NowZ News

NowZ News NowZ สำนักข่าวเพื่อคน Gen Z

ภาพจำของเทือกเขาเอเวอเรสต์ นอกจากจะเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกแล้ว ปัจจุบันเทือกเขาแห่งนี้กลับถูกขนานนามว่าเป็น “บ่อขยะท...
18/05/2024

ภาพจำของเทือกเขาเอเวอเรสต์ นอกจากจะเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกแล้ว ปัจจุบันเทือกเขาแห่งนี้กลับถูกขนานนามว่าเป็น “บ่อขยะที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ไปเสียแล้ว

ยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบความท้าทายผจญภัย อย่างไรก็ตาม จำนวนนักปืนเขาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้พื้นที่ตั้งแคมป์กำลังเผชิญกับปัญหาขยะสะสมจำนวนมาก เศษอาหาร กระป๋อง กล่องพัสดุ อุปกรณ์ปีนเขา และมูลของเสียจากมนุษย์ ต่างสร้างความตกตะลึงให้กับนักสิ่งแวดล้อม

ทุกปีจะมีนักปีนเขาพยายามพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์กว่า 600 คน ซึ่งนักปีนเขาแต่ละคนใช้เวลาอยู่บนเขานานหลายสัปดาห์ ในระหว่างนั้น พวกเขาก็ได้สร้างขยะจำนวนมากระหว่างทาง กลายเป็นเรื่องน่ากังวลใจ เมื่อเห็นแนวโน้มนักปีนเขาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี สาเหตุเพราะปริมาณขยะทั้งหมดบนภูเขาเอเวอเรสต์นั้นมหาศาล ซึ่งส่วนใหญ่จะยังคงอยู่ภายในอุทยานฯ จนกระจายออกมาจากธารน้ำแข็ง อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้หิมะและน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นขยะที่ถูกทิ้งไว้ใต้ชั้นน้ำแข็งมานานหลายทศวรรษ

ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2023 มีปริมาณขยะที่ถูกเก็บบนยอดเขามากถึง 75 ตัน ซึ่งเท่ากับน้ำหนักของฮิปโป 50 ตัวรวมกัน แต่หากคำนวณแบบรายปี จะพบว่า มีการสร้างขยะปีละประมาณ 1,000 ตัน เลยทีเดียว ขยะเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพร้ายแรงต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำของเทือกเขาเอเวอเรสต์

อย่างไรก็ตามทางรัฐบาลและองค์กรภายนอกพยายามแก้ไขปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2019 รัฐบาลเนปาลได้ริเริ่มโครงการเก็บกวาดขยะบนภูเขาเอเวอเรสต์กว่า 10,000 กิโลกรัม (22,000 ปอนด์) นอกจากนี้ยังมีโครงการเก็บเงินมัดจำก่อนปีนเขาตั้งแต่ปี 2014 โดยนักท่องเที่ยวที่ต้องการปีนเขาเอเวอเรสต์จะต้องวางเงินประกัน 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 150,000 บาทไทย ซึ่งจะได้รับเงินคืนเมื่อนักปีนเขาสามารถนำขยะลงมาได้ 8 กิโลกรัม (18 ปอนด์) ซึ่งเป็นปริมาณขยะเฉลี่ยที่นักปีนเขา 1 คน สร้างขึ้นระหว่างการปีนเขา มากไปกว่านั้น ยังมีการริเริ่มโครงการก๊าซชีวภาพจากยอดเขาเอเวอเรสต์ (The Mount Everest Biogas Project) โดยมีแนวคิดการแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาว เริ่มจากการสร้างระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่จะเปลี่ยนมูลของเสียของมนุษย์ให้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับชุมชนท้องถิ่น เว็บไซต์ของโครงการระบุว่า วิธีนี้จะช่วยลดการทิ้งมูลของเสียไว้ตามหมู่บ้าน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของแหล่งน้ำ และสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นอีกด้วย

#ขยะ
ที่มา Trash and Overcrowding at the Top of the World, education nationalgeographic.
Mount Everest is turning into the world's highest garbage dump: Shocking map reveals the sheer scale of rubbish left on the mountain, dailymail.

รัฐบาลยุน ซ็อก-ยอล เผยวาระเร่งด่วน อัตราการเกิดของเกาหลีใต้ต่ำที่สุดในโลก ขัดแย้งกับความเจริญก้าวหน้าของประเทศและนโยบายร...
17/05/2024

รัฐบาลยุน ซ็อก-ยอล เผยวาระเร่งด่วน อัตราการเกิดของเกาหลีใต้ต่ำที่สุดในโลก ขัดแย้งกับความเจริญก้าวหน้าของประเทศและนโยบายรัฐบาลที่พร้อมรองรับการมีบุตร แต่ทำไมผู้หญิงเกาหลีถึงตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ต้องการเป็นแม่คน

อัตราการเกิดในเกาหลีใต้ตกต่ำลงทุกปี โดยในปี 2022 มีทารกเกิดใหม่ไม่ถึง 250,000 คน เทียบเป็นสถิติได้ว่า อัตราการให้กำเนิดทารกต่ำสุดอยู่ที่ 0.65 ต่อผู้หญิง 1 คน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกาหลีใต้ต้องกลายเป็นสังคมสูงอายุเต็มตัวภายในปี ค.ศ. 2100 ที่เกือบครึ่งของประชากรจะมีอายุมากกว่า 65 ปี โดยปัญหาด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้ประชาชนทุกประเทศพิจารณาถึงการสร้างครอบครัว สำหรับคนเกาหลีก็เช่นกัน จากการสำรวจของ Beijing-based think-tank พบว่า เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มี “ราคาที่ต้องจ่ายสูงสุด” สำหรับการเลี้ยงลูกตั้งแต่เกิดจนอายุครบ 18 ปี แม้รัฐบาลปัจจุบันยังคงมีนโยบายสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งเงินค่าเลี้ยงดู ค่าบ้าน ค่ารถ และค่ารักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน รวมถึงการเปิดโอกาสให้จ้างพี่เลี้ยงจากประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า และยกเว้นการเกณฑ์ทหารสำหรับผู้ชายที่มีลูก 3 คน ก่อนอายุ 30 ปี ก็อาจยังไม่คุ้มค่ามากพอกับภาระที่ต้องแบกรับไว้

