WAY bitter life, better world
(202)

WAY เคยเป็นสิ่งพิมพ์รายเดือน ตีพิมพ์เผยแพร่ฉบับแรก ตุลาคม พ.ศ. 2549 เป็นนิตยสารที่มีเนื้อหาหนักแน่น แต่รูปแบบนำเสนออุดมด้วยความคิดสร้างสรรค์ ครอบคลุมประเด็นทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ศิลปะ และไลฟ์สไตล์

WAY ก่อตั้งโดย อธิคม คุณาวุฒิ เป็นการรวมตัวของคนหนุ่มสาวที่ชำนาญการทำนิตยสารและสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นผู้ผลิตคอนเทนท์ที่สนใจข่าวสารความเคลื่อนไหวทางสังคม และเป็นแหล่งชุมนุมคอลัมนิสต

์คุณภาพสูง

waymagazine.org คือเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของนิตยสาร WAY เปิดตัวในปี 2555 เพื่อรองรับพฤติกรรมการบริโภคข้อมูลข่าวสารที่เปลี่ยนไป เป็นศูนย์รวมงานชิ้นสื่อสารในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบของ WAY ไม่ว่าจะเป็นข้อเขียน ภาพถ่าย กราฟิก วิดีโอ โดยทำงานร่วมกับเครื่องมือโซเชียลมีเดีย เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้คนยุคปัจจุบันและอนาคต

คนขาวรู้วิธีผลิตสิ่งของทุกอย่างแต่ไม่รู้ว่าควรจะแจกจ่ายสิ่งของเหล่านั้นอย่างไร— ซิตติงบุลล์----‘ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ด...
15/12/2024

คนขาวรู้วิธีผลิตสิ่งของทุกอย่าง
แต่ไม่รู้ว่าควรจะแจกจ่าย
สิ่งของเหล่านั้นอย่างไร

— ซิตติงบุลล์
----
‘ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี’ พิมพ์ครั้งที่ 5
Bury My Heart at Wounded Knee
เขียนโดย ดี บราวน์ | แปลโดย ไพรัช แสนสวัสดิ์
📖ความหนา 976 หน้า
📖ราคาปก 1,300 บาท
✨พิเศษ – สำหรับผู้สั่งซื้อกับทาง WAY of BOOK
• Postcard (ขนาด 10*15 ซม.) 4 แผ่น
• ฟรีค่าจัดส่งภายในประเทศ
📦ช่องทางการสั่งซื้อ WAY of BOOK
https://wayofbook.org/product/wounded-knee-5th/
📦หนังสือเริ่มจัดส่งตั้งแต่ วันที่ 18 ธ.ค. เป็นต้นไป
สำหรับนักอ่านที่สนใจฉบับปกอ่อนสามารถติดตามและสั่งซื้อได้ที่
บริษัท เคล็ดไทย จำกัด | www.kledthai.com
FB: kledthai | LINE:
#ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี

“หนังพาให้ฉันนึกถึงวังวนอุบาทว์ (vicious cycle) เพราะทุกสิ่งที่เห็นในหนังเราเคยเห็นมาหมดแล้วในโซเชียล จนรู้สึกชา และไม่อ...
14/12/2024

“หนังพาให้ฉันนึกถึงวังวนอุบาทว์ (vicious cycle) เพราะทุกสิ่งที่เห็นในหนังเราเคยเห็นมาหมดแล้วในโซเชียล จนรู้สึกชา และไม่อยากจะมีความหวังผิดๆ (false hope) เพราะฉันว่ามันยังไม่มีอะไรดีขึ้นเร็วๆ นี้หรอก” ⎻นักศึกษาเมียนมาคนหนึ่ง

“ฉันเลือกการ์ดรูปจังหวะหัวใจเต้น (เป็นตัวแทนความรู้สึก) เพราะเราเหมือนคนไข้โคม่ากำลังอยู่ใน ICU แต่อย่างน้อยข้อดีก็คือ หัวใจยังเต้น เรายังไม่ตาย” ⎻นักศึกษาเมียนมาอีกคน

“(เธอเลือกการ์ดสองใบแทนความรู้สึก คือเส้นยุ่งๆ และคำว่า เล็กจิ๋ว) ฉันรู้สึกสับสนและตัวหดเล็ก สถานการณ์ในหนังทำให้นึกถึงเรื่องที่ประเทศตัวเองและที่อื่นๆ ในโลก อย่างในปาเลสไตน์” ⎻ผู้ชมชาวอินเดียคนหนึ่ง

“มันคือความโกรธ เราอยากตะโกนออกมาเหมือนเด็กในหนัง “อย่ามายุ่งกะแม่นะ จะพาแม่ไปไหน” ⎻ผู้ชมชาวไทย

“หนังช่วยให้เราเห็นอีกหลายมุมมอง จากที่เราเห็นและรับรู้แค่ในมุมของผู้ที่ออกมาประท้วง เราได้เห็นมุมอื่นๆ มากขึ้น” ⎻นักศึกษาเมียนมาคนหนึ่ง

“ฉันเหมือนคนในหนังเลย เพื่อนเราเข้าป่าจับปืน แต่มันอันตรายเกินไป เราจึงอยู่ต่อ” ⎻นักศึกษาเมียนมาอีกคน

“หนังทำให้ฉันกลับไปนึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้นอีกครั้ง ครั้งสุดท้ายทึ่ฉันไปชุมนุมคือเดือนกรกฎา 2021 ที่รัฐกะเหรี่ยง จากนั้นไม่ได้ไปเพราะทางการปราบปรามอย่างหนัก…”

“ฉันรู้ว่าตัวเองคือคนส่วนน้อยมากที่โชคดี ไปประท้วง ลี้ภัย ได้มีโอกาสเรียนต่อในมหาลัย…”

บทสนทนาเปี่ยมชีวิตจิตใจเหล่านี้คือสิ่งที่เหล่าผู้ชมสะท้อนออกมาหลังจากหนังเรื่อง Myanmar Diaries ฉายจบ

ภาพยนตร์สารคดีแนวทดลองเรื่องนี้แสดงชีวิตที่หลากหลายของประชาชนเมียนมาผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากรัฐประหารโดย มินอ่องหล่าย เมื่อกุมภาพันธ์ 2021 ภาพในหนังมีทั้งคลิปเหตุการณ์จริงที่มีทั้งความรุนแรง ความสะเทือนใจ การขัดขืนของผู้คนธรรมดา และมีทั้งการเล่าด้วยชั้นเชิงทางศิลปะภาพยนตร์หลากหลายสไตล์ที่ดูเข้าใจได้ไม่ยาก

แต่ระดับของความ ‘cinematic’ ของฟุตเทจจริงกับการจัดเซทถ่าย แทบจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย และบางกรณีภาพจริงๆ นั้นก็ช่าง cinematic เหลือเกิน อย่างเช่นฉากของการอารยะขัดขืนที่ทุกคนในแฟลตตื่นขึ้นมาเคาะหม้อเคาะกะละมังตอนสองทุ่มตรงเสียงดังระงม หรือหญิงวัยกลางคนที่ด่ากราดเจ้าหน้าที่ทหารผู้มาดูแลความสงบด้วยไดอะล็อกที่นักเขียนบทคนไหนก็คงไม่สามารถเขียนได้เปี่ยมหัวจิตหัวใจขนาดนี้

