Moonlit Books สำนักพิมพ์เล็กๆ ที่จะพาคุณไปสัมผัสเรื่องราวลึกลับสยองขวัญ และจิตใจอันดำมืดของมนุษย์

มาครบทั้ง Sci-fi Horror และ Body Horror เลยค่า❤️
15/07/2022

มาครบทั้ง Sci-fi Horror และ Body Horror เลยค่า❤️

𝙔𝙤𝙪𝙧 𝙈𝙞𝙣𝙙 𝙞𝙨 𝙖 𝙏𝙚𝙧𝙧𝙞𝙗𝙡𝙚 𝙏𝙝𝙞𝙣𝙜 (𝙃𝙖𝙞𝙡𝙚𝙮 𝙋𝙞𝙥𝙚𝙧, 2021)

จริงๆตั้งใจจะรีวิวเรื่องนี้รับเดือน Pride Month ที่ผ่านไปแล้วค่ะ… แต่!! ถ้าไม่ช้าก็ไม่ใช่ป้าแว่นตัวจริง! 😂 ระวังไว้เลยว่าอาจเป็นมนุษย์ต่างดาวที่แฝงมาในร่างป้า ที่จริงแล้วป้าแว่นรู้สึกว่าไม่ต้องรีวิวไซไฟ Lgbtq+ เฉพาะเดือนไพรด์ก็ได้ค่ะ เพราะช่วงนี้มีผลงานไซไฟจากนักเขียนทั้งหน้าใหม่และรุ่นเดอะรุ่นเก๋าที่มีตัวละครหลากหลาย non-binary, trans และ genderless/beyond gender เหนือคำนิยามเพศสภาพอย่างเช่นตัวเอกในเรื่องนี้
.

🙏ก่อนอื่นต้องแจ้งก่อนว่าป้าแว่นไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Lgbtq+ และทฤษฎีเพศสภาพ มีความรู้น้อยมาก ถ้าใช้ศัพท์ผิดพลาดหรือเขียนเรื่องใดผิดไปก็ขออภัยทุกท่านล่วงหน้านะคะ🙏

ป้าแว่นเคยอ่านผลงานเรื่องอื่นๆ ของคุณผู้เขียน Hailey Piper ส่วนมากเป็นแนวสยองขวัญค่ะ เพิ่งมีเรื่องนี้ที่ออกแนวสยองบวกไซไฟถูกใจป้า ในประวัตินักเขียนคุณ Hailey แกเป็น Lgbtq+ แต่งงานมีภรรยาแล้วและพึ่งได้รางวัลหนังสือสยองขวัญ Bram Stoker Award ด้วย เป็นนักเขียนดาวรุ่งมากๆ จุดเด่นคือผลงานเรื่องสั้นขนาดยาวหรือ Novella (เล่มนี้ประมาณ 152 หน้า) ที่เขียนเซ็ตติ้งสร้างบรรยากาศได้สุดยอดมาก อ่านแล้วเหมือนถูกดูดเข้าไปอยู่ในเนื้อเรื่องเลย และภายในเนื้อเรื่องสั้นๆก็สามารถสร้างตัวละครที่มีหลายมิติให้ผู้อ่านรู้สึกมีส่วนร่วม อ่านไปเชียร์ไปจนเหงื่อออกมือ (ใครอ่านอีบุ๊กควรใช้รุ่นกันน้ำค่ะ ฮา) ไม่ต้องพูดถึงพล็อตค่ะ หักมุมจนป้าแว่นหน้าหงายมาแล้ว

🚀🚀 เม้ามอยเนื้อเรื่อง ไม่สปอยล์(มาก) ถ้าเข้าสปอยล์ป้าจะบอกอีกทีค่า 🚀🚀

ตัวเอกของเรื่องชื่อ Alto ซึ่งใช้สรรพนามแทนตัวว่า They/Them อัลโต้เป็น comm specialist หรือผู้เชี่ยวชาญระบบสื่อสารบนยานซึ่งเป็นเซ็ตติ้งของเรื่อง ถ้าใครไม่คุ้นเคยกับตัวละครนอนไบนารี่ (อย่างเช่นป้าแว่น) แรกๆอาจงงเล็กน้อยค่ะเวลาบรรยายตัวเอกแต่ใช้สรรพนามเป็นพหูพจน์ แต่รับรองอ่านไปแล้วจะไหลลื่นค่ะ

อัลโต้เป็นตัวละครที่ป้าแว่นเชียร์มากๆจากใจเพราะอัลโต้เป็น Anxiety โรควิตกกังวลค่ะ เลยต้องไปรับคำปรึกษาจากหมอคนสวยบนยานชื่อคุณหมอเอสเม่ อัลโต้รวบรวมความกล้าจีบหมอจนหมอก็มีใจให้ และเมื่อถึงฉากเลิฟซีนนักอ่านเลยได้รู้ว่า อะแฮ่ม..อะฮ่า..ง่าา.. อัลโต้ได้โมดิฟายร่างกายตัวเองระดับเอ็กซ์ตรีม คือผ่าตัดรวมเนื้อหนังมนุษย์เข้ากับเครื่องจักรจนทำให้อวัยวะบ่งบอกเพศสภาพสามารถปรับเปลี่ยนเป็นเพศใดก็ได้ค่ะ (ตรงจุดนี้ผู้เขียนไม่ได้ทำให้ดูเป็นเรื่องเฟติชหรือเรื่องสยิวกิ้วอะไรเลย ป้าแว่นเลยอยากใช้คำว่าเพศสภาพมากกว่า) อัลโต้เล่าว่ารู้สึกแปลกแยกมาตลอดจนกระทั่งได้ผ่าตัดเปลี่ยนร่างกายเลยรู้สึกว่าได้เป็น “ตัวเอง” อย่างแท้จริง โชคดีที่หมอเอสเม่รับในตัวตนของอัลโต้ได้ แถมมีบอกอีกว่า “เซอร์ไพรส์ดี” 55

จากนั้นก็เริ่มเข้าพาร์ทแอ็คชั่นของเรื่อง เกริ่นก่อนว่าเรื่องนี้มันล้ำมากอย่างที่ตัวการ์ตูนป้าแว่นกรี๊ดกร๊าดในรูปค่ะ คือยานที่อัลโต้อยู่เนี่ยไม่ได้มีแค่เอไอคอมพิวเตอร์ธรรมดา แต่ยังมี “หุ่นคน” (ป้าแว่นเขียนไม่ผิด หุ่นคน ไม่ใช่ หุ่นยนต์) เรียกว่า “Wraith” แปลว่าภูติผี วิญญาณ Wraith คือการนำร่างมนุษย์ที่ตายไปแล้วมาดัดแปลงเชื่อมต่อกับเครื่องจักรให้กลายเป็น “หุ่น” ใช้งานประเภทหนึ่ง โรงงานสร้างของ Wraith นั้นคือสามารถตั้งโปรแกรมได้หลายอย่าง ทำให้เป็นหุ่นสำหรับเอนเตอร์เทนก็ได้ (อันนี้ป้าแว่นก็นึกไม่ออกว่าจะออกมารูปแบบไหน จะออกมาเดี่ยวไมโครโฟนเรอะ) หรือใช้สอยทั่วไปแบบเอาไว้ทำความสะอาดอะไรแบบนี้

ลักษณะของ Wraith บนยานคือจะไม่เห็นใบหน้าส่วนที่เคยเป็นมนุษย์โดยจะมีหน้ากากสีดำสวมอยู่ และลำตัวส่วนล่างเป็นเครื่องจักรเหมือนหางคล้ายงูเพื่อให้หุ่นพวกนี้สามารถเลื้อยไปมาตามช่องทาง Wraith-port ที่มีอยู่ทั่วยานสำหรับทำการซ่อมแซมต่างๆ — ตรงนี้ป้าแว่นชอบมากค่ะ มันมีความ Body horror อ่านแล้วสยอง

เข้าเรื่องซักที… อัลโต้เดินออกมาจากห้องหลังจากนัดเดตกับหมอเอสเม่แล้วก็เจอ Wraith ตัวหนึ่งถูกทำลายนอนกองอยู่ที่พื้น และสิ่งที่อัลโต้เห็นก็คือ ก้อนสมองขนาดใหญ่เท่าลำตัวคนเลื้อยไปมา มีท่อบางอย่างออกมาจากก้อนสมองนั้นและมันก็พยายามจะพันขาอัลโต้ จากนั้นอัลโต้ก็เห็นภาพหลอนน่าสยดสยอง เช่น เห็นแม่น้ำเลือด เห็นภาพยานที่เต็มไปด้วยซากศพ ทำให้รู้ว่าก้อนสมอง (อัลโต้เรียกว่า Brain Beast หรือปีศาจสมอง) นั้นสามารถ hack เข้าระบบประสาทของมนุษย์ได้ อัลโต้ผู้มีร่างกายเป็นเครื่องจักรส่วนหนึ่งเลยสามารถป้องกันการแฮ็คระบบและจัดการกับปีศาจสมองตัวนั้นสำเร็จ

‼️❗️ต่อไปจะมีสปอยล์นะคะ ใครที่จะตามอ่านเล่มนี้ให้ข้ามไปเลย❗️‼️
🌈🌈 ปลอดสปอยล์แล้วป้าแว่นจะใส่เครื่องหมายสายรุ้งให้เน้อ 🌈🌈

