สะพานบุญ

สะพานบุญ แบ่งปัน ความรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ พระอริยะ ในพุทธศาสนา

วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า ๒ สถานเปรียบได้กับ “ขังคอก” และ “ชี้ทางให้บินไป”…. “ลักษณะแห่งการบําเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นของพระพุ...
22/12/2024

วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า ๒ สถาน
เปรียบได้กับ “ขังคอก” และ “ชี้ทางให้บินไป”
…. “ลักษณะแห่งการบําเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นของพระพุทธองค์นั้น อาจแบ่งได้เป็นสองสถาน กล่าวคือ สําหรับสัตว์ที่ยังอ่อน พระองค์ทรง“ขังคอก”เอาไว้ ส่วนสัตว์ที่แก่กล้าแล้ว พระองค์ทรง“ชี้ทางให้บินไป”
…. ที่ว่า“ขังคอกไว้” ก็คือให้อยู่ใน“กรอบวงของศีลธรรม” อย่าให้พลัดออกไปนอกคอก จะเป็นเหยื่อของสัตว์ร้าย กล่าวคือ “อบาย”. แต่แม้กระนั้น พระองค์ก็ทรงสอนให้กระทําไปด้วยความไม่ยึดถือหรือติดแน่นในศีลธรรมนั้นๆ ถึงกับตรัสเปรียบว่า ธรรมะนี้เหมือนเรือแพ จะอาศัยมันเพียงที่ยังต้องข้ามทะเลเท่านั้น เมื่อถึงฝั่งแล้วไม่จําต้องแบกเอาเรือหรือแพขึ้นบกไปด้วยกล่าวคือ“ความยึดติด” ซึ่งจะทําให้ขึ้นบกไม่ได้
…. ที่ว่า “ทรงชี้ทางให้บินไป” ก็คือ ทรงสอนให้ละวางโลกนี้ โดยมองเห็นในด้านในตามที่เป็นอย่างไรแล้วไม่ยึดถือ, ไม่ติดอยู่ในโลก ไม่ติดอยู่ในธรรม, สามารถข้ามขึ้นสู่“โลกุตตรสภาพ” ซึ่งทรงตัวอยู่ได้โดยปราศจากภพจากชาติ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยุ่งยากโดยประการทั้งปวง
…. ในขั้นที่สอนให้บุคคลหนัก“อยู่ในศีลธรรมนั้น มิใช่เพื่อให้ยึดถือ” เป็นเพียงให้เดินไปตามทางที่มีการอารักขาไปก่อน หรือให้อยู่ในคอกที่มั่นคง เพื่อใช้เวลาในขณะนั้นสร้างความสามารถให้แก่ตัวเองให้เข้มแข็งกลายเป็นเป็ดไก่ที่ไม่ต้องอยู่คอกเล้าหรืออาศัยคนเลี้ยง เช่น ลูกเป็ดไก่อ่อน, แต่ให้เป็นเป็ดสวรรค์ ไก่สวรรค์ หรือนกซึ่งโบกบินไปได้ในอากาศอย่างเป็นอิสระเสรี เพราะฉะนั้น ผู้ใดถอนตนออกมาได้เพียงใดขอจงกรุณาเอ็นดูสงเคราะห์ช่วยเหลือให้เพื่อนสัตว์ถอนตัวออกมาเพียงนั้น เมตตาที่มีอยู่นั้นจักเป็นเครื่องช่วยกําลังสมาธิหรือช่วยกําลังจิตให้ผ่องแผ้วกล้าหาญยิ่งขึ้น
…. และข้อที่ว่าส่งเสริมกําลังปัญญาก็คือ ข้อที่ตนถูกซักไซ้ไต่ถาม ย่อมทําให้ต้องพินิจพิจารณาในอรรถธรรมนั้นมากขึ้น ละเอียดขึ้น นี้เป็นผลกระท้อน(reaction) ที่กลับมาได้แก่ตัวเองและส่งเสริมตัวเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก
…. ในพระบาลี(พระบาลีไตรปิฎก) “วิมุตตายตนสูตร” มีข้อความที่กล่าวไว้ว่า บุคคลบางคนได้บรรลุมรรคผลในเบื้องสูงเด็ดขาดถึงที่สุดได้ ในขณะที่ตนกําลังพยายามตอบปัญหาเรื่องนั้นเองแก่ผู้อื่น ทั้งนี้ เนื่องจากว่าคนบางคนหรือบางประเภทมีความแปลกประหลาดบางอย่าง คือความคิดหรือปีติปราโมทย์ของเขาเกิดยากในเวลาอื่น แต่เกิดง่ายในเวลาจําเป็นจะต้องคิดเพื่อสอนผู้อื่น. ในกรณีเช่นนั้น ความคิดของเขาจะเกิดขึ้นเอง รู้เองไปพลาง แล้วพูดออกมาพลาง อาบย้อมไปด้วยปีติปราโมทย์อยู่ตลอดเวลา, ซาบซึ้งในอรรถรสแห่งธรรมชั้นประณีตอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า การพยายามคิดเพื่อสอนผู้อื่น ในเมื่อถูกซักไซ้ไต่ถามนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยยกสถานะทางวิญญาณของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้สูงขึ้นแล้ว ยังเป็นการช่วยให้ตนเองเข้าถึงพุทธธรรมได้ง่ายขึ้นอีก จึงเป็นสิ่งที่ควรพยายาม. และยังจะเห็นได้ชัดเจนสืบไปว่า วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรมนั้น มีการประพฤติปฏิบัติตามแนวที่กล่าวมาแล้วเป็นส่วนสําคัญ และมีการบําเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นเป็นอุปกรณ์เครื่องส่งเสริม เป็นสองชั้นอยู่ดังนี้”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ปาฐกถาธรรม เรื่อง“วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม” ณ พุทธสมาคม กรุงเทพมหานคร (ในเวลานั้นยังใช้ชื่อว่า “พุทธธรรมสมาคมแห่งประเทศไทย”อยู่ ) เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๘๓ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ชุมนุมปาฐกถาชุดพุทธธรรม” หน้า ๙๐ - ๙๒

มีงานวิจัยเรื่อง "วิบากกรรม กับพันธุกรรม" จากนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง มาถ่ายทอดให้รับทราบดังนี้       คนเราเมื่อใกล้...
19/12/2024

มีงานวิจัยเรื่อง "วิบากกรรม กับพันธุกรรม" จากนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง มาถ่ายทอดให้รับทราบดังนี้

คนเราเมื่อใกล้เสียชีวิต จะระลึกถึงภาพความทรงจำเก่าๆ ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นการบีบอัดข้อมูลในภพชาติปัจจุบัน เพื่อบันทึกเข้าสู่จุติจิต ก่อนที่กายหยาบจะสูญสลายไป

มีงานวิจัย ที่ตีพิมพ์ใน Frontiers in Aging Neuroscience วารสารเกี่ยวกับสมองชั้นนำของโลก ฉบับ 22 กุมภาพันธ์ 2022 โดย ทีมนักวิจัย จาก สหรัฐ แคนาดา และจีน ถึง 13 ท่าน ทำการทดลองร่วมกัน พบว่า
ก่อนและหลังหัวใจหยุดเต้น 30 วินาที สมองจะประมวลผลความทรงจำของชีวิตอีกครั้ง

ดร. อัจมาล เซมมาร์ (Ajmal Zemmar) แห่งมหาวิทยาลัยหลุยส์วิลล์ หนึ่งในทีมนักวิจัย บอกว่า
เป็นความบังเอิญที่เราค้นพบเรื่องนี้
ในตอนแรกของการทดลอง ไม่มีใครคิดว่า คนใกล้ตายจะมีสัญญาณของคลื่นสมองที่เหมือนกับคนกำลังทำสมาธิหรือฝันอยู่