ภาพเหตุการณ์และมวลอารมณ์ในหนังซ้อนทับกับเหตุการณ์ในประเทศไทยได้แทบจะสนิทแนบจนน่าประหลาดใจ

ซีนสุดท้ายในหนังขึ้นข้อความว่า ‘การต่อต้านในเมียนมายังดำเนินต่อไป ทุกคนทึ้ปรากฏในหนังไม่อาจเปิดเผยชื่อ รวมถึงคนทำหนังชาวเมียนมาด้วย คนทำหนังอีกส่วนที่ไม่ใช่ชาวเมียนมาจึงขอใช้ชื่อ นิรนาม ด้วยเช่นกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน’

เราเห็นด้วยว่าประวัติศาสตร์มักวนซ้ำ “นี่ไม่ใช่รัฐประหารครั้งแรกเสียหน่อย” ผู้ชมชาวเมียนมาคนหนึ่งกล่าว แต่ในระหว่างกงล้อของวงจรอุบาทว์กำลังหมุนไปนั้น คุณสวดภาวนาถึงสิ่งใดเล่า คุณอยู่ตรงไหนในประวัติศาสตร์ หัวใจคุณยังเต้นอยู่ใช่ไหม คุณทำอะไรอยู่

ไม่ว่าคุณจะปรากฏนามหรือไม่ ทุกสิ่งที่คุณทำล้วนส่งผลในวงจรมหึมานี้เสมอ



การฉาย Myanmar Diaries ครั้งนี้เป็นความร่วมมือกับ BERNG NANG CLUB และ Doc Club & Pub. โดยเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ BANGKOK THROUGH POSTER 2024 Thai Postlitical Fiction - based on true stories Curated by × พิพิธภัณฑ์สามัญชน Museum of Popular History

โปสเตอร์ภาพยนตร์ทั้งหมดจัดแสดงถึงวันที่ 22 ธันวาคมนี้

ถ้าใครคิดว่าประเทศนี้ขาดแคลนบทหนังดีๆ มาดูไอเดียตั้งต้นของหนังหลากหลาย genre ในสังคมอันแสนรุ่มรวยนี้ได้ที่ MRT สิรินธร

และติดตามการจัดฉายภาพยนตร์เรื่องต่อไป เร็วๆ นี้

#พิพิธภัณฑ์สามัญชน

ข้าไม่ควรยอมมอบตัวเลยข้าน่าจะสู้รบจนกระทั่งเป็นคนสุดท้าย— เจโรนิโม----‘ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี’ พิมพ์ครั้งที่ 5Bury M...
14/12/2024

ข้าไม่ควรยอมมอบตัวเลย
ข้าน่าจะสู้รบจนกระทั่งเป็นคนสุดท้าย

— เจโรนิโม

----
‘ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี’ พิมพ์ครั้งที่ 5
Bury My Heart at Wounded Knee
เขียนโดย ดี บราวน์ | แปลโดย ไพรัช แสนสวัสดิ์
📖ความหนา 976 หน้า
📖ราคาปก 1,300 บาท
✨พิเศษ – สำหรับผู้สั่งซื้อกับทาง WAY of BOOK
• Postcard (ขนาด 10*15 ซม.) 4 แผ่น
• ฟรีค่าจัดส่งภายในประเทศ
📦ช่องทางการสั่งซื้อ WAY of BOOK
https://wayofbook.org/product/wounded-knee-5th/
📦หนังสือเริ่มจัดส่งตั้งแต่ วันที่ 18 ธ.ค. เป็นต้นไป
สำหรับนักอ่านที่สนใจฉบับปกอ่อนสามารถติดตามและสั่งซื้อได้ที่
บริษัท เคล็ดไทย จำกัด | www.kledthai.com
FB: kledthai | LINE:
#ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี

พวกเขาถูกหาว่าเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติ: ฟังเสียงเยาวชนชนเผ่าพื้นเมือง ผู้สะท้อนปัญหาของบ้านตัวเองเสียงสะท้อนจากเยาวชนชนเผ...
13/12/2024

พวกเขาถูกหาว่าเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติ: ฟังเสียงเยาวชนชนเผ่าพื้นเมือง ผู้สะท้อนปัญหาของบ้านตัวเอง

เสียงสะท้อนจากเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองจาก 3 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก ที่ทำงานร่วมกันกับมูลนิธิสร้างสรรค์อนาคตเยาวชน ผลักดันประเด็นสิทธิต่างๆ ให้กับชนเผ่าพื้นเมืองมาแล้ว 20 ปี ร่วมบอกเล่าผลกระทบภายในพื้นที่ของตัวเองที่ไม่เคยถูกมองเห็น ถูกทำให้ไร้ตัวตน และยังคงถูกตีตราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติทั้งหลาย

มือนี้ไม่ได้มีสีเดียวกับมือท่านแต่ถ้าข้าแทงมัน ข้าจะรู้สึกเจ็บถ้าท่านแทงมือของท่านท่านก็จะรู้สึกเจ็บเช่นกันเลือกที่ไหลออ...
13/12/2024

มือนี้ไม่ได้มีสีเดียวกับมือท่าน
แต่ถ้าข้าแทงมัน ข้าจะรู้สึกเจ็บ
ถ้าท่านแทงมือของท่าน
ท่านก็จะรู้สึกเจ็บเช่นกัน
เลือกที่ไหลออกมาจากมือข้า
มีสีเดียวกับของท่าน ข้าเป็นคน
พระเจ้าองค์เดียวกันสร้างเราทั้งสองขึ้นมา

— สแตนดิงแบร์

----

‘ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี’ พิมพ์ครั้งที่ 5
Bury My Heart at Wounded Knee
เขียนโดย ดี บราวน์ | แปลโดย ไพรัช แสนสวัสดิ์
📖ความหนา 976 หน้า
📖ราคาปก 1,300 บาท
✨พิเศษ – สำหรับผู้สั่งซื้อกับทาง WAY of BOOK
• Postcard (ขนาด 10*15 ซม.) 4 แผ่น
• ฟรีค่าจัดส่งภายในประเทศ
📦ช่องทางการสั่งซื้อ WAY of BOOK
https://wayofbook.org/product/wounded-knee-5th/
📦หนังสือเริ่มจัดส่งตั้งแต่ วันที่ 18 ธ.ค. เป็นต้นไป
สำหรับนักอ่านที่สนใจฉบับปกอ่อนสามารถติดตามและสั่งซื้อได้ที่
บริษัท เคล็ดไทย จำกัด | www.kledthai.com
FB: kledthai | LINE:
#ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี

เท้ง-ไหม อัดผลงานรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง 90 วัน ไม่ผ่านเกณฑ์-พูดไม่ครบ-คิดไม่จบเมื่อเวลา 15.30 น. ณ ห้องแถลงข่าว อาคารรัฐสภา นายณ...
12/12/2024

เท้ง-ไหม อัดผลงานรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง 90 วัน ไม่ผ่านเกณฑ์-พูดไม่ครบ-คิดไม่จบ

เมื่อเวลา 15.30 น. ณ ห้องแถลงข่าว อาคารรัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน จัดแถลงข่าวกรณีรัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลงาน 90 วันภายหลังการขึ้นดำรงตำแหน่ง พร้อมสรุปภาพรวมนโยบายที่ทำต่อไปในปี 2568 ภายใต้คำขวัญ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง”

