สวท.สุไหงโก-ลก radiokolok

สวท.สุไหงโก-ลก radiokolok ติดตามรับชมรับฟังคลื่นวิทยุ FM106.50 MHz.
(2)

21/06/2024

คนครองธรรม

รัฐบาลเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ “น้ำท่วมน้ำแล้ง” ถือเป็นวาระแห่งชาติ (20 มิ.ย. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี...
21/06/2024

รัฐบาลเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ “น้ำท่วมน้ำแล้ง” ถือเป็นวาระแห่งชาติ
(20 มิ.ย. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อประเมินสถานการณ์เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ และพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ กทม. เข้าร่วม เพื่อประเมินสถานการณ์เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำทั้งประเทศ วางแนวทางในการแก้ไขปัญหาในเชิงรุกร่วมกัน เพื่อจะได้บรรเทาผลกระทบให้น้อยที่สุดและบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยบูรณาการแก้ไขร่วมกัน มีกรอบเวลาที่ชัดเจน และตัวชี้วัดที่มีคุณภาพซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่
ผนึกกำลังทุกภาคส่วนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ
ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตามสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน และแนวโน้มสถานการณ์น้ำ จาก สนทช. และรับฟังการเตรียมการในด้านต่าง ๆ
การเตรียมความพร้อมรับมือช่วยเหลือประชาชน โดย 10 มาตรการรับมือฤดูฝน (ในช่วงสิงหาคม - ตุลาคม)
การบริหารจัดการลุ่มน้ำเจ้าพระยา
การบริหารจัดการกลุ่มลุ่มน้ำชี-มูล โดยเฉพาะการเปิด - ปิดประตูระบายน้ำให้มีความสัมพันธ์กับสถานการณ์น้ำที่เกิดขึ้น
การบริหารจัดการน้ำในสภาวะวิกฤต (3 ระดับ) โดยขับเคลื่อนแผนฯ ไปสู่การปฏิบัติ
มีกลไกแจ้งเตือนประชาสัมพันธ์ประชาชนให้รับทราบสถานการณ์น้ำเพื่อให้ประชาชนพร้อมรับมือสถานการณ์ได้ทันท่วงที
การจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ภาคใต้ จ.ยะลา ภาคกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.อุบลราชธานี)
การสำรวจความพร้อมระบบระบายน้ำบึงหนองบอน กรุงเทพฯ
‘น้ำท่วมน้ำแล้ง’ ถือเป็นวาระแห่งชาติ
สถานการณ์น้ำท่วมน้ำแล้งถือเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยทุกหน่วยงานต้องมีการวางแผนกันให้รอบคอบ โดยเฉพาะในช่วงระยะสั้น 3 เดือน ได้เน้นถึงการทำงานของทุกหน่วยงานให้มีการประสานงานกันในการทำงานให้ดีขึ้นและมีความเป็นเอกภาพ มีการมองปัญหาเพื่อวางแผนการทำงานไปถึงอนาคตให้เกิดประสิทธิผลตามเป้าหมาย ปัญหาน้ำท่วมแม้จะยังมีอยู่ แต่ขอให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ รวมไปถึงเรื่องของการพยากรณ์อากาศ ดังนั้นต้องมีการประสานงานร่วมกันของทุกหน่วยงานอย่างต่อเนื่องใกล้ชิด
สั่งการทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมทุกด้านรองรับสถานการณ์น้ำ
1. การเตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์น้ำ
(1) เพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพของแหล่งกักเก็บน้ำ และพื้นที่ทุ่งนาน้ำ
(2) พื้นที่ลุ่มต่ำ จุดเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก ต้องระบายให้รวดเร็ว เพราะจะเกิดน้ำเน่าในพื้นที่ท่วมขัง
(3) พื้นที่เศรษฐกิจ ชุมชนเมือง ต้องป้องกันน้ำเข้า หากเกิดน้ำไหลหลาก หรือน้ำท่วมฉับพลัน
(4) ต้องมีแผนเร่งระบายน้ำ หน่วยงานต้องมาร่วมกันดูแลอย่างเป็นเอกภาพ ทั้งการวางแผนและดำเนินการที่ดี
(5) สิ่งกีดขวางทางน้ำ ต้องเร่งเคลียร์ทางน้ำก่อนที่น้ำจะมา เช่น ผักตบชวา วัชพืช ความตื้นเขิน ซึ่งตรงนี้ทางกองทัพมีศักยภาพสูงที่สามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว
(6) ตรวจสอบความแข็งแรงของอาคารชลประทาน คันกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำ
2. การเตือนภัย กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งพยากรณ์อากาศ และการเตือนภัย ต้องชัดเจน แม่นยำ
3. ประมาณการพื้นที่เกษตรกรรมที่จะได้รับผลกระทบมากน้อยขนาดไหน เพราะอาจจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลผลิต ราคา และความเดือดร้อนของเกษตรกร
4. แผนการดูแลและช่วยเหลือประชาชนหากมีสถานการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้น เช่น การอพยพ พื้นที่พักอาศัยชั่วคราว เวชภัณฑ์ เรือ เป็นต้น

ครม. เห็นชอบให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิเนื่องในโอ...
21/06/2024

