Fungdontri - ฟังดนตรี

Fungdontri - ฟังดนตรี ฟังดนตรี นิยามคือ : การเข้าถึงในดนตรี เพลง บุคคล เรื่องราว

“สิ่งที่ฉันใช้เวลาหลายเดือนเพื่อเรียนรู้ แต่Jimmy Pageกลับเรียนรู้ได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง” “นี่คือสิ่งที่Michael  Co...
14/01/2025

“สิ่งที่ฉันใช้เวลาหลายเดือนเพื่อเรียนรู้ แต่Jimmy Pageกลับเรียนรู้ได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง”

“นี่คือสิ่งที่Michael Corbynตัดสินใจขาย“Black Beauty” ให้กับJimmy Page ”

- ในปี 1974 Michael Corbynได้พบกับสมาชิกวง Led Zeppelin โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าการพบกันสั้นๆนี้จะนำไปสู่เหตุการณ์พลิกผันที่ไม่คาดคิด ซึ่งGuitarซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของMichael Corbynกำลังจะได้ไปอยู่ในมือของ Jimmy Page เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นน่าสนใจไม่แพ้เรื่องของGuitarเลย โดยMichael Corbynก่อตั้งวง The Babys พร้อมกับเป็นเจ้าของกีตาร์ Gibson Les Paul “Black Beauty” ซึ่งGuitarตัวนี้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก ในช่วงเวลานั้นมีศิลปินหลายคนอยากที่จะได้Guitarตัวนี้มาครอบครอง

- จากการติดต่อกับผู้ช่วยผู้จัดการของเขาMichael Corbynได้รู้จักกับRay mons Thomas ผู้เป็นคนดูแลเครื่องดนตรีส่วนใหญ่ของJimmy Page ซึ่งMichael Corbynได้อธิบายไว้ว่า “ผมไม่รู้ว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นแบบนั้นมันค่อนข้างไม่น่าเชื่อผมเองยังไม่รู้ตัวเลยว่าในอีกไม่ช้านี้Guitarตัวโปรดของผมจะเป็นของJimmy Page” ต่อมาMichael Corbynได้ร่วมเล่นJamกับวง Led Zeppelin นานถึง2สัปดาห์ ในช่วงเวลานั้น ซึ่งMichael CorbynและJimmy Pageได้โต้เถียงกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับราคาของGuitar Gibson Les Paul “Black Beauty”ตัวนี้ ซึ่งMichael Corbynไม่เคยตั้งใจจะขายเครื่องดนตรีชิ้นโปรดของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจขายมัน

- “ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าผมจะต้องเล่นดนตรีร่วมกับบรรดาศิลปินชื่อดังอย่าง Led Zeppelinอยู่พักหนึ่งเป็นเวลา2สัปดาห์”Michael Corbynเล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า“Jimmyกับผมทะเลาะกันเรื่องราคาGuitar ที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะขายเลย”จนในที่สุดGuitarตัวดังกล่าวก็กลายมาเป็นGibson Les Paul สีแดงอันโด่งดังของ Jimmy Page ถึงแม้ว่าในตอนแรก Michael Corbyn จะลังเลใจ แต่เขาก็ตัดสินใจขายGuitarตัวนี้นั้นก็เพราะว่าเขาชืนชมในฝีมือของJimmy Pageและคิดว่าหากGuitarตัวนี้อยู่ในมือของJimmy Pageจะสามารถมีประโยชน์ได้มากกว่าอยู่กับเขาเป็นแน่แท้

-“สิ่งที่ฉันใช้เวลาหลายเดือนเพื่อเรียนรู้ แต่Jimmy Pageกลับเรียนรู้ได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง” นี่คือความในใจของ Michael Corbynที่มีต่อJimmy Pageมันเป็นช่วงเวลาแห่งความเคารพซึ่งกันและกัน แต่มันก็เป็นช่วงเวลาแห่งการบอกเป็นนัยยะของผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเช่นกัน Michael Corbynยอมรับว่าเขาได้สัมผัสถึงพรสวรรค์ของJimmy Pageอย่างไม่รู้ลืมซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกินจะอธิบายแต่มันคือสิ่งที่น่าประทับใจ และน่าจดจำมากที่สุดสำหรับMichael Corbyn

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

ผู้เขียน : เอกภพ แก้วชูโชติ

" นักฟังเพลงรุ่นเก๋าอาจไม่คุ้นเคยชื่อ Benson Boone แต่สำหรับคน Gen Z เขาคือศิลปินที่ร้อนแรงที่สุด ในปัจจุบัน "ด้วยวัย 20...
13/01/2025

" นักฟังเพลงรุ่นเก๋าอาจไม่คุ้นเคยชื่อ Benson Boone แต่สำหรับคน Gen Z เขาคือศิลปินที่ร้อนแรงที่สุด ในปัจจุบัน "

ด้วยวัย 20 ต้นๆ หนุ่มน้อย Benson Boone ชาวรัฐวอชิงตัน สามารถขับร้องบทเพลงด้วยน้ำเสียงที่ทรงเสน่ห์ สามารถแต่งเพลงและเนื้อร้องได้ มีผลงานดนตรีส่วนตัวโพสต์เผยแพร่ในช่องทาง TikTok โดยหนุ่ม Benson ก้าวขาเข้าสู่แวดวงบันเทิง จากการเข้าร่วมคัดเลือกในรายการ American Idol ก่อนออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกในชีวิต ยอดผู้ติดตามใน TikTok ของเขามีมากถึง 1.7M. จนมินิอัลบั้ม Walk Me Home... (2022) ที่บรรจุ 8 แทร็ค จากน้ำพักน้ำแรงและมันสมองของหนุ่ม Benson วางจำหน่าย ผลตอบรับที่ได้ในครั้งนั้นค่อนข้างเป็นไปในทางลบ นักวิจารณ์กล่าวซึ่ง Benson Boone กำลังหลงทาง ไม่ต่างกันภาพปกอัลบั้มของเขา (ภาพหนุ่ม Benson นอนเหวอ อยู่บนฉากหลังสีขาวอันเวิ้งว้าง)

ด้วยความไม่ย่อท้อถอดใจ และความเชื่อมั่นของนายทุน (ค่าย Night Street Records ที่ก่อตั้งโดยวง Imagine Dragons) เมื่อกลับไปแก้ไขจุดบกพร่อง ทั้งเรื่องแนวทางดนตรี การสื่อสาร รวมถึงฟิตหุ่น ดูแลหน้าตาผิวพรรณ จากเด็กน้อย กลายเป็นหนุ่มแซ่บ อัลบั้มเต็มชุดแรกของหนุ่ม Benson ชื่อชุด Fireworks & Rollerblades จึงถูกเข็นออกมาสู่สังเวียนในปี 2024 พร้อมบทเพลงเอก Beautiful Thing ที่ได้รับการโปรโมทเป็นเพลงนำ