นางสาวศิริกัญญา มองว่า การแถลงผลงานของนายกฯ เป็นการฝากงานให้กับรัฐมนตรีไปดำเนินการต่อเท่านั้น และต้องทำความเข้าใจก่อนว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้บริหารงานราชการแผ่นดินเพียงแค่ 90 วัน โดยเริ่มนับเพียงแค่นางสาวแพทองธารขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ แต่เป็นระยะเวลา 1 ปี 4 เดือนแล้ว นับตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการแถลงผลงานเกือบครึ่งเทอมของรัฐบาล

“จากการแถลงผลงานของรัฐบาลไม่มีรายละเอียดครบถ้วนมากนักว่า 1 ปี 4 เดือนที่ผ่านมา ทำอะไรไปแล้วบ้าง สำเร็จอย่างไร เป็นไปตามที่หาเสียงไว้หรือไม่ อีกทั้งยังเป็นการแถลงนโยบายภาค 2 ต่อจากการเข้ารับตำแหน่ง” นางสาวศิริกัญญากล่าว อย่างไรก็ตาม จากการแถลงของนายกฯ มีหลายนโยบายที่พรรคประชาชนเห็นด้วย แต่ก็ไม่มีรายละเอียดที่ครบถ้วน เช่น

- การทลายทุนผูกขาด ถูกย่อส่วนเพียงอุตสาหกรรมข้าวและอุตสาหกรรมสุราชุมชน
- การปรับโครงสร้างหนี้ ไม่มีรายละเอียดทั้งระบบ เอามาตรการเดิมมาพูดซํ้า
- บ้านเพื่อคนไทย จะสร้างทั้งหมดกี่ยูนิต ที่จังหวัดไหนบ้าง
- ลดค่าไฟ ด้วยการลดค่าผ่านท่อ ไม่ได้ทำให้ราคาลดลง เพราะเคยมีการลดค่าผ่านท่อมาแล้วในปี 2565 ถ้ารอบนี้ลดอีกจะลดได้เพียง 0.08 สตางค์เท่านั้น
- เศรษฐกิจนอกระบบ/ใต้ดิน ไม่มีรายละเอียดว่าเรื่องอะไร
- อาชญากรรมออนไลน์ ไม่มีการพูดถึง

ส่วนผลงานจริงที่ดำเนินการไปแล้ว นางสาวศิริกัญญาระบุว่า รัฐบาลดำเนินการจริง แต่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้นับตั้งแต่การดำเนินการในสมัยรัฐบาลเศรษฐา คือ กรณีฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ตกเป้าทุกภูมิภาค แต่นายกฯ นำมาแถลงโชว์ กล่าวคือ

- กทม. ตั้งเป้าลดให้ได้ร้อยละ 20 ทำได้จริงร้อยละ 12
- ภาคเหนือ ตั้งเป้าลดให้ได้ร้อยละ 40 ทำได้จริงร้อยละ 25
- ภาคกลาง ตั้งเป้าลดให้ได้ร้อยละ 10 ทำได้จริงร้อยละ 7

ส่วนนโยบายเรือธงของรัฐบาลที่ใช้ในการหาเสียงในการเลือกตั้ง 2566 อย่าง นโยบาย ‘ซอฟต์พาวเวอร์ (soft power)’ ไม่มีความคืบหน้าตั้งแต่ปีงบประมาณที่แล้ว การแจกเงินหมื่นยังไม่ครบ กองทุน SML ไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติม

ด้าน นายณัฐพงษ์ เรียกร้องไปยังรัฐบาลว่า ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยว่า จะสามารถสร้างโอกาสให้คนไทยอย่างแท้จริง ตามคำขวัญที่นายกฯ ได้ประกาศไว้ ภายใต้บริบทใหม่ของโลก และความท้าทายใหม่ๆ

อย่างไรก็ตาม นายณัฐพงษ์ ชี้ว่า การปฏิรูประบบราชการ รัฐบาลดิจิทัล กลับไม่มีการพูดถึงปัญหาคอร์รัปชัน และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ เพื่อการแก้ไขปัญหาตรงนี้

ส่วนการกระจายอำนาจนั้น นายณัฐพงษ์มีความคาดหวังว่า รัฐบาลจะดำเนินการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง มีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณด้วยตนเอง เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่การกระจายด้วยกองทุน SML

“นายกฯ พูดถึงการสร้างแพลตฟอร์มแจ้งหรือร้องเรียนปัญหายาเสพติด แต่เราจะไม่สามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้เลย หากเราไม่พูดถึงปัญหาความมั่นคงชายแดน” นายณัฐพงษ์กล่าว อีกทั้งรัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญกับปัญหาความขัดแย้งในเมียนมาด้วย ผ่านนโยบายการต่างประเทศ ซึ่งเรายังไม่เห็นความชัดเจนแต่อย่างใด

ดังนั้น “การแถลงผลงานของนายกฯ ยังไม่ผ่านเกณฑ์ พูดไม่ครบ คิดไม่จบ เราอยากเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการนิติบัญญัติโดยเฉพาะการมาตอบกระทู้ถามสดด้วยตนเอง เราอยากทำหน้าที่ฝ่ายค้านเชิงรุก ก็อยากได้ความชัดเจนจากรัฐบาลที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น” นายณัฐพงษ์กล่าวสรุป

#พรรคประชาชน #ผลงานรัฐบาล #พรรคเพื่อไทย #แพทองธาร

เปล่งเสียง เขียน ลงชื่อ โลกเปลี่ยนได้ตราบที่คนธรรมดายังไม่ถูกลืมเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ที่ร้าน “อะไร อะไร” กรุงเทพฯ ...
12/12/2024

เปล่งเสียง เขียน ลงชื่อ โลกเปลี่ยนได้ตราบที่คนธรรมดายังไม่ถูกลืม

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ที่ร้าน “อะไร อะไร” กรุงเทพฯ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญ ‘Write for Rights’ หรือ ‘เขียน เปลี่ยน โลก’ ประจำปี 2567 เชิญชวนคนไทยร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงไปกับคนทั่วโลกเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้ถูกละเมิดสิทธิผ่านการเขียนจดหมายถึงพวกเขา โดยมีจุดประสงค์เพื่อยืนหยัดเคียงข้างผู้ถูกละเมิดสิทธิและครอบครัว เพราะพวกเขาไม่ได้กำลังต่อสู้เพียงลำพัง นอกจากนี้ ยังสามารถเขียนจดหมายถึงผู้มีอำนาจที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อให้ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนและนำมาสู่ความยุติธรรม และสื่อสารไปทั่วโลกว่า ประชาชนพร้อมที่จะยืนหยัดต่อสู้กับการใช้อำนาจโดยมิชอบ ไม่ว่าการใช้อำนาจนั้นจะเกิดที่ใดบนโลกก็ตาม โดยแคมเปญนี้ได้จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 23 แล้ว