ครม. เห็นชอบให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิ
เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างหน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยไม่ถือเป็นวันลา ดังนี้
1. ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของ ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ระหว่างวันที่ 18 - 30 กรกฎาคม 2567 เป็นเวลา 13 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงาน และได้รับเงินเดือนตามปกติ
2. ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของ ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่เป็นสตรี ที่เข้าร่วมบวชชีพรหมโพธิถวายเป็น พระราชกุศลในครั้งนี้ สามารถลาปฏิบัติธรรมเป็นเวลา 13 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลาเสมือนเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงาน และได้รับเงินเดือนตามปกติ ทั้งนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (4 ธันวาคม 2550) ในส่วนของการลาปฏิบัติธรรมครั้งหนึ่งตลอดอายุราชการเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน แต่ไม่เกิน 3 เดือน และยกเว้นการปฏิบัติธรรมในสถานที่ปฏิบัติธรรมตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เรื่อง แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ในการให้ข้าราชการเจ้าหน้าที่และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ที่เป็นสตรี ไปถือศีล และปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรม ที่ พศ. รับรอง ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551

เปิดไฮไลต์ และรายชื่อ Speaker เตรียมขึ้นเวที THACCA SPLASH ซอฟต์พาวเวอร์ฟอรัม 2024 รัฐบาล โดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พา...
21/06/2024

เปิดไฮไลต์ และรายชื่อ Speaker เตรียมขึ้นเวที THACCA SPLASH
ซอฟต์พาวเวอร์ฟอรัม 2024
รัฐบาล โดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ประกาศ
จัดงาน THACCA SPLASH ซอฟต์พาวเวอร์ฟอรัม 2024 โดยงานนี้จะเป็น
งานยิ่งใหญ่แห่งปี ที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Soft Power ของไทยออกสู่สายตาชาวโลก ซึ่งจะช่วยสร้างการรับรู้ ส่งเสริมศักยภาพการแข่งขัน
ให้ผู้ประกอบการ และขยายโอกาสทางธุรกิจสู่ระดับสากล ซึ่งจะนำเสนอเป้าหมายขับเคลื่อน Soft Power ผ่าน 4 โซนอันยิ่งใหญ่บนพื้นที่กว่า 11,230 ตารางเมตร ได้แก่ SPLASH Visionary Zone เวทีแสดงศักยภาพและแลกเปลี่ยนทัศนคติ
โซนนิทรรศการจากทักก้า (THACCA Pavilion) โซนนิทรรศการจาก 11 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมเฟสติวัล ท่องเที่ยว อาหาร ออกแบบ ศิลปะ ภาพยนตร์ เพลง หนังสือ เกม แฟชั่น และกีฬา รวมไปถึงโซนสุดท้าย International Pavilion จากประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอิตาลี
และพลาดไม่ได้เลยกับ Speaker ชื่อดัง ที่จะมาร่วมทัพนำเสนอวิสัยทัศน์
Soft Power ในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
1. คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กับหัวข้อ “โอกาสประเทศไทยกับความมั่นคงอาหาร”
2. คุณพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหารกลุ่มเซ็นทรัล พร้อมกับหัวข้อ “วิสัยทัศน์ประเทศไทย 2024 การพัฒนาบนพื้นฐานซอฟต์พาวเวอร์อาหาร
เพื่อความยั่งยืน” จากอุตสาหกรรมอาหาร
3. คุณชายอดัม ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล จากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ละคร และ
ซีรีส์ กับหัวข้อ “แถลงนโยบายต่อคนในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างการรับรู้และ
ความเข้าใจของคนในอุตสาหกรรมต่อแนวทาง การทำงานของอนุกรรมการ”
4. คุณซูฮยอน คิม ผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโกส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพฯ ร่วมอภิปรายด้านวัฒนธรรมและเมืองสร้างสรรค์
5. คุณนวลพรรณ ล่ำซำ ประธานกรรมการของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มาพร้อมกับหัวข้อ “โครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศด้านกีฬา” จากอุตสาหกรรมกีฬา
สำหรับไฮไลต์ที่น่าสนใจจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในงาน THACCA SPLASH - ซอฟต์พาวเวอร์ฟอรัม 2024 ครั้งนี้ “อุตสาหกรรมศิลปะ” ได้รวบรวมผลงานศิลปะกว่า 15 ชิ้น รวมมูลค่ากว่า 121,530,000 บาท จากศิลปินชื่อดังหลากหลายท่าน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้เดินชมความสวยงามอย่างใกล้ชิด อาทิ ผลงานจากคุณถวัลย์ ดัชนี มูลค่า 26 ล้านบาท ผลงานจากคุณประเทือง เอมเจริญ มูลค่า 25 ล้านบาท และผลงานจากคุณจักรพันธุ์ โปษยกฤต มูลค่า 15 ล้านบาท ผลงานจากคุณเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ มูลค่า 12 ล้านบาท Crybaby จากคุณนิสา ศรีคำดี มูลค่า 1 ล้านบาท นำเสนอผ่านกรอบ ความคิด “Discover Thailand’s Hidden Talents” ที่จะสร้างความตระการตาให้กับทุกท่านที่สนใจในศิลปะวัฒนธรรมไทย
โดย “อุตสาหกรรมเฟสติวัล” ก็มาพร้อมกับความยิ่งใหญ่อลังการเช่นเดียวกัน ด้วยรถแห่เทียนพรรษาขนาดยาวกว่า 12 เมตร สูงถึง 4.5 เมตร สร้างสรรค์โดยช่างเทียนจากอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 30 คน กับเวลากว่า
2 เดือน โดยวัสดุท้องถิ่นที่ใช้ คือ ปูนปลาสเตอร์ผสมเทียน หล่อเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ การขนส่งมีความท้าทายมาก เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อการละลายของเทียน ทางทีมฯ ต้องเตรียมการขนส่งเป็นพิเศษเพื่อให้ระหว่างการขนส่งมายังศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ กรุงเทพมหานคร และใช้การเดินทางที่ยาวนานถึง 2 เท่าคือเลือกเดินทางในเวลากลางคืน โดยหยุดพักในตอนกลางวัน เป็นอีก 1 ไฮไลต์
ของงานนี้ที่ไม่อาจมีใครเหมือน
ด้าน “อุตสาหกรรมเกม” ได้เปิดเวทีต้อนรับน้องๆ เยาวชน คอเกมเมอร์ ที่สนใจอยากรู้และอยากสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวงการอีสปอร์ต รวมทั้งจัดพื้นที่แลกเปลี่ยนเสวนา โดยสถาบันการศึกษามาร่วมอัพเดทเทรนด์ของเกมไทย
ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอพิพิธภัณฑ์รางวัล ของนักกีฬา E-Sports
ที่ไปคว้ารางวัลและสร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศอีกด้วย
ขณะที่ “อุตสาหกรรมด้านอาหาร” การพัฒนาเชฟในโครงการ 1 หมู่บ้าน
1 เชฟอาหารไทย คนไทยทุกคนจะต้องเป็น Brand Ambassador และ Salesman ของหมู่บ้านตัวเอง ในการขายผลิตภัณฑ์ หรือแนะนำสินค้า
เกษตรดีๆ ของชุมชม ให้กับชาวโลกให้รู้จัก ซึ่งไฮไลต์ในงานเตรียมพบกับนิทรรศการอาหารรสชาติใหม่ 7 บูท ได้แก่ อาหารชาววัง อาหารภาคเหนือ
อาหารภาคอีสาน อาหารภาคกลาง อาหารภาคใต้ อาหารริมทาง (Street Food) อาหารอนาคต (Future Food) งานนี้บอกเลยห้ามพลาด เนื่องจาก เชฟชุมพล
แจ้งไพร ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านอาหาร ได้จัดเตรียมเมนูพิเศษ รังสรรค์ด้วยวัตถุดิบชั้นยอด และเปิดให้ประชาชนได้ชิมอาหารฟรี ตลอด 3 วัน
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมอื่น ๆ และ Speaker ชื่อดังอีกมากมาย ที่ห้ามพลาด กับงาน THACCA SPLASH ซอฟต์พาวเวอร์ฟอรัม 2024 ที่จะจัดขึ้นวันที่ 28-30 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
งานนี้จะเป็นพื้นที่สร้างโอกาส สร้างแรงบันดาลใจ เติมเต็มพลัง และสานความฝันทุกคนให้เป็นจริง ตลอด 3 วันทุกคนสามารถเข้าร่วมได้โดย “ไม่มีค่าใช้จ่าย”

