หนังสือพิมพ์ ประเด็นรัฐ

หนังสือพิมพ์ ประเด็นรัฐ หนังสือพิมพ์ เพื่อเผยแพร่ ข่าวของก?

อย. ร่วม ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ตัดตอนขบวนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ไลฟ์ขายออนไลน์ ตรวจยึดของกลางกว่า 127 รายการ มูลค่...
16/01/2025

อย. ร่วม ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ตัดตอนขบวนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ไลฟ์ขายออนไลน์ ตรวจยึดของกลางกว่า 127 รายการ มูลค่ากว่า 6 แสนบาท

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดย นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และ ภก.เลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคบ. โดยการสั่งการของ พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ รรท.ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ, พ.ต.อ.ชัฏฐ นากแก้ว, พ.ต.อ.ปัญญา กล้าประเสริฐ รอง ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.วีระพงษ์ คล้ายทอง ผกก.4 บก.ปคบ., ปฏิบัติการทลายแหล่งจัดเก็บและกระจายผลิตภัณฑ์ยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง และวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ในพื้นที่เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ตรวจยึดของกลาง 127 รายการ จำนวน 1,411 ชิ้น มูลค่ากว่า 600,000 บาท

พฤติการณ์กล่าวคือ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ได้รับเรื่องร้องเรียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และประชาชนให้ทำการตรวจสอบเพจเฟซบุ๊ก “หิ้วเองจากญี่ปุ่น” ซึ่งมีการโฆษณาประกาศขายผลิตภัณฑ์อาหาร ยา และเครื่องสำอางที่ไม่ได้แสดงฉลากภาษาไทยให้แก่ประชาชนโดยทั่วไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการตรวจสอบเพจดังกล่าว พบว่า มีการไลฟ์สด และโฆษณาจำหน่าย ผลิตภัณฑ์อาหาร ยา และเครื่องสำอาง ที่มีการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง (ไม่แสดงฉลากภาษาไทย) จริง ซึ่งหากประชาชนนำไปบริโภคอาจทำให้เข้าใจผิดในส่วนประกอบ สรรพคุณ และวิธีการใช้ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการบริโภคได้ จึงทำการสืบสวนจนทราบถึงสถานที่จับเก็บผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายต่อมาในวันที่ 14 มกราคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้นำหมายค้นของศาลอาญามีนบุรี เข้าตรวจค้นสถานที่ไลฟ์สด และจัดเก็บสินค้า ภายในอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ย่านแขวงคลองสามประเวศ เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ผลการตรวจพบ นายนที (สงวนนามสกุล) แสดงตัวเป็นผู้ดูแลสถานที่ตรวจยึดผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมาย ได้แก่

1.เครื่องสำอางที่มิได้จดแจ้ง และเครื่องสำอางที่มิได้แสดงฉลากภาษาไทย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปาก แชมพู ครีมนวดผม ผลิตภัณฑ์ตกแต่งสีผม ผลิตภัณฑ์ย้อมสีผม ผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาด เป็นต้น จำนวน 26 รายการ รวม 374 ชิ้น
2. ผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ซักผ้า และผลิตภัณฑ์ทาไล่แมลงที่มิได้แจ้งข้อเท็จจริงหรือขึ้นทะเบียน และมิได้แสดงฉลากภาษาไทย เป็นต้น จำนวน 14 รายการ รวม 112 ชิ้น
3. ยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ประเภท ยาแก้ปวด ยาระบาย ยาพ่นจมูก ยาอมแก้เจ็บคอ ยาพ่นคอ เป็นต้น จำนวน 19 รายการ รวม 355 ชิ้น
4. ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มิได้ขึ้นทะเบีบนตำรับ ประเภท ยาแก้ไอ แก้หวัด รักษาริดสีดวงทวารหนัก เป็นต้น จำนวน 3 รายการ รวม 42 ชิ้น
5. ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีเลขสารบบอาหาร ประเภท แยม ผลไม้อบแห้ง ขนม ชา กาแฟ เป็นต้น จำนวน 65 รายการ รวม 528 ชิ้น
รวมตรวจยึดของกลาง จำนวน 127 รายการ รวมทั้งสิ้น 1,411 ชิ้น มูลค่ากว่า 600,000 บาท ส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก. ปคบ. ดำเนินคดี

จากการสืบสวนพบว่า สินค้าดังกล่่าวนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น โดยนายนทีฯ จะเดินทางไปในรูปแบบนักท่องเที่ยวและซื้อสินค้ากลับมา โดยจะโฆษณาจำหน่ายในเพจเฟซบุ๊กและส่งสินค้าให้ลูกค้าตาม ออเดอร์ โดยทำมาแล้วประมาณ 2 ปี

โดยในการตรวจค้นในครั้งนี้ พบ “ผลิตภัณฑ์ยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา” หลายรายการ เช่น ยาแก้ปวด ยาพ่นจมูก ยาระบาย ฯลฯ ซึ่งการซื้อยามาใช้นั้น ผู้บริโภคควรได้รับคำแนะนำการใช้ยาจากเภสัชกร เพื่อให้การใช้ยาเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย โดยยาที่ตรวจพบไม่แสดงฉลากภาษาไทย การซื้อไปบริโภคอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด และอาจก่อให้เกิดอันตรายจากการใช้ยาได้
เบื้องต้นเป็นความผิดตาม
1. พ.ร.บ. เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558
- ฐาน “ขายเครื่องสำอางที่มิได้จดแจ้ง” ระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
- ฐาน “ขายเครื่องสำอางที่ไม่มีฉลากภาษาไทย” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน
10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ฐาน “ขายวัตถุอันตรายที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510
- ฐาน “ขายยาโดยมิได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท
- ฐาน “ขายยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562
- ฐาน “ขายผลิตภัณฑ์สมุนไพร โดยมิได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ
ไม่เกิน300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ฐาน “ขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับ” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ
ไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5. พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 ฐาน “จำหน่ายอาหารแสดงฉลากไม่ถูกต้อง” ระวางโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท

เภสัชกร เลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ อย. ขอขอบคุณตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ที่สืบสวนขยายผลจนสามารถตรวจยึดอาหาร ยา เครื่องสำอาง และวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน ผิดกฎหมายได้จำนวนมาก
ในส่วนของพี่น้องประชาชนขอย้ำเตือนว่า อาหาร ยา เครื่องสำอาง และวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน จะต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนจำหน่ายโดยสามารถดูได้ที่ฉลากผลิตภัณฑ์หรือที่บรรจุภัณฑ์ ควรซื้อจากร้านค้าที่มีหลักแหล่งแน่นอน กรณีซื้อออนไลน์ให้ซื้อจากร้านค้าออนไลน์ที่มีการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เรียบร้อยแล้ว สำหรับยาไม่สามารถซื้อทางออนไลน์ได้ ต้องซื้อจากร้านยา หรือได้รับการตรวจวินิจฉัยและจ่ายจากแพทย์
ในสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชนเท่านั้น ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ได้ที่ www.fda.moph.go.th และ Line@FDAThai หากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยหรือไม่ได้รับอนุญาต สามารถ แจ้งได้ที่สายด่วน อย.1556 หรือผ่าน Email: [email protected] Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ ตู้ปณ.1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ รรท.ผบก.ปคบ. กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคบ. และ อย.
มีการเฝ้าระวังร่วมกันในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายและไม่ได้มาตรฐาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค และขอฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพมาบริโภค โดยเฉพาะอาหาร และยาที่ต้องรับประทานเข้าสู่ร่างกาย ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่แสดงฉลาก สรรพคุณ ส่วนประกอบ ผู้ผลิตและสถานที่ผลิตที่ครบถ้วน น่าเชื่อถือ และตรวจสอบได้ เพราะฉลากผลิตภัณฑ์เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อสินค้ามาบริโภคหากแสดงฉลากไม่ครบถ้วนถูกต้อง อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด เมื่อนำไปบริโภคอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ และขอเน้นย้ำกับผู้ลักลอบนำเข้าสินค้ามาจำหน่ายทั้งหลายว่าอย่านำสินค้าที่ผิดกฎหมายมาจำหน่ายโดยเด็ดขาด หากพบจะดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ผู้ที่พบเห็นการกระทำความผิดกฎหมายในลักษณะอื่นใด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน ปคบ.1135 หรือ เพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภคได้ตลอดเวลา
“ผู้ต้องหาหรือจําเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคําพิพากษาถึงที่สุด”
“การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารนะ”
shake 🍼🥛
วันที่เผยแพร่ข่าว 16 มกราคม 2568 ข่าวแจก 85 / ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

อย. ลงพื้นที่สร้างขวัญกำลังใจแก่สถานประกอบการ ส่งเสริมเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพอย. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตผลิ...
16/01/2025

อย. ลงพื้นที่สร้างขวัญกำลังใจแก่สถานประกอบการ ส่งเสริมเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพ
อย. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นและมหาสารคาม 2 แห่ง เพื่อเป็นการหนุนส่งเสริมเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพ ฐานรากให้มั่นคง ก้าวสู่การแข่งขันในระดับสากล
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยทีมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและสร้างขวัญกำลังใจแก่สถานประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นและมหาสารคาม ในระหว่างวันที่ 15 - 16 มกราคม 2568 โดย นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า อย. ร่วมส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพในแต่ละท้องถิ่น เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการในชุมชนมีรายได้ พึ่งพาตนเองได้ ซึ่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศมีการลงพื้นที่ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ ทั้งด้านความรู้เชิงวิชาการของผลิตภัณฑ์สุขภาพและการจัดการสถานที่ผลิตอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการในชุมชนสามารถขออนุญาต อย. ได้ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน เปิดโอกาสทางการแข่งขันในตลาดระดับประเทศและระดับสากล
สำหรับการลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดมหาสารคามในครั้งนี้ อย. ได้เข้าตรวจเยี่ยมสถานประกอบการจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 1. วิสาหกิจชุมชนเกษตรยั่งยืนซำสูง แหล่งผลิตเครื่องสำอางแบรนด์ชาร์โคล แชมพูสมุนไพร สบู่ชาร์โคล ดินและถ่านดูดกลิ่นอับชื้น ชุมชนแห่งนี้เกิดจากการรวมตัวของเกษตรกรที่ศรัทธาในวิถีเกษตรกรรมยั่งยืนและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยทำเกษตรแบบผสมผสาน ปลูกป่าสามอย่างประโยชน์สี่อย่าง เน้นการนำทรัพยากรชีวภาพมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสูง ทดลองวิจัยพัฒนาซึ่งมีหลากหลายกิจกรรมที่นำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจชุมชนฐานราก เป็นการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพเพิ่มขึ้น ตามหลักการ “สร้างคน สร้างงาน สร้างรายได้” 2. บริษัท เอเบิ้ล เมดิคอล จำกัด แหล่งผลิตยาปราศจากเชื้อชั้นนำในประเทศไทย ด้วยความมุ่งมั่นต่อความเป็นเลิศด้านเภสัชกรรม โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ยาที่มีคุณภาพพร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญในด้านการดูแลสุขภาพเทียบเท่าของยุโรปหรือ GMP PIC/S ผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งขณะนี้บริษัทกำลังขยายการผลิตเพื่อส่งออกไปสู่ตลาดต่างประเทศ
เลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า อย. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม ได้ให้คำแนะนำด้านคุณภาพมาตรฐานแก่สถานประกอบการทั้ง 2 แห่ง พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการในชุมชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อนำไปปรับปรุงการดำเนินงานให้เข้าถึงและเกิดประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งความตั้งใจของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะทำให้บรรลุเป้าหมาย “ยกระดับการสาธารณสุขไทย สุขภาพแข็งแรงทุกวัย เศรษฐกิจสุขภาพไทยมั่นคง” ในที่สุด
T R L S AE! 📚💼🌱
วันที่เผยแพร่ข่าว 16 มกราคม 2568 ข่าวแจก 84 / ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