“การที่ประชาชนที่ออกมาพูดเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อแสดงความกังวลต่อสถานการณ์โลกที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ แต่พวกเขากลับถูกจับกุมคุมขัง ถูกยิง ถูกทรมาน ถูกบังคับให้สูญหาย และถูกสังหาร ถือเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้” ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว และเน้นย้ำว่า ในยุคที่ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป แต่พื้นที่ภาคประชาสังคมกำลังหดตัวลง และภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศกำลังทวีความร้ายแรงมากขึ้นกว่าเดิม เสียงของผู้ที่ออกมาปกป้องสิทธิมนุษยชนจึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคย พวกเขาต้องได้รับการสนับสนุนและยืนหยัดเคียงข้าง

“การเขียนจดหมาย การลงชื่อสนับสนุน และการแบ่งปันเรื่องราว เป็นวิธีที่ทรงพลังที่เราสามารถสนับสนุนนักกิจกรรมที่กำลังเผชิญความเสี่ยงได้ เราสามารถใช้เสียงของเราเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการปราบปรามสิทธิเสรีภาพ ตรวจสอบการกระทำของผู้ที่มีอำนาจ และเรียกร้องความยุติธรรมสำหรับผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ผู้ที่รับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนเติบโตขึ้นได้ ท่ามกลางความเงียบและความเพิกเฉย แต่อำนาจของเขาจะหดตัวลง ถ้าพวกเราร่วมมือกัน พูดเสียงดัง มีการจัดตั้ง และมีความสามัคคี ท่ามกลางความแตกแยกที่พวกเขาสร้างขึ้นมา มาร่วมมือกับเรา มาแสดงจุดยืนเพื่อสิทธิมนุษยชนไปด้วยกัน”

ในงานเปิดตัวแคมเปญนั้นบรรยากาศงานเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและความหวัง ภายใต้การตกแต่งที่พาผู้ร่วมงานเข้าสู่โลกแห่งเวทมนตร์ในธีม “The Magic of Ordinary People” ที่ชวนให้นึกถึงการปราศรัยครั้งที่น่าจดจำที่สุดของอานนท์ นำพา เมื่อปี 2564

อานนท์ นำภา นักกฎหมายสิทธิมนุษยชนชาวไทยที่ถูกตัดสินจำคุก 16 ปี 20 วัน ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการยืนหยัดเพื่อสิทธิและเสรีภาพ การที่ประเทศไทยเลือกเขาเป็นตัวแทนในปีนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการสนับสนุนผู้ที่ถูกกดขี่ และส่งกำลังใจไปยังนักปกป้องสิทธิในทุกมุมโลก

กิจกรรมเริ่มต้นด้วยพิธีปรุงน้ำยาสรรพรส เพื่อทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ “เราทุกคนคืออานนท์” ในงานมีการเล่นบอร์ดเกม การแสดงดนตรีสดจากวงพาทีโฟล์ค สนามราษฎร์ และ Papanin K Bankjork Varis พร้อมการอ่านบทกวีทรงพลังโดย Andy Zua ซึ่งช่วยสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั่วโลก

“คนธรรมดาเปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วยข้อความสั้นๆ ที่จะร่วมกันยืนยันในหลักการของผู้ที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิมนุษยชนและจะเป็นแรงหนุนให้ผู้ที่ถูกคุกคามมีกำลังใจในการทำหน้าที่ต่อไป บอกเขาว่า ยังมีพวกเราอยู่เคียงข้าง ไม่มีใครทอดทิ้งเขา และพร้อมที่จะสู้ไปกับเขา อย่าดูถูกดูแคลนตัวอักษร อย่าดูถูกดูแคลนพลังของจดหมาย หรือพลังของคนตัวเล็ก และเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง ‘พลังของคนธรรมดานี่แหละที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้’” ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ ประเทศไทยกล่าวทิ้งท้าย

เชิญชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญนี้เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้นได้ที่: https://bit.ly/3Zn4PqW

[NEWS] รัฐบาลแพทองธารแถลงผลงาน 90 วัน ฝันให้คนไทย ‘มีกิน มีใช้’12 ธันวาคม 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผ...
12/12/2024

[NEWS] รัฐบาลแพทองธารแถลงผลงาน 90 วัน ฝันให้คนไทย ‘มีกิน มีใช้’

12 ธันวาคม 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลงานของรัฐบาลในรอบ 3 เดือนหลังเข้าดำรงตำแหน่ง พร้อมสรุปภาพรวมนโยบายที่ทำต่อไปในปีหน้าภายใต้คอนเซปต์ว่า “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง”

นางสาวแพทองธาร ระบุว่า ในช่วง 90 วันแรก เป็นการปรับตัวในการทำงานเพื่อวางรากฐานนโยบายที่สำคัญของประเทศ เพื่อให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี โดยรัฐบาลจะสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรม ทำความฝันให้เกิดขึ้นจริง ได้แก่

● น้ำท่วม น้ำแล้ง บูรณาการแก้ปัญหาแบบถาวร เจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน แก้กฎหมายเพื่อให้ประชาชนขุดลอกคูคลอง นำดินไปขาย เกิดอาชีพ เกิดรายได้

● ฝุ่น PM2.5 ต้องลดพื้นที่การเผาไหม้ในประเทศ ไม่รับซื้อสินค้าที่มาจากการเผาไหม้จากประเทศเพื่อนบ้าน

● ยาเสพติด สร้างแพลตฟอร์มแจ้งเบาะแสต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง มีระบบรักษาความลับ โดยมอบหมายให้นายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ดูแล

● ทลายทุนผูกขาด ช่วยเหลือเอสเอ็มอี แก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรค เปิดโอกาสให้เกษตรกรส่งเข้าออกข้าวได้เอง รวมถึงส่งเสริมสุราชุมชน

● ธุรกิจสีเทา จัดการธุรกิจนอกระบบให้เข้าสู่ระบบเพื่อให้เสียภาษีให้ถูกต้อง ปิดช่องทางมาเฟีย คอร์รัปชัน และธุรกิจใต้ดิน โดยมอบให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบ

● ค่าไฟ ปีหน้าค่าไฟจะต้องลดลง โดยมอบหมายให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ดูแลเรื่องนี้

● AI Hub ลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคต สร้างความรู้และโอกาส รวมไปถึงพลังงานสะอาด

● บ้านเพื่อคนไทย ไม่มีเงินดาวน์ ผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 4,000 บาท ไม่เกิน 30 ปี

● แก้หนี้รายย่อย ได้แก่ หนี้บ้าน หนี้รถ และเอสเอ็มอี พักดอกเบี้ย 3 ปี ลดภาระหนี้ที่มียอดต่ำกว่า 5,000 บาท

● รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ปีหน้าทำได้แน่นอน

● ดิจิทัลวอลเล็ต เติมเงินเข้าระบบให้กับกลุ่มแรก 14 ล้านคน กลุ่มต่อไปคือ ผู้สูงอายุ 4 ล้านคน รับเงินสด 10,000 บาท ไม่เกินตรุษจีน 2568 ส่วนถัดไปคือบุคคลทั่วไป จะให้ในรูปแบบของเงินดิจิทัล

● อื่นๆ เช่น ครัวไทยสู่ครัวโลก โลจิสติกส์ ซอฟต์พาวเวอร์ การท่องเที่ยว

#แพทองธารชินวัตร

การมาเยือนเมืองไทยของเฟมินิสต์จากนานาประเทศ ภายใต้งาน ‘15th AWID International Forum 2024’ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริก...
12/12/2024