ยานที่อัลโต้อยู่นี้ชื่อว่า “Yellow Jacket” มีลักษณะเหมือนรถไฟในโลกยุคโบราณ (ก็คือรถไฟปัจจุบันนี่แหละค่ะ ในเนื้อเรื่องเป็นยุคอนาคตไฮเทคจนไม่มีรถไฟแล้ว) อัลโต้อยู่ในส่วนที่เป็นตู้โบกี้หรือเรียกว่า Pod ด้านท้ายยานและต้องหาทางไปยังส่วนหน้ายานเพื่อตามหาหมอเอสเม่และเจ้าหน้าที่ยานคนอื่นๆ

ระหว่างทางอัลโต้ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นในหัวจากสิ่งที่เรียกตัวเองว่า “The Messenger” ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าเป็นการแฮ็คจากพวกปีศาจสมอง แต่เสียงนั้นกลับบอกว่าตัวเองไม่ใช่การแฮ็คหรือคลื่นรบกวนในสมอง และบอกว่า “I am the dark” (ป้าแว่นอ่านตอนกลางคืนแล้วหลอนเลยค่ะ ต้องอ่านให้เป็นเสียงแบทแมนจะได้ขำหน่อย แหะๆ) อัลโต้เริ่มรู้แล้วว่าเดอะเมสเซนเจอร์นี่น่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดบนยาน เมื่อถามกลับไปว่าถ้าเป็น “ผู้นำสาส์น” แสดงว่าต้องมี “สาส์น” น่ะสิ คำตอบที่ได้กลับมาคือ “สาส์นนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะมอบให้ได้ แต่ต้องรับรู้ด้วยตนเอง”

เมื่อศัตรูเป็นอะไรที่นามธรรมจับตัวไม่ได้ลอยเป็นคลื่นอยู่ในอากาศแบบนี้ อัลโต้เลยตัดสินใจแฮ็คตัวเองด้วยการเอาท่อเชื่อมเส้นประสาทที่ใช้กับพวก Wraith มาเสียบเข้าไปในแขนและเนื้อหนังของตนซะเลย เนื่องจากร่างกายเป็นจักรกลส่วนหนึ่งอยู่แล้วก็เลยใช้วิธีนี้เจาะระบบเดอะเมสเซนเจอร์ได้ — ตอนนี้อัลโต้เท่มากและตลกด้วย มีการบ่นว่าหลังจากนี้ค่อยผ่าตัดเอาสายเชื่อมออก เสียตังค์แน่ๆ

ถ้าสปอยล์มากไปกว่านี้ก็เฉลยตอนจบของเรื่องแล้วค่ะ😂 แต่ป้าแว่นขอทิ้งท้ายว่านอกจากจะไซไฟและสยองแล้ว มันมีองค์ประกอบของเลิฟคราฟเที่ยนมากๆ โดยเฉพาะเดอะเมสเซนเจอร์ที่ทิ้งไว้ให้คิดว่าเป็นอะไรและมาจากไหน

🌈🌈 ปลอดสปอยล์แล้ว อ่านได้ค่าา 🌈🌈

นอกจากความแอ็คชั่นแล้วที่ป้าแว่นชอบมากๆในเรื่องก็คือการที่อัลโต้บรรยายอาการ anxiety ของตัวเองค่ะ คือจะบรรยายว่าเหมือนกับมีหิมะตกในสมองซีกที่ไม่ดี (Inner snow from the bad side of the brain) ทำให้บดบังความคิด การตัดสินใจอะไรต่างๆ ตรงนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่คุณนักเขียนเอามาใช้ในพล็อตด้วยคือทำให้อัลโต้สงสัยว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริงหรือภาพหลอน

ส่วนที่อ่านแล้วอยากจะให้ผู้เขียนเอามาเล่าต่อคือที่ไปที่มาของ Wraith ค่ะ แบบไปเอาร่างเค้ามาญาติๆไม่ว่ารึ หรือว่าเป็นการทำสัญญาซื้อขายกับเจ้าตัวไว้ก่อนตาย…

ในตอนหนึ่งอัลโต้ผู้มีร่างครึ่งจักรกลได้อธิบายไว้ว่า “จิตใจมนุษย์เหมือนมีเศษแก้วอยู่ข้างใน แค่เขย่านิดเดียวก็ทำให้ตัวเองเป็นแผลแล้ว — แต่การที่มีเศษแก้วนี่แหล่ะคือการที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ล่ะ”

จบการรีวิวสามหน้าเอสี่เพียงเท่านี้ค่า

— รักคนอ่าน จากป้าแว่น หวังโคสิกัน —

ขอกำลังใจช่วยกดไลค์กดแชร์สู้กับพี่มาร์กซักเกอร์เบิร์กด้วยนะคะ🥲 (เหรอพี่มาร์กนี่แหละเดอะเมสเซนเจอร์! มาแฮ็คยอดรีชป้า ฮืออ..) /ไหว้งามๆ หรือใครมีคำแนะนำให้ป้าแว่นย้ายไปแพลตฟอร์มไหนก็เม้นต์กันมาได้ค่า ว่าจะย้ายตามเพจคุณน้อง แกเคยอ่านเล่มนี้ยัง ไปอินสตาแกรมแล้วว (ไปกดไลค์เพจกันน้า คุณน้องขยันรีวิวกว่าป้ามากมาย 55)

นักอ่านสายสยองสุดขีดเชิญทางนี้😖 ป้าแว่นไปเจอ Extreme horror ที่โหดมาก มากๆๆๆ มาค่ะ ผู้เขียนเป็นนักฟิสิกส์เชิงทดลองผู้มาเ...
08/06/2022

นักอ่านสายสยองสุดขีดเชิญทางนี้😖 ป้าแว่นไปเจอ Extreme horror ที่โหดมาก มากๆๆๆ มาค่ะ ผู้เขียนเป็นนักฟิสิกส์เชิงทดลองผู้มาเขียนนิยายสายสยองขวัญ ในรีวิวนี้ใส่ Trigger warning ไว้แล้ว แต่ถ้าใครไม่ใช่แนวเลื่อนไปอ่านแต่ตรงที่มีอิโมจิสายรุ้งได้นะคะ

𝕖𝕩𝕠𝕤𝕜𝕖𝕝𝕖𝕥𝕠𝕟 (𝕤𝕙𝕒𝕟𝕖 𝕤𝕥𝕒𝕕𝕝𝕖𝕣, 𝟚𝟘𝟙𝟚)

ปะ ปะ ป้าแว่นกลับมาแล้วค่ะ ป้ายังไม่ตาย /ยื่นมือให้ทุกคนจับชีพจรแล้วหยิกได้คนละที😂 กลับมาด้วยรีวิวสามหน้าเอสี่เช่นเคย
โทษฐานที่หายไปนานนน (+น.หนูหลายๆตัว ฮืออ…) คราวนี้เลยกลับมาพร้อมด้วยรีวิวหนังสือ Extreme horror ที่โหดทะลุเลเวลจนมีวงเดธเมทัลเอาฉากจากเรื่องนี้ไปแต่งเพลงและทำมิวสิกวิดีโอ :: ชื่อวง Severe Lacerations จากประเทศอังกฤษ ป้าแว่นผู้ไม่สันทัดเรื่องเมทัลไปกูเกิ้ลมาธีมของวงคือ Horror, Pain and Suffering ค่ะ ใครเป็นแฟนเพลงเมทัลหรืออยากลองฟังให้เสิร์ชชื่อเพลง Red Wraith ดูน้า แต่ถ้าจะเข้าไปดูมิวสิกวิดีโอในยูทูปป้าต้องเตือนก่อนว่า ❗️☠️TRIGGER WARNING☠️❗️มีภาพที่โหดร้ายรุนแรงและภาพการทรมานค่ะ …ตั้งแต่เขียนรีวิวมารอบนี้ป้าน่าจะใช้อิโมจิทริกเกอร์วอร์นนิ่งเปลืองที่สุดแล้ว แหะๆ

ที่หยิบเล่มนี้มาอ่านไม่ใช่เพราะว่าป้าแว่นชอบอะไรโหดๆ จิตๆ อย่างเดียวนะคะ🥺👉👈 ง่า…รีวิวในกู้ดรีดส์ให้คะแนน 4 ดาว ส่วน Amazon ให้ 4.4 ดาวแน่ะ! เท่าที่ดูส่วนมากเป็นพวกอยากลองของเหมือนป้าแล้วคิดว่าพล็อตเรื่องคงเป็นแบบหนังจับมาเชือดทรมาน อย่างพวก Saw, Hostel, มนุษย์ตะขาบอะไรพวกนี้ แต่อ่านไปอ่านมาคนเขียนวางเรื่องน่าติดตามเลยล่ะ ลุ้นไปตลอดเล่ม และที่สำคัญสำหรับคอไซไฟ คุณ Shane Stadler ผู้เขียนแกเป็นด็อกเตอร์ด้าน Experimental physics หรือฟิสิกส์เชิงทดลองตัวจริงเสียงจริง ยิ่งอยากรู้ว่าเรื่องมันจะออกมาเป็นยังไง

‼️Trigger Warning อีกครั้ง เดี๋ยวป้าแว่นจะเล่าพล็อตเรื่องคร่าวๆแบบไม่ลงรายละเอียดโหดๆ(พอเข้าสปอยล์โหดๆแล้วจะเตือนอีกที)‼️(เหรอข้ามไปอ่านตอนมีสัญลักษณ์สายรุ้งเลยก็ได้ค่า🌈)

