Wellbuss เวลบิส

Wellbuss เวลบิส แหล่งรวมการพัฒนาตัวเอง แรงบันดาลใจ แนวคิดดีดี และแนวอาชีพเสริมหรือแนวเพิ่มรายได้หลัก
(1)

Line แอด https://lin.ee/4uVqXwMQN

ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ในการเป็นหุ้นส่วน platform กับบ.ยูนิลีเวอร์ไลน์ที่ลิงค์ด้านล่างได้เลยค่ะ
https://bit.ly/3yaZnYH หรือ https://m.me/Wellbuss

สมัครสมาชิก
https://omniconnectbiz.com/thiprat


หรือสนใจสินค้าแบนด์บียอนด์และอาวียองซ์ในราคาพิเศษคลิ๊กเพจด้านล่างเลยค่ะ https://m.me/ThipratShop

ผมเชื่อว่าหลายท่านในเพจนี้ คงเคยอ่านนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าเป็นแน่ ทุกท่านครับ ผมว่าเมื่อคืนผมเจอเต่าตัวนั้นเข้าให้แล้...
10/08/2024

ผมเชื่อว่าหลายท่านในเพจนี้ คงเคยอ่านนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าเป็นแน่

ทุกท่านครับ ผมว่าเมื่อคืนผมเจอเต่าตัวนั้นเข้าให้แล้ว

เมื่อคืนที่ผ่านมา วีรพล วิชุมา นักยกน้ำหนักของไทย รุ่น 73 กิโลกรัมชาย ลงแข่งยกน้ำหนักเป็นคนสุดท้ายของนักกีฬายกน้ำหนักชายไทยในโอลิมปิกครั้งนี้

การยกท่าสแนชครั้งแรก เขายกได้ 148 kg แบบไม่มีปัญหาใด ๆ แต่ทว่าการยกครั้งที่สอง ทีมงานเรียกน้ำหนักที่ 152 kg เขายกไม่ผ่าน และครั้งที่สามกับน้ำหนักเดิม ก็ยกไม่ผ่านเช่นกัน ทำให้ในท่าสแนช เขาทำน้ำหนักตุนไว้เพียง 148 kg เท่านั้น

ขณะที่คู่แข่งจากชาติอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยกกันได้เกิน 150 kg ยิ่งอันดับหนึ่งในท่านี้อย่าง Shi Zhiyong ของจีนที่ไปไกลสุดกู่ที่ 165 kg ได้เหรียญทองมาครึ่งเหรียญแล้ว ขณะที่อันดับสอง ริซกี้ จูนิอันไซอา ของอินโดนีเซียก็น่าจะเข้าป้ายเพราะทำน้ำหนักได้ที่ 155 kg เท่ากับนักกีฬาจากบัลแกเรีย

จบท่าสแนช วีรพลของไทยอยู่อันดับ 9 จากนักกีฬา 12 คน มองทุกเหลี่ยม ทุกคู ทุกประตู ทุกหน้าต่าง ก็ต้องฝากความหวังไว้ที่ท่าคลีนแอนด์เจิร์กอย่างเดียวเท่านั้น หากจะมีโอกาสใด ๆ ในการกลับมายืนบนโพเดี้ยมรับเหรียญรางวัล คิดดูว่า ขนาดช่องถ่ายทอดสดฟรีทีวีบ้านเรายังท้อ ตัดจบ บอกลาผู้ชมกันดื้อ ๆ

ใครจะท้อก็ท้อไป แต่เต่าที่ชื่อ “วีรพล” ไม่เคยท้อ เพราะวีรพลคือเต่าที่วิ่งได้ และเขาก็เริ่มวิ่ง …

เงื่อนไขในตอนนั้น หากเราจะหวังเอาแค่เหรียญทองแดงก่อน คู่แข่งคนสำคัญของวีรพลในการชิงเหรียญคือนักกีฬาจากบัลแกเรียที่ยกท่าสแนชได้ 154 kg มากกว่าวีรพลอยู่ 6 kg ซึ่งนักกีฬาจากบัลแกเรียยกท่าคลีนแอนด์เจิร์กผ่านทั้งสามครั้งได้น้ำหนักที่ 190 kg

ดังนั้นวีรพลต้องยกท่าคลีนแอนด์เจิร์กให้ได้ถึง 197 kg ถึงจะกระโดดจากอันดับเก้าขึ้นมายืนอันดับสามเพื่อแย่งเหรียญทองแดง ซึ่งสถิติสูงสุดในชีวิตของวีรพลที่เคยยกได้ เขาเคยทำไว้ที่ 195 kg เท่ากับว่าวีรพลไม่มีทางเลือกอื่น เขาต้องทำลายสถิติตัวเองเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสได้เหรียญโอลิมปิก

วีรพลเรียกน้ำหนักครั้งแรก 190 kg เขายกผ่าน เหลืออีก 7 กิโลกรัม กับโอกาสยกอีก 2 ครั้ง

ในขณะที่ทีมงานไทยกำลังวางแผนให้กับวีรพลอยู่นั้น ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงกลางลานยกน้ำหนัก เมื่อเต็งหนึ่งเหรียญทอง Shi Zhiyong ยกท่าคลีนแอนด์เจิร์กน้ำหนัก 191 kg ไม่ผ่านทั้งสามครั้ง ทำให้ไม่มีสถิติท่านี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเคยทำสถิติท่าคลีนแอนด์เจิร์กในโอลิมปิกไว้ที่ 198 kg ในโตเกียว 2020 นักกีฬาช็อก โค้ชช็อก คู่แข่งช็อก คนดูก็ยังช็อก..!
ท่าสแนชที่ทำมา 165 kg แบบเหนือ ๆ กลายเป็นไร้ประโยชน์ เหรียญทองที่ได้มาแล้วครึ่งเหรียญหายวับไปกับตา

ซึ่งเหรียญทองมันกำลังจะลอยไปคล้องคอของริซกี้จากอินโดนีเซียที่ยกคลีนแอนด์เจิร์กผ่านครั้งแรกที่ 191 kg ทำน้ำหนักรวมสองท่าได้ 346 kg ขณะที่วีรพลกับบัลแกเรีย ขยับจากชิงทองแดง กลายมาเป็นชิงเหรียญเงิน..!

วีรพลเรียกน้ำหนักครั้งที่สอง 194 kg เขายกผ่าน ได้เหรียญทองแดงแน่นอนแล้ว เขาเหลือน้ำหนักที่ต้องยกให้ได้อีก 3 กิโลกรัม กับโอกาสยกอีกเพียงแค่ครั้งเดียวเพื่อแซงนักยกน้ำหนักจากบัลแกเรีย เพื่อเอาเหรียญเงิน “ไว้ก่อน”

ที่ต้องบอกว่า “ไว้ก่อน” เพราะถึงตรงนี้ทีมงานไทยคิดไปถึงเหรียญทองแล้ว เพราะในการเรียกน้ำหนักครั้งที่สาม หากทีมงานไทยหวังแค่เหรียญเงิน น้ำหนักที่เรียก ก็จะเป็น 197 kg ก็เพียงพอที่วีรพลจะคว้าเหรียญเงิน แต่ทีมงานเรียกน้ำหนักในการยกครั้งสุดท้ายของวีรพลที่ 198 kg ซึ่งหากเขายกผ่าน เขาจะได้น้ำหนักรวม 346 kg เท่ากับริซกี้ แต่วีรพลจะขึ้นไปเป็นอันดับ 1 ของตารางน้ำหนักรวมทันที เนื่องจาก วีรพลยกได้น้ำหนักรวมครบสามครั้งเป็นคนแรก (กฎใหม่ของ IWF ที่ใช้แทนการวัดด้วยน้ำหนักตัว)

จริง ๆ ริซกี้ยกแค่ 192 ก็ชนะวีรพลได้แล้ว แต่ความสนุกของกีฬายกน้ำหนัก คือเมื่อใส่เหล็กไปแล้ว ไม่มีการถอนออก เรียกน้ำหนักเพิ่มได้อย่างเดียว

สถานการณ์วีรพลเท่ากับว่า
- ยก 198 kg ไม่ผ่าน วีรพลได้ 🥉
- ยก 198 kg ผ่าน และริซกี้ยกผ่านครั้งใดครั้งหนึ่งใน 2 ครั้ง วีรพลได้ 🥈
- ยก 198 kg ผ่าน และริซกี้ยกอีก 2 ครั้งไม่ผ่าน วีรพลได้ 🥇

จากอันดับ 9 เมื่อจบท่าสแนช เต่าไทยตัวนี้วิ่งแซงกระต่ายทุกตัว และกำลังมีลุ้นถึงเหรียญทอง..!

