The People Everyone has their own inspiring story
(14)

พระองค์วรรณฯ ผู้บัญญัติศัพท์ “ประชาธิปไตย” เเละ “รัฐธรรมนูญ” “ประชาธิปไตย” เเละ “รัฐธรรมนูญ” เป็นคำที่เราได้ยินกันมานานถ...
10/12/2024

พระองค์วรรณฯ ผู้บัญญัติศัพท์ “ประชาธิปไตย” เเละ “รัฐธรรมนูญ”
“ประชาธิปไตย” เเละ “รัฐธรรมนูญ” เป็นคำที่เราได้ยินกันมานานถึง 87 ปี โดยในตอนเเรกเราไม่มีคำไทยเเละใช้เพียงคำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ ว่า “คอนสติติวชั่น” เเละ “เดโมเครซี่”
พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ หรือที่นิยมเรียกกันว่า “พระองค์วรรณฯ” เป็นผู้บัญญัติคำไทยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำว่า “ธนาคาร” (Bank) “สงคราม” (War) เเละคำที่คนไทยโหยหากันอย่าง “รัฐธรรมนูญ” (Constitution) เเละ “ประชาธิปไตย” (Democracy) เช่นกัน
อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่ลิงก์บทความในคอมเมนต์
เรื่อง : อนัญญา นิลสำริด (The People Junior)
ภาพ : Getty Images
#พระองค์วรรณฯ #ประชาธิปไตย #รัฐธรรมนูญ

09/12/2024

จากจุดเริ่มในปี 2554 ที่น้ำท่วมใหญ่ได้พัดพาสวนมะนาวของที่บ้านจมหายจนต้องลงมือปลูกใหม่ทั้งหมด และทำให้มะนาวราคาตกเพราะเกิดปัญหามะนาวล้นตลาดในเวลาต่อมา เป็นจุดเปลี่ยนให้วิศวกรหนุ่มต้องกลับบ้านเพื่อมาทำการเกษตร
ด้วยการแก้ปัญหาจากมุมมองแบบวิศวกรที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย บวกกับใช้การตลาดสมัยใหม่มาปรับใช้กับการทำเกษตรแบบดั้งเดิม เกิดเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมะนาวพร้อมดื่มรายแรก ๆ ที่เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง และต่อยอดเป็นการทำคาเฟ่สมัยใหม่กลางสวนมะนาว ที่เน้นขายอาหารและเครื่องดื่มที่แปรรูปมะนาวในทุก ๆ ส่วน
ก้าวต่อไปของ มิ้น - ฉัตรชัย ดีสวัสดิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Lemon Me Farm คือการนำมะนาวไทยไปให้โลกรู้จักความเปรี้ยวหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นส่วนชูรสของอาหารไทยหลายจานให้มากยิ่งขึ้น พร้อมกับยกระดับรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกมะนาวในพื้นที่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“ผมเชื่อว่ามะนาวไทยมันมีเอกลักษณ์ ต้มยํากุ้งที่เมืองนอกเขาใช้มะนาวโลคอลที่ไม่หอม เราก็เกิดไอเดียว่าทําไมเราไม่เอามะนาวไทยไปส่งออกนอก”
The People ชวนมารู้จักโลกของมะนาว ที่จะเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ได้รู้ว่ามะนาวไทยไม่ได้มีแค่ความเปรี้ยวเข็ดฟันเท่านั้น แต่ในแต่ละลูกยังแฝงไปด้วยความอร่อยที่แตกต่างกันอีกด้วย ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรตามไปชม Lemon Me Farm พร้อมกัน
เนื้อหา / ลำดับภาพ: The People
#นครปฐม #กลับบ้าน #มะนาว #รักบ้านเกิด #เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด #เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด2567 #มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด #ทรูคอร์เปอร์เรชั่น

เดอะมอลล์ กรุ๊ป เชิญร่วมส่งความสุขผ่าน M Smiling Box “กล่องสร้างยิ้ม อิ่มหัวใจ”บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด  ร่วมกับ กระ...
09/12/2024

เดอะมอลล์ กรุ๊ป เชิญร่วมส่งความสุขผ่าน M Smiling Box “กล่องสร้างยิ้ม อิ่มหัวใจ”
บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) และพันธมิตรทางธรุกิจทั้งภาครัฐและเอกชน เชิญลูกค้าร่วมส่งมอบความสุขผ่านกล่องสร้างยิ้มให้กับเด็กและเยาวชน ในสถานรองรับเด็ก 31 แห่ง ทั่วประเทศ ภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องในเทศกาลปีใหม่และวันเด็กประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 - 5 มกราคม 2568 ผ่าน 3 ช่องทาง ดังนี้
🏦 บริจาคผ่านบัญชีธนาคารกรุงเทพ ชื่อบัญชี เดอะมอลล์ กรุ๊ป สร้างรอยยิ้ม 009-068553-8
📱 บริจาค M Point ผ่าน M Card Application แลก 2,400 M Point = M Smiling Box 1 กล่อง
🗳️ บริจาคเพื่อสมทบทุนโครงการผ่านกล่องรับบริจาค ที่จุดชำระเงินในดีพาร์ทเม้นสโตร์ของศูนย์การค้าเดอะมอลล์ กรุ๊ป ทุกสาขา
#กล่องสร้างยิ้มอิ่มหัวใจ

บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เชิญร่วมส่งความสุขผ่านกล่องสร้างยิ้มให้เด็กและเยาวชนทั่วประเทศ ระหว่างวันท....

“สิทธิมนุษยชน คือศักดิ์ศรีของความเป็นคน ที่แบ่งแยกไม่ได้ ด้วยเพศ อายุ วัย ศาสนา เชื้อชาติ ภาษา แหล่งกำเนิด ทุกคนได้เท่าก...
09/12/2024

“สิทธิมนุษยชน คือศักดิ์ศรีของความเป็นคน ที่แบ่งแยกไม่ได้ ด้วยเพศ อายุ วัย ศาสนา เชื้อชาติ ภาษา แหล่งกำเนิด ทุกคนได้เท่ากันหมด"
นิยามคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ ผ่านมุมมอง ดร.เนติธร ประดิษฐ์สาร ผู้ช่วยบริหารประธานคณะผู้บริหาร รองกรรมการผู้จัดการด้านความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และเลขาธิการ สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) ที่มองว่า สิทธิมนุษยชน คือศักดิ์ศรีความเป็นคนของทุกคน
และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่เองก็ต้องให้ความสนใจ เพราะสิทธิมนุษยชนซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ทั้งยังเป็นตัวกำหนดว่าเราจะเติบโตและจะต้องอยู่ในสังคมแบบไหน ในอนาคต
ดังนั้น รากฐานสำคัญที่จะทำให้คนเข้าถึงเรื่องนี้ คือ การศึกษา ที่ช่วยบอกว่า สิทธิมนุษยชนคืออะไร แล้วจะทำให้เรื่องราวความเป็นมนุษย์นี้อยู่ในสังคมอย่างยั่งยืน ได้อย่างไร
“คนรุ่นใหม่ที่โตขึ้นมา เขารู้เรื่องพวกนี้แค่ไหน เขารับรู้ รับทราบ เรื่องสิทธิมนุษยชนและความยั่งยืนมากแค่ไหน แล้วเราจะปลูกฝังเรื่องนี้อย่างไรว่า โตขึ้นมาจะเอาเรื่องนี้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ “การตัดสินใจ”เลือกเรียน เลือกบริษัท เลือกสังคมที่เราจะอยู่ ซึ่งมันต้องอาศัยหลาย ๆ คน หลาย ๆ สื่อที่จะช่วยกันย้ำเตือน”
เพราะในสายตาของเขา สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ต้องเคยมีประสบการณ์และรู้ด้วยตัวเอง
“สิ่งที่ต้องปลูกฝังพอ ๆ กับเรื่องสิทธิ คือเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคม เรื่องสิทธิมนุษยชน
เราไม่รู้มีทางเข้าใจ จนกว่าเราจะมีประสบการณ์ตรงทางใดทางหนึ่ง”
นี่คือสิทธิสำหรับบุคคล แต่สำหรับภาคธุรกิจที่เป็นเหมือนการรวบรวมสิทธิของทุกคนเอาไว้ในทุกมิติ ทั้งสิทธิแรงงาน สิทธิในความปลอดภัยจากการทำงาน และสิทธิของผู้บริโภคคนหนึ่งที่ควรได้สินค้าที่มาอย่างถูกต้อง ดี และมีประสิทธิภาพ
“มันไม่ใช่การประกาศแค่ลมปาก ว่าฉันเคารพ แต่ต้องนำหลักการเรื่องสิทธิมนุษยชนเข้ามาใช้อย่างจริงจัง มีการตรวจสอบ มีตัวชี้วัด และมีการรายงานผลชัดเจน”
ติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของ ดร.เนติธร ประดิษฐ์สาร ว่าด้วยจุดบรรจบของเรื่องสิทธิมนุษชนและการดำเนินธุรกิจได้ที่ The People เร็ว ๆ นี้
#เนติธร_ประดิษฐ์สาร #เครือเจริญโภคภัณฑ์ #ธุรกิจ #สิทธิมนุษยชน #ความหลากหลาย

