InfoStory สาระความรู้ ที่จะถูกถ่ายทอดผ่านภาพอินโฟกราฟิกสุดสบายตาและเรื่องราวแบบเพื่อนนั่งเล่าให้ฟัง :)
(2)

ติดต่อพวกเราสำหรับ งานบริการคิด Content และ Infographic หรือ งานโฆษณา ได้ที่ อีเมล์ [email protected]

ส่องโลกของ "ปูยักษ์ (King Crab)"  ใช่อันเดียวกับปูทาราบะและปูอลาสกันไหมนะ ? 🦀🇺🇸🇨🇱🇯🇵ในโพสก่อนหน้านี้เราพูดถึงเรื่องล็อบสเ...
09/01/2025

ส่องโลกของ "ปูยักษ์ (King Crab)"
ใช่อันเดียวกับปูทาราบะและปูอลาสกันไหมนะ ? 🦀🇺🇸🇨🇱🇯🇵

ในโพสก่อนหน้านี้เราพูดถึงเรื่องล็อบสเตอร์กันไปแล้ว
แน่นอนว่า สายกินบุฟเฟ่ต์อย่างเรา เวลามีโอกาสไปกินบุฟเฟ่ต์โรงแรมแล้ว นอกจากล็อบสเตอร์ก็จะเจอ “ขาปูยักษ์” เป็นหนึ่งในอาหารซีฟู้ดสดที่มักจะอยู่ไม่ห่างกัน (แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นบุฟโรงแรมจะต้องเป็น Saturday dinner หรือ Sunday Brunch นะคร้าบ)

แล้วถ้าให้พูดถึง “ขาปูยักษ์” เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึง “ปูอลาสก้า” หรือ “ปูทาราบะ” ที่มักปรากฏในรายการอาหารทะเลสุดหรูตามร้านบุฟเฟต์
แต่บางร้านก็ใช้เป็นปูยักษ์ชิลี (Chilean King Crab) หรือบ้างก็อาจกลายเป็นขาปูหิมะ (Snow Crab) ไปแทนปูอลาสก้าก็มีพอสมควร

แต่สำหรับพวกเรา ปูทั้ง 3 อย่างนี่ มันก็อร่อยเหมือนกันหมดเลย (ต้องโทษความสามารถของลิ้นเราที่ไม่อาจแยกได้ปูอลาสก้ากับชิลีได้ขนาดนั้น แต่ปูหิมะ มันเห็นหน้าตาก็พอรู้อยู่แล้ว) งั้นวันนี้พวกเรา InfoStory ขอพาทุกท่านไปรับชมเรื่องราวของปูยักษ์กันเบา ๆ 🥰😋

— — — — — — — — — — — — — — — — — —

[ ปูแท้ ปูไม่แท้ อะไรอีกละ ?]

🦀 เริ่มกันด้วยคำถามที่น่าสนใจทำไมปูยักษ์ในภาษาอังกฤษเรียกว่า “King Crab” ราชาแห่งปู ที่ไม่อาจเรียกได้ว่าปูแท้ ? 👑

คำว่า "Crab" ในภาษาอังกฤษถูกใช้ในเชิงการค้าเพื่อสื่อถึงสัตว์ทะเลที่มีเปลือกแข็งและขาเยอะ ทำให้สัตว์อย่าง King Crab ถูกเรียกแบบนี้เพื่อให้ง่ายต่อการทำตลาด แต่ในแง่ชีววิทยา นักวิทยาศาสตร์ถือว่า King Crab ไม่ใช่ปูจริงๆ

เราขออนุญาตปรับโหมดวิชาการ 2 บรรทัด 🤓
ถ้าพูดถึงปูแท้ปูเทียมแล้วเนี่ย ความแตกต่างทางอนุกรมวิธานเค้าบอกว่ามี 2 กลุ่มนะ

- ปูแท้ (True Crabs): อยู่ในกลุ่มย่อย Brachyura มีขาเดิน (walking legs) 4 คู่ และหนวดอยู่ระหว่างดวงตา

- ปูเทียม (False Crabs) ก็อย่างเช่น คิงแครบ อยู่ในกลุ่มย่อย Anomura มักมีขาเดิน 3 คู่ และหนวดอยู่ตำแหน่งอื่น
อย่างปูเสฉวน (hermit crabs) เองก็อยู่ในกลุ่มนี้นะ จนบางทีเค้าก็เรียก King Crab ว่าเป็นปูเสฉวนยักษ์


พูดถึงเรื่องปูไม่แท้ ปูเทียม อะไรอีกสักเล็กน้อย
จากที่เราไปหามา เหมือนว่าเจ้าปูกลุ่มนี่เนี่ย อาจถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของปูแท้ เขาใช่คำว่า “อาจจะ… อาจจะ” (เอ้าา…. เขียนเอง ก็งงเองละ 5555 ปูเทียมเป็นต้นกำเนิดของปูแท้ อิหยังเนอะ 🤣)

อะ แต่เค้ามีคำอธิบายดังนี้ ๆ สิ่งเหล่านี้อาจเรียกว่า “วิวัฒนาการร่วม/เบนเข้า (Convergent Evolution)” เป็นวิวัฒนาการแบบที่สิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้มีบรรพบุรุษร่วมกัน แต่มีลักษณะที่วิวัฒนาการได้ผลลัพธ์ที่คล้ายกัน

ถึงแม้จะไม่ใช่ปูแท้ แต่ King crab และปูแท้มีลักษณะคล้ายกันเนื่องจากวิวัฒนาการร่วมตั้งแต่เมื่อ 250 ล้านปีก่อน ที่ทั้ง 2 มีบรรพบุรุษร่วมกัน ก่อนที่หลังจากนั้นทั้งสองกลุ่มได้วิวัฒนาการแยกจากกัน ซึ่งสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์พัฒนาลักษณะคล้ายกันเพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมเดียวกัน เช่น รูปร่างแบนของปูช่วยลดจุดศูนย์ถ่วง ทำให้เคลื่อนที่หนีผู้ล่าได้รวดเร็วขึ้น หรือมีหนามแหลมยาวขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับพรางตัวในสภาพแวดล้อมที่เป็นหินและโขดหินใต้ทะเล

ในกลุ่มปูเทียมก็จะมีปูที่เราคุ้นหูกันเช่น ปูเกือกม้า/แมงดาทะเล (Horseshoe Crabs) ปูพอร์ซเลน (Porcelain Crabs) และปูเสฉวน (Hermit Crabs)

เพราะฉะนั้นสรุปสั้น ๆ เลยว่า
Taraba King Crab, Alaskan king crab, chilean king crab = ไม่ใช่ปูแท้ (แต่เป็นคล้ายปูเสฉวนยักษ์)
Snow Crab = ปูแท้
แต่ในเชิงเรื่องอาหารและการตลาดอะไรต่าง ๆ ทั้งสองชนิดถูกเรียกว่าปูเพื่อความเข้าใจง่ายและดึงดูดใจผู้บริโภคนั่นเอง


[ เรื่องราวน่ารู้ของพี่ปูยักษ์ ! ที่เราเองก็เพิ่งทราบ 🤩]

- ปูยักษ์เหล่านี้ พวกเขาต้องลอกคราบ (Molting) เพื่อให้ตัวเองเติบโต โดยในช่วงแรกๆ ของชีวิต พวกมันจะลอกคราบปีละหลายครั้ง แต่เมื่อโตเต็มที่แล้ว (ประมาณ 3 ปี+) พี่ๆเค้าอาจจะลอกคราบเพียงปีละครั้ง โดยการลอกคราบแต่ละครั้งจะทำให้พี่ปูตัวใหญ่ขึ้น มากถึง 30% เลยทีเดียว !