กสร. ขอความร่วมมือนายจ้างให้ลูกจ้างใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. ไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด            กรมสวัสดิการและคุ้มครองแ...
16/01/2025

กสร. ขอความร่วมมือนายจ้างให้ลูกจ้างใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. ไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน ออกประกาศขอความร่วมมือนายจ้างให้ลูกจ้างไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ โดยไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด

เรือเอก สาโรจน์ คมคาย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า ด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดให้วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นวันเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 50 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 117 บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้างผู้ใดขัดขวาง หรือหน่วงเหนี่ยว หรือไม่ให้ความสะดวกโดยไม่มีเหตุอันสมควรในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกจ้าง แล้วแต่กรณี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้ลูกจ้างสามารถทำหน้าที่และใช้สิทธิเลือกตั้ง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจึงได้ออกประกาศขอความร่วมมือนายจ้าง/สถานประกอบกิจการ อนุญาตให้ลูกจ้างที่ทำงานอยู่ในสถานประกอบกิจการ ซึ่งมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภารบริหารบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ณ หน่วยเลือกตั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีชื่ออยู่ โดยไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด หากนายจ้าง หรือลูกจ้าง หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาหารือ สามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานคร 10 พื้นที่ หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสายด่วน 1506 กด 3 หรือ 1546
DLPW

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผนึก 3 หน่วยงาน พัฒนาศักยภาพด้านอาชีพผู้อยู่อาศัยในชุมชนการเคหะแห่งชาติ 16 มกราคม 2568 กรมพัฒนาฝีมือ...
16/01/2025

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผนึก 3 หน่วยงาน พัฒนาศักยภาพด้านอาชีพผู้อยู่อาศัยในชุมชนการเคหะแห่งชาติ

16 มกราคม 2568 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ การเคหะแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และกรมการจัดหางาน ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ โดยจะร่วมกันพัฒนาศักยภาพด้านอาชีพของผู้อยู่อาศัยในชุมชนของการเคหะแห่งชาติ ณ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคาร 5 สันทการ การเคหะแห่งชาติ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ

จ่าเอก ประยงค์ บุญช่วย ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยว่า การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเป็นนโยบายหลักประการหนึ่งของรัฐบาลโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งมีภารกิจหลักในการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน และพัฒนาแรงงานที่อยู่ในตลาดแรงงานให้มีทักษะฝีมือสูงขึ้น จึงให้ความสำคัญในการบูรณาการความร่วมมือกับเครือข่ายพัฒนาฝีมือแรงงานมาโดยตลอด ในครั้งนี้ความร่วมมือระหว่างการเคหะแห่งชาติ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมการจัดหางาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้อยู่อาศัยในชุมชนของการเคหะแห่งชาติได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะด้านอาชีพ ทั้งในด้าน RESKILL และ UPSKILL เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพ ก่อให้เกิดรายได้ที่มั่นคงให้กับตนเองและครอบครัว รวมทั้งกำหนดหลักสูตรการฝึกอบรมที่เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในชุมชน ส่งเสริมการมีงานทำ สร้างโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ได้สะสมประสบการณ์ด้านอาชีพมีงานทำในช่วงปิดภาคเรียนหรือช่วงว่างจากการเรียน และได้รับประสบการณ์ในการทำงานจริง รู้จักความอดทนมีระเบียบวินัย ได้เรียนรู้โลกของอาชีพให้ผู้อยู่อาศัยในชุมชนของการเคหะแห่งชาติทุกช่วงวัยมีงานทำ มีรายได้ที่มั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศ

จ่าเอก ประยงค์ กล่าวต่อไปว่า ทั้ง 4 หน่วยงาน จะร่วมกันจัดฝึกอบรมนำร่องในหลักสูตรตามความต้องการและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ สมุทรปราการ ชลบุรี สงขลา ปทุมธานี เชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร และขอนแก่น โดยการเคหะแห่งชาติจะคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายจากผู้อยู่อาศัยในชุมชน เข้าฝึกอบรมหลักสูตรต่าง ๆ จำนวน 3 หลักสูตร ได้แก่ 1) หลักสูตรยกระดับฝีมือให้แก่ช่างในชุมชน เช่น ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ช่างเดินท่อ และติดตั้งสุขภัณฑ์ ช่างซ่อมรถยนต์ ช่างบำรุงรักษารถจักรยานยนต์ ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้าน และการพาณิชย์ขนาดเล็ก เป็นต้น และจัดทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติให้แก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมดังกล่าว 2) หลักสูตรระยะสั้น (18-30 ชั่วโมง) ให้แก่ผู้ประสงค์จะประกอบอาชีพอิสระ เช่น การประกอบอาหารไทย การตัดเย็บเสื้อผ้า การทำกรอบรูป การชงเครื่องดื่มสมุนไพร การชงกาแฟ การจำหน่ายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น และ 3) หลักสูตรระยะยาว (240 ชั่วโมง) โดยให้กรมการจัดหางานประสานสถานประกอบกิจการเกี่ยวกับตำแหน่งงานว่างและการบรรจุเข้าทำงานภายหลังจากจบฝึกอบรมแล้ว รวมทั้งการเคหะแห่งชาติจะประสานให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจัดส่งทีมหน่วยศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix It Center) มาให้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนให้แก่ประชาชนที่อยู่ในชุมชน และส่งเสริมให้ผู้ที่จบการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้นที่อาศัยในชุมชนเข้ารับการศึกษาต่อในระดับอาชีวศึกษาให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

“กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มุ่งส่งเสริมให้แรงงาน พัฒนาตนเองตลอดเวลา เพื่อเพิ่มทักษะฝีมือแรงงานให้สูงขึ้น เมื่อผ่านการฝึกอบรมแล้ว ยังส่งเสริมให้เข้าสู่กระบวนการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติอีกด้วย ในนามของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทำให้เกิดความร่วมมือในครั้งนี้ ผู้สนใจฝึกอบรม/ทดสอบมาตรฐานฝีมือกับกรม สามารถสมัครได้ที่สถาบันและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทุกจังหวัด สอบถามเพิ่มเติมที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4” ผู้ตรวจราชการกรม กล่าวในท้ายสุด
@สุพรรษา PR.DSD

กรมพัฒน์จับมือไมโครซอฟท์ ต่อยอดสกิล AI ให้บุคลากร ก้าวสู่องค์กรดิจิทัล เพื่อพัฒนางานให้สะดวกรวดเร็ว ทันใจประชาชนวันที่ 1...
16/01/2025

กรมพัฒน์จับมือไมโครซอฟท์ ต่อยอดสกิล AI ให้บุคลากร ก้าวสู่องค์กรดิจิทัล เพื่อพัฒนางานให้สะดวกรวดเร็ว ทันใจประชาชน

วันที่ 16 มกราคม 2568 นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และ นางสาวสุภารัตน์ จูระมงคล ผู้อำนวยการการพัฒนาทักษะเอไอ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นประธานการฝึกอบรมหลักสูตร Microsoft AI Skill For Everyone รุ่น 2 รูปแบบออนไลน์ ผ่าน Microsoft Team เพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล AI ให้บุคลากรกรมก้าวทันยุคดิจิทัลที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้เรียนรู้พื้นฐานการใช้งาน AI นำความรู้ไปต่อยอดการทำงานที่รับผิดชอบต่อไป ณ ห้องประชุมสมชาติ เลขาลาวัณย์ ชั้น 10 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยระหว่างเป็นประธานเปิดงานว่า สำหรับการฝึกอบรมในวันนี้เกิดขึ้นภายใต้นโยบายของ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ต้องการพัฒนาบุคลากรและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงานให้สามารถนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปใช้ในการทำงานเพื่อเตรียมก้าวสู่องค์กรดิจิทัล สามารถอำนวยความสะดวก ช่วยเหลือพี่น้องแรงงาน และประชาชนได้อย่างรวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น กรมการจัดหางานจับคู่เข้าสู่ตำแหน่งงานได้ง่ายขึ้น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สามารถทำหลักสูตรได้แม่นยำตามความต้องการของนายจ้างและสถานประกอบกิจการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทำให้กระบวนการคุ้มครองแรงงาน มีประสิทธิภาพ สำนักงานประกันสังคม เข้าถึงสิทธิผู้ประกันตนได้อย่างรวดเร็ว สสปท. ช่วยเพิ่มความปลอดภัย สามารถชี้จุดเสี่ยงสารอันตรายได้ตรงจุด แม่นยำ เป็นต้น

นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับในส่วนของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน บุคลากรและเจ้าหน้าที่จะได้ฝึกอบรมเกี่ยวกับพื้นฐานการใช้งาน AI ภายใต้หัวข้อการฝึกอบรม Get the most of your Microsoft Learn Profile ทั้ง Microsoft Copilot Microsoft Designer Microsoft Clipchamp และการใช้งาน Suno ทำให้เรียนรู้การสร้างภาพและตัดต่อวิดีโออย่างมืออาชีพด้านประชาสัมพันธ์ สอนเทคนิคการเล่าเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างบทบาทสมมติให้ AI และปรับแต่งข้อมูลที่ได้ให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง ทำให้หลักสูตรการพัฒนาทักษะฝีมือตอบสนองความต้องการของนายจ้างและสถานประกอบกิจการ เป็นต้น การฝึกอบรมครั้งนี้เป็น รุ่นที่ 2 ประกอบด้วยหน่วยงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน กว่า 51 หน่วย 759 คน นอกจากนี้ กรมฯ ยังฝึกอบรมเกี่ยวกับระบบ AI ให้กับครูฝึก วิทยากร เพื่อเป็น Train The Trainer ในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่กำลังแรงงานและประชาชนต่อไป

ด้านนางสาวสุภารัตน์ จูระมงคล ผู้อำนวยการการพัฒนาทักษะเอไอ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญญาประดิษฐ์หรือระบบ AI มีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน หน่วยงานภาครัฐมีการนำระบบ AI มาใช้ในการบริการประชาชนมากขึ้นเพื่อความสะดวก การฝึกอบรมวันนี้จะมีส่วนยกระดับทักษะบุคลากรและเจ้าหน้าที่ของกรมฯ การนำระบบ AI มาใช้ในการทำงานตอบโจทย์การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานตรงกับความต้องการของนายจ้างและสถานประกอบกิจการมากยิ่งขึ้น
🌱

