของพวกเขา:
เจ้าของธุรกิจมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ลูกค้าของพวกเขา พวกเขาจึงมักจะหมกมุ่นกับลูกค้ามากกว่ากลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ที่คุณขายให้
ฉะนั้นจงพูดถึงลูกค้าของพวกเขาว่า Solution ของคุณจะไปช่วยลูกค้าของพวกเขาได้อย่างไร
.
8. 🏆 พูดถึงคู่แข่งของพวกเขา:
เจ้าของธุรกิจเป็นคนที่มีนิสัยชอบการแข่งขัน พวกเขามีความรู้ลึกเกี่ยวกับคู่แข่ง เข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง และเข้าใจว่าบริษัทของตัวเองต้องเปรียบเทียบกับคู่แข่งต่างๆ อย่างไร
ฉะนั้นจงพูดถึงคู่แข่งของเขาเสมือนว่าคุณศึกษาคู่แข่งร่วมกันกับเขามาเลย
.
✨ บทสรุป: อย่าอ้อมค้อมและควรมี ROI ที่ชัดเจน การเรียนรู้วิธีขายให้กับเจ้าของธุรกิจเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทรงพลังในการเป็นพนักงานขายและช่วยให้คุณปิดการขายได้มากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณกำลังขายผลิตภัณฑ์หรือบริการให้กับ SMEs
.
🚀 เมื่อคุณเข้าใจสิ่งนี้และฝึกฝนตามขั้นตอนทั้ง 8 คุณจะสามารถเชื่อมต่อกับเจ้าของธุรกิจได้ดีขึ้น และทำยอดขายเกินเป้าได้ง่ายขึ้นด้วย
=====

🤔 ทำไมพนักงานขายส่วนใหญ่ถึงเกลียดการโทรหาลูกค้ารายใหม่หรือการ Cold Call?  ❓ คำตอบก็คือ ไม่มีใครชอบการถูกปฏิเสธ ไม่มีใครช...
16/01/2025

🤔 ทำไมพนักงานขายส่วนใหญ่ถึงเกลียดการโทรหาลูกค้ารายใหม่หรือการ Cold Call?
❓ คำตอบก็คือ ไม่มีใครชอบการถูกปฏิเสธ ไม่มีใครชอบถูกขอให้คุยในเรื่องที่เขาไม่ค่อยรู้ หรือไม่ได้เตรียมตัวมา และลูกค้าบางรายถึงกับมองว่าการโทรหาลูกค้าใหม่ของพนักงานขายเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของพวกเขา
แต่การโทรหาลูกค้าใหม่ก็ยังคงมีความสำคัญในการสร้างยอดขาย และบทความนี้จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการทำสิ่งนี้
📱 การโทรหาลูกค้าใหม่ (Cold Call) คืออะไร? มันเป็นกิจกรรมที่พนักงานขายติดต่อลูกค้าที่มีศักยภาพซึ่งยังไม่เคยแสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เขาจะนำเสนอมาก่อน ซึ่งเป็นการติดต่อผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โทรศัพท์ อีเมล หรือโซเชียลมีเดียต่างๆ
แต่นักขายที่ประสบความสำเร็จได้พัฒนาการโทรหาลูกค้าใหม่ให้เป็นเครื่องมือการขายที่มีเป้าหมายชัดเจน โดยคัดกรองรายชื่อลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อมากที่สุดขึ้นมาก่อน
และต่อไปนี้คือ 9 เทคนิคสำคัญที่จะช่วยให้การ Cold Call ของคุณประสบความสำเร็จมากขึ้น:
1️) ยอมรับการถูกปฏิเสธ:
อย่าหนีมัน เพราะการถูกปฏิเสธเป็นส่วนสำคัญของการขาย ในประวัติศาสตร์การขายยังไม่เคยมีนักขายคนใดปิดการขายได้ 100% มาก่อน
วิธีเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ:
หมั่นเตือนตัวเองว่าการขาย คือ กระบวนการช่วยให้ Solution ที่ช่วยคนอื่นอยู่
ถ้าเจอลูกค้าที่ปฏิเสธแบบสุภาพ ให้คุณถามเหตุผลจากเขาเพื่อเป็นการเรียนรู้
ฝึกรับมือการปฏิเสธกับเพื่อนร่วมงาน โดยให้เพื่อนสวมบทบาทพูดปฏิเสธเมื่อเราเสนอบางอย่าง
2️) ตั้งเป้าที่การเรียนรู้ ไม่ใช่ยอดขายในครั้งแรกๆ
เริ่มด้วยสคริปต์ที่คุณเขียนเองโดยอย่าเพิ่งหลุดจากสคริปต์นั้น
ในการคุยแต่ละครั้งให้หาจุดที่คุณมักถูกปฏิเสธและปรับปรุงสคริปต์ตรงจุดนั้น
บันทึกคำตอบ คำถามของลูกค้าแล้ววิเคราะห์การโทรแต่ละครั้ง
3️) ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่งเครื่องมือที่แนะนำได้แก่:
ConnectAndSell – บริการเชื่อมต่อสายอัตโนมัติเพื่อลดขั้นตอนรอสายที่คุณไม่ชอบ
Outreach - บริการจัดระบบแต่ละรายชื่อลูกค้า
DiscoverOrg – บริการให้ข้อมูลปัจจัยที่เพิ่มอัตราการซื้อแก่คุณ
4️) สร้างรายชื่อลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน:
- ลักษณะบริษัทที่ควรมองหา: 🏢 อุตสาหกรรม 📊 ขนาด (รายได้, จำนวนพนักงาน, จำนวนสาขา) 🌎 ภูมิศาสตร์ 💻 เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
- ลักษณะผู้ติดต่อที่ควรมองหา: 👔 บทบาท/ตำแหน่ง 🛠️ เครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน 👥 รายงานต่อใคร 👥 ใครรายงานต่อพวกเขา
5) ใช้สคริปต์อย่างเป็นธรรมชาติ:
จดจำการแนะนำตัวและคุณค่าที่คุณนำเสนอ
เตรียมคำถามปลายเปิดที่ดี
มีคำตอบพร้อมสำหรับข้อโต้แย้ง
6️) จัดตารางการโทรที่เหมาะสม
ทำสถิติช่วงเวลาที่ลูกค้ามักรับสาย และช่วงเวลาที่ลูกค้าสะดวกคุย
นำสถิติมาบริหารเวลาโทรกับงานอื่นให้เหมาะสม
7) ตั้งเป้าหมายแต่ละสาย
ไม่ควรตั้งเป้าปิดการขายทันที
ตกลงวัน เวลานัดคุยครั้งต่อไปกับลูกค้าให้ชัดเจน
8️) ถ้าไม่เจอตัว จงฝากข้อความเสียงให้น่าสนใจ
ฝากข้อความที่สั้น กระชับ ได้ใจความ
สร้างความสนใจ หรือ ความอยากรู้อยากเห็น
ติดตามอย่างสม่ำเสมอ
9️) หลักปฏิบัติสำคัญ:
✅ ทำให้การถูกปฏิเสธเป็นเรื่องสนุก ✅ ฝึกฝนต่อเนื่อง ✅ เตรียมคำถามและคำตอบที่ดี ❌ อย่าเสียเวลากับลูกค้าที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของคุณมากเกินไป
✨ สรุป: การโทรหาลูกค้าใหม่ยังได้ผลดีถ้าทำถูกวิธี เตรียมตัวให้พร้อม ฝึกฝนให้มาก และทำอย่างมีกลยุทธ์!
====

