DinoProperty by หมอสวนหลวง

DinoProperty by หมอสวนหลวง รับฝาก ขาย ให้เช่า บ้านที่ดินคอนโด ฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่ายล่วงหน้า

🏡 7 ประเภทต้นไม้ลดฝุ่น PM 2.5 เข้าบ้านฝุ่น PM 2.5 ยังคงเป็นปัญหาที่กระทบต่อการใช้ชีวิต กระทบต่อสุขภาพของเราอย่างมาก ตอนน...
27/12/2024

🏡 7 ประเภทต้นไม้ลดฝุ่น PM 2.5 เข้าบ้าน
ฝุ่น PM 2.5 ยังคงเป็นปัญหาที่กระทบต่อการใช้ชีวิต กระทบต่อสุขภาพของเราอย่างมาก ตอนนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่ฝุ่น SUPALAI รวบรวม 7 ประเภทต้นไม้ลดฝุ่น PM 2.5 มาฝากกัน


1️⃣ ไม้พุ่มทนร่ม : ข่อย แก้ว ไทรย้อยใบทู่ ไทรย้อยใบแหลม ชาข่อย ชาฮกเกี้ยน จั๋งไทย หมากเหลือง กะพ้อ

___________________________________________

2️⃣ ไม้พุ่มทนแดด : กรรณิการ์ ทองอุไร ยี่โถ ทรงบาดาล หางนกยูงไทย พรวด เข็ม รัก

___________________________________________

3️⃣ ไม้ต้นทนร่ม : โกงกางเขา พิกุล ต้นสั่งทำ มะเกลือกา มหาพรหม ลำดวน แจง กาสะลองคำ

___________________________________________

4️⃣ ไม้ต้นทนแดด (พื้นที่จำกัด) : สนประดิพัทธ์ สนทะเล รวงผึ้ง ตะลิงปลิง มะกล่ำต้น ตะเคียนหนู ปีบ แจงหม่อน

___________________________________________

5️⃣ ไม้ต้นทนแดด (พื้นที่กว้าง) : สนทะเล ทองกวาว นนทรี มะขาม มะกล่ำต้น มะเดื่อปล้อง มะยมป่า

___________________________________________

6️⃣ ไม้เลื้อย : เล็บมือนาง เครือออน พวงคราม ติ่งตั่ง การเวก นมแมว กะทกรก อรพิม ใบสีทอง

___________________________________________

7️⃣ ไม้เลื้อย มีรากยึดผนัง : เหลืองชัชวาล ตีนตุ๊กแก พลูแฉก เงินไหลมา พลูด่าง

___________________________________________

🔷 แหล่งที่มาของบทความ จาก ไทยรัฐ


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

ในปัจจุบัน การเปิดประตูให้กับชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาในประเทศไทย อาจเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการสร้างโอกาสให้แก่ประ...
26/12/2024

ในปัจจุบัน การเปิดประตูให้กับชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาในประเทศไทย อาจเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการสร้างโอกาสให้แก่ประเทศ เพียงแต่ว่ายังคงเป็นประเด็นไม่น้อยสำหรับการที่จะให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินหรืออสังหาในไทยว่า เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง ๆ ใช่ไหม หรือเป็นการ “ขายชาติ” หรือเปล่า วันนี้ สาระอสังหา จะลองมาวิเคราะห์ประเด็นนี้ให้ทุกคนได้รู้ไปพร้อม ๆ กัน

___________________________________________

มุมมองในข้อดี

1. ได้กลุ่มคนใหม่ ๆ เข้ามาเพื่อหมุนเวียนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งอาจเป็นคนที่มีศักยภาพในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญกับการขับเคลื่อนของโลก ให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งรวมของผู้มีศักยภาพจากหลาย ๆ ประเทศ ยกตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ที่ยอมให้คนจากต่างถิ่นเข้าไปอยู่อาศัยตั้งแต่ยุคแรก ๆ ของประเทศ แล้วช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จนปัจจุบันกลายเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกตอนนี้


2. ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีอัตราการเกิดที่น้อยลง ดังนั้นประชากรที่ทำงานในทุกระดับและจ่ายภาษีในประเทศก็ย่อมมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ เช่นกัน การที่รับชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย ก็เป็นอีกหนึ่งทางในการเชิญชวนผู้มีความรู้ความสามารถ แรงงานที่มีฝีมือ เข้ามาทำงานในประเทศ และเพิ่มการเรียกเก็บภาษีเพื่อนำไปพัฒนาประเทศต่อได้


3. ลูกค้าในอนาคตคือ “ผู้สูงวัย” ประเทศเรามีจุดเด่นที่การบริการทางด้านการแพทย์ อาหาร และมีค่าครองชีพที่ต่ำ การที่ให้ผู้ที่เกษียณอายุจากต่างประเทศเข้ามาซื้ออสังหาเพื่อใช้ชีวิตในบั้นปลาย ก็อาจเป็นอีกหนึ่งกลุ่มลูกค้าสำหรับภาคธุรกิจของประเทศไทยได้ เพราะผู้สูงอายุกลุ่มที่สามารถเดินทางมาเกษียณที่ต่างประเทศได้นั้น ต้องมีกำลังซื้อที่สูง ตัวอย่างเช่น ธุรกิจการดูแลสุขภาพ อาหาร การท่องเที่ยว การแต่งบ้าน ประกันชีวิต รวมถึงเทคโนโลยีสำหรับการดูแลผู้สูงอายุ จะสามารถสร้างงาน สร้างโอกาสทางธุรกิจได้อีกมากมาย


4. เพิ่มกำลังซื้อจากตลาดใหม่ เพราะปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจยังถือว่าชะลอตัว กำลังซื้อของคนไทยเองก็ลดลง แต่กลุ่มชาวต่างชาติ กำลังซื้อแทบไม่เคยชะลอตัวเลยโดยเฉพาะกลุ่มของชาวจีน ถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูง และเป็นลูกค้าหลักในการส่งเสริมการส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนด้านการขายและปล่อยเช่าอสังหา


5. แก้ปัญหาการทำผิดกฎหมายของชาวต่างชาติที่ใช้นอมินีแอบแฝงบังหน้า ที่ผ่านมาชาวต่างชาติที่เข้ามาเป็นเจ้าของอสังหาในประเทศไทย มักใช้วิธีการสมรสกับคนไทย หรือซื้อขายผ่านบริษัทนอมินี โดยมีตัวแทนจัดตั้งบริษัทเป็นคนไทย แต่เจ้าของจริง ๆ คือชาวต่างชาติ การออกมาตรการณ์นี้อาจช่วยแก้ปัญหาการทำผิดกฎหมายของชาวต่างชาติ เปรียบเสมือนการนำเรื่องที่อยู่ใต้ดินมาอยู่บนดิน และจัดการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

___________________________________________

มุมมองข้อเสีย

1. ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อาจมีราคาที่แพงขึ้น เพราะเจ้าของธุรกิจอสังหาก็ยิ่งอยากขายให้กับชาวต่างชาติ อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลทำให้คนไทยได้รับผลกระทบเต็ม ๆ ถ้าใครที่ยังไม่มีที่ดินหรืออสังหาของตัวเอง ก็ยิ่งทำให้มีอสังหาเป็นของตัวเองยากขึ้น