Beautiful Thing คือเพลง Alternative Rock ที่ประพันธ์โดย Benson Boone ที่ว่ากันว่า Beautiful Thing คือบทเพลง 2 ชิ้น ที่มีความหมายและอารมณ์เพลงที่ใกล้เคียงกัน ที่หนุ่ม Benson แต่งต่อเนื่องกัน 2 วัน โดยเมื่อหนุ่ม Benson แสดงผลงานให้ทีมนักแต่งเพลงอาชีพฟัง นักแต่งเพลงท่านนั้น (คุณ Jack LaFrantz) แนะนำให้รวบ 2 เพลงนี้ให้เป็นเพลงเดียว นั่นจึงเป็นที่มาของเพลง Beautiful Thing

เนื้อหาของเพลง Beautiful Thing นั้นคือสัจธรรมของชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของทุกสิ่งในชีวิต รวมถึงทุกคนที่เข้ามาในช่วงชีวิต เป็นปรัชญาที่หนุ่ม Benson ให้ความสนใจ การเรียบเรียงบทเพลง เปิดโอกาสให้หนุ่ม Benson ได้โชว์ความสามารถทางการใช้เสียงในการขับร้อง ทั้งโทนนุ่มนวลสไตล์ Pop ไปจนถึงรูปแบบทรงพลัง สื่ออารมณ์สไตล์ Soul เสียงแผดร้องสไตล์ Rock ซึ่งหนุ่ม Benson สามารถถ่ายทอดออกมาได้ในระดับน่าประทับใจมาก

ในปัจจุบัน การจำหน่ายดนตรี มีปัจจัยปลีกย่อยมากกว่าการขายแผ่นเสียงในร้านค้าแบบในอดีต ด้วยยอดผู้ติดตามหลักล้านใน TikTok และ Instagram ของ Benson Boone หลังปล่อยบทเพลง Beautiful Thing ผ่านโซเชียลมีเดีย เพียงเดือนเดียว ยอดเข้าชมและยอดรับฟังของ Beautiful Thing ก็สูงในระดับร้อยล้าน ซึ่งแน่นอนว่าเกิดจากคุณภาพของงานเพลง บวกกระแสโซเชียลจากผู้ชื่นชอบในตัวของหนุ่ม Benson ด้วย ท้ายที่สุด Beautiful Thing ก็กลายเป็นเพลงฮิตที่สร้างยอดขาย ยอดสตรีม ยอดดาวน์โหลดถล่มทลาย จนกลายเป็นเพลงฮิตระดับ Top 3 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในอเมริกา และยังดังไกลไปเป็นเพลงยอดขายอันดับ 1 ในอังกฤษและอีกหลายประเทศ แม้ในประเทศไทยเรา ผู้เขียนก็ยังได้ยินบทเพลงนี้เปิดอยู่เรื่อยๆ ตามแหล่งชุมชน แหล่งช้อปปิ้ง ฟิตเนสเซ็นเตอร์ จนหลายท่านคุ้นหูเพลง Beautiful Thing นี้ตั้งแต่ยังไม่รู้จักว่ามันคือเพลงอะไร ใครร้อง เลยด้วยซ้ำ

จากความสำเร็จของเพลง Beautiful Thing ศิลปินหน้าใหม่ชื่อ Benson Boone จึงกลายเป็นที่จับตาในทันที ว่าเขาคืออีกหนึ่งคลื่นลูกใหม่ ที่จะเข้ามาพัฒนา สร้างสีสัน สร้างแรงบันดาลใจ และสร้างสรรค์ผลงานดนตรีคุณภาพ ที่จะยังคงผลักดันให้อุตสาหกรรมดนตรีโลกก้าวไปข้างหน้า

Benson Boone ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy Award ประจำปี 2024 ในสาขา Best New Artist (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2024)

Beautiful Thing ของ Benson Boone อยู่ในลำดับที่ 3 ของ Billboard Year End Chart ประจำปี 2024 ที่รวบรวมบทเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอเมริกา ประจำปี 2024

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

เขียนโดย วทัญญู

"นี่คือผลงานเพลงชิ้นเอกแห่งการเขียนเนื้อร้องและการเรียบเรียงบทเพลงที่ดีที่สุดในยุค70’s"  “คือคำชมเชยของนิตรยสารRolling S...
12/01/2025

"นี่คือผลงานเพลงชิ้นเอกแห่งการเขียนเนื้อร้องและการเรียบเรียงบทเพลงที่ดีที่สุดในยุค70’s"

“คือคำชมเชยของนิตรยสารRolling Stone
ซึ่งมันไม่อาจปฎิเสธได้ว่ามันไม่เป็นความจริงสำหรับอัลบั้ม“Heart Like a Wheel”

- ผลงานเพลงอัลบั้ม “Heart Like a Wheel” ของ Linda Ronstadt ถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของเธอที่ทำให้เธอกลายเป็น1ในผู้นำในฐานะศิลปินหญิงของวงการเพลงPop Rockแห่งยุค70’S โดยงานเพลงอัลบั้มนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเธอในการผสมผสานแนวเพลงต่างๆ ได้อย่างกลมกล่อมในขณะแฟนเพลงก็สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของLinda Ronstadtได้อย่างลึกซึ้ง

-“Heart Like a Wheel”กลายเป็นอัลบั้มแรกของLinda Ronstadtที่สามารถทะยานขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตBillboard 200โดยสมารถยืนระยะขึ้นครองอันดับ1นานถึง 4 สัปดาห์ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่ทำให้เธอกลายIcon แห่งวงการGirl Rockในช่วงยุค70’S ความสำเร็จของงานเพลงอัลบั้มนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนในฐานะศิลปินของเธอ ที่มีการผสมผสานระหว่างเนื้อเพลงที่ให้ความรู้สึกอันลึกซึ้งและเสียงดนตรีที่ครอบคลุมทุกแนวเพลงได้มันสร้างมาตรฐานใหม่ ทำให้เธอมีอิทธิพลต่อทิศทางของแนวเพลงPop Rock ในช่วงเวลานั้น

- นิตรยสารRolling Stoneได้ยกย่องผลงานเพลงอัลบั้ม “Heart Like a Wheel” ไว้ว่า "นี่คือผลงานเพลงชิ้นเอกแห่งการเขียนเนื้อร้องและการเรียบเรียงบทเพลงที่ดีที่สุดในยุค70’S" การยกย่องชื่นชมของนิตรยสารRolling Stoneได้เน้นย้ำว่างานเพลงอัลบั้ม “Heart Like a Wheel” เต็มเปี่ยมไปด้วยการการสร้างโดยฝีมืออันปราณีต แต่คำชมเชยไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้นเพราะความสามารถของLinda Ronstadtทำให้ผลงานเพลงชุดนี้กลายเป็นเพลงClassicที่อยู่เหนือกาลเวลา

