Thailand Exim News Channel

Thailand Exim News Channel 1st and No.1 Thailand export news channel

Editor's Note 🇹🇭    ในโอกาสที่ประเทศไทยโดยนางสาวแพทองธารชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเป็นสักขีพยาน ในการลงนามความตกลงการค...
24/01/2025

Editor's Note 🇹🇭
ในโอกาสที่ประเทศไทยโดยนางสาวแพทองธารชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเป็นสักขีพยาน ในการลงนามความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : ) ระหว่างไทย กับ “เอฟตา” หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Associations : )
สำนักข่าว ขอนำเสนอบทความเรื่อง :
🚩“ความตกลงการค้าเสรีไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป : เปิดประตูสู่โอกาสใหม่”
เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2568 เวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น สมาพันธรัฐสวิส นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงนามความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ระหว่างไทย กับ “เอฟตา” หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Associations : EFTA) พร้อมกับ นายกี ปาร์เมอแล็ง รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจสวิตเซอร์แลนด์ นางสาว ซิซีลี เมียร์เซ็ท รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมนอร์เวย์ นางโดมินิค แฮชเลอร์) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศลิกเตนสไตน์ และนายมาร์ติน เอยอบสัน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศไอซ์แลนด์ โดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยและ นาเคิร์ท เจเกอร์)เลขาธิการเอฟตา ร่วมเป็นสักขีพยาน ที่ House of Switzerland เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ซึ่ง FTAไทย-เอฟตา ถือเป็น FTA ฉบับแรกของไทยกับยุโรป
นายพิชัย กล่าวว่า " วันนี้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มาเป็นสักขีพยานและมีผู้แทนจากสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ มาร่วมลงตาม FTA กับไทย เรื่องนี้จะปรากฏไปทั่วโลก เราอยู่ในงาน World Economic Forum (WEF) จะเป็นการทำให้เห็นว่าประเทศไทยกลับเข้ามาสู่แผนที่โลกแล้ว
ทำให้เราขยายโอกาสสู่ FTA กับอียู ยูเออี และประเทศต่างๆในอนาคต จะแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีมาตรฐานที่ดีขึ้น การได้เซ็น FTA กับประเทศที่มีมาตรฐานที่ดี จะช่วยยกระดับมาตรฐานของเรา ไทยจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ทั้งด้านภาพพจน์ การลงทุนและการค้า
ประเทศไทยเราจะกำลังเป็นแหล่งลงทุนของประเทศต่างๆที่จะไหลเข้ามา ปีที่แล้วเรามีการลงทุนเข้ามามากกว่า 1 ล้านล้านบาท และปีนี้จะไหลเข้ามามากขึ้นเป็นนิมิตหมายที่ดี คาดว่าเราจะได้ประโยชน์อีกหลายพันล้านบาท และอนาคตการลงทุนที่เกิดขึ้นเชื่อว่าจะมีอีกเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท เพราะ FTA ฉบับนี้จะนำสู่การเจรจา FTA กับอียู และมีหลายประเทศหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น ไทยต้องเร่งให้มี FTA มากขึ้น ให้มากกว่าหรือเท่ากับเวียดนาม เพื่อแข่งขันกับเวียดนามได้ FTA จะเป็นแต้มต่อทำให้ไม่ต้องเสียภาษีและแข่งขันกับประเทศอื่นได้ ซึ่งมีหลายประเทศ สนใจเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น PCB Data Center หรือ AI และสำหรับผู้ประกอบการไทยเป็นเรื่องที่ดีที่เราต้องปรับตัวให้มีมาตรฐานที่ดีขึ้นขายของไปทั่วโลก เป็นสิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้วและเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการ"
ความตกลงการค้าเสรีไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (FTA ไทย-EFTA) นับเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยกับกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันตก ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ความตกลงฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายหลักในการลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ทำให้สินค้าและบริการของทั้งสองฝ่ายสามารถเข้าถึงตลาดกันได้ง่ายขึ้น ส่งผลดีต่อทั้งผู้ประกอบการ ผู้บริโภค และเศรษฐกิจโดยรวม
ในช่วง 11 เดือนของปี 2567 (มกราคม – พฤศจิกายน) ไทยและ EFTA มีมูลค่าการค้ารวม 11,467.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 2.05 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 24.94 โดยไทยส่งออกไปยัง EFTA 4,121.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนำเข้าจาก EFTA 7,345.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) อัญมณีและเครื่องประดับ (2) นาฬิกาและส่วนประกอบ (3) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (4) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และ (5) เครื่องใช้สำหรับเดินทาง และสินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) เครื่องเพชรพลอยอัญมณี เงินแท่งและทองคำ (2) นาฬิกาและส่วนประกอบ (3) เนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค (4) ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม และ (5) ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์
🚩ความสำคัญของ FTA ไทย-EFTA
* ลดอุปสรรคทางการค้า: ภาษีศุลกากรและข้อกำหนดทางเทคนิคต่างๆ ที่เคยเป็นอุปสรรคในการค้าจะถูกยกเลิกหรือลดลงอย่างมาก ทำให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันในตลาดยุโรปได้ดีขึ้น
* เพิ่มโอกาสทางการค้า: ผู้ประกอบการไทยจะมีโอกาสเข้าถึงตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและมีมาตรฐานการผลิตที่สูง เช่น สินค้าเกษตร อาหารแปรรูป และสินค้าอุตสาหกรรม
* ส่งเสริมการลงทุน: ความตกลงนี้จะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนจากทั้งสองฝ่ายเข้ามาลงทุนในประเทศของกันและกัน ส่งผลให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและ know-how
* ความร่วมมือในด้านอื่นๆ: นอกจากด้านการค้าแล้ว FTA ยังส่งเสริมความร่วมมือในด้านอื่นๆ เช่น การลงทุน การบริการ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอื่นๆ
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
* ภาคการส่งออก: สินค้าส่งออกของไทยหลายประเภท เช่น อาหารทะเล ผลไม้ และสินค้าอุตสาหกรรม จะได้รับอานิสงส์จากการลดภาษีศุลกากร ทำให้สามารถแข่งขันกับสินค้าจากประเทศอื่นๆ ได้ดีขึ้น
* ภาคการลงทุน: การลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะจากประเทศสมาชิก EFTA จะเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อการสร้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
* ผู้บริโภค: ผู้บริโภคชาวไทยจะมีสินค้าและบริการจากยุโรปให้เลือกมากขึ้นในราคาที่ถูกลง
* การพัฒนาเศรษฐกิจ: FTA จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
แม้ว่า FTA ไทย-EFTA จะนำมาซึ่งโอกาสมากมาย แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญ เช่น การปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานสินค้าและบริการของยุโรป การแข่งขันกับคู่แข่งจากประเทศอื่นๆ และการหาช่องทางในการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยศักยภาพและความพร้อมของผู้ประกอบการไทย เชื่อว่าจะสามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้และได้รับประโยชน์สูงสุดจากความตกลงนี้
ความตกลงการค้าเสรีไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป นับเป็นก้าวสำคัญในการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจสำหรับประเทศไทย ผู้ประกอบการไทยควรศึกษาและเตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลควรให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จาก FTA นี้ได้อย่างเต็มที่
การเจรจา FTA ถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยในปี 2568 นายพิชัยฯ ได้สั่งการให้เร่งรัดการเจรจา FTA อีกหลายฉบับ อาทิ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) / ไทย-เกาหลีใต้ / ไทย-ภูฏาน / ไทย – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) / อาเซียน – แคนาดา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจ และการส่งออกของไทย รวมถึงให้เร่งจัดทำความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเจรจา FTA ในอนาคตกับประเทศคู่ค้าศักยภาพ ได้แก่ ไทย-สหราชอาณาจักร / ไทย-ยูเรเซีย (Eurasian Economic Union: EAEU) ซึ่งประกอบด้วย 5 ประเทศ ได้แก่ (1) รัสเซีย (2) เบลารุส (3) คาซัคสถาน 4) อาร์เมเนีย และ (5) คีร์กีซสถาน รวมทั้งเดินหน้ายกระดับ FTA ที่ไทยมีอยู่แล้ว อาทิ ความตกลง FTA ไทย - เปรู / ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) / FTA อาเซียน-จีน/ FTA อาเซียน-อินเดีย/ FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ ให้ความตกลงมีความทันสมัย สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน ตอบโจทย์การอำนวยความสะดวกทางการค้าของผู้ประกอบการ
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1163437
https://tpso.go.th/news/2501-0000000008