ตามมาฟังป้าแว่นเม้ากันเลยค่า~~

เปิดเรื่องมาไม่มีเกริ่นอะไรเลย พระเอกของเราชื่อวิลเลียม ทอมป์สันหรือเรียกสั้นๆ ว่าวิล เป็นนักโทษที่กำลังอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ เขาถูกย้ายไปยังเรือนจำพิเศษที่มีชื่อเรียกกันว่า Red Box ตำรวจที่คุมตัววิลมาส่งก็ยังไม่รู้ว่าในเรดบ็อกซ์นี่เป็นยังไง ทำไมวิลถึงถูกย้าย แต่ทุกคนแสดงความรังเกียจเขาอย่างชัดเจน จ้องหน้าเตรียมหยุมหัววิลตลอดเวลา

เมื่อมาถึงเรดบ็อกซ์ แทนที่วิลจะเจอกับตำรวจผู้คุมนักโทษเหมือนเรือนจำทั่วไป คนที่ออกมารับเขากลับเป็นกลุ่มคนที่ดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์แทน ตอนนี้เลยเฉลยว่าวิลนั้นจริงๆแล้วต้องรับโทษ 12 ปี แต่ถ้าเขาทำตามเงื่อนไขมาอยู่ที่เรดบ็อกซ์เป็นเวลา 1 ปีก็จะได้รับอิสรภาพเลย เขาจึงเลือกมาที่นี่โดยคิดว่าในหนึ่งปีคงจะต้องทำงานใช้แรงงานหนักหรือทำงานอะไรที่มีความเสี่ยง (ตอนป้าอ่านแรกๆก็คิดประมาณนี้ค่ะ แอบคิดว่าจะโดนใช้ให้ขับหุ่นยนต์ไปสู้กับเอเลี่ยนรึเปล่าเพราะชื่อเรื่อง Exoskeleton มันพาลให้นึกถึงเกราะหุ่นเหล็ก …อาา ช่างไร้เดียงสายิ่งนักป้าเอ๊ยย ยังไม่ได้กลิ่นคาวเลือดอีก)

การเล่าเรื่องจากนี้จะเป็นตอนๆโดยผู้เขียนใส่ว่าเป็นวันไหน นับจาก Day Zero คือวันแรกที่วิลเข้าไปอยู่ในเรดบ็อกซ์ กระบวนการแรกของที่นี่คือเปลี่ยนชื่อเขาจากวิลเลียม ทอมป์สันเป็น “หมายเลข 523” ราวกับเขาเป็นสิ่งของอย่างหนึ่งไม่ใช่เป็นมนุษย์ และยังทำให้วิลเริ่มนึกถึงนักโทษหมายเลขอื่นๆ ที่มาก่อนหน้าว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านั้น จากนั้นวิลก็ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ เช่น โอนทรัพย์สินทั้งหมดของเขาให้กับรัฐบาล, ประเมินสุขภาพจิต และที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับโครงการนี้ก็คือตอนที่เจ้าหน้าที่พานักโทษที่พ้นโทษไปแล้วคนหนึ่งมาให้เจอ อดีตนักโทษคนนั้นมีดวงตาเลื่อนลอยไร้วิญญาณและดูเหมือนคนสติไม่ดี จนท.บอกกับเขาว่านักโทษทุกคนที่ออกจากเรดบ็อกซ์ไม่เคยกลับมาทำผิดอีกเลย มีแค่คนเดียวที่เคยออกไปแล้วก่อคดีใหม่แต่พอรู้ว่าต้องกลับมาที่นี่เขาก็ฆ่าตัวตายทันที (ป้าแว่นกรีดร้องว่า หนีไปวิลลล หนีปัยยยยยยย!!!)

ระหว่างที่เราลุ้นไปกับชะตากรรมของหนุ่มวิล เรื่องก็สลับไปเล่าถึงตัวละครหลักอีกกลุ่มคือโจนาธาน ผู้ก่อตั้ง DNA Foundation ซึ่งเป็นมูลนิธิช่วยเหลือนักโทษที่ตกเป็นแพะในคดีที่ไม่โปร่งใส เมื่อโจนาธานและเดนิส ทนายสาวผู้ช่วยได้รับข่าวเรื่องคดีของวิล พวกเขาเอะใจว่าทำไมตำรวจทำดีเอ็นเอหลักฐานสำคัญหายไป จึงเริ่มเข้ามาสืบคดีนี้ พอสืบไปเรื่อยๆก็เห็นความไม่ชอบมาพากลของ “เรดบ็อกซ์”

‼️❗️☠️ TRIGGER/SPOILER WARNING: ตอนนี้จะสปอยล์เรื่องและเล่าถึงความโหดในคุกแล้วนะคะ ใครแพ้เลือดข้ามไปโลดเลยค่า ☠️❗️‼️

🌈🌈ปลอดสปอยล์/เลือด แล้วป้าแว่นจะใส่สัญลักษณ์สายรุ้งว่าอ่านต่อได้นะคะ🌈🌈

:: ง่าา ตั้งแต่ป้าแว่นอ่านหนังสือสาย Extreme horror มา มีเล่มนี้ที่พูดได้เลยว่าต้องอ่านไปดมยาดมไปจริงๆ คือแบบมันคลื่นไส้ไม่ได้กระแดะค่ะ คนรีวิวเมืองนอกก็บอกกันว่า ฮ่วย physically ill จริงๆ อารมณ์แบบดูหนังแล้วต้องวิ่งออกจากโรง คือถ้าคุณคนเขียนจะบรรยายซะขนาดนี้ก็แนบถุงอ้วกแปะมากับหนังสือเต๊อะ คีย์เวิร์ดของมันคือการทรมานค่ะ!!

พอผ่านขั้นตอนเอกสารต่างๆแล้ว ความหายนะก็เริ่มขึ้น คือวิลถูกพาไปเก็บตัวอย่างเลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ …โดยทุกขั้นตอนทำโดยไม่มียาชาและใช้ paralyzing agent หรือยาที่ทำให้เขาขยับไม่ได้แต่ยังคงรู้สึกทุกอย่าง หมอและเจ้าหน้าที่จับวิลมัดบนเตียงเชือด เอ๊ย เตียงเหล็ก แล้วยัยหมอโรคจิตในเรื่องก็ใจดีอธิบายทุกอย่างว่าจะทำอะไรบ้าง แค่ช็อตเจาะเลือดซีนแรกคนเขียนก็บรรยายซะจนเห็นเลือดค่อยๆวิ่งออกจากแขนไปตามสาย เข็มเบอร์ใหญ่แทงเนื้อจะๆ จากนั้นหมอคนสวยก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ต่อไปจะเก็บตัวอย่าง Deep tissue ละน้า” นะ นะ เนื้อเยื่อส่วนลึกเหรอ… ตอนนี้วิลขยับตัวไม่ได้แล้ว หมอพูดต่อว่า “อย่างแรกเก็บตัวอย่างกล้ามเนื้อก่อน แล้วค่อยไปไขกระดูก เนื้อเยื่อปอด กระดูก สุดท้ายก็น้ำในไขสันหลัง” …คนเขียนบรรยายทั้งหมดนี้ราวกับตำราแพทย์อยู่สิบกว่าหน้าค่ะ บอกเลยว่าจะเป็นลมจริงๆ… ใจความมีแค่นี้แต่ถ้าใครสงสัยอยากลองอ่านพอหอมปากหอมคอด้วยกลิ่นเลือดเดี๋ยวอ่านหลังเซ็นเซอร์นะคะ######################################################################################################################################################xxหมอเอาเข็มเจาะเข้าที่กล้ามเนื้อต้นขาของวิลลึกสองนิ้ว (บอกแล้วว่าบรรยายครบทุกเม็ด ฮืออ) แล้วค่อยๆใช้เครื่องมือเลาะเข้าไปดึงเส้นเอ็นออกมาจนวิลได้ยินเสียงเอ็นขาด แล้วหมอก็เอาเอ็นชุ่มเลือดมาโชว์วิลที่ขยับไม่ได้ พอเขากำลังจะสลบไป เจ้าหน้าที่ก็เอาผ้าชุบน้ำมาวางบนหน้าให้ฟื้นขึ้นมารับชะตากรรมต่อ แล้วก็ต่อด้วยการเจาะไขสันหลัง ง่าา ป้าแว่นขออนุญาตให้ทุกคนจินตนาการที่เหลือเองนะคะ ยังไม่จบแค่นี้ เดี๋ยวมีต่ออีกเยอะ

ยัยหมอโรคจิตจับวิลทรมานขนาดนี้แล้วก็ไม่ต้องเก็บความลับอะไรกันอีก หนึ่งในข้อมูลที่พวกนักวิทยาศาสตร์ต้องการก็คือนักโทษหรือหนูทดลองแต่ละคนสามารถทนความเจ็บปวดได้แค่ไหน วิลถูกส่งไปหาหมอฟัน โดยหมอฟันซึ่งเป็นลุงแก่ๆ คล้ายลุงเคเอฟซีบอกว่าบริเวณฟันและกรามของมนุษย์มีกลุ่มปลายประสาทอยู่มากที่สุด สมควรแก่การทดลองอย่างยิ่ง แล้วลุงเคเอฟซีก็จับวิลมัดกับเก้าอี้ทำฟันแล้วก็เริ่มทำฟันสดๆโนยาชา #############################################################################################xxฉากตอนนี้มีทั้งใช้สว่านเจาะเข้าไปในรากฟันกราม ผ่าฟันคุดสดๆโดยผ่าจากนอกเหงือก ทั้งหมดไม่ใช้ยาชา และอธิบายละเอียด..ละเอียดสุดๆ