- อัลบั้ม “Heart Like a Wheel”ได้รับการบรรจุอยู่ใน National Recording Registry ในปี 2013 ซึ่งเป็นเกียรติที่มอบให้กับผลงานเพลงที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสุนทรียศาสตร์ ของผลงานเพลงอัลบั้มนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะมันได้ช่วยหล่อหลอมแนวเพลงRockและPopในยุค70’S โดยงานเพลงอัลบั้ม “Heart Like a Wheel”ไม่เพียงแต่กำหนดเส้นทางในฐานะศิลปินของLinda Ronstadtแจ่เพียงเท่านั้น แต่มันยังทิ้งรอยทางที่น่าประทับใจอันยาวนานไว้ให้กับศิลปินและผู้ฟังหลายชั่วอายุคนอีกด้วย

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

ผู้เขียน : เอกภพ แก้วชูโชติ

12/01/2025

ปีนี้งานแปล The Beatles  และผมจะเขียนหนังสือเล่มใหม่ออกมา Heavy metal 101 กับ รวมเกร็ดประวัติศาสตร์ดนตรี Rock  เป็นต้นแบบซีรี่ส์ชุดใหม่ที่จะแตกแขนงออกไปแต่ละแนว เหมือน Series101

" อัลบั้ม John Lennon/Plastic Ono Band เคยได้รับคำวิจารณ์ไม่สู้ดี แต่ภายหลังถูกยกย่องว่าคือ อัลบั้ม ที่ดีที่สุดของ Lenno...
11/01/2025

" อัลบั้ม John Lennon/Plastic Ono Band เคยได้รับคำวิจารณ์ไม่สู้ดี แต่ภายหลังถูกยกย่องว่าคือ อัลบั้ม ที่ดีที่สุดของ Lennon "

John Lennon/Plastic Ono Band คืออัลบั้มในนามศิลปินเดี่ยวของ John Lennon ภายใต้สังกัด Apple Records ของ The Beatles ซึ่ง John ร่วมรังสรรค์ผลงานเพลงที่จะมีความส่วนตัวและเป็นเชิงทดลองมากขึ้น กับวง Plastic Ono Band ของ Yoko Ono

บทเพลง Mother คือเพลงโปรโมทเดียวของอัลบั้มชุดนี้ ที่ถ้าจะพูดถึงยอดขายหรือความนิยมในช่วงเวลาที่เพลงเผยแพร่ ก็อาจเรียกได้ว่า ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ภายหลัง Mother ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบทเพลงที่ละเอียดอ่อน และสะท้อนความรู้สึกของ John Lennon มากที่สุดเพลงหนึ่ง

แฟนเพลงของ John Lennon อาจจะทราบปูมหลังของนักดนตรีอัจฉริยะชาวลิเวอร์พูลท่านนี้แล้วว่า ชีวิตวัยเด็กของ John ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาเติบโตมากับมารดา Julia Lennon มากกว่าใช้ชีวิตร่วมกับบิดา Alfred Lennon จนเมื่อคุณแม่ Julia และพ่อ Alfred แยกทางกัน John น้อย อยู่ภายใต้การดูแลของแม่ Julia แบบเต็มตัว ทำให้ John ขาดการติดต่อกับบิดาถึงกว่า 20 ปี

กระนั้น แม่ Julia ก็มีครอบครัวใหม่ และฝากเด็กชาย John วัย 5 ขวบเศษ ไว้กับพี่สาวของเธอ John เติบโตมากับป้า Mimi (Mary Elizabeth Smith) และลุง George สามีของป้า Mimi ผู้ซึ่งดูแล John เหมือนลูกแท้ๆ แต่ช่วงเวลาที่อบอุ่นของเด็กน้อยก็มีอยู่เพียงไม่นาน เมื่อความตายมาพรากลุง George จากปัญหาสุขภาพ เมื่อ John มีอายุ 15 ปี และขณะที่ John มีอายุ 17 ปี เขาก็ต้องเผชิญข่าวร้าย เมื่อแม่ Julia ของเขาประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต

แม้ John Lennon จะใช้เวลารวมกับแม่แท้ๆของเขาไม่มาก แต่แม่ Julia ก็เป็นคนซื้อกีต้าร์ตัวแรกให้เขา ซึ่งเปรียบเสมือนการให้เส้นทางเดินในชีวิต ในขณะที่ป้า Mimi มีแนวคืดแบบเก่า เห็นว่านักดนตรีเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน แต่แม่ Julia คือผู้ให้การสนับสนุนและชื่นชมความสามารถทางดนตรีของ John เสมอ ความตายของ Julia Lennon จึงส่งผลกระทบต่อภาวะจิตใจของ John มาก และแปรเปลี่ยนเป็นความฝังใจ ที่ไม่อาจลืมเลือนไปตลอดชีวิต จนทำให้เกิดบทเพลง Julia ในอัลบั้มปกขาวปี 1968 และบทเพลง Mother จากอัลบั้ม John Lennon/Plastic Ono Band ดังกล่าว

Mother เป็นเพลง Rock ที่ไม่ได้บอกเล่าเฉพาะเรื่องราวการจากไปของคุณแม่ แต่ยังพูดถึงการจากไปของคุณพ่อ ที่ให้เวลาเด็กน้อยได้ใช้ชีวิตร่วมด้วยน้อยมาก บทเพลง Mother ขึ้นต้นหลังจาก Intro เสียงระฆังโบสถ์ที่ฟังเยือกเย็น ชวนเหงา (ด้วยเทคนิคการปรับแต่งเสียง) John Lennon ถ่ายทอดบทเพลงด้วยน้ำเสียงที่ความอ่อนไหว และเจ็บปวดหัวใจอย่างชัดเจน ประดุจกำลังเดินทางย้อนเวลาไปสัมผัสความรู้สึกเจ็บปวดในอดีตอีกครั้ง แม้สิ่งต่างๆจะผ่านล่วงเลยไปนานแล้ว จนแฟนเพลงถึงกับบอกว่านี่อาจเป็นบทเพลงที่ จริงใจ และสะท้อนส่วนลึกที่สุดของอารมณ์ที่แท้จริงของ John

ในช่วงต้นยุค 70's มีศาสตร์จิตบำบัดชนิดใหม่ กลายเป็นที่นิยมแพร่หลาย ซึ่งส่วนหนึ่งของความนิยมน่าจะเกิดจากการที่ซุปตาร์อย่าง John Lennon (และ Yoko ศรีภรรยา) เคยเข้าร่วมบำบัดจิตใจด้วยศาสตร์แขนงนี้ด้วย นั่นคือการ "กรีดร้องบำบัด" (The Primal Scream) การบำบัดความเครียดด้วยการกรีดร้องดังๆ ซึ่งเชื่อว่าสามารถลดความโกรธ เคียดแค้น และปรับสมดุลทางอารมณ์ได้ (ไม่ควรใช้ระยะยาว และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ) บทเพลง Mother เขียนและเรียบเรียงภายใต้ทฤษฎี "กรีดร้องบำบัด" นี้