ในทางพุทธ บอกว่า
ความทรงจำเหล่านั้น อาจเป็นการกระทำเก่าๆ เช่น เคยฆ่าสัตว์ ภาพของสัตว์ที่กำลังถูกฆ่าจะปรากฏอย่างชัดเจน หรือปรากฏในรูปสัญลักษณ์ เช่น เห็นมีด ปืน ที่ใช้ในการสร้างกรรม
ส่วนบุญ ก็จะปรากฏตามที่สร้างมา ภาพของการถือศีล ทำทาน สร้างโบสถ์สร้างวิหาร ปรากฏให้เห็น
ดังนั้น ภาพนิมิตที่เกิดขึ้นจะเป็นไปตามกรรมเก่าที่เคยทำ
กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ภายในไม่กี่วินาที
แต่เนื่องจากจิตในขณะนั้นมีความไวสูงกว่าแสง ทำให้เวลาจิตยืดยาวขึ้น พอที่จะรับรู้เหตุการณ์ในชีวิตที่ผ่านมามากมาย
ภาพยนตร์ความยาวสองชั่วโมง เรายังสามารถ download ทั้งเรื่องเสร็จภายในเวลาไม่กี่วินาที
แต่จิตทำงานเร็วกว่าระบบดิจิตอลเป็นล้านเท่า
ดังนั้น กระบวนการบันทึกกรรมจะเกิดขึ้นทันทีทันใด แม้เสียชีวิตแบบกะทันหันก็ไม่เป็นอุปสรรคในการ download เรื่องราวของชีวิตทั้งหมด
หลังจากนั้น จะเกิด “คตินิมิต” ตามมา คือลักษณะของภพที่จะไปเกิดใหม่ ปรากฏให้เห็นผ่านทวารหก ทางใดทางหนึ่ง เช่น ได้กลิ่นหอม เสียงอันไพเราะ ภาพวิมานแก้ว หรือกลิ่นเหม็น เสียงโหยหวน เปลวเพลิง

ดร.ปีเตอร์ โนเบิล (Peter Noble) แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน พบว่า
หลังเสียชีวิต ยีนและดีเอ็นเอในร่างกายส่วนหนึ่งกลับทำงานอย่างหนักขึ้นต่อไปอีก 24 ชั่วโมง ทั้งที่มันควรจะหยุดทำงานไปแล้วตั้งแต่สมองตาย

ดร.พีจอท กาจาเจฟ (Dr.Pjotr Garjajev) นักชีวโมเลกุล ที่ศึกษาเรื่องดีเอ็นเอมาอย่างยาวนาน บอกว่า
ดีเอ็นเอมีความสามารถในการส่งต่อข้อมูลเข้าไปในมิติที่ห้าได้
นั่นหมายความว่า ขณะเสียชีวิต ร่างกายพยายามถ่ายทอดข้อมูลของชีวิตผ่านทางดีเอ็นเอด้วย
และระหว่างมีชีวิตอยู่ DNA นี่แหละ คือ ตัว download พลังแห่งกรรมเข้ามาจากอีกมิติ และเหนี่ยวนำตัวเจ้าของดีเอ็นเอนั้นให้เกิดบุคลิกภาพ ความรู้สึก โรคภัยไข้เจ็บ ไปตามกรรมเก่าที่สะสมมา
วิบากกรรม กับพันธุกรรม จึงมีความสัมพันธ์กันผ่านช่องทางนี้
ดร.พีจอท กาจาเจฟ บอกว่า DNA ส่วนที่ทำหน้าที่รับพลังแห่งวิบากกรรมคือ DNA ส่วนที่ไม่ได้กลายเป็นยีน (Junk DNA)

ปกติคนเราก็มีความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นมาอยู่ทุกวันในรูปของความฝัน
นิมิตตอนใกล้เสียชีวิต แบ่งออกได้ เป็นสี่แบบคล้ายกับความฝัน คือ บุพพนิมิต จิตอาวรณ์ เทพสังหรณ์ และธาตุกำเริบ
ซึ่ง บุพพนิมิต กับเทพสังหรณ์ ถ้าเกิดขึ้นกับผู้ใดจะทำให้รู้ถึงภพภูมิที่จะไปหลังจากเสียชีวิต
ส่วนจิตอาวรณ์ และธาตุกำเริบ เป็นเพียงภาพหลอน ที่เกิดจากความแปรปรวนของกายและจิตขณะป่วยหนัก

คนที่ฝึกเจริญสติสมาธิจนถึงในระดับที่คุมนิมิตได้ จะสามารถเลือกให้ภาพสุดท้ายก่อนเสียชีวิตเป็นไปตามที่ปรารถนา
พระพุทธองค์จึงทรงบอกว่า ถ้ามีสติ กรรมเก่าก็ทำอะไรไม่ได้
ดังนั้น ควรฝึกภาวนาด้วย นอกจาก การทำบุญ ทำทาน ถือศีล

ความรู้สึกสุดท้ายก่อนเสียชีวิตสำคัญมาก แต่ถ้าไม่เคยฝึกสมาธิ เจริญสติ มาเลย ยากที่จะคุมความรู้สึกในช่วงนี้ได้
เพราะขณะนั้น สภาพร่างกายอ่อนแอเต็มที ระบบร่างกายแปรปรวนด้วยฤทธิ์ยา มีความเจ็บปวด จิตใจว้าวุ่น สับสน ห่วงใย ไม่อยากตาย ต้องใช้กำลังสมาธิสติมากกว่าปกติหลายเท่า จึงจะคุมจิตอยู่

ฝึกนั่งสมาธิถึงฌาน 2 ก็เห็นนิมิตแล้ว ทำบ่อยๆ จนคุ้นเคยกับมัน ในที่สุดจะควบคุมมันได้ และไม่กลัวตายอีกเลย
นั่นเพราะเราสามารถเลือกไปในภพภูมิใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้ แม้ว่าจะเคยสร้างกรรมมาบ้างก็ตาม อย่างน้อยขอไปเกิดในภพที่สูงไว้ก่อน
ส่วนบุญ จากการให้ทาน ถือศีล จะส่งผลหลังจากที่ได้ถือกำเนิดในภพใหม่แล้ว

ไม่สงสัยเลยว่าทำไมไอน์สไตน์ถึงบอกว่า ในอนาคตจะเหลือศาสนาแห่งจักรวาลเพียงศาสนาเดียว คือพุทธศาสนา นั่นก็เพราะการค้นพบทางวิทยาศาสตร์สอดคล้องกับสิ่งที่พุทธศาสนาบอกมาก่อนตั้งสองพันห้าร้อยปี ไม่ว่าเรื่องเวลายืดหด ปรมาณู มิติต่างๆ เรื่องจักรวาล การทำงานของสมอง ฯลฯ

ท่านคมสรณ์ พระธรรมทูตสื่อธรรม นำมาถ่ายทอด

08/12/2024

“โคตรภูญาณ” เป็นคำที่มีรากฐานมาจากคำในภาษาบาลีและมักเกี่ยวข้องกับแนวคิดในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในกระบวนการพัฒนาปัญญาและการเข้าถึงความหลุดพ้น ขยายความได้ดังนี้:

ความหมายของโคตรภูญาณ

1. ความหมายตรงตัว
• “โคตรภู” หมายถึง “การข้ามพ้นสภาพธรรมดา” หรือการเปลี่ยนผ่านจากระดับปุถุชน (คนธรรมดา) ไปสู่ระดับพระอริยบุคคล (ผู้บรรลุธรรม)
• “ญาณ” หมายถึง ความรู้แจ้งชัด ความรู้ที่เกิดจากปัญญา
ดังนั้น โคตรภูญาณ คือ ญาณหรือความรู้แจ้งที่ทำให้จิตข้ามพ้นจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นพระอริยบุคคล
2. ในกระบวนการบรรลุธรรม
• โคตรภูญาณเป็นขั้นตอนสำคัญที่จิตเริ่มเห็นความจริงของสภาวธรรมอย่างชัดเจน เข้าใจสัจธรรมในระดับลึกซึ้ง และพร้อมจะเข้าสู่ มรรค (หนทาง) ที่นำไปสู่ ผล (ผลของการปฏิบัติ)
3. ลักษณะเฉพาะของโคตรภูญาณ
• เป็นภาวะที่จิตก้าวข้ามจากความยึดติดในอารมณ์ ความคิด และตัวตน
• จิตเริ่มเข้าสู่ความสงบ สว่าง และมั่นคงมากขึ้น
• เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญก่อนการบรรลุโสดาปัตติผล (ระดับแรกของพระอริยบุคคล)

การพัฒนาสู่โคตรภูญาณ

1. การเจริญสติและสมาธิ
• การฝึกสมาธิและเจริญสติช่วยให้จิตตั้งมั่นและพร้อมรับรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง
2. การใช้ปัญญา
• พิจารณาธรรม เช่น ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) อย่างลึกซึ้งจนจิตยอมรับความจริงโดยไม่มีความลังเล
3. การละวางกิเลส
• ลดละความยึดมั่นในตัวตนและความปรารถนาในสิ่งที่ไม่จีรัง