ข้อมูลเพิ่มเติม
ช่องทางการรับทราบข้อมูลข่าวสารการจัดงาน THACCA SPLASH สามารถติดตามได้ที่ thacca.go.th หรือ เพจเฟซบุ๊ก THACCA - Thailand Creative Culture Agency

20/06/2024

ข่างท้องถิ่น

20/06/2024

รายการรู้ทันข่าว

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดงานโครงการ “พัฒนา 72 สายน้ำอย่างยั่งยืน” เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ...
20/06/2024

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดงานโครงการ “พัฒนา 72 สายน้ำอย่างยั่งยืน” เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2567
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เปิดตัวงานโครงการ “พัฒนา 72 สายน้ำอย่างยั่งยืน” เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2567 ณ จุดชมวิวรถไฟลอยน้ำ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ต.โคกสลุง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็น 1 ใน 10 โครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในนามรัฐบาล เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการพัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของประชาชน
โดยมีกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ได้แก่
1. โครงการขุดลอกคลองส่งน้ำ จำนวน 30 แห่ง
2. โครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำ จำนวน 14 แห่ง
3. โครงการก่อสร้างแหล่งน้ำและระบบส่งน้ำ อาทิ ฝายทดน้ำและระบบส่งน้ำ เพื่อชุมชนและพื้นที่ห่างไกล อีกจำนวน 28 แห่ง
รวมพื้นที่ดำเนินโครงการฯ ทั้งสิ้น 72 แห่ง ครอบคลุม 47 จังหวัดทั่วประเทศ พื้นที่รับประโยชน์กว่า 202,630 ไร่ ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักได้ 18.14 ล้านลูกบาศก์เมตร ประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 17,496 ครัวเรือน