เสียงกรีดร้องของ John ในบทเพลง เป็นเสียงร้องเพื่อการบำบัดจริง ซึ่งในขณะนั้น John จะใช้เวลาช่วงก่อนนอน กรี๊ด มันออกมา เพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่คั่งค้างในใจ เขาบันทึกเสียงตัวเองและทำการ Double-Tracked ลงในบทเพลง Mother โดยใช้เทคนิค Wall of Sound ของ Phil Spector เกลี่ยลดความกร้านของเสียงกรีดร้อง และสร้างเสียงสะท้อน

John Lennon เคยเผยความรู้สึกของเบื้องหลังการรังสรรค์ Mother ว่า เนื้อแท้แล้ว เขาชอบแนวทาง Rock แท้ ที่เรียบง่าย แม้เขาเองยอมรับว่าก็ได้รับผลกระทบจาก Trend ดนตรีแนวทาง Psychedelic หรือ Acid ตามยุคสมัยมาบ้าง แต่สิ่งที่เขาชื่นชอบ เข้าใจ และทำมันได้ดีที่สุด คือ Rock and Roll เขาจึงให้เสียงเปียโนใน Mother เป็นเสียงนำพาผู้ฟังเข้าสู่เรื่องราว " .. the piano does it all for you, your mind can do the rest .."

แน่นอนว่าเสียงเปียโนที่ได้ยิน คือฝีมือการบรรเลงของ John Lennon เอง และแม้จะเป็นผลงานเดี่ยว แต่ Mother ยังได้เพื่อน Ringo Starr มาช่วยลงเสียงกลองให้

อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ผลักดัน Mother ให้พิเศษข้ามกาลเวลาคือ เนื้อร้อง ที่สลวยอย่างฉลาด แต่ในขณะเดียวกันก็ซื่อตรง และสื่อสารชัดเจน

"Mother, you had me, But I never had you"
"Father, you left me, But I never left you"

สิ่งที่เป็นไปในเนื้อหาของ Mother นั้นคือความรู้สึกล้วนๆ เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตวัยเด็กของ John Lennon ได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว และในตอนนี้ ขณะที่เขาบรรเลงบทเพลง Mother เขาคือ John Lennon ศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก แต่เนื้อเพลงเพลงนี้กลับเต็มไปด้วย ประโยค ที่แสดงถึงการวนเวียนในห้วงทุกข์ของใจ แม้แม่ Julia จะจาก John น้อยไปนานแล้ว แม้พ่อ Alfred จะเคยทอดทิ้งเขาไป แต่ John เอง คือคนที่ยังไม่ยอมปล่อยแม่และพ่อ ไปจากใจของเขาเอง

การปล่อยวาง หรือ Let Go เป็นคำพูดสวยหรู ที่ทำจริงได้ยากมาก เมื่อบางสิ่งถูกประทับ ฝังแน่นลงในความรู้สึกแบบที่ยาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะลืมเลือน ในช่วงชีวิตของชายชื่อ John Lennon นั้น ชัดเจนว่าสิ่งที่เขาโหยหาที่สุดคือ มารดา แม้เขาจะตั้งชื่อลูกชายคนแรกว่า Julian เพื่อเป็นตัวแทนของแม่ Julia แม้เขาจะสามารถบรรยายความอึดอัดในใจผ่านเสียงเพลงอย่าง Julia (1968) หรือ Mother (1970) เพื่อแชร์ให้ผู้คนนับล้านรับรู้ แม้ผู้คนทั่วโลกจะมอบความรัก เกียรติยศ และเงินตราให้กับเขาอย่างล้นเหลือ ทุกสิ่งล้วนไม่พอที่จะเติมเต็มช่องว่างใหญ่ในใจ ที่หายไปพร้อมกับการจากลาของแม่ Julia

".. Mama don't go, Daddy come home .."

ประโยคสุดท้ายในบทเพลง Mother ที่ John Lennon ตะโกนร้อง น่าจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกความต้องการอันสูงสุดในชีวิตของเขา เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ความปรารถนาของ John น้อย จะไม่มีทางเป็นจริงได้

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

เขียนโดย วทัญญู

" Saving All My Love for You เพลงที่ประกาศให้โลกรับรู้ การกำเนิดขึ้นของ นักร้องที่เสียงดีที่สุดในอุตสาหกรรมดนตรี "ก่อนฉบ...
10/01/2025

" Saving All My Love for You เพลงที่ประกาศให้โลกรับรู้ การกำเนิดขึ้นของ นักร้องที่เสียงดีที่สุดในอุตสาหกรรมดนตรี "

ก่อนฉบับของ Whitney Houston ในปี 1985 บทเพลง Saving All My Love for You นี้ เคยถูกถ่ายทอดและบันทึกเสียงไว้แล้วครั้งหนึ่งในปี 1978 โดย Marilyn McCoo และ Billy Davis Jr. (Marilyn & Billy) ดูโอ้ สามี ภรรยา Pop Soul อดีตสมาชิกวง The 5th Dimension ในอัลบั้ม EP ของพวกเขา โดยบทเพลง เป็นหนึ่งเพลงสุดไพเราะในอัลบั้มที่ไม่ได้รับเลือกให้เป็น Single จัดจำหน่าย

ต่อมาคุณ Michael Masser นักประพันธ์เพลง ผู้แต่ง Saving All My Love for You นี้ ได้รับการทาบทามจาก Clive Davis ท่านประธานของค่ายเพลง Arista Records ให้ช่วยดูแลการผลิตบทเพลงเพื่อสาวน้อยเสียงดีคนหนึ่งที่เขาค้นพบ และกำลังจะปั้นให้เป็นดาวดวงใหม่ ชื่อ Whitney Houston โดยสาวน้อย Whitney มีหนึ่งบทเพลงโปรดที่เธอมักใช้ร้องโชว์ และคุณ Clive Davis รู้สึกว่ามันเข้าทางกับสาว Whitney มาก นั่นคือบทเพลง The Greatest Love of All ที่ประพันธ์โดยคุณ Michael Masser (ขับร้องครั้งแรกโดย George Benson ในปี 1977) คุณ Clive จึงอยากให้คุณ Michael ช่วยระดมสมองเพื่อโปรเจคปั้นสาวน้อยคนนี้

ซึ่งคุณ Michael Masser ก็มองขาด หลังทำความเข้าใจกับลีลา อารมณ์ เสียงร้อง และบุคลิกภาพของสาว Whitney ว่า เพลงแทนอารมณ์ สตรีเพศ รูปแบบที่แทนใจ และโดนใจ เพื่อนหญิงพลังหญิง คือสิ่งที่สาว Whitney มีศักยภาพ เขาจึงเสนอบทเพลง Saving All My Love for You ที่เคยถูกร้องไปแล้วครั้งนึง ให้สาว Whitney ตีความใหม่ในรูปแบบที่เธอรู้สึก