EU เลื่อนวันบังคับใช้มาตรการสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR)สหภาพยุโรปขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการสินค้าที่ปล...
24/01/2025

EU เลื่อนวันบังคับใช้มาตรการสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR)
สหภาพยุโรปขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าออกไป 12 เดือน ส่งผลให้บริษัทรายใหญ่มีระยะเวลาเตรียมความพร้อมก่อนวันที่ 30 ธันวาคม 2568 และ SMEs มีระยะเวลาในการเตรียมความพร้อมก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 2569
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า มาตรการสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free Products Regulation: EUDR) ของสหภาพยุโรป (European Union: EU) มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการซื้อสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงรับมือการแก้ไขปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าทั่วโลก ทั้งที่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าที่ผิดกฎหมายและจากการขยายตัวทางการเกษตร ซึ่งครอบคลุมสินค้าทั้งหมด 7 รายการ ได้แก่ วัว ไม้ ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ และยางพารา รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าดังกล่าว ซึ่งเดิม EU กำหนดระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน (Transitional Period) สำหรับประกอบการในการจัดทำรายงานตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) สินค้าถึงพื้นที่ที่ใช้ในการเพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยวให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ EU กำหนด โดยผู้ประกอบการขนาดใหญ่จะต้องแสดงรายงานดังกล่าวให้กับหน่วยงานของ EU ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็ก และรายย่อย (SMEs) จะต้องแสดงรายงานตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 รัฐสภายุโรปมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาเปลี่ยนผ่านเพื่อบังคับใช้มาตรการ EUDR ออกไปอีก 12 เดือน ดังนี้
1. สำหรับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ จากเดิม มีผลตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2567 เปลี่ยนเป็น
มีผลตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป และ
2. สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็ก และรายย่อย (SMEs) จากเดิม มีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เปลี่ยนเป็น มีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2569 เป็นต้นไป
โดย EU อยู่ระหว่างการประกาศข้อกำหนดเพื่อแก้ไขเพิ่มเติม EUDR ในส่วนของการขยายระยะเวลาบังคับใช้ในรัฐกิจจานุเบกษา (Official Journal) และดำเนินการปรับปรุงคู่มือการบังคับใช้ข้อกำหนด EUDR รวมถึงข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการปฏิบัติตามพันธกรณีของข้อกำหนด EUDR เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการดังกล่าวจะบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางอารดาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการ EUDR เป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Measures: NTMs) ที่ EU กำหนดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม (European Green Deal) เพื่อให้ EU สามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน ซึ่งหลักเกณฑ์การพิจารณาประกอบด้วย (1) เป็นสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (2) เป็นสินค้าที่ถูกผลิตขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต และ (3) เป็นสินค้าที่ผู้ผลิตและส่งออกมีการจัดทำ Due Diligence Statement โดยการขยายระยะเวลาบังคับใช้ดังกล่าวจะเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการไทยทั้งรายใหญ่และรายย่อยสามารถเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการจัดทำรายงานตรวจสอบย้อนกลับตามเงื่อนไขของ EU ได้อย่างถูกต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้า ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ https://trade.ec.europa.eu/access-to-markets/en/news/application-eudr-regulation-deforestation-free-products-delayed-until-december-2025 หรือสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มงานบริหารสินค้าสองทาง กองบริหารสินค้าข้อตกลงและมาตรการการค้า 02 528 7500-29 ต่อ 4710 หรือสายด่วน 1385