‘พิพัฒน์’ เปิดสำนักงานแรงงานแห่งใหม่ ณ กรุงเทลอาวีฟ รองรับอำนวยความสะดวกแรงงาน พร้อมต้อนรับนายจ้างอิสราเอลแจ้งความต้องกา...
16/01/2025

‘พิพัฒน์’ เปิดสำนักงานแรงงานแห่งใหม่ ณ กรุงเทลอาวีฟ รองรับอำนวยความสะดวกแรงงาน พร้อมต้อนรับนายจ้างอิสราเอลแจ้งความต้องการแรงงานไทย
วันที่ 15 มกราคม 2568 (21.30 น. เวลาประเทศไทย) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดสำนักงานฝ่ายแรงงาน ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ แห่งใหม่ โดยมี นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางานนางสาวพรรณภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต นายศักดินาถ สนธิศักดิ์โยธิน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้แทนสำนักงานประชากรและตรวจคนเข้าเมือง (PIBA) ผู้แทนบริษัทจัดหางานภาคก่อสร้าง และนายจ้างภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิด
นายพิพัฒน์ กว่าวว่า เมื่อวันที่ 26 - 29 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ผมและผู้บริหารกระทรวงแรงงาน
ได้เดินทางมาพบปะเยี่ยมเยือนสถานเอกอัครราชทูตฯ และสำนักงานฝ่ายแรงงาน ณ กรุงเทลอาวีฟ ซึ่งได้เห็นชอบในการขยายพื้นที่สำนักงานของฝ่ายแรงงานฯ เพื่อให้เป็นสถานที่รองรับและอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องแรงงานไทยได้ อย่างทั่วถึง โดยรัฐบาลไทยได้จัดสรรงบประมาณและให้ดำเนินการขยายพื้นที่สำนักงาน ดังกล่าว จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จึงได้มีพิธีเปิดสำนักงานฝ่ายแรงงานฯ แห่งใหม่ในวันนี้ขึ้น
จากนั้น นายพิพัฒน์ ได้พบปะกับบริษัทจัดหางานภาคก่อสร้าง และนายจ้างภาคเกษตร ในรัฐอิสราเอล
โดยขอรับฟังความต้องการด้านแรงงาน และความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดส่งแรงงานไทยมาทำงานในรัฐอิสราเอล ทั้งนายจ้างภาคก่อสร้าง ภาคการเกษตร และภาคอุตสาหกรรมการผลิต อาหาร ต้องการแรงงานมาทำงาน ในอิสราเอลมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2568 โดยมีประเด็นข้อหารือ ดังนี้ 1) นายจ้างมีความต้องการแรงงานเข้ามาทำงานในภาคอุตสาหกรรมด้วย เช่นบริษัทนำเข้าและผลิตอาหารไทยได้ยื่นความต้องการที่ฝ่ายแรงงานแล้ว จำนวนมาก 2) งานภาคเกษตร และป่าไม้นายจ้างมีความต้องการแรงงานไทย 100 เปอร์เซ็นต์
ไม่มีความต้องการแรงงานชาติอื่นเข้ามาทดแทน และ 3) ขอให้แรงงานไทยมีทักษะพร้อมทำงานทันทีเมื่อเดินทางมาถึงรัฐอิสราเอล และเพิ่มความรู้เรื่องวัฒนธรรม และกฎหมายเบื้องต้น
ด้าน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานพร้อมจัดส่งแรงงานไทยที่มีคุณภาพเข้ามาทำงานในรัฐอิสราเอล โดยหากนายจ้างและสถานประกอบการต้องการจ้างแรงงานไทยสามารถยื่นความต้องการจ้างแรงงานได้ที่ฝ่ายแรงงาน ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ทั้งนี้ ขอให้นายจ้างที่จ้างแรงงานไทยดูแลสิทธิประโยชน์และจ่ายค่าจ้างให้เป็นไปตามสัญญาจ้าง หากนายจ้างจะยกเลิกการจ้างงานกรณีที่คนงานยังไม่เดินทางต้องแจ้งให้กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานทราบล่วงหน้า อย่างน้อย 1 เดือน เพื่อไม่ให้เกิดกรณีแรงงานไทยต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และไม่ส่งแรงงานไทยไปทำงานในพื้นที่อันตราย หรือพื้นที่เสี่ยง และเพื่อเป็นการยกระดับการให้บริการกระทรวงแรงงานมีนโยบายที่จะปรับปรุง แก้ไข ลดขั้นตอนการยื่นเอกสารในการจ้างแรงงานไทยให้เป็นแบบ E-Service ในอนาคต

ประกันสังคม เข้ม นายจ้าง แจ้งเข้า - ออกลูกจ้าง ล่าช้า ระวังโทษ ! ตามกฎหมายทั้งจำทั้งปรับ นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนั...
16/01/2025

ประกันสังคม เข้ม นายจ้าง แจ้งเข้า - ออกลูกจ้าง ล่าช้า ระวังโทษ ! ตามกฎหมายทั้งจำทั้งปรับ

นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า มีนายจ้างแจ้งลูกจ้างเข้าทำงานและแจ้งออกจากงานล่าช้าไม่เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่งผลให้ลูกจ้างไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ เสียสิทธิที่พึงได้รับ หรือได้รับประโยชน์ทดแทนเกินสิทธิ สำนักงานประกันสังคมจึงจำเป็นต้องมีการปรับแนวทางการดำเนินการกับนายจ้าง ที่ได้มีการแจ้งเข้า - ออกล่าช้า หากพบว่านายจ้างมีเจตนาแจ้งเข้าออกล่าช้า ให้ดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ซึ่งมีโทษทางอาญา คือ การเปรียบเทียบปรับ และโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ

นางมารศรี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวเตือนให้นายจ้างแจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างทุกครั้งที่ลูกจ้างมีการเข้าทำงานภายใน 30 วัน และแจ้งออกจากงาน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยส่งข้อมูลผ่านระบบ e-Service ของสำนักงานประกันสังคม ทั้งนี้ ขอความร่วมมือนายจ้างซึ่งมีลูกจ้างทำงานในสถานประกอบการตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องแจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส. 1-03) สำหรับผู้ที่ไม่เคยขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนมาก่อน หรือขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน สำหรับผู้ที่เคยขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนแล้ว โดยนายจ้างที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครให้ยื่นแบบได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ สำหรับนายจ้างที่มีสำนักงานใหญ่ในส่วนภูมิภาคให้ยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ทั้งนี้ นายจ้างมีหน้าที่ขึ้นทะเบียนลูกจ้างภายใน 30 วัน กรณีที่มีลูกจ้างลาออกจากงาน ให้นายจ้างแจ้งการออกจากงาน พร้อมระบุสาเหตุการออกจากงาน โดยใช้หนังสือแจ้งการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน (สปส. 6-09) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากที่ลูกจ้างลาออกจากงาน

อย่างไรก็ตาม สำนักงานประกันสังคมยังมีช่องทางอำนวยความสะดวกแก่นายจ้าง ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต หรือ e-Payment โดยนายจ้างสามารถใช้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ตดังกล่าว ได้แก่ งานขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส.1-03) การแจ้งลาออก (สปส.6-09) การแจ้งเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงผู้ประกันตน (สปส. 6-10) และการส่งข้อมูลเงินสมทบ (สปส.1-10) ซึ่งเมื่อนายจ้างทำการลงทะเบียนผ่านระบบเรียบร้อยแล้ว จะมี e – mail ตอบกลับให้พิมพ์แบบ สปส. 1-05 แล้วนำกลับมายื่นที่สำนักงานประกันสังคมพื้นที่/จังหวัด/สาขาก่อน เจ้าหน้าที่จึงจะทำการอนุมัติ USER PASSWORD ให้แก่นายจ้าง โดยจะตอบกลับอัตโนมัติ หลังจากนั้น นายจ้างสามารถเข้าใช้บริการได้ทันที เพื่ออำนวยความสะดวก และรวดเร็วแก่นายจ้างในการชำระเงินสมทบ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังสำนักงานประกันสังคมพื้นที่/จังหวัด/สาขา
SSO
ศูนย์สารนิเทศ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน

กรมการจัดหางาน เร่งตรวจต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย ย่านพระโขนงอธิบดีกรมการจัดหางาน สั่งเข้ม ตรวจคนต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย ย่าน...
16/01/2025

กรมการจัดหางาน เร่งตรวจต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย ย่านพระโขนง

อธิบดีกรมการจัดหางาน สั่งเข้ม ตรวจคนต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย ย่านพระโขนง พบคนต่างชาติ 9 ราย กระทำผิดขายอาหาร ตัดผม และนายจ้างคนไทย 5 ราย กระทำผิดให้ทำงานนอกเหนือสิทธิตามกฎหมาย

นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้รับแจ้งว่าพบคนต่างชาติเปิดร้านขายอาหารและร้านตัดผม บริเวณตลาดพระโขนง แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร จึงได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ชุดตรวจสอบแรงงานข้ามชาติ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน ร่วมกับชุดเฉพาะกิจตรวจสอบการจ้างงานสภาพการจ้างการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ และการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายในกลุ่มแรงงานต่างด้าว เข้าตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว เพื่อมิให้กระทบต่อโอกาสการมีงานทำของคนไทยจนส่งผลต่อความมั่นคงและระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย

นายสมชาย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 ชุดตรวจสอบแรงงานข้ามชาติ กรมการจัดหางาน ได้บูรณาการร่วมกับชุดเฉพาะกิจตรวจสอบการจ้างงานสภาพการจ้างการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ และการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายในกลุ่มแรงงานต่างด้าว ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านอาหาร และร้านเสริมสวยภายในตลาดพระโขนง จำนวน 5 แห่ง พบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีคนลักษณะคล้ายคนต่างชาติหลายรายกำลังขายอาหาร กำลังให้บริการสระไดร์และตัดผมแก่ลูกค้า เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงบัตรและขอตรวจสอบเอกสารประจำตัว จากการตรวจสอบ พบคนต่างชาติกระทำความผิด จำนวน 9 ราย ในจำนวนนี้เป็นการทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จำนวน 2 ราย ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน จำนวน 6 ราย และเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และพบนายจ้างกระทำผิด จำนวน 5 ราย เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลคลองตัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากสิทธิที่ทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง รวมถึงห้ามขอใบอนุญาตทำงานเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับโทษ และนายจ้าง/สถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี

“กรมการจัดหางาน ให้ความสำคัญกับทุกเบาะแสจากประชาชน และยืนยันจะบังคับใช้กฎหมายดำเนินคดีกับแรงงานต่างชาติที่ทำงานผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด โดยขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ที่พบเห็นการจ้างคนต่างชาติลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย ให้ช่วยกันแจ้งมาที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน โทร. 023541729 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน และสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
@สุราคัญธี 687 🔑