- ว่าไปนั้น ปูยักษ์เหล่านี้หากพี่ๆเค้าไม่ได้ถูกล่าเนี่ย เขาจะสามารถมีอายุขัยประมาณ 20-30 ปี เลยนะ

- ในความเป็นจริงแล้ว ปูยักษ์คิงแครปไม่สามารถว่ายน้ำได้ หากแต่จะเดินไปบนพื้นทะเลแทน (อันนี้สารภาพว่าเพิ่งรู้ ในหัวยังคิดเป็นภาพ พี่ ๆ ลอยไปลอยมาอยู่ ไม่รู้ไปจำมาจากไหน 5555 🤣)

- ถึงแม้จะชื่อว่า King Crab เป็นราชาก็จริงแต่กลับไม่ใช่ปูที่ใหญ่ที่สุดในโลกนะ ! (ขออนุญาตเรียกว่าปูละกันนะคร้าบ จะได้เข้าใจง่าย) หากแต่ว่าตำแหน่งปูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ก็คงต้องยกให้ปูยักษ์สุดหลอนที่มีอาจขนาดสูงเท่ารถยนต์ ! “Japanese Spider Crab” (ลองเสิร์ชดูก็รู้เลย 🫨)

Japanese Spider Crab หรือ ปูแมงมุมญี่ปุ่น แล้วเจ้าปูตัวนี้เนี่ย อาจมีอายุยาวถึง 100 ปีเลยทีเดียวนะ ! และอาจมีขายาวได้ถึง 4 เมตร ที่มีชื่อว่าปูแมงมุมญี่ปุ่นเพราะปูตัวนี้หาพบได้ในน่านน้ำลึกของมหาสมุทรแปซิฟิก รอบๆ ประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะบริเวณ อ่าวซุรุงะ (Suruga Bay) นั่นเองคร้าบ


ปิดท้ายด้วยเกร็ดเล็กน้อย ๆ

[ โอ๊ !! โฮลี่ แคร๊ปป !!! Holy Crab !!! ]

เพื่อน ๆ ที่ดูหนังฝรั่งน่าจะได้ยินคำอุทานนี้กันบ่อย (แต่แอบสังเกตไหมว่าเราสะกดผิด 555)

อันที่จริงแล้ว เค้าไม่ได้ใช้คำว่าปู (Crab)
แต่เขาจะใช้คำว่า “Crap” นะคร้าบ จะเป็นคำอุทานเมื่อเวลาเรารู้สึกว่าสิ่งนั้น "น่าแปลกใจ" "น่าตกใจ" หรือว่าความรู้สึกทึ่ง ! (สำหรับเราก็เป็นแนวเชิงลบนิดนึงแต่ไม่มาก แต่สารภาพว่าเรามักจะใช้อีกตัวเลือกคำอุทาน sh… มากกว่า แคร๊ป แห่ะ ๆ 🥲)


#ปูยักษ์


แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- บทความ King Crab 101 - Alaska King Crab Facts จากเว็บ Fishex
- บทความ The Anatomy of Alaskan King Crab จากเว็บ alaskankingcrab
- หนังสือ Crabs: A Global Natural History เขียนโดย Peter J. F. Davie (2021)
- บทความ Despite Their Name, King Crabs Aren’t Actually Crabs จากเว็บ vinepair
- บทความ Adaptations of Crabs to Life in the Deep Sea จากเว็บ oceanexplorer

"ล็อบสเตอร์ (Lobster)" คล้ายกุ้ง แต่แท้จริงไม่ใช่กุ้งนะ (แค่เป็นญาติห่าง ๆ กัน) 🦞🍽️สวัสดีปีใหม่อีกครั้งนะคร้าบเพื่อน ๆ 🎊...
01/01/2025

"ล็อบสเตอร์ (Lobster)" คล้ายกุ้ง แต่แท้จริงไม่ใช่กุ้งนะ (แค่เป็นญาติห่าง ๆ กัน) 🦞🍽️

สวัสดีปีใหม่อีกครั้งนะคร้าบเพื่อน ๆ 🎊

เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนที่กำลังอ่านโพสนี้ คงพอจะทราบกันว่าล็อบสเตอร์ ไม่ใช่กุ้ง (คล้ายกับที่วาฬ ไม่ใช่ปลา เพราะหายใจด้วยปอดเนอะ) แต่หากไม่ทราบก็ไม่แปลก เพราะพวกเราเองก่อนหน้านั้นประมาณสัก 3-4 ปีก่อน พวกเราก็ไม่ทราบเช่นกันคร้าบบ ก็หน้าตามันคือกุ้งเลยอะเนอะ ไม่แปลก ๆ 😊

ถ้างั้นในโพสวันสิ้นปีวันนี้ พวกเรา InfoStory ขอพาเพื่อน ๆ ไปรู้จัก "ล็อบสเตอร์" กันสักนิด
เอ้ะ ไม่ใช่กุ้งแล้ว..เป็นตัวอะไรนะ ? 🤔🦞

ปล. แต่สำหรับพวกเราแล้ว สารภาพก่อนเลยว่า บางทีเราก็ยังเรียก “กุ้งล็อบสเตอร์” อยู่นะ โดยเฉพาะเวลาบอกครอบครัวว่าไปกินล็อบสเตอร์กัน ก็จะต้องมีเน้นว่ากุ้งล็อบสเตอร์ไอที่ตัวก้ามใหญ่ ๆ ส่วนตัวเราคิดว่าเรียก ๆ ไปเถอะ เอาให้สื่อสารเข้าใจง่าย เข้าใจตรงกันก็พอคร้าบบ แต่รู้ไว้ใช่ว่ากับเนื้อหาในโพสนี้ ก็อาจทำให้่เราเข้าใจกันมากขึ้นแทน 🥰

— — — — — — — — — — — — — — — — — —

[ 🦞 ล็อบสเตอร์ ไม่ใช่กุ้ง… หากแต่เป็นญาติห่าง ๆ กับน้องกุ้ง 🦐 ]

💡สรุปสั้นคือ เพราะล็อบสเตอร์อยู่คนละวงศ์กับกุ้งทั่วไป
แต่อยู่ในกลุ่ม“ครัสเตเชียนขาปล้อง” หรือเป็นญาติห่าง ๆ กับกุ้งนั่นเอง

ล็อบสเตอร์รูปร่างหน้าตาเหมือนมีก้าม ขาสิบขา เปลือกแข็ง ๆ เหมือนกุ้ง หากแต่ในเชิงอนุกรมวิธาน (taxonomy) จะจัดว่าล็อบสเตอร์อยู่ในไฟลัม Arthropoda ชั้น Malacostraca อันดับ Decapoda (สัตว์ขาปล้อง 10 ขา) กลุ่มเดียวกับกุ้งและปู หากแต่แยกเป็นคนละ “วงศ์ (Family)” กับกุ้งทั่วไปนั่นเองคร้าบ

📚 สรุปแบบยาวให้อ่านกันต่อ

📌 อยู่คนละวงศ์
- กุ้ง (shrimp/prawn) ส่วนใหญ่จะอยู่ในวงศ์เช่น Penaeidae หรือ Caridea ฯลฯ
- ล็อบสเตอร์ (Lobster) กลุ่มมีกรงเล็บใหญ่อยู่ในวงศ์ Nephropidae
- กุ้งมังกร หรือ Rock/Spiny Lobster อยู่ในวงศ์ Palinuridae

📌 เรื่องของขนาดและอายุขัย
- ล็อบสเตอร์ ส่วนใหญ่อายุยืน (บางตัวอยู่ได้มากกว่า 50 ปี แต่จากแหล่งอ้างที่หามาคือ มากถึง 100 ปี ! เลยละ โอโห) และเติบโตได้ใหญ่หลายกิโลกรัม และสามารถเพิ่มขนาดได้อย่างต่อเนื่อง (Indeterminate Growth) จนกว่าจะชรา
ขณะที่กุ้งทั่วไป (shrimp/prawn) วงจรชีวิตสั้นกว่า ขนาดโตก็หนักไม่กี่ร้อยกรัม

📌 ถิ่นที่อยู่

- ล็อบสเตอร์พบได้ทั้งในน่านน้ำเย็น (เช่น แอตแลนติกเหนือ) หรือในน้ำเขตร้อน (ทะเลอันดามัน, แคริบเบียน) ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ซึ่งกุ้งทั่วไปมีหลายสายพันธุ์มากกว่า พบได้ทั้งในน้ำทะเล น้ำกร่อย น้ำจืด ทั่วโลก


[ ก่อนที่จะมาเป็น "ล็อบสเตอร์" สุดหรูในวันนี้…. ล็อบสเตอร์เคยเป็นเพียงแค่ปุ๋ยใส่ข้าวโพดมาก่อนนะ ]

ในช่วงศตวรรษที่ 17-19 เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหมือนกันนะ หรือประมาณ 200 ปี ที่ล็อบสเตอร์เคยถูกมองเป็นอาหารของชนชั้นแรงงาน และหนักไปจนถึงใช้เป็นปุ๋ยหรืออาหารสัตว์อีกด้วย โดยในสมัยนั้นว่ากันว่า หากเราไปเที่ยวที่ไหน แล้วเห็นเปลือกล็อบสเตอร์ที่อาจยาวถึงประมาณ 2 ฟุต ตามริมถนนเนี่ย ถือว่าย่านนั้น เป็นย่านยากจน โดยมากจะเป็นมุมมองของชาวอเมริกัน โดยเฉพาะในรัฐแมสซาชูเซตส์หรือในแถบเขตนิวอิงแลนด์ (New England)

เพราะในสมัยนั้น ล็อบสเตอร์ มีจำนวนที่เยอะม๊าก คือเกลื่อนเต็มหาดเลยก็ว่าได้
วิธีการแก้ก็คือเอาล็อบสเตอร์ไปทำปุ๋ยใส่ต้นข้าวโพด หรือเอาไปเป็นอาหารสำหรับนักโทษ