อันว่าบทเพลง Saving All My Love for You นี้ เป็นเพลงที่มีเนื้อหาล่อแหลม หมิ่นเหม่จริยธรรมอันดีงาม ถ้ายกตัวอย่างเพลงไทย ก็จะประมาณบทเพลง "ฉันรักผัวเขา" ของคุณ สินจัย หงษ์ไทย ที่มีเนื้อร้องว่า ".. ทุกคนคงจะตราหน้าเรา .. ชอบผัวเขาเอาตัวเองพันพัว .. ตกนรกโลกันต์ไม่กลัว .. รักจริงใจ .. " นั่นเลย

แม้สตูดิโอจะเห็นดีเห็นงาม แต่แน่นอนว่า Cissy Houston คุณแม่ของสาว Whitney ไม่ชื่นชอบ และไม่พอใจที่ลูกสาวอายุ 20 จะมาร้องเพลงอะไรแบบนี้ แต่ไม่มั่นใจว่าในขณะนั้น คุณแม่ Cissy จะรู้หรือไม่ว่า สาว Whitney เคยมีความสัมพันธ์ลับ ในรูปแบบเดียวกับบทเพลงนี้ กับนักร้องหนุ่ม Jermaine Jackson (พี่ชาย Michael Jackson) ที่มีภรรยาอยู่แล้ว และจากประสบการณ์ครั้งนั้น อาจเป็นสาเหตุให้สาว Whitney ถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเนื้อร้องของบทเพลง Saving All My Love for You ออกมาได้สมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ

ท่านประธาน Clive Davis ตัดสินใจโปรโมท Saving All My Love for You โดยจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการช่วงเดือนสิงหาคม ของปี 1985 พร้อม Music Video รูปแบบละครสั้น ที่มีสาว Whitney รับบทผู้หญิงที่แอบคบหาเชิงชู้สาว กับชายหนุ่มที่มีครอบครัวแล้ว และก็เป็นไปตามที่ท่านประธานคาดการณ์ เมื่อ Saving All My Love for You เรียกร้องความสนใจผู้บริโภค ด้วยทั้งเนื้อหาเพลง ความไพเราะของเมโลดี้ การเรียบเรียง และที่สำคัญที่สุดคือฝีมือการถ่ายทอดผ่านเสียงร้องที่ไม่ธรรมดาของ Whitney Houston ส่งให้ Saving All My Love for You ขึ้นแท่นเพลงฮิตระดับโลกประจำปี 1985

Saving All My Love for You ถือเป็นบทเพลงแจ้งเกิด Whitney Houston อย่างเป็นทางการ แม้กาลเวลาจะผ่านล่วงเลยไป แต่ Saving All My Love for You ฉบับของ Whitney Houston ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของนักฟังเพลงรุ่นสู่รุ่น เป็นหนึ่งเสียงเพลงที่แสดงอัตลักษณ์ของบรรยากาศยุค 80's ได้ชัดเจนที่สุด

เป็นที่เปิดเผยภายหลังว่า ในขั้นตอนการผลิตบทเพลงนี้ ท่านประธาน Clive Davis ได้วางรูปแบบความเป็น Whitney Houston ว่า บทเพลงของเธอ รวมถึง Saving All My Love for You จะต้องไม่ฟังเป็นเพลง Soul แบบดนตรีผิวสีจนสุดโต่ง แต่ก็จะไม่เป็นไปในรูปแบบ Pop (ผิวขาว) จนเกินไปเช่นกัน คุณ Michael Masser ผู้แต่งและโปรดิวซ์ จึงใส่เสียง Sax โซโล่ ในบทเพลง และเรียบเรียงดนตรีให้มีช่องว่างที่จะไม่บดบังเสียงร้องของสาว Whitney ให้มากที่สุด เพราะเขาเล็งเห็นเช่นกันว่า การถ่ายทอดเนื้อหาเพลงโดยสาว Whitney จะกลายเป็นไฮไลท์ที่ผู้ฟังจดจำแน่ๆ คุณ Michael บรีฟสาว Whitney ว่า เธอต้องร้องมันออกมา ให้คนฟัง ฟังแล้วน้ำตาแตก "This is going to make women cry. It is a woman's song."

การขับร้องของ Whitney Houston ในบทเพลง เป็นต้นแบบ และสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายทั่วโลก ให้หลงไหลในการร้องเพลงในรูปแบบถ่ายทอดอารมณ์ หนึ่งในเด็กน้อยผู้รักเสียงเพลง ที่น่าจะประทับใจ และได้แรงบันดาลใจจากสาว Whitney ในขณะนั้นไปเต็มๆ คือสาวน้อยวัย 18 ชาวแคนนาดา ชื่อ Céline Dion ที่เลือก Saving All My Love for You ฉบับ Whitney Houston มาร้องออกรายการทีวีช่อง Télé-Métropole ในปี 1986

Celine Dion ขับร้องบทเพลง Saving All My Love for You อีกครั้งในปี 2012 ที่งาน Live Grammy Salute to Whitney Houston เพื่อรำลึกถึง Whitney Houston ศิลปินผู้สร้างแรงบันดาลใจ ที่จากไปก่อนเวลาอันควร

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

เขียนโดย วทัญญู

" ในช่วงปี 1994 สมาชิกหลักของ Eagles ตัดสินใจรียูเนี่ยน เพื่อร่วมทัวร์คอนเสิร์ตด้วยกันอีกครั้ง "ต้องขอขอบคุณศิลปินคันทรี...
09/01/2025

" ในช่วงปี 1994 สมาชิกหลักของ Eagles ตัดสินใจรียูเนี่ยน เพื่อร่วมทัวร์คอนเสิร์ตด้วยกันอีกครั้ง "

ต้องขอขอบคุณศิลปินคันทรี่ คุณ Travis Tritt ที่นำบทเพลง Take It Easy ของ Eagles มา Cover ในปี 1993 และได้จัดการ จัดแจง ติดต่อเหล่าสมาชิกดั้งเดิมของ Eagles ที่กระจัดกระจาย ให้มารวมตัวกันเฉพาะกิจเพื่อถ่ายทำ Music Video ของคุณ Travis และกลายเป็นจุดเริ่มต้นการ รียูเนี่ยน ของ Eagles หลังสมาชิกแต่ละท่านห่างหายกันไปนานกว่าทศวรรษ