ถึงแม้จะมีการออกกฎหมายให้ทั้งชายและหญิงลางานได้ 1 ปี เพื่อเลี้ยงดูลูก แต่มี “คุณพ่อมือใหม่” เพียง 7% เท่านั้น ที่ยอมตัดสินใจเลี้ยงลูกอยู่บ้าน อัตราการเกิดที่ต่ำจึงไม่ได้สะท้อนแค่เพียงปัญหาเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศ ทั้งด้านเงินเดือนและโอกาสการเลื่อนตำแหน่งที่ไม่เท่าเทียมของชายหญิง ทำให้ผู้หญิงเกาหลีต้อง “เลือกตัดสินใจ” ว่าจะมีงานหรือมีครอบครัว ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำทั้งสองสิ่งอย่างมีความสุขได้ในสังคมปิตาธิปไตย

การที่เกาหลีใต้มีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ เป็นเพราะต้องแข่งขันทางการศึกษาตลอดเวลา หลายคนรู้ดีว่าถ้าตนมีลูก ลูกก็ต้องทรมานกับการเรียนพิเศษหนัก ๆ แบกรับความกดดัน โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเด็กวัยรุ่นเกาหลีที่ต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้ามากขึ้นถึง 32% ซึ่งไม่ใช่แค่วัยรุ่นที่กำลังทรมานจากโรคนี้ แต่คนเป็นแม่ที่ต้องลาออกจากงานมาเลี้ยงเด็กทารกตลอดทั้งวัน ก็เป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้นเช่นกัน ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะไม่มีลูก ทั้งด้านความพร้อมทางสถานภาพและสุขภาพจิตของตนเอง

ในทางกลับกัน ยังมีผู้หญิงบางส่วนที่อยากมีลูก แต่ไม่สามารถมีลูกได้ เนื่องจากเกาหลีใต้ไม่มีกฎหมายรองรับการสมรสเท่าเทียม ทำให้คู่รักเพศเดียวกันไม่สามารถขอรับบริจาคสเปิร์มเพื่อที่จะมีลูกได้ ซึ่งทุกปัญหามีความเชื่อมโยงกับระบบปิตาธิปไตยภายในประเทศ

แม้จะเป็นเรื่องปกติและน่ายินดีที่ผู้หญิงมีสิทธิ์ที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับร่างกายและชีวิตของตนเอง ซึ่งการตัดสินใจมีหรือไม่มีลูกก็ควรขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละบุคคล แต่นักเศรษฐศาสตร์ก็มองว่า เพื่อสร้างความสมดุลในโครงสร้างประชากรเกาหลีใต้ ภาครัฐควรเร่งแก้ปัญหาไปที่ต้นเหตุ คือเรื่องความเท่าเทียมทางเพศอย่างจริงจังกว่าเดิม เพื่อไม่ให้เกิดข้อแตกต่างในคุณภาพชีวิตและการตัดสินใจมีลูกในอนาคต

#เกาหลี #สังคมเกาหลี #การมีบุตร

แม้เรื่อง “อายุ” จะเป็นประเด็นที่คู่แข่งใช้โจมตีประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในแคมเปญหาเสียงของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเม...
14/05/2024

แม้เรื่อง “อายุ” จะเป็นประเด็นที่คู่แข่งใช้โจมตีประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในแคมเปญหาเสียงของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2024 ก็ตาม แต่จากข้อมูลพบว่า หลาย ๆ ประเทศเองต่างก็เผชิญกับสภาวะของการมีผู้นำสูงวัยด้วยกันทั้งสิ้น โดยจากการสำรวจกลุ่มประเทศที่มีขนาดประชากรมากที่สุดในโลก 10 ประเทศ พบว่า เกือบทุกประเทศล้วนมีผู้นำที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งหมายความว่า ประชากรกว่า 50% บนโลกถูกปกครองด้วยผู้นำวัยชรา ได้แก่

1. ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา อายุ 81 ปี (เป็นประธานาธิบดีที่สูงวัยที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ)
2. ประธานาธิบดีลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล อายุ 78 ปี
3. นายกรัฐมนตรี ชีค ฮาสินา ของบังคลาเทศ อายุ 76 ปี
4. นายกรัฐมนตรี นเรนทระ โมดี ของอินเดีย อายุ 73 ปี
5. ประธานาธิบดี ปราโบโว ซุเบียนโต ของอินโดนีเซีย อายุ 72 ปี
6. นายกรัฐมนตรี เซห์บาซ ชารีฟ ของปากีสถาน อายุ 72 ปี
7. ประธานาธิบดี โบลา ทินูบู ของไนจีเรีย อายุ 71 ปี
8. ประธานาธิบดี อันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ของเม็กซิโอ อายุ 71 ปี
8. ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย อายุ 71 ปี
10. ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน อายุ 70 ปี

สาเหตุหลักที่เรามีผู้นำสูงวัยในหลายประเทศ ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่โลกเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือ “Aging Society” ในขณะเดียวกันผู้นำหลายคนยังถือครองอำนาจหลายสมัย ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าเฉลี่ยของอายุผู้นำโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น

วลาดิเมียร์ ปูติน ก็เป็นอีกหนึ่งผู้นำที่ล่าสุดชนะการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซียเป็นสมัยที่ 5 เขาเริ่มรับตำแหน่งประธานาธิบดีของรัสเซียอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 2000 ขณะนั้นเขาอายุ 47 ปี และเมื่อดำรงตำแหน่งติดต่อกัน 2 วาระ ในปี 2008 เขาได้สนับสนุน ดมิทรี เมดเวเดฟ ให้เป็นประธานาธิบดี ด้วยความนิยมของปูตินทำให้ชนะการเลือกตั้ง และดมิทรี เมดเวเดฟ ก็แต่งตั้งปูตินเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาในปี 2012 ปูตินก็ได้กลับขึ้นตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง และได้มีการแก้กฎหมายเมื่อปี 2020 ให้ประธานาธิบดีสามารถดำรงตำแหน่งได้ติดต่อกันมากกว่า 2 วาระ จึงเป็นเหตุผลให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปูตินยังสามารถลงสมัครได้ และเขาก็ชนะตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีกครั้ง

เช่นเดียวกันกับ สี จิ้นผิง ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาชนจีน ปี 2013 เขาได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกในวัย 60 ปี และระหว่างที่เขากำลังดำรงตำแหน่งในสมัยที่ 2 ในปี 2018 สภาประชาชนแห่งชาติจีนก็ได้มีมติยกเลิกบทบัญญัติที่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนไม่เกิน 2 วาระไป ทำให้ปัจจุบันเป็นสมัยที่ 3 ของสีจิ้นผิงในตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยอายุ 70 ปี