การเป็นผู้นำไม่ใช่แค่ตำแหน่ง แต่เป็นความรับผิดชอบที่จะสร้างอนาคตที่ดีและยั่งยืนสำหรับทุกคน ✨ ในช่วงเวลาที่พวกเรากำลังก้า...
15/01/2025

การเป็นผู้นำไม่ใช่แค่ตำแหน่ง แต่เป็นความรับผิดชอบที่จะสร้างอนาคตที่ดีและยั่งยืนสำหรับทุกคน ✨ ในช่วงเวลาที่พวกเรากำลังก้าวเข้าสู่ปี 2025 สิ่งที่แยกผู้นำที่ยิ่งใหญ่ออกจากผู้นำทั่วๆ ไปไม่ใช่แค่ความสามารถในการบริหารจัดการ แต่เป็นวิสัยทัศน์ในการสร้างวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยจุดประสงค์ของการเกิดขึ้น (ตัวคุณเอง และธุรกิจ) 🎯
Adrian Gostick ที่ปรึกษาธุรกิจระดับโลก และนักเขียน New York Times Bestseller หลายเล่ม 📚 ได้ทำการค้นคว้า และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ 'เทรนด์สำคัญ' ที่ผู้นำทั่วโลกจำเป็นต้องรู้และก้าวตามให้ทัน โดย Adrian ได้เขียนบทความในชื่อ 3 Top Leadership Trends Shaping 2025 เผยแพร่ใน Forbes Online ซึ่งเราได้สรุปเนื้อหาสำคัญมาให้คุณ ดังนี้
เทรนด์ที่ 1: เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยี 🚀
ทำไมเราต้องผสานเทคโนโลยีเข้ากับการทำงาน คำตอบไม่ใช่เพียงเพื่อประสิทธิภาพ แต่เพื่อปลดปล่อยศักยภาพมนุษย์ เพราะ AI ไม่ใช่เครื่องมือแทนที่มนุษย์ แต่เป็นพันธมิตรที่จะช่วยให้คุณมุ่งเน้นที่สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด นั่นคือการสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา และการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายต่อลูกค้าและคนในองค์กร 🤝
เทรนด์ที่ 2: ใส่ใจเรื่องสุขภาวะและพื้นที่ปลอดภัย 💖
ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เข้าใจว่าความสำเร็จขององค์กรเริ่มต้นจากภายใน การสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานรู้สึกปลอดภัยทางอารมณ์ไม่ใช่แค่งานของ HR แต่เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญ 🌟 เมื่อผู้คนรู้สึกได้รับการดูแลใส่ใจ และมีสุขภาวะทางใจที่ดี พวกเขาจะทุ่มเทพลังให้กับนวัตกรรมและการเติบโต แทนที่จะสูญเสียพลังไปกับความกังวล ความกลัว ความเครียด ความโกรธ และความรู้สึกไม่มั่นคง 🙏
เทรนด์ที่ 3: นำด้วยความคล่องตัวและจุดประสงค์ในการเกิดมา ⚡
ความคล่องตัวไม่ใช่แค่ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงหรือปรับตัวอย่างรวดเร็ว แต่เป็นความสามารถในการรักษาทิศทางที่ชัดเจนท่ามกลางความวุ่นวาย ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เข้าใจว่า "อย่างไร" และ "อะไร" อาจจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แต่ "ทำไม" หรือจุดประสงค์ที่แท้จริงขององค์กรต้องชัดเจนและคงที่ นี่คือเข็มทิศที่จะนำทางทีมของคุณผ่านการเปลี่ยนแปลงและความท้าทาย 🧭
เริ่มต้นด้วยคำถามที่มอบให้ตัวเอง 🤔
การเป็นผู้นำในปี 2025 ไม่ใช่เรื่องของการตามทัน แต่เป็นเรื่องของการมองไปข้างหน้าและสร้างอนาคตที่เราต้องการ เมื่อเข้าใจเทรนด์ทั้ง 3 ข้อนี้แล้วนี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราจะถามตัวเองว่า:

· เราจะใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับ ไม่ใช่แทนที่ มนุษย์ได้อย่างไร 💡

· เราจะสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมทั้งการเติบโตทางธุรกิจและสุขภาวะทางใจได้อย่างไร 🌱

· เราต้องการระบบการทำงานแบบไหนที่จะทำให้กระบวนการทำงานคล่องตัวที่สุด ⚙️
ความสำเร็จของผู้นำในปี 2025 จะไม่ถูกวัดด้วยตัวเลขทางการเงินแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันต้องถูกวัดผลจากผลกระทบที่ยั่งยืนที่ผู้นำสร้างขึ้น 📊:
เพราะในที่สุด ภาวะผู้นำไม่ใช่เรื่องของอำนาจหรือการควบคุม แต่เป็นเรื่องของการสร้างพื้นที่ให้ผู้อื่นเติบโตและประสบความสำเร็จ 🌱 ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี สุขภาวะที่ดีทั้งทางกายและจิตใจ การทำงานที่คล่องตัวและจุดประสงค์ที่ชัดเจนทั้งหมดนี้คือเข็มทิศที่นำทางสังคมโลกไปสู่อนาคตที่ดีกว่าได้อย่างแน่นอน 🎯
=====

Source: https://www.forbes.com/sites/adriangostick/2024/12/30/the-top-leadership-trends-shaping-2025/

เสตซี่ ซีอีโอขององค์กรไม่แสวงหากำไรด้านประสิทธิภาพพลังงาน ต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้ทีมผู้นำด้วยการสร้างตำแหน่งประธานเ...
13/01/2025

เสตซี่ ซีอีโอขององค์กรไม่แสวงหากำไรด้านประสิทธิภาพพลังงาน ต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้ทีมผู้นำด้วยการสร้างตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) การจ้างงานสองครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จ เพราะทั้งคู่อยู่ในตำแหน่งไม่ถึงหนึ่งปี
🤔 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไป เสตซี่ขอให้จอร์แดน หัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคลสรรหาบุคลากรอีกครั้งสำหรับตำแหน่ง COO ที่ยังว่างอยู่ อย่างไรก็ตาม เธอกังวลว่าจะไม่ไว้วางใจผู้สมัครที่จอร์แดนหามาเพราะเขาเป็นคนที่หาผู้สมัครสองคนก่อนหน้านี้ที่ออกไปภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี
🗣️ เมื่อเสตซี่มาปรึกษาผมในฐานะโค้ชผู้บริหาร ผมถามเธอทันทีว่าเธอได้คิดทบทวนกระบวนการจ้างงานอย่างไรหลังจากความล้มเหลวสองครั้ง คำตอบของเธอก็คือ “ฉันไม่ได้คิดใหม่เลย”
💭 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวว่า “ความบ้าคือการทำสิ่งเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยหวังผลลัพธ์ที่ต่างไปจากเดิม” สิ่งที่ผมเห็นมาจากลูกค้าหลายรายก็คือ เรามักมีพฤติกรรมเช่นนี้บ่อยกว่าที่เรายอมรับ ส่วนหนึ่งมาจากความต้องการมีประสิทธิภาพและความเคยชินกับวิธีคิดแบบเดิม
📝 เพื่อนำบทเรียนจากอดีตมาปรับปรุงการตัดสินใจในปัจจุบัน ผมแนะนำให้ถามคำถามเพื่อช่วยในการเรียนรู้จากความผิดพลาดต่อไปนี้:
❓ 1. การตัดสินใจที่คุณกำลังเผชิญคืออะไร:
ขั้นตอนแรกคือทำความเข้าใจปัญหาให้ชัดเจน ในกรณีของเสตซี่ เธอเริ่มกำหนดปัญหาว่าแท้จริงแล้วเธอต้องการคนที่เหมาะสมมารับตำแหน่ง COO แต่นี่เป็นเพียงความหวัง ไม่ใช่การระบุปัญหาที่แท้จริง
🎯 เมื่อมองลึกลงไป เสตซี่เริ่มเห็นว่าปัญหาจริงๆ คือ "ฉันต้องปรับปรุงกระบวนการสรรหาและจ้างงานอย่างไรเพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับบทบาทและองค์กรในระยะยาวนั่นเอง”
❓ 2. อะไรที่ทำให้คุณกังวล และคุณมักแก้ปัญหาอย่างไร?:
😟 จากประสบการณ์จ้างงานที่ล้มเหลวสองครั้ง เสตซี่กังวลว่าจะไม่ได้ผู้สมัครที่เหมาะสมถ้าเปิดกว้างในการรับสมัคร เธอจึงคิดจะจำกัดเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์ตรงเท่านั้น
❓ 3. ในอดีตที่ผ่านมาอะไรบ้างที่ไม่เป็นไปตามต้องการและเพราะอะไร:
📊 เสตซี่วิเคราะห์ว่าการจ้างครั้งแรกล้มเหลวเพราะผู้สมัครไม่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมและไม่พยายามเรียนรู้ ส่วนครั้งที่สองล้มเหลวเพราะปัญหาการสื่อสารที่ไม่ดี
❓ 4. มีข้อสันนิษฐานอะไรที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ:
🔍 เสตซี่ตระหนักว่าเธอสันนิษฐานว่าผู้สมัครจะเรียนรู้งานได้เอง และเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนเรื่องการสื่อสาร เธอไม่ได้ตรวจสอบผู้สมัครอย่างละเอียดมากพอ
❓ 5. จะนำบทเรียนมาใช้อย่างไร:
💡 เสตซี่เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่กลุ่มผู้สมัคร แต่อยู่ที่วิธีสัมภาษณ์และประเมินผู้สมัครของตัวเธอเอง
❓ 6. แนวทางใหม่ในการแก้ไขปัญหานี้คืออะไร:
✅ เสตซี่ตัดสินใจเปิดกว้างในการรับสมัคร แต่ปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบ โดยขอรายละเอียดเฉพาะเกี่ยวกับแผนพัฒนาตนเองของผู้สมัคร และตรวจสอบการอ้างอิงอย่างละเอียด
🌟 ผลลัพธ์คือ การจ้างครั้งล่าสุดของเสตซี่นั้น มีคนที่ไม่เคยเป็น COO มาก่อนสามารถทำงานได้เกินหนึ่งปีและเป็นการทำงานที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง
📚 บทเรียนสำคัญคือ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจะเป็นความผิดพลาดจริงๆ ก็ต่อเมื่อเราไม่ได้เรียนรู้จากมัน การใช้เวลาทบทวนและเรียนรู้จากอดีตจะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ดียิ่งขึ้น แม้บางครั้งเราอาจจะต้องชะลอหรือช้าลงบ้างเพื่อพิจารณาบางอย่างอย่างรอบคอบ แต่สิ่งที่เกิดจากการเรียนรู้จะให้ผลที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน
======

สนใจรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมการพัฒนาบุคลากรของเรา 📚 ติดต่อ:
👩‍💼 คุณดาว (Program Manager): 095-165-0745
👨‍💼 คุณฟลุ๊ค (Training Advisor) : 064-932-3546

😫 ในอดีตฉันเป็นเด็กที่เกลียดคณิตศาสตร์อย่างที่สุด ฉันสอบตกในทุกวิชาคณิตศาสตร์ที่ถูกบังคับให้เรียน สำหรับฉัน การจบมัธยมปล...
11/01/2025

😫 ในอดีตฉันเป็นเด็กที่เกลียดคณิตศาสตร์อย่างที่สุด ฉันสอบตกในทุกวิชาคณิตศาสตร์ที่ถูกบังคับให้เรียน สำหรับฉัน การจบมัธยมปลายเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเพราะว่าฉันจะไม่ต้องแตะหนังสือคณิตศาสตร์อีก
คณิตศาสตร์ไม่เพียงแต่น่าเบื่อสำหรับฉัน แต่ยังไม่มีประโยชน์และน่าหงุดหงิดอย่างมหาศาลเช่นเดียวกับเทคโนโลยี
😲 ถ้าบอกตัวเองในวัยเด็กว่าสักวันฉันจะกลายเป็นศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ ผู้หลงใหลในคณิตศาสตร์และรู้สึกสบายใจกับโลกเทคโนโลยี เด็กคนนั้นคงจะช็อกมาก
🔍 แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวและการวิจัย ฉันค้นพบว่าเราทุกคนสามารถเรียนรู้ที่จะชอบ หรือแม้กระทั่งหลงรัก เรื่องที่ดูน่าเบื่อหรือที่เคยเกลียดได้ เพราะในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ความสามารถในการสร้างความหลงใหลใหม่ๆ มีความสำคัญมาก และต่อไปนี้คือเทคนิคในการพัฒนาความหลงใหลขึ้นมา
1️⃣ ค้นหาเมล็ดพันธุ์แห่งแรงจูงใจ:
🌱 ขั้นตอนแรกในการสร้างความหลงใหลในเรื่องที่คุณไม่ชอบคือการระบุเหตุผลในการเรียนรู้ หนึ่งในแรงจูงใจที่ดีที่สุดคือความต้องการพัฒนาชีวิตของคุณเอง
คุณสามารถเปรียบเทียบความคิดระหว่างสถานะที่คุณเป็นตอนนี้ (เช่น ผู้ช่วยสำนักงาน) กับสถานะที่คุณต้องการจะเป็น (เช่น ทนายความผู้เชี่ยวชาญ) ได้
2️⃣ เอาชนะความเจ็บปวดในสมอง:
🧠 เมื่อเราคิดถึงสิ่งที่เราไม่ชอบหรือไม่ต้องการ มันจะกระตุ้นส่วนของสมองที่เรียกว่า bilateral dorsal posterior insula ซึ่งเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ความเจ็บปวดของเรา
หมายความว่า ถ้าคุณไม่ชอบคณิตศาสตร์ แล้วคิดถึงคณิตศาสตร์ มันจะกระตุ้นให้คุณรู้สึกเจ็บปวดทางกายภาพได้จริงๆ และนั่นทำให้สมองของคุณเบนความสนใจไปจากสิ่งนั้น นั่นคือเหตุผลที่ทำให้คุณผัดวันประกันพรุ่ง
⏰ หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะการผัดวันประกันพรุ่งคือเทคนิค Pomodoro ซึ่งเป็นวิธีการที่พัฒนาโดย Francesco Cirillo สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ...
📱 • ปิดสิ่งรบกวนทั้งหมด (ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเตือนเล็กๆจากโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ของคุณ)
⏲️ • ตั้งเวลาโฟกัส 25 นาที
🎯 • มีสมาธิจดจ่อในช่วง 25 นาทีนั้นอย่างเต็มที่
🎉 • ให้รางวัลตัวเอง 5 นาทีเมื่อเสร็จสิ้นจากการโฟกัส เช่น ฟังเพลง คุยกับเพื่อน หรือดื่มกาแฟ
3️⃣ ตระหนักว่าเป็นเรื่องปกติที่จะไม่เข้าใจอะไรในครั้งแรก:
🧩 ผู้คนมักไม่ตระหนักว่าสมองมีวิธีที่แตกต่างกันถึงสองแบบในการรับรู้สิ่งต่างๆ แบบแรกเกิดขึ้นขณะจดจ่อกับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ซึ่งกระตุ้นสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า task-positive networks