‘พิพัฒน์’ เจรจาสำเร็จ เปิดตลาดจ้างงานก่อสร้างไทย ปี 68 เงินเดือนเริ่มต้นกว่า 70,000 บาท หลังพบ รมว.ก่อสร้างและที่อยู่อาศ...
16/01/2025

‘พิพัฒน์’ เจรจาสำเร็จ เปิดตลาดจ้างงานก่อสร้างไทย ปี 68 เงินเดือนเริ่มต้นกว่า 70,000 บาท หลังพบ รมว.ก่อสร้างและที่อยู่อาศัยอิสราเอล
วันที่ 14 มกราคม 2568 เวลา 18.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นอิสราเอล นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน นางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต นายศักดินาถ สนธิศักดิ์โยธิน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน นายกิตติ์ธนา ศรีสุริยะ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) และคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน หารือข้อราชการร่วมกับ Mr. Yitzhak Goldknopf (ยิทสขัก โกลด์คนอฟ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการก่อสร้างและที่อยู่อาศัย อิสราเอล ณ นครเยรูซาเล็ม รัฐอิสราเอล
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงรายงาน กล่าวว่า ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะส่ง แรงงานไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะแรงงานภาคการก่อสร้างที่มีความเชี่ยวชาญหลายด้าน Multi Skills ได้แก่ ช่างเชื่อม ช่างปูน ช่างฉาบ ช่างก่ออิฐ เป็นต้น โดยปัจจุบันมีการนำร่องส่งคนงานเข้ามาทำงานในภาคก่อสร้างแล้ว จำนวน 1,317 คน ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี เป็นที่ต้องการของนายจ้าง และมีแผนในการดำเนินการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานด้านการก่อสร้าง เพื่อรองรับการส่งคนมาทำงานในภาคก่อสร้างในอิสราเอลที่เพิ่มขึ้นต่อไป โดยมีโควตาในปี 2568 เริ่มต้นที่ 8,500 คน มีอัตราค่าจ้างเริ่มต้นประมาณ 7,800 เชคเกล หรือ ประมาณกว่า 70,000 บาท และถ้าทางกรมการจัดหางาน จัดส่งครบจำนวนแล้ว ก็ยังมีความต้องการเพิ่มอีก และจะดำเนินการเป็นการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันต่อไป
ด้าน Mr. Yitzhak Goldknopf (ยิทสขัก โกลด์คนอฟ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการก่อสร้างและที่อยู่อาศัย อิสราเอล กล่าวว่า ผมขอแสดงความเสียใจ ต่อเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ก่อให้เกิดผลกระทบต่อแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในอิสราเอล และให้คำมั่นว่ารัฐบาลอิสราเอลจะดำเนินการอย่างดีที่สุดเพื่อดูแลให้แรงงานไทยทำงานในพื้นที่ปลอดภัย อยู่ในโซนสีเขียวเท่านั้น สำหรับอิสราเอล เมื่อนึกถึงแรงงานจะนึกถึงแรงงานคนไทยก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากคนไทยมีความขยัน อดทนมีความสุภาพ ไม่ว่าสภาพอากาศหรือสภาพสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไรคนงานไทยสามารถทำงานได้ และในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการก่อสร้างที่อยู่อาศัย เรายินดีให้ความร่วมมือกับทางการไทยในการส่งคนไทยเข้ามาทำงานในอิสราเอล และขอให้มีทักษะทำงานได้หลากหลาย เช่น ช่างก่อ ช่างฉาบ ช่างปูน ช่างเชื่อม และได้รับการรับรองมาตรฐานฝีมือ

มกราคม เดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งปากมดลูก “มะเร็งปากมดลูก” ภัยร้ายที่คุกคามสตรีทั่วโลก หมั่นใส่ใจสังเกตความผิดปกติแ...
16/01/2025

มกราคม เดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งปากมดลูก

“มะเร็งปากมดลูก” ภัยร้ายที่คุกคามสตรีทั่วโลก หมั่นใส่ใจสังเกตความผิดปกติและเข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ ช่วยป้องกันได้

นายแพทย์สกานต์ บุญนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับที่ 4 ของผู้หญิงทั่วโลก และลำดับ 5 ของประเทศไทย สาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อเอชพีวี สายพันธุ์ 16, 18 และสายพันธุ์ความเสี่ยงสูงอื่น ๆ (Human papillomavirus หรือ HPV) เชื้อเอชพีวีเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่สามารถติดได้ทั้งที่ผิวหนัง อวัยวะเพศ ในช่องปาก และลำคอ โดยปกติผู้ที่มีเพศสัมพันธ์สามารถติดเชื้อไวรัสนี้ได้แต่มักจะไม่แสดงอาการ ส่วนมากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราสามารถที่จะกำจัดเชื้อออกจากร่างกาย มีเพียงร้อยละ 5-10 เท่านั้นที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถกำจัดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ความเสี่ยงสูงออกไปได้ ทำให้การติดเชื้อคงอยู่นาน (persistent HPV) และสามารถก่อให้เกิดความผิดปกติของเซลล์จนเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด ซึ่งการติดเชื้อเอชพีวีในลักษณะคงอยู่นานหรือ Persistent HPV นี้ ถ้าไม่ได้รับการรักษา จะเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 95 % โดยจะใช้เวลาประมาณ 15-20 ปี หลังการติดเชื้อจนกลายไปเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ถือเป็นโชคดีที่เราสามารถรู้ถึงสาเหตุที่ก่อมะเร็งปากมดลูก ทำให้เราสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งชนิดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจากการฉีดวัคซีน การตรวจคัดกรองและรักษาโรคตั้งแต่ระยะก่อนเป็นโรคมะเร็ง