ในที่สุดก็เฉลยแล้วว่าทั้งหมดนี่ทำเพื่ออะไร นักโทษที่เรดบ็อกซ์จะถูกจับใส่ใน Exoskeleton เป็นเวลาหนึ่งปีโดยไม่ได้ออกมาเลย และภายในชุดเหล็กนั้นก็มีเครื่องมือต่างๆที่เอาไว้ทดลองความสามารถในการทนต่อความเจ็บปวดของนักโทษแต่ละคน พูดง่ายๆ คือเอานักโทษมาทดลองทางวิทยาศาสตร์แบบวิปริตนี่เอง (ป้าแว่นนึกถึงการทดลองโหดๆ ของนาซีและทหารญี่ปุ่น) ถ้าใครสนใจอยากไปต่อว่าใช้วิธีอะไรบ้างเชิญติดตามหลังเซ็นเซอร์ค่ะ#############################################################################################ตอนที่วิลถูกจับใส่เกราะเขาโดนเจาะกระโหลกซ้ายขวาเพื่อให้ขันน็อตเข้าไปในส่วนหัวได้ (โนยาชาทั้งเรื่องเช่นเคย) และการรับประทานอาหาร หรือควรจะเรียกว่าการให้อาหารมากกว่า ทำโดยสอดท่อเข้าไปในปากแล้วให้อาหารเหลวราวกับเขาเป็นปศุสัตว์ ถ้ากลืนไม่ทันก็สำลักเจียนตาย ทุกวันจะเริ่มด้วยการถามว่านักโทษยอมสารภาพหรือไม่ เนื่องจากวิลยังคงยืนยันว่าเขาไม่ได้ทำผิด เมื่อวิลไม่สารภาพก็จะเริ่มการทรมาน เช่น ในชุดเหล็กตรงส่วนมือมีเหล็กแหลมทิ่มแทงเข้าไปในนิ้วทั้งสิบจนเข้าไปถึงฐานเล็บ ชุดงอในองศาผิดธรรมชาติจนกระดูกหัก ทุกครั้งมีหมออยู่ด้วย แต่เพื่อทำให้วิลฟื้นจากสลบมารับโทษต่อและดูแค่ไม่ให้เขาตาย บางวันเขาถูกย้ายไปในห้องโล่งๆ แล้วจู่ๆ ก็มีน้ำท่วมขึ้นมาในห้องจนมิดหัว เมื่อสำลักน้ำก็ลด ทำไปเรื่อยๆจนวิลเริ่มอยากตาย ที่ป้าแว่นว่าโหดจัดคือโดนจับเข้าห้อง Hypobaric chamber หรือห้องปรับความดันจนเลือดไหลออกตาจมูกปาก ….แล้วก็มีทรมานเรื่องฟันไม่จบไม่สิ้น ฮืออ คุณคนเขียน!! ตอนเด็กๆมีปมหมอฟันใช่มั้ย!!?

ทั้งหมดนี้เป็นการทดลองที่รัฐบาลกลางไม่รู้และมีความเกี่ยวเนื่องกับนาซีด้วย — ป้าขอสปอยล์แค่นี้ เดี๋ยวถูกฟ้อง แหะๆ อันนี้เป็นเล่มหนึ่งในซีรี่ส์นะคะ ทั้งหมดมีสามเล่ม ป้าแว่นซื้อเล่มสองมาแล้วแต่ยังไม่กล้าอ่าน

🌈🌈 ปลอดสปอยล์ ปลอดเลือดแล้วค่าา อ่านได้ๆๆๆ 🌈🌈

ถ้าถามว่าชอบเรื่องนี้มั้ย ป้าแว่นชอบนะคะ ถึงจะมีคนรีวิวไม่ชอบเยอะเพราะบอกว่ามันคือ Torture p**n แบบหนังเกรดบี แต่ป้าชอบตรงการเล่าสลับไปมาระหว่างวิลกับกลุ่มทนายที่พยายามจะรวบรวมหลักฐานช่วย โดยเฉพาะพาร์ททนายสาวออกตามล่าหาความจริงเนี่ย มันได้อารมณ์แบบหนังสือแดนบราวน์ดาวินชี่โค้ดมาก คือจะเล่าเรื่องอย่างรวดเร็ว เน้นแอ็คชั่น บทพูดกระชับ — จะว่าไปตอนที่เล่าเรื่องแบบยืดๆในเรื่องก็มีแค่ตอนฉากโหดๆ ชะตากรรมวิลในคุกนี่แหล่ะ นอกจากนั้นถือว่าเป็น Thriller ที่ดำเนินเรื่องเร็ว และการปูเรื่องแบบไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระเอกก็หลอกล่อให้เราอยากเปิดอ่านตอนต่อไปเรื่อยๆ

ด้านบนตรงที่มีสปอยล์ป้าบอกไปแล้วว่ามีสามเล่ม แต่ยังไม่กล้าอ่านเล่มต่อ แฮร่ ตามสไตล์รีวิวป้าแว่นถึงจะเขียนว่าสปอยล์ก็ไม่ได้เล่าหมด กลัวโดนคุณนักเขียนพาไปออกโหนกระแส ขอกระซิบว่ามันค่อนข้างหักมุมจากที่คิดตอนแรกเยอะอยู่ คือตอนอ่านเราก็เดาไปเรื่อยๆ ว่าพระเอกโดนจับมาเข้าคุกทำไม ตัวร้ายต้องการอะไร อุตส่าห์นึกว่ามาถูกทางแล้วแต่ก็เหวอตอนจบ ฮาา

ใครที่จะตามอ่านขอให้เปิดใจอ่านแบบคิดว่าเป็น Scifi/Horror/Thriller สายเอ็นเตอร์เทนนะคะ บทพูดอาจจะไม่ได้ระดับพูลิตเซอร์นัก เน้นความแอ็คชั่น เน้นพล็อต …และเน้นความโหด มาก… มากๆๆๆ

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านรีวิวป้าแว่นและขอโทษที่ป้าอ่านแต่อะไรแบบนี้นะคะ🥹🙏 ฮืออ อย่าทิ้งกันน้า อ่านแต่ตรงที่มีสายรุ้งก็ได้

— รักคนอ่าน ฝากกดไลค์กดแชร์สู้กับอัลกอริธึ่มใหม่พี่มาร์คด้วยนะคะ ได้ข่าวว่าลดการมองเห็นอีกแล้ว(เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย🥲) —

ป้าแว่น หวังโคสิกัน

เห็นปกแล้วไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรื่องสยองค่ะ (ฮืออ น้องเม่นน่ารัก) ป้าแว่นเห็นรีวิวว่าผลงานเล่มอื่นๆของผู้เขียนก็ออกแนววรรณ...
11/02/2022

เห็นปกแล้วไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรื่องสยองค่ะ (ฮืออ น้องเม่นน่ารัก) ป้าแว่นเห็นรีวิวว่าผลงานเล่มอื่นๆของผู้เขียนก็ออกแนววรรณกรรมอยู่ แต่สำหรับเรื่องนี้ในกรุ๊ป horror ที่ป้าแว่นสิงอยู่ทุกคนบอกว่ามันสยองขวัญชัดๆ เนื้อเรื่องมีความเป็นวรรณกรรมตีแผ่ความชั่วร้ายในสังคม แต่..แต่… มันมีฉากสยองจริงๆค่ะ😱 ไม่จกตา ป้ายังตัวสั่นๆไม่หาย และด้วยความที่มีเนื้อหา child abuse เลยขอใส่ทริกเกอร์ไว้ด้วยค่ะ

อ่านเล่มนี้แล้วเข้าใจถึงความสำคัญของ trigger warning จริงๆ เพราะอย่างป้าแว่นอ่านเอเลี่ยนกินคนได้ (ฟินด้วย 55) แต่พอมาเจอ child abuse นี่จิตตกเลย.. ต่อไปถ้ารีวิวป้าแว่นผิดพลาดยังไงตักเตือนได้นะคะ แล้วก็ช่วงนี้ใครอ่านอะไรสนุกๆก็มาเม้ากันได้น้า~ ป้าแว่นเหงา

𝗘𝗮𝗿𝘁𝗵𝗹𝗶𝗻𝗴𝘀 (𝗦𝗮𝘆𝗮𝗸𝗮 𝗠𝘂𝗿𝗮𝘁𝗮, 𝟮𝟬𝟭𝟴)
(English translation: Ginny Tapley Takemori, 2020)

❌Trigger Warning: รีวิวนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและเนื้อหาความรุนแรงอื่นๆ ไม่เหมาะกับเยาวชนนะคะ❌ 😱

ป้าแว่นเดินเซเมาหมัดมาหาเพื่อนๆนักอ่านแล้วค่า โอยย.. นี่มันอะไรกัน.. หนังสือหน้าปกน้อนเม่นน้อยเล่นเอาซะป้าเกือบไม่รอบ แทบจะเขวี้ยงลงพื้นราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาตอนอ่านไปได้ประมาณสองบทแรก (ใครที่อ่านแล้วตายอยู่แถวๆ บทนี้ขอกระซิบว่าพอพ้นตรงนี้ไปได้มันจะดีขึ้นในระดับหนึ่ง ฮืออ)