2. อาจกระตุ้นเม็ดเงินได้ไม่มากนักเท่าที่ควร นักวิเคราะห์เศรษฐกิจของไทยหลายคนมองว่า หากลองวิเคราะห์ 4 กลุ่มศักยภาพที่ตั้งเกณฑ์ไว้ เป็นไปได้ว่ามาตรการณ์นี้จะดึงดูด “ชาวต่างชาติที่มีความมั่นคงสูง” ได้มากที่สุด เพราะมีความสามารถในการลงทุน แต่กลุ่มอื่นอาจมีไม่มากนัก


3. ข้อมูลของระบบราชการไทยยังมีช่องโหว่ ชาวต่างชาติอาจเข้ามาซื้อที่ดินหรืออสังหา แต่ดันแอบเอาไปทำธุรกิจ ซึ่งปัญหานี้แก้ไขได้ยาก เพราะข้อมูลของระบบราชการไทย ยังไม่สามารถติดตามได้ขนาดนั้น ดังนั้นรัฐบาลต้องมีมาตรการณ์กำกับดูแลเรื่องนี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง


5. จากมุมมองของนักวิชาการบางคน ก็เป็นห่วงในเรื่องของไหลทะลักเข้ามาซื้อที่ดินและอสังหาของชาวต่างชาติ เลยมีการเปรียบเปรยว่าอาจทำให้ประเทศไทยบางส่วนกลายเป็นอาณานิคมของชาวต่างชาติไปเลยก็ได้

___________________________________________

แล้วจะทำอย่างไรให้คนไทยได้ประโยชน์จากมาตรการณ์นี้

1. รัฐบาลควรกำหนดราคาที่ดินและอสังหาที่ชาวต่างชาติซื้อได้ให้ชัดเจน ซึ่งต้องไม่กระทบกับผู้ซื้อคนไทยที่มีงบประมาณจำกัด และวางเงื่อนไขให้ชัดเจนว่าในอนาคตราคาบ้านจะต้องไม่แพงขึ้น คนไทยยังสามารถซื้อได้ และควรออกมาตรการณ์การเก็บภาษีสิ่งปลูกสร้างและอาคารแก่ชาวต่างชาติให้เป็นธรรมและครอบคลุมที่สุด


2. รัฐบาลควรสื่อสารกับประชาชนให้รู้ถึงระยะเวลาของมาตรการณ์ ว่าจะใช้ถึงเมื่อไหร่ เมื่อครบกำหนดแล้ว ก็ต้องลองทบทวนดูกันว่ามาตรการณ์นี้ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้นจริงไหม เพื่อไม่ให้เป็นเกิดความกังวลและเป็นข้อกังขากับประชาชนที่ตั้งคำถามจากมาตรการณ์นี้


แน่นอนว่ามาตรการณ์นี้ก็มีบทวิเคราะห์ออกมามากมาย มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมาคอยติดตามดูกันว่ามาตรการณ์ที่ให้ชาวต่างชาติซื้อที่ดินและอสังหาในไทยได้นี้ จะเป็นผลดีต่อประเทศและประชาชนคนไทยมากแค่ไหน และเราพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อหาโอกาสและประโยชน์จากมาตรการณ์นี้มากน้อยเพียงใด

___________________________________________

🔷 ขอบคุณแหล่งที่มาของบทความ จาก สาระอสังหา


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

ในปัจจุบันสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อบ้านมากขึ้น เนื่องจากหนี้ในภาคครัวเรือนอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเกือบ...
25/12/2024

ในปัจจุบันสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อบ้านมากขึ้น เนื่องจากหนี้ในภาคครัวเรือนอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเกือบร้อยละ 80 ของ GDP จึงทำให้ตัวเลขการปฏิเสธการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจึงเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละโครงการจะอยู่ที่ 10-15% (จากยอดจอง) แต่บางแห่งอาจสูงถึง 20-25% เลยทีเดียว

ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ธนาคารปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อซื้อบ้าน เพราะความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ลดลง ทั้งจากภาระการผ่อนรถยนต์คันแรก, ภาระการมีบัตรเครดิตหลายใบ, ภาระการผ่อนชำระสินค้ากับบัตรต่าง ๆ ตลอดจนรายได้ที่ลดลงบางอาชีพ ดังนั้นหากใครกำลังวางแผนกู้ซื้อบ้านให้ผ่าน ต้องมาดู วิธีกำจัดจุดอ่อน เพื่อแก้ปัญหากู้ (ซื้อบ้าน) ไม่ผ่าน กับ Home Buyers กันเลย

___________________________________________

กำจัด 10 จุดอ่อน แก้ปัญหากู้ (ซื้อบ้าน) ไม่ผ่าน

1. บัตรเครดิต ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องมีหลายใบ เนื่องจากมีผลทำให้กำลังซื้อบ้านลดลง เพราะในการพิจารณาวงเงินการให้สินเชื่อบ้านของธนาคาร ทางธนาคารจะนำวงเงินจากบัตรเครดิตทุกใบที่มีอยู่ มาคิดรวมเป็นภาระหนี้สิน (แม้ยังไม่ได้รูดจ่ายก็ตาม) จึงส่งผลให้ผู้กู้ได้สินเชื่อน้อยลงหรือกูไม่ผ่านในที่สุด หากภาระหนี้สินทั้งหมดมีเกินกว่า 40% ของรายได้รวมทั้งหมด

___________________________________________

2. รีบเคลียร์การผ่อนสินค้าผ่านบัตรต่าง ๆ ให้หมดโดยเร็ว เนื่องจากการผ่อนชำระสินค้า จะถูกนำมาคิดรวมเป็นภาระหนี้สินเมื่อเกิดการพิจารณาให้สินเชื่อซื้อบ้านด้วยเช่นกัน

___________________________________________

3.เช็คเครดิตบูโรก่อนกู้ซื้อบ้าน เพราะบางคนอาจมีหนี้หรือค้างชำระหนี้โดยไม่รู้ตัว เนื่องจากเมื่อยื่นขอกู้ซื้อบ้านไปที่ธน่คาร ทางธนาคารก็จะตรวจสอบข้อมูลมายังเครดิตบูโร ที่เก็บรวบรวมข้อมูลการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิต อันประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคลและประวัติการชำระสินเชื่อ ทั้งวงเงินยอดหนี้คงค้างและประวัติการผิดนัดชำระหนี้ในแต่ละสิ้นเดือนย้อนหลังไม่เกิน 36 เดือน

ดังนั้นหากผู้ขอสินเชื่อซื้อบ้านมีประวัติการชำระสินเชื่อที่ไม่ดี มีการค้างชำระหรือผิดนัดชำระ หรือแม้กระทั่งไม่เคยมีประวัติสินเชื่อกับสถาบันการเงินใดเลย โอกาสที่จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อซื้อบ้านจากสถาบันการเงินก็จะมีน้อยลง หรือถึงขั้นไม่อนุมัติสินเชื่อให้ก็เป็นได้