ก็คือช่วงนี้นะ อาจเรียกว่า “อุปทาน(Supply)” เยอะ นั่นเอง

ในช่วงประมาณหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (ปี ค.ศ. 1920) อเมริกาได้เริ่มมีการใช้รถไฟในการเดินทางและขนส่ง แน่นอนว่า หนึ่งในสินค้ายอดนิยมก็คือ ล็อบสเตอร์แพ็คกระป๋อง นั่นเอง

ต้องเล่านิดนึงว่า ถึงแม้ล็อบสเตอร์อาจดูเป็นอาหารคนจน แต่นั่นมันอาจเป็นแค่ในแถบนิวอิงแลนด์ (New England) เพราะในพื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่ติดทะเล (หรืออาจจะติด) กลับไม่ได้คุ้นเคยกับล็อบสเตอร์มาก นั่นทำให้ล็อบสเตอร์จากเขตนิวอิงแลนด์ ขนส่งไปถึงกลุ่มคนอื่น ๆ ได้ กลายเป็นว่าพวกเขาก็เริ่มติดใจกัน

แล้วก็มาถึงเรื่องอีกหนึ่งเรื่องราวสุดคลาสสิก
อีกทั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เนี่ย ทหารอเมริกาก็ประสบปัญหาขาดแคลนเนื้อสัตว์ แต่ก็มีเจ้าล็อบสเตอร์ นี่ละ ที่เป็นแหล่งโปรตีนเพิ่มพลังชั้นดีและมีปริมาณมากแบบไม่อั้น

แน่นอนว่าตอนนี้ ล็อบสเตอร์ของพวกเรา ก็ได้กลายเป็นดาราสุดดังประจำจานอาหารไปซะแล้ว
ทำให้อุปสงค์ (Demand) เริ่มมากกว่า อุปทาน (Supply) กล่าวคือปริมาณล็อบสเตอร์ที่ลดลง จึงทำให้ล็อบสเตอร์ได้เริ่มกลายเป็นอาหารหรูหราไปในทันที ง่าย ๆ ประมาณนี้เลย

เป็นอันปิดตำนานล็อบสเตอร์ ปุ๋ยข้าวโพดกันไป


[ สรุปสั้น ทำไมปัจจุบัน "ล็อบสเตอร์" ถึงมีราคาแพง ? ]

จากเรื่องราวด้านบนเนอะ เราขอพูดถึงในปัจจุบันละกันนะ

1. ภาพลักษณ์ การตลาด ค่านิยม

ต้องยอมรับอย่างนึงว่าการโปรโมตในภัตตาคารหรูและสื่ออาหารต่าง ๆ ทำให้ล็อบสเตอร์กลายเป็นเมนูระดับ Fine Dining และสร้างมูลค่า(ที่มองไม่เห็นน่ะนะ) ว่าล็อบสเตอร์เป็นจานพิเศษเฉลิมฉลองหรือเลี้ยงรับรองแขกระดับ VIP สายเปย์ หรือเอามาเป็นเมนู upselling บุฟเฟ่ต์
เมื่อราคาสูงก็ยิ่งสร้าง “ค่านิยม” ว่าเป็นของหรูหรายากเข้าถึง

2. ค่าขนส่งและการรักษาความสดที่สูง

ในตลาดที่ต้องการ “Lobster เป็น ๆ” จำเป็นต้องมีระบบควบคุมอุณหภูมิ ออกซิเจน และการขนส่งทางเครื่องบิน ทำให้ต้นทุนสูง บางแหล่งจับในน้ำลึก-น้ำเย็น ต้องใช้เรือเฉพาะและกระบวนการเก็บรักษาที่แพง

3. ความต้องการบริโภคที่สูงเกิน
แน่นอนว่าราคาในท้องถิ่นเองขยับตัวเพิ่มขึ้น ราคาที่ส่งออกไปสู่คนทั่วโลกก็ยิ่งสูงขึ้นเนอะ อันนี้คลาสสิคเลย

แชร์สั้น ๆ ตอนเราเรียนป.โท อยู่ที่อังกฤษ เราอยู่เมือง Bournemouth ซึ่งเป็นเมืองทะเล อาหารทะเลหลายอย่างเช่น หอยนางรม (Oyster) หรือ ล็อบสเตอร์ ก็ส่งออกจากเมืองนี้เยอะเหมือนกัน เป็นหนึ่งใน supply มายังตลาดอื่น ๆ ในอังกฤษ อย่างเช่น Borough market ในกรุงลอนดอน พวกร้านค้าในตลาดนี้ก็เอาหอยและล็อบสเตอร์จากบอร์นมัธมาเยอะเหมือนกัน ณ ตอนนั้นเนี่ย ราคาขายมันก็อัปขึ้นมาประมาณ 30% เลยทีเดียว อันนี้เราเทียบง่าย ๆ จากเมนู Burger & Lobster นะ แต่ไม่เคยทราบราคาล็อบสเตอร์ที่ซื้อแบบเป็นตัว


[ มีอีกคำถามนึง ถ้าล็อบสเตอร์ไม่ใช่กุ้ง แล้วแบบนี้…คนที่แพ้กุ้งจะทานได้ไหม ? ]

เออ น่าคิดเนอะ หลายท่านอาจจะเดาคำตอบได้ว่า “ไม่” แต่สำหรับคนที่คิดเยอะอย่างเรา แน่นอนมีลังเล 555
แต่คำตอบก็คือ คนที่แพ้ “กุ้ง” (Shrimp/Prawn) มีความเสี่ยงสูงที่จะ “แพ้ล็อบสเตอร์” เช่นกัน เนื่องจากล็อบสเตอร์ก็จัดอยู่ในกลุ่ม “ครัสเตเชียน (Crustacean)” เหมือนกับกุ้งและปู ซึ่งมีโปรตีนก่อภูมิแพ้หลักชื่อ “Tropomyosin” คล้ายคลึงกันมาก อาจทำให้เกิดอาการแพ้ข้าม (cross-reactivity)

ส่วนตัวพวกเราก็ไม่เคยเจอเพื่อน ๆ ที่แพ้กุ้งแล้วมากล้ามาลองกินล็อบสเตอร์นะ ยังไม่มีคนในแวดวงใจกล้าพอ ซึ่งดีแล้วละคร้าบบ 🥶


🤓 เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

"Slipper Lobsters" ฟังดูอาจไม่คุ้นหู แต่ถ้าเรียกชื่อไทยว่า "กั้งกระดาน" คงจะคุ้นกันดีแน่นอน
แม้ชื่อภาษาอังกฤษจะมีคำว่า “Lobster” แต่จริง ๆ แล้วก็เป็น “ครัสเตเชียน” อีกกลุ่มหนึ่ง (คล้ายกับ Spiny Lobster) ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม Clawed Lobsters 🦞



#ล็อบสเตอร์ #กุ้ง

แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- บทความ The Different Types Of Lobster That You Can Eat จากเว็บ burgerandlobster
- บทความ Rock (Spiny) vs Maine Lobster: What’s The Difference? จากเว็บ lobsteranywhere
- บทความ 16 Types Of Lobster Explained จากเว็บ tastingtable
- บทความ A Guide to the Different Types of Lobster จากเว็บ lobsterharborus
- บทความ ‘ล็อบสเตอร์’ เคยเป็นอาหารที่คนจนกินจนต้องร้องขอชีวิต จากเว็บ beartai
- บทความ “ล็อบสเตอร์” จากโปรตีนคนจน สู่มื้อหรูคนรวย จากเพจลงทุนแมน

สวัสดีปีใหม่ 2568 🎊Happy New Year 2025 ! คร้าบบทุกท่าน 🎇พวกเรา InfoStory ขอให้ปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่เพื่อน ๆ มีรอยยิ้มแล...
31/12/2024

สวัสดีปีใหม่ 2568 🎊
Happy New Year 2025 ! คร้าบบทุกท่าน 🎇

พวกเรา InfoStory ขอให้ปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่เพื่อน ๆ มีรอยยิ้มและพัฒนาตัวเองกันถึงเป้าหมายนะคร้าบ 🥰


— — — — — — — — — — — — — —

เห็นส่วนใหญ่เค้ารีวิวกันสั้น ๆ เนอะ
พวกเราเองก็ไม่ค่อยได้รีวิวเท่าไรเลย โพสนี้เลยถือโอกาสรีวิวเพจของเราสั้น ๆ ในปีที่ 2024 แทนนะคร้าบ
(ตั้งใจเว้นลงมายาวนิดนึง เผื่อจะได้ไม่รบกวนฟีด เพราะอันนี้อาจไม่ได้มีสาระมากเท่าไร แห่ะ ๆ 😊)