สรุป

โคตรภูญาณ เป็นจุดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณในพระพุทธศาสนา เป็นช่วงที่จิตเริ่มเข้าใจความจริงและพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่หนทางแห่งการหลุดพ้น การฝึกฝนและปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงภาวะนี้ได้

Cr. ขอบคุณ อนุโมทนาบุญ ร่วมกัน 🥰

🥰 ค่อยๆ อ่าน นำมาปฏิบัติธรรมในชีวิต ประจำวัน นะ ทุกคน 🥰 วิปัสสนูปกิเลส๑๐วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง นำมาบรรยายเป็นประโยชน์เก...
06/12/2024

🥰 ค่อยๆ อ่าน นำมาปฏิบัติธรรมในชีวิต ประจำวัน นะ ทุกคน 🥰

วิปัสสนูปกิเลส๑๐
วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง นำมาบรรยาย
เป็นประโยชน์เกื้อกูล ให้ผู้ที่ปฏิบัติธรรม
ถ้าปฏิบัติถูกทาง สุดทาง ปรากฏขึ้นครบ
ธรรมเหล่านี้ เจโต วิมุตติ ถ่องแท้สิ้นแล้ว
จึงมองภาวะจิตบุคคลออก ด้วยเหล่านี้

วิปัสสนูปกิเลส๑๐
เกิดวิปัสสนูปกิเลสขณะปฏิบัติกรรมฐาน
วิปัสสนูปกิเลสทำหน้าที่ขัดขวางเจ้าของ
มารทดสอบขวางบุคคลไม่ให้บรรลุธรรม
เป็นธรรมารมณ์ ณ ขณะวิปัสสนาอ่อนๆ
ชื่อว่า ตรุณวิปัสสนา

เปรียบ วิปัสสนูปกิเลสเป็นสภาวะที่พิเศษ
อันละเอียด น่าชื่นชม ไม่มีในสาธารณะ
แต่ว่า...
¤ เป็นโทษแห่งวิปัสสนา (เพี้ยนๆ)
¤ เป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งวิปัสสนา
¤ เป็นความติดข้องแห่งวิปัสสนา
¤ เป็นตัวหลงเข้าผิดว่า ตนได้บรรลุแล้ว..............................................🙈🙉🙊

วิปัสสนูป๑๐ เป็นเหตุขัดขวางกรรมฐาน
ผู้ปฏิบัติธรรมจึงไม่บรรลุ วิปัสสนาญาณ
วิปัสสนูปอุปสรรค๑๐
อย่างเป็นอย่างไร...

🔴 #โอภาส
ลักษณะแสงสว่าง สว่างไสวขณะลืมตา
ขณะหลับตาสว่างไสว เสมือนกลางวัน
เพราะจิตไม่เคยเจอในชีวิตปุถุชน
จิตหลงติดตรึงใจว่า สุดยอด สว่างไสว
เข้าใจผิดว่า ความสว่างไสวเป็นนิพพาน
แต่โอภาส ยังไม่ใช่นิพพานครับ

ยิ่งใครเคยอ่านตำราเปรียบผู้รู้ว่า สว่าง
"เปรียบธรรมแท้ดั่งแสงสว่าง" ก็จะหลง
เจอแสงโอภาส จึงหลง ยึดถือ ยิ่งมานะ

ถ้าสมาธิยังไม่ค่อยตั้งมั่นเห็นเป็นกสิณ
สมาธิดีขึ้นนิด ก็จะเห็นเป็นภาพขาวดำ
สมาธิดีขึ้นอีก เห็นเป็นภาพสี 3D
สมาธิดีขึ้นอีก เห็นเป็นวีดีโอ เพลินเลย
มันหลงเพลินแบบนี้จริงๆ

ผู้กล่าวก็ขอกล่าวตรงๆ เตือนตรงๆ
ด้วยความปรารถนาดี อยากช่วยทุกคน
การมีบุคคลบรรลุธรรม ก็ดีอยู่แล้วครับ
ไม่กล่าวโทษใครอยู่แล้วครับ
จึงถ่ายทอดเรื่องวิปัสสนูฯ เพื่อได้ทราบ............................................🙈🙉🙊

🔴 #ญาณลวง (ญาณลวงวิปัสสนูป)
ญาณลวง สภาวะอาการวิตก, มีวิจารณ์
สภาวจิต ขณะหลงคิดอย่างมีเหตุ มีผล
เป็นอะไรที่ปุถุชนถกเถียงกันเอง
เช่นว่า...
¤ อะไรแสง, สีอะไร, เสียงอะไร ฯลฯ
¤ อะไรใช่, อะไรไม่ใช่
¤ อะไรผิด, อะไรถูก
¤ อะไรอัตตา, อะไรอนัตตา ฯลฯ
¤ บางทีมาเป็นเสียงความรู้ต่างๆ
¤ บางทีมาเป็นความคิดความรู้ต่างๆ
¤ บางทีมาเป็นภาพความรู้ต่างๆ
เป็นญาณลวง ยังไม่ใช่วิปัสสนาญาณ
จิตนึกคิด ขัดขวางสมาธิ ก่อนวิปัสสนา
แซะว่า #วิปัสสนึก ขวางให้วิตกวิจารณ์

ญาณ (ญาณลวง ญาณหลอก)
ญาณหลอกใจเจ้าของนี้ยังเป็นอวิชชา
ความไม่รู้ ไม่รู้จริงในสิ่งที่ตนรู้ด้วยซ้ำ,
ความไม่รู้เท่าทันตัวมันเอง (อวิชชา)
¤ ยังมีอวิชชา
¤ ยังมีตัณหา
¤ ยังมีสักกายทิฏฐิ
ชื่อว่า วิปัสสนึก เป็นอาการจิตคิดจริงๆ
เป็นอารมณ์จิตคิดไปเองดักใจเจ้าของ
เจ้าของคิดอะไร มันรู้หมด รู้ทันหมด
เจ้าของจิต เลยโง่ไงครับ ยังไม่รู้ทันมัน

เป็นวิปัสสนูป ยังไม่เป็น วิปัสสนาญาณ
ส่วนใหญ่ ความคิดไหลมาเอง ขณะสติ
เสียสมาธิให้กับมัน แต่ตนเอง ไม่รู้ตัว

ญาณลวง ญาณหลอกใจเจ้าของ
มีลักษณะปัญญาความนึกคิดที่คมกล้า
สาเหตุเกิดจาก...
¤ ขณะจิตสติช้า ขณะไม่ทันกำหนดรู้
วิปัสสนูป จึงเข้ามาแทรก

¤ ขณะจิตติดข้อง สนองตัณหา หรือ
จิต เจตสิกร่วมกันไหลตามญาณ

¤ ขณะจิตต่อต้านความคิด แต่สนอง
ตัณหา อยู่ในวิภวตัณหา ข่มใจจริง
แต่ฌานลวงยังนอนเนื่องหลอกอยู่
เจ้าของ จึงหลงโง่ ไม่เห็นความคิด
เพราะต่อต้านอยู่กับมัน มีมันอยู่

¤ จิตเคยชินกับตัณหา ขณะติดข้อง
ขณะเคยชินสิ่งนั้นนาน จนดูปกติๆ
แต่ตัณหาครอบงำจิตอยู่เต็มๆ

¤ ญาณลวงเหมือนรู้ว่า "กำลังพอใจ"
ญาณ ตามสนองขณะยินดียินร้าย
สนองความติดข้องต่างๆ อย่างนั้น
สนองตามความคิด ขณะจิตนั้น

¤ เมื่อตัณหากับความคิดมีกำลังกล้า
ทิฏฐิ ตัณหา อวิชชา ก็ครอบงำจิต
หลงยึดยิ่งนักว่า กรูรู้แล้ว กรูรู้แจ้ง

¤ ทิ้งภาวนาหลงใหลความคิดนึกนั้น
หลงมั่นใจว่า ตนรู้ ความคิดไวมาก
อยากรู้อะไรมันป้อนใจเจ้าของเอง
ตัณหายึดมาก แต่ไม่อะไรจริงเท็จ
คนกลุ่มนี้ จึงไม่เอาเหตุผล
เพราะบางครั้ง ความรู้ที่ได้มาก็ผิด
ส่วนใหญ่ไม่เห็นสภาวจิตของตน

¤ สมาธิรวมตัวกับสัญญาความจำแท้
จิตเจตสิกร่วมกัน รู้สัญญาเดียวกัน
สิ่งที่จิตรู้ เจตสิก ก็รู้เช่นเดียวกัน
จิตช่วงนี้ ยังรู้ไม่ทันเจตสิกด้วยซ้ำ
จิตเจ้าของ จึงโดนมารลวงหลอก