การมาเยือนเมืองไทยของเฟมินิสต์จากนานาประเทศ ภายใต้งาน ‘15th AWID International Forum 2024’ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ทำให้เรื่องราวปัญหาที่ไม่ว่าจะอยู่หลืบมุมใดต่างก็ถูกนำมากางให้เห็นชัดๆ ในที่แจ้ง

สภาพการณ์ที่ถูกกดทับซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อถูกเล่าออกมาจึงพบว่ามีผู้เผชิญชะตากรรมเดียวกันอยู่ไม่น้อย เพียงแค่เปลี่ยนบริบทประเทศไปเท่านั้น

มัจฉา พรอินทร์ ลาว เลสเบี้ยน เฟมินิสต์ ผู้ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งใน ‘BBC 100 Women 2023’ (ผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจและมีอิทธิพล 100 คนจากทั่วโลก) ในฐานะผู้ขับเคลื่อนปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ และเรียกร้องสิทธิให้กับชนเผ่าพื้นเมืองและผู้มีความหลากหลายทางเพศ ในงานระดับนานาชาติครั้งนี้เธอหยิบยกสิ่งที่คลุกคลีอยู่มาบอกเล่าเน้นย้ำว่าวิกฤตต่างๆ ยังคงอยู่ และเธอยังคงเดินหน้าต่อสู้ด้วยวิธีที่เธอเชื่อมั่นมาโดยตลอด

มัจฉาขับเคลื่อนด้วยกลไกของ ‘มูลนิธิสร้างสรรค์อนาคตเยาวชน’ อันมีเป้าหมายเพื่อให้ความรู้และส่งเสริมศักยภาพของผู้หญิงและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมือง นำโดยผู้หญิงที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือที่เรียกกันว่า LBQ

“เราไม่มีทางแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืนถ้าปราศจากการมีส่วนร่วมของผู้หญิงและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมือง” เธอกล่าว ซึ่งดึงความสนใจผู้คนในห้องได้เป็นอย่างดี

ทุกคนในห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มากนักมาจากหลากหลายประเทศ รวมถึงคนไทยที่นั่งอยู่ในห้องนี้มีทั้งคนที่ทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องชนเผ่าพื้นเมือง เรื่องเด็กและเยาวชน และเรื่องความเป็นธรรมทางเพศ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้หญิงเท่านั้น

มัจฉาเริ่มต้นเล่าถึงบริบทที่กำลังเผชิญจากการถูกคุกคามในมิติสิทธิมนุษยชนและวิกฤตทางด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแย่งชิงทรัพยากร การถูกจำกัดสิทธิในการเข้าป่า ในการหาอาหาร ในการเข้าถึงแหล่งน้ำ หรือแม้กระทั่งมีน้ำแต่ปนเปื้อน ไม่มีสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ควรจะมี ไม่มีกลไกในการทำน้ำให้สะอาด

ในยุคทุนนิยมแบบนี้ไม่มีพื้นที่ละเว้นจากการแทรกซึมของนายทุน พื้นที่ที่ชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยอยู่ถูกรุกล้ำจากภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเหมืองแร่ หรือธุรกิจพืชเชิงเดี่ยวที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชนเผ่าพื้นเมือง นำมาสู่การผลิตโดยใช้สารเคมีเข้มข้น

หัวใจของการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาให้กับชนเผ่าพื้นเมืองคือ ‘เยาวชน’ โจทย์ของมูลนิธิฯ คือจะทำอย่างไรให้เยาวชนในพื้นที่ลุกขึ้นมามีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงปัญหาทั้งหมดที่ว่ามา

เยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองจาก 3 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก ได้ร่วมบอกเล่าผลกระทบภายในพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งแม่ฮ่องสอนและตาก คือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามเมียนมากว่า 70 ปี และยังไม่สิ้นสุดลง และทั้ง 3 คนถัดจากนี้เป็นตัวแทนชนเผ่าพื้นเมือง คือบุคคลที่ทำงานร่วมกันกับมูลนิธิฯ ผลักดันประเด็นสิทธิต่างๆ ให้กับชนเผ่าพื้นเมืองมาแล้ว 20 ปี

---
เสียงจากชนเผ่าพื้นเมือง ถึงรัฐที่ล้มเหลวในการจัดการสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
https://waymagazine.org/awidforum2024-indigenous-voices/

ข้ายังไม่รู้ว่าทุกสิ่งมันจบสิ้นลงเพียงใดเมื่อข้าชราและมองย้อนกลับไปเสมือนยืนบนเนินเขาข้ายังคงมองเห็นร่างผู้หญิงและเด็กเห...
12/12/2024

ข้ายังไม่รู้ว่าทุกสิ่งมันจบสิ้นลงเพียงใด
เมื่อข้าชราและมองย้อนกลับไปเสมือนยืนบนเนินเขา
ข้ายังคงมองเห็นร่างผู้หญิงและเด็ก
เหยื่อการสังหารหมู่นอนตายก่ายกอง
ถมทับ กระจัดกระจายตามลำห้วยคดเคี้ยว
เป็นภาพเดียวกับที่ข้าเคยเห็นเมื่อวัยเยาว์

บัดนี้ข้าแลเห็นว่ามีสิ่งอื่นได้ตายลงบนพื้นโคลนชุ่มเลือด
มันถูกกลบฝังใต้พายุหิมะ
ความฝันสวยงามของพวกเราดับสูญลงที่นั่น
ห่วงร้อยชาติพันธุ์ของเราแตกสลายกระจัดกระจาย
ไร้ศูนย์รวม ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็ตายไปด้วย

— แบล็กเอลค์

----

‘ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี’ พิมพ์ครั้งที่ 5
Bury My Heart at Wounded Knee
เขียนโดย ดี บราวน์ | แปลโดย ไพรัช แสนสวัสดิ์
📖ความหนา 976 หน้า
📖ราคาปก 1,300 บาท
✨พิเศษ – สำหรับผู้สั่งซื้อกับทาง WAY of BOOK
• Postcard (ขนาด 10*15 ซม.) 4 แผ่น
• ฟรีค่าจัดส่งภายในประเทศ
📦ช่องทางการสั่งซื้อ WAY of BOOK
https://wayofbook.org/product/wounded-knee-5th/
📦หนังสือเริ่มจัดส่งตั้งแต่ วันที่ 18 ธ.ค. เป็นต้นไป
สำหรับนักอ่านที่สนใจฉบับปกอ่อนสามารถติดตามและสั่งซื้อได้ที่
บริษัท เคล็ดไทย จำกัด | www.kledthai.com
FB: kledthai | LINE:
#ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี

[ประกาศ] ขอเลื่อนการจัดส่งหนังสือ ‘ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี’ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5เนื่องจากกระบวนการผลิตหนังสือและสินค้า...
11/12/2024

[ประกาศ] ขอเลื่อนการจัดส่งหนังสือ ‘ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี’ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5

เนื่องจากกระบวนการผลิตหนังสือและสินค้าพิเศษในรอบพรีออเดอร์ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาจัดทำนานกว่ากำหนดเดิม สำนักพิมพ์ WAY of BOOK ขอแจ้งเลื่อนการจัดส่งหนังสือ ‘ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี’ พิมพ์ครั้งที่ 5 ดังนี้