ระบบฮาร์โมไนซ์ (Harmonized System: HS) คือ ระบบการจำแนกประเภทสินค้าขององค์การศุลกากรโลก (WCO) ซึ่งใช้กำกับและอำนวยความสะ...
24/01/2025

ระบบฮาร์โมไนซ์ (Harmonized System: HS) คือ ระบบการจำแนกประเภทสินค้าขององค์การศุลกากรโลก (WCO) ซึ่งใช้กำกับและอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศในกว่า 200 ประเทศและเขตเศรษฐกิจทั่วโลก ใช้บังคับมาตั้งแต่ปี 2531 (1988) โดยมีส่วนสำคัญในการกำหนดพิกัดศุลกากรเพื่อการจัดเก็บอากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดเก็บสถิติการค้าเพื่อการวิจัยและการศึกษาด้านการแข่งขันทางการค้า อย่างไรก็ตาม ระบบฮาร์โมไนซ์ถือเป็นเครื่องมือทางการค้าที่ซับซ้อนและยังคงมีข้อจำกัดบางประการที่อาจส่งผลต่อการใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงอยู่เป็นระยะ ปัจจุบันมีการแก้ไขมาแล้ว 7 ครั้ง ครั้งล่าสุด คือ การแก้ไขสำหรับระบบฮาร์โมไนซ์ฉบับปี ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565)

ทั้งนี้ WCO ได้จัดทำรายงาน The Exploratory Study on a Possible Strategic Review of the Harmonized System (HS) ซึ่งวิเคราะห์และเสนอแนวทางการปรับปรุงระบบฮาร์โมไนซ์ใน 4 ด้าน ครอบคลุมหลักเกณฑ์การตีความ ความชัดเจนของเนื้อความ กระบวนการปรับปรุง และความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการใหม่ของระบบฮาร์โมไนซ์เพื่อเตรียมการปรับปรุงแก้ไขครั้งต่อไป โดยที่ข้อเสนอส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ไม่เคยดำเนินการมาก่อน

จดหมายข่าวศุลกากร CPMU News สำหรับฉบับเดือนธันวาคม 2567 ขอนำเสนอข้อมูลบางส่วนจากรายงานดังกล่าวเพื่อเป็นข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามการแก้ไขระบบฮาร์โมไนซ์ในครั้งนี้ต่อไป โดยจะแบ่งการนำเสนอข้อมูลให้อยู่ในจดหมายข่าวฉบับนี้และฉบับถัดไปเพื่อเสริมประสิทธิภาพของการอภิปราย โดยเริ่มด้วยข้อมูลเกี่ยวกับสถานะและแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์การตีความพิกัดศุลกากร (GIRs) และหมายเหตุทางกฎหมาย (Legal Note) ที่มีส่วนสำคัญในการตีความและจำแนกพิกัดศุลกากร

สามารถดาวน์โหลดรูปแบบ pdf ได้ที่ https://shorturl.at/nWUC9

ที่มา สำนักงานที่ปรึกษาศุลกากร ณ กรุง บรัสเซลส์

🌐 ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ได้ประสานงานกับศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของด่านนำเข้าผลไม้ที่สำคัญในพ...
23/01/2025

🌐 ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ได้ประสานงานกับศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของด่านนำเข้าผลไม้ที่สำคัญในพื้นที่ เกี่ยวกับระยะเวลาในการตรวจสอบสาร Basic Yellow 2 และการตรวจปล่อยสินค้าของด่านในพื้นที่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน (วันที่ 28 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ 2568) เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการของไทย

✅ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรประสานงานกับผู้นำเข้าทางฝั่งจีนอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์การนำเข้าทุเรียนผ่านด่านต่าง ๆ ปริมาณตู้สินค้าทุเรียนที่รอการตรวจสอบความปลอดภัยอาหาร และระยะเวลาในการตรวจสอบของห้องปฏิบัติการในช่วงนั้น ๆ เพื่อที่จะได้พิจารณาเส้นทางการขนส่ง และด่านนำเข้าของจีนก่อนการส่งออก เพื่อไม่ให้สินค้าต้องติดค้างรอผลตรวจที่ด่านเป็นเวลานาน ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายของสินค้าได้

📌 สามารถดาวน์โหลดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ฝ่ายเกษตรฯ กว่างโจว
https://www.opsmoac.go.th/guangzhou-news-preview-471891792408

ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว
Office of Agricultural Affairs, Guangzhou

23/01/2025
22/01/2025
กรมการค้าต่างประเทศแจ้งข่าวดี ออสเตรเลียประกาศยุติการไต่สวนและไม่ใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) สินค้าสับปะรดตัดแต่งสำ...
22/01/2025

กรมการค้าต่างประเทศแจ้งข่าวดี ออสเตรเลียประกาศยุติการไต่สวนและไม่ใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) สินค้าสับปะรดตัดแต่งสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ขนาดมากกว่า 1 ลิตรจากไทย เหตุไม่พบความเสียหาย แต่เกิดจากปัจจัยอื่น ทั้งการนำเข้าจากประเทศอื่น และการกระจายสินค้าของคู่แข่งของผู้ผลิตออสเตรเลียที่มีประสิทธิภาพ คาดส่งผลดีทำให้ไทยส่งออกได้มากขึ้น ย้ำระวังเรื่องกำหนดราคา ป้องกันไม่ให้ถูกฟ้องทุ่มตลาดอีก

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 ม.ค.2568 ที่ผ่านมา หน่วยงานไต่สวนการทุ่มตลาดของออสเตรเลีย ได้ประกาศผลการไต่สวนการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) กับสินค้าสับปะรดตัดแต่งสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร (ขนาดมากกว่า 1 ลิตร) ที่ได้เปิดไต่สวนเมื่อวันที่ 4 ส.ค.2566 โดยให้ยุติการไต่สวนและไม่ใช้มาตรการ AD หลังพบว่าการนำเข้าสินค้าดังกล่าว ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้ผลิตออสเตรเลีย หากแต่เกิดจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น การนำเข้าจากประเทศอื่น การกระจายสินค้าของคู่แข่งของผู้ผลิตออสเตรเลียที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติมคลิก>>>https://www.commercenewsagency.com/news/7482