20/06/2024

ชวนสายอาร์ต
มาค้นหาแรงบันดาลใจ ในงาน “THACCA SPLASH” พร้อมทำความรู้จักอุตสาหกรรมด้านศิลปะ และ
ด้านออกแบบ
รัฐบาล โดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ประกาศ
จัดงาน THACCA SPLASH : Soft Power Forum 2024 โดยงานนี้จะเป็นงานยิ่งใหญ่แห่งปี ที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Soft Power ของไทยใน 11 ด้านได้แก่ อาหาร ท่องเที่ยว เฟสติวัล กีฬา การออกแบบ ศิลปะ แฟชั่น หนังสือ ภาพยนตร์ ดนตรี และเกม ออกสู่สายตาชาวโลก ซึ่งจะช่วยสร้างการรับรู้ ส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ และขยายโอกาสทางธุรกิจสู่ระดับสากล
วันนี้จะพาสายอาร์ตมาทำความรู้จัก 2 อุตสาหกรรมไฮไลต์ เตรียมมาเปิดมุมมอง พร้อมสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับงานศิลปะและการออกแบบ
เริ่มต้นที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมด้านศิลปะ ซึ่งประเทศไทยมีจุดแข็ง
ด้านต้นทุนทางวัฒนธรรมจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน ต้นทุนนี้เป็นส่วนสำคัญ
ในการเกื้อหนุนให้ศิลปะไทยเป็นที่รู้จัก โดยมีมูลค่าทางการค้าและแนวโน้ม
การเติบโตอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท ประกอบกับทิศทางการขยายตัวในประเทศ
กำลังได้รับความนิยม ด้วยการเกิดขึ้นของศิลปินไทยจำนวนมาก หากแต่
การต่อยอดไปสู่ศิลปะสมัยใหม่และการนำเอาศิลปะประยุกต์มาใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการผลักดันให้ศิลปะไทยให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการในสังคมไทยและนานาชาติ ยังคงเป็นความท้าทายที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้องใช้
ความพยายามร่วมมือและส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดตั้งสภาศิลปะ
เพื่อเป็นจุดศูนย์กลางในการส่งเสริมศิลปะไทย หรือการส่งเสริมการนำศิลปะ
การแสดงไทยไปสู่สากล และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นสถานที่จัดแสดงนานาชาติ
โดยคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านศิลปะ เตรียมพร้อมปักหมุดให้ประเทศไทยเป็น Art ASEAN Hub วางแนวทางการขับเคลื่อนและส่งเสริม
ศิลปะไทย การเปิดตลาดเสรีของตลาดนานาชาติ และการสร้างมูลค่าเพิ่ม
ในอุตสาหกรรมศิลปะทั้งระบบ ด้วยแผนการยกระดับอุตสาหกรรม โดยใช้กลไก
ของนโยบาย OFOS เตรียม Upskill Reskill New skill ด้วย 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) การจัดอบรมเรื่องการบริหารแกลเลอรียุคใหม่ 2) สร้างทางเลือกเกี่ยวกับ
การสร้าง Multimedia อัพเดทเทรนด์ศิลปะ Art Toy 3) นำเสนอองค์ความรู้ใหม่ด้วยพิพิธภัณฑ์แห่งโลกอนาคต Museum of the Future นอกจากนี้ได้ให้ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชน เพิ่มพื้นที่เรียนรู้ด้วยการเปิดพื้นที่สาธารณะให้กับงานศิลปะมากขึ้น เช่น จัดแสดงศิลปะในสวนสาธารณะ
การจัดแสดงศิลปะในถนนบางเส้น เป็นต้น
สำหรับไฮไลต์ของอุตสาหกรรมด้านศิลปะในงาน “THACCA SPLASH” คือ
นิทรรศการนำเสนอผลงานของศิลปินไทยในสาขาต่างๆ อาทิ จิตรกรรม (Painting) ประติมากรรม (Sculpture) ภาพพิมพ์ (Printing) ภาพถ่าย (Photography) ศิลปะจัดวาง (Installation) สื่อผสม (Mixed Media) สื่อดิจิทัล (Digital Media) ต่อยอดสำหรับผู้เข้าชมที่มีความสนใจให้สามารถเข้าถึงช่องทางในการพัฒนาทักษะหรือสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ
ขณะที่ภาพรวมรายได้ของอุตสาหกรรมด้านออกแบบ ในปี พ.ศ. 2564 สามารถสร้างรายได้กว่า 1.7 พันล้านบาท และด้านแรงงานอุตสาหกรรมบริการออกแบบมีการจ้างงานกว่า 1.9 หมื่นคน โดยส่วนใหญ่เป็นนักออกแบบ
ร้อยละ 84 ลักษณะที่สำคัญของแรงงานในอุตสาหกรรมนี้คือ ส่วนใหญ่เป็นแรงงานวัยหนุ่มสาวและมีการศึกษาในระดับปริญญาตรี โดยคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านออกแบบ เตรียมขับเคลื่อน 3 นโยบายสำคัญที่จะส่งเสริมสนับสนุนนักออกแบบและคนทํางานสร้างสรรค์ ได้แก่ 1) เสนอนโยบายภาษีด้านการออกแบบเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เจ้าของโครงการจัดจ้าง
นักออกแบบภายในประเทศ 2) เสนอนโยบายสิทธิบัตรการออกแบบ
ผลิตภัณฑ์และเฟอร์นิเจอร์ 3) เสนอนโยบายสิทธิบัตรการออกแบบ
ทางด้านคาแรคเตอร์
โดยในงาน “THACCA SPLASH” อุตสาหกรรมด้านออกแบบ นำเสนอนิทรรศการ โครงการ และจัดแสดงผลงานสร้างสรรค์ที่จะเป็นตัวแทน
จากคนรุ่นใหม่ และจากหลากหลายสาขาการออกแบบ ส่งต่อวัฒนธรรมใหม่
ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญให้ผู้คนมีอิสระในการแสดงออก เกิดการสร้างธุรกิจ รวมถึงนโยบายภาษีด้านการออกแบบเพื่อสร้างแรงจูงใจเจ้าของโครงการต่างๆ
ในการจัดจ้างนักออกแบบภายในประเทศ
งาน THACCA SPLASH : Soft Power Forum 2024 ที่จะจัดขึ้นวันที่
28-30 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ งานนี้จะเป็นพื้นที่สร้างโอกาส สร้างแรงบันดาลใจ เติมเต็มพลัง และสานความฝันทุกคนให้เป็นจริง ตลอด 3 วันทุกคนสามารถเข้าร่วมได้โดย “ไม่มีค่าใช้จ่าย”

ข้อมูลเพิ่มเติม
ช่องทางการรับทราบข้อมูลข่าวสารการจัดงาน THACCA SPLASH สามารถติดตามได้ที่ thacca.go.th หรือ เพจเฟซบุ๊ก THACCA - Thailand Creative Culture Agency