สำหรับเพื่อน ๆ แฟนเพจที่ติดตามการเติบโตของเจ้าหนูตัวน้อย ๆ ทั้ง 2 คนเพจนี้ ในปีที่ผ่านมา

- พวกเรามีผู้ติดตามถึง 91,450 ท่านแล้ว เย่ ดีใจมาก ๆ มาไกลม๊ากกกเกินคาดที่พวกเราคิดไว้เยอะมาก ขอขอบพระคุณทุกท่านจริง ๆ ที่ติดตามพวกเรานะครับ (จากต้นปีอยู่ที่ประมาณ 65k คน) 🥰🙏 พวกเราจะพัฒนาคอนเทนต์ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ นะคร้าบ

- ปีนี้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง (ทั้งงานเบื้องหน้าและงานเบื้องหลัง) พวกเรา 2 คน อยากกราบขอบพระคุณพี่ ๆ ลูกค้าและพี่ ๆ media agency ที่เอ็นดูพวกเรามาก ๆ ครับ ยังขอบอกความตั้งใจเหมือนเดิมคือ ข้อมูลเนื้อหาของงานทุกชิ้น การออกแบบภาพอินโฟกราฟิกทุกภาพงาน พวกเราตั้งใจทำและหาข้อมูลกันมาก ใส่เต็ม 100% ทุกชิ้นงานเช่นเดิม

- แอบสังเกตว่ามีผู้ติดตามคอนเทนต์ประเทศเพื่อนบ้านที่น่ารักอย่างพี่ ๆ จากลาวและเวียดนามเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ ค่อนข้างประหลาดใจที่คอนเทนต์ของพวกเราก็มีประโยชน์กับพี่ ๆ เขาเหมือนกัน แอบดีใจมาก ๆ คร้าบบ 🙏🙏

สำหรับเพจของพวกเรา หากเพื่อน ๆ ที่เรื่องราวที่อยากให้เราจัดทำหัวข้อที่สนใจ ก็สามารถแนะนำพวกเราได้ในเมนต์เลยนะครับ จะจัดทำมาให้รับชมกันแน่นอน (คำติชมหรือให้กำลังใจ ก็บอกผ่านเมนต์ได้นะคร้าบ 🙏🥰)

🤓 รีวิวข้อคิดส่วนตัวพวกเรา 2 คนที่ได้จากปีที่ผ่านมา

>> ชีวิตคือการเรียนรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และความรู้รอบตัว มันก็คือมันรอบตัวเลยจริง ๆ

>> ปีนี้ได้เที่ยวบ่อยมาก ๆ และโฟกัสไปกับการท่องเที่ยวในอนาคตต่อไป พวกเราพบว่าการเที่ยวเป็นการเติมแรงบันดาลใจในชีวิตที่เป็นพลังบวกที่มากจริง ๆ ถ้าไม่ได้ไปเห็นโลกกว้าง ก็อาจจะไม่มีเพจนี้

>> สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรเริ่มทำ habits ที่ดีตั้งแต่อายุน้อย ๆ คือ พวกเราไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไรกันนะคร้าบ แค่รู้สึกว่าถ้ามองไประยะยาวเป็น 10 กว่าปีเนี่ย คงไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่าสุขภาพ(และเงิน อะแน่นอนสิ🤣)

>> นอกจากการท่องเที่ยวโลกกว้างแล้ว การอ่านหนังสือก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับการเพิ่มเติมความรู้ให้กับพวกเราและเพจน้อย ๆ ของพวกเรา ปีนี้เราอ่านจบไปประมาณ 38 เล่ม (จากที่ track ไว้ใน goodreads) แอบตกใจในความเนิร์ดของตัวเองเหมือนกัน 555 แต่คิดว่าคงไม่ได้เยอะมากสำหรับสายอ่าน แต่ก็เกินที่ตัวเองตั้งเป้าเอาไว้เรียบร้อย

— — — — — — — — — — — — — —

ชวนส่องโต๊ะอาหารคริสต์มาส 3 สัญชาติ ! 🎄🎅พบกับเรื่องราวน่ารู้ของเทศกาลคริสต์มาสผ่านมุมมอง อังกฤษ 🏴󠁧󠁢󠁥󠁮󠁧󠁿 | อเมริกา 🇺🇸 | ฟ...
24/12/2024

ชวนส่องโต๊ะอาหารคริสต์มาส 3 สัญชาติ ! 🎄🎅

พบกับเรื่องราวน่ารู้ของเทศกาลคริสต์มาสผ่านมุมมอง
อังกฤษ 🏴󠁧󠁢󠁥󠁮󠁧󠁿 | อเมริกา 🇺🇸 | ฟินแลนด์ 🇫🇮

มาช้าแต่มาทันนะ แห่ะ ๆ สุขสันต์วันคริสต์มาสกับทุกท่านด้วยนะคร้าบ วันนี้เลยมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาให้เพื่อน ๆ เซฟเก็บไว้อ่านวันหยุดเสริมความอินกันสักหน่อย


คริสต์มาส (Christmas) ถือเป็นเทศกาลอันสำคัญของชาวคริสต์ในยุโรปมาอย่างยาวนาน โดยชื่อ “คริสต์มาส” มีรากศัพท์มาจากคำว่า “Christ’s Mass” ซึ่งมีรากคำมาจากคำว่า Christemasse ของภาษาอังกฤษยุคกลาง หมายถึงพิธีมิสซาเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูคริสต์ สำหรับในประเทศอังกฤษ เทศกาลนี้ได้ถูกเฉลิมฉลองในหลากหลายรูปแบบ ตามขนบธรรมเนียมและกาลเวลาที่เปลี่ยนไป จนกลายเป็นเทศกาลสุดคึกคักและสนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มื้อค่ำคริสต์มาส” (Christmas Dinner) ที่ทุกบ้านต่างรอคอยนั่นเอง 🥰


เพื่อน ๆ ที่เป็นชาวคริสต์ ในค่ำคืนนี้ก็คงเข้าโบสถ์ไปสวดภาวนากัน เราเองไม่ใช่คนคริสต์ แต่ว่าเติบโตมากับโรงเรียนคริสต์ตั้งแต่เด็ก ก็จะชื่นชอบบทเพลงคริสต์มาสเป็นพิเศษ หลายครั้งก็จะเนียนเข้าไปยืนฟังเพลงประสานเสียง ☺️🤟


ถึงแม้ดั้งเดิมเทศกาลคริสต์มาสจะจัดขึ้นเพื่อระลึกถึงการประสูติของพระเยซูคริสต์ หรือเป็นเทศกาลของศาสนาคริสต์ แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันคริสต์มาสได้เปลี่ยนรูปแบบไปพอสมควร ส่วนตัวเรามองว่ากลายเป็นเทศกาลที่มีความ “เชิงพาณิชย์” หรือ “commercialized” อย่างชัดขึ้นเรื่อย ๆ (หรือเพื่อน ๆ สายลงทุนอาจจะคุ้นกับคำว่า Santa Claus rally เป็นต้นเนอะ เราก็ด้วย 😂 วันนี้ตลาดหุ้นอเมริกาปิดเร็วกว่าเดิมด้วย ต้องเข้าไปเช็คการบ้านแพร่บ 🥲)

อะ นอกเรื่องอีกละ 🙏
งั้นในโพสนี้พวกเราขอพาเพื่อน ๆ ไปส่งท้ายสัปดาห์แห่งคริสต์มาสไปด้วยกัน กับเรื่องราวน่ารู้อ่านเพลินกันในวันหยุดยาว (คอนเซ็ปต์เดิม มาช้าแต่มานะ อิอิ)

🎄🏴󠁧󠁢󠁥󠁮󠁧󠁿 จุดเริ่มต้นของการฉลองมื้อค่ำแห่งคริสต์มาสของชาวอังกฤษ เพิ่งเริ่มในยุควิคตอเรียเหรอ ?

🎄🇺🇸 ต้นไม้คริสต์มาสจากชาวเยอรมัน และภาพคุณลุงซานตาครอสสุดอบอุ่นโดยชาวดัตช์.. แล้วก็เพลงคริสต์มาสโดยชาวอังกฤษ แต่ที่ว่ามาทั้งหมดนี้นี่คือต้นแบบเทศกาลคริสต์มาสของชาวอเมริกันนะ

🎄🇫🇮 เพื่อน ๆ ทราบไหมว่าบ้านเกิดซานตาคลอสอยู่ที่ไหน ?
(หลายท่านอาจจะตอบว่า ไม่มีหรอก… ซึ่งมันก็ใช่นะ แต่ถ้าเรามาเล่ากันสนุก ๆ ก็ขออ้างถึงต้นกำเนิดจากเมือง Rovaniemi ในแคว้น Lapland ของประเทศฟินแลนด์) แล้วเพื่อน ๆ ทราบอีกไหมว่า ธรรมเนียมในค่ำคืนคริสต์มาสอีฟนี้ สมาชิกในครอบครัวจะต้องมาอบซาวน่าด้วยกันก่อนเริ่มมื้อค่ำสุดพิเศษ !