วีรพลเรียกน้ำหนักครั้งที่สาม 198 kg ซึ่งเป็นน้ำหนักที่เขาไม่เคยยกได้มาก่อนในชีวิต แต่ครั้งนี้เขายกผ่าน..! ทำน้ำหนักรวม 346 kg ขึ้นไปเป็นอันดับ 1 และการันตีเหรียญเงินเรียบร้อยแล้ว..!

ทีมไทยกำลังโยนความกดดันไปให้ริซกี้

ริซกี้ไม่มีทางเลือก จะเรียกน้ำหนัก 198 kg เท่าวีรพลก็ไม่ได้เพราะวีรพลยกได้น้ำหนักรวมไปก่อนแล้ว เขาต้องเรียกน้ำหนักที่ 199 kg ซึ่งมากกว่าน้ำหนัก 191 kg ที่เขายกครั้งแรกอยู่ 8 กิโลกรัมด้วยกัน

แต่ริซกี้ก็แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งแชมป์โลกยกน้ำหนัก รุ่น 73 kg ที่เขาได้มาเมื่อต้นปีที่ภูเก็ตไม่ใช่เพราะโชคช่วย

เขายกน้ำหนักผ่านที่ 199 kg แบบสุดกำลัง ชนิดที่ต้องลุ้นกันถึงเป่าปากเฮือกสุดท้าย พอทิ้งเหล็กลงมาเขานอนแผ่กลางลาน แสดงว่านี่ก็เป็นน้ำหนักที่เขาเต็มกลืนแล้วเหมือนกัน แม้จะน้อยกว่าที่เขาเคยยกได้ที่ภูเก็ตอยู่ 2 กิโลกรัมก็ตาม

ริซกี้จากอินโดนีเซีย ได้เหรียญทองแรกโอลิมปิกเป็นครั้งแรกในชีวิต และเป็นเหรียญทองที่สองของทัพนักกีฬาอินโดนีเซียในโอลิมปิกครั้งนี้ หลังจากได้เหรียญทองประเภทปีนหน้าผามาก่อนหน้านี้ในช่วงกลางวัน เท่ากับว่าเมื่อวานอินโดนีเซียได้ 2 เหรียญทองรวดเลย

ขณะที่วีรพลได้เหรียญเงินชนิดที่ทำลายสถิติตัวเอง และน้ำหนัก 198 kg ที่วีรพลยกได้ ยังทำลายสถิติโลกในท่าคลีนแอนด์เจิร์กในรุ่นเยาวชนอีกด้วย เพราะวีรพลในตอนนี้อายุเพียง 19 ปี เท่านั้น

เต่าตัวนี้ดิ้นคลานอย่างสุดกำลัง สุดชีวิต จากอันดับ 9 มาจบที่เหรียญเงิน แม้มันจะแซงกระต่ายไม่ได้ทุกตัวก็ตาม

แต่เราจะไม่กราบหัวใจของเต่าแบบนี้ได้หรือ..?

พี่กราบใจน้องจริง ๆ

❤️

ป.ล. เท่ากับว่าโอลิมปิกครั้งนี้ ตอนนี้สถิติเหรียญของไทยคือ

🥇
🥈🥈🥈
🥉🥉
Cr.เพจความเห็นของผม

”ถ้าเสียสละจริงๆก็คงเป็นร่างกาย ร่างกายอันนี้มันพังไปทั้งตัวแล้ว อย่างที่ทุกคนเห็นมันเป็นกีฬาต่อสู้ เอ็นขาดไปแล้ว แล้วก็...
09/08/2024

”ถ้าเสียสละจริงๆก็คงเป็นร่างกาย ร่างกายอันนี้มันพังไปทั้งตัวแล้ว อย่างที่ทุกคนเห็นมันเป็นกีฬาต่อสู้ เอ็นขาดไปแล้ว แล้วก็ลูกสะบ้าพังหมดแล้ว สะโพกก็หลวม

สมมุติว่าถ้าหนูฉีกขาเยอะเลยองศาไป หนูก็หุบขาไม่ได้ ต้องใช้เวลาเป็น 10 กว่านาที กว่าจะหุบขาได้ มันเสียสละทั้งร่างกายอันนี้ไปหมดแล้ว

แต่หนูก็คิดว่าครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่หนูจะยอมแลก ในวันที่หนูตายไป ชื่อของหนูจะได้ยังอยู่ว่า 2 เหรียญทอง โอลิมปิก

-เทนนิส พาณิภัค

จากรายการ Made My Day : Thai PBS

เกียรติยศ ของที่โหล่🔥🔥🔥ถึงขาขาด ถึงเลือดสาด ถึงรู้ทั้งรู้ว่าจะเข้าที่สุดท้าย ก็ต้องไปให้มันจบ! (นี่มันจิตวิญญาณแห่ง "รอย...
09/08/2024

เกียรติยศ ของที่โหล่🔥🔥🔥
ถึงขาขาด ถึงเลือดสาด ถึงรู้ทั้งรู้ว่าจะเข้าที่สุดท้าย ก็ต้องไปให้มันจบ! (นี่มันจิตวิญญาณแห่ง "รอย คีน" ชัดๆ!)
"อลิสัน กิ๊บสัน" นักกระโดดน้ำสาวหัวใจเพชร
เธอผิดท่า หน้าเท้ากระแทกสปิงปอร์ดเต็มๆ ขณะเกลียวหมุนคว้างกลางอากาศ ในการโดดเพิ่งครั้งแรกของการแข่ง
เจ็บ
เธอได้ 0 แต้ม

เจ็บ
เธอแข่งต่อก็ไม่สมบูรณ์ กระเสือกกระสน

แต่เธอข่มกลั้น ต้องไปให้สุดทาง
"ฉันเจ็บสุดๆ"

"แต่บอกเลย ฉันหวัง หวังให้ใครก็ตามที่ดูอยู่ ได้เห็นว่าการจะลุกขึ้นมาสู้ สู้ให้ขาดใจ นั้นเป็นเช่นไร แม้ในยามที่ทุกอย่างมันไม่เป็นใจ แต่ก็จะสู้"

It's about the fight.

แต่ฉันต้องไป ต้องไปให้ถึง

เธอน้ำตานองหน้า ตอนที่ให้สัมภาษณ์ แผลยังสด ทั้งที่เท้า และที่ใจ
แผลที่เธอกดไว้ ห้ามไว้ แล้วเดินต่อ ไม่สิ ต้องบอกว่า โดดต่อ!

"แน่ล่ะ วันนี้ไม่ใช่อย่างที่วาดไว้ แต่ฉันว่าคนเราจะได้เรียนรู้ ได้เติบโตจากทุกๆ ประสบการณ์"

"ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักกีฬารุ่นใหม่ๆ จะจดจำเรื่องราวนี้ไว้ ว่าแม้แต่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด คุณก็ยังสู้ต่อ และเชิดหน้าอย่างกล้าหาญ"
Keep Fighting
สู้อยู่! ได้อยู่! ไหวอยู่!
เอาอยู่

เธอได้ที่โหล่ โอลิมปิก 2020 โตเกียว
เธอได้ 0 คะแนน ในการโดดครั้งแรก ที่โอลิมปิก 2024 ปารีส
นั่นแปลว่าโอกาสยากมากที่เธอจะไม่ได้ที่โหล่อีก

เธอมาโดดอีก 4 ครั้ง ด้วยเท้าที่บาดเจ็บ
เธอโดดครบ 5 ครั้ง
ไม่มีปาฏิหาริย์ เธอได้ที่โหล่

แต่เธอก็ทำมันจนจบ
ถ้าจะแพ้ ก็ให้มันแพ้ด้วยตัวเอง

ไปแพ้ๆ ให้มันจบ
ด้วยตัวเอง!