20/06/2024

โครงการดิจิทัลวอลเล็ต เตรียมสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจฟื้นเศรษฐกิจประเทศ ปลายปี 2567
รัฐบาลยืนยันประชาชนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตได้ปลายปีนี้
(19 มิ.ย. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 (สมัยวิสามัญ) เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำเป็น 2568 ระบุว่า ในช่วงปลายปี 2567 นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะถึงมือคนไทย 50 ล้านคน เกิดเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงตั้งแต่ระดับฐานราก กระจายไปยังพื้นที่ทั่วประเทศ ก่อให้เกิด การจับจ่ายใช้สอย การสั่งผลิตสินค้า การจ้างงาน และหมุนกลับมาเป็นเงินภาษีให้กับภาครัฐ เพื่อใช้ในการลงทุนเพื่อสร้างขีดความสามารถให้กับประเทศต่อไป สำหรับการใช้งบประมาณในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ไม่มีคำว่าหมกเม็ดแน่นอน
(10 เม.ย. 67) นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet กล่าวว่า รัฐบาลมีความยินดีที่แจ้งให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลที่จะยกระดับเศรษฐกิจระดับประเทศ และระดับประชาชนได้เกิดขึ้นอย่าง เป็นทางการแล้ว โดยรัฐบาลได้ใช้ความพยายามสูงสุดในการก้าวผ่านอุปสรรค เดินหน้าโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ใส่เงินระบบเศรษฐกิจกระจายไปทุกพื้นที่ให้ถึงฐานราก ท้องถิ่น-ชุมชน โดยดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน และรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด ซึ่งประชาชนและร้านค้าจะสามารถลงทะเบียนยืนยันตัวตนได้ในไตรมาส 3 และเงินจะส่งตรงถึงพี่น้องประชาชนในไตรมาส 4 ของปีนี้
กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนกระจายไปทุกพื้นที่ให้ถึงฐานราก
นโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นการใส่เงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง และกระจายไปยังทุกพื้นที่ให้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจให้ถึงฐานราก เกิดการจับจ่ายใช้สอย ยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน และภาคธุรกิจ ที่จะขยายการลงทุน ขยายกิจการ เกิดการผลิตสินค้าที่มากขึ้น นำไปสู่การจ้างงาน สร้างอาชีพ และเกิดการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลก็จะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบของภาษี อันจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ เป็นการเตรียมความพร้อมของประเทศให้เข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความโปร่งใสให้กับกลไกการชำระเงินของระบบเศรษฐกิจและรัฐบาล
โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ตลอดจนยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนที่ต้องการได้
รับความช่วยเหลือ เช่น กลุ่มเปราะบาง กลุ่มเกษตรกร เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนและชุมชนมีความเข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจและสามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งจะเป็นการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนและยังก่อให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอันจะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมอีกด้วย
มอบสิทธิให้ประชาชน 50 ล้านคน คาดเศรษฐกิจขยายตัว ร้อยละ 1.2 - 1.6
ในส่วนของความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการฯ จะเป็นการให้สิทธิแก่ประชาชนจำนวน 50 ล้านคน ผ่าน Digital Wallet วงเงิน 5 แสนล้านบาท และกำหนดให้ใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนดซึ่งจะเป็นการเติมเงินลงสู่ฐานราก โดยจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยประมาณร้อยละ 1.2 ถึงร้อยละ 1.6 ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับรายละเอียดเงื่อนไขของโครงการฯ โดยรัฐบาลจะดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยกระบวนการต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบ
ที่เกี่ยวข้อง และต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ การดำเนินโครงการฯ จะต้องเป็นไปโดยซื่อสัตย์ สุจริต รอบคอบ และระมัดระวัง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนโดยรวม ตลอดจนรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ อย่างเคร่งครัด
แหล่งที่มาของเงินในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ชี้แจงเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินในโครงการฯ ว่า ตามที่กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณได้รับมอบหมายให้ไปพิจารณาแหล่งเงินทางเลือก วงเงิน 500,000 ล้านบาท ขณะนี้มีคำตอบให้คณะกรรมการนโยบายฯ แล้วว่า วงเงิน 500,000 ล้านบาท สามารถบริหารจัดการผ่านกระบวนการงบประมาณได้ทั้งหมด โดยจะใช้เงินจากงบประมาณจาก 3 ส่วน ได้แก่
เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท ซึ่งได้ขยายกรอบวงเงินงบประมาณในปี 2568 เรียบร้อยแล้ว
การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดูแลกลุ่มประชาชนที่เป็นเกษตรกร จำนวน 17 ล้านคนเศษ ผ่านกลไกมาตรา 28 ของงบประมาณปี 2568
การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของรัฐบาล จำนวน 175,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อรวมวงเงินส่วนที่ 1- 3 เป็นวงเงิน 500,000 ล้านบาท ยืนยันว่า การดำเนินการเรื่องแหล่งเงินเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ) พ.ร.บ.งบประมาณ และ พ.ร.บ.เงินตรา โดย ณ วันที่เริ่มโครงการช่วงปลายปีจะมีเงิน 500,000
ล้านบาทอยู่ทั้งก้อน ไม่มีการใช้เงินสกุลอื่น หรือการใช้มาตรการอื่นแทนเงิน ขอยืนยันเรื่องแหล่งเงินและความมั่นใจว่ามีการดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน
เงื่อนไข คุณสมบัติ ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท
คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป
มีรายได้ไม่เกิน 840,000 บาท/ปี (70,000 บาท/เดือน)
เงินฝากรวมทุกบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท
กรณีรายได้ไม่เกิน 70,000 บาทต่อเดือน แต่เงินฝากเกิน 500,000 บาท จะไม่ได้รับสิทธิ
กรณีรายได้เกิน 70,000 บาทต่อเดือน แต่เงินฝากน้อยกว่า 500,000 บาท จะไม่ได้รับสิทธิ

19/06/2024

ข่าวท้องถิ่นและข่าวบริการ
#วันที่ 19 มิถุนายน 2567

19/06/2024

ถ่ายทอดสด...ประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ปีที่ 1 ครั้งที่ 2(สมัยสามัญ) เป็นพิเศษเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ณ อาคารรัฐสภา กทม.