ถ้าพร้อมแล้ว ไปอ่านเรื่องราวชวนอบอุ่นของค่ำคืนคริสต์มาสวันนี้กัน !


🎄✨ พวกเรา InfoStory สุขสันต์วันคริสต์มาสนะคร้าบทุกท่าน ขอให้เพื่อน ๆ ใช้เวลาวันหยุดยาวพักผ่อนกันให้เต็มที่
เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศหรือขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดกันให้ปลอดภัยนะคร้าบ ส่วนพวกเรา 2 คนก็สลับกันไปกรุงเทพ-เขาใหญ่ ซึ่งคิดว่ารถน่าจะติดมาก ๆ แน่นอน 😁🫶

#คริสต์มาส

“Learning of Singha Park (สิงห์ปาร์ค)” ทำไมสิงห์ปาร์คฯถึงเป็นแลนด์มาร์คท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย ?มีใครเพิ่งกลับมาจากงา...
24/12/2024

“Learning of Singha Park (สิงห์ปาร์ค)”
ทำไมสิงห์ปาร์คฯถึงเป็นแลนด์มาร์คท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย ?

มีใครเพิ่งกลับมาจากงาน Farm Festival on The Hill 2024 เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมากันบ้าง ?
เชื่อว่าเพื่อน ๆ ไปที่ได้ไปชมเทศกาลคอนเสิร์ตงานนี้ คงจะประทับใจไม่ต่างกันกับพวกเรา

เพื่อน ๆ ทราบไหมว่าความสำเร็จของงาน Farm Fest มหกรรมดนตรีกลางแจ้ง ในบรรยากาศขุนเขา ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ที่กลายเป็นคอนเสิร์ตรับลมหนาวแรกทุกปี ของเชียงราย ที่จัดต่อเนื่องมากว่าปีที่ 11 มีผู้ร่วมงานทุกปีไม่ต่ำกว่า 100,000 คน สร้างรายได้แก่จังหวัดราว 100,000,000 บาท ในช่วงจัดงาน

ไม่แปลกใจ ตอนที่เราไปมานี่คึกคักสุด ๆ 🤩🎆

อีกหนึ่งความประทับใจคือสถานที่จัดงานอย่าง “สิงห์ปาร์ค เชียงราย (Singha Park Chiang Rai)” ที่บรรยากาศดีเยี่ยมมาก ๆ

🤓 ว่าแต่เพื่อน ๆ ทราบไหมว่าที่สิงห์ปาร์ค เชียงรายมีดีมากกว่านั้นอีกเยอะมาก !
งั้นวันนี้พวกเรา InfoStory ขอพาเพื่อน ๆ ไปเรียนรู้กับสิงห์ปาร์ค เชียงรายในหลาย ๆ มุม ที่จะตอบคำถามสำคัญที่เป็นหัวข้อของเรา “ทำไมสิงห์ปาร์คฯถึงเป็นแลนด์มาร์คท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย ?”

[Singha Park Chiang Rai x InfoStory]

— — — — — — — — — — — — — — — — — —

หากให้ลิสต์สถานที่ท่องเที่ยวแนวครอบครัวประจำจังหวัดเชียงราย แน่นอนว่าทุกแผนการเที่ยวคงมี “สิงห์ปาร์ค เชียงราย” เป็นหนึ่งในจุดหมายที่ต้องไปเยือน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดร่องขุน

“สิงห์ปาร์ค เชียงราย (Singha Park Chiang Rai)” มีความโดดเด่นด้วยการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร มีพื้นที่เกษตรกรรม ไร่ชา และธรรมชาติที่สวยงามในพื้นที่กว่า 8,000 ไร่ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีศักยภาพในการรองรับการจัดกิจกรรมขนาดใหญ่และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ

แน่นอนว่าเรื่องจัดการและดูแลพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสิงห์ปาร์ค เชียงรายสามารถรองรับคนได้หลายหมื่นคน รถหลายพันคันต่อวัน เลยทีเดียว ! เรียกได้ว่าครบจบทั้งเที่ยว กิน เรียนรู้ กิจกรรมกลางแจ้งหรือ เทศกาลคอนเสิร์ต อีเว้นท์ อาร์ต อินดี้ คอมมูนิตี้ โรดโชว์ และงานนิทรรศการ

🌟 หนึ่งในไฮไลท์ที่หลายคนน่าจะชอบมาเที่ยวกันคือ กิจกรรมกลางแจ้งที่เล่นได้ตลอดทั้งปี อาทิเช่น

- เล่นซิปไลน์ (Zipline): การโหนสลิงชมวิวจากมุมสูง ท่ามกลางไร่ชาและภูเขา
- การปั่นจักรยานชมวิวที่ทอดยาวไปตามไร่ชาที่สวยงาม
- กิจกรรมปีนผาจำลอง
- สกูตเตอร์ไฟฟ้า หรือจักรยานขับกินลมชมวิว
- ขับรถ ATV (อันนี้ส่วนตัวเราชอบมาก สนุก🤩)
- ตามติดชีวิตสัตว์ภายในเส้นทางฟาร์มทัวร์ ไม่ว่าจะเป็น ม้าลาย, ม้าแคระ Pony สายพันธุ์ Shetlands, วัววาตูซี่, วัวบาหลี, หนูยักษ์คาปิบาร่า, ฝูงนกซันคอนัวร์

🍵☕ สำหรับสายเนิร์ดอย่างพวกเราที่ชื่นชอบการเที่ยวเชิงความรู้เป็นพิเศษ โดยที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย ก็จะมีให้เราได้ไปชมไร่ชา โดย สิงห์ปาร์ค เชียงรายมีพื้นที่ปลูกชากว่า 600 ไร่ มีการปลูกชาทั้ง 2 สายพันธุ์ คือ ชาอู่หลง และ ชาอัสสัม แบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 2 แบรนด์ ภายใต้แบรนด์ “สิงห์ปาร์คเชียงราย” และ “มารุเซ็น” จากประเทศญี่ปุ่น

ที่เราชอบอีกจุดนึงคือ “จุดชิมชา Special blend” ที่กว่าเราจะเลือกได้ก็นานอยู่ เพราะมีให้เลือกเยอะมาก โดยเขาจะให้เราสามารถเลือกชา ได้ 1 ชนิด เพื่อดื่มด่ำกับ รสชาติชาร้อนๆ หอมกรุ่นซึ่งชาของเรา สามารถเลือกชาชนิดต่างๆของทางไร่ อาทิ เช่น ชาเขียว ชาอู่หลง และชาดำ , ดอกไม้แห้ง และสมุนไพรต่างๆ ซึ่งช่วยให้การดื่มชามีความแปลกใหม่ ดื่มง่าย และมีสรรพคุณที่แตกต่างกัน มีให้เลือกหลากหลายชนิด


[ "Social Enterprise" โมเดลการทำธุรกิจเพื่อสังคม หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจของ "สิงห์ปาร์ค" 🩷👪 ]

ในยุคที่โลกธุรกิจไม่ได้วัดความสำเร็จเพียงแค่ตัวเลขผลกำไร แต่ยังรวมถึงการสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม "Social Enterprise" หรือ "ธุรกิจเพื่อสังคม" กลายเป็นโมเดลการดำเนินธุรกิจที่มีความยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ “สิงห์ปาร์ค เชียงราย” บริษัทนำรายได้ส่วนนำมาพัฒนาชุมชน และดูแลสิ่งแวดล้อม

นอกจากการนำรายได้คืนสู่สังคมแล้ว สิงห์ปาร์ค เชียงราย ยังส่งเสริมชุมชนและเกษตรกรรม สร้างงานสร้างรายได้ ที่เราเห็นได้ชัด ๆ เลยก็คือ การส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมภายในไร่ชาอู่หลงที่มากกว่า 7 แสนต้น หรือไม่ว่าจะเป็นการตอบแทนสังคมในรูปแบบอื่น ๆ เช่น โครงการมอบทุนอาหารกลางวันให้กับโรงเรียนในภาคเหนือ เป็นต้น

— — — — — — — — — — — — — — — — — —


⭐ อีกหนึ่งเรื่องที่เราว่า สิงห์ปาร์ค เชียงราย กำลังจะเป็นแลนด์มาร์คท่องเที่ยวที่ช่วยผลักดันจังหวัดเชียงรายที่ไม่ได้ดังแค่ในประเทศ แต่จะไปถึงระดับโลกได้เลย อย่างเช่นการจัดเทศกาลระดับโลก (ฺWorld Big Event) ที่คอยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ อาทิเช่น