___________________________________________

4. มีภาระผ่อนรถยนต์คันแรกอยู่ ต้องคิดให้ดีก่อนกู้ซื้อบ้าน เนื่องจากนี่เป็นสาเหตุหลักอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ธนาคารปฏิเสธการอนัมุติสินเชื่อ เนื่องจากผู้มีติดผ่อนชำระรถยนต์จากโครงการนถยนต์คันแรกอยู่นั่นเอง ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ลองทำ Pre-Approve กับสถาบันการเงินก่อนซื้อบ้านก่อนดีกว่า เพื่อรับรู้ว่าผู้กู้ยังมีความสามารถในการชำระหนี้ในการผ่อนบ้านอยู่หรือไม่

___________________________________________

5. อย่าค้ำประกันใครง่าย ๆ เนื่องจากสถานบันการเงินจะนำมาพิจารณารวมเป็นภาระหนี้ด้วย เช่นเดียวกับการผ่อนบัตรเครดิตหรือการผ่อนสินค้าอื่น ๆ ซึ่งทำให้ความสามารถในการกู้ลดลง

___________________________________________

6. สร้างเครดิตที่ดีให้ตัวเอง หากไม่มั่นใจในรายได้และอาชีพของตนเองว่าธนาคารจะปล่อยกู้หรือไม่ แนะนำว่าให้ลองสร้างเครดิตที่ดีให้กับตัวเอง โดยการเปิดบัญชีออมเงินสักระยะหนึ่ง อาจจะ 1 – 2 ปี ซึ่งนอกจากเงินออมนี้จะกลายเป็นเงินดาวน์บ้านได้จำนวนหนึ่งแล้ว ยังช่วยสร้างเครดิตให้เรามีวินัยทางการเกินได้อีกทางด้วย

___________________________________________

7.หาผู้กู้ร่วมที่มีเครดิตดี การมีผู้กู้ร่วมที่มีอาชีพมั่นคง มีรายได้ประจำ เช่น ข้าราชการ, พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือประกอบวิชาชีพพิเศษ เช่น แพทย์, อัยการ เป็นต้น อาจทำให้มีโอกาสที่จะได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงินมากขึ้น

___________________________________________

8. เลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกำลังซื้อ ไม่ใช้เพราะความต้องการอยากได้เพียงอย่างเดียว เนื่องจากเมื่อผ่อนไม่ไหวก็จะกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง หรืออาจทำให้ธนาคารยึดไปอย่างน่าเสียดาย แนะนำว่า นกน้อยก็ต้องทำรังแต่พอตัว

___________________________________________

9. เลือกระยะเวลาผ่อนชำระยาว ๆ ไว้ก่อน เช่น ระยะเวลาผ่อน 25-30 ปี เพื่อให้วงเงินที่ผ่อนชำระต่อเดือนน้อย ๆ เนื่องจากหากรายได้ลดลงก็ไม่กระทบกับการผ่อน ในทางกลับกันถ้ามีรายได้เพิ่มขึ้นก็สามารถโปะได้ หรือไม่ต้องผ่อนนานตามที่กำหนดไว้ได้ แต่ถ้าเลือกผ่อนระยะสั้นไปแล้วจะขอขยายเวลาออกไปต้องเสียเวลาไปยื่นเรื่องใหม่ และอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก

___________________________________________

10. ถ้ายังไม่พร้อมก็อย่าเพิ่งคิดเป็นหนี้ เนื่องจากสินเชื่อบ้านจะผูกพันเป็นภาระหนี้ในระยะยาวเป็ย 10 ปี 25 ปีขึ้นไป ดังนั้นต้องมั่นใจในกำลังผ่อนของตัวเองเสียก่อน จึงคิดจะมีบ้าน

___________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก HOME


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

การสร้างบ้านอยู่เองจะมีกระบวนการหลาย ๆ อย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง แตกต่างกับการกู้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเร...
24/12/2024

การสร้างบ้านอยู่เองจะมีกระบวนการหลาย ๆ อย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง แตกต่างกับการกู้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจในกระบวนการก่อสร้าง (เบื้องต้น) เพื่อควบคุมงาน การออกแบบ ระบบใช้งานน้ำ ไฟ ฯลฯ ซึ่งมีเรื่องที่ควรให้ความสำคัญและพิจารณา ได้แก่

- การจัดการงบประมาณ จัดสรรไม่ดีงบบานปลาย
- รายละเอียด ระยะเวลาก่อสร้างที่อาจจะยืดออกไปตามอุปสรรคที่เจอ

โดยทั้งหมดต้องอาศัยประสบการณ์ ความชำนาญในการวางแผน เช็กความพร้อมในการบริหารจัดการงานใหญ่ ไปสู่คำตอบที่ว่าการสร้างบ้านวิธีนี้เหมาะกับตัวเองจริงหรือไม่

___________________________________________

การกู้เงินสร้างบ้านกับธนาคาร
คล้ายกับการกู้ซื้อบ้าน ซึ่งเป็นรูปแบบการกู้ยืมเงินก้อนกับธนาคารเพื่อนำไปซื้อบ้าน แต่การกู้เงินสร้างบ้านจะเป็นลักษณะการกู้ยืมธนาคาร โดยที่ทางธนาคารจะจ่ายเงินมาให้ผู้กู้ เพื่อนำไปจ่ายผู้รับเหมาต่อเป็นงวด ซึ่งหากต้องการแบ่งประเภทการกู้เงินธนาคารมาเพื่อสร้างบ้าน จะสามารถแบ่งได้ตามจุดประสงค์ของลูกค้า 2 กลุ่ม ได้แก่ (1) สร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง กู้เพื่อก่อสร้างบ้านเพียงอย่างเดียว (2) กู้ซื้อที่ดินพร้อมสร้างบ้านในคราวเดียวกัน ทั้งสองอาจจะมีกระบวนการที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในขั้นตอนการซื้อที่ดิน หาซื้อที่ดิน


___________________________________________

ขั้นตอนกู้เงินสร้างบ้านกับธนาคาร

1.เตรียมหาแปลนบ้าน/ติดต่อผู้รับเหมา

แน่นอนว่าการยื่นกู้กับธนาคาร เจ้าหน้าที่ต้องอยากทราบรูปแบบบ้าน รายละเอียดแบบแปลนบ้านก่อน ซึ่งการหาแปลนบ้านสามารถทำได้หลายวิธี ค้นหาแบบฟรีบนอินเทอร์เน็ตแล้วโทรติดต่อเจ้าของให้ช่วยลงลายมือกำกับ หรือจ้างสถาปนิกให้ออกแบบ เขียนแปลนบ้านให้ วิธีนี้จะได้บ้านแบบ Custom made กำหนดฟังก์ชันต่าง ๆ ในตัวบ้านได้ตามต้องการ แต่จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการหาแบบบ้านสำเร็จรูป หลังจากนั้นขอใบอนุญาตก่อสร้างของแปลนบ้าน ณ กรมที่ดินหรือสำนักงานเขตนั้น ๆ เพื่อขออนุญาตก่อสร้าง (ถ้าไม่ขอผิดกฎหมาย)
นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่ธนาคารต้องการจากผู้กู้ ยังมีในเรื่องของสัญญาว่าจ้างผู้รับเหมา เพราะการกู้สร้างบ้านต้องมีหลักฐานยืนยันว่าเกิดการจ้างงานให้สร้างบ้านจริง มีหลักฐานว่าจะทำการจ้างกันจริง ธนาคารจึงจะอนุมัติสินเชื่อปล่อยเงินงวดให้