เรืออากาศเอกนายแพทย์สมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า กลุ่มประชากรที่เหมาะสมกับการฉีดวัคซีน เอชพีวี ได้แก่ 1. กลุ่มที่น่าจะมีประโยชน์สูงสุดจากการฉีดวัคซีนเอชพีวี คือ ผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์หรือยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ได้แก่ เด็กหญิง (วัคซีนชนิด 2, 4 หรือ 9 สายพันธุ์) และเด็กชาย (วัคซีนชนิด 4 หรือ 9 สายพันธุ์) ที่อายุ 11-12 ปี และหากไม่ได้รับวัคซีนในช่วงอายุดังกล่าวสามารถฉีดในช่วงอายุ 13-26 ปีได้ 2. การฉีดวัคซีนในผู้หญิงและผู้ชายอายุ 27-45 ปี ให้พิจารณาฉีดวัคซีนเป็นราย ๆ ไป ผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนควรได้รับคำอธิบายถึงประโยชน์ที่จะได้รับและอาจไม่เทียบเท่ากับการฉีดในช่วงอายุ 9-26 ปี 3. ผู้หญิงที่เคยเป็น หรือกำลังมีหูดหงอนไก่ หรือรอยโรคก่อนมะเร็งปากมดลูก หรือมีผลตรวจคัดกรองทางเซลล์วิทยาปากมดลูกผิดปกติ หรือตรวจพบเชื้อเอชพีวีกลุ่มความเสี่ยงสูง ยังคงแนะนำให้ฉีดวัคซีนเอชพีวีเช่นเดียวกับสตรีทั่วไป 4. ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วสามารถฉีดวัคซีนนี้ได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกหรือตรวจหาเชื้อเอชพีวีกลุ่มเสี่ยงสูงก่อนเริ่มฉีดวัคซีน

แพทย์หญิงปานวาด รัตนศรีทอง แพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งวิทยานรีเวช สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่มีใช้ในประเทศไทยมีอยู่ 3 ชนิดหลัก ตามจำนวนของสายพันธุ์ที่บรรจุอยู่ในวัคซีน ได้แก่ วัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ (bivalent) ประกอบด้วย แอนติเจนของเชื้อเอชพีวี 16 และ 18 วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ (quadrivalent) ประกอบด้วยแอนติเจนของเชื้อเอชพีวี 6, 11, 16 และ 18 และวัคซีนชนิด 9 สายพันธุ์ (nonavalent) ประกอบด้วยแอนติเจนของเชื้อเอชพีวี 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 ข้อบ่งห้ามของการฉีดวัคซีนเอชพีวี ได้แก่ สตรีตั้งครรภ์และคนที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบของวัคซีนอย่างรุนแรง (severe anaphylactic reaction) หรือการฉีดเข็มก่อนแล้วทำให้มีอาการแพ้อย่างรุนแรง วัคซีนชนิด 4 และ 9 สายพันธุ์ มีส่วนประกอบของยีสต์โปรตีน หากมีประวัติแพ้ยีสต์ ควรหลีกเลี่ยงการฉีด ถ้ามีภาวะเจ็บป่วยปานกลางหรือรุนแรงจะมีไข้หรือไม่ก็ตาม ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน วัคซีนเอชพีวีจัดกลุ่มความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ในระดับบี (Pregnancy category B) ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าการฉีดวัคซีน มีผลเสียต่อภาวะเจริญพันธุ์ การตั้งครรภ์ (เช่น การแท้งหรือการคลอดก่อนกำหนด) หรือมีผลต่อทารก (เช่น ทารกพิการหรือตัวเล็ก) แต่อย่างไรก็ตาม องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำว่าสตรีตั้งครรภ์ไม่ควรรับการฉีดวัคซีน หากได้เริ่มฉีดไปแล้ว ให้หยุดฉีดวัคซีนเข็มที่เหลือ ไม่จำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์หรือทำแท้ง และให้กลับมาฉีดต่อหลังคลอดจนครบ 3 เข็ม สตรีที่ให้นมบุตรสามารถฉีดวัคซีนได้ไม่มีผลกระทบหรือผลเสียต่อทารกที่ดูดนมมารดา วัคซีนเอชพีวีสามารถฉีดพร้อมกับวัคซีนอื่นที่จำเป็นต้องฉีดในช่วงอายุนั้นได้อย่างปลอดภัย เช่น วัคซีน tetanus, acellular pertussis, diphtheria และ inactivated poliovirus vaccine เป็นต้น โดยไม่รบกวนการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันซึ่งกันและกัน
แผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งปากมดลูกของกระทรวงสาธารณสุขมีการกำหนดนโยบายให้ฉีดวัคซีนเอชพีวีแก่เด็กหญิง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อายุ 11-12 ปี โดยฉีด 2 เข็มห่างกัน 6-12 เดือน อย่างไรก็ตามผู้หญิงที่ได้รับการฉีดวัคซีนเอชพีวีครบแล้วยังคงต้องรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของการตรวจคัดกรองต่อไป หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการหาความรู้ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ผ่านทาง Facebook : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ National Cancer Institute และ Line : NCI รู้สู้มะเร็ง
#มะเร็งปากมดลูก #สถาบันมะเร็งแห่งชาติ #กรมการแพทย์

ขอขอบคุณ 16 มกราคม 2568

ที่อยู่

160/419
Ban Bang Khu Wat
12000

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หนังสือพิมพ์ ประเด็นรัฐผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์