01/11/2024
คำรักทั้งหลายฯ ในไทม์ไลน์สงครามโลกครั้งที่ 1
นวนิยาย IN MEMORIAM คำรักทั้งหลายยังไม่จางหายจากความทรงจำ มีฉากหลังเป็นสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นฉากหลักกว่า 80% ของเนื้อเรื่อง ผ่านสายตาของ กอนต์ และ เอลล์วูด สองตัวละครเอกวัยรุ่นที่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับสมรภูมิสำคัญในประวัติศาสตร์โศกนาฏกรรม
“สักแห่งในเบลเยียม, ถึงเอลล์วูด
จดหมายของนายทำให้ฉันหัวเราะได้ ขอบคุณมาก มันคล้ายกับมีนายอยู่ที่นี่ด้วย ฉันพับจดหมายฉบับนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านใน ตรงที่คนเก็บไบเบิลอันน่าอัศจรรย์”
— บางส่วนจากจดหมายของกอนต์ส่งถึงเอลล์วูด
สงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914-1918) เป็นมหาสงครามที่สั่นคลอนโลก คร่าชีวิตผู้คนไปหลายสิบล้านคน มหาสงครามครั้งนี้มีต้นตอจากความขัดแย้ง ความทะเยอทะยาน และความหวาดระแวงที่ก่อตัวขึ้นในยุโรป
1) ยุโรปก่อนสงครามและเชื้อไฟแห่งการสู้รบ
ยุโรปในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เปรียบเสมือนหม้อน้ำเดือดที่พร้อมจะปะทุ มหาอำนาจอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และรัสเซีย ต่างแข่งขันกันสะสมอาวุธ ราวกับกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ การแย่งชิงอาณานิคมเพื่อขยายอิทธิพล ยิ่งเป็นการโหมกระพือเปลวไฟแห่งความขัดแย้งให้ร้อนระอุ
ลัทธิชาตินิยม คือเชื้อเพลิงชั้นดีที่เติมเต็มความบาดหมางระหว่างชนชาติต่างๆ ความภาคภูมิใจในชาติตนเอง กลับนำไปสู่การแบ่งแยก การดูถูกเหยียดหยาม และความเกลียดชัง ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งระหว่างเยอรมนีกับฝรั่งเศส เรื่องแคว้นอัลซาส-ลอเรน ที่เป็นชนวนสำคัญของสงคราม
เพื่อรักษาสมดุลแห่งอำนาจ ประเทศต่างๆ จึงสร้าง "พันธมิตร" ทางทหาร เสมือนใยแมงมุมที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน หากเกิดความขัดแย้งขึ้นแม้เพียงจุดเดียว ก็อาจลุกลามกลายเป็นไฟไหม้ป่า
วิกฤตการณ์โมร็อกโก (1905-1906) และวิกฤตการณ์บอสเนีย (1908-1909) คือสัญญาณเตือนภัย ที่แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของสันติภาพ และความตึงเครียดที่พร้อมจะระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
2) ชนวนสงครามและกระสุนเปลี่ยนโลก
เสียงปืนดังก้อง เมื่ออาร์ชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทแห่งออสเตรีย-ฮังการี ถูกลอบปลงพระชนม์ ณ เมืองซาราเยโว โดยกัฟรีโล ปรินซีป นักชาตินิยมชาวเซอร์เบีย ในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 เหตุการณ์นี้จุดชนวนสงครามที่ไม่มีใครคาดคิด
ออสเตรีย-ฮังการี ใช้โอกาสนี้ในการจัดการกับศัตรู โดยยื่นคำขาดอันแข็งกร้าวต่อเซอร์เบีย แม้เซอร์เบียจะยอมรับเงื่อนไขเกือบทั้งหมด แต่ออสเตรีย-ฮังการีก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะเปิดฉากสงคราม
ระบบ "พันธมิตร" ที่สร้างขึ้นเพื่อรักษาสันติภาพ กลับกลายเป็นเครื่องมือที่ฉุดรั้งประเทศต่างๆ เข้าสู่วังวนแห่งความรุนแรง เยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซียและฝรั่งเศส อังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมนี และในเวลาไม่นาน ยุโรปก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของมหาสงคราม
3) สงครามโลกครั้งที่ 1 และยุคสมัยแห่งความโหดร้าย
เยอรมนี ภายใต้แผนชลีเฟิน (Schlieffen Plan) หวังจะพิชิตฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับรัสเซีย แต่แผนการนี้ต้องสะดุดลง เมื่อกองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษ สามารถต้านทานการรุกของเยอรมนีไว้ได้ในการรบที่แม่น้ำมาร์น ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1914