• สำหรับผู้สั่งซื้อฉบับปกแข็ง (รอบพรีออเดอร์) กำหนดจัดส่งเดิมวันที่ 15 ธันวาคม 2567 เลื่อนเป็นเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2567
• สำหรับผู้สั่งซื้อฉบับสะสม (book cover หนังแท้) กำหนดจัดส่งเดิมวันที่ 15 ธันวาคม 2567 เลื่อนเป็นเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2567

สำนักพิมพ์ขออภัยเป็นอย่างยิ่งสำหรับการประเมินระยะเวลาการผลิตที่คลาดเคลื่อน และขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ให้การสนับสนุนหนังสือของสำนักพิมพ์ตลอดมา

WAY of BOOK

จากผลการประเมินนโยบายของธนาคาร 15 แห่งในกัมพูชา อินโดนีเซีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และไทย ภาพรวมคือธนาคารมีคะแนนค่อนข้างดีใ...
09/12/2024

จากผลการประเมินนโยบายของธนาคาร 15 แห่งในกัมพูชา อินโดนีเซีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และไทย ภาพรวมคือธนาคารมีคะแนนค่อนข้างดีในด้านการเข้าถึงบริการทางการเงิน (5.2/10) และการคุ้มครองผู้บริโภค (5.5/10) แต่กลับได้คะแนนต่ำในด้านกลไกการมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบ (1.3/10) โดยมีคะแนนเฉลี่ยรวมทั้ง 4 ด้านอยู่ที่ 3.5/10

ทั้งนี้ FFA ร่วมกับพันธมิตรระดับประเทศ ได้แก่ Fair Finance Cambodia, ResponsiBank Indonesia, Fair Finance Pakistan, Fair Finance Philippines และ Fair Finance Thailand รวมถึงพันธมิตรด้านการวิจัยอย่าง Profundo ได้เชิญชวนให้ธนาคารสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายการเข้าถึงบริการทางการเงินกับการให้ความรู้ทางการเงินและการเสริมพลังผู้บริโภค เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าได้รับข้อมูลที่มีความสำคัญเกี่ยวกับกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนและแนวปฏิบัติด้านการเงิน รวมทั้งสามารถตรวจสอบการดำเนินการตามพันธสัญญาของธนาคารได้

อ่านต่อ: https://fairfinanceasia.org/blog/2024/12/05/press-release-asian-banks-play-a-critical-role-in-empowering-consumers-as-part-of-their-sustainability-agenda-according-to-fair-finance-asia/

ดูผลการประเมินธนาคารทั้งหมดได้ที่: https://fairfinanceasia.org/blog/2024/12/04/fair-finance-asia-launches-scorecard-benchmarking-15-asian-banks-policies-on-consumer-empowerment/

#การเงินที่ยั่งยืน

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม อันตรงกับวันธนาคารสากล Fair Finance Aisia (FFA) ได้เผยแพร่ผลการประเมินใหม่ในรูปแบบสกอร์การ์ด (scor...
09/12/2024

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม อันตรงกับวันธนาคารสากล Fair Finance Aisia (FFA) ได้เผยแพร่ผลการประเมินใหม่ในรูปแบบสกอร์การ์ด (scorecard) ที่วัดระดับบทบาทของธนาคารในเอเชียในการช่วยผู้บริโภคขับเคลื่อนความยั่งยืน

สกอร์การ์ดใหม่นี้ชื่อว่า Empowering Consumers as Drivers of Sustainability in Asia's Financial Sector โดยได้ประเมินนโยบายของธนาคาร 15 แห่งในกัมพูชา อินโดนีเซีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และไทย ใน 4 ด้านหลักด้วยกัน ได้แก่ การเข้าถึงบริการทางการเงิน การคุ้มครองผู้บริโภค ความรู้และการให้ความรู้ทางการเงิน และกลไกการมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบ

อ่านต่อ: https://fairfinanceasia.org/blog/2024/12/05/press-release-asian-banks-play-a-critical-role-in-empowering-consumers-as-part-of-their-sustainability-agenda-according-to-fair-finance-asia/

ดูผลการประเมินธนาคารทั้งหมดได้ที่: https://fairfinanceasia.org/blog/2024/12/04/fair-finance-asia-launches-scorecard-benchmarking-15-asian-banks-policies-on-consumer-empowerment/

#การเงินที่ยั่งยืน

[WORLD] กลาโหมและกองทัพเกาหลีใต้ยืนยันจะไม่รับคำสั่ง หากประกาศกฎอัยการศึกอีกครั้งคิมซอนโฮ (Kim Seon Ho) รักษาการรัฐมนตรี...
06/12/2024

[WORLD] กลาโหมและกองทัพเกาหลีใต้ยืนยันจะไม่รับคำสั่ง หากประกาศกฎอัยการศึกอีกครั้ง

คิมซอนโฮ (Kim Seon Ho) รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนจากกรณีข่าวลือการประกาศกฎอัยการศึกรอบ 2 ว่า ข่าวลือดังกล่าวไม่เป็นความจริง พร้อมเน้นยํ้าว่า หากเกิดขึ้นจริงกระทรวงกลาโหมและกองทัพจะไม่ปฏิบัติตามกฎอัยการศึกรอบใหม่อย่างแน่นอน

“กระทรวงกลาโหมและคณะเสนาธิการร่วม (Joint Chiefs of Staff) จะไม่รับคำสั่งจากการประกาศกฎอัยการศึก หากมีการประกาศใช้อีกรอบหนึ่ง” คิมกล่าวต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมทั้งกล่าวขอโทษต่อการประกาศกฎอัยการศึก พร้อมทำงานกับอัยการอย่างใกล้ชิดเพื่อดำเนินการสืบสวนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว

โดยคิมซอนโฮเข้ารับตำแหน่งรักษาการรัฐมนตรีกลาโหมแทน คิมยองฮุน (Kim Yong Hyun) ซึ่งลาออกจากตำแหน่งหลังประธานาธิบดี ยุนซอกยอล (Yun Suk Yeol) ได้ประกาศกฎอัยการศึกเมื่อคืนวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่ถูกรัฐสภาลงมติควํ่าด้วย 190 เสียง จากทั้งสิ้น 300 เสียง ท่ามกลางการเรียกร้องให้ยุนซอกยอลลาออกจากตำแหน่ง

การแถลงข่าวดังกล่าวของรักษาการรัฐมนตรีกลาโหมเกิดขึ้นภายหลัง สส. ฝ่ายค้านแสดงความกังวลใจต่อความเป็นไปได้ว่าจะเกิดการประกาศกฎอัยการศึกอีกครั้ง หลังภาคประชาสังคมด้านสิทธิมนุษยชนยกประเด็นนี้ขึ้นมา พร้อมอ้างว่ามีกองกำลังจำนวนหนึ่งได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน

ด้านพลโทควักจองคึน (Kwak Jong Keun) ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ กองทัพบกเกาหลีใต้ ได้แสดงทัศนะเช่นกันว่า ภายหลังจากการพูดคุยกับทางฝ่ายค้าน หากเกิดการประกาศกฎอัยการศึกอีกครั้ง เขาจะปฎิเสธการรับคำสั่งตามกฎอัยการศึก

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนกำลังพลออกมาปฏิบัติการจำต้องได้รับอนุญาตจากคณะเสนาธิการร่วมเสียก่อน