- Farm Festival on the Hill ที่ดึงดูดผู้ร่วมงานหน้าใหม่ๆทุกปี สร้างรายได้แก่จังหวัดราว 100,000,000 บาท

- Asia Harley Day 2024 ที่ผ่านมา เทศกาลดนตรีและมอเตอร์ไซค์ที่จัดขึ้นโดย Harley-Davidson ซึ่งมีผู้รักรถมอเตอร์ไซค์จากกว่า 11 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม พร้อมด้วย 80 แชปเตอร์ H.O.G.™ และ 100 กว่าคลับคนรักมอเตอร์ไซค์ ที่มาสร้างสีสันให้กับเชียงราย

- International Balloon Fiesta 2025 สิงห์ปาร์ค เชียงราย ตั้งเป้าหมาย ให้เป็นเทศกาลบอลลูนนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งจะมีการนำบอลลูนกว่า 30 ลูก จาก 11 ประเทศทั่วโลกมาร่วมแสดง และยังมีการแข่งขันบอลลูนนานาชาติที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมอีกด้วย

โดยปีนี้จัดขึ้นวันที่ 13-17 ก.พ. 68 คาดว่าจะเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมายังเชียงรายอย่างแน่นอน


📌🤓 อ่านถึงตรงนี้ เราขอชวนเพื่อน ๆ กลับมาสรุปสั้นตอบคำถามของเรากัน
“ทำไมสิงห์ปาร์คถึงเป็นแลนด์มาร์คท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย ?”

1. ทำเลที่ตั้ง ใกล้สนามบิน และห่างจากตัวเมืองเชียงรายเพียง ประมาณ 15-20 นาที

2. ศักยภาพของพื้นที่ สามารถรองรับคนได้หลายหมื่นคน รถได้หลายพันคัน / สร้างเศรษฐกิจ ผ่าน Big Event ที่เป็น Magnet ช่วยดึงนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

3. "Social Enterprise" แนวคิดการทำธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพื่อกำไร แต่เพื่อตอบแทนคืนสู่สังคม


เราขอปิดท้ายการพาเพื่อน ๆ ออกไปมองภาพใหญ่จากสถิติตัวเลขภาคส่วนของการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงรายถือได้ว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่พ้นวิกฤติโควิด-19

- ในปี 2564 จำนวนนักท่องเที่ยว 1.3 ล้านคน สร้างรายได้ 7,948 ล้านบาท
- ในปี 2565 จำนวนนักท่องเที่ยว 5 ล้านคน สร้างรายได้ 34,338 ล้านบาท
- ในปี 2566 จำนวนนักท่องเที่ยว 6.1 ล้านคน สร้างรายได้ 46,773 ล้านบาท

จากความสำเร็จของการจัดงานบิ๊กอีเวนต์ที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องราวของวิสัยทัศน์ของสิงห์ปาร์ค เชียงราย ที่มีมาตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2554 คือการทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นพื้นที่แห่งความสุข และยกระดับเชียงรายให้กลายเป็น ‘World Class Destination’ เชื้อเชิญนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศเดินทางมาเยือนยังจังหวัดแห่งนี้ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจังหวัดเชียงรายเติบโตอย่างก้าวกระโดด และรายได้กลับคืนสู่จังหวัดตลอดทั้งปี



#สิงห์ปาร์คเชียงราย #เชียงราย #เที่ยวเชียงราย

"ผักเคล (Kale)" มารู้จักราชินีแห่งผัก เจ้าของผักหลากฉายา 🥗👑เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนคงคุ้นชื่อของเจ้าผักใบเขี้ยวเขียวอันนี...
17/12/2024

"ผักเคล (Kale)" มารู้จักราชินีแห่งผัก เจ้าของผักหลากฉายา 🥗👑

เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนคงคุ้นชื่อของเจ้าผักใบเขี้ยวเขียวอันนี้กันพอสมควร อาจเคยได้ยินฉายาอันหลากหลายของเจ้าของผักชนิดนี้ อย่างเช่น

"ราชินีแห่งผักใบเขียว" (Queen of Greens)
"ผักซูเปอร์ฟู้ด (Superfood)"
"ผักอายุยั่งยืน" (The Longevity Green)

เราเพิ่งอ่านหนังสือ “Food for life” จบไปมาด ๆ แล้วในเล่มนี้ก็พูดเรื่องราวของผักใบเขียว (ที่แน่นอนว่า มีผักเคลเป็นราชินี และเอ่อ...ผักกาดแก้วที่เราชื่นชอบกลายเป็น..เอ่อ ผักที่ไม่ค่อยสำคัญ แงงง 🤧)

เอาเป็นว่าในโพสนี้ พวกเรา InfoStory ขอพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกับราชินีแห่งผักใบเขียว “ผักเคล (Kale)” กันให้มากขึ้นสักหน่อย ซึ่งหน้าตาเค้าอาจจะไม่ได้เหมือนที่เราคิดไว้ก็ได้นะ ! (อย่างเช่นเราที่ชอบจำสลับกับผักคอส… เอ้า มันเป็นไปได้ยังไงเนี่ย 555 อนาถตัวเองจริง ๆ 🥲😋)

— — — — — — — — — — — — — — —

[ ผักเคล ไม่ใช่ผักหน้าใหม่แต่อย่างใด…🪴✨ ]

ผักเคล (Brassica oleracea var. acephala) มีต้นกำเนิดมาจาก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและเอเชียไมเนอร์ (แถบตุรกีและกรีซในปัจจุบัน) ชื่อ "เคล" มาจากภาษากรีกคำว่า "kale" หรือ "kal" ที่หมายถึงกะหล่ำชนิดหนึ่ง

เกริ่นมาขนาดนี้ ใช่แล้ว ! คือ ว่ากันว่า ผักเคล (Kale) เป็นหนึ่งในพืชที่เก่าแก่ที่สุดในตระกูลกะหล่ำ (Brassicaceae) และถือว่าเป็น "บรรพบุรุษของผักใบเขียว" หลายชนิดที่เรารู้จักในปัจจุบัน รวมถึงกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และบร็อคโคลี

อ่านไม่ผิด ถึงแม้ชื่อและเรื่องราวของผักเคลเนี่ย ที่เรียกว่าเป็น Superfood บ้างอะไรบ้าง อาจดูเหมือนเป็นผักชนิดใหม่ที่เพิ่งพัฒนาอัดสารอาหารอะไรแบบนี้เนอะ… หากแต่ว่าสำหรับชาวยุโรปแล้วเนี่ย ผักเคลไม่ใช่ผักใหม่แต่อย่างใด เนื่องจากมีการปลูกและบริโภคมานานกว่า 2,000 ปี !!

แล้วก็ว่ากันว่าก่อนการปลูกเลี้ยง มนุษย์อาจเก็บเกี่ยวเมล็ดที่มีน้ำมันจากพืชเหล่านี้ และมีหลักฐานว่าเริ่มมีการปลูกมัสตาร์ด ซึ่งเป็นพืชในตระกูลเดียวกัน เมื่อประมาณ 12,000 ปีก่อน

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าชาวกรีกและโรมันโบราณเริ่มปลูกและบริโภคผักเคลตั้งแต่ประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล โดยชาวกรีกเรียกผักเคลว่า "Selinon" ซึ่งเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับผักในตระกูลเดียวกัน

โดยเฉพาะในช่วงยุคกลางที่ผักเคลเป็นผักที่บริโภคอย่างแพร่หลาย เนื่องจากความสามารถในการทนต่อสภาพอากาศหนาวเย็น ในประเทศเยอรมนี ผักเคลถูกนำมาทำเป็นเมนู "Grühnkohlfahrt" ซึ่งประกอบด้วยผักเคลและไส้กรอก ส่วนในเนเธอร์แลนด์มีเมนู "Stamppot Boerenkool" ที่ผสมผักเคลกับมันฝรั่งบด ในสกอตแลนด์ คำว่า "kail" ถูกใช้เป็นคำทั่วไปสำหรับมื้ออาหาร และทุกครัวเรือนมักมีหม้อ "kail-pot" สำหรับการปรุงอาหาร


ทีนี้ คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า ในสมัยนั้นเนี่ย คือความนิยมของผักเคลมันค่อนข้างต่ำมากกก เพราะอะไรใช่มะ ? ก็เพราะว่าคนสมัยก่อนเนี่ย เค้ามองว่าเจ้าผักใบเขี้ยวเขียว รสชาติออกไปทางขมปี๋เนี่ย มันมีให้เอาไว้เป็นอาหารสัตว์มากกว่าให้คนกิน (นี่ไง ถามเอง ชงตอบเอง 😂)