ฝนเดือนหก - รุ่งเพชร แหลมสิงห์ : ประกาศิตครูไพบูลย์ บุตรขัน “ถ้าไม่ดัง ฉันเลิกแต่งเพลง” บทเพลง ‘ฝนเดือนหก’ ผลงานการขับร้...
09/12/2024

ฝนเดือนหก - รุ่งเพชร แหลมสิงห์ : ประกาศิตครูไพบูลย์ บุตรขัน “ถ้าไม่ดัง ฉันเลิกแต่งเพลง”
บทเพลง ‘ฝนเดือนหก’ ผลงานการขับร้องด้วยสำเนียงสุโขทัยจากลูกคอชายหนุ่มเมืองเพชรบุรี ‘รุ่งเพชร แหลมสิงห์’ โด่งดังระงมไปทั่วท้องนาวงการเพลงลูกทุ่งไทย จนกลายเป็นหนึ่งในเพลงเอกแห่งประวัติศาสตร์วงการเพลงลูกทุ่งไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอกลักษณ์เสียงกบร้อง “อ๊บ อ๊บ” ในช่วงท่อนอินโทรของเพลง ซึ่งได้กลายมาเป็นหนึ่งในมุกตลกคลาสสิกตลอดกาลของวงการตลกไทย ที่เมื่อดนตรีอินโทรเพลงฝนเดือนหกขึ้นครั้งใด ต้องมีคนเจ็บหัวกบาลเพราะโดนเอาขันเคาะทำเป็นเสียงกบ เรียกเสียงฮาจากคนดูอยู่ร่ำไป
เหมือนว่าเวลาจะผ่านไปไม่นาน แต่เพลง ‘ฝนเดือนหก’ ที่บันทึกเสียงครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2511 ได้ขับกล่อมมิตรรักแฟนเพลงมาเป็นระยะเวลา 50 กว่าปีแล้ว ซึ่งก่อนฝนเดือนหกจะตก และกบจะร้อง “อ๊บ อ๊บ” บทเพลง ฝนเดือนหก ไม่เพียงแต่จะส่งผลทำให้ รุ่งเพชร แหลมสิงห์ กลายเป็นนักร้องดังทั่วบ้านทั่วเมืองในช่วงทศวรรษ 2510 เท่านั้น แต่ ฝนเดือนหก ยังอาจเป็นการ ‘วางเดิมพัน’ ของบรมครูเพลงลูกทุ่งไทย ‘ไพบูลย์ บุตรขัน’ ที่กำลังจะกลายเป็นไดโนเสาร์ตกยุคแห่งวงการเพลงลูกทุ่ง กลับมา ‘ดวงพุ่ง’ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ด้วยการตัดสินใจให้คนไปตามตัวนักร้องที่ชื่อ ‘รุ่งเพชร แหลมสิงห์’ มาพบที่บ้านกระท่อมน้อย เพื่อมอบเพลงที่ตั้งใจแต่งให้ รุ่งเพชร ขับร้องโดยเฉพาะ โดยกล่าวเป็นประกาศิตกับ รุ่งเพชร ไว้ว่า
“สามเพลงดังแน่นอน...ถ้าไม่ดัง ฉันเลิกแต่งเพลง”
อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่บทความในลิงก์ที่คอมเมนต์
เรื่อง : อิทธิเดช พระเพ็ชร
#ฝนเดือนหก #รุ่งเพชร_แหลมสิงห์ #เพลงลูกทุ่ง #ครูไพบูลย์ #ไอดินกลิ่นสาว #คืนฝนตก

การปรับตัวของ ‘สหพัฒนพิบูล’ ในวัย 82 ปี สู่องค์กรในฝันที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยสหพัฒนพิบูล ก่อตั้งโดย ‘เทียม โชควัฒนา’ ...
09/12/2024

การปรับตัวของ ‘สหพัฒนพิบูล’ ในวัย 82 ปี สู่องค์กรในฝันที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย
สหพัฒนพิบูล ก่อตั้งโดย ‘เทียม โชควัฒนา’ ในปี พ.ศ. 2485 เริ่มจากการขายของเบ็ดเตล็ดนำเข้าจากต่างประเทศ นำมาวางจำหน่ายในร้าน ‘เฮียบเซ่งเชียง’ ตั้งอยู่ในตรอกอาเนียเก็ง ถนนทรงวาด ขยายกิจการเรื่อยมา กระทั่งก้าวขึ้นสู่บริษัทตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รับผิดชอบกระจายสินค้ากว่า 90 แบรนด์ทั่วประเทศ มีสินค้าสำคัญอย่าง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ‘มาม่า’ น้ำยาล้างจาน ‘ไลปอนเอฟ’ ชุดชั้นใน ‘วาโก้’ และ ผงซักฟอก ‘เปา’ ก่อนจะจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ในปี พ.ศ. 2537
แม้ผู้ก่อตั้งสหพัฒนพิบูลจะจากไปแล้ว แต่มรดกที่เขาฝากไว้ยุคแล้วยุคเล่ายังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง และมีแต่จะพัฒนาก้าวล้ำขึ้นไปทุกที ผ่านการบริหารของเหล่าทายาทผู้ไม่ยอมให้ใครมาทำลายอาณาจักรแห่งนี้
The People พูดคุยกับทายาทของผู้ร่วมบุกเบิกแบรนด์มาม่า ‘เพชร พะเนียงเวทย์’ กรรมการบริษัท และผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ถึงที่มาของการปรับตัวในขวบปีที่ 82 ของสหพัฒนพิบูลให้เป็นองค์กรเบอร์ต้น ๆ ของประเทศ ที่คนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันอยากร่วมงานด้วยมากที่สุด
เชื่อว่าหลังอ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้จบ ไม่แน่คุณอาจอยากจะลองกดยื่นใบสมัครเข้าทำงานที่องค์กรแห่งนี้ก็เป็นได้ เพราะใครจะไปคิดว่าระหว่างเริ่มบทสนทนากัน ชายตรงหน้าเราก็มีพนักงานเข้ามาตามตัวไปเคลียร์งานให้จบก่อนหมดวัด จนทำเอาเขาเผลอหัวเราะออกมา พร้อมบอกว่า
“นี่แหละคือวัฒนธรรมขององค์กรเรา ทุกคนเท่าเทียมกัน จะเข้ามาตามผมไปทำงานตอนไหนก็ได้”
อ่านการปรับตัวของสหพัฒนพิบูลในมุมมอง 'เพชร พะเนียงเวทย์' ต่อได้จากลิ้งก์ในคอมเมนต์ด้านล่าง
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : สหพัฒนพิบูล
#มาม่า #สหพัฒนพิบูล #ธุรกิจ ียงเวทย์

KTC วางหมากสู่ปี 2568 ดิจิทัลเต็มรูปแบบ พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ‘KTC’ หรือ บริษัท ...
09/12/2024