ที่มา:
https://en.yna.co.kr/view/AEN20241206006151315?section=national/defense

เมื่อเกิด  #ภัยพิบัติ ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินถล่ม หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรง ผู้หญิงคือกลุ่มคนที่ได้รับผลกร...
06/12/2024

เมื่อเกิด #ภัยพิบัติ ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินถล่ม หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรง ผู้หญิงคือกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักทางด้านสุขอนามัย

ท่ามกลางสถานการณ์น้ำท่วมหนักในปีนี้ตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ แม้ประเทศไทยจะมีบทเรียนมานักต่อนัก แต่การจัดการของรัฐยังคงทุลักทุเลเหมือนไม่เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน และในความเสียหายอันหนักหน่วงนั้นก็มีมิติทางเพศซุกซ่อนอยู่เช่นกัน

ภายในงาน ‘15th AWID International Forum 2024’ ที่จัดในประเทศไทย ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นานาประเทศรวมตัวกันบอกเล่าปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศในมิติต่างๆ อย่างเข้มข้น สองเท้าพาเดินเข้าไปสอดส่องทำความเข้าใจกับปัญหาด้านภัยพิบัติของประเทศเนปาล พวกเขายินดีบอกเล่าปัญหาให้ฟัง พร้อมกับหยิบยื่นชุดข้อมูลการจัดการที่พวกเขาต่างคาดหวังว่า นี่คือทางออกของปัญหาเรื่องผู้หญิงกับภัยพิบัติ

อีกทั้งยังมีเสียงสะท้อนของชนเผ่าพื้นเมืองทางภาคเหนือของไทยที่ร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราวผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมที่เผชิญในพื้นที่อีกด้วย

“น้ำท่วมภาคเหนือปีนี้ท่วมหนัก แต่เราไม่ได้รับการเยียวสักบาทเดียว เพราะพี่น้องเราไม่มีสัญชาติ ผู้หญิงกับเด็กก็ลำบากกันมาก เพราะต้องแบกรับภาระงานบ้านที่ไม่ได้รับค่าจ้าง”

เสียงจากชนเผ่าพื้นเมืองในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนร่วมแบ่งปันในเวทีระดับนานาชาติครั้งนี้ เธอเพิ่งได้รับสัญชาติเมื่อ 6 ปีที่แล้ว แต่เกือบทั้งหมดในชุมชนของเธอยังคงไร้สัญชาติ ซ้ำร้ายยังไร้การเหลียวแล

เมื่ออุทกภัยซ้ำเติมความเป็นหญิง ผลพวงของการจัดการภัยพิบัติแบบเหมารวม
https://waymagazine.org/disaster-management-and-gender/

---
text: ศศิพร คุ้มเมือง
photo: UN Women/Mohammad Rakibul Hasan

Q: พอคนไทยคิดจะทำหนังไซไฟมักจะโดนตั้งแง่ก่อนเสมอ เอมคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ผมว่าผมเข้าใจพวกเขานะ ก่อนหน้านี้ผมก็เคยคิดว่า...
05/12/2024

Q: พอคนไทยคิดจะทำหนังไซไฟมักจะโดนตั้งแง่ก่อนเสมอ เอมคิดอย่างไรกับเรื่องนี้

ผมว่าผมเข้าใจพวกเขานะ ก่อนหน้านี้ผมก็เคยคิดว่าคนไทยเป็นอะไรกับคำว่าไซไฟหรือคำว่าเทคโนโลยีนะ พอบอกว่าเป็นหนังไซไฟไทย พวกเขาจะบอก โอ๊ย ไม่ดูหรอก สำหรับผมพอได้ยินแบบนี้มันก็น่าหงุดหงิดครับ

แต่ถ้าเราพยายามทำความเข้าใจเสียงเหล่านั้นจริงๆ ผมกลับเข้าใจเขามากๆ เลย ผมรู้สึกว่าการที่วิทยาศาสตร์เป็นของแสลงสำหรับคนไทย เป็นเพราะว่าพวกเราถูกผูกขาดทางจินตนาการตั้งแต่ระบบการศึกษาแล้ว ความเป็นไซไฟไม่เคยอยู่ในความคิดของเราเลย ไม่เคยมีหนังสือไซไฟ ไม่เคยมีเรื่องเล่าไซไฟเลย เราถูกเอาคำว่าวิทยาศาสตร์ออกไปจากชีวิตมานานมากแล้ว เรามีคลังประสบการณ์ของคำว่าวิทยาศาสตร์น้อยมากๆ ในชีวิตประจำวัน

การศึกษาไม่เคยสอนให้เราคิดและจินตนาการ มันสอนให้เราท่องจำและห้ามออกนอกกรอบ เราก็เลยไม่คุ้นชินกับคำถามว่า “มันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้า…” จินตนาการของเราถูกทำให้จบสิ้น โดยที่เรายังไม่ทันได้เริ่มคิดกับมันด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะถูกจบสิ้นโดยครู ผู้ปกครอง เจ้านาย หรือนายทุน เราไม่เคยถูกทำให้เป็นมิตรกับจินตนาการ ซึ่งมันคือส่วนสำคัญของหนังไซไฟ หนังไซไฟมันไม่ใช่การที่มีไทม์แมชชีน ไม่ใช่การที่มีปืนเลเซอร์ แต่มันคือเรื่องราวที่ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่อาจจะเป็นไปได้ ถ้าเราจินตนาการมันได้ทั่วถึงมากพอและมีทฤษฎีบางอย่างรองรับ

4 เรื่องที่อยู่ในโปรเจกต์ ‘อนาฅต’ เป็น 4 เรื่องที่ผมรู้สึกว่า พอดูไปมันแทบไม่มีช่องโหว่อะไรให้ยิงร่วงเลย ทุกอย่างมันมีงานวิจัยรองรับหมด อย่างตอนของผมมันแทบจะเป็นสิ่งที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้แล้ว ผมใช้เวลาออกกองมาประมาณ 2 ปีกว่าๆ ตอนนั้นเทคโนโลยียังไม่ได้มาไกลถึงจุดนี้ ในตอนนั้นผมเพียงแค่ได้คุยกับแชตบอตบางตัวที่เก่งกาจมากๆ แล้ว แต่ทุกวันนี้มันไปไกลกว่านั้นอีก ผมว่าตอน ศาสดาต้า มันอาจกลายเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปแล้วก็ได้ ในแง่ของการเป็นซีรีส์ที่เกี่ยวกับอนาคต

ผมเคยถามหนึ่งในครีเอเตอร์ของเรื่องนี้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่นิยามคำว่าหนังไซไฟ เขาให้คำตอบที่น่าสนใจมาก เขาบอกว่า ถ้าหากเป็นเรื่องที่ทำให้คนดูได้ฉุกคิดหรือตั้งคำถามอะไรบางอย่างได้ สำหรับเขามันคืองานไซไฟแล้ว ไม่ว่ามันจะมีอะไรล้ำยุคหรือไม่ก็ตาม อะไรก็ตามที่ทำให้เราอยากจะตั้งคำถาม ตั้งสมมติฐานเพื่อหาคำตอบ มันก็คือวิธีการคิดทางวิทยาศาสตร์แล้ว แค่นั้นก็เพียงพอสำหรับการจำกัดความคำว่า หนังไซไฟ แล้ว