เธอบริจาคให้โรงเรียนสำหรับเด็กยากไร้ในเคนยา
มูลนิธิ Missions of Hope International
ภารกิจแห่งความหวัง

"ฉันลุกขึ้นกลับมาโดดน้ำ ไม่ใช่เพื่อแค่โดดน้ำ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวฉันเอง แต่ฉันอยากให้มันส่งผลกระเพื่อมไปไกลกว่านั้น"

"ภารกิจของฉัน คือเด็กๆ ทุกคนที่โรงเรียนนั้น"

"ฉันต้องการรณรงค์สำหรับการบริจาคเมื่อจบโอลิมปิก ฉันหวังเหลือเกินว่าความกล้าหาญของฉันในวันนี้ จะกระตุ้นให้เกิดผลดีๆ ได้"

โอลิมปิกคือกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ และเพื่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง

เหรียญทองคือใครผมไม่รู้
แต่ผมจำที่โหล่ได้
"อลิสัน กิ๊บสัน"
{กระโดดน้ำ สปริงบอร์ด 3 เมตร หญิง}

เรื่องราวของเธอ ทำให้ผมปลุกตัวเองขึ้นมา
สู้โว้ย!!!

แม้แต่คนที่เก่งจนคิดว่าไร้เทียมทานก็พ่ายแพ้ภาพสีหน้าไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่เกิดขึ้นของอุตะ อาเบะ ยอดนักยูโดหญิงเจ้าของเหร...
31/07/2024

แม้แต่คนที่เก่งจนคิดว่าไร้เทียมทานก็พ่ายแพ้

ภาพสีหน้าไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่เกิดขึ้นของอุตะ อาเบะ ยอดนักยูโดหญิงเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก โตเกียว 2020 บอกความหมายได้หลายอย่าง

อุตะ เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการเล่นยูโด ประหนึ่งเธอเหมือนตัวละครในมังงะยาวาระ (ซึ่งมังงะก็ได้แรงบันดาลใจจากนักกีฬาจริงๆอย่าง เรียวโกะ ทานิอีกที) เรียกว่ากวาดรางวัลมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ

มากกว่านัันคือเธอมีพี่ชายเป็นสุดยอดนักยูโดเหมือนกัน คว้าเหรียญทองโอลิมปิก “ดับเบิล” มาด้วยกัน และทั้งคู่คือเบอร์หนึ่งของวงการในรุ่นของตัวเอง

ตั้งแต่ปี 2019 อุตะไม่เคยแพ้ใครแม้แต่คนเดียว

จนกระทั่งในกีฬาโอลิมปิกหนนี้ เธอผู้เป็นเต็งหนึ่งของรายการเหมือนเดิม เจอกับ ดิโรยา เคลดิโยโรวา ยูโดสาวจากอุซเบกิสถาน

แน่นอนประสาเต็งหนึ่ง ใครก็คิดว่าอุตะไม่น่ามีปัญหา

แต่เริ่มแข่งได้เพียงไม่นาน ดิโรยาชิงจังหวะเตะตัดขาก่อนทุ่มอุตะหลังแตะพื้น

“อิปป้ง”

การแข่งขันจบลงทันทีตามกติกา อุตะผู้ไม่เคยแพ้มา 5 ปี แพ้แล้ว ด้วยการโดนจับทุ่มที่ปกติแล้วเธอน่าจะปัดป้องได้

สีหน้าช็อกของเธอ ก่อนที่จะร้องไห้ปานใจจะขาด ทำใจยอมรับความจริงไม่ไหว

ภาพนั้นทำให้ทุกคนที่ได้เห็นก็อดสะท้อนใจไม่ได้ เพราะรู้ว่าเธอเสียใจอย่างมาก ไม่ว่าความเสียใจนั้นมันจะประกอบไปด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

แต่ในอีกมุมหนึ่งความพ่ายแพ้ครั้งนี้ นับเป็นบทเรียนที่ดีที่สุดในชีวิตของอุตะ

และอาจจะเป็นบทเรียนที่ใช้ได้กับทุกคน

ไม่ว่าจะเก่งขนาดไหน จะครองวงการมานานแค่ไหน ช้าหรือเร็ว จะมีสักวันหนึ่งที่ความพ่ายแพ้จะมาถึง

มันอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรในวันนััน

ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ยึดติดกับอดีต

หรือยอมรับมันเสียแม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม แล้วเริ่มต้นกันใหม่ ก้าวไปสู่วันข้างหน้า

สำหรับนักยูโดเทวดาอย่างอุตะ อาจจะใจสลายในตอนนั้นแต่เมื่อคิดได้เธอก็ยืนยันว่าเธอจะตั้งใจกลับมาใหม่ จะเริ่มต้นกันใหม่

บนเวทีเธอถูกจับอิปป้งแล้วจบเลย

แต่ในชีวิตเธอ - หรือเราทุกคน - มีโอกาสจะลุกขึ้นยืนเพื่อสู้ใหม่ใน Round 2-3-4-5 ได้เสมอ

ตราบที่หัวใจยังมีแรง

#โอลิมปิก

Note:
• หลังชนะอุตะ ดิโรยาก้าวไปสู่การคว้าเหรียญทอง ซึ่งเป็นเหรียญทองยูโดเหรียญแรกของอุซเบกิสถาน ทำให้ประธานาธิบดีต้องโทรมาชื่นชม
• ฮิฟุมิ พี่ชายของอุตะแก้ตัวให้น้องสาวได้สำเร็จ ด้วยการคว้าเหรียญทองมาแทนน้องด้วย

เมื่อเช้านึกอยากซื้อล็อตเตอรี่สักใบถามคนขายว่า มี18มั้ยคนขายตอบว่า....ไม่มีสายๆ มีคนมาขายล็อตเตอรี่ที่ร้านผมถามอีกว่า มี...
03/07/2024

เมื่อเช้านึกอยากซื้อล็อตเตอรี่สักใบ
ถามคนขายว่า มี18มั้ย

คนขายตอบว่า....ไม่มี

สายๆ มีคนมาขายล็อตเตอรี่ที่ร้าน
ผมถามอีกว่า มี18มั้ย

คนขายตอบว่า...เป็น08 80 ได้มั้ย

ผมซื้อเลย2ใบ ทั้งๆที่ไม่ใช่เลขที่ผมต้องการ
แต่ซื้อเพราะคำตอบเขาที่บอกว่า

เป็น 08 80 ได้มั้ย

เขาไม่พูดคำว่าไม่มีให้ลูกค้าได้ยิน!

การที่เราไม่มีสินค้าที่ลูกค้าต้องการ
อย่าบอกว่าไม่มี หรือไม่ได้
มันคือการปฎิเสธลูกค้าโดยสิ้นเชิง

แต่ถ้าบอกว่า
เป็นตัวนี้ เป็นโค้กแทนได้มั้ย

มีคือการเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า
และเป็นทางเลือกที่เราเป็นผู้กำหนด

บอกว่าไม่มีคือจบการขายแบบไม่ได้เงิน
แต่ถ้าบอกว่าเป็นตัวอื่นอย่างอื่นแทน
โอกาสที่ลูกค้าจะเลือกจะซื้อมี

มันคือการปฎิเสธที่ได้ขายสินค้า

งานขายคือศิลปะ
แม้กระทั่งการปฎิเสธก็ต้องมีศิลปะ

คิดง่ายๆ
สมมุติน้องชายบอกเราว่า
กูเหลือกับข้าวไว้ให้มึง
กับ กูแบ่งกับข้าวไว้ให้มึง

อันไหนเราจะรู้สึกดีกว่ากัน?