#พาณิชย์ #ข่าวพาณิชย์ #เศรษฐกิจ #กระทรวงพาณิชย์ #สับปะรด #สับปะรดกระป๋อง #มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด #เอดี #มาตรการเอดี #ออสเตรเลีย #กรมการค้าต่างประเทศ
-------------------------------------
ติดตาม CNA Online ผ่านช่องทางอื่น ๆ
Line@ - เพิ่มเพื่อน http://line.me/ti/p/%40uld0329i หรือค้นหา
Twitter - ติดตาม https://twitter.com/CNAOnlineTwit
Instagram – ติดตาม https://www.instagram.com/cna2you/
Youtube - https://www.youtube.com/channel/UC20isyIVU69Oi2BHAk0pPDg
Website - อ่าน www.commercenewsagency.com

กระทรวงเกษตรฯ ย้ำทุกด่านตรวจพืช คุมเข้ม100% ทุเรียนทุกชิปเมนต์ ก่อนอนุญาตส่งออกไปจีน หวังรักษา ตลาดทุเรียนไทย คุณภาพแสนล...
22/01/2025

กระทรวงเกษตรฯ ย้ำทุกด่านตรวจพืช คุมเข้ม100% ทุเรียนทุกชิปเมนต์ ก่อนอนุญาตส่งออกไปจีน หวังรักษา ตลาดทุเรียนไทย คุณภาพแสนล้าน พร้อมส่งไปยังผู้บริโภคชาวจีนเป็นของขวัญพิเศษในช่วงเทศกาลตรุษจีน

วันที่ 21 มกราคม 2568 นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร พร้อมด้วย นายชัยศักดิ์ รินเกลื่อน ผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร ตรวจติดตาม การตรวจสอบสินค้าทุเรียนส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อขอออกใบรับรองสุขอนามัยพืช (ทางอากาศ) ณ ด่านตรวจพืชท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายเร่งด่วนให้ขับเคลื่อน “นโยบายผลไม้ปลอดภัย มีคุณภาพ สำหรับการบริโภคในประเทศและส่งออก”

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เน้นย้ำ เจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชทุกแห่ง ตรวจสอบเข้มข้น 100% ทุก Shipment ทางการภาพ อีกครั้ง ก่อนการอนุญาตส่งออกทุเรียนไปจีน ถึงแม้ว่า บริษัทจะได้รับผล Test Report “Not Detected” Basic Yellow 2 (BY2) และแคดเมี่ยม มาแล้ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นมาตรการตรวจสอบย้อนกลับ ควบคู่กับการควบคุมดูแลคุณภาพทุเรียน (ตามมาตรการ 4 ไม่) และสร้างความเชื่อมั่นในระบบการตรวจสอบของกรมวิชาการเกษตรให้กับ กรมศุลกากร สาธารณรัฐประชาชนจีน( GACC )

สำหรับการส่งออกทุเรียน ณ ด่านตรวจพืชท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วันที่ 21 มกราคม 2568 มี จำนวน 11 ชิปเมนท์ ปริมาณการส่งออก 45 ตัน มูลค่าประมาณ 4 ล้าน โดยทุกชิปเม้นท์ ได้รับการรับรองรายงานผลทดสอบจากห้องปฏิบัติการแล้ว

อธิบดีกรมวิชาการเกษตรได้กำชับเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชให้ตรวจสอบใบรายงานผลการทดสอบ Basic Yellow 2 (BY2) ในเนื้อและเปลือก ต้องตรวจไม่พบ (Not Detected) และ Cadium ในเนื้อ (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.05 mg/kg) ประกอบกับการตรวจทางกายภาพ 100% ทุก Shipment จึงจะอนุญาตให้ออกใบรับรองสุขอนามัยพืช (PC) เพื่อการส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้

"ย้ำผู้ประกอบการ ล้ง ผู้ส่งออก และเกษตรกร ต้องปฎิบัติตาม ประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่อง มาตรการควบคุมการปนเปื้อนสารห้ามใช้ในทุเรียนผลสด พ.ศ. 2568 ลงวันที่ 9 มกราคม 2568 และ มาตรการ 4 ไม่ ได้แก่ 1. ไม่อ่อน 2. ไม่หนอน 3. ไม่มีสวมสิทธิ์ และ 4. ไม่มีสี/ไม่มีสารเคมีต้องห้าม รวมถึง มาตรการ Big Cleaning เพื่อรักษา ตลาดทุเรียนไทย ทุเรียนคุณภาพแสนล้าน พร้อมส่งไปยังผู้บริโภคชาวจีนเป็นของขวัญพิเศษในช่วงเทศกาลตรุษจีน นี้"

✨เพิ่มพลังธุรกิจไทย ก้าวไกลสู่แฟรนไชส์ระดับสากล✨ พบกับตลาดแห่งโอกาส 🇵🇭 ฟิลิปปินส์ 🇮🇩 อินโดนีเซีย 🇹🇼 ไต้หวัน สถาบัน NEA ร...
21/01/2025

✨เพิ่มพลังธุรกิจไทย ก้าวไกลสู่แฟรนไชส์ระดับสากล✨
พบกับตลาดแห่งโอกาส 🇵🇭 ฟิลิปปินส์ 🇮🇩 อินโดนีเซีย 🇹🇼 ไต้หวัน
สถาบัน NEA ร่วมกับ สำนักพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจบริการ
เชิญชวนผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจให้เป็นแฟรนไชส์ระดับโลก
เข้าร่วมอบรมในโครงการ “ธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มุ่งไกลสู่ต่างแดน: Thai Franchise Pathway to Success
พบกับ
📌 Step by Step Guide แนะแนวทางให้ผู้ประกอบการขยายธุรกิจสู่ธุรกิจแฟรนไชส์ในตลาดเป้าหมาย
ฟิลิปปินส์
อินโดนีเซีย
ไต้หวัน
📌 พบคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและวิทยากรผู้มีประสบการณ์ตรงจากทั้ง 3 ประเทศ
● ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ(สคต.)
● เจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์
● ผู้เชี่ยวชาญด้านการขยายธุรกิจแฟรนไชส์
📌 เปิดมุมมองใหม่ๆ ในการเปลี่ยนธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ที่สร้างรายได้ไร้พรมแดน