ทัวร์คอนเสิร์ต Hell Freezes Over คือการกลับมารวมตัวเฉพาะกิจของ Eagles วง Rock ระดับตำนานของอเมริกา หลังเพื่อนสมาชิกต่างห่างหายแยกย้ายกันไป ตั้งแต่ช่วงต้นยุค 80's ผ่านมาจนถึงเมื่อเหล่าสมาชิก Eagles รวมตัวกันจากการนำพาของ Travis Tritt ในปี 1993 บรรยากาศเดิมๆในช่วงยุค 70's ที่เหล่าหนุ่ม(เคย)น้อย ได้เคยตระเวนเล่นดนตรีไปทั่วทุกสารทิศ เคยได้ร่วมกันรังสรรค์ผลงานเพลง ได้พบปะแฟนเพลงที่รักในตัว และดนตรีของพวกเขา โครงการทัวร์คอนเสิร์ต Hell Freezes Over ของ Eagles จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 1994

คำว่า Hell Freezes Over แปลให้ได้ใจความก็จะประมาณว่า เมื่อนรกหยุดพักร้อนชั่วคราว เหล่าเพื่อนเก่าเพื่อนแก่เดนตาย ก็จึงได้โคจรกลับมาพบกันอีกครั้ง นอกจากการตระเวณแสดงสด Eagles ยังได้บันทึกภาพและเสียงการแสดงสด ณ. Warner Bros. Studios Burbank ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อจำหน่ายทั้งในรูปแบบคาสเซ็ทอัลบั้ม ซีดี ม้วนเทป VHS และแผ่น Laser Disc โดยอัลบั้มบรรจุทั้งเพลงเก่า เรียบเรียงใหม่ และเพลงใหม่เอี่ยมจำนวนหนึ่ง โดยบทเพลง Love Will Keep Us Alive คือหนึ่งในเพลงใหม่เอี่ยมของพญาอินทรี

Timothy B. Schmit มือเบสประจำวง รับหน้าที่ร้องนำในบทเพลง Love Will Keep Us Alive โดยมี Glenn Frey, Don Henley, Don Felder และ Joe Walsh ช่วยร้องประสาน โดย Eagles ร่วมเรียบเรียงบทเพลงนี้ในรูปแบบ Soft Rock อารมณ์หวาน ประพันธ์โดยนักแต่งเพลง Rock อาชีพ ของยุค 80's

ข้อมูลจากหนังสือ Heaven and Hell: My Life in the Eagles (1974–2001) ที่เขียนโดย Don Felder ได้พูดถึงที่มาของเพลง Love Will Keep Us Alive นี้ไว้ว่า จริงๆเพลงนี้เคยถูกเสนอให้วง ผ่านผู้จัดการวง คุณ Irving Azoff ตั้งแต่เมื่อสมัยก่อนแล้ว แต่คุณ Irving ปฏิเสธบทเพลงนี้ไป ด้วยเหตุผลว่าคุณภาพของเพลงยังไม่เหมาะสมกับวงอย่าง Eagles จึงเป็นเรื่องที่เหมือนตลกร้าย ที่ในที่สุด Eagles ก็ได้นำ Love Will Keep Us Alive ที่เคยถูกปฏิเสธ มาร้องจนได้

นอกจากได้รับเลือกให้นำมาแสดงสด เพลง Love Will Keep Us Alive ยังถูกเลือกให้เป็นเพลงโปรโมทของอัลบั้ม Hell Freezes Over (1994) และกลายเป็นเพลงที่ฮิตใช่เล่นในยุคนั้น Love Will Keep Us Alive สามารถขึ้นอันดับ 1 Adult Contemporary Chart (Billboard) ในอเมริกา เป็นหนึ่งเพลงที่เป็นที่รักของรายการวิทยุ เป็นที่ชื่นชอบของทั้งแฟนเพลงตัวยงของวง ไปจนถึงนักฟังเพลงรุ่นหลัง ให้ได้รู้จัก Eagles ในมุมมองที่แตกต่าง นอกเหนือจากความเป็นเจ้าของเพลง Hotel California ในตำนาน

"For the record, we never broke up ... We just took a 14 year vacation."

นี่คือคำพูดติดตลกของ Glenn Frey ว่า Eagles ไม่เคยยุบวง พวกเขารวมตัวกันเล่นดนตรีบ้าง และหยุดพักกันบ้างก็บางครั้ง จากจุดเริ่มต้นในปี 1971 วง Eagles ก็ยังคงอยู่ แม้ปัจจุบัน สมาชิกรุ่นบุกเบิกต่างแยกย้าย ทั้งจากเป็นและจากตาย สิ่งที่ Glenn Frey เคยพูดไว้อาจเป็นความจริง ว่า Eagles ไม่เคยหายไปไหน ตราบเท่าที่ผู้หลงรักในเสียงดนตรี ยังไม่ลืมเลือน พญาอินทรี และบทเพลงของพวกเขา

Hell Freezes Over กลายเป็นหนึ่งในทัวร์คอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ โดย Eagles ใช้ระยะเวลาตระเวณแสดงดนตรีสด ตั้งแต่ปี 1994 จนสิ้นสุดในช่วงปี 1996

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

เขียนโดย วทัญญู

" ครั้งหนึ่งที่ Indie Pop เคยผงาดขึ้นเป็นผลงานดนตรีที่ขายดี และได้รับความนิยมสูงสุด ในอเมริกา "Indie Pop หรือ DIY Music ...
08/01/2025

" ครั้งหนึ่งที่ Indie Pop เคยผงาดขึ้นเป็นผลงานดนตรีที่ขายดี และได้รับความนิยมสูงสุด ในอเมริกา "

Indie Pop หรือ DIY Music คือแนวทางของกลุ่มคนดนตรีที่รังสรรค์ผลงานเฉพาะตัวที่แตกต่างจากเพลง Mainstream สมัยนิยมในยุคนั้นๆ สำหรับช่วงปี 2009 บทเพลง Indie Pop เล็กๆชื่อ "Fireflies" จากศิลปินอิสระในนาม Owl City สามารถผงาด โดดเด่น ท่ามกลางบทเพลง Smash Hit สุดร้อนแรงของยุคสมัยนั้น อาทิเพลง "Single Ladies (Put a Ring on It)" ของ Beyoncé หรือ "Right Round" ของ Flo Rida ได้

Owl City คือโปรเจคดนตรี Contemporary Christian Music ภายใต้รูปแบบดนตรีอิเล็คทรอนิค หรือที่ใช้คำจำกัดความแขนงดนตรีรูปแบบนี้ว่า Christian Electronic Dance Music ดนตรี EDM รูปแบบ Easy Listening

Owl City คือคุณ Adam Young ผู้เป็นทุกอย่างของ Owl City โดยคุณ Adam Young คือหนุ่มน้อยชาวอเมริกันผู้รักเสียงเพลง ผู้ซึ่งในจุดเริ่มต้น ยังไม่มีทั้งชื่อเสียงและทุนทรัพย์มากมาย เขาเคยทำงานเป็นพลขับรถบรรทุกของเครื่องดื่ม โคคาโคล่า ที่มักปฏิบัติงานเวลากลางคืน จนกลายเป็นคนมีนิสัยนอนดึก ค่ำๆมืดๆ ยังตื่นตาโพลงเป็นนกฮูก จนถึงขั้นไม่หลับไม่นอน เขาจึงเริ่มใช้เวลายามวิกาลประพันธ์ผลงานเพลงต่างๆ ด้วยมิกเซอร์ Behringer C-1 ไมโครโฟน และเรียบเรียงเสียงผ่านซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ Propellerhead (Audio Plug-In) โดยหนุ่ม Adam จะนำผลงานส่วนตัวของเขา อัปโหลด ใน MySpace ในนาม Owl City ซึ่งเพลงปฐมฤกษ์ของ Owl City คือ "Hello Seattle"