สงครามในแนวรบด้านตะวันตก กลายเป็นสงครามสนามเพลาะ ที่ยืดเยื้อและนองเลือดอย่างที่สุด ทหารทั้งสองฝ่าย ต่างขุดสนามเพลาะยาวเหยียด ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลเหนือไปจนถึงชายแดนสวิตเซอร์แลนด์ กลายเป็นสมรภูมิที่เต็มไปด้วยความตาย
ปืนกล แก๊สพิษ และรถถัง ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก เพื่อห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด การรบที่แวร์เดิง และการรบที่ซอมม์ ซึ่งกินเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงพฤศจิกายน ค.ศ. 1916 เป็นการยืนยันถึงความโหดร้าย และความสูญเสียอันใหญ่หลวง โดยเฉพาะการรบที่ซอมม์ ที่มีผู้เสียชีวิตกว่าหนึ่งล้านคน
ในแนวรบด้านตะวันออก เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี ต้องเผชิญหน้ากับรัสเซีย การรบในแนวรบนี้ แม้จะไม่ได้ยืดเยื้อเท่าแนวรบด้านตะวันตก แต่ก็เต็มไปด้วยความสูญเสีย จนนำไปสู่การปฏิวัติภายในรัสเซีย ปี ค.ศ. 1917
การเข้าร่วมสงครามของสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1917 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรมีกำลังพลและทรัพยากรเหนือกว่า ในที่สุด เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน ก็พ่ายแพ้ สงครามสิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญาหยุดยิง ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918
4) กำลังพลแห่งจักรวรรดิอังกฤษ
กองทัพอังกฤษ ในช่วงเริ่มต้นสงคราม มีขนาดเล็ก ประกอบด้วยทหารอาชีพเป็นหลัก แต่เมื่อสงครามยืดเยื้อ รัฐบาลอังกฤษ จึงประกาศใช้พระราชบัญญัติการรับราชการทหาร ค.ศ. 1916 เกณฑ์ผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 18-41 ปี เข้ารับราชการทหาร
ทหารจากทั่วจักรวรรดิอังกฤษ รวมถึงอาณานิคมต่างๆ เช่น อินเดีย แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแอฟริกาใต้ ต่างหลั่งไหลมาร่วมรบ เคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารอังกฤษ โดยมีบทบาทสำคัญในการรบหลายครั้ง เช่น ทหารอินเดีย ที่ร่วมรบในแนวรบด้านตะวันตก ทหารออสเตรเลีย ที่ร่วมรบในสมรภูมิกัลลิโพลี (Gallipoli) และทหารแคนาดา ที่ร่วมรบในสมรภูมิสันเขาวิมี (Vimy Ridge)
กองทัพเรืออังกฤษ ซึ่งเป็นกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีบทบาทสำคัญในการควบคุมเส้นทางเดินเรือ และปิดล้อมเยอรมนี ยุทธนาวีจัตแลนด์ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1916 เป็นการปะทะกันครั้งใหญ่ ระหว่างกองทัพเรืออังกฤษและเยอรมัน แม้จะไม่มีฝ่ายใดได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด แต่กองทัพเรืออังกฤษก็สามารถรักษาอำนาจการควบคุมทะเลไว้ได้
กองทัพอากาศอังกฤษ แม้จะเป็นกองทัพที่เพิ่งก่อตั้ง แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการลาดตระเวน โจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน และต่อสู้กับเครื่องบินของฝ่ายศัตรู
5) ผลพวงแห่งสงครามและโลกที่ไม่เหมือนเดิม
สงครามโลกครั้งที่ 1 ทิ้งบาดแผลลึกไว้บนโลกใบนี้ ชีวิตมนุษย์หลายสิบล้านคนต้องสูญสิ้น เศรษฐกิจโลกตกอยู่ในภาวะวิกฤต
สนธิสัญญาแวร์ซาย ที่ลงนามหลังสงคราม เพื่อยุติความขัดแย้ง กลับกลายเป็นเชื้อไฟ ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในอีกไม่กี่ปีต่อมา เนื่องจากเงื่อนไขในสนธิสัญญา สร้างความไม่พอใจให้กับเยอรมนี เป็นอย่างมาก
สงครามโลกครั้งนั้นทำให้แผนที่โลกถูกวาดใหม่ และอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ติดตามเรื่องราวของ กอนต์ และ เอลล์วูด ต่อได้ในนวนิยาย IN MEMORIAM คำรักทั้งหลายยังไม่จางหายจากความทรงจำ
(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในช่องคอมเมนต์)
#สำนักพิมพ์มาร์ชแมลโลว์ #นวนิยายรัก #ความรักต้องห้าม #สงครามโลกครั้งที่1 #กอนต์และเอลล์วูด #ชีวิตนักเรียนอังกฤษ #โรแมนติก #หนังสือยอดเยี่ยมแห่งปี #นวนิยายแปล #สมรสเท่าเทียม