📅 17 กุมภาพันธ์ 2568
⌚ เวลา 08:30 - 13:00 น.
💻 ในรูปแบบออนไลน์ ผ่าน Zoom

✅ สมัครฟรี❗ ไม่มีค่าใช้จ่าย❗
👉 สแกน QR Code ในภาพ หรือคลิก Link https://forms.gle/yrXxHi4beXaaGwce8
📅 เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ - 9 กุมภาพันธ์ 2568
❗ตรวจสอบเอกสาร และประกาศผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการภายในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558
📞 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 063-829-5337
#ธุรกิจแฟรนไชส์ไทย #แฟรนไชส์

ปลดล็อคทุเรียนไทย! ‘รมช.อิทธิ’ ประเดิมปล่อยทุเรียนคุณภาพล็อตแรกไปจีน ณ ด่านพรมแดนนครพนม ย้ำ ยึดหลักมาตรการ “4 ไม่” พบฝ่า...
21/01/2025

ปลดล็อคทุเรียนไทย! ‘รมช.อิทธิ’ ประเดิมปล่อยทุเรียนคุณภาพล็อตแรกไปจีน ณ ด่านพรมแดนนครพนม ย้ำ ยึดหลักมาตรการ “4 ไม่” พบฝ่าฝืนสั่งปิด-ดำเนินคดีทันที

นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจติดตามการส่งออกทุเรียนปลอดสาร Basic Yellow 2 และแคดเมียม ณ ด่านพรมแดนนครพนม ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม พร้อมหารือแนวทางการส่งออกทุเรียนไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับกรมวิชาการเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ด่านตรวจพืชนครพนม ว่า ตามที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายเร่งด่วนให้ขับเคลื่อน “นโยบายผลไม้ปลอดภัย มีคุณภาพ สำหรับการบริโภคในประเทศและส่งออก” จึงได้มอบหมายให้ตนติดตามแก้ไขปัญหาสาร Basic Yellow 2 ปนเปื้อนในทุเรียนผลสดส่งออกไปจีน

ซึ่งวันนี้ถือเป็นข่าวดีที่สามารถปลดล็อคทุเรียนไทยส่งออกไปจีนได้แล้ว โดยได้รับรายงานจากกรมวิชาการเกษตรว่า ในวันที่ 20-21 ม.ค. 2568 จะมีการส่งออกทุเรียนทางบก 6 ชิปเม้นท์ ปริมาณ 96 ตัน มูลค่าประมาณ 7.8 ล้านบาท คือทางด่านตรวจพืชนครพนม จำนวน 3 ชิปเมนท์ และทางด่านตรวจพืชเชียงของ จำนวน 3 ชิปเมนท์ โดยในทุกชิปเมนท์ได้รับการรับรองรายงานผลทดสอบจากห้องปฏิบัติการแล้ว

รมช.อิทธิ เผยว่า กระทรวงเกษตรฯ มุ่งมั่นสร้างความมั่นใจในทุเรียนไทย ให้กับประเทศคู่ค้า และเร่งรัดกระบวนการแก้ปัญหาเพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการ และเกษตรกรไทย ขอย้ำว่าสินค้าทุกชนิดต้อง set zero ปลอดสารปนเปื้อน หากฝ่าฝืนมาตรการจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด เนื่องจากเป็นการทำลายชื่อเสียงประเทศไทย

“ผมขอยืนยันว่า กระทรวงเกษตรฯ ไม่นิ่งนอนใจภายหลังจากจีนมีมาตรการเข้มงวดตรวจสาร Basic Yellow 2 ในทุเรียนทุกล็อต เราได้มีการประชุมติดตามเร่งรัดเพื่อให้สามารถส่งออกทุเรียนได้โดยเร็วที่สุด โดยวางแผนไว้จะสามารถส่งออกได้ภายในวันที่ 20 ม.ค. ซึ่งถือเป็นข่าวดีที่สามารถดำเนินการได้สำเร็จ ขอชื่นชมอธิบดีกรมวิชาการเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันขับเคลื่อนการทำงานได้ไว เพื่อมุ่งมั่นให้ทุเรียนไทยเป็นทุเรียนอันดับ 1 ของโลก“ รมช.อิทธิ กล่าวย้ำ

ทั้งนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีมาตรการเข้มงวดในการนำเข้าทุเรียน ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2568 โดยต้องตรวจสอบสาร Basic yellow 2 ในทุเรียนและแนบรายงานผลการทดสอบในทุเรียนทุกล๊อตการผลิตที่ส่งออกจากไทย ซึ่งล่าสุด ได้รับรายงานจากกรมวิชาการเกษตรว่า เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2568 ว่า ทางสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) ได้อนุญาตให้ใช้ห้องปฏิบัติการที่มีความสามารถในการทดสอบสาร Basic yellow 2 จำนวน 6 แห่ง ซึ่งมีศักยภาพในการตรวจวิเคราะห์ รวมกันได้ 700 ตัวอย่าง/วัน โดยการตรวจวิเคราะห์จะใช้เวลาประมาณ 48 ชั่วโมง ดังนี้

1. บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาเชียงใหม่

2. บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขากรุงเทพฯ

3. บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาฉะเชิงเทรา

4. บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาสมุทรสาคร

5. บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สาขาสงขลา

6. บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด (มหาชน) AMARC

นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าจะมีห้องปฏิบัติการ เพิ่มอีก 4 แห่ง ทำให้สามารถรองรับตัวอย่างการตรวจวิเคราะห์รวมได้ 1,300 ตัวอย่าง/วัน ซึ่งมีศักยภาพรองรับการส่งออกทุเรียนภาคตะวันออกและภาคใต้ในฤดูกาลที่จะถึงนี้ ได้เป็นอย่างดี

นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการสุ่มเก็บตัวอย่างทุเรียน เพื่อทดสอบ Basic yellow 2 แล้วตั้งแต่ค่ำวันที่ 17 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมาจนได้ผล Test Report ที่ใช้ประกอบการส่งออกทุเรียนไปจีนตามเงื่อนไขที่จีนกำหนด โดยได้เริ่มเก็บตัวอย่างภายหลังจากการแจ้งการอนุญาตให้ห้องปฏิบัติการที่มีความสามารถทั้ง 6 แห่ง ที่ได้รับการอนุญาตจาก GACC เข้าเก็บตัวอย่างส่งตรวจห้องปฏิบัติการ ระหว่างวันที่ 20 - 21 ม.ค. 2568 รวมจำนวน 11 ล้ง 13 ชิปเมนท์ ปริมาณ 155.5 ตัน มูลค่ากว่า 11 ล้านบาท จากตัวอย่างในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี 5 ล้ง 7 ชิปเมนท์ ปริมาณ 58.5 ตัน มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท และตัวอย่างในพื้นที่จังหวัดชุมพร 6 ล้ง 6 ชิปเมนท์ ปริมาณ 97 ตัน มูลค่าประมาณ 8 ล้านบาท

“การส่งออกทุเรียนผ่านด่านตรวจพืชนครพนม ในวันที่ 20 ม.ค. 2568 ได้กำชับเจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตรให้ตรวจสอบใบรายงานผลการทดสอบ Basic yellow 2 ในเนื้อและเปลือก ต้องตรวจไม่พบหรือ Not Detected และ Cadmium ในเนื้อ (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.05mg/kg) จึงจะออกใบรับรองสุขอนามัยพืช PC เพื่อแสดงที่ด่านนำเข้าของประเทศจีน ผมย้ำเตือนขอให้ผู้ประกอบการส่งออกมาตรการเข้มงวด 4 ไม่ ได้แก่ 1.ไม่อ่อน 2.ไม่หนอน 3.ไม่มีสวมสิทธิ์ และ 4.ไม่สี ไม่มีสารเคมีต้องห้าม มีเป้าหมาย “Set Zero” การใช้สารเคมีในโรงคัดบรรจุทั้งหมด เพื่อรักษาตลาดทุเรียนไทยที่ส่งออกไปจีน ที่มีมูลค่ากว่าแสนล้านบาทและอีกหลายแสนล้านให้กลับมาดำเนินการได้ตามปกติ” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว
ที่มา : durian time

21/01/2025

สำนักงานศุลกากรของจีน (GACC) เผยแพร่ข้อมูลรายการผลิตภัณฑ์อาหารนำเข้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของเดือนพฤศจิกายน 2567 ทั้งหมด 507 รายการ 44 ประเทศ/ภูมิภาค
โดยเหตุผลหลักในการปฏิเสธการนำเข้าคือ
- การติดฉลากที่ไม่ถูกต้อง
- ไม่เป็นไปตามมาตรฐานอาหารแห่งชาติ
- ข้อมูลในใบรับรองและสินค้าไม่ตรงกัน
- การตรวจพบโรคระบาดในสัตว์
- การขาดใบอนุญาตในการวางจำหน่าย

เมื่อวันที่ 15 - 16 มกราคม 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ถวายการต้อนรับเจ้าชายฟัยศ็อล ...
20/01/2025

เมื่อวันที่ 15 - 16 มกราคม 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ถวายการต้อนรับเจ้าชายฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน อาล ซะอูด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อทรงเป็นประธานร่วมในการประชุมสภาความร่วมมือซาอุดี - ไทย ครั้งที่ 1 โดยทั้งสองฝ่ายได้รับรองข้อริเริ่มความร่วมมือมากกว่า 70 ข้อ

ในโอกาสเดียวกัน เจ้าชายฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน อาล ซะอูด ยังได้พบหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภาด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ และแสดงความพึงพอใจต่อพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ที่รุดหน้าทุกด้าน ภายหลังการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตให้เป็นปกติโดยสมบูรณ์เมื่อปี 2565 โดยเฉพาะมูลค่าการค้าที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 25 มูลค่าการลงทุนกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่าตัว ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และการเปิดสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ กรุงริยาด เมื่อปี 2567

ภายหลังการประชุมฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยได้เป็นเจ้าภาพถวายเลี้ยงพระกระยาหารกลางวันเพื่อถวายพระเกียรติแก่เจ้าชายฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน อาล ซะอูด และคณะ พร้อมทั้งได้จัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายซึ่งรวบรวมเหตุการณ์สำคัญในการดำเนินความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน

การเสด็จเยือนประเทศไทยของเจ้าชายฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน อาล ซะอูด ถือเป็นการเสด็จเยือนครั้งประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นการเยือนทวิภาคีอย่างเป็นทางการครั้งแรกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ภายหลังจากที่ทั้งสองประเทศได้ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตให้เป็นปกติโดยสมบูรณ์

On 15 - 16 January 2025, H.E. Mr. Maris Sangiampongsa, Minister of Foreign Affairs, welcomed His Highness Prince Faisal bin Farhan Al Saud, Minister of Foreign Affairs of the Kingdom of Saudi Arabia, on the occasion of his official visit to Thailand as guest of the Ministry of Foreign Affairs to Co-Chair of the First Saudi - Thai Coordination Council (STCC) Meeting, endorsing over 70 initiatives.

His Highness also held bilateral discussions with the Minister of Foreign Affairs of Thailand and H.E. Mr. Wanmuhamadnoor Matha, President of the National Assembly and Speaker of the House of Representatives. Both sides reaffirmed their commitment to strengthening cooperation across all dimensions and expressed satisfaction with the significant progress achieved since the normalization of diplomatic relations in 2022, including a 25% increase in bilateral trade, investments totalling over USD 3.5 billion, and a sixfold increase in mutual tourist visits over the past three years, and the opening of the Board of Investment (BOI) Office in Riyadh in 2024.