แบบที่สองเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้จดจ่อกับอะไรเรียกว่า default mode network กับเครือข่ายสถานะพัก หรือ resting state networks ซึ่งเป็นโหมดการคิดแบบกระจายมากกว่าจดจ่อ
🔄 คนส่วนใหญ่รับรู้สิ่งต่างๆ สลับไปมาระหว่างโหมดจดจ่อและโหมดกระจายในการเรียนรู้หัวข้อหนึ่งๆ เมื่อคุณไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในการจดจ่อครั้งแรก ไม่ได้หมายความว่าคุณโง่ แต่คุณแค่ต้องการเวลามากขึ้นในการสลับไปสู่โหมดกระจาย เพราะโหมดที่สองจะเปิดโอกาสให้สมองของคุณรวบรวมและพิจารณาเนื้อหาจากมุมมองที่แตกต่างได้
✨ หลายปีต่อมา หลังจากที่ฉันสร้างการเปรียบเทียบทางความคิดที่สร้างแรงจูงใจขึ้นมา ฉันจึงพยายามแก้โจทย์แต่ละข้อนานพอที่จะค้นพบว่าฉันสามารถเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี
4️⃣ สร้างคลัง "ก้อนความรู้" ในระบบประสาท:
🧠 เมื่อเรากำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ไม่ได้มาโดยธรรมชาติของเรา เรามักจะอ่านผ่านๆ แทนที่จะ 'ซึมซับ' แต่ในโลกความเป็นจริงไม่มีใครร้องเพลงแค่ครั้งเดียวแล้วกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญได้
การพัฒนาความเชี่ยวชาญเกี่ยวข้องกับการระลึกถึงได้ง่ายและความเป็นอัตโนมัติกับแนวคิดและวิธีปฏิบัตินั่นเอง
📝 ลองทำแบบฝึกหัดนี้ถ้าคุณกำลังทำงานเกี่ยวกับคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ดูว่าคุณสามารถแก้โจทย์สำคัญทั้งหมดบนกระดาษโดยไม่ต้องดูเฉลยได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ ให้ลองอีกครั้ง และอีกครั้งในวันถัดไป
🌙 การเรียนรู้อย่างมีสมาธิในแต่ละวันและตามด้วยการนอนหลับในตอนกลางคืน จะเสริมสร้างรูปแบบประสาทใหม่ของคุณ ซึ่งพัฒนาเป็น "ก้อนความรู้"
ไม่นานคุณจะพบว่าตัวเองสามารถแก้โจทย์ได้ในใจเพียงแค่มองมัน คุณจะพบว่าขั้นตอนแก้ปัญหาจะไหลผ่านจิตใจของคุณอย่างรวดเร็ว คุณได้ 'จัดระเบียบ' ก้อนเนื้อหาแล้ว
🔝 ยิ่งคลังของก้อนความรู้ในระบบประสาทที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาของคุณใหญ่เท่าไร ความเชี่ยวชาญของคุณก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งคุณมีความเชี่ยวชาญมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งชอบสิ่งที่กำลังเรียนรู้มากขึ้นเท่านั้น
การฝึกฝนทุกวันและการพัฒนาก้อนความรู้ในระบบประสาทมีความสำคัญในการเรียนรู้ไม่เพียงแต่คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเกือบทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น ภาษา กีฬา ดนตรี การเต้นรำ หรือแม้แต่การทำงานที่น่าเบื่อของคุณเอง
✨ โดยการใช้สี่ขั้นตอนนี้ คุณสามารถพัฒนาความหลงใหลในเรื่องที่คุณไม่ชอบได้ บางเรื่องใช้เวลานานกว่าเรื่องอื่นๆ ที่คุณเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง แต่แนวทางที่อธิบายไว้นี้สามารถช่วยให้คุณผ่านพ้นอุปสรรคที่แย่ที่สุดได้ แล้วคุณจะประหลาดใจกับสิ่งที่คุณค้นพบว่าตัวเองเรียนรู้ที่จะรักสิ่งที่เคยเกลียดได้จริงๆ
=====
อ้างอิง: How to Get Excited About Topics That Bore You – Barbara Oakley ศาสตราจารย์ผู้เขียนหนังสือ Learning How to Learn