KTC วางหมากสู่ปี 2568 ดิจิทัลเต็มรูปแบบ พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน
ในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ‘KTC’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้วางแผนยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับปี 2568 ด้วยแนวคิด ‘Building a Sustainable Future Through Digital Transformation’ ที่เน้นย้ำการปรับตัวเพื่อสร้างองค์กรดิจิทัลที่ยั่งยืน
เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นองค์กรดิจิทัลเต็มรูปแบบ ทาง KTC ได้กำหนด 4 แนวทางสำคัญ ดังนี้
1. Reach Better ด้วยการพัฒนา E-Application ที่สะดวกและปลอดภัย ช่วยให้ลูกค้าสมัครใช้บริการได้ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการด้วยตัวเอง พร้อมการปรับปรุงโมเดล Credit Scoring เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินเชื่ออย่างแม่นยำ
2. Grow Healthier ด้วยการบริหารฐานข้อมูลสมาชิกให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มฟังก์ชันใหม่บนแอป KTC Mobile เพื่อให้สมาชิกเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการได้ง่าย ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
3. Bond Tighter ด้วยการเพิ่มความปลอดภัยและการใช้งานที่สะดวกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Line Connect, Facebook และแอปพลิเคชัน KTC Mobile รวมถึงการปรับปรุงบริการของ Contact Center ให้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
4. Work Smarter ด้วยการพัฒนาทักษะด้านไอทีให้บุคลากร พร้อมนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย และเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
คุณพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC เน้นย้ำว่า การเติบโตของ เคทีซี ไม่ใช่การขยายแบบไร้ทิศทาง แต่ต้องอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ โดย Digital Transformation จะเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน และต้องพัฒนาระบบให้ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าและองค์กร
“เราต้องปรับระบบรองรับ มันมีเรื่องของมิจฉาชีพ พวก fraud ทั้งหลาย เราต้องพัฒนาระบบของเราให้ปลอดภัย เป็น priority ไอทีต้องช่วยเราพัฒนา เราจะใช้ดิจิทัลเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน Digital Transformation คือกระบวนการที่เราจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาวิธีการทํางาน โดยใช้เรื่องเทคโนโลยีมาช่วย เพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เมื่อเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ และลดค่าใช้จ่ายได้ การเติบโตจะยั่งยืน แต่ทั้งนี้ การทำ Digital Transformation เป็นเรื่องระยะยาว เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไปตลอดเวลา ความต้องการของคนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
“เราพูดเสมอว่าโครงสร้างหรือรากฐานที่แข็งแรงของ เคทีซี มาจาก 3 เรื่อง คือ คน กระบวนการ และเทคโนโลยี เคทีซี เติบโตมาได้ด้วยความแข็งแกร่งจากทั้ง 3 ตัวนี้ เป็น foundation ที่เราจะต่อยอดด้วย digital transformation”
ในปี 2568 KTC ตั้งเป้าขยายฐานสมาชิกใหม่เพิ่มอีก 250,000 บัตร โดยมุ่งเน้นกลุ่มคนที่มีรายได้ 50,000 บาทขึ้นไป โดย คุณประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต ชี้ว่า แม้จะมีการแข่งขันสูง และการเข้ามาของ Disruption ใหม่ ๆ แต่ KTC สามารถรักษาความแข็งแกร่งของพอร์ตสมาชิก ด้วยอัตราการใช้งานบัตรถึง 94% ซึ่งสูงที่สุดในอุตสาหกรรม
“สิ่งที่ทำให้ เคทีซี เติบโตได้ดีกว่าตลาด อย่างแรก คือ พอร์ตโฟลิโอ ปัจจุบัน เรามีลูกค้าอยู่ที่ 2.2 ล้านคน มีบัตรอยู่ 2.7 ล้านใบ เราเป็นบัตรเดียวเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่มีแอคทีฟสูงสุด ในหนึ่งปี ลูกค้าหยิบบัตรมาใช้สูงถึง 94% นอกจากนี้ ช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา เราพยายามที่จะ shift port ลูกค้าของ เคทีซี มาเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 5 หมื่นขึ้นไป เรามองเห็นว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างช้า ๆ กลุ่มคนที่มีกําลังซื้อน่าจะเป็นกลุ่มที่ทำให้เราเติบโตได้ โดยในปีหน้าธุรกิจบัตรเครดิต เรายังคงตั้งเป้าการเติบโตอยู่ที่ 10 - 12%”
ส่วนกลยุทธ์ด้านสินเชื่อส่วนบุคคล เน้นการตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความรวดเร็วและยืดหยุ่น ด้วย E-Application ที่ช่วยให้ลูกค้าสมัครสินเชื่อและรับเงินโอนได้ภายใน 30 นาที คุณพิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อบุคคล ได้กล่าวถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ลูกค้าสามารถรูด โอน กด และผ่อนชำระได้ครบในบัตรเดียว
“ในส่วนของปี 2024 ถือว่าเราเติบโตได้ดี แม้ว่าตลาดธุรกิจสินเชื่อจะมีการเติบโตที่ลดลง อัตราเอ็นพีแอลของ เคทีซี ยังคงยืนมาตรฐานได้ต่ำกว่าอุตสาหกรรรมค่อนข้างมาก ประมาณ 2.8% ขณะที่อุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 3.3 % นั่นหมายความว่าเรายังยึดเป็นแกนในทิศทางนี้ต่อไป เราจะเติบโตไปพร้อมกับคุณภาพ โดยปี 2025 ตั้งเป้าไว้ว่าเราจะโตประมาณ 3%”
“เรื่องแรก เราต่อยอดจากตัว อี-แอปพลิเคชัน เป็นส่วนที่ เคทีซี ทำแล้ว สามารถที่จะ apply ได้ทั้งบัตรเครดิตและตัวสินเชื่อบุคคล อี-แอปพลิเคชัน จะมาเป็นเครื่องมือหลักให้เราประยุกต์ นั่นคือ หากลูกค้าสินเชื่อมีเรื่องฉุกเฉินต้องการใช้เงินด่วน เราก็คิดว่า จะดีกว่ามั้ย ถ้าลูกค้าสามารถที่จะขอเงินสินเชื่อได้ด้วยตนเอง ผ่านช่องทางออนไลน์ที่ อี-แอปพลิเคชันของเรา มากไปกว่านั้น คือเราพยายามที่จะตอบโจทย์ลูกค้าตรงการอนุมัติภายใน 30 นาที นอกจากนี้ยังมีเรื่องการผ่อนชําระ จะเน้นไปที่การผ่อนชําระมากกว่า 10 เดือน ทำให้เป็นการแบ่งเบาภาระผู้บริโภค”
ด้านสินเชื่อรถยนต์ ‘พี่เบิ้ม รถแลกเงิน’ เน้นการขยายตลาดในกลุ่มที่มีรายได้ประจำหรือเจ้าของกิจการขนาดเล็ก พร้อมมอบวงเงินสูงสุด 100% ของราคาประเมิน และอนุมัติภายใน 1 ชั่วโมง คุณเรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อรถยนต์ กล่าวว่า
“สำหรับ เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน ปีนี้อาจจะไม่ใช่ปีที่สดใส แต่เรามีความหวังว่าในปีหน้า สถานการณ์ธุรกิจน่าจะดีขึ้น ทิศทางของเคทีซี พี่เบิ้ม เราเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาคุณภาพของสินเชื่อของเราให้ดีอย่างต่อเนื่อง พอร์ตเราไม่ได้ใหญ่ แต่พอร์ตเรามีคุณภาพแข็งแรง แล้วมีอัตราหนี้เสียที่ต่ำ ในปีหน้าเราจะเน้นไปในกลุ่มลูกค้าที่มีความสี่ยงไม่สูง คือกลุ่มคนที่มีรายได้ประจํา หรือเจ้าของกิจการขนาดเล็กที่มีที่มาของรายได้ชัดเจน”
“จุดเด่นของเรา คือเรื่องการให้วงเงินใหญ่อนุมัติไวรับเงินทันที เรามีแผนที่จะให้วงเงินสูงสุด 100% ของราคาประเมิน ถ้าใครไม่ปล่อยให้มาหาเคทีซี พี่เบิ้ม”
จากการแถลงข่าวถึงทิศทางในปี 2568 KTC พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน ผ่าน Digital Transformation ซึ่งจะเป็นเสาหลักที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพและความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งคุณภาพการให้บริการและการเติบโตขององค์กร
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

09/12/2024

ถอดบทเรียนชีวิตกับ 'ภิพัชรา แก้วจินดา' ดีไซเนอร์และผู้ก่อตั้ง PIPATCHARA
ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2024
สามารถดูคลิปสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ทาง
Facebook Fanpage : The People
Youtube channel : THEPEOPLECoOfficial
#ภิพัชรา #แฟชัน