บางฅนศึกษาธรรมมาก รับวิบากจุดนี้
ปฏิบัติแบบผู้รู้ กลายเป็นผู้หลงรู้
เพราะตัณหารวมกับความรู้ เป็นทิฏฐิ
อัตตาตัวตนของตน ปิดกั้นสติปัญญา
พาลไม่กล้ายอมรับความจริง

ญาณลวงหลอกใจเจ้าของ
🙉 สักกายทิฏฐิ อัตตาตัวตนของตน
🙈 ตัณหา ความติดกล้อง
🙊 อวิชชา ความไม่รู้

#อาการน่าเป็นห่วง
ผู้ติดข้องญาณลวง (วิปัสสนูปกิเลส)
บุคคลลักษณะชอบนึกคิดตรึกตรอง
ช่างคิดไตร่ตรองรูปธรรม, นามธรรม
มโนธรรมเก่ง มักกล่าวธรรมเก่งๆ

ถ้อยความไพเราะเพราะพริ้ง สำนวน
คำพูดกล่าวยังผิดถูกๆ ไม่สมเหตุผล
ความเท็จนั้นเองประจานลักษณะตน
แต่ตนเอง หลงรู้
¤ พูดมาก พูดน้อยเท่านั้น ถ้ายังมุสา
พูดมาก ก็ประจานตนบ่อยหน่อย
¤ พูดเท็จคำเดียวหักล้างตัวเองหมด

ส่วนใหญ่คิดคาดเดาเชื่อมโยงกันผิด
ผิดธรรมชาติ ผิดจากความจริง
ผู้ไม่รู้ตนเองอาการน่าเป็นห่วง @

บางท่าน พูดมิติเดียว หาว่า นั้นธรรมะ
แบบนี้กรูถูก ต้องแบบนี้ถูก อย่างนี้ใช่
ใครรู้ไม่เหมือนกรู พวกกรูหาว่า เปล่า
หลงอัตตา เพราะสักกาทิฏฐิ ยังมีอยู่

มีอาการวิปลาส ไม่รู้ตัวว่า "สติวิปลาส"
¤ ใครห้ามอะไรๆ ผู้อื่นเตือนอะไรๆ
กรูไม่ฟัง กร่างว่า กรูเก่งฅนเดียว

¤ เมื่อใครๆ ไม่เหมือนกรู ก็หาว่า เปล่า
เพราะกรูรู้แบบนี้ๆ ถูก แบบอื่นเปล่า
กำแพงอัตตา ตัวตนของตน

¤ ถ้าใครไม่ถูกใจกรูเลย กรูจะไม่ยอม
อารมณ์จะกระเพื่อมกำลังพาลโกรธ
พยายามข่มอาการ กลมเกลื้อน

¤ ใครเหมือนกรู จึงหลงนึกว่า ถูกต้อง
ทั้งที่ถูกใจแต๊ๆ (หาพวกเยอะๆ)
อ้าว! สมยอมกันเองอีกนี้ไงครับ

¤ สูงสุดปัญญาคิดยังสมาธิหลงผิดวิธี
ความรู้สุด เขาเหล่านี้ ไม่เกินญาณ๓
เพราะคิดตอนสมาธิยังไม่ถูกวิธี

¤ คิดมโนแต๊ๆ ไม่กล้ายอมรับความจริง
............................................🙈🙉🙊

#นักปริยัติมักตกม้าตายตรงนี้
นักปฏิบัติรู้มาก ก็ตกม้าจุดนี้เยอะ
ญาณลวงหลอกใจเจ้าของจิต
บางทีอาจหลงผิดบรรยายอะไรเพี้ยนๆ
¤ แสดงธรรมแปลกประหลาด เช่น
หาว่า ทุกอย่างว่างหมดนี้
หาว่า อะไรๆ ทุกอย่าง ก็ไม่มี
ปฏิเสธ ความหมาย ความจริง ธรรมะ
ปฏิเสธ ความจริง ความมีเหตุผล
ปฏิเสธ อะไรถูก อะไรผิด
ปฏิเสธ กรรม วิบาก กฎแห่งกรรม
แท้จริง อริยะ มีความเข้าใจจึงหลุดพ้น
อริยะ ดับทุกข์ด้วยปัญญาได้
อริยะ มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น

¤ หลงรู้ บ่งบอกกิริยาแปลกประหลาดๆ
เช่น หลงรู้ว่า...
หลงรู้ เห็นว่า มีจิตอีกดวง
หลงรู้ เห็นว่า จิตมีหลายดวง
แต่กลับไม่เห็นขันธ์๕ ไม่เห็นปรมัตถ์๔

ญาณลวงก่อนก้าวข้ามสู่วิปัสสนาญาณ
แต่อินทรีย์ ยังไม่สมดุลย์พอจะก้าวข้าม

¤ ฟังดูแปลก อัศจรรย์ #กล่าวเท็จเอง
น่าห่วง เขาเองไม่รู้ว่า โดนหลอกอยู่

¤ ทุกสิ่งประจานตัวเองอยู่อย่างนั้นจริง

ญาณลวงหลอกใจเจ้าของ
ตัณหา ๒ ทาง ได้แก่...
🔴 ความติดข้องพอใจ
🔴 ความติดข้องไม่พอใจ
ความอยาก แสดงธรรมออกมาผิดเอง

ผู้กล่าวสั้นๆ พูดตรงๆ
สรรพสิ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรม
กฎแห่งกรรม (วัฏฏ๓)
สิ่งหนึ่งมี อีกสิ่งหนึ่งจึงมี เช่นเดียวกัน

🔁 มีกิเลส สนองกิเลส เกิดเป็นกรรม

🔁 มีกรรม สนองกรรม เกิดเป็นวิบาก

🔁 มีวิบาก สนองวิบาก เกิดเป็นกิเลส

วัฏฏะ๓ ที่สืบเนื่องตามจิกกันไม่ปล่อย
กรรม - กิเลส - วิบาก จะตามจิกกันเอง
อย่างไม่มีสิ้นเวียนวนก่อภพชาติไม่สิ้น
เป็นวัฏฏะ 🔁 (ปฏิจจสมุปบาท)

ณ ขณะจิตมีตัณหา สนองตัณหา
¤ หลงรู้ คล้อยตามสนองความพอใจ
สนองติดข้องไม่พอใจ นาๆ

¤ หลงรู้ คล้อยตามสิ่งที่มันรู้สืบเนื่อง
แต่ไม่รู้ทันอาการความสืบเนื่องนั้น

¤ หลงรู้ ลืมตัวขาดสติ อารมณ์แทรก

¤ หลงสำคัญตนว่า กรูบรรลุธรรมแล้ว
ทั้งที่ตัวเอง ยังไม่บรรลุธรรมเป็นอริยะ
หรือยังเห็นผิด คิดผิด พูดผิดอยู่เลย............................................🙈🙉🙊

¤ หลงตัวเองหาว่า ตนบรรลุธรรมแล้ว
ทั้งที่ตนกำลังบรรลุวิปัสสนูปกิเลสแต๊ๆ

วิธีแก้ไข ดีที่สุด "ทำลายสักกายทิฏฐิ"

#เปรียบเทียบอริยะแท้ได้
ให้มีผลสมาบัติ มีนิโรธสมาบัติ รับรอง
บุคคลต้องมี สมาบัติ๘ ละสังโยชน์๓
จึงสมุทเฉทปหาน บรรลุผลสมาบัติได้
ชื่อว่า บรรลุกายสักขี บรรลุ ๒ ทาง
¤ มีเจโตวิมุตติ
¤ มีปัญญาวิมุตติ

เป็นพระโสดาบัน, และพระสกิทาคามี

บุคคลต้องมี สมาบัติ๘ ละสังโยชน์๕
จึงสมุทเฉทปหาน บรรลุนิโรธสมาบัติ
บรรลุอุภโตภาควิมุตติ บรรลุ ๒ ทาง
¤ มีเจโตวิมุตติ
¤ มีปัญญาวิมุตติ

เป็น พระอนาคามี

บุคคลต้องมี สมาบัติ๘ ละสังโยชน์๑๐
จึงสมุทเฉทปหาน บรรลุผลสมาบัติได้
บรรลุอุภโตภาควิมุตติ บรรลุ ๒ ทาง
¤ มีเจโตวิมุตติ
¤ มีปัญญาวิมุตติ

เป็น พระอรหันต์

อริยบุคคลแท้ๆ ที่รู้ตนเอง บรรลุธรรม
ท่านละขันธ์๕ ได้นะครับ
อริยะเบื้องต้นละขันธ์๕ ได้ไม่เกิน ๗วัน
อริยะเบื้องสูง ละขันธ์๕ ได้ ๗-๑๕วัน

แต่ว่า ปุถุชนกล้าละขันธ์๕ หรือเปล่า ?
แล้วละขันธ์๕ ได้หรือเปล่า ?....