---
เอม ภูมิภัทร: ‘อนาฅต’ ของศรัทธา เมื่อศาสนาต้องเผชิญความท้าทายในโลกยุคใหม่
https://waymagazine.org/interview-aim-bhumibhat-thavornsiri/

Q: คิดว่าศาสนากับเทคโนโลยีมันคัดง้างกันอยู่หรือเปล่าผมว่าไม่มีใครรู้ ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะค้นพบอริยสัจ 4 แล้วต้องการแชร์...
05/12/2024

Q: คิดว่าศาสนากับเทคโนโลยีมันคัดง้างกันอยู่หรือเปล่า

ผมว่าไม่มีใครรู้ ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะค้นพบอริยสัจ 4 แล้วต้องการแชร์ให้กับโลก เขาก็คงไม่คิดหรอกว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นแบบไหน จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ในวันที่โลกหมุนมาไกลกว่ายุคของเจ้าชายสิทธัตถะ พวกเราในฐานะของมนุษย์ที่เกิดทีหลัง เราต้องไปให้ไกลกว่าอดีตอยู่แล้ว เรายืนบนไหล่ยักษ์ เราต้องมองเห็นให้ไกลกว่า ฉะนั้น เราเคารพสิ่งเดิมได้ แต่เราต้องเคารพชีวิตตัวเองด้วย เราต้องเคารพชีวิตของคนที่จะเกิดในอีก 50 ปีข้างหน้าด้วย ถ้าเรามัวแต่ยึดติดกับความคิดเดิมๆ มันก็อาจจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก

ผมเชื่อสิ่งที่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน พูดอย่างหนึ่งคือ ถ้าคุณไม่ปรับตัว คุณก็ตาย คุณต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอดให้ได้ เราคงไม่สามารถ freeze ตัวเองให้อยู่เหนือกาลเวลา และหวังว่าจะอยู่รอดได้ เราต้องเติบโตไปตามเวลาที่หมุนเปลี่ยนไป ต่อให้เราไม่อยากเติบโตก็ตาม เวลาจะบังคับให้เราเดินทางไปสู่จุดอื่นอยู่ดี การที่เราปรับตัวเพื่ออยู่รอด เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกอย่าง ศาสนาก็เช่นกัน

ตัวละครนีโอของผม เขามองสิ่งที่เขาทำว่าเวิร์ก และคนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย คนส่วนใหญ่พึงพอใจกับการที่มนุษย์เข้าไปแทรกแซงกลไกบางสิ่งบางอย่าง คนส่วนใหญ่พึงพอใจกับการที่เรามีอากาศบริสุทธิ์ที่หายใจมากขึ้น หรือว่าการที่เราไม่ต้องใช้เงินสดอีกต่อไป เราไม่ต้องการรถที่ตัวเองต้องมานั่งขับเองอีกต่อไป หรือเราไม่ต้องการชีวิตที่อยู่ได้ 60-70 ปีแล้วตาย คนส่วนใหญ่พึงพอใจกับการมีชีวิตอมตะ เมื่อจุดนั้นมาถึง ทุกอย่างก็จะกลายเป็น norm ของสังคม ต่อให้เราไม่อยากเปลี่ยน โลกก็จะบังคับให้เราหมุนไปตามมันเอง

---
เอม ภูมิภัทร: ‘อนาฅต’ ของศรัทธา เมื่อศาสนาต้องเผชิญความท้าทายในโลกยุคใหม่
https://waymagazine.org/interview-aim-bhumibhat-thavornsiri/

"ตัวซีรีส์เรื่องอนาฅตเองก็พูดเรื่องที่เบสิกมากๆ เลย หากว่าเราตัดเรื่องไซไฟ เรื่องความล้ำยุค เรื่องอนาคตทิ้งไป สุดท้ายมัน...
05/12/2024

"ตัวซีรีส์เรื่องอนาฅตเองก็พูดเรื่องที่เบสิกมากๆ เลย หากว่าเราตัดเรื่องไซไฟ เรื่องความล้ำยุค เรื่องอนาคตทิ้งไป สุดท้ายมันก็คือเรื่องราวดรามาของมนุษย์ เรื่องเล่ามันมีไม่กี่แบบในโลก มันถูกใช้วนไปเรื่อยๆ สิ่งที่เปลี่ยนคือเปลือกนอก หรือท่าที น้ำเสียงในการเล่าเท่านั้นเอง สุดท้ายแก่นเรื่องจริงๆ ก็ยังเป็นเรื่องเดิม เรื่องความเหลื่อมล้ำ ภาวะโลกร้อน นิยามความเป็นความตาย ความรัก หรือว่าศาสนา ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องใหม่เลย แต่สิ่งที่ใหม่คือ context ที่เปลี่ยนไป

"อย่างเช่นตอน ศาสดาต้า ที่ผมแสดง สุดท้ายก็พูดถึงเรื่องความจำเป็นของศาสนาต่อชีวิตประจำวันของเรา ผมมองว่าศาสนาก็เป็นเหมือนเทคโนโลยีหนึ่งที่เคยฟังก์ชันเมื่อประมาณ 2,000 กว่าปีที่แล้ว การที่เรา preserved (เก็บรักษา) สิ่งที่เคยเวิร์กเมื่อหลายพันปีก่อน พยายามจะให้มันเวิร์กให้ได้ในปัจจุบัน มันคือความคิดที่ถูกหรือเปล่า หรือว่าเราควรจะเปลี่ยนสักนิดหนึ่ง เหมือนกับต้นไม้ที่ถ้ามันสูงใหญ่เกินไปหรือถ้ามันไม่แข็งแกร่งพอ ไม่สามารถลู่ลมได้ มันอาจจะล้มไปเลย เราก็ต้องตัดแต่งกิ่งใบให้มันยังทนพายุต่อไปได้ แต่เราจะตัดแต่งแค่ไหนมันถึงจะยังคงเป็นมันอยู่ ถ้าตัดไปสัก 60 เปอร์เซ็นต์ จนแหว่งไปฝั่งหนึ่ง มันจะยังเป็นต้นไม้ต้นเดิมอยู่หรือเปล่า ก็เป็นคำถามที่ซีรีส์ตอน ศาสดาต้า โยนให้กับคนดู

"ตอนอื่นๆ ในเรื่องก็เช่นกัน มันเป็นงานที่พูดถึงสภาวะความเป็นอยู่ของมนุษย์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเล่าถึงยุคสมัยไหนหรือมีเซ็ตติงแบบไหน บนดาวดวงไหน ก็คงไม่พ้นเรื่องปัญหาสังคมหรือสิ่งที่เราเจอในทุกวัน"

---
เอม ภูมิภัทร: ‘อนาฅต’ ของศรัทธา เมื่อศาสนาต้องเผชิญความท้าทายในโลกยุคใหม่
https://waymagazine.org/interview-aim-bhumibhat-thavornsiri/

ที่อยู่

339/1 อ่อนนุช 66 ซอย 7 แขวงอ่อนนุช เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ
Bangkok
10250

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 18:00
อังคาร 09:00 - 18:00
พุธ 09:00 - 18:00
พฤหัสบดี 09:00 - 18:00
ศุกร์ 09:00 - 18:00

เบอร์โทรศัพท์

+6621214979

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ WAYผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง WAY:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ


เว็บไซต์ข่าวและสื่อ อื่นๆใน Bangkok

แสดงผลทั้งหมด