09/12/2024
“สิ่งที่คุณทำ ส่งเสียงดังจนผมไม่ได้ยินสิ่งที่คุณพูด” นี่เป็นคำพูดที่หลายคนนำไปอ้างอิงบ่อย ๆ แม้แต่ในสุนทรพจน์ของ ‘จอห์น ...
09/12/2024

“สิ่งที่คุณทำ ส่งเสียงดังจนผมไม่ได้ยินสิ่งที่คุณพูด”
นี่เป็นคำพูดที่หลายคนนำไปอ้างอิงบ่อย ๆ แม้แต่ในสุนทรพจน์ของ ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ แต่แท้จริงแล้ว ‘ราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สัน’ กวีและนักปรัชญาชาวอเมริกัน อาจไม่ได้พูดแบบนั้นตรง ๆ เพราะบางครั้งก็จะเห็นการอ้างอิงว่าเอเมอร์สันพูดว่า “สิ่งที่คุณเป็น ส่งเสียงดังจนผมไม่ได้ยินสิ่งที่คุณพูด”
แต่ไม่ว่าจะเป็นประโยคไหน ทั้งสองประโยคก็ล้วนสื่อถึงหลักการเดียวกันว่า การกระทำเสียงดังฟังชัดกว่าคำพูด และการที่เราเป็นคนอย่างไร สามารถสะท้อนออกมาผ่านการกระทำได้มากกว่าคำพูด
ในชีวิตประจำวัน เรามักจะได้ยินคำพูดที่สวยหรูและมีความหมายดีจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคำสอน คำแนะนำ หรือข้อคิดเตือนใจ ให้เราใช้ชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น
คำพูดเหล่านี้จะศักดิ์สิทธิ์และน่าเชื่อถือ หากการกระทำของคนพูด สอดคล้องไปกับสิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากปากของพวกเขา
แต่หากคนพูดยังทำไม่ได้อย่างที่พร่ำสอนคนอื่น คนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเพียง ‘เครื่องประดิษฐ์คำ’ ที่ไร้ราคา ใครได้ยินก็ได้แต่แอบยิ้มมุมปาก
ส่วนคำพูดที่เราคิดว่าเป็น ‘ยาพิษ’ ที่สุด คือ “คำสัญญาที่คนพูดทำไม่ได้”
คำสัญญาอาจฟังดูจูงใจในตอนแรก ทำให้เราเผลอคล้อยตาม จะด้วยความไร้เดียงสา ไม่ทันระวัง หรือเชื่อใจคนง่ายไป อะไรก็แล้วแต่ ทว่าเมื่อถึงเวลาจริง เจ้าตัวกลับไม่ได้ทำตามที่พูดเลย ร้ายสุดคือทำเป็นหลงลืมว่าตัวเองเคยพูดอะไรเอาไว้บ้าง กล่าวหาว่าคนฟังนั่นแหละ ที่เลอะเทอะ เพ้อเจ้อ (ซะอย่างนั้น)
แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อย ๆ การกระทำของคนเหล่านี้ ก็จะบอกเราได้ว่า เขาเหล่านั้นเป็นคนอย่างไร และคู่ควรกับการหยิบยื่นโอกาสหรือมอบหมายงานที่ยิ่งใหญ่ให้รับผิดชอบหรือไม่
ในการทำงาน หรือในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การกระทำที่แสดงออกถึงความรับผิดชอบ ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อ และความเข้าใจ จะสร้างความเชื่อถือและความเคารพมากกว่าการพูดสวย ๆ ที่อาจจะทำให้คนอื่นรู้สึกเพียงแค่ความล่องลอย ว่างเปล่า
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณพูดเสมอว่าคุณรักและห่วงใยคนรอบข้าง แต่คุณไม่แสดงออกด้วยการดูแลหรือช่วยเหลือเมื่อพวกเขาต้องการ ความรักนั้นจะเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า ตรงข้าม ถ้าคุณแสดงออกด้วยการกระทำโดยการอยู่เคียงข้างเมื่อพวกเขาต้องการ ความรักนั้นต่างหากที่จะมีค่าและยั่งยืน
โดยสรุปแล้ว การกระทำสำคัญกว่าคำพูดแต่ไหนแต่ไรมา เพราะมันสะท้อนตัวตนและความจริงใจของคนเรา คำพูดอาจสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ก็จริง แต่การกระทำคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าเราจะสามารถเชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูดได้หรือไม่ ดังนั้นแล้ว ต่อไปนี้ อย่าให้คำพูดใครมาหลอกลวงเราได้อีก แต่จงให้ความสำคัญกับการกระทำที่แสดงออกถึงความรู้สึกภายในจริง ๆ
สวัสดีวันจันทร์ค่ะ
พาฝัน ศรีเริงหล้า
#สวัสดีวันจันทร์ #คำพูด #คำสัญญา #การกระทำ #การทำงาน #ความรัก

“คุณไม่สามารถคาดหวังให้ต้นมะม่วงต้นเล็ก ๆ ที่คุณเพิ่งเริ่มปลูก ออกลูกออกผลได้ในปีเดียว นั่นสอนผมในฐานะนักดนตรีว่า ผมสามา...
09/12/2024

“คุณไม่สามารถคาดหวังให้ต้นมะม่วงต้นเล็ก ๆ ที่คุณเพิ่งเริ่มปลูก ออกลูกออกผลได้ในปีเดียว นั่นสอนผมในฐานะนักดนตรีว่า ผมสามารถทำงานโดยไม่หวังผลในวันนี้ แต่รอให้มันเติบโตในอนาคต”
ถ้าพูดถึงชื่อของ เจสัน มราซ (Jason Mraz) หลายคนอาจรู้จักเขาในฐานะ นักร้อง นักแต่งเพลงชื่อดัง ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในอุตสาหกรรมดนตรี ชื่อของมราซกลายเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างจากเพลงฮิตอย่าง ‘I’m Yours’ โดยอัลบั้ม Waiting For My Rocket To Come (ผลงานชุดแรก) และ We Sing. We Dance. We Steal Things (ผลงานชุดที่สาม) กลายเป็นผลงานที่มียอดขายระดับแพลทินัม และยังทำให้เขาได้รางวัลแกรมมี่ อวอร์ดส กลับไปนอนกอดที่บ้านอีกด้วย
มราซเป็นนักร้องที่ขึ้นชื่อเรื่องการใช้ชีวิตแบบสมถะพอมีพอกิน และมักจะใช้เวลากับงานการกุศลบ่อยครั้ง อาจจะเพราะด้วยการที่เขาเป็นมังสวิรัติ และเลื่อมใสในหลักพุทธศาสนา ไม่แปลกที่ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เขารู้สึกอิ่มตัวกับการใช้ชีวิตเป็นนักดนตรี จนกระทั่งหลังจากปล่อยผลงานชุดที่ห้า Yes! ในปี 2014 มราซตัดสินใจหันหลังให้วงการเพลงกว่าสี่ปี เพื่อไปทำไร่อะโวคาโดของตัวเองในซานดิเอโก
กิจการไร่อะโวคาโดของมราซโตเร็วกว่าที่เขาคาด จนมันกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิต และทำรายได้ให้เขาเป็นจำนวนมาก แต่มากกว่าเรื่องเงินตรา เขาพบปรัชญาการใช้ชีวิต และพบความสุขในการเล่นดนตรีอีกครั้งจากการทำไร่อะโวคาโด เรียกได้ว่ามันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอัลบั้มชุดที่หกของเขาคือ Know
อ่านเรื่องราวของเขาต่อได้ในคอมเมนต์
หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม 2019
#เจสันมราซ #อะโวคาโด

[ Music ] เมื่อคำว่า “ขอโทษ” กลายเป็นบทเพลงElton John - Sorry Seems to Be the Hardest Wordข่าวสุขภาพของ ‘เอลตัน จอห์น’ (...
08/12/2024