Following the meeting, the Minister of Foreign Affairs of Thailand hosted a luncheon in honour of His Highness and the Saudi delegation, featuring a photo exhibition showcasing key milestones in Thai - Saudi bilateral relations since 2022.

The visit by His Highness marks a historic milestone as the first official bilateral visit by the Minister of Foreign Affairs of the Kingdom of Saudi Arabia following the full normalization of diplomatic relations between the two countries.
ที่มา:กระทรวงการต่างประเทศ

20/01/2025

📣เปิดรับสมัครผู้ประกอบการขอรับตราและขอต่ออายุการใช้ตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark (T Mark)

รอบที่ 2/2568
แล้วตั้งแต่วันนี้ – มีนาคม 2568
สมัครง่ายๆเพียงคลิ๊กไปที่ www.thailandtrustmark.com

หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
☎️ 02-507-8266,02-507-8259
---------------------------------------


#กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
#กระทรวงพาณิชย์

17/01/2025
Editor's Note 🇹🇭    เหตุการณ์ที่สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน(GACC) แจ้งพบปัญหาการใช้สารย้อมสี “ ” ในทุเรียนส่ง...
16/01/2025

Editor's Note 🇹🇭
เหตุการณ์ที่สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน(GACC) แจ้งพบปัญหาการใช้สารย้อมสี “ ” ในทุเรียนส่งออกของไทย เป็น "วิกฤตร้ายแรง" ต่ออุตสาหกรรมส่งออกทุเรียนไทย สำนักข่าว Thailand Exim News Channel ขอนำเสนอบทความเรื่อง :วิกฤตทุเรียนไทยกับสาร Basic Yellow 2
เหตุการณ์ที่สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน(GACC) แจ้งพบปัญหาการใช้สารย้อมสี “Basic Yellow 2” ในทุเรียนส่งออก ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2B จึงกำหนดให้ทุเรียนทุกลอตของไทยที่จะส่งออกจีนต้องแนบผลวิเคราะห์ Test Report ทั้ง Basic Yellow 2 และแคดเมียม ทุกลอต โดยจีนจะสุ่มตรวจที่ด่านนำเข้า หากพบจะระงับทันที มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทุเรียนไทยอย่างรุนแรง
ล่าสุด (11 ม.ค.68) ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ไทย ณ นครกว่างโจวว่า แจ้งว่าสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน GACC สั่งการให้ด่านศุลกากรจีนทุกแห่งปฎิเสธการนำเข้าทุเรียนไทย หากไม่มีผลแล็ปตรวจวิเคราะห์ “Basic Yellow 2” แนบมากับสินค้า และขณะนี้มีสินค้าที่เข้ามาทางสนามบินหนานหนิงถูก Reject แล้ว
สาร Basic Yellow 2 ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ถูกพบว่ามีการนำมาใช้ในการชุบทุเรียนเพื่อให้มีสีสันสวยงามน่ารับประทาน ทำให้จีนต้องออกมาตรการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะกับไทย แต่รวมถึงประเทศผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่รายอื่น ๆ เช่น เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งล้วนต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดและขั้นตอนที่ซับซ้อนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการส่งออกและความเสียหายต่อผลผลิต
ทางภาครัฐของไทยได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา โดยมีมาตรการเบื้องต้น เช่น การห้ามใช้สีในทุเรียนทุกชนิด และการเจรจาขอให้จีนยกเลิกการตรวจสอบสาร Basic Yellow 2
“ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ว่า ตามที่ได้ปรากฏในข่าวสาธารณรัฐประชาชนจีนระงับการนำเข้าทุเรียนของไทย ภายหลังตรวจพบการใช้สาร Basic Yellow 2 ในทุเรียนนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่นิ่งนอนใจในเรื่องดังกล่าว และเป็นนโยบายที่ตนได้เน้นย้ำความสำคัญในการควบคุมมาตรฐานสินค้าผักและผลไม้ จึงได้ประชุมพิจารณาวาระเร่งด่วนเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาอุปสรรคการค้าผักผลไม้ไทย ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบเพิ่มมาตรการตรวจเข้มข้น โดยตรวจทุกตู้ที่มีการส่งออก 100% รวมไปถึงการตรวจสารแคดเมียม หนอนทุเรียน และสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลำไยด้วย หากตรวจพบจะดำเนินการตามบทลงโทษ ตามประกาศกรมวิชาการเกษตร”
“ศ.ดร.นฤมล เปิดเผยว่า วันที่ 5 – 7 ก.พ.นี้ ตนจะเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนร่วมกับนายกรัฐมนตรีฯ อย่างเป็นทางการ และจะนำเรื่องดังกล่าวหารือกับทางสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (General Administration of Customs of the. People's Republic China) GACC ถึงการดำเนินมาตรการที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นในสินค้าผักผลไม้ของไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและส่งออกสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร เนื่องจากสินค้าผักผลไม้ของไทยที่ส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยปี 2567 (ม.ค. –พ.ย.) ไทยส่งออกผลไม้สด 1.817 ล้านตัน มูลค่า 177,131 ล้านบาท “
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร
บทเรียนและแนวทางแก้ไข
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตร เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
เกษตรกรและผู้ประกอบการต้องตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ และภาครัฐต้องมีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาระบบการผลิตที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ
แม้ว่าวิกฤตครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทุเรียนไทยอย่างมาก แต่ก็เป็นโอกาสในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพของผลผลิตให้ได้มาตรฐานสากล การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
🚩รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบ
”รัฐบาล-รมว.นฤมล สั่ง Set Zero สารปนเปื้อนในผลไม้ พร้อมวางมาตรการใหม่ภายใน 10 วัน ลุยตรวจเข้ม ยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยผักผลไม้ไทย สร้างความมั่นใจตลาดส่งออก https://search.app/HHp6is647n91zUgg6