ดังนั้น #เน้นทำลายสักกาทิฏฐิก่อน
ควรแก้ไขด้วยมรรค๘ และถูกทางครับ
แล้วปฏิบัติธรรมจนกระทั่งสุดทาง

ถ้าพ้นญาณ๓ จักเจอวิปัสสนูปละเอียด
ตั้งแต่ ญาณ๔ แก้กล้าขึ้นจะเจอ... ปิติ
เพื่อเรียนรู้เอง เพื่อจิตไม่ติดข้องกับมัน
ละจากวิปัสสนูปกิเลสแต่ละตัวจนหมด............................................🙈🙉🙊

🔴 #ปิติ (จะหายไปเอง ถ้าละฌาน๒)
เป็นความอิ่มเอมจิต ขนลุกซู่เอง ตัวเบา
ถ้าปิติหนัก รู้สึกเหมือนมีอะไรชอนไชๆ
ความรู้สึกคล้ายอะไร เลื้อยอยู่ในลำไส้
เลื้อยทะลุปอด (บางท่านขวัญอ่อนได้)
รู้สึกคันยุบยับๆ คล้ายหนอนชอนไชใน
ข้างในตัวผู้ปฏิบัติ ลืมตาดูไม่เจอด้วย

พวกชอบทำของ เล่นไสยศาสตร์ต่างๆ
อาจจะกลัวตรงนี้แหละ หลอนๆ
หรือไม่ ก็ชอบ หลงกลายเป็นหมอผี
หรือไม่ ก็หลงกลายเป็นร่างทรงไปเลย

บางฅนมีอาการแล้วพอใจหลงสิ่งวิจิตร
อาการเดียวกัน ฅนไม่พอใจ จึงหลอนๆ
แต่เป็นด้วยอำนาจวิปัสสนูปกิเลส

พวกหมอผีเก่งหลงอยู่ที่นี่แหละ ฌาน๒
อย่าไปกลัวอะไร
อย่าหลงอะไรนั้นนานๆ
อาการต่างๆ ไม่นานถึงเวลาหายไปเอง
แล้วจะเข้าใจ (สรรพสิ่งล้วนอนิจจัง)
จะได้สติว่า สำคัญผิดไปเองก่อนหน้านี้

ปิติอาจปรากฏเกิดขึ้นในอาการ ฌาน๒
บางฅนหลงปิติยึดถือทิฏฐิว่า อิทธิฤทธิ์
เพราะปิติ มีหลายลักษณะอาการมากๆ
แต่ ปิติ เป็นอารมณ์ลักษณะเดียวกัน
อาการต่างๆ เหมือนมารหลอกใจตัวเอง
ถ้าสมาธิสมบูรณ์ขึ้นมากว่าฌาน๒
ปิติ จึงถูกละไปเองครับ

บางที คล้าย นั่งสมาธิอยู่ ตัวเบาๆ
หรืออาจรู้สึกว่า นั่งสมาธิอยู่ ตัวลอยๆ
หรืออาจรู้สึกว่า เหาะได้ (หลงสุดๆ)
หรืออาจน้ำตาไหล ขณะเกิดปลื้มปิติ
หรืออาจรู้สึกว่า บางที ขนลุกซู้
หรืออาจรู้สึกว่า ร่างกายขยับเองได้
หรืออาจรู้สึกว่า ได้ยินเสียงลึกลับอื่น
หรืออาจรู้สึกว่า มีเสียงพรายกระซิบ
หรืออาจรู้สึกว่า มีเสียง ภูตผี เทพเทวา

บางฅนวิตก-วิจารณ์ ระวังฌานจะเสื่อม

บางคนมีอาการเหล่านี้หลง บรรลุธรรม
แต่ไม่ใช่ครับ อริยบุคคล ละขันธ์ ๕ ได้
ส่วนใหญ่ ไม่กล้าละขันธ์๕ กลัวตาย

เตือนตรงๆ นี่แหละด้วยความหวังดีจริง
ปรารถนาดี ช่วยทุกคนนี่แหละ............................................🙈🙉🙊

🔴 #ปัสสัทธิ (ถ้าถึงฌาน๓ ก็จะหาย)
เป็นขณะช่วงต่อ ระหว่างฌาน๒ ฌาน๓
ถ้าก้าวข้ามไปสู่ ฌาน๓ ปัสสัทธิหายไป
ลักษณะอารมณ์ปัสสัทธิ ดังนี้...
จิตสงบเย็น นิ่ง สงบ สาธารณะไม่เคยมี
รู้สึกว่า จิตนิ่ง เป็นความว่างเปล่าไปเลย
รู้สึกว่า แขนขาหายไปเฉย
รู้สึกว่า ตัวหายบ้าง นิ่งคล้ายไม่มีตัวเรา
บางคนหลงว่า ไม่มีตัวเราของเราแล้ว
นี่แหละหาว่า กรูบรรลุธรรมแล้ว ก็มี
รู้สึกว่า สงบนิ่ง
รู้สึกว่า ไม่มีตัวตนของตน
เข้าใจผิดเองว่า "บรรลุธรรมแล้วกรู"
¤ แต่ว่า ไม่ใช่นิโรธสมาบัติ
¤ แต่ว่า ไม่ใช่ผลสมาบัติ
อารมณ์คนบ้า ไม่ใช่อารมณ์นิพพาน

ปัสสัทธิ สงบได้ สงัดได้ นิ่งมากขึ้นได้
หรืออารมณ์นิ่งมากเกิน
เป็นอำนาจฌาน ชนะวิปัสสนูปก่อนได้
ทำเอาฮึกเหิม #ที่จริงแล้วกิเลสฮึกเหิม
คือ หลุมดักใจยึดวิปัสสนูปกิเลสอีกตัว
สภาวะที่สงบสงัดจนไม่มีอะไรให้รู้แล้ว
จริงยังพอมีสติอยู่ ไม่ได้ละขันธ์๕

มีอารมณ์วิจิตร เหนือวิสัยมนุษย์ปุถุชน
ไม่มีอารมณ์เหล่านี้ในสาธารณะ

รู้อยู่ผู้เดียว เห็นผู้เดียว ได้ยิน ก็ผู้เดียว
แต่ทำไมอริยะอ่านใจคนเหล่านี้ออกนะ
รู้หมดว่า เจออะไรมา จะเจออะไรต่อ ?
#ที่แนะนำด้วยความหวังดี

ที่จริง ยังมีสงบ สบายๆ ยิ่งกว่าปัสสัทธิ
ถ้าเข้าฌาน๓ ปัสสัทธิ ย่อมหายไปเอง

ปัสสัทธิ ยังอยู่ในรูปฌาน สามารถรับรู้
ผัสสะ๖ ฌาน ข่มผัสสะ และข่มเวทนา
ให้ระวัง ฅนส่วนใหญ่ที่หลงติดปัสสัทธิ
มักหลงนึกว่า วิมุตติแล้ว แต่เปล่าเลย

แต่ว่า ยังไม่ใช่หรอกนะครับ
แม้แต่ความไม่คิดนึก หรือความสิ้นคิด
เหล่านี้ ก็ไม่ใช่ ฌานมันขมความคิดไว้
ตรงนี้แหละ #ภาวะสิ้นคิดของบางคน

อริยบุคคล เข้าใจขันธ์๕ คอยดูขันธ์๕
อริยบุคคล สามารถละขันธ์๕ ได้
อริยะเบื้องต้นละขันธ์๕ ได้ไม่เกิน ๗วัน
อริยะเบื้องสูงละขันธ์๕ ได้ ๗-๑๕ วัน
ปุถุชนละขันธ์๕ ยังไม่ได้ ตายแน่นอน
หลุดพ้นด้วยปัญญา และพ้นด้วยใจได้............................................🙈🙉🙊

🔴 #ความสุข (จะหายไปในฌาน๔)
ตรงจุดนี้เป็น ฌาน๓ มีความสุขล้ำเลิศ
ไม่มีเหล่านี้ในอารมณ์สาธารณะ