[ Music ] เมื่อคำว่า “ขอโทษ” กลายเป็นบทเพลง
Elton John - Sorry Seems to Be the Hardest Word
ข่าวสุขภาพของ ‘เอลตัน จอห์น’ (Elton John) ในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองปลายปี 2024 ทำให้โลกดนตรีต้องหยุดนิ่งลงชั่วขณะ เขาเปิดเผยว่าได้สูญเสียการมองเห็นจากการติดเชื้อรุนแรง ข้อจำกัดนี้ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นเวทีการแสดงใหม่ของตัวเอง และยังทำให้มีปัญหาในการทำเพลงใหม่ ๆ อีกด้วย
ในวัย 77 ปี แม้เอลตันจะพยายามเดินหน้าไปพร้อมความท้าทายนี้ แต่ในเวลาเดียวกัน นี่คือห้วงเวลาที่แฟนเพลงต่างหันมาทบทวนถึงบทเพลงมากมายอันเป็นตำนานของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ‘Sorry Seems to Be the Hardest Word’ เพลงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงาม
Sorry Seems to Be the Hardest Word เป็นหนึ่งในเพลงที่สะท้อนจิตวิญญาณของ เอลตัน จอห์น และ ‘เบอร์นี เทาพิน’ (Bernie Taupin) โดยปกติ คู่หูนักแต่งเพลงรายนี้จะมีสูตรสำเร็จในการสร้างสรรค์เพลง โดย เบอร์นี จะเขียนเนื้อร้องก่อน แล้ว เอลตัน จะสร้างเมโลดี้ตาม ทว่า เพลงนี้คือข้อยกเว้น
ตัวเพลงถูกประพันธ์ขึ้นในปี 1975 ในช่วงที่เอลตันกำลังนั่งเล่นเปียโนในอพาร์ตเมนต์ที่นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ท่วงทำนองอันเศร้าสร้อยเริ่มต้นขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ แล้วคำถาม "What have I got to do to make you love me?" ก็ผุดขึ้นมาจากปากของเขา เบอร์นีที่อยู่ในห้องเดียวกัน พอได้ยินทำนองและไอเดียนั้น เขาก็ตอบกลับด้วยคำว่า "Sorry seems to be the hardest word" ก่อนจะรีบไปเขียนเนื้อร้องที่เหลือในเวลาไม่นาน
เพลงนี้เป็นตัวแทนของความรู้สึกที่ใครหลายคนคงเคยพบเจอ ความพยายามที่จะกอบกู้ความสัมพันธ์ ที่รู้ว่าลึก ๆ แล้ว ไม่มีทางฟื้นคืนได้ นั่นคือความเจ็บปวดที่ “ขอโทษ” เพียงคำเดียวไม่สามารถแก้ไขได้ เอลตัน ได้ใช้เสียงร้องและการบรรเลงเปียโนของเขาเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะการใช้โทนเสียงสูงสุด ในท่อนที่ร้องว่า "It’s a sad, sad situation" สะท้อนถึงความเจ็บปวดที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก
เบอร์นี เทาพิน เคยให้สัมภาษณ์ว่า Sorry Seems to Be the Hardest Word เกิดจากแนวคิดที่เรียบง่าย แต่มีพลังสะเทือนใจ มันคือเรื่องราวของคนที่พยายามรักษาความสัมพันธ์ที่กำลังพังทลาย ทั้งที่ลึกๆ ในใจรู้ดีว่ามันจบลงแล้ว ความขัดแย้งทางอารมณ์นี้ - ความหวังเล็กๆ ที่ยังพยายามคว้าสิ่งที่สูญเสียไป และความจริงที่ยอมรับไม่ได้ - สะท้อนออกมาในทุกท่อนของบทเพลง
เอลตัน จอห์น ถ่ายทอดความรู้สึกนี้ผ่านท่วงทำนองที่เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย เสียงเปียโนในเพลงทำหน้าที่เหมือนหัวใจที่เต้นช้าลง เมื่อความหวังเริ่มริบหรี่ ในขณะที่เนื้อร้องตั้งคำถามที่ไม่มีคำตอบ อย่าง “What do I do when lightning strikes me?” ซึ่งไม่ใช่คำถามธรรมดา แต่เป็นเสียงสะท้อนของความรู้สึกสับสน ความสูญเสีย และความอ้างว้างที่ลึกซึ้งที่สุด
เทาพิน ขยายความว่า “มันคือความรู้สึกที่เราไม่อยากให้ใครต้องเจอ แต่ลึกๆ แล้ว รู้ดีว่ามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับทุกคนที่มีความรัก”
ในเชิงดนตรี เพลงนี้ถูกประพันธ์ในคีย์ G minor ซึ่งเป็นหนึ่งในคีย์ที่มีพลังของความเศร้า คอร์ดโปรเกรสชันเริ่มต้นที่ Gm ก่อนจะเคลื่อนไปยังคอร์ด Eb major และ F major ซึ่งสร้างความสมดุลระหว่างความมืดมนและความหวัง การใช้คอร์ดในเพลงที่เลื่อนไหลระหว่าง ไมเนอร์ กับเมเจอร์ ช่วยสร้างบรรยากาศที่เหมือนการดิ้นรนเพื่อหนีจากความเศร้า แต่ก็ยังคงจมอยู่ในความเจ็บปวดที่ไม่อาจสลัดหลุดได้
คอร์ดเหล่านี้ถูกจัดวางอย่างประณีต เพื่อให้รู้สึกถึงความไม่แน่นอนของอารมณ์ บางครั้งมีการเคลื่อนที่ของคอร์ดแบบโครมาติก (Chromatic) ทำให้เกิดความรู้สึกที่เหมือนอารมณ์กำลังดิ่งลึกลงเรื่อยๆ โดยไร้จุดสิ้นสุด เสียงเปียโนของเอลตันที่แสดงออกถึงความละเอียดอ่อนและเจ็บปวด ถูกเติมเต็มด้วยไลน์เสียงสูงที่เขาร้องออกมาด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี
Sorry Seems to Be the Hardest Word คือการเล่าเรื่องราวผ่านเสียงดนตรีที่เต็มไปด้วยความจริงใจ เมื่อเราฟัง เราไม่ได้ยินเพียงแค่โน้ตหรือคอร์ด แต่เรากำลังฟังบทสนทนาในใจของใครบางคน ที่กำลังพยายามหาคำตอบในความสัมพันธ์ที่พังทลาย ก่อนจะลงเอยด้วยการเผชิญหน้ากับความสูญเสีย และยอมรับความจริง
เพลงถูกตีความใหม่ในหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือเวอร์ชันของวง บลู (Blue) ที่ร่วมร้องกับเอลตันในปี 2002 ซึ่งครองอันดับ 1 ในหลายประเทศ การนำเพลงนี้กลับมาในครั้งนั้น ทำให้ตัวเพลงซึ่งเคยได้รับความนิยมจากยุคเซเวนตีส์ ก้าวข้ามมาถึงยุคสหัสวรรษใหม่ และยืนยันความเป็นอมตะ
อีกเวอร์ชันที่สำคัญคือการร้องคู่กับ ‘เรย์ ชาร์ลส์’ (Ray Charles) ในปี 2004 ซึ่งเป็นการบันทึกเสียงสุดท้ายของ เรย์ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต โดย เรย์ ได้เลือกเพลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้มสุดท้ายในชีวิตของเขา ชุด Genius Loves Company ซึ่งได้รับความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ รวมถึงรางวัลแกรมมี่
ในช่วงเวลาที่บันทึกเสียง เรย์ กำลังป่วยหนักและอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เอลตัน เล่าว่า เรย์ อยู่ในสภาพอ่อนแอ แต่ยังคงมีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยพลัง สำหรับ เอลตัน การบันทึกเสียงร่วมกันในวันนั้นเป็นประสบการณ์ที่สะเทือนอารมณ์และให้แรงบันดาลใจอย่างมาก เรย์ เป็นศิลปินที่เปลี่ยนโลกดนตรีด้วยพรสวรรค์และความจริงใจ เขาได้ถ่ายทอดความเศร้าผ่านเสียงร้องที่เต็มไปด้วยอารมณ์และประสบการณ์ เสียงร้องของ เรย์ สะท้อนถึงความจริงในชีวิต - ไม่ว่าจะเป็นความเศร้าที่ไม่อาจบรรยาย ความทรงจำที่ไม่อาจเลือน และการยอมรับชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกหนี
การร้องคู่ของ เอลตัน และ เรย์ บอกเล่าความเปราะบางของมนุษย์ สะท้อนถึงช่วงเวลาแห่งการยอมรับและการอำลาที่ใกล้เข้ามา ทั้งนี้ เอลตัน จอห์น เคยกล่าวในภายหลังว่า เขาเก็บเสียงพูดคุยและการทำงานร่วมกับ เรย์ ชาร์ลส์ ไว้ในรูปแบบ outtakes และถือเป็นสมบัติอันล้ำค่า
ความสำเร็จของ Sorry Seems to Be the Hardest Word ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขในชาร์ตเพลงหรือจำนวนรางวัลที่ได้รับ แต่คือความสามารถในการสัมผัสหัวใจของผู้ฟัง และทำให้รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เผชิญกับความเจ็บปวดเพียงลำพัง บทเพลงได้แสดงให้เห็นว่าในโลกที่แสนสลับซับซ้อน ความจริงใจยังคงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด
เมื่อมองกลับไปยังสุขภาพของ เอลตัน จอห์น ในปัจจุบัน และความท้าทายในชีวิตที่เขากำลังเผชิญ การสดับฟัง ‘Sorry Seems to Be the Hardest Word’ ทำให้เราเห็นความสำคัญของการเผชิญหน้ากับความยากลำบากในชีวิต และย้ำเตือนถึงความเปราะบางของมนุษย์ แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นบทเรียนอันแสนเรียบง่ายที่เรายังสามารถเรียนรู้ได้ในทุกช่วงชีวิต.
เรื่อง : อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ : Getty Images
#ดนตรี