สำหรับไทย นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ปัจจุบันอายุ 62 ปี ซึ่งแม้จะถือว่าอยู่ในวัยเกษียณแล้ว แต่เมื่อเทียบกับผู้นำชาติอื่น ๆ ก็ถือว่ายังไม่ชราสักทีเดียว

#นายกรัฐมนตรี

วัยรุ่นอเมริกันฉุดสหรัฐฯหลุดโพล 20 อันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกสหรัฐอเมริกาหลุดจากโพล 20 ประเทศที่มีความสุขที่สุด...
14/05/2024

วัยรุ่นอเมริกันฉุดสหรัฐฯหลุดโพล 20 อันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก

สหรัฐอเมริกาหลุดจากโพล 20 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการจัดอันดับมา โดยตกลงมาอยู่ที่อันดับ 23 จากการสำรวจโพลประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกหรือ World Happiness report 2024 ที่การเก็บข้อมูลมีรูปแบบเปลี่ยนไปจากการสำรวจครั้งก่อน ๆ เนื่องจากมีการแบ่งเก็บข้อมูลตามช่วงอายุ

อันดับความสุขที่ลดลงเกิดจากดัชนีความสุขที่แตกต่างในแต่ละช่วงวัยของชาวอเมริกัน จากการสำรวจ กลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ยังอยู่ในกลุ่มประชากรที่มีความสุขมากที่สุดในโลก แต่กลุ่มคนที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี กลับกลายเป็นกล่มคนที่ไม่มีความสุขมากที่สุดในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำให้โดยรวมดัชนีความสุขลดต่ำลง ทั้ง ๆ ที่ในปี 2023 สหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับที่ 15 ของ World Happiness report ซึ่งจะเห็นได้ว่าอันดับตกลงอย่างฮวบฮาบของสหรัฐอเมริกาในปี 2024 ยังเกิดขึ้นกับประเทศอย่างแคนาดาและสหราชอาณาจักรอีกด้วย โดยแคนาดาที่เคยอยู่ในอันดับ 13 ตกมาอยู่ในอันดับ 15 ส่วนสหราชอาณาจักรที่เคยอยู่ในอันดับ 19 ตกลงมาอยู่ในอันดับ 20 ในปีล่าสุด

ซึ่งต่างจากประเทศในฝั่งทวีปยุโรปที่ คนหนุ่มสาวยังคงเป็นกลุ่มคนที่มีความสุขมากกว่าผู้สูงอายุ โดยจากการสำรวจพบว่าปัจจัยที่ทำให้ผู้คนมีความสุขมีทั้งสภาพเศรษฐกิจ เสรีภาพ ช่วงอายุ และการสนับสนุนทางสังคม ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ประชากรในประเทศแถบสแกนดิเนเวียอย่างฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ เดนมาร์กและสวีเดนเป็นกลุ่มคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีรายได้สูง สังคมมีความเท่าเทียม ประชากรได้รับรัฐสวัสดิการอย่างทั่วถึงทำให้มีสุขภาพจิตที่มั่นคงและมีความสุข

ส่วนขณะที่ คนหนุ่มสาวในสหรัฐอเมริกาปัจจุบันกลับต้องเผชิญกับภาวะการตกงานที่เพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงเดือนมีนาคมในปี 2024 มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3.9 % ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และสภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการขาดการสนับสนุนของภาครัฐในการรักษาพยาบาล ทำให้กลุ่มคนหนุ่มสาวที่เป็นวัยทำงานต้องเจอกับภาระทางการเงินมากมายจนทำให้พวกมีความสุขน้อยลง

จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อความสุขของคนกลุ่มนี้คือ โซเชียลมีเดีย ที่ลดคุณภาพชีวิตคนหนุ่มสาวให้ต่ำลง อีกทั้งเพิ่มอัตราในการเกิดภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหญิง นอกจากนี้ยังนำเสนอว่า ภาวะ Climate change และโรคระบาดก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญทำให้กลุ่มคนวัยหนุ่มสาวมีความสุขน้อยลงอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจับตามองว่าในอนาคตรัฐบาลสหรัฐจะมีการออกมาตรการเพื่อบรรเทาสถานการณ์ความตึงเครียดของประชากรหนุ่มสาวและพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาหรือไม่ หรือจะปล่อยให้ประชาชนแก้ปัญหาและดูแลตัวเองต่อไปเหมือนที่ผ่านมา

Gen Z สำหรับหลายคนคือเด็กรุ่นใหม่ที่เก่ง มีความสามารถ พัฒนาเร็ว ทำให้หลายครั้งเราเห็นว่ามีเด็กยุคใหม่หลายคนประสบความสำเร...
10/05/2024

Gen Z สำหรับหลายคนคือเด็กรุ่นใหม่ที่เก่ง มีความสามารถ พัฒนาเร็ว ทำให้หลายครั้งเราเห็นว่ามีเด็กยุคใหม่หลายคนประสบความสำเร็จกันตั้งแต่อายุน้อย ขณะเดียวกันก็มีเด็กรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่ต้องการงานที่ให้ค่าตอบแทนสูง ปัจจัยที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่ หรือ Gen Z สนใจงานที่ให้เงินเดือนสูงส่วนหนึ่งมาจาก ‘อัตราเงินเฟ้อ’ ที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนทำให้ข้าวของทุกอย่างแพงขึ้นไปหมด

Gen Z ปัจจุบันมีอายุอยู่ที่ 12-27 ปี อ้างอิงจากเว็บไซต์ finance.yahoo พวกเขาเกิดและโตขึ้นโดยเห็นพ่อแม่ของเขา (Gen X) ฝ่าวิกฤตทางการเงินหลายครั้ง และนั่นอาจทำให้พวกเขารู้สึกว่า ‘เงินอาจเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงได้’ หรืออย่างน้อยการมีเงินมาก ๆ ก็ช่วยคลายความกังวลได้ วันหนึ่งที่พวกเขาโตขึ้นและได้ทำงานหาเงินเอง จึงไม่แปลกใจที่จะเลือกทำงานที่มีค่าตอบแทนสูง เพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่ดี
เว็บไซต์ Indeed.com เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลบริษัทและหาเงินเดือนในประเทศสหรัฐฯ ได้เผยค่าเฉลี่ยของเงินเดือนเด็กจบใหม่ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยอ้างอิงข้อมูลวันที่ 31 มีนาคม 2567 ว่ามีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4,263 เหรียญ หรือราว 156,000 บาท แม้ว่ารายได้เฉลี่ยที่พวกเขาได้รับจะดูเหมือนว่าเป็นเงินที่เยอะ แต่หนึ่งในการสำรวจที่รายงานโดยสำนักข่าว CNBC เผยว่า Gen Z มากกว่าหนึ่งในสาม ต้องเผชิญกับความยากลำบากที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถออมเงินได้ หรือบางคนก็ต้องติดหนี้จำนวนมาก