___________________________________________

2.เตรียมเอกสารขอสินเชื่อกับธนาคาร/เลือกธนาคาร

สำหรับใครที่วางแผนสร้างบ้าน สิ่งแรกที่ควรทำคือการเลือกธนาคารที่จะทำการยื่นกู้ ดูว่าธนาคารมีนโยบายแบบไหน โปรโมชันอะไรบ้าง เพื่อนำไปคำนวณอัตราดอกเบี้ยบ้านและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ปัจจุบันมีหลายธนาคารที่ออกโปรโมชันหรือผลิตภัณฑ์กู้สร้างบ้านดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก (ผ่อนต่ำ) ยกตัวอย่างเช่น ธอส. ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารยูโอบี ฯลฯ ถ้าหากเลือกธนาคารได้ ก็จะวางแผนการเงินและการดำเนินการด้านอื่นต่อได้
ขั้นตอนนี้คือการนำเอกสารจากขั้นตอนที่ 1 ยื่นกับธนาคารเพื่อกู้สร้างบ้าน ‘สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย’ จุดเด่นดอกเบี้ยต่ำเฉลี่ย 6.5% ระยะเวลาผ่อนสูง 30 – 40 ปี เอกสารอื่น ๆ ที่ต้องยื่นกู้ธนาคารคล้าย ๆ กับการยื่นกู้ซื้อบ้าน ได้แก่

- เอกสารยืนยันตัวตน : สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ทะเบียนหย่า ใบเปลี่ยนชื่อ (ถ้ามี)
- เอกสารแสดงรายได้ : พนักงานเงินเดินใช้สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 6 – 12 เดือน หนังสือรับรองรายได้
- เอกสารหลักประกัน : หรือเอกสารตามหัวข้อที่ 1 ผู้รับเหมาต้องเขียนสัญญาว่าจ้างอย่างละเอียดว่าแต่ละงวดใช้จ่ายส่วนไหน เป็นเงินจำนวนเท่าไร ธนาคารจะจ่ายเงินให้เป็นงวดไป

___________________________________________

3.เตรียมเงินสำรอง

สำรอง 40-50% ของมูลค่างาน การกู้เงินสร้างบ้านใช้กระบวนการวางแผนและเตรียมความพร้อมด้านการเงินเยอะกว่าการซื้อบ้านประมาณนึง ยิ่งหากเป็นกรณีกู้ซื้อที่ดินยิ่งเป็นไปได้ว่าธนาคารจะไม่ปล่อยกู้เต็มจำนวน สูงสุด 50-80% บางกรณี 80% ของราคาประเมิน

จะเห็นว่าการกู้เงินสร้างบ้านมีความแตกต่างกับการกู้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอยู่มาก เพราะการกู้ซื้อในบางกรณีกู้ได้เต็มวงเงิน 100% โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์ บางกรณีซื้อคอนโดเงินเหลือ แต่การกู้เงินสร้างบ้านจะไม่เหมือนกัน ธนาคารไม่ได้ให้เงินก้อนแต่จ่ายเงินเป็นงวด การเตรียมเงินสำรองให้พร้อมจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก เผื่อระหว่างก่อสร้างมีความจำเป็นต้องใช้เงินเพิ่มแต่ยังไม่ถึงกำหนดจ่ายงวดของทางธนาคาร ดังนั้น ควรเตรียมเงินสำรองเฉลี่ย 40-50% ของมูลค่าบ้านจะช่วยป้องกันปัญหาเรื่องเงินได้ดี ทั้งยังช่วยให้งานราบรื่นก่อสร้างแล้วเสร็จตามกำหนด

___________________________________________

🔷 ขอบคุณแหล่งที่มาของบทความ จาก สาระอสังหา


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ปัญหาเรื่องของดินทรุด ก็เป็นปัญหาที่พบเจอได้ทั่วไป แต่ความรุนแรง หรือระดับการทรุด สำหรับที่ดินของแต่ล...
17/12/2024

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ปัญหาเรื่องของดินทรุด ก็เป็นปัญหาที่พบเจอได้ทั่วไป แต่ความรุนแรง หรือระดับการทรุด สำหรับที่ดินของแต่ละคนนั้น ก็ย่อมไม่เหมือนกัน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างสำหรับที่ดินแต่ละผืนที่ต่างกัน หากเราทราบถึงปัญหา ก็ยังสามารถที่จะมีแนวทางแก้ไขได้อยู่ แต่หากเราไม่ได้ตรวจเช็กที่ดินของเรามาก่อนเลย และทำการสร้างบ้านลงบนที่ดินไปแล้ว เมื่อเกิดปัญหาดินทรุด อาจส่งผลร้ายแรงถึงโครงสร้างของตัวบ้านได้เลย กลายเป็นต้องเสียเงินจำนวนมาก และเสียเวลาในการซ่อมแซมซึ่งเป็นงานใหญ่พอสมควร วันนี้อยากมาแนะนำวิธีตรวจสอบที่ดินของเรา ก่อนที่จะทำการปลูกสร้างบ้าน หรือหากจะซื้อบ้านในโครงการจัดสรร ก็สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ประกอบการตัดสินใจได้เลย

___________________________________________

1. สืบประวัติที่ดินของเราเสียก่อน

สืบประวัติในที่นี้ ไม่ใช่เรื่องลี้ลับแต่อย่างใดค่ะ แต่ให้เราทำการตรวจสอบว่า ก่อนที่จะกลายมาเป็นที่กินของเรานี้ ที่ตรงนี้เคยเป็นอะไรมาก่อน หากเป็นนา, แอ่ง, บ่อน้ำ หรืออยู่ใกล้แหล่งน้ำ แม้เราจะถมดินให้แน่นอย่างไรก็ตาม ก็มีโอกาสสูงที่ดินจะทรุดตัวได้ หากสามารถเปลี่ยนได้ ก็แนะนำให้หาที่ดินผืนใหม่จะดีกว่า แต่หากที่ดินนี้เป็นมรดกตกทอด หรือไม่สามารถหาที่อื่นได้แล้วจริง ๆ จำเป็นจะต้องก่อสร้างอาคารลงบนพื้นที่แห้งนี้จริง ๆ ก็ให้เตรียมตัวศึกษาแนวทางการป้องกันดินทรุดให้ละเอียดรอบคอบ ในเรื่องของการถมดินให้แน่น ขนาดของเสาเข็ม ความลึกของเสาเข็ม งานโครงสร้างต่าง ๆ เพื่อที่แม้ดินจะทรุดตัวลงนั้น บ้านของเราก็ยังสามารถตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง ไม่เกิดความเสียหายนั่นเอง