ทำไม ‘ธันวาคม’ จึงเป็นเดือนแห่งการลาออก?ใกล้ช่วงปีใหม่ทีไร ผู้คนมักคิดถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ ยิ่งถ้าเป็น ‘คนทำงาน’ ที่...
08/12/2024

ทำไม ‘ธันวาคม’ จึงเป็นเดือนแห่งการลาออก?
ใกล้ช่วงปีใหม่ทีไร ผู้คนมักคิดถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ ยิ่งถ้าเป็น ‘คนทำงาน’ ที่ไม่พอใจกับงานปัจจุบัน การลาออกเพื่อเริ่มต้นงานใหม่อาจเป็นสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวในช่วงปลายปี
แต่ถามว่าเดือน ‘ธันวาคม’ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการลาออกจริงหรือ?
จากผลสำรวจของ ‘Visier’ ในปี 2021 พบว่า หลายคนมักคิดถึงการลาออกในช่วงวันหยุด โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาวหรือวันพักผ่อน ซึ่ง ‘Forbes’ เรียกพฤติกรรมนี้ว่า ‘แนวโน้มลาออกหลังวันหยุด’
แล้วทำไมช่วงเดือนธันวาคมถึงเป็นช่วงที่คนรู้สึกว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมในการลาออก? จากบทความของ metro.co.uk นักวิจัยชี้ให้เห็นสาเหตุหลักที่ทำให้พนักงานคิดลาออก ดังนี้
🟢การตั้งเป้าหมายในปีใหม่
เดือนมกราคมใกล้เข้ามาเต็มที่และมันเต็มไปด้วยความคาดหวัง เป็นโอกาสใหม่สำหรับหลายคนในการเริ่มต้นใหม่และตั้งเป้าหมายปีใหม่ ซึ่งทำให้บางคนรู้สึกว่าเวลานี้คือช่วงที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนแปลง
🟢การเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์
ความสัมพันธ์ในเดือนธันวาคมมีผลต่อการตัดสินใจลาออก สำหรับบางคน เทศกาลนี้อาจกระตุ้นการตัดสินใจลาออกเนื่องจากทั้งการขอแต่งงานและการเลิกลาเกิดขึ้นมากในช่วงนี้ ซึ่งสามารถกระตุ้นให้คนทบทวนชีวิตและงานของตัวเอง
🟢การทบทวนในช่วงเทศกาล
ช่วงวันหยุดยาวมักเป็นเวลาที่คนจะได้ทบทวนชีวิต และหากพวกเขารู้สึกไม่พอใจกับงานที่ทำในปีที่ผ่านมา การทบทวนในช่วงเทศกาลอาจเป็นการกระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจลาออก
🟢ความรู้สึกหมดหวังเกี่ยวกับปีใหม่ในที่ทำงาน
สำหรับคนที่ไม่พอใจในงาน ความคิดที่ว่าทุกอย่างจะยังคงเหมือนเดิม หลังปีใหม่อาจทำให้พวกเขารู้สึกว่าเวลานี้คือจังหวะที่ดีที่สุดในการลาออก
📌ความจริงแล้ว เดือนธันวาคมเป็นเดือนที่เหมาะสมในการลาออกหรือไม่?
หากตลอดทั้งปี คุณรู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องลาออกจากงาน แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ ตอนนี้คุณอาจสงสัยว่าเดือนธันวาคมเป็นเวลาที่ดีในการลาออกหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะมกราคมที่ใกล้เข้ามาเป็นเดือนที่ดีที่สุดในการสมัครงาน เนื่องจากบริษัทมักได้รับงบประมาณสำหรับการจ้างงานใหม่และเริ่มเปิดรับสมัครงานในช่วงต้นปี
อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม แม้จะมีการเปิดรับงานมากขึ้น แต่กระบวนการอาจช้าลง เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังคงปรับตัวหลังจากวันหยุด และมีการแข่งขันจากคนอื่นที่ต้องการเริ่มต้นใหม่ในปีใหม่เหมือนกัน
หากบริษัทของคุณมักจ่ายโบนัสปีใหม่ในเดือนธันวาคม ควรพิจารณารอจนกว่าจะได้รับโบนัสก่อนลาออก และใช้เวลานั้นวางแผนการออกจากงาน
📌 วิธีที่ดีที่สุดในการลาออกจากงาน
การลาออกจากงานเป็นการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง สิ่งสำคัญคือการมีแผนที่ชัดเจนก่อนการลาออก โดยควรพิจารณาแนวโน้มในอุตสาหกรรม, สถานการณ์ทางการเงิน, และเหตุผลที่ลาออก เพื่อให้สามารถวางแผนหางานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการได้งานที่ต้องการ
โดยสรุปคือ การลาออกในเดือนธันวาคมไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่คุณต้องทำให้ถูกวิธีและขั้นตอน โดยเฉพาะเพื่อการเตรียมตัวกรณีที่เงินชดเชยอาจล่าช้าไปสักเดือนสองเดือน ที่สำคัญควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับโบนัสแล้ว เพราะโบนัสคือสิ่งที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท อย่างไรก็ตาม คุณควรลาออกอย่างมีความสุภาพ ไม่ให้ดูเหมือนว่ามีแค่เรื่องเงินเป็นแรงจูงใจ โดยเฉพาะหากคุณต้องการคำรับรองที่ดีจากที่ทำงานเดิม
เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
#ลาออก #พนักงาน #คนทำงาน #เดือนธันวาคม #ธันวาคม

‘สู้ดิวะ’ หนังสือที่ ‘หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล’ พยายามบอกทุกคนว่า ‘ชีวิตปกติธรรมดา’ (ที่ไม่ต้องซื้อ ‘อากาศ’ หายใจ) เป็นของขว...
08/12/2024