ช่วงแรกเริ่ม หนุ่ม Adam Young ไม่มีกระทั่งห้องสตูดิโอเพื่อบันทึกเสียงอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เขาใช้พื้นที่ห้องใต้ดินในบ้านพ่อแม่เป็นสถานที่รังสรรค์ผลงานเพลงจากจินตนาการและประสบการณ์ส่วนตัว บทเพลง Fireflies คือความทรงจำของหนุ่ม Adam ครั้งที่เคยไปตั้งแคมป์กับเพื่อนๆ บริเวณทะเลสาบในรัฐมินนิโซตา เพื่อดูปรากฏการณ์ฝนดาวตก โดยบทเพลง Fireflies คือจินตนาการของหนุ่ม Adam ถ้าสะเก็ดดาวบนท้องฟ้าเหล่านั้น คือหิ่งห้อย

Fireflies คือหนึ่งในผลงานหลายสิบชิ้น (อาจถึงร้อย) ที่หนุ่ม Adam ประพันธ์ทิ้งไว้ในห้องใต้ดิน แต่ไม่ได้พัฒนาต่อ จนเมื่อเขาเริ่มเป็นที่สนใจในโลกออนไลน์ ด้วยฝีไม้ลายมือที่ไม่ธรรมดา จนได้รับการทาบทามจาก Republic Records ค่ายเพลงเล็กๆ ในเครือ Universal Music เพื่อเป็นศิลปิน เพลง Fireflies จึงได้รับการปัดฝุ่น

เนื่องจาก Adam Young ได้รับความสนใจจากผู้คนด้วยผลงานเพลงแนว DIY Music มาก่อน ต้นสังกัดจึงยังคงให้หนุ่ม Adam ดำรงแนวทางดนตรีของตน เพิ่มเติมเพียงความเนี้ยบของการบันทึกเสียง บทเพลง Fireflies เรียบเรียงในแนวทาง Techno Pop ด้วยเสน่ห์ของเสียง ปี๊บๆ จากเครื่องสร้างเสียงสังเคราะห์ คีบอร์ด Synthesizer บอกเล่าเรื่องราวของ หิ่งห้อยในฤดูร้อน ของหนุ่มน้อย ตานกฮูก ผู้นอนไม่หลับ

เมื่อบทเพลง Fireflies เผยแพร่ผ่านทาง iTunes นักวิจารณ์เพลงต่างชื่นชมบทเพลงในแง่ความสดใหม่ ที่แตกต่าง และยกย่องทักษะการเรียบเรียงดนตรีจากเสียงสังเคราะห์ ที่ฟังเรียบง่ายแต่ซับซ้อนอย่างมีชั้นเชิง รวมถึงเนื้อหาของเพลงที่ลื่นไหลไปกับท่วงทำนองอย่างลงตัว แต่ก็มีความหมายที่ลึกซึ้ง สามารถสะท้อนความรู้สึก และทัศนคติที่ชวนฝันของวัยเยาว์ออกมาได้ และที่สำคัญที่สุดคือ มันเป็นเพลงที่ไพเราะ ติดหู

Fireflies เผยแพร่ในช่วงฤดูร้อน ของปี 2009 และกลายเป็นเพลงฮิตประจำ Summer ในเวลาไม่นาน โดย Fireflies ครองใจวัยรุ่น และนักฟังเพลงชาวอเมริกันจนสามารถกลายเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 ของประเทศ รวมถึงยังดังไกล เข้าถล่ม UK ชาร์ตจนเป็นเพลงอันดับ 1 ในอังกฤษ และอีกหลายประเทศในทวีปยุโรป รวมถึงเป็นเพลงอันดับ 1 ในออสเตรเลีย ประจำปี 2009 อีกด้วย

บทเพลง Fireflies เป็นแสงสว่างวาบวูบใหญ่ วูบเดียว ของ Owl City สมชื่อบทเพลงหิ่งห้อย ภายหลัง Owl City โดย Adam Young แม้จะกลายเป็นศิลปินที่เป็นที่รู้จักในระดับสากล แต่หลังจาก Fireflies ก็ยังไม่สามารถมีบทเพลงแนวทาง Indie Pop ของ Owl City สร้างปรากฏการณ์ได้แบบ Fireflies อีกเลย จนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี Fireflies ของหนุ่ม Adam Young สร้างแรงบันดาลใจให้นักทำเพลงมือสมัครเล่น ให้ยังคงรักและศรัทธาในสิ่งที่ตนทำ เป็นหนึ่งในผลงาน Indie Pop ที่กรุยทางให้แนวดนตรีทางเลือก เข้ามามีบทบาท และเป็นตัวเลือกของผู้ฟังในท้องตลาด จนสร้าง Pop Star สายอินดี้ อาทิ Billie Eilish หรือวง Vampire Weekend สู่อุตสาหกรรมดนตรี

ที่สำคัญที่สุด คือ Fireflies มีผลทางใจต่อผู้ฟัง ที่ทันยุคสมัยที่แนวทาง Hip Hop/R&B ครอบครองตลาดดนตรีอย่างบ้าคลั่ง เพลง Fireflies ของ Owl City คือความประทับใจในความสวยงามที่เรียบง่ายของดนตรีที่แตกต่าง และเป็นอีกหนึ่งในชัยชนะที่สวยงามของสิ่งที่เรียกว่า Pop Music

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

เขียนโดย วทัญญู

08/01/2025

การเริ่ม solo กีต้าร์ครั้งแรกๆในประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งนั่นเริ่มมาจากศิลปิน Blues - Jazz ผิวดำนามว่า Lonnie Johnson ตอนยุค 20’s-30’s

" ย้อนกลับไปสู่ปี 1996 ยุคที่เด็กคลั่งเพลงอย่างพวกเราเฝ้ารอดู MV ใหม่ๆ ของศิลปินฝรั่ง จากรายการ By Demand กับ VJ พี่ตะแง...
07/01/2025

" ย้อนกลับไปสู่ปี 1996 ยุคที่เด็กคลั่งเพลงอย่างพวกเราเฝ้ารอดู MV ใหม่ๆ ของศิลปินฝรั่ง จากรายการ By Demand กับ VJ พี่ตะแง๊ว และ โคบ้า "