⚠️ นอกจากเด็กและเยาวชนแล้วก็อยากเตือนใครที่สภาพจิตใจกำลังดิ่งหรือหดหู่อยู่ว่ายังไม่ควรอ่านนะคะ🥺 ป้าแว่นผู้ฝักใฝ่ในเอเลี่ยน ซอมบี้ ฆาตกรโรคจิต ซาละเปาเนื้อคน (บอกอายุ..) ตอนนี้ก็ยังทรุดอยู่ คือ ง่า ใจความที่ผู้เขียนสื่อมันดีค่ะ เป็นการตีแผ่ปัญหาสังคมญี่ปุ่น, ความรุนแรงในครอบครัว etc. แต่การเล่าเรื่องมันแรงมาก หดหู่มาก แถมมีทริกเกอร์ child abuse อีก (แต่ตรงนี้ป้าไม่ไหวจริงๆ)

ป้าแว่นจะพยายามรีวิว (กึ่งสปอยล์) แบบไม่ให้ติดเรทโดยจะพยายามเก็บเนื้อหาให้ได้มากที่สุดนะคะ

เนื้อเรื่องย่อ: เปิดเรื่องมา น้องนางเอกชื่อ นัตสึกิ ซาซาโมโตะ เดินทางไปเยี่ยมบ้านคุณปู่คุณย่าที่จังหวัดอาคิชินะ นัตซึกิอายุ 11 ปี อยู่ชั้นป.5 เธอมีพี่สาวหนึ่งคนชื่อคิเสะ อายุ 13 ปี เริ่มต้นมาก็รับรู้ได้ถึงความมืดหม่นในชีวิตน้องเพราะพ่อแม่เอาอกเอาใจแต่พี่สาวและคอยดุด่าว่ากล่าวเธอตลอด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพี่สาวร่างกายไม่แข็งแรงป่วยบ่อย และนัตสึกิเองก็เป็นเด็กค่อนข้างแปลกคือเธอเชื่อว่าตัวเองเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ค่ะ (ตรงนี้แปลภาษาอังกฤษใช้คำว่า Magician แต่ป้าแอบไปอ่านตัวอย่างในเว็บอะเมซอนญี่ปุ่นเห็นเค้าใช้ว่า 魔法少女 mahou-shoujo เลยขออนุญาตเขียนว่าสาวน้อยเวทมนตร์แทน จะได้ดูเป็นแนวการ์ตูนญี่ปุ่นกว่า แฮร่)

เธอใช้พลังพิเศษนี้ในการสู้กับศัตรูและปกป้องโลก นอกจากนี้นัตสึกิยังมีตุ๊กตาเม่นชื่อ Piyyut (ピュート จากนี้จะขอเขียนว่าน้องพิวโตะ) ซึ่งเธอบอกว่าเป็นทูตมาจากดาว Popinpobopia และพิวโตะได้มอบคฆาและกระจกเวทมนตร์ให้เธอด้วย ฮืออ เด็กน้อยไร้เดียงสา..

เรื่องทั้งหมดนี้นัตสึกิไม่เคยเล่าให้ใครฟังนอกจาก ยู ซาซาโมโตะ ลูกชายของอาแท้ๆ ซึ่งเขาก็บอกความลับกับเธอว่าเขาเองก็เป็นมนุษย์ต่างดาวที่ถูกยานแม่ทิ้งไว้บนโลกและรอให้ยานมารับกลับ — ในขณะที่นัตสึกิถูกแม่ดุด่าทุกวัน ยูเองก็ถูกแม่ของเขาบงการชีวิตตลอดเวลาถึงขั้นบังคับให้เรียกแม่ด้วยชื่อจริงว่ามิตสึโกะ — ทั้งคู่ (เจ้าเด็กว้อยย!!) เลยตัดสินจะว่าจะแต่งงานกันโดยมีพิวโตะทำพิธีให้ เอาขดลวดมาทำแหวนเด็กเล่นใส่ …พอสวมแหวนเสร็จยูก็บอกว่าตอนนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วใช่มั้ย ดีใจจัง เพราะเวลาแม่ของเขาโกรธก็จะขู่ไล่เขาออกจากบ้าน ตอนนี้เขาไม่ต้องกลัวเพราะมีครอบครัวใหม่แล้ว (โฮวว ป้าแว่นเกือบร้องไห้ TwT ชีวิตดาร์กจริงๆลูกเอ๊ย..) ยูยังให้นัตสึกิสัญญาว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องเอาชีวิตรอดเพื่อกลับมาเจอกันให้ได้ (Survive, whatever it takes.)

ครอบครัวนัตสึกิกลับมาบ้านในเมืองชิบะ ในวันแรกที่เธอไปเรียนกวดวิชานัตสึกิก็ถูกแม่ดุด่าอย่างแรงว่าทำไมใส่เสื้อสีดำไป เหมือนจะไปงานศพ ชอบทำตัวให้ครอบครัวอับอายขายหน้า ไม่เคยทำตัวดีอย่างลูกป้าข้างบ้านเล้ยย พอไปถึงโรงเรียนเธอก็เจอเพื่อนๆที่สนิทกัน คุยกันสนุกสนาน โดยเฉพาะเรื่องครูสอนพิเศษหนุ่มจากมหาลัยชื่อดังที่เด็กสาวกรี๊ดกันมาก พอเรียนเสร็จกำลังจะเตรียมตัวกลับบ้านครูก็เรียกให้นัตสึกิอยู่ช่วยเก็บของ แล้วความจริงก็เปิดเผยว่าที่เธอใส่เสื้อดำก็เพราะครูชอบทักเรื่องสีเสื้อชั้นในของเธอ… (ใครไม่ไหวอ่านแค่นี้พอนะคะ คือตอนอ่านมันเครียดจะอ้วกจริงๆ🤢)

‼️‼️ สปอยล์เล็กน้อย(?)สไตล์ป้าแว่น ใครจะอ่านเล่มนี้ให้หนีปัยยย ‼️‼️

🌈🌈 เดี๋ยวปลอดสปอยล์แล้วจะใส่สัญลักษณ์สายรุ้งให้ค่า 🌈🌈

เทอมหน้านัตสึกิจะขึ้น ป.6 แล้ว ไอ่ครู %$ # ก็ยังรังควานเธอไม่หยุดและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเธอทนไม่ไหวไปเล่าให้แม่ฟัง อิแม่ก็ด่าลูกค่ะ!! ด่าว่านังเด็กจิตใจต่ำช้า คิดลามกไปเอง แม่โมโหถึงขั้นถอดรองเท้าแตะมาฟาดนัตสึกิ ระหว่างนั้นเธอก็ได้แต่กำมือไว้และพยายามใช้เวทมนตร์ทำให้ตัวเองไร้ความรู้สึก (ในหนังสือใช้คำว่า “ปิดสวิตช์หัวใจ” T__T) และจำสัญญาที่ให้ไว้กับยู

วันหนึ่งไอ้ครูหลอกให้นัตสึกิไปหาที่บ้าน..และขู่ให้เธอมาหาเขาอีก โชคดีหรือโชคร้าย ก่อนที่นัตสึกิจะโดนครูลากกลับไป ทางบ้านนอกก็ส่งข่าวมาว่าคุณปู่เสียแล้วให้ญาติๆทุกคนไปงานศพที่อาคิชินะ หลังเสร็จพิธีนัตสึกิเรียกยูออกไปหาในป่าและบอกว่าอยากเป็นสามีภรรยา “จริงๆ” กัน เพราะเธอกลัวว่าเมื่อกลับไปแล้วจะโดนครูฆ่าเลยอยากรักษาสัญญา แล้วเด็กทั้งสองก็ ง่า​ ได้เป็นสามีภรรยากัน แต่ระหว่างนั้นพี่สาวของนัตสึกิก็พาญาติออกมาเจอ ทำให้ทุกคนตกใจบ้านแตก และนัตสึกิก็ถูกสั่งไม่ให้ติดต่อกับยูอีกเลย

หลังจากนั้นเรื่องก็ตัดไปถึงตอนที่นัตสึกิอายุ 34 ปี ตอนนี้เธอแต่งงานแล้ว แต่..แต่!! เธอได้แต่งงานจากการหาคู่ผ่านเว็บไซต์สำหรับคนที่ไม่ต้องการคู่ชีวิตตามขนบสังคม สามีของเธอเป็นผู้ชายที่มีปมเรื่องแม่คือเขาต้องอาบน้ำกับแม่จนอายุสิบห้าเขาเลยเกลียดร่างกายผู้หญิงสามมิติ ทั้งคู่ใช้ชีวิตเหมือนเป็นรูมเมทกันคือแยกห้องกันนอน โทโมยะ สามี ก็มีห้องที่เอาไว้เก็บฟิกเกอร์หุ่นยนต์ และแน่นอนทั้งคู่ไม่มีความสัมพันธ์แบบสามีภรรยา จับมือยังไม่มี

และแล้วก็มีบทย้อนอดีตไปถึงตอนที่นัตสึกิถูกไล่กลับมาจากบ้านคุณปู่ครั้งนั้น เมื่อมาถึงชิบะ ไอ้ครูก็โทรมาหาแม่ของเธอและบอกว่าจะติวพิเศษให้นัตสึกิโดยให้เธอไปหาที่บ้านของเขา คืนนั้นพิวโตะก็บอกกับนัตสึกิว่าครูถูกแม่มดร้ายเข้าสิงและเธอต้องใช้เวทมนตร์กำจัดแม่มด …และคืนนั้นครูก็ถูกฆ่าตาย (อย่างโหดเหี้ยมมากก) จากนั้นพิวโตะก็ไม่พูดกับนัตสึกิอีกเลย