นักขายที่ดี นักขายเก่งๆ
จะไม่พูดคำว่าไม่มี ไม่ได้ให้ลูกค้าได้ยินเด็ดขาด

ขอบคุณบทความดีๆจาก สิริทัศน์ สมเสงี่ยม

ULife Affiliate 🔺เปิดรับ Creator กลุ่ม Influencer/TikToker จำนวนมาก 🔺ปักตะกร้าสินค้าในเครือ รับค่า Commission 20% !! ( บ...
15/06/2024

ULife Affiliate

🔺เปิดรับ Creator กลุ่ม Influencer/TikToker จำนวนมาก
🔺ปักตะกร้าสินค้าในเครือ รับค่า Commission 20% !! ( บวก เงินรางวัล Top up สุดพิเศษ )

✨ไม่จำกัดเพศ
✨ไม่จำกัดอายุ
✨ไม่จำกัด Follower

เข้าร่วมงาน Event เปิดตัวULife Affiliate สถานที่ RS Public Company Limited
https://g.co/kgs/nWbprfe

วันที่ 15 มิถุนายน เวลา 14.00-16.00 น.

พิเศษ ! มีโอกาสได้รับงานรีวิวต่อเนื่องจาก บริษัท RS Connect

สนใจทักมานะคะ📍
http://line.me/ti/p/~toom.unilever

ทำความรู้จัก DNA 3 ข้อ ของเฮียฮ้อ ผู้นำธุรกิจที่ก้าวข้ามทุกการเปลี่ยนแปลงDNA ของ RS Group ที่เป็นองค์กรที่ไม่เคยหยุดนิ่ง...
13/05/2024

ทำความรู้จัก DNA 3 ข้อ ของเฮียฮ้อ ผู้นำธุรกิจที่ก้าวข้ามทุกการเปลี่ยนแปลง
DNA ของ RS Group ที่เป็นองค์กรที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งมาจากอุปนิสัยส่วนตัวของ เฮียฮ้อ และถูกส่งต่อวิธีคิด วิธีทำงาน ให้กับคนทำงานในองค์กร

1 แพสชัน ที่เฮียฮ้อ ถ่ายทอด DNA สู่ชาว RS Group ทุกคน ว่า “เวลาทำอะไรก็ต้องใส่เต็มกับทุกอย่าง” ซึ่งนี่คือ ‘Passion to win’ ที่เป็นตัวตั้งต้นในการสร้าง ‘Core Values’ หรือ DNA ให้กับพนักงานของ RS Group ให้เป็นคนที่พร้อมจะปรับตัวรับทุกการเปลี่ยนแปลง การสร้างบุคคลากรที่มีคุณภาพ จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะทำให้ธุรกิจสำเร็จ

2 การ Reskill และ Upskill เพราะบนโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนผันอยู่ตลอดเวลานั้น อาจทำให้ความสำเร็จที่เคยได้รับในปีก่อนกลายเป็นความล้มเหลวในปีนี้ได้ ซึ่งสะท้อนว่า ทุกคนจำเป็นที่จะต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลง เรียนรู้ พัฒนาตัวเองตลอดเวลา โดยเริ่มที่ตัวเอง จะต้องเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่งที่จะเรียนรู้ เพราะ RS Group ก็เป็นองค์กรที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

3 สร้างการมีส่วนร่วมกับชีวิตของผู้บริโภค หรือ ลูกค้าภายใต้ธุรกิจ RS Group เพราะธุรกิจของ RS Group ผ่านการปรับตัว Transform มาแล้วในหลายประเภท ทั้งเพลง บันเทิง มีเดีย คอมเมิร์ซ ซึ่งธุรกิจกว่า 80% จะเกี่ยวข้องกับ ‘คน’ เป็นลักษณะแบบ B2C (Business-to-Customer) ซึ่งผลิตภัณฑ์ขององค์กรจะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจิตใจ ที่ความบันเทิงช่วยสร้างความสุข และจรรโลงใจ ส่วนของอาหารเสริมก็ช่วยในเรื่องของสุขภาพ ทำให้เรา RS Group จึงมีเป้าหมายในการยกระดับชีวิตของผู้คน

ท้ายที่สุด แม้ว่าธุรกิจ ของ RS Group มีจะมีการปรับเปลี่ยนตามเทรนด์ของตลาดโลกแค่ไหน หากทุกคน ได้รับการถ่ายทอด DNA จากเฮียฮ้อไปแล้ว เชื่อว่าจะยังคงสำเร็จ ตาม ‘Passion to win’

เครดิต บทสัมภาษณ์ ‘เฮียฮ้อ’ CEO แห่ง RS Group โดย FutureTrends

#อาร์เอสกรุ๊ป

สรุป 9 เทรนด์การตลาด ที่ Philip Kotler พูดในงาน World Marketing Forum | BrandCase[สนใจเรื่อง สรุปแนวคิด สร้างแบรนด์-ธุรก...
18/03/2024

สรุป 9 เทรนด์การตลาด ที่ Philip Kotler พูดในงาน World Marketing Forum | BrandCase

[สนใจเรื่อง สรุปแนวคิด สร้างแบรนด์-ธุรกิจ กดติดตาม BrandCase ไว้ได้เลย]

วันนี้มีงาน World Marketing Forum ครั้งที่ 3 จัดขึ้นโดยสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สหพันธ์การตลาดแห่งเอเชีย
โดยจัดขึ้นที่อาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก ในวันที่ 16-17 พ.ย. 2566
พาร์ตหนึ่งที่น่าสนใจคือ “คุณฟีลิป คอตเลอร์ (Philip Kotler)” บิดาการตลาดสมัยใหม่ ผู้เขียนหนังสือเล่มดังอย่าง Marketing 5.0
ได้ Video-in เข้ามาในช่วงหนึ่งของงานด้วย
คุณฟีลิป คอตเลอร์ พูดเรื่องอะไรบ้าง ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ ใน 9 ข้อ

1. ผู้บริโภคได้รับข้อมูลที่ดีมากขึ้น ครบถ้วนขึ้น
ผู้บริโภคสามารถค้นหาบริษัท เพื่อดูผลิตภัณฑ์ ราคา ความคิดเห็นของผู้บริโภคคนอื่น ๆ เกี่ยวกับบริษัทหรือผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้
อีกทั้งยังสามารถเปรียบเทียบ ให้เห็นการขายผลิตภัณฑ์เดียวกัน ในราคาที่ต่ำกว่า
ดังนั้นบริษัทจะต้องทำให้ลูกค้าพึงพอใจในตัวผลิตภัณฑ์ ไม่เช่นนั้นลูกค้าอาจแสดงความคิดเห็น และแสดงมุมมองที่ไม่ดีต่อบริษัทได้

2. ในขณะเดียวกันนักการตลาดก็ฉลาดขึ้น
นักการตลาดมีข้อมูลมากขึ้นกว่าที่เคยมีในอดีต ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความต้องการของตลาด คู่แข่ง ช่องทางการตลาด
นักการตลาดทุกวันนี้ยังสามารถเข้าถึง และรู้ข้อมูลที่เกี่ยวกับคู่แข่งมากขึ้น
เช่น โฆษณาหรือราคา ทำให้บริษัทสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันที
อีกทั้งนักการตลาดจะสามารถทำงานได้เร็วขึ้น เพราะมีการใช้ระบบการตลาดอัตโนมัติ เข้ามาช่วยทำงานมากขึ้น
รวมถึงการซื้อโฆษณาจาก Facebook, Google และช่องทางอื่น ๆ เพื่อเพิ่มยอดขายให้ได้มากกว่าสมัยก่อน

3. อีคอมเมิร์ซจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าจากที่บ้านได้ และถึงแม้ว่ายอดขายในร้านจะมีสัดส่วนมากกว่ายอดขายออนไลน์ แต่ยอดขายออนไลน์กลับมีการเติบโตที่เร็วกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติโรคระบาดที่ผ่านมา ทำให้แบรนด์และบริษัทต่าง ๆ ต้องทำงานและแก้โจทย์กันหนักมากขึ้น เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาหาแบรนด์
จากการเติบโตที่สำคัญนี้ ทำให้แบรนด์เริ่มหันมาขายสินค้าให้ลูกค้าโดยตรง โดยไม่ผ่านการฝากขายหน้าร้าน
แต่เปลี่ยนเป็นการเปิดร้านออนไลน์เป็นของตัวเองแทน

[สนใจเรื่อง สรุปแนวคิด สร้างแบรนด์-ธุรกิจ กดติดตาม BrandCase ไว้ได้เลย]