สาเหตุที่ Gen Z ต้องเจอกับความท้าทายเหล่านี้มาจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาสินค้าปรับสูงขึ้นทำให้ Gen Z หลายคนไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ เฉลี่ยอยู่ที่ 1,512 เหรียญต่อเดือน อ้างอิงจากเว็บไซต์ Apartments.com คิดเป็น 35% ของรายได้ ขณะเดียวกันอัตราราคาอาหารก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรายงานย้อน 5 ปี ระบุว่าราคาอาหารในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.9-9.9% ซึ่งถือว่าผันผวนและอยู่ในเกณฑ์ที่สูง ทำให้จำนวนเงินเด็กรุ่นใหม่ต้องใช้จ่ายนั้นสูงตามไปด้วย

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านอื่น ๆ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น โรคระบาด COVID-19 ที่ได้ชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ บางบริษัทเลิกจ้างงาน หรือบางบริษัทก็ชะลอการเลื่อนตำแหน่ง และปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จึงอาจทำให้พวกเขาต้องการเงินเดือนที่สูงขึ้น

สำหรับประเทศไทยที่มีเงินเดือนเด็กจบใหม่เฉลี่ยที่ 18,000 บาท เทียบกับค่าครองชีพที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่าเดินทางที่เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 100-200 บาท สำหรับการเดินทาง ห้องเช่ารายเดือนที่อยู่ที่เรท 5,000 บาท รวมกันแค่สองอย่าง เงินเดือนก็หายไปครึ่ง นั่นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมเด็กรุ่นใหม่ที่เรียนจบและเข้าสู่โลกการทำงานจึงต้องการเงินเดือนที่สูงหรือเปลี่ยนงานเพื่อเพิ่มฐานเงินเดือน ซึ่งเป็นทั้งเด็กไทยและสหรัฐฯ

โดยสรุปแล้ว เด็ก Gen Z ต้องการเงินเดือนที่สูงขึ้นมาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมไปถึงราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ทำให้เด็กรุ่นใหม่อย่าง Gen Z อาจคิดว่าการมีเงินเดือนที่สูงเท่ากับการมีชีวิตที่ดีในปัจจุบัน

สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่มีประชากรมหาเศรษฐีหนาแน่นเป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองจากฮ่องกงและลักเซมเบิร์ก โดยสวิตเซอร์แลนด์มีม...
10/05/2024

สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่มีประชากรมหาเศรษฐีหนาแน่นเป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองจากฮ่องกงและลักเซมเบิร์ก โดยสวิตเซอร์แลนด์มีมหาเศรษฐี 1 คน ต่อประชาชน 8 หมื่นคน โดยกลุ่มมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงและอาศัยอยู่ในประเทศนี้ ได้แก่ Gerard Wertheimer เจ้าของร่วมแบรนด์ Chanel , ทายาทของผู้ก่อตั้งแบรนด์ IKEA และครอบครัวผู้ก่อตั้ง ROCHE บริษัทไบโอเทคชั้นนำของโลก ผลการสำรวจโดยนิตยสาร Forbes ปี 2023 พบว่ามหาเศรษฐีสวิตเซอร์แลนด์อันดับต้น ๆ เช่น Gianluigi Aponte และ Fafaela Aponte-Diamant ผู้ก่อตั้งบริษัท Mediterranean Shipping Company
และ Ernesto Bertarelli ผู้ก่อตั้ง บริษัท B-Flexion เป็นต้น โดยเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมานั้น สวิสเซอร์แลนด์ก็ถูกจัดว่าเป็นบ้านของมหาเศรษฐีประมาณ 110 คน โดยกลุ่มคนเหล่านี้มีทรัพย์สินรวมกันถึง 338 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าประเทศอื่น ๆ ที่ร่ำรวย เช่น ซาอุดีอาระเบีย สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และคนสวิสเองก็ยังเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่รวยที่สุดในโลก เนื่องจากมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเฉลี่ยเกือบ 700,000 ดอลลาร์ แซงหน้าอเมริกาและฮ่องกง
สาเหตุที่ทำให้สวิตเซอร์แลนด์นั้นเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งก็ประกอบไปด้วยหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเมืองที่มีความมั่นคงและมีความเป็นกลาง จนทำให้มหาเศรษฐีทั่วโลกนิยมนำเงินไปฝากกับธนาคารที่ สวิตเซอร์แลนด์ เพราะสามารถมั่นใจได้ว่าทรัพย์สินของตนจะปลอดภัยกรณีมีเปลี่ยนแปลงผู้นำหรือนโยบายในประเทศของตัวเอง นอกจากนี้สวิสเซอร์แลนด์ยังมีอัตราภาษีต่ำ และสกุลเงินฟรังก์ของสวิสก็ยังมีความแข็งแกร่งอย่างต่ำเนื่อง เท่าเทียมกับเงินยูโร และทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ เพราะเงินฟรังก์สวิสได้รับการยอมรับจากนักลงทุนทั่วโลก มีเสถียรภาพเพราะมีธนาคารกลางของประเทศคอยควบคุมมูลค่าเงิน ทั้งนี้ทั้งนั้นจุดเด่นของสวิสเซอร์แลนด์ที่เหนือชาติอื่นคือ การเก็บความลับเกี่ยวกับข้อมูลทางการเงินของผู้ฝากเงิน ที่กระตุ้นให้สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ดึงดูดเศรษฐีทั่วโลกให้เข้ามามีถิ่นฐานพักอาศัยที่นี่
ผลจากนโยบายของรัฐบาลสวิสในข้างต้น ส่งผลให้เกิดผลเชิงบวกกับพลเมืองสวิสเอง โดยเงินเดือนโดยเฉลี่ยของคนสวิสนั้นอยู่ที่ 78,000 CHF ต่อปี หรือคิดเป็นเงินไทยเกือบ 3,200,000 บาทต่อปี โดยมีค่าแรงต่อชั่วโมงโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 20 - 30 CHF หรือประมาณ 800 - 1200 บาทต่อชั่วโมง

ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีความมั่นคงและมั่งคั่งเนื่องจากเป็นประเทศที่การเมืองมีเสถียรภาพ ทำให้สามารถดึงดูดชาวต่างชาติให้มาลงทุนทำธุรกิจในประเทศได้ ระบบธนาคารและการเงินที่แข็งแกร่ง มีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากการควบคุมที่ดีเพราะมีกฎหมายที่เข้มงวดและยังเป็นศูนย์กลางทางการเงิน อันตราการเก็บภาษีต่ำ โดยจะสามารถสังเกตได้จากการที่บริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลกเลือกจัดตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศนี้ นอกจากนี้ค่าเงินฟรังก์ก็ยังมีเสถียรภาพ ส่งผลให้เศรษฐีจำนวนมากเลือกมาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และฝากเงินไว้กับประเทศนี้ ในส่วนของชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวสวิสก็อยู่ในระดับที่ดีสอดคล้องกับเงินเดือนที่ได้รับ เพราะประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้นไม่ได้ใส่ใจแต่กลุ่มคนรวย แต่ทางรัฐบาลต้องการกำกับดูแลคนทุกกลุ่ม เช่น กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มคนนอกเมือง ให้ได้มีความเป็นอยู่ที่ดี มีสภาพแวดล้อมที่ดี ประกอบกับธรรมชาติที่สวยงามของประเทศนี้ทำให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากและทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ้น

แหล่งข่าว
ประชาชาติธุรกิจ.(5 พฤษภาคม 2567). เปิดรายชื่อ 20 ประเทศ เงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดในโลก ปี 2023.
Grenzgaengerdienst.(2567).Gehalt in der Schweiz (2024)
#สวิสเซอร์แลนด์ #เศรษฐกิจ

ภายในปีค.ศ. 2531 (พ.ศ. 3074) หรือในอีกประมาณ 500 ปีข้างหน้า ชาวญี่ปุ่นจะมีเพียงนามสกุลเดียวที่สามารถใช้ได้ คือ “ซาโตะ” ถ...
06/05/2024

ภายในปีค.ศ. 2531 (พ.ศ. 3074) หรือในอีกประมาณ 500 ปีข้างหน้า ชาวญี่ปุ่นจะมีเพียงนามสกุลเดียวที่สามารถใช้ได้ คือ “ซาโตะ” ถ้าหากกฎหมายยังบังคับให้คู่สมรมใช้นามสกุลเดียวกัน

การศึกษานี้นำโดย ศ.ฮิโรชิ โยชิดะ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโทโฮกุ จากการคำนวณ จำนวนชาวญี่ปุ่นที่ใช้นามสกุลซาโตะในปี 2023 เพิ่มขึ้น 1.0083 เท่าจากปีก่อน และเมื่อสันนิษฐานจากอัตราการการใช้นามสกุลนี้ที่คงที่และจากกฎหมายเกี่ยวข้องกับนามสกุลที่ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง ครึ่งหนึ่งของประชากรญี่ปุ่นจะกลายเป็น “ซาโตะซัง” ในปี 2446 และจะขยายเป็นประชากรทุกคนในปี 2531

“ซาโตะ” เป็นนามสกุลที่พบบ่อยที่สุดตามการสำรวจเดือนมีนาคม ปี 2023 โดยมาผู้ใช้มากถึง 1.8 ล้านคน จากประชากรญี่ปุ่น 125 ล้านคน รองลงมาคือนามสกุลซูซูกิ และทาคาฮาชิ ตามลำดับ รวมถึงนามสกุล โยชิดะ ในลำดับที่ 11

“การมีนามสกุลเพียงซาโตะนั้นไม่เพียงแต่จะสร้างความไม่สะดวก แต่ยังบ่อนทำลายความเป็นตัวตนของแต่ละบุคคลด้วย” กล่าวตามรายงานของอาซาฮิ ชิมบัน และเสริมว่าแนวโน้มดังกล่าวจะนำไปสู่การสูญเสียมรดกทางวัฒนธรรมของทั้งครอบครัวและของภูมิภาคด้วย

อย่างไรก็ดี สมาชิกอนุรักษ์นิยมของพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตย (LDP) มีมุมมองอีกแง่มุมหนึ่ง กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้คู่สมรสสามารถใช้นามสกุลต่างกันได้ จะบ่อนทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันของครอบครัว และทำให้เกิดความสับสนในหมู่เด็ก ๆ

ศ.โยชิดะ ยอมรับว่าการคาดการณ์ของเขาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ แต่เพื่อกระตุ้นให้ปัญหานี้ได้รับการมองเห็นมากขึ้น เขาจึงใช้ข้อมูลตัวเลขอธิบายผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายปัจจุบัน ทางด้านรัฐบาลญี่ปุ่นจะมีการตอบรับกับประเด็นนี้อย่างไรต้องติดตามกันต่อไป

ที่มา: Everyone in Japan will be called Sato by 2531 unless marriage law changed, says professor,the Guardian.
#ญี่ปุน #ซาโตะ

บริษัท Opill เตรียมพร้อมที่จะวางจำหน่ายยาคุมกำเนิดแบบ OTC (Over-The-Counter) บนแพลตฟอร์มออนไลน์และร้านค้าทั่วไป ซึ่งทำให...
05/05/2024

บริษัท Opill เตรียมพร้อมที่จะวางจำหน่ายยาคุมกำเนิดแบบ OTC (Over-The-Counter) บนแพลตฟอร์มออนไลน์และร้านค้าทั่วไป ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถซื้อยาคุมกำเนิดได้โดยไม่ต้องมีการรับรองจากแพทย์อีกต่อไป ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการบริการด้านสุขภาพของผู้หญิง ที่จะทำให้การเข้าถึงการคุมกำเนิดของเพศหญิงเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่จำกัดในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์