ย้อนกลับมายังปัจจุบัน //เพราะจะสามหน้าเอสี่แล้วจ้า ป้าแว่นรีบสรุปด่วนๆๆ😂// โทโมยะขอไปเที่ยวบ้านคุณปู่ที่อาคิชินะ ตอนนี้ยูก็เป็นคนที่เฝ้าบ้านอยู่พอดี กลายเป็นว่าคนแปลกๆสามคนได้ไปเจอกันแบบนัดหมายพร้อม ยูเองตั้งแต่แม่ตายก็เป็นคนเลื่อนลอยไร้จุดหมาย พอโทโมยะรู้เรื่องของยูกับนัตสึกิว่าตอนเด็กๆทั้งคู่คิดจะตามหายานแม่เพื่อกลับดาว Popinpobopia ฮีก็ตบโต๊ะป้าบแล้วบอกว่า ข้อยก็คนดาวโปปินโปโปเปียเหมือนกันเด้อสู!! จากนั้นโทโมยะก็ตั้งเป้าว่าเขาจะทำทุกอย่างให้ “หลุดออกจากกรอบความเป็นมนุษย์” มากที่สุดเพื่อที่จะได้คืนร่างเป็นชาวโปโปเปีย
⚠️ พารากราฟต่อไปป้าแว่นจะเล่าเรื่องวิธีของฮีนะคะ ใครจิตอ่อนข้ามเลยค่า ฮืออ🤢⚠️ (เซ็นเซอร์)

❗️เซ็นเซอร์#################################################################################################################################xxโทโมยะวางแผนจะไปหาปู่ที่ป่วยอัมพาตที่รพ.เพื่อจะข่มขืนปู่เพราะเขาบอกว่าการมีสัมพันธ์ในครอบครัวคือTabooสุดๆของมนุษย์และเขาจะทำลายข้อห้ามให้หมด นัตสึกิก็ไม่ห้ามแต่บอกว่ามันต้องมีconsentมั้ย(ว้อยย ตรรกะ..) โทโมยะเลยไปหาพี่ชายแล้วพูดโต้งๆว่าขอหลับนอนด้วยเพื่อให้บรรลุความเป็นชาวต่างดาว พ่อแม่เขาโกรธมากรวมถึงครอบครัวของนัตสึกิด้วยที่รู้แล้วว่าทั้งคู่แต่งกันปลอมๆ ตอนนี้โทโมยะ ยู นัตสึกิเลยตัดสินใจทิ้งโลกทิ้งกรอบสังคม ใช้ชีวิตแหกกฏอยู่ในบ้านอาคิชินะกันสามคน โดยแก้ผ้าเดินไปมาเป็นชีเปลือย อยากนอนตรงไหนก็นอน หิวก็ออกไปขโมยผักชาวบ้านกิน จับแมลงกิน (แต่ไม่มีสัมพันธ์ชู้สาว ป้าแว่นว่าทั้งสามคนมีปมแต่เด็กเรื่องนี้) วันหนึ่งก็มีคนแปลกหน้าบุกเข้ามาจะทำร้ายพวกเขาที่บ้าน ปรากฏว่าเป็นพ่อแม่ของไอ้ครูชั่วที่รู้มาว่านัตสึกิคือคนฆ่าลูกตัวเอง ทั้งสามคนเลยจัดการฆ่าพ่อแม่ครู แล้วตอนนั้นก็เป็นหน้าหนาวพอดี อาหารที่ขโมยมาก็ร่อยหรอ …ชาวโปโปเปียทั้งสามเลยมองดูศพที่กองอยู่แล้วหันมาสบตากัน#######################################เซ็นเซอร์❗️

🌈🌈 อ๋อยย.. พิมพ์ไปสูดยาดมไป ปลอดภัยแล้วค่ะ อ่านต่อได้ ฮืออ 🌈🌈

ใครที่อ่านแค่ก่อนสปอยล์คงคิดเหมือนป้าแว่นว่าสังคมมันโหดร้ายจริงๆ ลูกเอ๊ยย😭 เด็กตัวแค่นี้ต้องเจอกับอะไรมากมาย แถมผู้ใหญ่ในเรื่องก็มีความคิดบิดเบี้ยวไปหมด นัตสึกิที่ยังเป็นเหมือนผ้าขาวเลยต้องใช้กลไกป้องกันตัวเองด้วยการสมมติเรื่องราวเป็นสาวน้อยเวทมนตร์เพื่อเป็นเกราะป้องกันจิตใจที่แหลกสลายไปเรื่อยๆ

ป้าแว่นคิดว่าเรื่องราวตีแผ่สังคมแบบนี้คงมีนักเขียนหลายท่านเขียนแล้ว แต่จุดเด่นของเรื่องนี้คือภาษาที่ใช้บรรยายมันช่างไร้ความรู้สึก ไร้หัวจิตหัวใจ เขียนแบบ mechanical ราวเอาเอไอมาแต่ง ยิ่งตอกย้ำอารมณ์คนอ่านให้ดิ่งเข้าไปอีกค่ะ ประมาณว่า “แม่ตีฉัน ฉันก็ขอโทษแม่ แม่ไม่หยุดตี ฉันก็ขอโทษ” มีหน้านึงที่น้องนัตสึกิพูดว่าขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ทั้งหน้าเลย ใจป้าแว่นจะสลาย

Earthlings ของเค้าแรงจริงค่ะ ใน forum สยองขวัญมีหลายคนที่อ่าน extreme horror ชิวๆ แต่บอกว่าอ่านเล่มนี้ไม่ไหว ป้าแว่นรีวิวยังไม่ถึงตอนจบนะคะ (แงง อย่าตีป้า..) บอกเลยว่าขอยกให้เป็นตอนจบ Top Ten อิหยังวะ (ทั้งในแง่สยองขวัญ และในแง่ความเหวอแบบคิดได้ไงเนี่ย ช็อค ตกเก้าอี้) ที่สุดที่เคยอ่านมาเล่มนึงในชีวิต

แว้กก เขียนยาวมาก ผิดพลาดประการใดป้าขออภัยด้วยนะคะ และจะพยายามใส่ Trigger Warning และเซ็นเซอร์จุดที่ไม่เหมาะกับเด็กและเยาวชนในรีวิว เลยอาจมีเครื่องหมายรกๆเยอะค่ะ /โค้ง

:: รักคนอ่าน เดี๋ยวป้าต้องคิดแล้วสินะว่าวาเลนไทน์จะรีวิวเล่มไหนดี ::
:: ปะ ป้าไม่ค่อยถนัดรักๆ เดี๋ยวเอารักแบบสยองแล้วกันนะคะ แฮร่ ::

/ป้าแว่น

ป้าแว่นขอย้อนวัยด้วยรีวิวหนังสือสยองขวัญยุค 90’s ค่ะ ใครเคยใช้อินเตอร์เน็ตแบบต่อโมเด็ม เล่น icq etc. ขอเสียงด้วยนะคะ😉 /ป...
28/01/2022

ป้าแว่นขอย้อนวัยด้วยรีวิวหนังสือสยองขวัญยุค 90’s ค่ะ

ใครเคยใช้อินเตอร์เน็ตแบบต่อโมเด็ม เล่น icq etc. ขอเสียงด้วยนะคะ😉 /ป้ายกมือคนแรก

‼️ รีวิวนี้มี Trigger Warning เกี่ยวกับ Suicide/การฆ่าตัวตาย ‼️

𝐒𝐜𝐚𝐧𝐥𝐢𝐧𝐞𝐬 (𝐓𝐨𝐝𝐝 𝐊𝐞𝐢𝐬𝐥𝐢𝐧𝐠, 𝟐𝟎𝟐𝟎)

นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ป้าแว่นโดนป้ายยามาจากการไถ Horrorbooktok ค่ะ (ใครสนใจติดตาม booktok ย้อนอ่านได้ที่รีวิว https://www.facebook.com/110397107211877/posts/454682486116669/ ค่า) ก่อนอื่นป้าต้องขออนุญาตใส่คำเตือนว่าหนังสือเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย จริงๆ แล้วหน้าปกอีบุ๊คที่ป้าแว่นซื้อมาไม่ใช่เวอร์ชั่นในรูปนี้ด้วย ป้าไม่กล้าเอามาลงเดี๋ยวโดนรีพอร์ต😖 ถ้าใครอยากเห็นปกออริจินอลสามารถกูเกิ้ลชื่อหนังสือและนักเขียนได้ค่ะ (แต่เด็กๆห้ามน้า!!)