4. อนาคตของการตลาดรูปแบบใหม่ ได้แก่
- AI (Social, Digital, Algorithms)
- Marketing Automation
- Customer Journey Mapping
- Touchpoint Marketing
- Personas Marketing
- Content Marketing
- Influencer Marketing

5. “MarTech” หรือเทคโนโลยีการตลาด เป็นเรื่องสำคัญมากต่อจากนี้
อย่างการเข้ามาของ AI, ChatGPT และการตลาดเสมือนจริง จะเข้ามามีบทบาทในเรื่องของการตลาดมากขึ้น และเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการทำธุรกิจ
เช่น
- ปัญญาประดิษฐ์ (Al) และอัลกอริทึม
- สื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย
- การจดจำเสียงและใบหน้า
- Big Data และการเรียนรู้ของแช็ตบอต,
- AR และ VR เทคโนโลยีเสมือนจริง
- Intelligent Virtual Agents เอเจนซีการตลาดในโลกเสมือน
- เครื่องจักรอัตโนมัติ (หุ่นยนต์ โดรน ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยตนเอง)
- ระบบเซนเซอร์ และ Internet of Things

6. ปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ทุกคนต้องช่วยกันและบริษัทต้องหันมาใส่ใจความยั่งยืนมากขึ้น เช่น ลดการใช้พลาสติก การรีไซเคิล ลดการใช้รถยนต์ และลดการบินให้น้อยลง
พวกนี้จะเกี่ยวกับเรื่องความยั่งยืนที่คนสมัยใหม่ให้ความสำคัญมาก และจะมีอิทธิพลต่อการทำการตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ

7. หลักการสำคัญของการตลาดยุคใหม่ ได้แก่
- ตั้งเป้าหมายในการตอบสนอง หรือสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
- กลยุทธ์ 4A’s (รับรู้, เข้าถึง, ยอมรับ และความสามารถในการจ่าย)
- กลยุทธ์ 4P's (สินค้า, ราคา, สถานที่ และโปรโมชัน)
- กลยุทธ์ 4C (บริษัท, ลูกค้า, ผู้ร่วมงาน และคู่แข่ง)
- การทำ STP การแบ่งส่วนตลาด, การกำหนดเป้าหมาย และการวางตำแหน่งของตัวเอง
- กลยุทธ์ 5A's (สร้างการรับรู้, ดึงดูดความสนใจ, นำเสนอคำตอบของคำถาม เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจ, การตัดสินใจซื้อ และแนะนำให้เกิดการบอกต่อ)
- กระบวนการทางการตลาดเริ่มจาก:
Market Research -> การทำ STP (Segmenting-Targeting-Positioning)
-> Targeting Marketing -> Value Proposition -> Marketing Plan -> Implementing -> Control

8. คอนเซปต์หรือแนวคิดใหม่ ๆ ที่กำลังเข้าสู่โลกการตลาด ได้แก่
- Atmospherics บรรยากาศ
- Societal Marketing การตลาดที่เอาความต้องการของสังคมเป็นตัวตั้ง
- Demarketing การลดการทำการตลาด คือทำน้อย ๆ แต่มีประสิทธิภาพมาก ๆ
- Regenerative Marketing การตลาดที่ปรับแบรนด์ให้มีคุณค่าต่อสังคม

9. เทรนด์การตลาดในอนาคต
- ผู้ซื้อจะสามารถเลือกแบรนด์ที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องพึ่งโฆษณาหรือพนักงานขาย
- ความสำเร็จทางการตลาดจะขึ้นอยู่กับ การกำหนดราคาที่ฉลาด การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และการมีช่องทางตลาดที่โดดเด่น
- ความครีเอทิฟทางการตลาดสำคัญ ต้องสร้างการตลาดเชิงประสบการณ์ให้ลูกค้ามีส่วนร่วม
- นักการตลาดจะใช้ประโยชน์จาก Customer Journey Mapping, Touchpoint Marketing, Personas, Content และ Influencer Marketing
พูดง่าย ๆ คือ นักการตลาดต้องรู้ลักษณะความต้องการของลูกค้า และต้องรู้จังหวะในการเข้าหาลูกค้า
ซึ่งตัวอินฟลูเอนเซอร์ และคอนเทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์ จะมีส่วนสำคัญในการสื่อสาร
- AI และ Machine Learning จะมีส่วนเป็นอย่างมาก ในการระบุและวิเคราะห์หาคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าที่ดีที่สุด
สุดท้าย คุณฟีลิป คอตเลอร์ กล่าวว่า
“ภายใน 5 ปี ถ้าธุรกิจของคุณยังอยู่ในจุดเดิมที่คุณอยู่ในตอนนี้ คุณอาจจะเจ๊งเลยก็ได้
ถ้าคุณไม่เพิ่มเติมในเรื่องความยั่งยืน เข้าไปในตัวธุรกิจของคุณ คุณจะไปไม่รอดแน่นอน”

[สนใจเรื่อง สรุปแนวคิด สร้างแบรนด์-ธุรกิจ กดติดตาม BrandCase ไว้ได้เลย]

💛หากคุณเป็นคนที่พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ คุณจะเป็นคนที่เก่งกว่าตัวคุณคนเมื่อวานเสมอ💛สวัสดีวันจันทร์ #จันทร์บันดาลใจ  #ยูไลฟ์...
04/03/2024

💛หากคุณเป็นคนที่พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ
คุณจะเป็นคนที่เก่งกว่าตัวคุณคนเมื่อวานเสมอ

💛สวัสดีวันจันทร์

#จันทร์บันดาลใจ #ยูไลฟ์ #ชีวิตที่ใช่

[ Work&Life ] ‘5 พฤติกรรมทำทีมแตก’ เผยจุดบอดอันตรายที่อาจทำให้การทำงานเป็นทีมพังโดยไม่ทันตั้งตัว“มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (H...
28/02/2024