เป็นความรู้สึกสุข สบายใจว่า โลกสวย
ลืมตัวว่า กำลังเพลิดเพลินติดสุข เลิศ
ขณะเพลิดเพลินเสพสุข สุขเกียจทุกข์
ถ้าฟังอะไร ไม่ไพเราะงดงาม ทนไม่ได้
ไม่สามารถทนความกระทบกระทั่งได้

หลงดี บุญ สุข ลาภ ยศ สรรเสริญ
หลงนึกว่า ใช่ เลยติดข้องเหล่านี้แหละ
หลงมายาคติ ดั่งภาพลวงตา ลวงจิตใจ
ลวงใจเจ้าของใจ เผลอใจหลงขาดสติ

เหล่านี้เป็นเหตุปัจจัย
ทพให้ผู้ปฏิบัติหลงรู้ว่า บรรลุธรรมแล้ว
เพราะนึกว่า นิพพานสุข แต่ว่าไม่ใช่
ตรงนี้เป็น ความสุขในวิปัสสนูกิเลส
เป็นกับดักวิปัสสนูปกิเลส ที่ละเอียดกว่า
เมื่อผู้ปฏิบัติละวิปัสสนูกิเลสก่อนหน้าได้
ทำให้หึกเหิม ที่แท้กิเลสมันถึงเหิม

นี่แหละ ที่มักเตือนว่า "หลงซ้ำหลงซ้อน"
แต่เวลาเตือนตรงๆ หลายคน ก็จะโกรธ
และเกลียด หาว่า เพ่งโทษใส่ร้าย
แต่เปล่าเลยครับ
เป็นไปด้วยความปรารถนาดี
เพราะว่า "ถ้าพูดไม่มุสา ถ้ามุสาไม่พูด"

ข้อดี คือ...
ความสุข ทำให้เข้าสมาธิง่ายกว่า ทุกข์
จิตเหนือกว่า สามารถเห็นทุกข์, รู้ทุกข์
เพราะจิตตั้งมั่นกว่า จึงไม่ติดสุข

เมื่อไม่ยินดียินร้ายต่อความสุข ฌาน๓
บรรลุฌาน๔ จิตตั้งมั่น ไม่ยินดียินร้าย
หรืออุเบกขาฌาน ลำดับถัดไป

อริยบุคคล เข้าใจขันธ์๕ คอยดูขันธ์๕
อริยบุคคล สามารถละขันธ์๕ ได้
อริยะเบื้องต้นละขันธ์๕ ได้ไม่เกิน ๗วัน
อริยะเบื้องสูงละขันธ์๕ ได้ ๗-๑๕ วัน
ปุถุชนละขันธ์๕ ยังไม่ได้ ตายแน่นอน
หลุดพ้นด้วยปัญญา และพ้นด้วยใจได้............................................🙈🙉🙊

🔴 #อธิโมกข์ (ศรัทธากล้า)
เป็นความน้อมใจเชื่อ ศรัทธาแก่กล้ายิ่ง
อาจจักหลงน้อมใจ ทำบุญใหญ่หมดตัว
ถ้าใครมีญาติพี่น้องๆ คอยเตือนด้วยนะ
หากไปปฏิบัติธรรมแล้ว หลงบุญบ้าบุญ

บางสำนักปฏิบัติธรรม ไม่เตือนสติผู้ฅน
เปรียบโจรฉวยโอกาส ปล้นทรัพย์ผู้ฝึก
วางกับดักรับทำบุญ รับบริจาครอบวัด

เขาขาดสติ เกิดวิปัสสโนกิเลสครอบงำ
โจรแฝงศาสนาใช้อุปกิเลสแสวงหาเงิน
แสวงหาลาภสักการะจากนักบุญ

โจรแฝงศาสนา ร่ำรวย เป็นเศรษฐีบาป
ขณะครอบครัวชาวบ้านน่าสงสาร

โจร ก็ได้ดี บุญ สุข ลาภ ยศ สรรเสริญ
และเงินสนองตัณหา #อรหันต์ปลอม

ผู้เกิดอธิโมกข์ สติจึงยังอ่อนกว่ากิเลส
ต้องเพิ่มปัญญาให้เสมอศรัทธางมงาย
เพราะว่า จุดนี้แหละ #ภาวะโง่งมงาย

ถ้าผู้ฝึกเพิ่มสติ และปัญญาอย่างถูกวิธี
ย่อมจะได้ผลที่ถูกต้องตามมาเสมอ

¤ ปฏิบัติบูชา
เอากิเลส ทำลายตัวมันเอง ศรัทธาเกิน
ควรเพิ่มความเพียร ปฏิบัติ แลกภาวนา
ค้องขยันปฏิบัติธรรมหนี้ความงมงาย

¤ ฟังธรรม เพิ่มภูมิรู้ ภูมิธรรม
ที่จริงฟังธรรม ก็ดี ถ้าเป็นพระธรรมแท้
แต่ไม่ดีเลย ถ้าโดนโจรหลอก ก็จะเชื่อ
แล้วบางสำนักโจรเตรียมล้างสมองอยู่
ผู้ปฏิบัติธรรมต้องระมัดระวัง

ถ้าสำนักปฏิบัติธรรมจริง กัลยาณมิตร
ย่อมตักเตือนล่วงหน้า #ไม่ฉวยโอกาส

อธิโมกข์ ศรัทธามากเกิน มีปัญญาอ่อน
ฅนพาลจะฉวยโอกาสช่วงนี้ปล้นทรัพย์

ชาวบ้านหลงบูชาตามความเชื่อ
ความเชื่อตามกันจึงงมงายเพื่อหากำไร
ยุคหนึ่ง บ้าจตุคาม สร้างกระแส แล้วไง
จตุคามเป็นเทพ กันผีไม่ได้อีก (ตื่นๆ)

ยุคแรก รถไม่มี ก็ไม่มีแม่ย่านาง
ต่อมา เริ่มมีรถ แม่ย่านาง มาจากไหน ?
บ้านเรามีพระ ไม่ค่อยเตือน ขาดสติอยู่
อย่าถือสาครับ พูดให้ได้คิด พูดตรงๆ

เช่น
สังคมไทย บางฅนแนะนำผู้อื่นเป็นฅนดี
แต่ตนเป็นฅนพาล เพื่อจะผลประโยชน์
กลายเป็นว่า #ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
มุสา เพื่อความเป็นอยู่ตนเอง สุขสบาย
ดูเถิด ชาวบ้าน ลำบากมากมายอยู่เลย

วัดจะดี ควรปลูกฝังสร้าง สังคมผู้มีศีล
อบรมพระละความชั่วสู่พระศีลบริสุทธิ์
............................................🙈🙉🙊

🔴 #ปัคคาหะ (ความเพียรกล้า)
มีความเพียรพยายามอย่างแรงแก่กล้า
มีความเพียรปฏิบัติธรรมแบบต่อเนื่องๆ
มีความเพียรปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์
#บูชามอบกายถวายชีวิตพระรัตนตรัย

เช่น เวทนานุปัสสนา เตโชวิปัสสนา
ทนทุกขเวทนามาก ถึงมากเหนือมนุษย์
ทำในสิ่งทำได้ยากจึงได้สิ่งที่หาได้ยาก

บางคนเดินธุดงค์ ระยะทางยาวไกลได้

บางคนทนร้อนทนหนาวได้ผิดปกติเกิน

#เนสัชชิก
ความอดทนทำลายล้างนิวรณ์๕ เกลี้ยง
จึงได้มาซึ่ง #เนสัชชิ
สภาวธรรม ไม่หลับ ไม่นอน และไม่ง่วง
สามารถปฏิบัติได้นานเสมอความเพียร
ประกอบกับอำนาจสมาธิแรงกล้าด้วย

จุดนี้หลวงปู่ท่านว่า " #รู้ตื่นเบิกบาน"
เทพเจ้าแห่งความสำเร็จแท้ๆ คือ วิริยะ
ความเพียรพยายามลองผิดลองจนถูก
พยายามจนประสบผลสำเร็จสุดทาง

ความเพียรจะมีได้ หากศรัทธามากพอ
ความเพียรสำเร็จ หรือไม่ อยู่ที่ปัญญา
หากปัญญาเสมอศรัทธาจะสติชัดครับ
จะเป็นวิปัสสนูปลำดับถัดไป