💡เปิดมุมมองเศรษฐกิจคาซัคสถาน “ภาพรวมเศรษฐกิจของคาซัคสถานในปี 2024” 📊 ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของคาซัคสถาน ปัจจัยขับเคลื่อนเศร...
16/01/2025

💡เปิดมุมมองเศรษฐกิจคาซัคสถาน
“ภาพรวมเศรษฐกิจของคาซัคสถานในปี 2024”
📊 ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของคาซัคสถาน ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความท้าทายและความเสี่ยง และการคาดการณ์สำหรับปี 2025!
📖 หาคำตอบในบทความเชิงลึกได้ทางลิงค์https://astana.thaiembassy.org/static/pdf-flipbook-master/index.html?file=https://image.mfa.go.th/mfa/0/iyOJNVBddx/Economic_Overview_of_Kazakhstan_for_2024/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99.pdf

“Economic Overview of Kazakhstan for 2024”
📊Macroeconomic Overview of Kazakhstan, Key Economic Drivers, Challenges and Risks, Projections for 2025!
📖 Let’s find out an in-dept economic perspective, clickhttps://astana.thaiembassy.org/static/pdf-flipbook-master/index.html?file=https://image.mfa.go.th/mfa/0/iyOJNVBddx/Economic_Overview_of_Kazakhstan_for_2024/Economic_overview_of_Kazakhstan_for_2024.pdf

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ประชุมด่วน คณะกรรมการตรวจสอบจำหน่ายปัจจัยทางการเกษตรทางสื่อออนไลน์คุมเข้ม วัตถุอันตรายทางการเกษตรต...
16/01/2025

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ประชุมด่วน คณะกรรมการตรวจสอบจำหน่ายปัจจัยทางการเกษตรทางสื่อออนไลน์
คุมเข้ม วัตถุอันตรายทางการเกษตร
ตัดวงจรการนำเช้า และจำหน่ายภายในประเทศ ทางสื่อออนไลน์
แจ้งสายตรงกรมวิชาการเกษตร 085-8263561

​นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก ศ.ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ครั้งที่ 1/2568 ภายหลังการพบการใช้สาร Basic Yellow 2 ในทุเรียน ซึ่ง รมว.เกษตร ได้สั่ง Set Zero สารปนเปื้อนในผลไม้ พร้อมวางมาตรการใหม่ภายใน 10 วัน ลุยตรวจเข้ม ยกระดับคุณภาพ และความปลอดภัยผักผลไม้ไทย สร้างความมั่นใจตลาดส่งออก
​อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวต่อว่า ในการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ห้ามใช้ในทุเรียน วันที่ 14 มกราคม 2568 ตนได้เชิญประชุมคณะกรรมการตรวจสอบจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรทางสื่อออนไลน์ เพื่อยกระดับการควบคุม/ติตตาม การขายวัตถุอันตรายทางการเกษตรที่ผิดกฎหมาย ทางสื่อออนไลน์ รวมถึงความเข้มข้น ในการควบคุมวัตถุอันตรายทางการเกษตร ที่นำเช้ามาจากต่างประเทศ มาขายในสื่อออนไลน์ และร้านค้าทั่วไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประกาศสงครามกับสินค้าเกษตรเถื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่ผิดกฎหมาย ห้ามใช้งานในประเทศ ซึ่งตนได้กำชับให้เจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตร และสารวัตรเกษตร ตรวจตราร้านค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตรอย่างเข้มงวดทั้งออนไลน์และร้านค้าทั่วไป หากพบผู้กระทำความผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

เนื่องจากในปัจจุบัน การจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตร มีการโฆษณาและขายในสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง เป็นปัญหาในการควบคุม กำกับ เนื่องจากส่วนมากมีการระบุตัวตนหรือสถานที่ตั้งไม่ชัดเจน การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อทำการสืบสวนข้อมูลเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตร กรมวิชาการเกษตร เพื่อให้การควบคุม กำกับปัจจัยการผลิตทางการเกษตรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ต้องอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงาน ที่มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวน สอบสวนทางกฎหมาย และบังคับใช้กฎหมายโดยตรง ได้แก่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และการประสานงานกับสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อควบคุมการโฆษณาขายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรทางสื่อออนไลน์ ไม่ให้มีการกระทำผิดตามกฎหมาย จนทำให้เกิดความเสียหายกับเกษตรกรจึงได้จัดการประชุมประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรทางสื่อออนไลน์ เพื่อกำหนดแนวทางการบูรณาการ การทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคจากการบังคับใช้ กฎหมายการควบคุม กำกับปัจจัยการผลิตทางการเกษตรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและจะนำระบบ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจควบคุมการจำหน่ายปัจจัยผลิตทางการเกษตรออนไลน์
​อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิชาการเกษตร ได้แจ้ง กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และการประสานงานกับสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หน่วยเฉพาะกิจพญานาคราช ร่วมแรงร่วมใจกันควบคุม/กำกับดูแล ในการงดใช้สารชุบเติมแต่งสีในกระบวนการผลิตทุเรียนในการส่งออกไปยังประเทศจีน ตามเงื่อนไข ที่ประเทศจีนกำหนด และร่วมเป็นหูเป็นตา ช่วยกันสอดส่อง แจ้งเบาะแส ผู้กระทำความผิด ทั้งโรงงานที่ลักลอบผลิตเถื่อน รวมถึงร้านค้าที่ลักลอบขายปัจจัยการผลิตที่ผิดกฎหมาย ทั้งร้านค้าที่มีแหล่งที่ตั้งชัดเจน และร้านค้าออนไลน์ มายังสายตรงกรมวิชาการเกษตร 085-8263561 เพื่อกรมวิชาการเกษตร จะได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างเคร่งครัดต่อไป

ที่อยู่

120 Petchakasem Road 65/1 Bangkae
Bangkok
10160

เบอร์โทรศัพท์

+66972738491

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Thailand Exim News Channelผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Thailand Exim News Channel:

แชร์