[ Work&Life ] ‘5 พฤติกรรมทำทีมแตก’ เผยจุดบอดอันตรายที่อาจทำให้การทำงานเป็นทีมพังโดยไม่ทันตั้งตัว
“มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Human being is social animal)” อริสโตเติล (Aristotle) นักวิทยาศาสตร์และนักปราชญ์กรีกโบราณได้กล่าวเอาไว้ เราดำรงชีวิตร่วมอยู่กับผู้อื่นในการทำกิจกรรมต่างๆ อยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่การทำงาน ดังนั้นการทำงานเป็นทีมเป็นจึงเป็นสิ่งที่หลายๆ คนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
แน่นอนว่าการทำงานเป็นทีมมีข้อดีจำนวนไม่น้อย อย่างการมีคนช่วยคิดหรือให้คำปรึกษาในเรื่องยากๆ บางครั้งก็อาจทำให้งานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งประสิทธิภาพของชิ้นงานก็จะมีคุณภาพเพราะทุกคนร่วมด้วยช่วยกัน
แต่ก็ใช่ว่าการทำงานเป็นทีมจะราบรื่นเสมอไป เคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่า ว่าทำไมบางทีทีมของเรามักมีข้อผิดพลาดอยู่บ่อยๆ คนในทีมก็ดูไม่ค่อยเข้าท่า งานที่ออกมาก็ไปคนละทาง คุณภาพก็ไม่เห็นปังเหมือนทีมอื่น
บอกได้เลยว่านี่เป็นสัญญาณเตือนของความวินาศสันตะโรที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า หากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้รับการแก้ไขให้ทันท่วงที โดยเหตุการณ์ทั้งหมดมาจากสิ่งที่หลายๆ คนคิดไม่ถึง นั่นก็คือมาจาก ‘พฤติกรรม’ ของคนในทีมนั่นเอง
พฤติกรรมเล็กๆ ที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันระวังนั้นอาจนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่จนสายเกินแก้อย่าง ‘ทีมแตก’ ได้ ซึ่งการที่ทีมแตกคงไม่ใช่สิ่งที่ใครต่อใครปรารถนา มีแต่อยากหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น แต่การที่จะหลีกเลี่ยงได้ เราจำเป็นที่จะต้องรู้ก่อนว่าพฤติกรรมเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ดังนั้น Future Trends จะมาอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ ว่าพฤติกรรมไหนบ้างที่เสี่ยงทำให้ ‘ทีมแตก’ ได้
1. การขาดความไว้วางใจ (Absent of Trust)
สิ่งสำคัญอย่างแรกที่ทีมควรมีให้กันคือความไว้วางใจในการ ‘กล้า’ ที่จะเปิดเผยจุดอ่อนของตนต่อเพื่อนร่วมทีม โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกนินทาหรือด้อยความสามารถ หากทีมของเราขาดซึ่งความไว้วางใจให้แก่กันแล้วล่ะก็ เตรียมพบกับรอยร้าวเล็กๆ ของคำว่า ‘ทีม’ ได้เลย
2. การกลัวความขัดแย้ง (Fear of Conflict)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าคงไม่มีใครอยากเจอกับความขัดแย้ง แต่ถ้ากลัวจนไม่ต้องการที่จะเผชิญกับมันก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อย แม้ความขัดแย้งจะดูน่ากลัว แต่ในบางครั้งมันก็มีประโยชน์ในเชิงของการค้นพบไอเดียหรือแนวคิดใหม่ๆ รวมไปถึงการแสดงความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เข้าทีของคนในทีมได้
3. การไม่ผูกมัดตัวเอง (Lack of Commitment)
ตีความง่ายๆ คือการที่สมาชิกไม่ ‘อิน’ กับงานที่ตนเองกำลังทำร่วมกันกับทีม ไม่ทุ่มเทกับงาน ไม่ใส่ใจหรือสนใจที่จะยอมรับความเห็น รวมไปถึงไม่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของทีม เรียกได้ว่าไม่ว่าทีมจะตัดสินใจอะไร สมาชิกก็จะเออออไปทั้งที่ในใจอาจไม่เห็นด้วย
4. การหลีกเลี่ยงการมีความรับผิดชอบ (Avoidance of Accountability)
เมื่อเกิดความรู้สึกไม่ ‘อิน’ ไปกับงาน สมาชิกในทีมก็จะละเลยหน้าที่ของตน รวมไปถึงละเลยเพื่อนสมาชิกด้วยกันเอง เช่น ไม่กล่าวตักเตือนเมื่อเกิดเพื่อนร่วมทีมทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม เพราะคิดว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเรา และใช่ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามันเป็นผลพวงมาจากการไม่ผูกมัดตัวเอง
5. ไม่ให้ความใส่ใจกับผลลัพธ์เป้าหมายของทีม (Inattention to Results)
พฤติกรรมสุดท้ายที่อันตรายที่สุด เกิดจากพฤติกรรมเล็กๆ 4 ข้อก่อนหน้ามารวมกัน ได้แก่ การขาดความไว้วางใจ การกลัวความขัดแย้ง ขาดไม่ผูกมัดตัวเอง และการหลีกเลี่ยงการมีหน้าที่ ความรับผิดชอบ ซึ่งผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมาคือสมาชิกแต่ละคนต่างสนใจแค่ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น
5 พฤติกรรมที่มีผลต่อการทำงานเป็นทีม ไม่ว่าจะเป็น การขาดความไว้วางใจ การกลัวความขัดแย้ง ขาดไม่ผูกมัดตัวเอง และการหลีกเลี่ยงการมีหน้าที่ ความรับผิดชอบ และ ไม่ให้ความใส่ใจกับผลลัพธ์เป้าหมายของทีม หากมีสักพฤติกรรมเกิดขึ้นกับใครสักคนในทีม พฤติกรรมอื่นๆ ก็จะตามมาตามลำดับ และแน่นอนว่าทุกคนก็คงจะเห็นภาพของความวินาศสันตะโรได้รางๆ แล้วใช่มั้ยล่ะ
ดังนั้น เราจึงควรสำรวจตัวเองและเพื่อนในทีมบ่อย ๆ ว่ามีใครเผลอทำพฤติกรรมข้างต้นไปบ้างหรือเปล่า เพื่อจะได้รู้เท่าทันพฤติกรรมและสามารถปลดระเบิดได้ทันนั่นเอง
เขียนโดย : ชนัญชิดา พลอยพลาย

[Leadership] ‘ผู้นำต้องรักษาคำพูดให้ดี’ เพราะความเชื่อใจคือรากฐานของผู้นำ เมื่อสิ้นความเชื่อใจ ก็ไร้ความเป็นผู้นำ“คนที่ไ...
28/02/2024

[Leadership] ‘ผู้นำต้องรักษาคำพูดให้ดี’ เพราะความเชื่อใจคือรากฐานของผู้นำ เมื่อสิ้นความเชื่อใจ ก็ไร้ความเป็นผู้นำ
“คนที่ไม่รักษาคำพูด เมื่อวานพูดอีกอย่างวันนี้พูดอีกอย่าง หรือไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนเองได้พูดไป”
สิ่งเหล่านี้ล้วนทำลายความเชื่อใจที่มีต่อคนรอบข้าง หากคนเหล่านั้นเป็นผู้นำด้วยแล้ว ย่อมเป็นการทำให้สูญเสียความเชื่อใจต่อเหล่าผู้ตาม
[ ความเชื่อใจเป็นรากฐานความเป็นผู้นำ ]
“ความเชื่อใจคือรากฐานของความเป็นผู้นำ หากผู้นำทำลายความเชื่อใจของผู้อื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็จะไม่สามารถรักษาอิทธิพลที่มีต่อคนเหล่านั้นเอาไว้ได้” อีกนัยหนึ่งคือ “ผู้นำจะไม่สามารถรักษาอิทธิพลต่อผู้อื่นได้อีก หากสูญเสียความเชื่อใจ ความเชื่อใจคือรากฐานของความเป็นผู้นำ”
ประโยคดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งจากแนวคิดเรื่อง ‘กฎแห่งรากฐานอันมั่นคง’ (The Law of Solid Ground) จากหนังสือ ‘กฎ 21 ข้อที่ไม่มีผู้นำคนไหนปฏิเสธได้’ (The 21 Irrefutable Laws of Leadership) ของ จอห์น ซี แม็กซ์เวลล์ (John C. Maxwell) ผู้เชี่ยวชาญ นักพูด และผู้ก่อตั้งองค์กรด้านผู้นำ
ใจความของแนวคิดดังกล่าวคือ ‘ความเชื่อใจ’ เป็นเหมือนคะแนนในตัวผู้นำ ในการตัดสินใจที่ผิดพลาดทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงานที่ผิดพลาด การไม่รักษาคำพูด การโกหก การไม่รักษาน้ำใจ การเชื่อใจคนผิด หรือการกระทำที่ผิดต่อหลักการ (หรือผิดกฎหมาย) หรือการทำไม่ตรงกับคำพูด ไม่ว่าความผิดพลาดใดๆ ก็แล้วแต่ล้วนส่งผลให้คะแนนความเชื่อใจลดลง
หากคะแนนความเชื่อใจลดต่ำลงกระทั่งหมดไป ผู้นำก็จะหมดความเชื่อใจจากเหล่าผู้ตาม และทำให้สูญเสียอิทธิพลที่มีด้วยเช่นกัน ซึ่งมาตรวัดที่แท้จริงของความเป็นผู้นำคือ ‘อิทธิพล’ (จากแนวคิดเรื่อง กฎแห่งอิทธิพล 1 ใน 21 ข้อจากหนังสือฯ) ดังนั้น ‘ความผิดพลาด’ ในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงหมายถึงการทำลายคุณค่าความเป็นผู้นำให้ลงไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้นำสามารถสร้างความเชื่อมั่นหรือความสำเร็จในรูปแบบต่างๆ ก็เป็นการเพิ่มคะแนนความเชื่อใจให้สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
[ ผู้นำต้องรักษาคำพูด ]
ดังที่กล่าวไป การไม่รักษาคำพูดหรือเมื่อวานพูดอย่างวันนี้พูดอีกอย่าง เป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นความผิดพลาดรูปแบบหนึ่งที่จะส่งผลให้สูญเสียคุณค่าความเป็นผู้นำให้ลดลง
ดังนั้น ผู้นำที่ดีจะต้องกลับมาสร้างความเชื่อใจที่สูญเสียไปให้กลับมา โดยการไม่ทำผิดพลาดซ้ำๆ และใส่ใจต่อคำพูดและการกระทำของตนเองให้ดี และที่สำคัญผู้นำจะต้องยึดถือและรักษา ‘หลักการ’ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย (แนวคิดจากหนังสือ ‘ผู้นำที่แท้จริง : ค้นพบเคล็ดลับในการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน’ (Authentic Leadership: Rediscovering the Secrets to Creating Lasting Value)
เขียนโดย ภูธิชย์ อรัญพูล