อย่างไรก็ดี ความนิยมของผักเคลเนี่ย ก็ค่อย ๆ เริ่มเพิ่มขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (โอโห…วาร์ปมาไกลเลยเนอะ 🤫) คือ ผักเคลได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลอังกฤษผ่านโครงการ "Dig for Victory" ด้วยเหตุเพราะผักเคลปลูกง่าย ให้ผลผลิตสูง และมีสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพได้ดีกว่าผักใบเขียวอื่น ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่อาหารนำเข้าสู่ประเทศมีจำกัด

แล้วก็หลาย ๆ ประเทศ ก็เริ่มนำเจ้าผักเคลไปพัฒนาเพิ่มเติม เช่น ผักเคลที่อังกฤษเค้ารณรงค์ อันที่จริงก็คือ เคลสายพันธุ์ "cavolo nero" หรือ "black cabbage" จากอิตาลีเริ่มเป็นที่รู้จักในสหราชอาณาจักร ผักเคลชนิดนี้มีใบเรียวยาว สีเขียวเข้ม และมีรสชาติที่ดี(ขมน้อย) ทำให้ความนิยมในการบริโภคผักเคลเพิ่มขึ้น หรืออย่างสายพันธุ์ "Ragged Jack" ที่มีใบหยักลึก สีเขียวเข้ม และ "Black Jack" จาก Tiverton ใน Devon ผักเคลเหล่านี้ได้รับการอนุรักษ์และปลูกในชุมชนท้องถิ่นอีกเช่นกัน 🏴󠁧󠁢󠁥󠁮󠁧󠁿🇬🇧

🇺🇲 สำหรับในสหรัฐอเมริกา มีการพัฒนาสายพันธุ์ที่เรียกว่า "collards" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาหารพื้นเมืองในภาคใต้ ในอดีตสหภาพโซเวียต มีผักเคลสายพันธุ์รัสเซียที่มีใบหยักและสีแดงหรือเขียว ในสกอตแลนด์ มีการพัฒนาสายพันธุ์ที่เรียกว่า "asparagus kale" ซึ่งสามารถรับประทานยอดดอกที่คล้ายหน่อไม้ฝรั่งได้

จนปัจจุบัน ผักเคลได้รับการยอมรับว่าเป็น "ซูเปอร์ฟู้ด" (Superfood) เนื่องจากคุณค่าทางโภชนาการที่โดดเด่น นักโภชนาการและผู้รักสุขภาพได้นำผักเคลมาสร้างสรรค์เป็นเมนูอร่อย ที่กลบความขมของผักลงไปได้ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น สมูทตี้ สลัด และเคลชิป นั่นเองคร้าบ (ร่ายมายาวเชียว🥹)


[ 🤔 ความเหมือนที่แตกต่าง “เคล (Kale) vs คะน้า (Chinese Kale)” ]

อันนี้เกิดจากการสงสัยของเราเอง เพราะว่าถ้าเสิร์ชชื่อ “Kale” เนี่ย อ้าว ! มันก็ขึ้นคะน้าจีนด้วยนี่นา
เอ้ะ… แล้วมันคือยังไงนะ อยู่กลุ่มเดียวกันงั้นเหรอ ?

โอเค… แม้ว่า "เคล" และ "คะน้า" จะอยู่ในวงศ์เดียวกัน (Brassicaceae) และมีลักษณะบางประการที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองมีความแตกต่างที่ชัดเจน ทั้งในด้านลักษณะทางกายภาพ รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการ

สำหรับผักเคล (Kale) ลักษณะใบหยิก ขรุขระ รสเข้มข้น ออกขมนิด ๆ ใบนุ่มบางกรอบ วิตามิน A วิตามิน C วิตามิน K ไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ สูงกว่า

แต่ว่าเพื่อน ๆ เพิ่งอ่านเรื่องราวของผักเคลไป ถ้างั้นในส่วนนี้เราขอเล่าเรื่องราวสั้น ๆ ของคะน้าหมูกรอบ เอ้ยย..! ผักคะน้าจีน (Chinese Kale) กันสักหน่อย 🥲

🇨🇳🥬 ผักคะน้าจีน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ "คะน้า" (Brassica oleracea var. alboglabra) เป็นพืชในวงศ์กะหล่ำที่มีต้นกำเนิดในประเทศจีน โดยมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,500 ปี (ก็เก่าแก่พอ ๆ กับเคลนะแหละเนอะ)

ก็คือต้นทางมาจากที่เดียวกันคือแถบเมดิเตอร์เรเนียน แต่แบ่งสายขยายพันธุ์กันออกไปทั้งฝั่งยุโรปและเอเชียทางเส้นทางสายไหม ในเวลาต่อมาคะน้าจีนได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ในเอเชียเพื่อให้มีใบและลำต้นกรอบ ส่วนเคลในยุโรปถูกคัดเลือกให้มีใบหยิกและทนต่อสภาพอากาศหนาวเย็น

ดังนั้น แม้จะแตกต่างกันในลักษณะภายนอกและการใช้ในอาหาร แต่ทั้งสองชนิดก็มีความใกล้เคียงกันทางสายพันธุกรรมนั่นเอง

อ้อ แล้วชื่อของผักคะน้าเนี่ย เค้าก็ไม่ได้มีแค่ชื่อ Chinese kale นะ หากแต่ว่ามีชื่อเรียกอื่นอีก เช่น G*i lan (เรียกในภาษาจีน) และ Chinese broccoli

แต่ว่าคำว่า Kale ที่เป็นชื่อเรียก Chinese Kale ก็เป็นชื่อที่ชาวยุโรปเอาไว้เรียกผักเคลจากจีน คือในช่วงศตวรรษที่ 16-17 ที่ชาวยุโรปและจีนเริ่มมีการแลกเปลี่ยนสินค้าทางการเกษตรกัน จึงเรียกคะน้าจีนที่มีความคล้ายกับผักในกลุ่มเดียวกันว่า Chinese Kale เพื่อแยกแยะจากผักเคลแบบยุโรป นั่นเองคร้าบ

สำหรับเราแล้ว ผักเคล กับ คะน้าจีนเนี่ย มันก็แตกต่างกันอยู่พอสมควรนะ คือถ้าไม่บอกชื่อ เราเองก็ไม่ทราบว่ามันมาจากต้นตระกูลเดียวกัน 🤩



#ผักเคล #ราชินีผัก #เคล

แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- บทความ Where did Kale come from? จากเว็บ anappleaday
- บทความ All About Kale: The Evolution of This Popular Green จากเว็บ chelseagreen
- บทความ Fascinating facts: kale จากเว็บ RHS
- บทความ Who made that kale ? จากนิตยสาร New York Times
- บทความ The Odyssey of G*i Lan จากเว็บ visiontimes

ทำไม "มอลต์ 100%" ถึงสำคัญ ? ชวนส่องเบื้องหลังรสชาติและกลิ่นหอมของเบียร์เยอรมัน 🍻🇩🇪เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อนเราที่เ...
13/12/2024

ทำไม "มอลต์ 100%" ถึงสำคัญ ?
ชวนส่องเบื้องหลังรสชาติและกลิ่นหอมของเบียร์เยอรมัน 🍻🇩🇪

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อนเราที่เพิ่งกลับจากเยอรมันได้เล่าถึงเทศกาลเบียร์อ็อกโทเบอร์เฟสต์ (Oktoberfest) แน่นอนว่าพระเอกของงานจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก “เบียร์เยอรมัน” สีทองสว่างพร้อมฟองเบียร์หนา ๆ และกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์

ในหัวเราก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาว่า เอ้อ ! ทำไมเบียร์เยอรมันถึงได้มีเอกลักษณ์ให้เราจดจำได้ขนาดนี้นะ ?