ผู้รักเสียงเพลง ที่ทันใช้ชีวิตวัยรุ่นในช่วงปี 1996 น่าจะยังจำความตื่นเต้นเมื่อได้พลิกดูภาพศิลปินฝรั่งที่ชื่นชอบ จากหน้ากระดาษนิตยสาร POP ในวันคืนที่พวกเราไม่มีสมาร์ทโฟน ความเพลิดเพลินที่บูธฟังเพลงฟรี ในร้าน Tower Records ในวันที่พวกเราไม่มี YouTube และเก็บหอมรอมริบเพื่อเป็นเจ้าของเทปคาสเซ็ท หรือแผ่น CD ของวงโปรด อาทิวง Hanson วง Oasis วง No Doubt หรือวง Spice Girls ที่พวกเราจะนำไปนอนฟังผ่านเครื่อง Walkman พร้อมคลี่ปกอัลบั้มชื่นชม Artwork ที่ศิลปินรังสรรค์ พร้อมแกะเนื้อเพลงโปรด อาทิ เพลง 2 Become 1 ของ Spice Girls กับดิกชันนารี

สำหรับอดีตวัยรุ่น วัยเรียน วัยเพ้อฝัน ในวันนั้น เชื่อว่าบทเพลง 2 Become 1 ของ 5 สาว Spice Girls เป็นหนึ่งในเพลงโปรดของพวกคุณ บทเพลง Pop/R&B ท่วงทำนองโรแมนติกชวนฝันนี้ คือเพลง Smash Hit ไปทั่วโลกในช่วงคาบเกี่ยวของปี 1996 สู่ปี 1997 ช่วงเวลาที่ต่อมาถูกขนานว่า The Spice Girls Fever

2 Become 1 เป็นเพลงโปรโมทลำดับที่ 3 ของวง ต่อเนื่องจากเพลง Wannabe และ Say You'll Be There เป็นครั้งแรกที่ผู้ฟังจะได้สัมผัสแง่มุมที่อ่อนไหวของ Spice Girls โดยบทเพลง 2 Become 1 นี้ หยิบยกเรื่องราวความรัก มานำเสนอในมุมมองที่ตรงประเด็น และสุ่มเสี่ยงในช่วงเวลานั้น นั่นคือการพูดถึง เพศสัมพันธ์

Spice Girls คือเสียงของคนรุ่นใหม่ (Gen X) เมื่อ 5 สาวบอกเล่าเรื่องราวโรแมนติกผ่านบทเพลงช้า Spice Girls ข้ามเส้นความเป็นวงดนตรี Bubblegum Pop สู่การพูดถึง การร่วมรักอย่างปลอดภัย ด้วยถุงยางอนามัย แม้จะเลี่ยงใช้คำที่มีความหมายเชิงเปรียบเทียบ แต่ท่อนอย่าง "Be a little bit wiser, baby. Put it on, Put it on." ก็ชัดเจนในจุดประสงค์ของการส่งสาส์น ที่แม้เด็กเอเชีย อ่อนภาษาอังกฤษอย่างพวกเรา ก็แอบสงสัยว่า เวลาคนรักกันเขาใช้เวลาร่วมกัน แล้วมันจะต้อง "Put it on, Put it on" สวมใส่ สอดใส่ อะไรกันนะ

ที่มาของเพลง 2 Become 1 นั้นเกิดจากความสัมพันธ์พิเศษ ระหว่าง Geri Halliwell หรือ Ginger Spice กับคุณ Matt Rowe โปรดิวเซอร์ของวง และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมประพันธ์ 2 Become 1 บทเพลงมีประโยคที่พูดถึงการร่วมรัก "Wanna Make Love to ya baby" การรวมกายและใจเป็นหนึ่งเดียวกันของคนสองคน รวมถึง Safe S*x แต่ Spice Girls ก็สามารถบอกเล่าผ่านเสียงเพลงได้ด้วยทัศนคติที่เป็นบวก ด้วยเจตนาที่ลึกซึ้งมากกว่าแค่ขายความเซ็กซี่ หรือใช้ เซ็กส์ เรียกร้องความสนใจ

ในช่วงวันคืนที่ การร่วมเพศ ยังถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยถึงในวงกว้าง โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชน แต่เพศสัมพันธ์ก็ยังเป็นสิ่งที่อยู่คู่วัยรุ่น วัยรัก เสมอมา ซึ่ง 5 สาว Spice Girls แชร์ประสบการณ์รัก ถึงแฟนเพลงวัยรุ่นทั่วโลก ว่า เพศสัมพันธ์ คือสิ่งที่สวยงาม ขอเพียงแค่เธอทั้งหลาย ใช้ถุงยางอนามัย

แฟนเพลงเดนตายของ Spice Girls ที่ติดตามผลงานของวงมาตั้งแต่แรก จะทราบว่า หนึ่งท่อนร้องของเพลง 2 Become 1 ที่ร้องว่า "Any deal that we endeavour/Boys and Girls feel good together" ได้ถูกเปลี่ยนแปลงเป็น "Once again if we endeavour/Love will bring us back together" เมื่อจัดจำหน่ายรูปแบบ Single เพราะ Spice Girls ตระหนักว่า โลกในยุคปัจจุบัน มีเพศมากกว่า Boys and Girls

กาลเวลาผ่านล่วงเลยไป สมาชิกของ Spice Girls ต่างมีอายุล่วงเลยวัยกลางคน รวมถึงแฟนเพลงวัยเยาว์ในวันนั้นที่ต่างก็เติบโต และหลงลืมความรู้สึกของวันคืนของช่วงปี 1996 ที่ผ่านมานานแล้ว แต่ทุกครั้งที่บทเพลง 2 Become 1 บรรเลงขึ้นอีกครั้ง ความทรงจำเก่าๆ ถึงเรื่องราว กลุ่มเพื่อน อารมณ์ความรู้สึก ความรัก ความสนุก ความประทับใจของวันวาน และบทเพลง จากเกิร์ลกรุ๊ปวงโปรด จะยังคงกลับมาชัดเจนในใจเสมอ

หนังสือ
ช่องทางการสั่งซื้อ
https://lin.ee/gk6NZIZ
* ช่องทางการสั่งซื้อ แบบ E Book *
https://bit.ly/3QU3aTM
การันตีความมันส์และความสนุกจากผู้อ่าน กว่า 2000 คน
ขอให้สนุกกับเรืองราวดนตรีที่ผมคัดมาแบบจัดเต็ม !
ช่องทางติดตามบทความดีๆ
youtube :https://youtu.be/TWWSf0PDJm8
Instagram :https://instagram.com
Blockdit : https://www.blockdit.com/fungsdontri
Line : https://lin.ee/gk6NZIZ
-------------------------------------------
#ฟังดนตรี

เขียนโดย วทัญญู

ที่อยู่

คู้บอน
Bangkok
10220

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Fungdontri - ฟังดนตรีผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Fungdontri - ฟังดนตรี:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์