ในสหรัฐอเมริกา ยาคุมกำเนิดเป็นหนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดที่ปลอดภัย มีมาตรฐาน และได้รับความนิยม ข้อมูลจาก KFF Survey เปิดเผยว่า 2 ใน 3 หรือ 65% ของผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์อายุ 18-49 ปีนั้นใช้ยาคุมกำเนิด อย่างไรก็ตาม แม้จะมีวิธีการคุมกำเนิดมากมาย ตั้งแต่ถุงยางอนามัย อุปกรณ์ใส่มดลูก (IUD) และการปลูกถ่ายการคุมกำเนิด ข้อมูลการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจในประเทศกลับสวนทางกัน จากข้อมูลของ CDC ในปี 2011 พบว่า 45% ของการตั้งครรภ์ในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าค่าเฉลี่ยของประเทศจะลดลงตั้งแต่ปี 2008 แต่ก็ยังมีกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจอยู่เป็นจำนวนมาก

สาเหตุสำคัญประการแรกมาจากปัญหาด้านการเข้าถึงยาคุมกำเนิดที่มีคุณภาพ ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ในสหรัฐฯ มากกว่า 19 ล้านคนอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ขาดแคลนการบริการและอุปกรณ์คุมกำเนิด รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการรักษาพยาบาลหรือผู้ให้บริการ ส่งผลให้เกิดอุปสรรคต่อการเข้าถึงการรักษา นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมากจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ ผู้ที่มีรายได้น้อยหรือไม่มีประกันสุขภาพอาจเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงบริการและอุปกรณ์คุมกำเนิดในราคาที่เอื้อมถึง รวมทั้งอาจเกิดจากการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทางเลือกในการคุมกำเนิดและประสิทธิภาพของวิธีการต่าง ๆ

การต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าว และจำเป็นต้องมีใบสั่งยาจากผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ อาจทำให้หลายคนไม่ได้รับยาตามกำหนดเวลาและเกิดปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ตามมา การวางจำหน่ายยาคุมกำเนิดแบบ OTC ของ Opill จึงอาจเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาการคุมกำเนิดในสหรัฐฯ

สำหรับในประเทศไทย มีจำนวนการใช้ยาคุมกำเนิดค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ข้อมูลจาก Health Data Center (HDC) แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์การตั้งครรภ์ซ้ำในหญิงอายุน้อยกว่า 20 ปี มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ ลดลงจากร้อยละ 16.4 ในปี 2561 เหลือร้อยละ 14.42 ในปี 2563 แต่ยังสูงกว่าค่าเป้าหมายของประเทศ (ค่าเป้าหมายประเทศกําหนดไว้ที่ร้อยละ 14.0 ในปี 2563) และยังมีการใช้ยายุติการตั้งครรภ์ราว 30,000 คนต่อปี เนื่องจากต้องเผชิญกับความท้าทายหลายอย่าง ตั้งแต่การขาดความตระหนักและให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการคุมกำเนิด ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความเชื่อผิด ๆ ในการคุมกำเนิด คุณภาพและความพร้อมของการคุมกำเนิดในประเทศไทย อีกปัญหาสำคัญคือความเชื่อเรื่องบาปบุญ ซึ่งยังคงรอการแก้ไขจากภาครัฐ ภาคเอกชน และคนในสังคมต่อไป

ที่มา:Who can take the newly available over-the-counter birth control pill?, CNN.
First over-the-counter birth control pill now for sale online, NPR.

รายงานล่าสุดของ Valisure ห้องแล็บอิสระของอเมริกาได้เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์รักษาสิวบางตัวที่มีตัวยาเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Ben...
05/05/2024

รายงานล่าสุดของ Valisure ห้องแล็บอิสระของอเมริกาได้เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์รักษาสิวบางตัวที่มีตัวยาเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) สามารถก่อตัวเป็นสารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่าเบนซีน (benzene) ได้
จากงานวิจัยดังกล่าว ชี้แจงว่า benzene (เบนซีน) “สามารถก่อตัวในความเข้มข้นที่สูงเกินกว่าที่จะยอมรับได้” ซึ่งมาจากผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มีตัวยา Benzoyl Peroxide โดยสามารถพบได้ทั่วไป ทั้งผลิตภัณฑ์ที่เป็นยารูปแบบที่สั่งจ่ายจากแพทย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์รักษาสิว ซึ่งผลจากการทดลองพบว่าในผลิตภัณฑ์บางตัวอาจก่อตัวเป็นสารก่อมะเร็งมากกว่าขีดจำกัดความเข้มข้นที่องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) กำหนด สูงถึง 800 เท่า
การทดสอบผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มีตัวยา Benzoyl Peroxide หลายสิบตัว โดยใช้วิธีเก็บหลอดยาหรือตัวเครื่องสำอางค์ไว้ในที่เก็บที่มีอุณหภูมิสูง เช่นการปล่อยไว้ในรถที่มีความร้อนสูง มากกว่า 65 องศาเซลเซียส นานติดต่อกัน 14 วัน พบว่าสามารถก่อสารก่อมะเร็งในความเข้มข้นสูงได้ ซึ่งในการทดลองหนึ่ง ที่ทำโดยการเก็บสกินแคร์รักษาสิวตัวหนึ่งในรถยนต์ขนาดเล็ก ที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส เป็นเวลาเกือบ 17 ชม. พบว่า ไม่เพียงแต่เจอสารก่อมะเร็ง (benzene) ในตัวสินค้า แต่ยังพบแก๊สเบนซีนที่ลอยอยู่ภายในอากาศในตัวรถสูงมากกว่าค่ามาตรฐานของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกากำหนดถึง 1,270 เท่า ซึ่งจะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจเมื่อสูดดมเป็นระยะเวลานาน
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์รักษาสิวประเภทอื่น ๆ ที่มีตัวยา เช่น salicyclic acid หรือ adapalene ได้ทำการทดลองในรูปแบบเดียวกัน พบว่าไม่มีการก่อตัวของสารก่อมะเร็งตัวดังกล่าว (benzene)
และเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567, ทาง Valisure ได้ส่งคำร้องต่อ FDA ตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า จากผลิตภัณฑ์รักษาสิว 175 ตัว, มี 99 ตัว ที่มีตัวยา Benzoyl Peroxide, และตรวจพบเจอสารเบนซีนถึง 94 ตัว โดยทางแล็บมีคำร้องข้อให้ให้องค์การอาหารและยา “เรียกคืนและระงับการขายสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมทางเภสัชกรรมที่ออกฤทธิ์เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์”
โฆษกของ FDA กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2567 ว่าได้รับคำร้องเรียนแล้ว และได้ชี้แจงว่า หน่วยงานได้ตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ที่จัดทำโดย Valisure แต่ข้อมูลดังกล่าวต้องได้รับการตรวจสอบว่าถูกต้องและยืนยันได้ ก่อนที่จะใช้ตัดสินใจด้านกฎระเบียบ เช่น การระงับการขายผลิตภัณฑ์และการเรียกคืน” แถลงการณ์ระบุ
นอกจากนี้ อ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าว CNN ที่ได้ติดต่อแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีชื่ออยู่ในคำร้องเรียน และได้รับคำตอบจากเพียงแค่บางแบรนด์ โดยมีแบรนด์ Clearasil แบรนด์ภายใต้ Reckitt ชี้แจงว่า “ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในแบรนด์ Clearasil เมื่อใช้และเก็บตามคำแนะนำที่ให้ไว้จะปลอดภัย” บริษัทกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2567 และมีการโต้กลับว่า “ผลิตภัณฑ์และส่วนผสมจาก Clearasil มีความเสถียรในเงื่อนไขการจัดเก็บที่อธิบายไว้บนบรรจุภัณฑ์ ซึ่งแสดงถึงความสมเหตุสมผลและคาดการณ์ได้ทั้งหมด ผลการวิจัยที่นำเสนอโดยห้องแล็บอิสระในปัจจุบันนั้น สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ไม่สมจริงมากกว่าสภาพในโลกแห่งความเป็นจริง”