ถึงเรื่องนี้จะมีเนื้อหาที่หนักหน่วงหดหู่แต่คิดว่าน่าจะโดนใจหลายๆคนที่เป็นวัยรุ่นยุค dial-up อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์บ้าน (ฮั่นแน่ ใครได้ยินเสียงโมเด็มสารภาพอายุมา /ตื๊ดตื๊ดดๆ) และไม่หลับไม่นอนเล่น ICQ ตอนดึกๆ ป้าแว่นอ่านแล้วคิดว่าฉากของเรื่องมันคือ It ของลุงคิงแบบยุค 90’s ชัดๆ

เรื่องย่อ: ร็อบบี้ แดนนี่ และจอร์แดน เป็นเพื่อนซี้กันเพราะพวกเขาทั้งสามคนเป็นเด็กเนิร์ดบ้าคอมอายุ 17 ปี ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นพวกเฉิ่มมาก หลังเลิกเรียนทั้งสามมักจะมาเล่นกันที่บ้านของแดนนี่และจอร์แดน(สองคนหลังนี้เป็นพี่น้องกัน) กิจกรรมหลักๆก็คือฟังเพลง Smashing Pumpkins, Nirvana เล่นวิดีโอเกมนินเทนโด และโหลดไฟล์เถื่อนผ่านเน็ตที่ช้ากว่าเต่าเมายาสลบ วันหนึ่งพวกเขาก็ได้ยินมาว่ามีไฟล์หนังโป๊ของดาราสาวสุดฮ็อตจึงไม่รอช้าโหลดมาดูทันทีที่ความเร็ว 56k …หลังจากผ่านไปสองชม.ก็โหลดไฟล์สำเร็จ

ทั้งสามหนุ่มรีบมาออกันหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วกดเปิดไฟล์ — ภาพแรกที่เห็นคือคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าแท่นโพเดี้ยมในห้องที่มีธงชาติอเมริกัน ตอนนั้นพวกเขายังคิดว่าเป็นหนังโป๊เลยดูต่อ (/ป้าแว่นร้องโว้ยย เจ้าเด็กพวกนี้!!) จากนั้นก็มีชายร่างใหญ่ใส่สูทดูเป็นทางการคนหนึ่งเดินมายังโพเดี้ยม ชายในคลิปผู้นั้นถือถุงกระดาษมาด้วย เขากล่าวอะไรบางอย่างและทันใดนั้นก็หยิบปืนออกมาจากถุง — ก่อนที่พวกร็อบบี้จะปิดจอทัน ชายปริศนาก็เอาปืนจ่อเข้าในปากตัวเองและลั่นไกต่อหน้าผู้คนในห้องที่กรีดร้องแตกตื่น…

ในวันต่อมาร็อบบี้และเพื่อนก็พบว่าถึงแม้พวกเขาจะปิดไฟล์ที่ชื่อว่า NICE_SHOT_DUNCAN.avi ไปแล้ว แต่ชายในภาพก็ยังคงไม่หายไปไหน ราวกับกลิ่นเลือดและใบหน้าที่เละเป็นเศษเนื้อนั้นยังคอยติดตามไปทุกที่

‼️‼️ สปอยล์เล็กน้อยสไตล์ป้าแว่น ใครจะอ่านเล่มนี้ให้หนีปัยย ‼️‼️

🌈🌈 ปลอดสปอยล์แล้วจะใส่อิโมจิสายรุ้งฟรุ้งฟริ้งให้เหมือนเดิมค่า 🌈🌈

หลังจากนั้นร็อบบี้ แดนนี่ จอร์แดนก็เกิดอาการนอนไม่หลับทุกคืน ทุกครั้งที่หลับตาก็จะเห็นภาพเหตุการณ์ฆ่าตัวตายนั้น พวกเขาเริ่มไม่พูดไม่จา ไม่เล่นสนุกกันเหมือนก่อน ร็อบบี้ถึงกับต้องขโมยเหล้าของแม่มากินเพื่อให้หลับลงได้ จนในที่สุดทั้งสามเลยตัดสินใจว่าต้องหาสาเหตุของเรื่องทั้งหมดด้วยการสืบว่าผู้ชายในคลิปคือใคร ร็อบบี้จึงไปขอความช่วยเหลือจากเนลล์ สาวป็อบปูล่าของโรงเรียนผู้อยู่ชมรมวิดีโอซึ่งเขาเองก็แอบชอบเธออยู่ด้วย

เนลล์สืบจนรู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือสส.พรรคเดโมแครทชื่อเบนจามิน ฮาร์ดี้ สส.ฮาร์ดี้ต้องคดีความรับสินบนในปี 1987 เขาได้จัดงานแถลงข่าวและในงานนั้นเองเขาก็ได้ก่อเหตุสยองฆ่าตัวตายต่อหน้านักข่าวมากมาย แต่ถึงแม้พวกเนลล์จะรู้ที่มาของคลิปต้องสาปนี้ก็ไม่อาจหยุดอาถรรพ์ที่เกิดขึ้นได้ ตัวเนลล์เองเธอก็ได้ดูคลิปไปแล้วทำให้เห็นภาพหลอนตลอดเวลาเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดมีอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นเห็นใบหน้าโชกเลือดของสส.ฮาร์ดี้ซ้อนทับอยู่บนหน้าพ่อแม่ของตัวเอง ในที่สุดทั้งสี่คนจึงตัดสินใจนำเพื่อนที่โรงเรียนอีกคนเข้ามาเกี่ยวพันกับคลิปคำสาปนี้ คือแบรนดอน หนุ่มนักดนตรีก็อธผู้มีลุงเป็นเจ้าของร้านวิดีโอ

เมื่อได้ยินเรื่องวิดีโอนี้ลุงของแบรนดอนก็หัวเราะใส่เหล่าเด็กวัยรุ่นโดยบอกว่ามันเป็นตำนานหลอกๆในกลุ่มคนชอบดูวิดีโอสยองขวัญและไม่มีอยู่จริง เนลล์เลยบอกว่าเธอจะส่งคลิปวิดีโอมาให้ดูเป็นหลักฐาน

พวกเขาอาการแย่ลงเรื่อยๆ ขอบตาช้ำดวงตาไร้แวว ร่างกายซูบผอม โดยเฉพาะเนลล์ที่ตอนนี้ไม่มาโรงเรียนแล้ว …จนกระทั่งวันหนึ่งร็อบบี้เห็นแบรนดอนแอบคุยกับรุ่นน้องที่โรงเรียน เขาไปแอบฟังจึงได้รู้ว่า แบรนดอนและลุงของเขาได้ทำเทปก็อปปี้คลิปสส.ฮาร์ดี้ออกมาขายในโรงเรียน

…ร็อบบี้ไม่รู้ว่าตอนนี้ได้มีเพื่อนนักเรียนกี่คนที่ได้ดูคลิปนั้นไปแล้ว

— ป้าแว่นขอสปอยล์พอหอมปากหอมคอเพียงแค่นี้นะคะ (จะจบเล่มแล้วป้า..) บอกใบ้ว่าร็อบบี้และเพื่อนยังไม่ยอมแพ้ ยังจะหาทางแก้คำสาปต่อไปอยู่!!

🌈🌈 ปลอดสปอยล์แล้วค่า อ่านต่อได้เลย 🌈🌈

ตอนจบมีบันทึกของผู้เขียนคุณ Todd Keisling ป้าแว่นเลยมารู้ทีหลังว่าเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงค่ะ!! 😨 คือในปี 1987 มีนักการเมืองอเมริกันชื่อ Budd Dwyer ได้ฆ่าตัวตายตอนแถลงข่าวถ่ายทอดสดแบบเดียวกับในเรื่องเลย นอกจากเหตุการณ์จริงนี้ตัวคุณท็อดด์เองก็เล่าด้วยว่าเขาเคยเป็นโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล (Depression and anxiety) จนต้องออกจากงานและเข้ารับการรักษาทางจิตเวช การเขียนหนังสือก็คือการบำบัดจิตใจรูปแบบหนึ่งของเขา

คุณท็อดด์นำประสบการณ์จริง โดยเฉพาะเรื่องที่ในยุค 90’s โรคทางจิตเวชยังไม่เป็นที่รู้จักและผู้ป่วยถูกตีตราว่าเป็นคนบ้า (“crazy”) มาเขียนเป็นเรื่องนี้ ป้าแว่นแอบเดาว่าคนที่ดูคลิปแล้วเห็น “ผี” อาจหมายถึงอาการ trauma หรือแสดงให้เห็นถึงความแปลกแยกจากผู้คนรอบข้าง อาการหลายๆอย่างของพวกพระเอกก็คืออาการของคนเป็นโรคซึมเศร้า เช่น ไม่อยากทำกิจกรรมสนุกสนานที่เคยทำ ไม่ดูแลตัวเองทั้งไม่กินข้าวไม่อาบน้ำจนถึงไม่ออกจากบ้าน คุณท็อดด์เสริมอีกว่าในยุคนั้นเด็กผู้ชายจะถูกสอนไม่ให้ร้องไห้หรือแสดงความรู้สึก ดังนั้นการที่เขียนเรื่องนี้ออกมาในลักษณะเรื่อง “ผี” ก็น่าจะตีความในทางจิตวิทยาได้หลายแง่ (ซึ่งป้าแว่นความรู้น้อยจึงเม้ามอยได้เพียงเท่านี้ค่ะ แหะๆ)

— รักคนอ่าน ขอมอบรีวิวนี้ให้กับคนที่เคยเล่นไอซีคิว โอ๊ะโอๆ มาด้วยกันนะคะ 👵🏻 —

— น้องๆ หนูๆ ที่ไม่รู้จักไอซีคิวหรืออินเตอร์เน็ต dial-up ให้คุณพ่อคุณแม่เล่าให้ฟังนะจ๊ะ

/ป้าแว่น

รีวิวแรกรับปีใหม่กับรวมเรื่องสั้นที่ผสมผสานหลายgenre มีจุดเด่นที่ความเป็น Cosmic Horror ค่ะ❤️
18/01/2022