มองดีๆ วิปัสสนูปกิเลส เหมือนครูธรรม
เป็นครูธรรมชาติก่อนฅนจะบรรลุธรรม............................................🙈🙉🙊

🔴 #อุปัฏฐาน (ระลึกชาติ)
สติคมกล้ายิ่ง สติชัดยิ่ง สติพัฒนาขึ้น
สติชัดเจนกระทั่งล่วงรู้อดีตชาติต่างๆ
เป็นไปเองโดยสภาวธรรม เพื่อพิสูจน์

ตอนนั้น อาการลูกแมวเกิดดับถี่มากๆ
โดยส่วนตัวนั่งนับอาการลูกน้ำเกิดดับ
ได้ชั่วโมงละหลายพันครั้ง ถี่ยิบมาก

ล่วงรู้อดีตเป็นเรื่องเป็นราว ลืมปัจจุบัน
เหมือนไปเป็นอีกฅนหนี่ง ในอีกร่างนั้น
บางภพชาติ ยังมีเจ้ากรรมนายเวรอยู่

มี ๒ หน ที่เจ้ากรรมนายเวรอาฆาตแรง
ตอนนั้นเป็นพระ แสดงธรรมเคลียร์กัน
ผมจะชวนติดตามผมปฏิบัติธรรมหมด
เป็นการช่วยจิตวิญญาณ

เผื่อถ้าใครเจอเหตุการณ์ดังกล่าว
ก็ไม่ต้องกลัว ให้ตั้งสติ คุยกันดีกว่านะ
คุยกับวิญญาณ ก็เหมือนกับคนนั่นแล

เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ได้พิสูจน์
เป็นมนุษย์ยุคโบราณ ก็ได้พิสูจน์
อบายภูมิ ก็ได้พิสูจน์
สวรรค์ ก็ได้พิสูจน์
พรหมโลก ก็ได้พิสูจน์ สิ้นสงสัยจริงๆ

รู้อีกทีว่า เผลอมาอยู่กับเมียที่จะชาติ
พอนึกได้ สติมันก็ดึงกลับ

ระลึกชาติซ้ำ จนฅนบางฅนสำนึกตน
ระลึกรู้ สำนึกรู้ เอื้อเฟื้อต่ออธิปัญญา

มนุษย์เองไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ตลอด
จะเกิดเป็นมนุษย์ตลอด ก็ไม่เที่ยงนะ
มองดีๆ ทุกชีวิต ก็ตายตั้งแต่เกิดแล้ว
บางที ก็เหมือนกำลังหลงตายกันอยู่............................................🙈🙉🙊

🔴อุเบกขา (ความเฉย ดับรู้)
เป็นความเป็นกลางๆ ภาวะอับปัญญา
เป็นฤๅษีสมัยก่อนพุทธกาลปฏิบัติผิดๆ
เพราะวางอารมณ์ผิด ติดเฉยเกินไป
¤ ดับรู้จนอับปัญญา ความกลัวกิเลส
เฉย ฌานข่มความคิดนิ่งเฉยอยู่
¤ พอจิตใจสงบ ไม่ต้องการรับรู้อะไร
คอยแต่เพ่งดับรู้จนว่างเสียหมด
¤ ดับรู้จนสิ้นคิด ข่มวิปัสสนาญาณ
ดับรู้จนสิ้นคิด #ไม่สามารถพัฒนา
กรรมฐานจึงเหมือนสุดทางในที่สุด
ที่จริงเปล่าเลย #ติดสมถะเกินไป
¤ สิ้นคิดเหมือนสุดทางสำหรับสมถะ
ออกมาใช้ชีวิต #อารมณ์กระเพื่อม
เพราะปุถุชนยังไม่บรรลุธรรมครับ
¤ มีเยอะเลยหลงว่า บรรลุธรรมแล้ว
หลงว่า กรูบรรลุอรหันต์แล้ว

#โทษของการไม่เพ่งขันธ์๕
ถ้าปฏิบัติธรรม #ไม่เห็นลักษณะขันธ์๕
🔴 ย่อมไม่เกิดความคิด
🔴 ย่อมอับปัญญาญาณ
มีเหตุปัจจัยจาก ไม่เพ่งลักษณะขันธ์๕
มีผลจนไม่ตรัสรู้ ไม่เกิดวิปัสสนาญาณ
กลัวการรับรู้จึงไม่ยอมรับความคิดใหม่
หลงดับความคิด ปิดกั้นปัญญาญาณ
🔴ทำให้ไม่มีโอกาสฉลาดจริงเสียที
🔴ทำให้จิตใจไม่ใสสะอาดจริงเสียที

เตือนสติตรงๆ อย่าถือสานะครับ
¤ อับจนปัญญา
การวางเฉยผิดวิธีทำผิด อับจนปัญญา
หลงไม่กล้ารู้ดีรู้ชั่ว จึงไม่กล้าตัดสินใจ

¤ ปฏิเสธอะไรถูก อะไรผิด
ขณะใช้ชีวิตละเลยไปก่อบาปเวรต่างๆ
แต่บางฅนไม่รู้เลยอะไรผิด อะไรถูก
ขณะหลงผิดเข้าใจว่า ปล่อยวางแล้ว

¤ ก่อสมุทัย ก่อเหตุแห่งทุกข์
บางฅนหลงผิด ใช้ชีวิตยังก่อสมุทัยอยู่
ปฏิเสธความจริงว่า นี้สมุทัยเป็นสมุทัย
ที่จริง #พวกเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ

¤ เป็นอริยบุคคลปลอมๆ
บางฅนหลง อุเบกขาผิดวิธี หลงว่า ถูก
🙈 หลงเป็นอริยบุคคล ปลอมๆ
🙈 หลงเป็นอรหันต์ ปลอมๆ

¤ ไม่เห็นอริยสัจ๔
ย่อมไม่รู้แจ้งอริยสัจ๔ ที่แท้จริงครับ
ต้องให้อริยบุคคล เจโต ช่วยชี้แนะครับ
เจริญสติแก้กรรมฐานไปจนบรรลุธรรม
ฝึกสติปัฏฐาน๔ เพื่อมีสัมมาสติถูกวิธี
หรือฝึกอานาปานสติจนสัมมาสติถูกวิธี

#อริยบุคคล ที่รู้ว่าตนเองบรรลุธรรม
อริยบุคคล เข้าใจขันธ์๕ คอยดูขันธ์๕
อริยบุคคล สามารถละขันธ์๕ ได้
อริยะเบื้องต้นละขันธ์๕ ได้ไม่เกิน ๗วัน
อริยะเบื้องสูงละขันธ์๕ ได้ ๗-๑๕ วัน
ปุถุชนละขันธ์๕ ยังไม่ได้ ตายแน่นอน
หลุดพ้นด้วยปัญญา และพ้นด้วยใจได้............................................🙈🙉🙊

🔴 #นิกันติ (ความติดข้อง)
เป็นความติดข้อง รู้สึกพอใจ ติดตรึงใจ
และติดข้องไม่พอใจต่ออุปกิเลสอื่นอยู่
จนเกิดอาการอุปกิเลสอื่น แทรกแทนที่
🙈ติดข้องพอใจ
🙈ติดข้องไม่พอใจ
เช่น
ปฏิเสธโอภาสจึงข่มใจไปติดญาณลวง
ปฏิเสธฌานลวงจึงข่มใจมาหลงติดปิติ
เหล่านี้ เป็นต้น
แต่ส่วนใหญ่ เวลาเป็นเวลาลง ก็ไม่รู้ตัว
ย่อมปฏิเสธว่า ตนพอใจสงบจนเกินไป

อุปกิเลสละเอียดสุด เป็นตัวบงการร้าย
คอยเสี้ยมอยู่เบื้องหลัง
ความเพลิดเพลินใจกับอุปกิเลสทั้งปวง
เสียเวลาคอยสังเกตความรู้สึกลึกๆ
ผู้ปฏิบัติต้องสำรวจจิตใจเห็นโทษภัยนี้
ปฏิบัติแล้วได้อะไร มีอะไรผิดใจอยู่ ?
ถ้าเห็นโทษภัยนั้นๆ จึงสงบอุปกิเลสลง

วิปัสสนูปกิเลส ละเอียดเกินวิสัยปุถุชน
เกินกว่าปุถุชนจะสังเกตเห็นจิต เจตสิก
นิกันติ เป็นตัณหาส่วนหนึ่งในนิวรณ์๕