เพราะการทำงานร่วมกับคนที่แตกต่างกันมักจะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ มากมาย ⚠️📌 งานที่ทำไม่มีประสิทธิภาพ ❌ ทำงานไม่เสร็จ, ล่าช้า หร...
10/01/2025

เพราะการทำงานร่วมกับคนที่แตกต่างกันมักจะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ มากมาย ⚠️
📌 งานที่ทำไม่มีประสิทธิภาพ ❌ ทำงานไม่เสร็จ, ล่าช้า หรือไม่ได้มาตรฐาน
📌 บรรยากาศการทำงานเป็นพิษ 😡 ไม่อยากพูดคุย 😶 ไม่อยากพบหน้า 🙅‍♂️ ไปจนถึงทะเลาะกันได้ง่าย 🤬
📌 เกิดความเบื่อหน่าย เซ็ง 😩 เกิดความเครียด ความโกรธ โมโห 😤 จนส่งผลต่อสุขภาพจิตใจ 🧠
ยุติปัญหาเรื่อง ‘คน’ ซึ่งเป็นปัญหาหลักในการทำงานให้ราบคาบด้วยองค์ความรู้ที่อัพเดทตามหลักวิทยาศาสตร์และงานวิจัย 🧪
มีแนวทางการฝึกฝนชุดทักษะที่สำคัญด้วย workshop 🛠️ เทคนิคการนำไปใช้งานจริงจากประสบการณ์ 📚
และเครื่องมือการติดตามผลที่ออกแบบมาเป็นพิเศษโดย Team Learning Designer จาก Massive Momentum 🏆
พบกับ Public Training หลักสูตรแรกจาก Massive Momentum...
Unity in Diversity: The Art of Inclusive Collaboration 🌏
โดย เจ้าพ่อด้าน Collaboration อันดับหนึ่งในประเทศไทย
อ. เวย์ เวสารัช โทณผลิน
Inclusive Leadership & Team Collaboration Facilitator 👥🤝
งานนี้เหมาะกับใคร
✅ เจ้าของธุรกิจ และผู้บริหารที่ต้องการบริหารคนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
✅ HR ตั้งแต่ระดับ manager ขึ้นไปที่อยากติดอาวุธในการบริหารคน
✅ พนักงานทั่วไปที่กำลังปวดหัวกับการทำงานร่วมกับคนในทีม 🌀 หรือ ต่างทีมต่างแผนก 🏢
สนใจสอบถามรายละเอียดและพูดคุยแพ๊คเกจที่เหมาะสมกับคุณได้แล้ววันนี้ที่...
📱 Line:
📞 โทร 06-49323546 (คุณฟลุ๊ค), 095-1650745 (คุณดาว)
เพราะนี่คือการลงทุนด้านคนและทักษะในการทำงานร่วมกันที่คุ้มค่าที่สุด 💡
อย่าปล่อยให้ปัญหาเรื่องคนทำให้ธุรกิจของคุณสูญเสียทั้งในระยะสั้นจากผลงานที่ขาดประสิทธิภาพ 🚨 และกัดกินวัฒนธรรมองค์กรของคุณในระยะยาว 🌱
====