พอคิดปุ๊ปก็เลยได้มาเห็นคลิปสาระความรู้หัวข้อ “ทำไมเบียร์เยอรมันต้องมอลต์ 100% ?” จากคุณเสถียร เสถียรธรรมะ ในช่องเปิดจักรวาลเบียร์กับพี่เถียร

จึงพอจะสรุปได้ว่า ไม่ว่าจะเป็น Lager ที่สดชื่น หรือ Dunkel ที่ดูเข้มข้น แต่หนึ่งในเคล็ดลับเฉพาะตัวที่เป็นความสมบูรณ์ของเบียร์เยอรมันจะอยู่ที่การใช้ "มอลต์ 100%" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเบียร์เยอรมันมาเนิ่นนานกว่า 500 ปี

แต่ต้องบอกว่าการใช้ "มอลต์ 100%" ที่ว่ามานี้ มันก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ
วันนี้พวกเรา InfoStory ขอพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักเรื่องราวที่ต่อยอดจากคลิปของคุณเสถียรกันต่อสักหน่อย


[ "มอลต์ (Malt)" ไม่ใช่ธัญพืชแต่คือกระบวนการสำคัญ ที่เรียกว่า มอลต์ติง (Malting) ]

ขยายความเพิ่มเติมคือ มอลต์ในที่นี้ เราไม่ได้หมายถึงข้าวบาร์เลย์ธรรมดา
แต่คือ ผลผลิตที่ได้จากการนำข้าวบาร์เลย์ไปผ่านกระบวนการที่เรียกว่า "มอลต์ติง (Malting)" กระบวนการนี้ไม่เพียงแค่ทำให้เมล็ดงอก แต่ยังเปลี่ยนคุณสมบัติภายในให้พร้อมสำหรับการหมัก และเป็นตัวกำหนดทั้ง สี กลิ่น และรส ของเบียร์ อีกด้วยนะ

มาเล่าถึงกระบวนการ "มอลต์ติง (Malting)" กันอีกสักหน่อย
กว่าจะได้มอลต์คุณภาพดีที่ใช้ในเบียร์เยอรมัน ข้าวบาร์เลย์ต้องผ่านกระบวนการมอลต์ติง (Malting) ที่พิถีพิถันถึง 3 ขั้นตอน ได้แก่

1. การแช่เมล็ด (Steeping)

ข้าวบาร์เลย์คุณภาพสูงจะถูกแช่น้ำสะอาด เพื่อให้เมล็ดเริ่มดูดซับน้ำและตื่นตัว
ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน โดยระดับความชื้นในเมล็ดจะเพิ่มขึ้นจนพร้อมสำหรับการงอก

2. การงอก (Germination)

เมล็ดเริ่มงอกออกเป็นรากเล็ก ๆ และในขั้นตอนนี้ เอนไซม์ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแป้งให้กลายเป็นน้ำตาลมอลโทส โดยจะใช้เวลา 4-5 วัน และควบคุมอุณหภูมิอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เมล็ดร้อนเกินไป

3. การอบแห้ง (Kilning หรือ Drying)

มอลต์ (Green Malt) ที่ได้จากการงอกจะถูกนำไปอบแห้งในเตาอบ เพื่อหยุดการงอกและเพิ่มกลิ่น รสชาติ และสี ระดับการคั่วของมอลต์ในขั้นตอนนี้จะกำหนดว่าเบียร์จะมีรสชาติแบบใด อย่างเช่น

🌾🟨 มอลต์คั่วอ่อน (Pale Malt) - ให้รสชาติ กลมกล่อม สดชื่น ก็จะออกมาเป็นเบียร์สีอ่อนอย่างเบียร์ Lager
🌾🟫 มอลต์คั่วเข้ม (Roasted Malt) - ให้รสชาติ ลึก ขมนิด ๆ ปนกลิ่นไหม้คาราเมล ก็จะออกมาเป็นเบียร์สีเข้มอย่างเบียร์ Dunkel


[ เบียร์เยอรมันคุณภาพสูง = เบียร์มอลต์ 100% ]

เป็นประโยคที่เราฟังจากคุณเสถียรในช่วงท้ายคลิป คือพี่เถียรบอกว่า “ผมได้ไปลองชิมเบียร์เยอรมัน แล้วติดใจ จึงยึดมั่นผลิตเบียร์ตามมาตรฐานของเบียร์เยอรมันแท้ ๆ”

ประโยคนี้น่าสนใจตรงคำว่า “มาตรฐานของเบียร์เยอรมัน” ที่มีความหมายสื่อเป็นนัย ๆ ว่า เบียร์เยอรมันคุณภาพสูง = เบียร์มอลต์ 100%

เรื่องราวตรงนี้ ต้องเล่าย้อนไปถึงกฎหมายเก่าแก่ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรฐานคุณภาพในการผลิตเบียร์เยอรมัน ที่มีชื่อว่า “Reinheitsgebot (ไรน์ไฮท์สเกอบอท)” กฎหมายฉบับนี้ถูกประกาศครั้งแรกในปี ค.ศ. 1516 โดย Duke Wilhelm IV แห่งแคว้นบาวาเรีย (Bavaria) เนื่องจากในศตวรรษที่ 16 เบียร์เป็นเครื่องดื่มหลักในยุโรป และการผลิตเบียร์ในยุคนั้นไม่ได้มีมาตรฐานเดียวกัน บางแห่งใช้ส่วนผสมที่อาจเป็นอันตราย เช่น สมุนไพรป่า หรือสารที่ไม่เหมาะสมเพื่อเพิ่มรสชาติและลดต้นทุน

โดยกฎหมาย Reinheitsgebot นี้ถือเป็นกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการผลิตเบียร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ระบุว่าเบียร์เยอรมันสามารถผลิตได้จากส่วนผสมเพียง 4 อย่างเท่านั้น ได้แก่ มอลต์ (Malt) ฮอปส์ (Hops) น้ำ (Water) และ ยีสต์ (Yeast)

พอพูดถึงมอลต์ โดยมากเบียร์เยอรมันจะใช้ยีสต์ที่ทำจากข้าวบาร์เลย์ เนื่องจากในสมัยนั้นชาวเยอรมันนิยมใช้ข้าวสาลี ไว้สำหรับการทำขนมปัง ซึ่งเป็นอาหารหลักในยุคนั้น จึงทำให้ผู้ผลิตเบียร์ใช้ต้องหันมาข้าวบาร์เลย์ (Barley) เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเบียร์ ซึ่งในเวลาต่อมาจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของเบียร์เยอรมัน หรือก็คือ “มอลต์ 100%”

“มอลต์ 100%” ก็คือมอลต์จากข้าวบาร์เลย์ (Barley Malt) เป็นวัตถุดิบหลักและไม่ผสมธัญพืชชนิดอื่น หรือวัตถุดิบที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการ มอลติง (Malting) ดังนั้น มอลต์ 100% จึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับมาตรฐานคุณภาพและเอกลักษณ์ของเบียร์เยอรมัน นั่นเอง


[ มอลต์ 100% ทำให้เบียร์เยอรมันพิเศษอย่างไร ? ]

1. รสชาติที่ "บริสุทธิ์" และกลมกล่อม

การใช้มอลต์ 100% ทำให้เบียร์มีรสชาติที่สมดุล ระหว่างความหวานจากธรรมชาติกับความขมของฮอปส์

2. บอดี้หนักแน่นและมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์

มอลต์ 100% ให้เบียร์มีบอดี้หรือเนื้อสัมผัสที่สมบูรณ์แบบ ทั้งหนักแน่นหรือบางเบาได้ตามชนิดเบียร์ อีกทั้งโปรตีนในมอลต์ช่วยสร้างฟองเบียร์ที่แน่นและละเอียด

3. สะท้อนถึงวัฒนธรรมและความภาคภูมิใจของชาวเยอรมัน

สำหรับเราแล้ว การที่เราต้องการจะสัมผัสเรื่องราวของอาหารและเครื่องดื่มของชาติไหนก็ตาม หากเราเข้าใจและอินไปกับเรื่องราวของอาหารชาตินั้น ๆ ก็จะเพิ่มคุณค่าให้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเราได้อย่างมาก สำหรับเบียร์เยอรมันก็เช่นเดียวกัน จากกฎหมายที่บังคับให้คนเยอรมันต้องผลิตเบียร์ตามแบบแผนอย่าง “Reinheitsgebot” ก็กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความตั้งใจของเยอรมนีในการผลิตเบียร์ที่บริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติมาเป็นระยะเวลากว่า 500 ปี


ย้อนกลับมานึกถึงช่วงท้ายคลิปที่พี่เถียรพูดถึงเรื่องราวของเบียร์เยอรมัน จึงทำให้เข้าใจว่า โอโห เขาต้องมีความอินและรู้ลึกถึงในเรื่องราวขนาดนี้ถึงจะผลิตเบียร์เยอรมันคุณภาพสูงออกมาได้ ตัวคลิปมีความยาวแค่ 5 นาทีเองนะ ถือว่าเป็นคลิปสั้นที่มีประโยชน์ได้รับสาระความรู้สบายสมองกันแน่นอน เดี๋ยวเราแปะลิ้งค์ให้ในคอมเมนต์นะ 🥰


#เปิดจักรวาลเบียร์กับพี่เถียร
#เบียร์ #มอลต์

- ขอขอบคุณข้อมูลจากคลิป “ทำไมเบียร์เยอรมันต้องมอลต์ 100%?” โดยคุณเสถียร เสถียรธรรมะ ผู้ก่อตั้งโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง

ที่อยู่

Bangkok
10110

เบอร์โทรศัพท์

+66839776891

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ InfoStoryผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง InfoStory:

แชร์