19/06/2024

รายการบอกเล่าเก้าสิบ

ครม.เห็นชอบอนุมัติปรับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และทหารกองประจำการ เริ่ม 1 พ.ค....
19/06/2024

ครม.เห็นชอบอนุมัติปรับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และทหารกองประจำการ เริ่ม 1 พ.ค.2567 และร่างกฎกระทรวงปรับปรุงภาษีบุคคลธรรมดา กรณีค่าชดเชย
ให้ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง
ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำส่วนราชการ พ.ศ. ....
(18 มิ.ย. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า
ที่ประชุม ครม. มีมติให้ความเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำส่วนราชการ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ โดยร่างระเบียบกระทรวง การคลังฯ ดังกล่าว มีความสอดคล้องกับ
การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ
การปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ที่ ครม. เคยได้อนุมัติแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566
การปรับอัตราเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว
เป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำส่วนราชการ พ.ศ. 2548 โดยส่วนที่แก้ไขเพิ่มเติม 2 จุดนั้น โดยยังคงหลักการเดิม และปรับอัตราเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ดังนี้
การปรับเพดานเงินเดือนขั้นสูงที่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวสำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำ ซึ่งมีเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึง 14,600 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเดือนละ 2,000 บาท แต่เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วต้องไม่เกินเดือนละ 14,600 บาท
การปรับเพดานเงินเดือนขั้นต่ำของเงินเดือนรวมกับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวสำหรับข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และทหารกองประจำการ ซึ่งมีเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึง 11,000 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนหรือค่าจ้างอีกจนถึงเดือนละ 11,000 บาท
ทั้งนี้ สำหรับข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และลูกจ้างชั่วคราว ที่มีวุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป และจะมีการจ่ายย้อนหลัง
ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินค่าครองชีพชั่วคราว ดังนี้
กำหนดให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จบำนาญ เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่ม และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน หรือระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ่ายค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ รวมทั้งหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติที่กระทรวงการคลังกำหนด แล้วแต่กรณีโดยอนุโลม
ให้เก็บหลักฐานการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวไว้ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินเดือนข้าราชการ หรือค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการที่กระทรวงการคลัง กำหนดในปัจจุบัน
ประมาณการการสูญเสียรายได้จากการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว
กระทรวงการคลัง ได้รายงานประมาณการการสูญเสียรายได้ตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ แล้ว คาดว่าในการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และทหารกองประจำการ
จะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 200 ล้านบาทต่อเดือน หรือประมาณ 2,400 ล้านบาทต่อปี
โดยเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่าย (งบบุคลากร)
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว
จะช่วยให้ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และทหารกองประจำการ สามารถดำรงชีพอยู่ได้ในสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน
เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ
ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้างกรณีถูกเลิกจ้าง
(18 มิ.ย. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ...) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้างกรณีถูกเลิกจ้าง) ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นการล่วงหน้าร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ
ปรับเพิ่มเพดานของค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง
สาระสำคัญในการปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้างกรณีถูกเลิกจ้าง ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562
โดยปรับเพิ่มเพดานของค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
จากค่าชดเชยส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างหรือเงินเดือนค่าจ้างของการทำงาน 300 วันสุดท้าย แต่ไม่เกิน 300,000 บาท เป็น ค่าชดเชยส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างหรือเงินเดือนค่าจ้างของการทำงาน 400 วันสุดท้าย แต่ไม่เกิน 600,000 บาท
สำหรับเงินค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ไม่รวมถึงค่าชดเชยที่ลูกจ้างหรือพนักงานได้รับเพราะเหตุเกษียณหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง
วัตถุประสงค์การปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ลูกจ้างหรือพนักงาน สำหรับค่าชดเชยที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างกรณีที่ถูกเลิกจ้าง (เช่น เหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ เป็นต้น)
เพื่อให้การคุ้มครองแรงงานมีความสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปที่เพิ่มสูงขึ้น
ประมาณการสูญเสียรายได้
กระทรวงการคลัง ได้จัดทำประมาณการสูญเสียรายได้และประโยชน์ ที่จะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราช บัญญัติวินัยการเงิน การคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยมีผล ดังนี้
จะทำให้สูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีละประมาณ 660 ล้านบาท
แต่จะส่งผลให้ลูกจ้างและพนักงานที่เดือดร้อนจากการถูกเลิกจ้างได้รับการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างที่ได้รับจากนายจ้าง
ทั้งนี้ กรมสรรพากรอาจต้องมีการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยที่ได้รับในปีภาษี 2566 ที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีในปี 2567

สภาพัฒน์รายงานความสามารถในการจัดอันดับการแข่งขันของสถาบันจัดอันดับนานาชาติ (IMD) โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 25 และอันดับที่ 2...
19/06/2024