Source: หนังสือ ‘กฎ 21 ข้อที่ไม่มีผู้นำคนไหนปฏิเสธได้’ (The 21 Irrefutable Laws of Leadership) เขียนโดย John C. Maxwell แปลโดย วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา สำนักพิมพ์วีเลิร์น

[Leadership] ‘เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันได้’ ด้วย 7 กลยุทธ์รวมพลัง Co-Leaders ขจัดปัญหาเมื่อองค์กรมีผู้นำมากกว่าหนึ่งโดยส...
28/02/2024

[Leadership] ‘เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันได้’ ด้วย 7 กลยุทธ์รวมพลัง Co-Leaders ขจัดปัญหาเมื่อองค์กรมีผู้นำมากกว่าหนึ่ง
โดยส่วนใหญ่ในองค์กรธุรกิจจะมีตำแหน่งบริหารสูงสุดเพียงแค่คนเดียวคือ ประธานกรรมการบริหารหรือซีอีโอ แต่มีบางองค์กรที่มีผู้บริหารสูงสุดมากกว่า 1 คน ในบางกรณีสำหรับการดำเนินธุรกิจจึงไม่อาจตัดสินใจได้ทันที จำเป็นต้องปรึกษาและตัดสินใจร่วมกันระหว่างผู้นำทั้งสองคน (หรือมากกว่านั้น)
การมีผู้นำร่วม (Co-Leaders) มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน เช่น ความรู้และความสามารถของผู้นำร่วมจะเติมเต็มซึ่งกันและกัน แต่ก็อาจเกิดการแข่งขันและการเมืองภายในองค์กร เป็นต้น แล้วจะทำอย่างไรให้การเป็นผู้นำร่วมในองค์กรมีแต่สิ่งที่เป็นด้านบวก
เดวิด แลนซ์ฟิลด์ (David Lancefield) นักยุทธศาสตร์และที่ปรึกษาด้านพัฒนาผู้นำ ได้แนะนำไว้บนเว็บไซต์ Harvard Business Review ว่า งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า ซีอีโอร่วม (Co-CEOs) มีประสิทธิภาพด้านผลประกอบการที่ดีกว่าดัชนี้ตลาดหุ้น เพระเป็นการผสมผสานทักษะ มุมมอง แรงบันดาลใจ และพลังที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการรับมือสถานการณ์ที่ซับซ้อน ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาในการทำงานได้เช่นกัน ต่อไปนี้คือ 7 กลยุทธ์ ที่จะช่วยให้การมีผู้นำร่วมไปสู่ความสำเร็จ
[ 7 กลยุทธ์ รวมพลัง Co-Leaders ไปสู่ความสำเร็จ ]
🤝 1. แบ่งปันเรื่องราวซึ่งกันและกัน : การแบ่งปันประสบการ มุมมอง และค่านิยมที่ยึดถือ แลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำร่วม จะช่วยสร้างการรู้จักกัน เข้าใจกัน นำไปสู่การไว้วางใจ รวมถึงมองเห็นจุดแข็ง จุดอ่อน และวิสัยทัศน์ของกันและกัน
การแบ่งเป็นเรื่องราวส่วนตัว เป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้ามาสำรวจชีวิต เรื่องราว และจิตใจของเรา จะสามารถเชื่อมโยงผู้คนผ่านเรื่องเล่านี้ได้มากขึ้น
🤝 2. ขอคำแนะนำระหว่างกัน : ผู้นำร่วมต้องแสดงความถ่อมตน เปิดรับคำแนะนำและความรู้จากผู้นำร่วม โดยขอคำแนะนำเพื่อเรียนรู้จากมุมมอง ประสบการณ์ และทักษะของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นการแสดงความมุ่งมั่นที่จะเปิดใจและพัฒนาตนเองไปพร้อมกัน
การขอคำแนะนำจะช่วยให้การตัดสินใจมีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพราะได้ทบทวนทั้งมุมมองตนเองและคนอื่น วิเคราะห์อย่างรอบครอบ และเปรียบเทียบหรือผสานมุมมองที่มีอยู่หลากหลายเข้าด้วยกัน
🤝 3. พัฒนาเป้าหมายร่วมกัน : ผู้นำร่วมต้องมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่สอดคล้องกัน โดยมุ่งเน้นไปที่องค์กร เมื่อมีเป้าหมายเดียวกัน จะทำให้มองไปยังจุดเดียวกัน และเดินไปในเส้นทางที่สอดคล้องกันได้ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนและกำหนดร่วมกัน
🤝 4. กำหนดขอบเขตความรับผิดชอบ : ผู้นำร่วมต้องพูดคุยเพื่อทำการตกลงเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของแต่ละคน เพื่อป้องกันความสับสนและขัดแย้งกัน สิ่งไหนอยู่ในอำนาจใคร สิ่งไหนต้องตัดสินใจร่วมกัน เป็นต้น
เมื่อมีการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนจะมีแนวโน้มที่การทำงานจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ช่วยให้แต่ละคนเข้าใจอำนาจของตนและโฟกัสสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบได้ง่ายขึ้น
🤝 5. กำหนดกระบวนการแก้ปัญหา : ผู้นำร่วมต้องมีวิธีการสื่อสารและการตัดสินใจในการแก้ปัญหาอย่างชัดเจนและสร้างสรรค์ โดยกำหนดหรือออกแบบกระบวนการแก้ปัญหาร่วมกันโดยเน้นไปที่ประสิทธิภาพและการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น
การมีกระบวนการแก้ปัญหาที่ชัดเป็นระบบจะช่วยให้ผู้นำร่วมสามารถปรับตัว เรียนรู้ และเติบโตจากความผิดพลาดไปพร้อมกัน
🤝 6. สนับสนุนกันและกัน : ผู้นำร่วมต้องให้กำลังใจและสนับสนุนอีกฝ่าย เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกที่แน่นแฟ้น ส่งผลให้การทำงานมีความสุขและสร้างแรงจูงใจที่ดี
องค์กรที่มีวัฒนธรรมให้กำลังใจซึ่งกันและกันจะมีแนวโน้มที่จะทำให้พนักงานมีความสุขและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เนื่องจากมีแรงจูงใจที่ดี
🤝 7. เรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง : ผู้นำร่วมต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ ทั้งความสำเร็จและความผิดพลาด รวมถึงข้อเสนอแนะอื่นๆ เพื่อพัฒนาทักษะ ความสามารถ ความรู้ และความคิดอยู่เสมอ
ผู้นำที่เรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จได้มากกว่า ซึ่งเรื่องดังกล่าวสามารถเรียนรู้โดยแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันระหว่างผู้นำร่วมได้เช่นกัน เพื่อเสริมจุดแข็ง อุดจุดอ่อน และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันไปในตัว
[ ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้นำสูงสุด ]
ทั้ง 7 กลยุทธ์ดังกล่าว ไม่ใช่แค่ข้อแนะนำที่ใช้ได้เฉพาะคนในระดับผู้นำสูงสุดเท่านั้น ผู้นำในระดับต่างๆ ที่มีการทำงานร่วมกันหรือเกี่ยวข้องกัน เช่น ผู้จัดการฝ่าย หัวหน้าแผนก ผู้บริหารระดับ C-Level ด้านอื่นๆ เป็นต้น ก็สามารถนำมาปรับใช้ได้ด้วยเช่นกัน
ในการทำงานจริง หลายครั้งมักต้องการการตัดสินใจร่วมกันของกลุ่มคนระดับเดียวกัน เช่น ประชุมระดับผู้จัดการฝ่ายต่างๆ เป็นต้น แต่ละคนอาจมีมุมมองที่ต่างกัน โดยเฉพาะคนที่อยู่คนละสายงานมักจะมองในมุมของสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญหรือเข้าใจเป็นหลัก สิ่งเดียวกันที่อยู่ตรงหน้าอาจถูกมองคนละแบบ เช่น โครงการสร้างตึกแห่งหนึ่ง หัวหน้าฝ่ายวิศวกรมองแบบวิศวกร หัวหน้าฝ่ายสถาปนิกมองแบบสถาปนิก หัวหน้าฝ่ายนักการตลาดมองแบบนักการตลาด เป็นต้น ความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย กลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้การทำงานในฐานะผู้นำร่วมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
เมื่อผู้นำร่วมในระดับเดียวกันไม่ว่าจะระดับทีมเล็กไปจนถึงองค์กรสูงสุด การบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จจะสามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้น สำคัญคือการเข้าใจและส่งเสริมซึ่งกันและกัน
เขียนโดย ภูธิชย์ อรัญพูล