🏢 เมื่อหลายปีก่อน อเมซอนประสบปัญหาในการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านอีคอมเมิร์ซ พวกเขาพบว่าโครงการซอฟต์แวร์ภายในหลายโครงการใช...
08/01/2025

🏢 เมื่อหลายปีก่อน อเมซอนประสบปัญหาในการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านอีคอมเมิร์ซ พวกเขาพบว่าโครงการซอฟต์แวร์ภายในหลายโครงการใช้เวลาในการพัฒนานานเกินไป ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญในแง่ของการแข่งขัน
👨‍💼 'แอนดี้ แจสซี่' หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของเจฟฟ์ เบโซส ซีอีโอของอเมซอน ได้รับมอบหมายให้หาสาเหตุของปัญหา สิ่งที่เขาค้นพบคือทีมต่างๆ สร้างระบบที่ไม่สามารถขยายไปใช้นอกเหนือจากโครงการของตัวเองได้ สำหรับทุกโครงการใหม่ แต่ละทีมต้องเริ่มต้นสร้างทุกอย่างใหม่ทั้งหมด
💡 แจสซี่และอเมซอนอาจจะหาทางแก้ปัญหาการขยายระบบภายในแล้วหยุดแค่นั้น แต่อเมซอนได้ก้าวไปไกลกว่านั้น พวกเขาคิดว่าถ้าตัวเองกำลังประสบปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีเหล่านี้ บริษัทอื่นๆ ก็น่าจะกำลังเผชิญปัญหาคล้ายคลึงกัน ฉะนั้นถ้าพวกเขาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ก็น่าจะช่วยแก้ปัญหาให้บริษัทอื่นได้ด้วยเช่นกัน
⚙️ อเมซอนจึงเริ่มพัฒนาสถาปัตยกรรมที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้โดยทีมวิศวกรที่ดูแลโครงการที่แตกต่างกัน บริการเหล่านี้ช่วยให้อเมซอนในฐานะผู้ค้าปลีกสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าเดิมหลายเท่าตัว
☁️ แต่อเมซอนไม่ได้หยุดแค่นั้น พวกเขาเลือกที่จะเปลี่ยนโซลูชั่นนี้ให้กลายเป็นธุรกิจใหม่ โดยนำเสนอบริการ 'คลาวด์คอมพิวติ้ง' และนี่คือจุดกำเนิดของ Amazon Web Services (AWS) ซึ่งปัจจุบันได้สร้างรายได้ให้อเมซอนประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานในแต่ละวันมากกว่าที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจทั้งหมดของอเมซอนในปี 2003 ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกมูลค่า 5.2 พันล้านดอลลาร์ที่มีพนักงานมากกว่า 7,800 คนแล้ว
💪 บทเรียนก็คือ อเมซอนไม่ได้หยุดแค่การแก้ปัญหา แต่พวกเขาได้ค้นพบ "โซลูชั่นที่ก้าวล้ำ" ซึ่งเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
📈 แปดระดับของการแก้ปัญหา
การสร้างวัฒนธรรมที่มองเห็นโอกาสแทนปัญหาเหมือนอเมซอนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การเริ่มต้นด้วยกรอบคิดที่เรียบง่ายเพื่อให้คนประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ทันที และดีกว่านั้นคือการเริ่มให้รางวัลเมื่อเห็นความสามารถในการแก้ปัญหาของทีมพัฒนาขึ้น
✅ Checklist คุณเป็นนักแก้ปัญหาระดับไหน: หลักการและตัวอย่างที่ประยุกต์ใช้ได้จริง
👀 ระดับ 0 - มองไม่เห็นปัญหา
- พนักงานเห็นว่าลูกค้ารอนาน แต่ไม่ได้มองว่าเป็นปัญหา
- มีคนร้องเรียนในรีวิวออนไลน์ แต่พนักงานไม่ได้สนใจอ่าน
🔍 ระดับ 1 - เห็นปัญหาและยกขึ้นมา
- พนักงานสังเกตว่าลูกค้ารอนานและบ่น จึงรายงานผู้จัดการ
- แจ้งเพื่อนร่วมงานว่า "เรามีปัญหาทำงานช้าทำให้ลูกค้าไม่พอใจ"
📋 ระดับ 2 - เห็นปัญหาและกำหนดนิยามได้ชัดเจน
- ระบุได้ว่าในช่วงเวลาเร่งด่วน (8:00-9:00 น.) ลูกค้าต้องรอเครื่องดื่มเฉลี่ย 15 นาที ซึ่งนานกว่ามาตรฐานคือ 5 นาที
- บันทึกข้อมูลจำนวนออเดอร์และเวลารอคอยเป็นสถิติ
🔎 ระดับ 3 - เห็นปัญหา นิยามได้ชัดเจน และระบุสาเหตุที่แท้จริงได้
วิเคราะห์และพบว่าปัญหาเกิดจาก:
- มีบาริสต้าเพียงคนเดียวในช่วงเช้า
- เครื่องชงกาแฟมีเพียงเครื่องเดียว
- ขั้นตอนการทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
⚡ ระดับ 4 - วางแผนล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
- จัดตารางพนักงานใหม่ให้มีบาริสต้า 2 คนในช่วงเร่งด่วน
- จัดวางอุปกรณ์ใหม่ให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการทำงาน
- เตรียมวัตถุดิบล่วงหน้าก่อนช่วงลูกค้าเยอะ
🛠️ ระดับ 5 - หาทางแก้ไขที่ปฏิบัติได้จริง
- ติดตั้งเครื่องชงกาแฟเพิ่มอีกเครื่อง
- ฝึกอบรมพนักงานให้ทำงานได้หลายหน้าที่
- ปรับปรุงระบบการรับออเดอร์ให้มีประสิทธิภาพ
🚀 ระดับ 6 – หาทางแก้ไขที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น
- พัฒนาแอพสั่งเครื่องดื่มล่วงหน้า ทำให้จัดการปริมาณงานได้ดีขึ้น
- ออกแบบระบบคิวอัจฉริยะที่แจ้งเวลารอโดยประมาณ
- สร้างระบบสมาชิกที่ให้ส่วนลดหากสั่งล่วงหน้า
⚙️ ระดับ 7 - ริเริ่มนำทางแก้ไขไปปฏิบัติ
- นำระบบทั้งหมดมาใช้จริง
- ติดตามผล ประเมิน และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
💫 ระดับ 8 - มองไกลกว่าการป้องกันปัญหา
- พัฒนาแอพให้เป็นแพลตฟอร์มที่ร้านกาแฟอื่นๆ สามารถใช้ได้
- ขายระบบบริหารจัดการร้านกาแฟให้กับร้านอื่น
- สร้างธุรกิจใหม่จากการให้คำปรึกษาและระบบบริหารร้านกาแฟ
🎯 แอนดี้และทีมอาจจะหยุดที่ระดับ 3 แต่พวกเขากลับทำการประเมินความสามารถหลักภายในองค์กร ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงการค้าปลีก แต่เมื่อบริษัทวิเคราะห์ลึกลงไป
พวกเขาตระหนักว่ามีความเชี่ยวชาญในการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีทีมเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งมากรองรับ พวกเขากำลังก้าวขึ้นสู่ระดับ 5 การตระหนักว่าบริษัทอื่นๆ น่าจะมีความต้องการเหมือนกัน แสดงว่าพวกเขากำลังคิดถึงระดับ 8 ผลลัพธ์คือโอกาสทางธุรกิจใหม่ - โซลูชั่นที่ก้าวล้ำ – ที่ปัจจุบันมีมูลค่าหลายสิบพันล้านดอลลาร์
====