สภาพัฒน์รายงานความสามารถในการจัดอันดับการแข่งขันของสถาบันจัดอันดับนานาชาติ (IMD) โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 25 และอันดับที่ 2 ของอาเซียน
(18 มิ.ย. 67) คณะรัฐมนตรีรับทราบผลรายงานการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดย สถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development :IMD) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอ
จัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน (IMD World Competitiveness Yearbook) ไทยครองอันดับที่ 25
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ปลื้มพัฒนาประเทศจนเห็นผล ไทยปรับตัวดีขึ้น 5 อันดับจากปีที่แล้ว โดยปีนี้ครองอันดับที่ 25 (ปี 2023 อยู่ที่ลำดับ 30) จาก 67 เขตเศรษฐกิจ ในการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศประจำปี 2024 (IMD World Competitiveness Yearbook 2024) ของInternational Institute for Management Development (IMD) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนรองจาก สาธารณรัฐสิงคโปร์
ประเมินผลการแข่งขันจากปัจจัยหลัก 4 ด้าน
โดยปัจจัยหลักที่ไทยทำผลงานได้ดี แบ่งการจัดอันดับตามด้านต่าง ๆ ดังนี้
สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ไทยได้อันดับที่ 5 ด้วยคะแนน 64.3 (ปี 2023 อยู่ลำดับที่ 16) ตัวอย่างปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการจัดลำดับด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เช่น การค้าระหว่างประเทศเศรษฐกิจภายในประเทศ ด้านการจ้างงาน เป็นต้น
ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) ไทยได้อันดับที่ 20 ด้วยคะแนน 62.0 (ปี 2023 อยู่ลำดับที่ 24) ตัวอย่างปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการจัดลำดับด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เช่น การบริหารจัดการ ทัศนคติและค่านิยม เป็นต้น
ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) ไทยได้อันดับที่ 24 ด้วยคะแนน 55.1 (ปี 2023 อยู่ลำดับที่ 23) ตัวอย่างปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการจัดลำดับด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ เช่น การคลังภาครัฐ นโยบายภาษี กรอบการบริหารภาครัฐ เป็นต้น
โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ไทยได้อันดับที่ 43 ด้วยคะแนน 40.2 (ปี 2023 อยู่ลำดับที่ 43) ตัวอย่างปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการจัดลำดับด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงสร้างด้านเทคโนโลยี สาธารณูปโภคพื้นฐาน สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
การจัดอันดับการแข่งขันฯ โดย IMD ในอาเซียน สาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้อันดับที่ 1 รองลงมาคือ ประเทศไทย (อันดับที่ 25) อินโดนีเซีย (อันดับที่ 27) มาเลเซีย (อันดับที่ 34) และสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (อันดับที่ 52) ตามลำดับ
TOP 5 การจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน 2024 จาก 67 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก มีดังนี้
อันดับที่ 1 สาธารณรัฐสิงคโปร์
อันดับที่ 2 สมาพันธรัฐสวิส (สวิตเซอร์แลนด์)
อันดับที่ 3 ราชอาณาจักรเดนมาร์ก
อันดับที่ 4 ประเทศไอร์แลนด์
อันดับที่ 5 เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (ฮ่องกง)
นายกฯ ยื่นคำมั่นรัฐบาลพร้อมสู้ทุกความท้าทาย
นายกรัฐมนตรี ขอบคุณการจัดอันดับที่สะท้อนให้เห็นผลสำเร็จของการทำงานของรัฐบาล โดย รัฐบาลวางแผนการทำงานอย่างต่อเนื่อง มีรูปแบบเป็นไปตามยุทธศาสตร์ ทำให้มั่นใจว่า รัฐบาลพร้อมที่จะต่อสู้กับความท้าทายที่เกิดขึ้น เอาชนะทุกอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็น ค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและความกังวลต่อหนี้สินครัวเรือน ความตระหนักรู้และความสามารถของ SMEs ในการจัดการกับกฎระเบียบระหว่างประเทศเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนต่ำ การจัดการกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นต้น เพื่อให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขัน นำความได้เปรียบที่ไทยมีมาพัฒนาให้เกิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้น

การประกวดสื่อสร้างสรรค์เทิดทูนสถาบันหลักของชาติ ระดับเยาวชน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส...
19/06/2024

การประกวดสื่อสร้างสรรค์เทิดทูนสถาบันหลักของชาติ ระดับเยาวชน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
กรมประชาสัมพันธ์ จัดโครงการประกวดสื่อสร้างสรรค์เทิดทูนสถาบันหลักของชาติ ระดับเยาวชน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างกระบวนการรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาท ความสำคัญ และพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ต่อสังคมไทย โดยให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมโครงการแบบทีม ทีมละ 3 คน พร้อมด้วยอาจารย์ที่ปรึกษา 1 คน ผลิตผลงานส่งเข้าประกวดในรูปแบบคลิปวิดีโอความยาว 1 - 3 นาที หัวข้อ “๖ รอบพระชนมพรรษา อาณาราษฎร์ร่มเย็น” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อส่งเสริมให้เกิดความตระหนักในคุณค่าและภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ความเป็นชาติไทย ยึดมั่นในศาสนาที่สอนให้ทุกคนเป็นคนดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแนวคิดของเยาวชนรุ่นใหม่มีความภาคภูมิใจและเข้าใจบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติให้ดำรงอยู่คู่กับประเทศไทยอย่างมั่นคงสืบไป
เยาวชนทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ จะได้รับทุนการศึกษา 100,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง จะได้รับทุนการศึกษา 70,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง จะได้รับทุนการศึกษา 50,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร รางวัลชมเชย จำนวน 3 รางวัล จะได้รับทุนการศึกษา 20,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร รางวัลป๊อปปูล่าโหวต จะได้รับทุนการศึกษา 10,000 บาท รวมเงินรางวัลกว่า 200,000 บาท
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียด ข้อมูลข่าวสาร และกรอกแบบฟอร์มการสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 28 มิถุนายน 2567 และส่งผลงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 26 กรกฎาคม 2567 ผ่านทางเว็บไซต์กรมประชาสัมพันธ์ www.prd.go.th คลิกหัวข้อ การประกวดสื่อสร้างสรรค์ “๖ รอบพระชนมพรรษา อาณาราษฎร์ร่มเย็น”

เปิดรายชื่อผู้ได้รับเลือก สว. ระดับจังหวัด ชวนประชาชนติดตามทุกความเคลื่อนไหว ก่อนเลือกระดับประเทศ 26 มิ.ย. นี้ !  เมื่อว...
19/06/2024

เปิดรายชื่อผู้ได้รับเลือก สว. ระดับจังหวัด ชวนประชาชนติดตามทุกความเคลื่อนไหว
ก่อนเลือกระดับประเทศ
26 มิ.ย. นี้ !