รีวิวแรกรับปีใหม่กับรวมเรื่องสั้นที่ผสมผสานหลายgenre มีจุดเด่นที่ความเป็น Cosmic Horror ค่ะ❤️

Minotaur: A Collection of Horror (C.S. Humble, 2019)

ไซไฟมีจริงฉันใด เวรกรรมก็มีจริงฉันนั้น😂 ป้าแว่นผู้ทั้งขายและเสพย์ ป้ายยาคนอื่นมาตลอด เวรกรรมเลยนำพามาพบกับแอพติ๊กต่อก อ๊ะๆ ไม่ต้องตกใจ ป้าอะนาล็อกเล่นไม่เป็นค่ะ แต่ตามดู Booktokker (ชื่อเรียกผู้ใช้ Tiktok ที่รีวิวหนังสือ) สายสยองขวัญหลายคนมาก เปิดโลกใหม่ให้ป้าจริงๆ และหนึ่งในนั้นก็คือคุณ MotherHorror (เสิร์ชในติ๊กต่อกชื่อ ) แค่ชื่อก็รู้เลยว่าตัวแม่ของจริง แถมแม่ยังมีรสนิยมการอ่านสุดวิไล นั่นคืออ่านเรื่องสไตล์เดียวกับป้าแว่นนั่นเอง 55 ล่าสุดขุ่นแม่ได้ออกมาประกาศกลางวงชาวสยองขวัญว่า “ดั๊นออกมานั่งยันนอนยันเลยค่ะ ปีนี้ C.S. Humble มาแรงแน่นอน!” (“I’m calling it now! Author C.S. Humble is the one to watch in horror” - MotherHorror)

ป้าแว่นก็ไม่รอช้า ไปสอยอีบุ๊คมาด้วยราคาน่ารักเพียง 1.99$ เป็นรวมเรื่องสั้นสี่เรื่องหลากรสหลากสไตล์สุดๆ ค่ะ ทั้งแนวตำรวจสายสืบดาร์กๆ นัวร์ๆ “A Whole Superior Creature” พระเอกสุดกวน พูดจาแจกแกงฟักทั้งเรื่อง ยิงก่อนพูดทีหลัง (ป้านึกภาพเป็นหนังเควนตินทารันติโน่หรือกายริชชี่) ถัดจากแนวแอ็คชั่นสืบสวนก็เป็นแนวไซไฟพระเอกแข่งทัวร์นาเม้นต์เกมออนไลน์ในโลกเสมือนจริง “There is Only the Hunt” เล่นเอานักอ่านปรับจูนคลื่นสมองกันไม่ทันเลยค่ะ — ย้ำอีกครั้งเด้อ ทุกเรื่องนี่คือมี element ของ Cosmic Horror/เลิฟคราฟเที่ยน หมดเลยนะคะ คิดได้งัยย) จากนั้นก็เป็นเรื่องที่ป้าแว่นคิดว่าได้รับอิทธิพลของเลิฟคราฟท์มากที่สุดคือเรื่อง “Rig Move” เป็นเรื่องเกี่ยวกับทีมขุดเจาะน้ำมันในเท็กซัสกลุ่มหนึ่ง ซึ่งระหว่างขนย้ายปั้นจั่นขุดน้ำมันได้เกิดหลุมใหญ่มหึมาขนาดที่ทำให้ปั้นจั่นตกลงไป และพวกเขาก็ได้พบกับเหตุการณ์สุดสยองขวัญในหลุมที่เป็นถ้ำใต้ดินนั้น …ส่วนเรื่องสุดท้ายชื่อว่า “A First Date in Black Wells” เป็นแนวเรื่องหักมุม ซึ่งป้าแว่นคิดว่าสยองน้อยสุดในเล่มค่ะ ดังนั้นป้าจะขออนุญาตข้ามไป โฮะๆๆ /อย่าตีป้า😆

เรื่องแต่ละตอนมันสั้นมากจนป้าแว่นคงสปอยล์ไม่ได้ค่ะ แต่จะขอเล่าคร่าวๆเรื่อง “There is Only the Hunt” นิดๆ หน่อยๆ เพราะเป็นตอนที่ป้าแว่นชอบมากที่สุด


‼️‼️ ใครที่จะอ่านเล่มนี้ข้ามไปก่อนเลยนะคะ เดี๋ยวเสียอรรถรสในการอ่าน ‼️‼️

“There is Only the Hunt” เปิดตัวมาแบบไซเบอร์พังค์มากค่ะ คือคนบรรยายเรื่องผู้ใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งอยู่ในโลกเสมือนจริง และผู้อ่านจะได้รับรู้เรื่องราวของตัวเอกชื่อ “จอห์นนี่ แมค” ผ่านคนบรรยายผู้เป็นแมวมองนักกีฬาเกมออนไลน์ เขาได้มองหาผู้เล่นเกมที่จะสามารถเอาชนะเอไอที่ชื่อว่า “มิโนทอร์” มานานแล้ว แต่ยังไม่เคยมีใครเอาชนะระบบเอไอนี้ได้ อย่างที่บอกไว้ เรื่องมันสั้นมาก แต่บรรยายซะป้าลุ้นจิกเบาะเก้าอี้เป็นรู จอห์นนี่ แมค ได้เข้าไปแข่งกับมิโนทอร์และต้องผ่านด่านต่างๆ — กราบผู้เขียนที่สามารถนำความสามารถไร้ขีดจำกัดของเอไอที่มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะได้มาผูกกับความเป็น Cosmic Horror และไซไฟในเรื่องนี้ คือมันล้ำจริงๆค่ะ — สุดท้ายแล้วจอห์นนี่จะสามารถชนะมิโนทอร์ได้หรือไม่ ป้าเฉลยไม่ได้เดี๋ยวโดนฟ้อง แงง

🌈🌈 ปลอดสปอยล์แล้วว อ่านต่อได้ค่า 🌈🌈

แต่ขอกระซิบว่าคุณ C.S. Humble มีความสู้คน เอ๊ย สู้ Cosmic Horror สูงอยู่จากพล็อตเรื่องในเล่มนี้ คล้ายๆกับนักเขียนแนวเลิฟคราฟเที่ยนคนโปรดอีกคนของป้าคือคุณ Peter Clines ผู้เขียน 14 และ The Fold (ขออนุญาต tie-in ซักนิด หนังสือคุณ Peter Clines ทั้งสองเล่มโซลิสแปลแล้วนะคะ /ชะแว้บบ ป้าแว่นกลับไปเม้าต่อแบบเนียนๆ) คือป้าเคยสัมภาษณ์คุณปีเตอร์และแกเล่าให้ฟังว่าแรงบันดาลใจในการสร้างพล็อตอย่างหนึ่งคือ แกเซ็งกับการที่ในโลกของ Cosmic Horror แบบตามขนบ มนุษย์เราจะไม่สามารถสู้กับอะไรก็ตามที่โผล่มาหลอกหลอนเราได้เลย ได้แต่ยืนเฉยๆแล้วเสียสติ lose sanity ไปเท่านั้น คุณปีเตอร์เลยคิดว่า เอาฟระ ตรูจะเอาตัวละครออกมาสู้กะมันบ้าง! คุณ C.S. Humble ก็มีพล็อตไปทาง “สู้เขานะอีหญิง!!” เหมือนกันค่ะ

อีกอย่างที่ป้าแว่นชอบม๊ากกเกี่ยวกับสไตล์การเขียนของคุณ C.S. Humble คือสำบัดสำนวนแกกวนมากจริงๆค่ะ ถ้าสร้างหนังคงต้องเอาน้าซามูแอล แจ็คสันมาเล่น บทพูดคงฮากระจาย

ใครที่เล่นติ๊กต่อกก็ลองติดตามคุณ ได้นะคะ เผื่อมีหนังสือใหม่ๆมาบอกป้าแว่นบ้าง ส่วนใครที่เล่นอินสตาแกรมก็มี Bookstagrammer (ปะ ปะ ป้าเรียกถูกมั้ยเนี่ย..) ที่ป้าแว่นแนะนำคือคุณ .bkk หรือคุณน้อง แกเคยอ่านเล่มนี้ยัง ในเฟซบุ๊ค ผู้เคยถูกป้าหลอกมาไลฟ์ด้วยกันนี่เอง อิๆ (แนะนำให้ไปฟอลเลยค่ะ เป็นเพจรีวิวที่อ่านหลากหลายมาก ไม่ใช่เพจที่มีแต่ไซไฟ เลือด ผี ปีศาจ…ฮึกก)

ปล. ใครที่สนใจเดี๋ยวป้าจะแปะลิ้งก์สัมภาษณ์คุณ Peter Clines ในคอมเม้นต์นะคะ แกคุยสนุก น่ารักมากก

แปะๆ https://fb.watch/aB3xlLiBlu/

— รักคนอ่านที่ซู้ดด ปีนี้สัญญาป้าจะขยันทำงาน ถ้าป้าหายไปให้ไปฟ้องน้องแอดมินได้เลย!! —

:: ขอกำลังใจน้อยๆเป็นไลค์เป็นแชร์ให้ป้าแว่นสู้กับมิโนทอร์ เอ๊ย พี่มาร์กซักเกอร์เบิร์กด้วยนะคะ❤️::

ที่อยู่

Bangkok
10330

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Moonlit Booksผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Moonlit Books:

แชร์

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ


ผู้จััดพิมพ์เผยแพร่ อื่นๆใน Bangkok

แสดงผลทั้งหมด