___________________________________________

2. ศึกษาที่ดินทรุดโซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล

พื้นที่กรุงเทพฯและประมฌฑลเคยเป็นทะเลมาก่อนเมื่อกว่า 10,000 ปีที่แล้ว มีดินเหนียวที่อ่อนและหนาปกคลุม 8-12 เมตร (บางพื้นที่ก็หนามากกว่านั้นมาก) สลับกับชั้นของน้ำบาดาล การใช้น้ำบาดาล, การก่อสร้างตึกสูงต่าง ๆ และแรงสั่นจากการจราจรบนท้องถนนจึงส่งผลให้ดินนั้นทรุดตัวลงทุกปี ชั้นดินเหนียวอ่อนนี้จึงไม่สามารถรับน้ำหนักอาคารได้โดยตรง จึงจำเป็นต้องมีการตอกเสาเข็มเพื่อถ่ายน้ำหนักอาคารลงไปสู่ชั้นดินด้านล่างที่แข็งแรงกว่า ที่อยู่อาศัยจำพวกบ้านจะวางปลายเสาเข็มไว้ที่ชั้นดินเหนียวแข็งหรือชั้นทรายชั้นแรก แต่ละโซนของกรุงเทพฯ มีที่ดินทรุดตัวมากน้อยแตกต่างกัน ทั้งนี้พื้นที่ทรุดมากที่สุดคือเขตบางกะปิ โดยมีการทรุดตัวสะสมประมาณ 1.20 เมตรเศษ ส่วนที่น้อยสุดคือฝั่งนนทบุรี แม้ว่าที่ดินของเราจะไม่ได้เคยเป็นนา, แอ่ง, บ่อน้ำ หรืออยู่ใกล้แหล่งน้ำมาก่อน แต่หากเป็นพื้นที่ที่มีสถิติดินทรุดมาก ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

___________________________________________

3. ดินยังไม่เซ็ตตัวให้แน่นก่อนปลูกสร้างอาคาร

การถมดินให้แน่น เป็นการป้องกันปัญหาเรื่องดินทรุดตัว โดยเฉพาะการถมแบบบีบอัด ที่จะยิ่งช่วยป้องกันปัญหาดินทรุดตัวได้เป็นอย่างดี โดยดินแต่ละชั้นจะอยู่ที่ 20-50 เซนติเมตร โดยค่อย ๆ ถมให้แน่นทีละชั้น จะได้พื้นที่ดินที่แน่นสนิท ก่อสร้างบ้านได้ปลอดภัย ไม่ทรุดตัวอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่ว่าถมแน่นเสร็จดีแล้วก่อสร้างบ้านเลย อย่างดีที่สุด ควรถมดินทิ้งไว้ 2-3 ปี สังเกตว่าปริมาณดินไม่เกิดการยุบตัวลง จึงค่อยลงมือสร้างบ้านได้ แต่หากไม่ได้มีเวลารอมากขนาดนั้น หรือต้องการรีบปลูกสร้างจริง ๆ ให้ผ่านฤดูฝนไปก่อนก็ดี

___________________________________________

4. แรงกระทำโดยรอบ

บ้านของเรา หากดันไปสร้างอยู่ติดกับพื้นที่ก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่มีการตอกเสาเข็มด้วยปั้นจั่น แรงสั่นสะเทือนจากการตอกเสาเข็มและการเคลื่อนตัวของดิน จะทำให้ที่ดินบริเวณตัวบ้านของเราเกิดการขยับตัว บัวฝ้าเพดานของเราอาจถึงขั้นหลุดจากแรงสั่นสะเทือน, ตัวบ้านเกิดรอยร้าว ไปจนถึงการทรุดตัวลงของที่ดินได้เลย หรือแม้แต่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณที่มีการขุดดินขาย หรือขุดสระขนาดใหญ่ พื้นที่ดินบริเวณบ้านของเราก็อาจทรุดตัวลงได้เช่นกัน

___________________________________________

บ้านที่สร้างด้วยเสาเข็มที่แข็งแรง มั่นคง ได้มาตรฐาน ลงลึกถึงชั้นที่เหมาะสม แม้ดินจะทรุด บ้านก็จะยังทรงตัวอยู่ได้อย่างปลอดภัยค่ะ การจะสร้างบ้านนั้น ต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาปัจจัยเหล่านี้โดยเด็ดขาด เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นมา การแก้ไขนั้นจะทำได้ยากมาก ๆ อีกทั้งยังมีราคาที่แพงมากอีกด้วย หรือแม้แต่การซื้อบ้านจากโครงการบ้านจัดสรร ที่เราไม่สามารถทราบถึงตัวโครงสร้างของบ้านได้ แต่อย่างน้อย ๆ เราก็ยังสามารถสำรวจประวัติของที่ดินบริเวณเหล่านั้นได้ เพื่อพิจารณาความเสี่ยง และหาแนวทางการป้องกันเอาไว้ก่อนที่เกิดปัญหา

___________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก HOMEDAY


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

การขายคอนโดให้คนต่างชาติ ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการลงทุนอสังหาฯ ที่ได้รับความนิยม เพราะชาวต่างชาติมีกำลังซื้อสูงจึงมีโอกาส...
16/12/2024

การขายคอนโดให้คนต่างชาติ ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการลงทุนอสังหาฯ ที่ได้รับความนิยม เพราะชาวต่างชาติมีกำลังซื้อสูงจึงมีโอกาสในการลงทุนสำเร็จได้ไม่อยาก อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชาวต่างชาติซึ่งอยากมีคอนโดเป็นของตัวเองในเมืองไทยนั้นก็มีเป็นจำนวนมากด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การจะขายคอนโดให้ชาวต่างชาติถือครองได้ในประเทศไทยนั้น ก็มีเกณฑ์พิจารณาเป็นเงื่อนไขอยู่ ที่จะต้องศึกษาให้ดี โดยชาวต่างชาติที่สามารถถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดคนต่างด้าวในประเทศไทยได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้

___________________________________________

1. ต้องเป็นคนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522

2. ต้องเป็นตนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ตามประราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 มาตรา 24 และมาตรา 25

3. ต้องเป็นนิติบุคคลตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 97 และ 98 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย

4. ต้องเป็นนิติบุคคลซึ่งเป็นคนต่างชาติตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน

5. ต้องเป็นคนต่างชาติหรือนิติบุคคลที่กฎหมายถือว่าเป็นคนต่างชาติ ซึ่งนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักร หรือถอนเงินจากบัญชีเงินบาทของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ หรือถอนเงินจากบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ ก็สามารถจะนำเงินดังกล่าวนั้นไปซื้อคอนโดได้

6. ชาวต่างชาติหรือนิติบุคคลที่เป็นคนต่างชาติ จะสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ในห้องชุดได้ในอัตราไม่เกิน 49% ของเนื้อที่ห้องชุดทั้งหมดในอาคารชุดแต่ละแห่ง