ที่มา: Cancer-causing chemical can form at ‘unacceptably high levels’ in certain acne products, independent lab claims, CNN.
Chemical Linked to Cancer Found in Acne Creams Including Proactiv, Clearasil, Bloomberg.

#ยารักษาสิว #แดดจัด

“Sephora Kids” เทรนด์ใหม่ของ Gen Alphaปรากฎการณ์สกินแคร์….“Sephora Kids” เทรนด์ใหม่ของเด็ก Gen Alpha หรือเด็กอายุต่ำกว่า...
04/05/2024

“Sephora Kids” เทรนด์ใหม่ของ Gen Alpha

ปรากฎการณ์สกินแคร์….“Sephora Kids” เทรนด์ใหม่ของเด็ก Gen Alpha หรือเด็กอายุต่ำกว่า 11 ปีบนโลกโซเชียล แห่กันซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ร้าน Sephora ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ใหญ่ และยังไม่เหมาะกับผิวหน้าเด็กวัยนี้ ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหน้าของเด็กที่มีความไวต่อผลิตภัณฑ์เคมีหรือส่วนผสมต่าง ๆ ซึ่งแพทย์ผิวหนังต่างเป็นห่วง

เทรนด์นี้เริ่มมาจากการที่อินฟลูเอนเซอร์บน TikTok เป็นเด็ก Gen Alpha หันมาแนะนำสินค้า โดยมีการแสดงออกผ่านท่าทางและการใช้ภาษาเหมือนผู้ใหญ่ ทำให้เด็กคนอื่น ๆ ที่เสพสื่อเหล่านี้ถูกกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้ อยากลอง

การเติบโตของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ และสูงถึง 13.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งครัวเรือนที่มีเด็กอายุ 6-12 ปีมีอัตราการซื้อผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมนี้สูงถึง 27.2% โดยมีประเภทสินค้าที่ซื้อเป็นโทนเนอร์ ทรีตเมนต์ มอยเจอไรเซอร์ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า รวมถึงครีมบำรุงใต้ตา

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าหลายชิ้นไม่ได้ผลิตมาเพื่อผิวหน้าเด็ก ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลลบระยะยาว โดยแพทย์ผิวหนัง Monica Li ได้ให้สัมภาษณ์กับ CTV news ว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้ถูกทดสอบกับผิวหน้าเด็ก ทำให้ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าการเอาไปใช้จะเป็นอันตรายต่อตัวเด็กเองหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นผิวของเด็ก ๆ วัยนี้สามารถสร้างคอลลาเจนได้เยอะจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของผิวหนัง ดังนั้นเด็กวัยนี้ควรหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ของตราสินค้าที่ผลิตมาเพื่อเด็ก เช่น ครีมกันแดด มอยเจอไรเซอร์สำหรับเด็ก ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกแบบมาเพื่อผิวบอบบาง เลือกใช้ส่วนประกอบที่อ่อนโยนกว่า

ทั้งนี้สินค้าสกินแคร์ยอดนิยมอย่าง Drunk Elephant ก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนและอธิบายว่าผลิตภัณฑ์บางอย่างของแบรนด์เองไม่ได้เหมาะกับลูกค้าอายุน้อย

การเกิดขึ้นของเทรนด์ Sephora Kids เรียกได้ว่า Gen Alpha เป็นเหยื่อของบริโภคนิยม ซึ่งเป็น
การบริโภคสินค้าเกินความต้องการในวัยหรือช่วงอายุนี้ทั้งในเรื่องของประเภทสินค้าและราคาผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ดีพ่อแม่หลายคนก็พยายามหาวิธีป้องกันลูกหลานจากการถูกอิทธิพลจากสื่อออนไลน์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคเทคโนโลยีทำให้การเข้าถึงสื่อต่าง ๆ ง่ายขึ้นมาก จนทำให้การป้องกันเด็ก ๆ ที่เติบโตมากับเครื่องมือสื่อสารจากอิทธิพลสื่อสามารถทำได้ยาก

ที่มา: What's up with 10-year-old kids in Sephora? Why the question itself is driving controversy, CBC News
'Sephora kids' skin-care trend draws warnings from dermatologists, CTVNews.

ฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกที่บรรจุสิทธิทำแท้งในลงรัฐธรรมนูญ โดยเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2567 สภานิติบัญญัติของฝรั่งเศสลงมติด...
04/05/2024

ฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกที่บรรจุสิทธิทำแท้งในลงรัฐธรรมนูญ โดยเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2567 สภานิติบัญญัติของฝรั่งเศสลงมติด้วยคะแนนเสียง 780 ต่อ 72 เสียง เห็นชอบให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2501 เพื่อรับรองเสรีภาพของผู้หญิงในการทำแท้ง อันเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 25 นับตั้งแต่การก่อตั้งฝรั่งเศสยุคใหม่ และเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2551