‘สู้ดิวะ’ หนังสือที่ ‘หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล’ พยายามบอกทุกคนว่า ‘ชีวิตปกติธรรมดา’ (ที่ไม่ต้องซื้อ ‘อากาศ’ หายใจ) เป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดแล้ว
ช่วงปีใหม่ หลายคนคงลิสต์ไว้ในใจแล้วว่า จะซื้ออะไรเป็น ‘ของขวัญ’ ให้ตัวเองและคนที่รัก
แน่นอนว่า เราคงคาดหวังจะได้ในสิ่งที่ไม่เคยครอบครอง สิ่งที่เราหมายตาเอาไว้มาตั้งแต่ต้นปี หรือสิ่งที่เราอาจจะเคยมี แต่เราก็อยากได้ชิ้นใหม่ เพื่อทดแทนของเดิมที่ชำรุดตามกาลเวลา
เรามองหาแต่สิ่งที่ไม่มีหรือที่ขาดหาย จนหลงลืมไปว่า สิ่งที่เรามีอยู่กับตัวแล้ว บางทีมันอาจจะเป็น ‘ของขวัญ’ ที่ล้ำค่าที่สุดก็ได้
‘หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล’ ก็คงเคยเป็นเหมือนคนอื่น ๆ ที่มักจะมองหาของขวัญปีใหม่ในช่วงท้ายปี กระทั่งปลายปี 2565 เขาจึงได้ตระหนักในความจริงที่ว่า ของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของเขาคือการได้ใช้ชีวิตปกติธรรมดาเหมือนที่เคยเป็นมา
ของขวัญชิ้นนี้อยู่ในความครอบครองของเขามาตลอด 28 ปี และมันได้หลุดลอยไป หลังจากที่เขาตรวจพบว่าตัวเองเป็น ‘มะเร็งปอดระยะสุดท้าย’
🟢เด็กตาตี่อ้วนกลมที่อยากเป็นหมอเพราะ ‘อากง’
ในหนังสือ ‘สู้ดิวะ’ หมอกฤตไทบรรยายถึงชีวิตปกติธรรมดาของตัวเองว่า “ผมชื่อกฤตไท ธนสมบัติกุล ชื่อเล่น ไท เป็นชาวเชียงใหม่ครับ ชีวิตวัยเด็กเติบโตมากับครอบครัวที่สามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี แต่ชีวิตวัยเรียนอยู่กรุงเทพฯ มาตลอด เพราะพ่อแม่รับราชการในกรุงเทพฯ”
หมอกฤตไทเติบโตมาในครอบครัวใหญ่เชื้อสายจีน เขาใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างมีความสุข เป็นเด็กกินเก่ง เล่นเก่ง พูดเยอะ ตาตี่อ้วนกลมอารมณ์ดี แต่เมื่อโตเป็นหนุ่ม เจ้าตัวเกิดอยากหล่อเพื่อไปจีบสาว เลยตัดสินใจเล่นกีฬาเพื่อลดน้ำหนัก จนสามารถรีดออกไปได้เกือบ 20 กิโลกรัม จากเด็กอ้วนน่าหยิกจึงกลายเป็นหนุ่มฮอตมาดนักกีฬาตั้งแต่ตอนนั้น
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาอยากเป็นหมอ เกิดขึ้นตอนที่เรียน ม.5 ในรั้วโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่ออากงป่วยเข้าโรงพยาบาล ต้องนอนในห้องไอซียู เด็กหนุ่มไปเยี่ยมอากงและได้เห็นสายระโยงระยางเต็มตัวอากงไปหมด เขาไม่รู้จะช่วยอากงยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะปลอบใจคนในครอบครัวยังไง วินาทีนั้นเขาจึงบอกกับตัวเองว่า “อยากเป็นหมอ”
แต่เนื่องจากก่อนหน้านั้น เด็กหนุ่มไม่ได้จริงจังกับการเรียนเท่าที่ควร เพราะเอาแต่เล่นบาสเกตบอล เตะฟุตบอล โดดเรียน เขาจึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นเป็นพิเศษ เขาทุบกระปุกออมสินเอาเงินไปเรียนพิเศษเอง โดยไม่ใช้เงินของที่บ้าน นั่งรถเมล์ไปก็อ่านหนังสือไป เวลาท้อก็เงยหน้าขึ้นมามองคนบนรถเมล์ แล้วตั้งปณิธานกับตัวเองว่า “วันหนึ่งจะรักษาคนที่ยากลำบากเหล่านี้ให้ได้”
ความพยายามไม่เคยทรยศใคร เขาสอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองพร้อม ๆ กับเล่นกีฬาที่ตัวเองรัก นั่นคือ บาสเกตบอล
เรียนจบหมอยังไม่พอ หมอกฤตไทเดินหน้าเรียนต่อจนจบแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ครอบครัว ประกาศนียบัตรชั้นสูงของระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ประกาศนียบัตรชั้นสูงด้านการแพทย์คลินิก และปริญญาโทวิทยาการข้อมูล และได้บรรจุเป็นอาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในขณะที่อายุยังไม่ถึง 30 ปี
🟢“ทำไมต้องเป็นผม”
นอกเหนือจากการเล่นกีฬาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง หมอกฤตไทยังให้ความสำคัญกับอาหารและการนอน เขาดูแลสุขภาพตัวเองเป็นอย่างดี ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า แถมยังทำประกันสุขภาพเอาไว้เพื่อความไม่ประมาท
ส่วนในแง่ความคิดและจิตใจ คุณหมอก็พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เขารักการอ่านหนังสือและชอบฟังพอดแคสต์ ชอบศึกษาการลงทุน จนเงินที่ลงไปเริ่มผลิดอกออกผลตามที่วางแผนไว้ เต็มไปด้วยเพื่อนฝูงที่ดี เพื่อนร่วมงานที่ซัพพอร์ตกันเต็มที่ มีคนรักที่กำลังจะสร้างอนาคตด้วยกัน
เมื่อชีวิตพร้อมสู่แชปเตอร์ใหม่ หมอกฤตไทคุกเข่าขอแฟนแต่งงานในวันที่ 18 มิถุนายน 2565 แต่กลายเป็นว่าแชปเตอร์ที่รอคอยเขาอยู่ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
มาถึงตรงนี้ หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมชายหนุ่มที่ตั้งใจใช้ชีวิตอย่างดี เพราะอยากสร้างประโยชน์กับผู้ป่วยและคนรอบตัวให้ได้มากที่สุด ถึงต้องมาเจอกับเรื่องร้ายขนาดนี้
หมอกฤตไทเองก็เคยสงสัยแบบนั้น
“ทำไมต้องเป็นผม ทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับผม” เขาถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาในช่วงแรกที่ตรวจพบมะเร็ง แต่สุดท้ายเมื่อพบว่าคำถามที่ถูกกระหน่ำเข้าไปในหัวตัวเองนี้ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้ความหวังในชีวิตมอดดับลง เขาจึงเลิกมองตัวเองเป็น ‘เหยื่อ’ และยอมรับความจริงตรงหน้า
การยอมรับความจริงที่ว่า คุณหมอไม่ได้ระบุถึง ‘ความกล้าหาญ’ ที่ดูจะเป็นคำเท่และใหญ่โต เขาเพียงแต่ซึมซับความสุขจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยังเหลืออยู่ในชีวิต ทั้งความสุขที่ตัวเองยังเดินได้ ยังกินข้าวอร่อย ยังรับรสชาติได้ตามปกติ ยังมองเห็น ยังได้ยิน ยังพูดคุยรู้เรื่อง ยังพอจะช่วยสอนหนังสือได้ ฯลฯ ในขณะที่ร่างกายเริ่มจะใช้การไม่ได้เหมือนเดิม
ความสุขง่าย ๆ พวกนี้ อันที่จริงแล้วเกิดขึ้นในชีวิตคนปกติธรรมดาของพวกเราทุกคน ทุกวัน ทุกนาที เพียงแต่เราจะมองไม่เห็นและไม่ได้ซึมซับความงดงามของมัน หากไม่ได้เผชิญกับความทุกข์ที่ขัดขวางการใช้ชีวิตปกติธรรมดา อย่างที่คุณหมอกำลังเผชิญ
หมอกฤตไทไม่เพียงแต่พยายามชุบพลังชีวิตให้ตัวเอง เขายังได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนอื่นอีกมากมาย เพราะอยากส่งต่อพลังบวกออกไปให้ได้มากที่สุด อยากเตือนคนให้ได้มากที่สุด ให้คนอื่นได้เห็นถึงสิ่งที่เขาตกตะกอนได้ในช่วงเวลาที่ยังเหลืออยู่ไม่มาก
“มันอาจจะมีเหตุผลที่ต้องเป็นกูก็ได้นะ” หมอกฤตไทบอกกับ ‘แม็ก’ เพื่อนสมัยมัธยม ที่มาช่วยทำเพจสู้ดิวะ
และด้วยอานิสงส์จากความปรารถนาดีต่อผู้อื่นนี้เอง ทำให้คุณหมอได้พบความสุขในขณะที่บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองผ่านเพจ เป็นความสุขจากการที่เขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น หรือเป็นพลังเล็ก ๆ ให้คนอ่านอยากสู้ต่อ
เหล่านี้ทำให้คุณหมอรู้สึกว่าชีวิตตัวเอง ‘มีค่า’ แม้จะไม่ยืนยาวนักก็ตาม
“ผมเชื่อว่าไม่มีเรื่องบังเอิญครับ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผลของมัน มันมีเหตุผลที่เรื่องบางเรื่องต้องเกิดขึ้นกับเรา ถ้าเราเอาแต่มองว่ามันเป็นเรื่องที่แย่ ๆ เอาแต่โทษคนอื่น เอาแต่โทษโชคชะตา มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาจริงไหมครับ แต่ถ้าเรามองใหม่ คิดใหม่ ลองคิดในมุมที่ว่า เราจะเอาสิ่งที่มันเข้ามาในชีวิตเราแล้วไปทำประโยชน์ได้ยังไง เราจะเรียนรู้จากมันได้ยังไง ทุกสิ่งก็จะกลายเป็นของขวัญของเรา” หมอกฤตไทย้ำอีกครั้งในบทส่งท้ายของหนังสือสู้ดิวะ
🟢ช่างหัวมันเถอะครับ
นอกจากจะแปรเปลี่ยนเรื่องร้ายในชีวิตให้กลายเป็นเรื่องที่ทรงพลังเพื่อตัวเองและคนอื่น อีกสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากชีวิตของหมอกฤตไทคือการเลือก ‘โฟกัส’ เฉพาะสิ่งที่คู่ควร
ระหว่างที่ป่วยจนร่างกายไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คุณหมอตัดสินใจเดินทางมาพบกับรุ่นน้องที่โรงเรียน เพื่อที่จะบอกกับพวกเขาว่า “เวลาเราไม่ได้มีมากพอให้เราไปทำหรือมีทุกอย่างในโลก”
เป็นอีกครั้งที่คุณหมอพยายามบอกให้ทุกคนโอบรับทุกความสุขที่มีอยู่ให้ได้มากที่สุด และใช้ช่วงเวลาตรงหน้าอย่างเต็มที่ที่สุด แบบไม่ต้องมานั่งเสียดายทีหลัง พร้อมประโยคขึ้นต้นที่ว่า “รู้งี้ฉันจะ…”
ซึ่งการจะโฟกัสไปที่ความสุขรอบตัวก็มีเคล็ดลับอีกอย่างที่ต้องทำคู่กันคือ การเลิกให้ความสำคัญกับเรื่องน่าหงุดหงิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณหมอยกตัวอย่างไว้ในหนังสือก็มีทั้งประเภทหมดใจกับองค์กร หงุดหงิดกับเรือนร่างตัวเอง ดัดผมออกมาแล้วไม่ถูกใจ ฯลฯ
หมอกฤตไทซึ่งเคยผ่านความรู้สึกแบบนี้มาแล้ว บอกในวันที่ชีวิตของเขาปราศจากความแน่นอนว่า “เรื่องไร้สาระพวกนี้ ช่างหัวมันเถอะครับ” แต่ให้เปลี่ยนมาโฟกัสที่สุขภาพ การออกกำลังกาย อาหารการกิน สุขภาพจิตของตัวเอง สิ่งสวยงามตามธรรมชาติ รอยยิ้มของคนรอบข้าง เสียงหัวเราะของคนที่คุณรัก
“ขอบคุณชีวิตที่แสนปกติธรรมดาของคุณเถอะครับ แล้วใช้มันให้เต็มที่กับทุกวันที่โลกนี้มอบให้กับคุณ คุณไม่มีทางรู้เลยว่าพรุ่งนี้ คุณจะตื่นมาแล้วมีทุกอย่างแบบที่คุณมีวันนี้อยู่ไหม”
🟢ฝุ่น
คุณหมอยังได้ใช้พื้นที่ทั้งในเพจและในหนังสือ บอกเล่าอันตรายของ ‘ฝุ่นควันพิษ’ ที่เป็นหนึ่งในปัจจัยทำให้เกิดมะเร็ง ทั้งที่ร่างกายของเขานั้นแข็งแรงระดับนักกีฬาจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ระหว่างต่อสู้กับมะเร็งปอด คุณหมอต้องติดเครื่องฟอกอากาศทั้งในรถยนต์และในบ้าน ต้องติดตั้งห้องความดันบวก เพื่อให้มั่นใจว่าอากาศที่จะเข้าปอดหลังจากนี้สะอาดบริสุทธิ์จริง ๆ
“สิ่งที่ผมอยากมาตั้งคำถามคือ มันเป็นความรับผิดชอบของประชาชนจริงหรือ… เราต้องเป็นประชาชนที่อยู่ในประเทศที่ต้องซื้ออากาศหายใจจริง ๆ หรือ”
ในหนังสือสู้ดิวะ คุณหมอไม่ได้ยกตัวเลขหรือสถิติของฝุ่นควันพิษมาประกอบ เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถเสิร์ชหาได้ทั่วไป เพียงแต่ตั้งคำถามง่าย ๆ ชวนคิดว่า เคยมีการค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของสถานการณ์ฝุ่นควันพิษในบ้านเราหรือไม่?
และอีกหนึ่งคำถามที่เกิดขึ้นหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบคือ เราจะต้องสูญเสียบุคลากร รวมถึงเด็ก ๆ ที่เป็นอนาคตของชาติ อีกเท่าไร? ปัญหาเรื่องฝุ่นที่ถูกบรรจุเป็น ‘วาระเร่งด่วน’ ของทุกปี จึงจะหมดไป
เรากลัวเหลือเกินว่า ในอนาคต เรื่องราวของหมอกฤตไทจะถูกหยิบยกมาพูดถึงเฉพาะมิติของหมอผู้ค้นพบความหมายของการมีชีวิต โดยไม่มีการแตะถึงหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หมอต้องจากไปก่อนวัยอันควร
เราเชื่อว่าหมอกฤตไทเองก็คงไม่อยากให้ประเด็นเรื่องฝุ่นจางหายไปจากเรื่องราวของเขาเช่นกัน และอยากขอให้ทุกคนที่ได้อ่านเรื่องราวของคุณหมอกฤตไท ไม่ลืมคำถามสำคัญที่เขาได้ฝากเอาไว้ในหนังสือ ก่อนที่จะจากไป
“มันเป็นความรับผิดชอบของประชาชนจริงหรือ?”
บทความนี้อุทิศแด่ หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล และคนไทยทุกคนที่ปรารถนาจะได้ใช้ชีวิตปกติธรรมดา โดยไม่ต้องซื้อ ‘อากาศ’ หายใจ
เรื่อง : พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ : เพจ ‘สู้ดิวะ’
หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2023
อ้างอิง :
กฤตไท ธนสมบัติกุล,/สู้ดิวะ,/พิมพ์ครั้งที่ 15/สำนักพิมพ์คู้บ,/ปี 2566
#หมอกฤตไท #สู้ดิวะ #ฝุ่นพิษ ัติกุล #มะเร็ง #มะเร็งปอด