___________________________________________

แม้การขายคอนโดให้ชาวต่างชาติจะเป็นหนึ่งในรูปแบบการลงทุนอสังหาฯ ที่มีโอกาสสำเร็จสูงและได้รับผลตอบแทนดี แต่ก็มีกระบวนการในการดำเนินการที่เข้มงวด และมีเกณฑ์ข้อกฎหมายที่เป็นเงื่อนไขให้ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดหลายประการ ซึ่งนักลงทุนตลอดจนผู้ประกอบการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัยพ์นั้น จำเป็นจะต้องศึกษาให้เข้าใจ และดำเนินให้ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง ตลอดจนจำเป็นต้องคอยหมั่นติดตามข่าวสารการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ อยู่เสมอด้วย เพราะข้อกฎหมายต่าง ๆ มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อตามสถานการณ์ในประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป

___________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก REIC


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

การทาสีบ้านเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ละเอียดอ่อน สีบ้านที่สวยเรียบเนียนส่งผู้ให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบายใจ สบายตา ซึ่งแต่ละคนก็...
13/12/2024

การทาสีบ้านเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ละเอียดอ่อน สีบ้านที่สวยเรียบเนียนส่งผู้ให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบายใจ สบายตา ซึ่งแต่ละคนก็มีเทคนิคการเลือกสีทาบ้านที่แตกต่างกัน แต่สำหรับใครที่ยังลังเลว่าจะเลือกสีไหนดี ลองมาดูหลักในการเลือกสีบ้านให้ถูกหลักฮวงจุ้ย และให้ถูกอารมณ์ ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางในการช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกสีที่จะทาได้ง่ายขึ้น

___________________________________________

เลือกสีบ้านให้ถูกหลักฮวงจุ้ย?

สีขาว
ห้องสีขาวเหมาะกับคนที่ต้องการเสริมเรื่องความคิดสร้างสรรค์ หรือสำหรับเด็กที่ต้องการเสริมสร้างจินตนาการ และสำหรับคนที่ต้องการให้ในบ้านสว่างยิ่งขึ้น ควรทาห้องที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก, ทิศตะวันออกเฉียงเหนือและส่วนหน้าบ้านที่หันเผชิญหน้ากับทิศเหนือให้เป็นสีขาว

___________________________________________

สีเขียวและสีม่วง
สองสีนี้เสริมให้ร่ำรวย สุขภาพดี มีผลดีต่อความเจริญ โดยควรใช้สีม่วงและเขียวตกแต่งในบ้านส่วนที่หันไปทางทิศตะวันออกและส่วนหน้าบ้านที่เผชิญหน้ากับทิศใต้

___________________________________________

สีฟ้าและสีม่วง
สีคู่นี้ส่งผลถึงเรื่องการงาน ความร่ำรวย และเพิ่มโอกาสในชีวิต โดยหลักในการทาสีควรทาในส่วนทิศเหนือ ทิศตะวันออกและส่วนหน้าบ้านที่เผชิญหน้ากับทิศใต้

___________________________________________

สีเหลือง, สีเบจ และสีทอง
สามสีนี้เสริมเรื่องความสัมพันธ์และความมั่นคงในชีวิต โดยต้องใช้สีเหล่านี้ทาบ้านส่วนที่หันไปทางทิศเหนือ ทิศตะวันตก รวมถึงบ้านที่ตั้งตรงข้ามกับทิศตะวันตกฉียงเหนือ ใครที่ต้องการเน้นเรื่องความฉลาดและการศึกษาให้เน้นทาสีเหลืองเป็นหลัก

___________________________________________

สีแดงและสีชมพู
กลุ่มสีนี้ส่งเสริมเรื่องความรัก รวมถึงเสริมความมั่นคงในสถานะทางสังคม โดยทาในส่วนที่หันไปทางทิศใต้ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ และส่วนหน้าบ้านที่ตั้งตรงกับทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

___________________________________________

สีน้ำตาล
สีน้ำตาลช่วยเสริมเรื่องของสุขภาพและความสุขของคนในครอบครัว ควรทาสีน้ำตาลในส่วนที่หันหน้าไปทางทิศใต้หรือส่วนหน้าบ้านที่เผชิญหน้าไปทางทิศตะวันออก

___________________________________________

สีส่งผลต่ออารมณ์ของผู้อยู่อย่างไร?

The Power of Color หรือพลังของสีสันไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ความสวยงาม แต่มีผลถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยในห้องนั้น ๆ ในแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งเราสามารถนำเอาเรื่องพลังของสีสันนี้มาช่วยเลือกสีทาบ้านหรือห้องได้เช่นกัน

___________________________________________

กลุ่มโทนสีเย็น
เป็นกลุ่มสีที่ให้ความสดชื่น สงบ และผ่อนคลาย กลุ่มสีนี้จึงเหมาะกับห้องที่ต้องใช้ความคิด โดยสีกลุ่มนี้ ได้แก่

- สีเขียว ทำเกิดให้ความรู้สึกร่มรื่น สบายตา ผ่อนคลายและปลอดภัย พลังของสีเขียวสามารถทำให้ประสาทตาผ่อนคลายได้อย่างดี
เหมาะสำหรับ: ห้องโถง ห้องนอน ห้องนั่งเล่น

- สีน้ำเงิน สีแห่งความสุขุม เยือกเย็น ละเอียดรอบคอบและหนักแน่น พลังของสีน้ำเงินช่วยให้ระบบหายใจให้เกิดความสมดุลและแข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังช่วยในการสร้างแรงบันดาลใจได้ดี
เหมาะสำหรับ: ห้องทำงาน ห้องอ่านหนังสือ

- สีฟ้า ให้ความรู้สึกเป็นอิสระ โปร่งโล่งสบาย ช่วยให้ผู้อยู่อารมณ์เย็นขึ้น ลดความกระวนกระวายใจได้ดี
เหมาะสำหรับ: ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องนั่งเล่น

___________________________________________

กลุ่มสีโทนร้อน
ทำให้เกิดความรู้สึกมีพลัง เร่าร้อน กระตือรือร้นและกระฉับกระเฉง เสริมสร้างพลังและแรงกระตุ้นในการทำสิ่งต่าง ๆ ในทางจิตวิทยา สีโทนร้อนจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเจริญอาหาร ทำให้เกิดความหิว และกระตุ้นให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ สีในกลุ่มนี้ได้แก่

- สีแดง สีที่กระตุ้นระบบประสาทได้รุนแรงที่สุด สร้างความรู้สึกเร้าใจ ตื่นเต้น ท้าทาย ตื่นตัว พลังของสีแดงจะกระตุ้นพลังชีวิตให้มีความเข้มแข็ง กระตือรือร้นและมีชีวิตชีวา
เหมาะสำหรับ: ห้องน้ำ ห้องโถง ห้องทำงาน

- สีม่วง สีที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย กระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ และสร้างความสงบในจิตใจได้เป็นอย่างดี พลังของสีม่วงยังช่วยให้สมองของเราสงบ และเกิดสมาธิ
เหมาะสำหรับ: ห้องอ่านหนังสือ ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น

- สีส้ม สีแห่งความสร้างสรรค์ อบอุ่น สดใส สร้างสติปัญญาความทะเยอทะยานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง นอกจากนี้สีส้มในทางจิตวิทยาจะช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้
เหมาะสำหรับ: ห้องกินข้าว ห้องนั่งเล่น ห้องอ่านหนังสือ