เก่งคนเดียวสำเร็จช้า  ใช้ฟรีแลนซ์ “ช่วยกระจายงาน” สำเร็จเร็วชีวิตนี้มีจำกัด เกินกว่าที่จะทำเองทั้งหมดคนทำเงินหนึ่งหมื่นบ...
28/02/2024

เก่งคนเดียวสำเร็จช้า
ใช้ฟรีแลนซ์ “ช่วยกระจายงาน” สำเร็จเร็ว
ชีวิตนี้มีจำกัด เกินกว่าที่จะทำเองทั้งหมด
คนทำเงินหนึ่งหมื่นบาท
กับคนทำเงินหนึ่งล้านบาท
ต่างกันตรงไหน?
คนทำเงินหนึ่งหมื่นบาท จะรู้ว่าตัวเองควรรู้อะไร
และควรทำอะไร
แต่พอไต่ระดับขึ้นเป็น คนทำเงินระดับหลักแสน
จนถึง ล้านบาทแล้ว สิ่งที่คนเหล่านี้มีเหมือนกัน
คือ จะรู้ว่าตัวเองควรรู้อะไร และจะกระจายงานยังไงต่อยังไง
ในทุก ๆ วันคือการโฟกัส เลือกตัดเรื่องที่ไม่ควรรู้ทิ้งไป
เจ้าของธุรกิจที่ยิ่งใหญ่แบบ เฮนรี่ ฟอร์ด
ผู้ก่อตั้งรถยนต์จนปฎิบัติวงการอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่
ได้ถูกท้าทายด้วยเรื่องแบบนี้เหมือนกัน
ด้วยความที่บริษัทฟอร์ด ตอนนั้น มีพวกหัวกระทิ
คนเก่งๆ คนฉลาดในบริษัทประณามต่อว่าฟอร์ด ไม่เอาใจใส่ในธุรกิจ
พวกเขาหาว่าฟอร์ดไม่รู้เรื่องอะไรในธุรกิจที่ทำ
เพราะ ด้วยความที่ว่า ฟอร์ด มาจากครอบครัวที่แตกต่าง
ไม่ได้จบการศึกษาสูง ต้นทุนต่ำ แต่ก็มาเป็นคนตัดสินใจหลัก
เรื่องราวลามไปใหญ่โต จนสื่อสำนักข่าวเอามาเล่นเป็นกระแส
พอโดนแบบนี้ คุณฟอร์ดจึงคิดวิธีรับมือ
โดย เชิญพวกเขาไปที่ออฟฟิศ แล้วท้าให้ถามอะไรเขาก็ได้
เขายินดีจะตอบทุกอย่าง พอคนเหล่านั้นมา ก็ไล่ถามคำถาม
มีตั้งแต่เรื่องทั่ว ๆ ไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับรถยนต์
ไปจนถึงเรื่องเกี่ยวกับ บริษัทฟอร์ดที่สำคัญ ๆ
เมื่อไรที่คุณ ฟอร์ดได้ยินคำถามทั่วไปที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ ก็จะยกสายหา
ทั้งผู้ช่วยและพนักงาน คนที่ตอบได้ ให้มาตอบแทน
ฟอร์ดบอกว่า แค่ยกหูครั้งเดียว
ผมก็ได้ทุกคำตอบทั่วไป ที่คุณต้องการแล้ว

แต่พอมีคำถามเรื่องสำคัญ ที่เกี่ยวกับบริษัท
ฟอร์ดก็ตอบได้ทั้งหมด
“ผมจะเอาเวลาไปโฟกัสเรื่องสำคัญ ที่ควรรู้เท่านั้น”
ทักษะนี้เป็นสิ่งจำเป็นมากในการทำธุรกิจ
ทุกวันนี้เครื่องมือและความรู้มีเยอะมาก
คนที่เลือกเก่ง และกระจายงานเร็วเท่านั้น ถึงจะสามารถไต่ระดับ
การทำเงินในระดับสูง ๆ ได้
จากการสำรวจของ Octopus Group พบว่า 87% ของผู้ประกอบการที่ไม่ได้
ทำธุรกิจเพียงคนเดียว มีโอกาสประสบความสำเร็จ
มากกว่า นอกจากนี้ McKinsey & Company ยังพบว่า
เทคนิคการกระจายงานที่ดี ช่วยให้ผู้นำมีเวลา
โฟกัสกับงานสำคัญได้มากกว่าเดิม
แม้คุณไม่มีคอนเนกชั่นเลย
สิ่งที่เป็นไปได้สูงสุด จึงเป็นแหล่งรวม
คนตอบคำถามให้คุณได้ทุกอย่าง
ทุกเรื่องในธุรกิจ นั้นคือ “ฟรีแลนซ์”
แหล่งรวบรวมคนทำฟรีแลนซ์
มีให้บริการกว่า 100 หมวดหมู่ ฟรีแลนซ์มากกว่า 70,000 คน
ครอบคลุมหลายตำแหน่ง
และยืดหยุ่นสูง คุณแค่จ่ายเพียงแค่ผลงานชิ้นนั้น ๆ
ไม่ต้องวุ่นวายเอกสารจ้าง พร้อมเริ่มทำงานได้ทั้งที
ทำธุรกิจติดปัญหาเรื่องยอดขาย
ฟาสต์เวิร์ค มีนักการตลาด
ที่เป็นฟรีแลนซ์หลายระดับทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ติดปัญหาเรื่องการทำภาพ วีดีโอ
ฟาสต์เวิร์ค มีคนให้เลือกได้ทุกสเกลตามระดับของงาน
หรือ ติดปัญหาเรื่องภาษีบัญชี
ฟาสต์เวิร์ค มีนักบัญชีที่ได้ใบรับรอง
ให้เลือกได้ตามลักษณะธุรกิจ
การทำธุรกิจให้ได้เข้าถึงหลักล้านได้
ต้องเป็นคนที่จะรู้ว่าตัวเองควรรู้อะไร
และจะกระจายงานต่อไป
ตำแหน่ง “ฟรีแลนซ์” คือตำแหน่งที่คุณควรมีในทุกจังหวะของการทำธุรกิจ
fastwork #แอปเดียวครบจบชัวร์เรื่องฟรีแลนซ์
ฟรีแลนซ์คุณภาพ และผู้เชี่ยวชาญที่หลากหลายในระบบคอยให้บริการ เพื่อให้มีคนช่วยในทุกสเกลการเติบโต
สมัครใช้งานครั้งแรก พร้อมเก็บโค้ดส่วนลด 10% ลดสูงสุด 10,000 บาท ได้ที่ https://bit.ly/fw_100wealth
#จ้างฟรีแลนซ์ต้องfastwork

ที่อยู่

Amphoe Pathum Thani
12000

เบอร์โทรศัพท์

+66942244956

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Wellbuss เวลบิสผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Wellbuss เวลบิส:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

ตำแหน่งใกล้เคียง บริษัท สื่อ


ครีเอเตอร์ดิจิทัล อื่นๆใน Amphoe Pathum Thani

แสดงผลทั้งหมด

คุณอาจจะชอบ