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2567 กกต. ดำเนินการจัดให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด ซึ่งดำเนินการเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะดำเนินการเลือก สว. ระดับประเทศ ในวันที่ 26 มิ.ย. 2567
ณ อาคารศูนย์การประชุมอิมแพ็คฟอรั่ม อาคาร 4 เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่ง กกต. ได้ดำเนินการเผยแพร่รายชื่อผู้ได้รับเลือกระดับจังหวัดอย่างเป็นทางการแล้ว ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (https://senator.ect.go.th/) และแอปพลิเคชัน Smart Vote โดยประชาชนสามารถดูรายชื่อผู้ได้รับเลือกระดับจังหวัด และข้อมูลแนะนำตัว (สว. 3) จากช่องทางดังกล่าว
กกต. เชิญชวนประชาชนร่วมติดตามและตรวจสอบประวัติ พฤติการณ์ หากพบว่าผู้ได้รับเลือกระดับจังหวัดคนใดขาดคุณสมบัติ
หรือมีลักษณะต้องห้าม สามารถแจ้งได้ที่ผู้อำนวยการการเลือกระดับประเทศ หรือมีพฤติการณ์ที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ที่ กกต. กำหนด หรือพบเห็นการกระทำที่ทำให้การเลือกไม่ได้เป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 สามารถ
แจ้งได้ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือแอปพลิเคชันตาสับปะรด
ขั้นตอนการเลือก สว. ระดับประเทศ
สำหรับกระบวนการเลือกรอบแรก จะเป็นการเลือกกันเอง
ของผู้สมัครในกลุ่มสาขาอาชีพ 20 อาชีพ โดยผู้สมัครสามารถลงคะแนนเลือกผู้สมัครในกลุ่มเดียวกันได้ ไม่เกิน 10 คน (โดยลงคะแนนให้ตัวเองได้
แต่จะลงคะแนนให้บุคคลใดเกิน 1 คะแนนไม่ได้) ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด 40 ลำดับแรก ของแต่ละกลุ่มเป็นผู้ที่ได้รับเลือกรอบแรก
การเลือกรอบสอง จับฉลากแบ่งกลุ่มอาชีพเป็น 4 สาย สายละ
5 กลุ่มอาชีพ เลือกผู้สมัครกลุ่มอื่นในสายเดียวกันกลุ่มละ 5 คน ผู้สมัคร
ที่ได้รับคะแนนสูงสุด 10 ลำดับแรกจะได้รับเลือกเป็น สว. ส่วนผู้ที่ได้คะแนนในลำดับที่ 11 - 15 ของกลุ่มนั้นๆ จะอยู่ในบัญชีสำรอง ซึ่งจะได้ สว. ชุดใหม่จำนวน 200 คน และบัญชีสำรองจำนวน 100 คน
ทั้งนี้ ก่อนการประกาศผลการเลือก สว. หากมีเหตุสงสัยว่าการเลือกไม่ได้เป็นไปโดยสุจริต กกต. มีอำนาจสั่งระงับ ยับยั้ง แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกการเลือกและสั่งให้ดำเนินการเลือกใหม่หรือนับคะแนนใหม่ การใช้อำนาจดังกล่าว ให้กรรมการแต่ละคนซึ่งพบเห็นการกระทำความผิดในเขตอำเภอหรือจังหวัดใดให้อำนาจการกระทำได้สำหรับ
การเลือกในเขตอำเภอหรือจังหวัดนั้น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ กกต. กำหนด (*ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ : มาตรา 59 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561)
วันเลือก สว. ระดับประเทศ ห้ามนำเครื่องมือสื่อสารเข้าไป
ในสถานที่เลือก สว. ซึ่งตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ได้กำหนดไว้ว่าห้ามไม่ให้ผู้สมัครผู้ใดนำเข้าไปหรือใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ใด ๆ ที่อาจใช้เพื่อติดต่อสื่อสาร หรือเพื่อบันทึกภาพหรือเสียง หรืออุปกรณ์อื่นใดตามที่คณะกรรมการกำหนดในสถานที่เลือก รวมทั้งบริเวณโดยรอบสถานที่เลือกตามที่ผู้อำนวยการการเลือกระดับประเทศ กำหนด ทั้งนี้ ไม่ใช้บังคับแก่ผู้สมัคร ซึ่งเป็นคนพิการหรือทุพพลภาพ และมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์เพื่อประโยชน์ในการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกหรือการลงคะแนน โดยได้รับอนุญาตจากกรรมการ ผู้อำนวยการการเลือกระดับประเทศ แล้วแต่กรณี โดยให้คำนึงถึงการอำนวยความสะดวกในการเลือก ให้แก่ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือก ซึ่งเป็นคนพิการหรือทุพพลภาพ ผู้สูงอายุ หรือผู้ประสบปัญหาในการใช้สิทธิเลือก
หากฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่อยู่

50 ถนนทรายทอง1 ตำบลสุไหงโก-ลก
Amphoe Sungai Kolok
96120

เบอร์โทรศัพท์

+6673621866

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สวท.สุไหงโก-ลก radiokolokผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ


Amphoe Sungai Kolok บริษัท สื่ออื่นๆ

แสดงผลทั้งหมด

คุณอาจจะชอบ