- สีเหลือง สีแห่งความสนุกสนาน ความฉลาดรอบรู้ ความสดใสร่าเริงและเพิ่มอารมณ์ขัน ทั้งยังสามารถใช้เยียวยาอาการท้อแท้ หดหู่ หมดกำลังใจ
เหมาะสำหรับ: ห้องครัว ห้องกินข้าว ห้องนั่งเล่น

___________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก DD Property


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

บ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จจะมองมุมไหนก็สวยไปหมด ต่อเมื่อวันเวลาผ่านไปแน่นอนว่าบ้านที่ยืนท้าแดดทนฝน ก็ต้องมีความเปลี่ยนแปลงไป...
12/12/2024

บ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จจะมองมุมไหนก็สวยไปหมด ต่อเมื่อวันเวลาผ่านไปแน่นอนว่าบ้านที่ยืนท้าแดดทนฝน ก็ต้องมีความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ซึ่งการทำบ้านให้น่าอยู่ มีความสวยงาม และคงทนอยู่กับเราไปนานๆ นอกจากฝีมือของบริษัทรับสร้างบ้านแล้ว ยังอยู่ที่การช่วยกันดูแลรักษาของสมาชิกในบ้านด้วย วันนี้เราจะมาเปิด 8 เคล็ดลับการดูแลบ้าน ให้เหมือนใหม่อยู่เสมอ เป็นวิธีง่ายๆ ทำเองได้ทุกบ้าน จะมีแบบไหนบ้าง ตามไปดูกันเลย

___________________________________________

8 เคล็ดลับการดูแลบ้าน ให้ดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ

1. ดูแลทำความสะอาดบ้านสม่ำเสมอ

บ้านที่สะอาดปราศจากฝุ่น หยากไย่ และคราบสกปรก จะทำให้ดูใหม่และน่าอยู่เสมอ ดังนั้นจึงต้องหมั่นทำความสะอาด ไม่ให้ฝุ่นหนา ขยะแน่น ข้าวของรกไร้ระเบียบ เคล็ดลับการทำความสะอาดแบบมืออาชีพคือ เริ่มต้นจากชั้นบนลงมาชั้นล่าง และอย่าลืมทำความสะอาดรายละเอียดเล็กๆ ภายในบ้านด้วย เช่น รีโมททีวี ลูกบิดประตู ที่สำคัญควรใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยให้ทำความสะอาดบ้านได้ง่ายและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

อีกจุดที่ต้องสะอาดเสมอ คือ ห้องครัว เพื่อไม่ให้สัตว์ต่างๆ เช่น มด แมลงสาบ หนู ที่มักจะมารวมตัวรอกินเศษอาหาร อันกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค โดยเช็ดเตาอยู่เสมอ ขจัดคราบน้ำมันออกให้หมด กำจัดขยะและของเน่าเสีย มัดปากถุงขยะเศษอาหารให้แน่น

___________________________________________

2. สีบ้านอย่าให้หมอง

สีทาบ้านเป็นด่านหน้าของบ้านที่แขกไปใครมาจะมองเห็นก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้บ้านดูใหม่และน่าอยู่ เราจึงควรสำรวจดูว่าผนังบ้านมีสีหมองลง หรือสีหลุดร่อนหรือไม่ มีร่องรอยแตกร้าวที่จุดไหน หากพบก็ควรรีบแก้ไข เพื่อรักษาสภาพให้บ้านมีสีสันสดใสดูใหม่อยู่เสมอ

___________________________________________

3. ทำความสะอาดห้องน้ำและร่องยาแนว

ห้องน้ำเป็นอีกห้องที่ต้องการการดูแลสม่ำเสมอ เพราะต้องเจอความเปียกชื้นแทบทั้งวัน จึงควรทำความสะอาดอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยเฉพาะร่องยาแนวในห้องน้ำ ซึ่งเป็นจุดที่มีสิ่งสกปรกเกาะติดได้ง่ายมาก ร่องยาแนวที่ดำและสกปรกเป็นจุดที่ทำให้ห้องน้ำดูทรุดโทรมลงไปมาก วิธีทำความสะอาดง่ายๆ คือใช้น้ำยาล้างห้องน้ำเทให้ทั่วพื้นแล้วทิ้งไปสักพัก จากนั้นใช้แปรงขัดตามร่องแล้วใช้น้ำฉีดให้เกลี้ยง เพียงเท่านี้ก็ทวงห้องน้ำใหม่กลับคืนมาได้แล้ว

___________________________________________

4. ดูแลสวนเสมอไม่ปล่อยรกร้าง

สวนสวยๆ เป็นอีกส่วนที่ส่งเสริมให้บ้านดูสวยงามน่าอยู่ ดังนั้นหากมีสวน ปูหญ้า และปลูกต้นไม้มาก อย่าปล่อยปละละเลยให้รก ควรหมั่นตัดแต่งหญ้าและกิ่งก้านต้นไม้ให้ดูดี เข้ารูปเข้าทรง รดน้ำต้นไม้ทุกวันให้ชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวเฉา เมื่อต้นไม้เขียวขจีสดใส ก็จะทำให้บรรยากาศบ้านร่มรื่นสดชื่นน่าอยู่ และยังปลอดภัยจากสัตว์มีพิษที่อาจแฝงเข้ามาในบ้านอีกด้วย

___________________________________________

5. หลังคา เพดาน ฝ้า อย่าให้มีรอยรั่วซึม

ปัญหาหลังคา เพดาน ฝ้ารั่วซึมนั้นเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงหน้าฝน แถมยังสร้างความเสียหายให้บ้านได้เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงควรหมั่นคอยสังเกตรอยน้ำรั่ว น้ำซึม บริเวณฝ้า เพดาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคราบน้ำ เกิดตะไคร่ ที่จะทำให้บ้านดูเก่าโทรม อีกทั้งหากไม่ได้รับการซ่อมแซมโดยไว ปัญหาน้ำซึมจะลุกลามจนเกิดความเสียหายกับตัวบ้าน เฟอร์นิเจอร์ในบ้าน และพื้นบ้านอีกด้วย

___________________________________________

6. หมั่นเช็กระบบไฟฟ้าอยู่เสมอ

ระบบไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ห้ามมองข้ามโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นปลั๊กไฟหรือสายไฟ เพราะหากชำรุดหรือเสียหายก็อาจทำให้เกิดอันตราย เช่น ไฟรั่ว ไฟฟ้าลัดวงจร และอาจลามไปจนถึงไฟไหม้ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ควรหมั่นตรวจเช็กหรือสังเกตความผิดปกติของเครื่องใช้ไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น