ผลสำรวจใหม่ล่าสุดซึ่งน่าสนใจมากจัดทำโดย 'ซาราห์ บอนด์' และ 'จิลเลียน ชาพิโร' ที่ปรึกษาธุรกิจชาวอังกฤษสองคน 🔍 ผลสำรวจนี้ย...
06/01/2025

ผลสำรวจใหม่ล่าสุดซึ่งน่าสนใจมากจัดทำโดย 'ซาราห์ บอนด์' และ 'จิลเลียน ชาพิโร' ที่ปรึกษาธุรกิจชาวอังกฤษสองคน 🔍 ผลสำรวจนี้ยืนยันความสำคัญของความยืดหยุ่นทางจิตใจ (Resilience) ที่ส่งผลต่อความสำเร็จทางธุรกิจ 💪 ความยืดหยุ่นทางจิตใจถูกนิยามโดยคนส่วนใหญ่ว่าเป็นความสามารถในการฟื้นตัวจากความล้มเหลว ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดี และก้าวต่อไปได้แม้เผชิญกับความยากลำบาก
แต่เมื่อซาราห์และจิลเลียนสอบถามพนักงาน 835 คนจากบริษัทภาครัฐ เอกชน และองค์กรไม่แสวงหากำไรในอังกฤษว่าอะไรในชีวิตของพวกเขาที่ทำให้เขาต้องใช้ความยืดหยุ่นทางจิตใจมากเป็นพิเศษ พวกเขาไม่ได้ระบุว่าเป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรง ความผิดพลาดทางธุรกิจที่รุนแรง หรือความจำเป็นในการก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่คนส่วนใหญ่ระบุว่าเป็น...เพื่อนร่วมงาน 😅
ผู้คนมากกว่า 75% กล่าวว่าสิ่งที่ทำลายความยืดหยุ่นทางจิตใจมากที่สุดคือ "การจัดการกับคนที่ยากจะทำงานด้วยหรือการเมืองในที่ทำงาน" 🤦‍♂️ ตามมาด้วยความเครียดที่เกิดจากการทำงานหนักเกินไปและการต้องทนรับคำวิจารณ์ที่โยงกับเรื่องส่วนตัว 😫
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากได้เสนอคำแนะนำที่หลากหลายเกี่ยวกับการฟื้นตัวจากความล้มเหลวทั้งเล็กและใหญ่ 📚 ในบทความ "The CEO's Second Act" เดวิด นาดเลอร์ ระบุว่าหลังจากเข้ามาบริหารธุรกิจในสถานการณ์ที่ยากลำบากจนกอบกู้สถานการณ์ได้ CEO จำนวนมากมักจะสะดุดเมื่อวิกฤตเฉพาะหน้าผ่านพ้นไป 🎭
อ้างอิงงานวิจัยที่โดดเด่นจากบอริส กรอยส์เบิร์ก แอนดรูว์ แมคลีน และนิติน โนห์เรีย ที่แสดงให้เห็นว่าผู้นำมักจะประสบความสำเร็จในบทบาทใหม่ก็ต่อเมื่อมันคล้ายคลึงกับบทบาทเดิมที่พวกเขาเพิ่งผ่านพ้นมา 🔄
ในบทความ "Firing Back: How Great Leaders Rebound After Career Disasters" เจฟฟรีย์ ซอนเนนเฟลด์ และแอนดรูว์ วาร์ด เสนอทางเลือกที่ก้าวร้าวและเน้นตัวตน จากการสัมภาษณ์ผู้นำที่ล้มเหลวมากกว่า 300 คน 🎯 พวกเขาได้กลั่นกรอง 5 ขั้นตอนที่พวกเขาเชื่อว่าใครก็ตามที่พยายามฟื้นตัวจากหายนะสามารถนำไปใช้เพื่อทำผลงานให้เทียบเท่าหรือเกินความสำเร็จในอดีต ได้แก่
1.ตัดสินใจว่าจะต่อสู้อย่างไร ⚔️
2. หาคนอื่นมาช่วยด้านอารมณ์ จิตใจและหางานใหม่ 🤝
3.ไม่กลัวที่จะวิพากษ์วิจารณ์คนที่ปลดคุณออก 🗣️
4.ให้กำลังใจตัวเองให้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง 🌅
5. ค้นหาภารกิจใหม่ที่ฟื้นฟูความหลงใหลและสร้างความหมายในชีวิต ✨
ในบทความ "The Failure-Tolerant Leader" ริชาร์ด ฟาร์สัน และราล์ฟ คีย์ส เสนอให้หลีกเลี่ยงความพยายามสร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จถูกมองว่าเป็นประสบการณ์การเรียนรู้เชิงบวก 🌱
ผู้นำสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่สร้างสรรค์ได้โดยทำลายอุปสรรคทางสังคมและระบบที่แยกพวกเขาจากลูกน้อง ยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองอย่างเปิดเผย และหลีกเลี่ยงการให้ทั้งคำชมและการตำหนิไปก่อนแต่ให้วางท่าทีเชิงวิเคราะห์โดยยังไม่ตัดสินขณะที่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกน้อง 🤔
ในบทความ "Building Resilience" มาร์ติน เซลิกแมน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย เสนอว่าธุรกิจสามารถช่วยให้พนักงานมีความยืดหยุ่นทางจิตใจมากขึ้นได้ โดยประยุกตืใช้ข้อมูลเชิงลึกจากโปรแกรมของกองทัพสหรัฐที่ช่วยให้ทหารฟื้นตัวหลังมีบาดแผลทางใจ 🎖️
โปรแกรมความยืดหยุ่นทางจิตใจนี้สอนให้ทหารคิดเกี่ยวกับความล้มเหลวในด้านบวกเพื่อไม่ให้เกิดความคิดว่าตนไร้ความสามารถ 🌟
หากคุณรู้สึกอยากลองสร้างมันขึ้นในองค์กรของคุณ คุณอาจจะเป็นชนกลุ่มน้อย เพราะผู้ตอบแบบสำรวจของบอนด์และชาพิโรที่ถูกถามว่าความยืดหยุ่นทางจิตใจของพวกเขามาจากไหนระบุว่า 90% มาจาก "ตัวเอง" 💪 มากกว่า 50% เล็กน้อยตอบว่า "มาจากความสัมพันธ์ของฉัน" และมีเพียง 10% เท่านั้นที่ตอบว่า "มาจากองค์กรของฉัน" 📊
นี่คือเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะแท้จริงแล้วแหล่งที่มาของความยืดหยุ่นทางจิตใจนี้สามารถสร้างและพัฒนาขึ้นได้เท่าเทียมกันทั้งกับองค์กรที่เผชิญความท้าทายขนาดใหญ่และกับบุคคลที่เผชิญกับบาดแผลเล็กๆ นับพันที่มนุษย์เรากำลังสร้างให้กันและกันทุกวันที่มีปฏิสัมพันธ์กัน 🤝
ดังที่ไดแอน คูตู อธิบายไว้อย่างชัดเจนในบทความดัง "How Resilience Works" ว่า "คนที่มีความยืดหยุ่นทางจิตใจจะมีคุณลักษณะสำคัญ 3 ประการ 🎯
1.การยอมรับความจริงอย่างมั่นคง 👀
2.มีความเชื่อที่ลึกซึ้ง มักได้รับการเสริมด้วยค่านิยมที่ยึดมั่นอย่างแน่วแน่ ว่าชีวิตของเขามีความหมาย ❤️
3.ความสามารถที่น่าทึ่งในการปรับตัวและแก้ปัญหาเฉพาะหน้า 🔧
คุณสามารถฟื้นตัวจากความยากลำบากด้วยคุณสมบัติเพียงหนึ่งหรือสองอย่างจากสามข้อนี้ แต่คุณจะมีความยืดหยุ่นทางจิตใจอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อมีครบทั้งสามอย่าง
✨ คุณลักษณะสามประการนี้เป็นจริงทั้งสำหรับองค์กร ทีม และตัวบุคคล และสุดท้ายจะเกิดบริษัทที่มีความยืดหยุ่นทางจิตใจที่สามารถเผชิญความจริงด้วยความมั่นคง สร้างความหมายจากเรื่องที่ยากลำบาก และปรับเปลี่ยนเพื่อหาทางแก้ปัญหาจากความว่างเปล่าได้เสมอ 🌟
=====




ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66951650745

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Massive Momentumผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Massive Momentum:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์