ที่อยู่

140/21 Soi Vibhavadi Rangsit 20, Khwaeng Chom Phon, Khet Chatuchak
Bangkok
10900

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Peopleผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง The People:

แชร์

Everyone Has Their Own Story

“คน” คือผู้เปลี่ยนแปลงโลก เราจึงเชื่อมั่นว่าเรื่องราวของผู้คนย่อมนำไปสู่การเรียนรู้ การสร้างพลัง และแรงบันดาลใจ เพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในอนาคต

The PEOPLE คืออะไร

The PEOPLE คือ สื่อ ที่นำเสนอเนื้อหาสร้างสรรค์ ตามหลักการพื้นฐานของ journalism ผ่านช่องทางดิจิทัลแฟลตฟอร์ม เช่น เว็บไซต์ www.thepeople.co , เพจ และโซเชียลมีเดียอื่นๆ เรารวบรวมข้อมูลเรื่อง “คน” ที่เจาะลึกในทุกแง่มุม นำเสนอในหลากหลายรูปแบบ และวิธีการ ตั้งแต่เรียบเรียงเป็นเรื่องราว ชีวประวัติ บทสัมภาษณ์ จนถึงบทวิเคราะห์ วิธีคิดของบุคคลที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคม ธุรกิจ การเมือง ฯลฯ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้น จากอดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคต The PEOPLE ยังเป็นฐานข้อมูลที่มีความสำคัญสำหรับการค้นหา ค้นคว้า มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ และสามารถอ้างอิงได้ เหนืออื่นใด เราฝันจะเป็นคลังข้อมูลเรื่องคนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

THE PEOPLE Co Official

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ


เว็บไซต์ข่าวและสื่อ อื่นๆใน Bangkok

แสดงผลทั้งหมด