#วิธีแก้กรรมฐานแบบ เจโต วิมุตติ
นักปฏิบัติต้องวางอารมณ์เป็นการกลาง
¤ เน้นดูรูปนามเป็นหลัก กล้ารับรู้
¤ ไม่ไหลตามอารมณ์ ความคิด
¤ ไม่ต่อต้านอารมณ์ ความคิด
¤ ไม่ควบคุมบังคับจิต และอารมณ์
¤ ต้องอยู่กับอารมณ์เหล่านั้นให้ได้
¤ ต้องยอมรับอารมณ์เหล่านั้นให้ได้
¤ ต้องยอมรับความจริงทุกอย่างได้
¤ เห็นทุกข์ยังไงก็ต้องยอมรับ
¤ เบื่อหน่ายยังไง ต้องเรียนรู้ ยอมรับ
√หันไปทางไหน ก็เจอความจริง
เป็นตัวเราของเรา จริงๆ
√หันกลับไปตรงข้าม ก็เจอความจริง
เป็นตัวเราของเรา จริงๆ
√ความจริงดักหน้าดักหลังไว้หมด
ออกจากความจริงไม่ได้
แล้วตัวเราของเรา ชนะมันอย่างไร
√ปฏิบัติไปจนหมดห่วงนั่นแหละครับ
¤ อดทนไปจนกว่า จิตมันจะคลายเอง
ถึงที่สุดจริง จิตจะคลายกำหนัดเอง............................................🙈🙉🙊

วิปัสสนูปกิเลสจะไม่เกิดขึ้นแก่...
● พระอริยบุคคล ผู้บรรลุนิโรธแล้ว
บรรลุปฏิเวธ ปฏิบัติธรรมสุดทางแล้ว
● ปฏิบัติธรรมผิด ศีลวิบัติตั้งแต่เริ่มต้น
● ผู้ละทิ้งกรรมฐานก่อนบรรลุธรรม
● บุคคลเกียจคร้าน แม้ปฏิบัติถูกทาง
ถูกตั้งแต่เริ่มต้นแต่ทิ้งปฏิบัติไปก่อน

วิปัสสนูปกิเลส ย่อมปรากฎครบทุกตัว
เฉพาะผู้ปฏิบัติธรรมถูกทาง ปฏิบัติอยู่
ประกอบความเพียร เจริญวิปัสสนาอยู่
ขณะยังปฏิบัติธรรมไม่สุดทาง จึงมีอยู่
ความยึดถือ สนองวิปัสสนูปกิเลส
วิปัสสนูปกิเลส๑๐ ขณะเจริญวิปัสสนา
แต่ละอย่างยึดถือได้แบบละ ๓ลักษณะ
ได้แก่...

🔴 #ทิฏฐิคาหะ ยึดถือด้วยทิฏฐิ เช่น…
หลงยึดถือว่า "สิ่งนี้มีเกิดขึ้นแก่เราแล้ว"
หลงยึดในประสบการณ์เพียงด้านเดียว
หลงมิติเดียวเป็นแบบนี้ๆ อารมณ์แบบนี้
แนวนี้เท่านั้นถูก แนวนี้ใช่ แบบอื่นเปล่า
จึงไม่อาจเปิดใจพบความจริงยิ่งกว่านั้น

🙉มานคาหะ ยึดนานจนติดความมานะ
เช่น หลงตนว่า "สิ่งนี้ช่างน่าพึงพอใจยิ่ง
สิ่งนี้จริง สิ่งนี้ใช่ ต้องสิ่งๆ นี้เท่านั้น ถูก
สิ่งอื่นเปล่าหนอ"
หลงตนว่า เป็นคุณวิเศษของตนเกิดขึ้น
พยายามทรงอารมณ์นั้นให้ตั้งอยู่
พยายามแก้ตัว แก้หน้าเพื่อรักษาตัวตน
รักษาหน้าตาของตนเอง จึงแถต่อต้าน

🙊ตัณหาคาหะ เกิดยึดถือ ด้วยตัณหา
ความติดข้อง เช่น…
🔴ติดข้องพอใจสิ่งใด อยากจะได้
อยากจะมี อยากจะเป็นตัวตนนั้นๆ
🔴ติดข้องไม่พอใจ ไม่อยากจะเป็น
ไม่อยากจะได้ ตัวตนของตนเอง
อารมณ์นั้น จึงติดข้องอยู่อย่างนั้นครับ

ขอบคุณหลวงปู่ เตือนสติให้เราปฏิบัติ
ถ้าไม่มีวันนั้น ก็ไม่มีวันนี้

27/11/2024

มาชวนกัน 🥰 ฝึกลมหายใจ เข้า-ออก ตามจังหวะในคลิป ให้ร่างกายรับผล ที่เกิด บริหาร พลังภายในกาย เกิดความสงบ....( (เมื่อทำบ่อย กำหนด บริหาร เกิดสติ ช่วงจังหวะที่ หายใจออก ให้ออกทางปาก ลึกๆ ลมจะออกจากกระเพาะ ผ่อนคลายความร้อน เหนื่อยล้าออกมา (เหมือนเราได้หาวนอน เพราะล้า) หายใจ ออก คำว่า โอม ๆๆๆ ออกเสียงทางปาก (*โดยไม่ต้องดูจังหวะในคลิป*) หายใจเข้า ค่อยๆ สูดเข้าเต็มปอดสุด กลั้นหายใจเก็บ อั้นพักไว้ นับ 7 วินาที ....แล้ว ค่อยๆ ปล่อยลมหายใจออกช้า ๆ ปล่อย โอมๆๆๆ ยาว ลึกๆ ออกทางปาก หมดลมไปถึงก้นบึ่งหายใจออกสุดท้าย ค่อยๆ ดึงจังหวะหายใจเข้า ไม่บังคับตัวเอง มาก ลึกๆ เท่าที่ทำได้ )) ทำไปเรื่อย ๆ ใจสงบ มีสติควบคุมแล้ว เริ่มชิน สามารถนั่งเข้าสมาธิท่าปกติ ที่นิ่งสงบต่อไป นานๆ ได้ . . ทุกอย่าง ต้องฝึกฝนบ่อยๆ จึงจะสำเร็จ เห็นผลดี 🥰🥰🥰 #ฝึกสมาธิ #ฝึกลมหายใจ #ฝึกฝน #ฝึกตน #สมาธิ

24/11/2024

ใครอยากจะมีเงินร่ำรวย มีความสุข เชื่อพระพุทธเจ้า นะ ค่ะ พระองค์สอนไว้ ถูกต้องดีครบถ้วนสำหรับทุกยุคสมัย 🥰🥰🥰

ประวัติศาสตร์จะถูกเขียนใหม่?นักโบราณคดีสงสัยมานานแล้วว่า "โมไอ" (หินแกะสลักบนเกาะอีสเตอร์) จะมีร่างกายที่ถูกฝังอยู่ไหมโด...
18/11/2024

ประวัติศาสตร์จะถูกเขียนใหม่?

นักโบราณคดีสงสัยมานานแล้วว่า "โมไอ" (หินแกะสลักบนเกาะอีสเตอร์) จะมีร่างกายที่ถูกฝังอยู่ไหม

โดยปกติ "โมไอ" จะมีส่วนหัวขนาดใหญ่เด่นชัด และหากหัวเหล่านี้มีร่างกายอยู่ข้างใต้ พวกมันจะต้องเป็นยักษ์หินจริงๆ ที่มีความสูงอย่างน้อย 20 เมตรเลยทีเดียว

การขุดค้นเมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า "โมไอ" บนเกาะอีสเตอร์คือ "ยักษ์หิน" ที่ถูกฝังอยู่จริงๆ เพราะเมื่อขุดค้นดูก็จะพบร่างกายที่ใหญ่โตที่อยู่ลึกเกือบ 20 เมตร

แต่ที่น่าสนใจก็คือ "โมไอ" บนเกาะอีสเตอร์มีมากกว่า 600 ตัว แต่ละตัวมีขนาดใหญ่และหนักหลายสิบตัน ฉะนั้นการจะสร้าง "โมไอ" แต่ละตัวจะต้องลงทุนลงแรงและใช้เวลาเป็นอย่างมาก

หลังจากสร้างเสร็จยังต้องเคลื่อนย้ายรูปปั้นไปยังตำแหน่งที่ต้องการ การขนย้ายโมไอซึ่งหนักและใหญ่นั้นทำอย่างไรก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

WTFเรื่องเด็ดรอบโลก

ที่อยู่

Ban Nong Pru

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สะพานบุญผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

วิดีโอทั้งหมด

แชร์