___________________________________________

7. ระบบประปาอย่าให้รั่วซึม

น้ำประปาเป็นสิ่งจำเป็นประจำวัน ปัญหาเกี่ยวกับระบบประปาที่มักพบบ่อย คือ ท่อ ข้อต่อต่างๆ หลุด หรือมีอาการรั่วซึม ดังนั้นคนในบ้านควรช่วยกันสังเกต สำหรับบ้านที่มีปั๊มน้ำต้องคอยฟังเสียงการทำงานของปั๊ม หากไม่มีการใช้น้ำแต่ปั๊มน้ำกลับทำงานไม่หยุด แสดงว่ามีการรั่วหรือซึมที่จุดใดจุดหนึ่ง หรือพบค่าน้ำสูงกว่าปกติให้สันนิษฐานว่าน่าจะมีน้ำรั่ว ควรแจ้งช่างมาเปลี่ยนหรืออุดให้เรียบร้อย นอกจากนี้ไม่ควรทิ้งขยะลงในท่อระบายน้ำ เพื่อป้องกันท่ออุดตันอีกด้วย

___________________________________________

8. ป้องกันบ้านให้ปลอดปลวก

บ้านทุกหลังมีสิทธิ์ที่ปลวกจะมาเยือนได้ หากไม่ป้องกันให้ดี ควรตรวจสอบปลวกทุกๆ 4 เดือน หากตรวจพบควรแจ้งบริษัทกำจัดปลวกมาฉีดยาป้องกัน และให้รับประกันปลวกขึ้นบ้านด้วย โดยเฉพาะเสาบ้าน และคาน ซึ่งต้องแข็งแรงและไม่ควรเสียหายเพราะปลวก

___________________________________________

เคล็ดลับในการดูแลบ้านให้น่าอยู่ สะอาด และดูใหม่อยู่เสมอนี้เป็นสิ่งที่ควรทำให้สม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามบานปลาย จนต้องซ่อมแซมแก้ไขกันในระยะยาว เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และจะดียิ่งขึ้นหากในขั้นตอนการออกแบบสร้างบ้าน ได้เลือกบริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพ บริษัทรับสร้างบ้านที่มีมาตรฐาน เพราะบริษัทดังกล่าวจะมีประกันผลงานเป็นระยะเวลานาน คอยดูแลแก้ไขซ่อมแซมตัวบ้านให้สวยงามอยู่เสมอ ทำให้เจ้าของบ้านได้อยู่บ้านสวยอย่างสบายกายสบายใจ ไร้ปัญหาปวดหัวให้ต้องคอยตามแก้ไข

___________________________________________

🔷 ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

สุขภาพทางการเงินก็เป็นเรื่องที่สำคัญพอ ๆ กับสุขภาพร่างกายที่เราต้องหมั่นตรวจเช็กและดูแลอย่างสม่ำเสมอ เพราะโรคทางการเงินจ...
09/12/2024

สุขภาพทางการเงินก็เป็นเรื่องที่สำคัญพอ ๆ กับสุขภาพร่างกายที่เราต้องหมั่นตรวจเช็กและดูแลอย่างสม่ำเสมอ เพราะโรคทางการเงินจะเกิดขึ้นกับตัวเราเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ และเมื่อเกิดแล้วก็ต้องแก้ไขโดยด่วน แต่ก่อนที่จะรักษาโรคทางการเงิน เรามาประเมินอาการของตนเองกันก่อนว่า กำลังจะเสี่ยงเป็นโรคการเงินอยู่หรือเปล่า


1️⃣ เลี่ยงรับรู้ปัญหาการเงิน

บางคนไม่ยอมรับความจริงว่าเรากำลังประสบปัญหาการเงิน และมีภาระหนี้สินกองอยู่ แทนที่จะจัดการเคลียร์ให้เสร็จสิ้นทั้งหมด แต่กลับยังละเลย ไม่สนใจในเรื่องของการบริหารการเงินอยู่ หากใครมีสัญญาณจากอาการเหล่านี้ แสดงว่ากำลังมีปัญหาต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน!

___________________________________________

2️⃣ ปิดบังเรื่องภาระหนี้สิน

หลายคนไม่กล้าเปิดเผยกับคนในครอบครัวว่ามีภาระหนี้สินที่ต้องจัดการ แต่กลับเลือกที่จะกู้หนี้ยืมสินคนภายนอกมาหมุนเงินวนไปอยู่เรื่อย ๆ ไม่รู้จบ และเมื่อต้องแบกภาระหนี้สินที่มากเกินก็จะนำพาปัญหาอื่น ๆ ตามมาที่ไม่ใช่แค่เรื่องการเงิน

___________________________________________

3️⃣ เครียดสะสมจากการเงิน

มีหลายคนที่ต้องแบกรับภาระเป็นหัวหน้าครอบครัว จัดการค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวทั้งหมด มัวแต่คิดหาวิธีว่าจะทำยังไงให้มีเงินเยอะ ๆ จนเก็บมาเป็นภาวะเครียดสะสม ถ้ามีอาการนี้อยู่ อยู่ในอันตรายแล้วล่ะ

___________________________________________

4️⃣ ไม่กล้าเผชิญกับการลงทุน

มีใครมีอาการนี้อยู๋ไหม รู้สึกกลัวที่ลงทุน หาเหตุผลข้ออ้างมาให้ตัวเองไม่ศึกษาเรื่องการลงทุน จนทำให้โอกาสที่จะได้นำเงินที่เก็บออมมาสร้างผลตอบแทนให้งอกเงยก็พลาดไป อาการแบบนี้แหละที่เรียกว่าโรคทางการเงินที่กำลังเป็นอยู่

___________________________________________

5️⃣ ใช้เงินแบบไม่เผื่อถึงวันพรุ่งนี้

ถ้าใครที่รู้สึกว่าเห็นของอะไรก็น่าชอปปิง น่าซื้อมาเก็บสะสม หรือจ่ายค่าบริการต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงความต้องการเลย คิดว่ามีก็ใช้ไม่จำเป็นต้องเก็บ แบบนี้เข้าข่ายที่จะเป็นโรคการเงินอย่างแน่นอน

___________________________________________

6️⃣รู้สึกผิดในการใช้เงิน

บางคนอาจมีอาการนี้แบบไม่รู้ตัวคือ ต่อให้จะทำงาน หาเงินเก็บออมมาได้ขนาดไหน แต่ก็ไม่กล้าที่จะนำเงินนั้นมาใช้จ่ายเพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเองแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และจะรู้สึกผิดทุกครั้งที่นำเงินออกมาใช้จ่าย แบบนี้ก็ถือว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคทางการเงินได้เช่นกัน

หากเช็กอาการของตนเองแล้วพบว่ามีสัญญาณที่ว่ามาเหล่านี้ เรากำลังเสี่ยงเป็นโรคทางการเงินอย่างแน่นอน ดังนั้นเพื่อเซฟสุขภาพการเงินของตนเอง ควรมีการวางแผนการเงิน และบริหารจัดการเงินให้เหมาะสมกับตนเอง รวมทั้งหมั่นตรวจข้อมูลเครดิตการเงินของตนเองอย่างสม่ำเสมอ

___________________________________________

🔷 แหล่งที่มาของบทความ จาก NCB


#อสังหา #ซื้อบ้าน #ขายบ้าน #เช่าบ้าน #ฝากขาย #นายหน้า #บ้าน #คอนโด

ที่อยู่

Bangkok
10250

เบอร์โทรศัพท์

+66868878890

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ DinoProperty by หมอสวนหลวงผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง DinoProperty by หมอสวนหลวง:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์