การทำแท้งอย่างถูกกฎหมายของฝรั่งเศสมีประวัติมาอย่างยาวนาน โดยชาวฝรั่งเศสได้เรียกร้องสิทธิในการทำแท้งของตนมาเป็นเวลาเกือบ 50 ปี โดยเริ่มจากการเคลื่อนไหวในปีพ.ศ. 2514 ที่ผู้หญิงทั่วทั้งฝรั่งเศสจำนวน 343 คน ร่วมกันเขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้มีการทำแท้งเสรี ส่งผลให้รัฐบาลฝรั่งเศสบัญญัติให้การทำแท้งถูกกฎหมายในปี พ.ศ. 2518 แม้เรื่องการทำแท้งจะถูกกฎหมายมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ถูกบรรจุลงในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน จนกระทั่งในสมัยของประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ที่ต้องการให้มีการรับรองสิทธิการทำแท้งไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างความประจักษ์ในเจตนารมย์เสรีการทำแท้ง ซึ่งช่วยสนับสนุนฐานเสียงของคนรุ่นใหม่ให้กับเขา

อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญดังกล่าวจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่มองว่าการทำแท้งเป็น “Moral Debt” ที่แม้เป็นสิทธิของสตรีในการตัดสินใจทำแท้งก็จริง แต่เด็กที่อยู่ในท้องกลับไม่มีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่นี่ถือว่าเป็นหนี้ทางศีลธรรมที่หญิงทำแท้งสร้างขึ้น ในขณะที่หน่วยงาน Pontifical Academy for Life สังกัดวาติกันได้ต่อต้านเสรีการทำแท้งว่าขัดต่อ “จริยธรรมทางชีวภาพ” โดยออกแถลงการณ์ว่า “ในยุคของสิทธิมนุษยชนสากล ไม่มี 'สิทธิ' ที่จะปลิดชีวิตมนุษย์ได้” โดยเฉพาะสิทธิของเด็กที่ยังไม่เกิดมา

ที่มา: France makes abortion a constitutional right in historic Versailles vote, the Guardian.
#ทำแท้งเสรี
#ฝรั่งเศส

Savanta วิจัย พบว่า มากกว่า 90% ของเด็ก Gen Z รู้สึกเบื่อหน่ายและไม่พอใจกับการใช้ Dating App โดยคนโสด เจน Z จำนวนมาก เริ...
04/05/2024

Savanta วิจัย พบว่า มากกว่า 90% ของเด็ก Gen Z รู้สึกเบื่อหน่ายและไม่พอใจกับการใช้ Dating App โดยคนโสด เจน Z จำนวนมาก เริ่มหัสหลังให้กับ Dating App และมองหาทางเลือกใหม่ ๆ ในการเจอและทำความรู้จักผู้คน โดยส่วนหนึ่งหันกลับไปใช้วิธีการแบบเดิมที่เคยนิยมกัน

สถิติล่าสุดชี้ให้เห็นว่า Tinder แอพหาคู่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก กลับมีผู้ใช้งานลดลงมากถึง 5% ในปี 2021 เช่นเดียวกับหุ้นของ Bumble และ Match Group ซึ่งเป็นเจ้าของ Tinder ก็ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา

เจน Z หลายคนดูจะไม่พอใจกับ Interface ของแอพหาคู่ โดยเปรียบแอพหาคู่เป็นเหมือนการทำงานที่ทำให้รู้สึกหมดไฟ เพราะผู้คนต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการจัดการโปรไฟล์ของตัวเองให้มีคนสนใจอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังต้องเข้ามาตอบแชท อย่างสม่ำเสมอ เปรียบได้กับการทำงานเสริม นอกเหนือจากงานประจำที่ทำอยู่และภาระหน้าที่อื่น ๆ
มากไปกว่านั้น แม้ว่าคนที่ได้ Match จำนวนมาก ก็ยังรู้สึกว่าได้รับประสบการณ์การใช้แอพที่ไม่ค่อยดี เพราะส่วนมากที่ Match กันแล้ว กลับคุยกันไม่รู้เรื่อง และสุดท้ายก็โดนเท รวมถึงการที่ต้องปฏิเสธผู้คน หรือ Swipe Left อยู่ตลอดก็ทำให้รู้สึกแย่และบั่นทอนจิตใจ เหมือนเป็นการตัดสินคนอื่นเพียงไม่กี่วินาที

Gen Z จึงมองหาทางเลือกในการเดทแบบใหม่ พวกเขากำลังมองหาวิธีในการเชื่อมโยงกับผู้คนในโลกออนไลน์อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด โดย Instagram ที่สามารถแชร์ชีวิตประจำวันและไลฟ์สไตล์ของเราให้ผู้ที่ติดตามได้รับรู้ ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขา ทำให้การจีบกันนั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไป และทำให้รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง

“สำหรับฉัน Instagram ชนะ Dating App ทุกอย่าง” จอย โอโฟดู สาว Gen Z ที่ได้รู้จักกับแฟนผ่าน Instagram Direct Message กล่าว “Instagram ทำให้ฉันได้เห็นเขา เห็นเพื่อนของเขา ได้รู้ว่าวันนี้แม่เขากินอะไรบ้าง ฉันสามารถรับรู้ได้ว่าเขาพูดคุยกับเพื่อนยังไง ผ่านคอมเมนต์ใต้โพสต์ มันอาจจะฟังดูน่ากลัว แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ดี ทำให้ฉันได้รู้จักตัวตนเขาจริง ๆ ”
ในอนาคต Dating App ที่ได้ถูกแทนที่ด้วย social media อย่าง Instagram นั้น จะสามารถกลับมาครองใจชาว Gen Z ได้อีกครั้งหรือไม่และตัวแอพจะมีการพัฒนาหรือปรับตัวไปในทิศทางไหน คงต้องรอติดตามกันต่อไป

ที่มา:
This article is more than 6 months old ‘It’s quite soul-destroying’: how we fell out of love with dating apps,the Guardian. NBC News.
Gen Zers want to date more ‘organically.’ Some say Instagram brings them closer to that goal.,NBC News.

แพนด้าไม่ได้มีแต่ขนขาว-ดำ จีนพบหมีแพนด้า“สีขาว-น้ำตาล” ซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์ามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่...
04/05/2024

แพนด้าไม่ได้มีแต่ขนขาว-ดำ

จีนพบหมีแพนด้า“สีขาว-น้ำตาล” ซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์ามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างเครือญาติ โดยแพนด้าสีน้ำตาลตัวแรกถูกค้นพบเมื่อเดือนมีนาคม 1985 ในเขตฟูปิง มณฑลซานซี เทือกเขาชินหลิ เป็นแพนด้าเพศเมียชื่อ "ดันดัน" ซึ่งถูกนำไปเลี้ยงจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 2000

งานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ ในวารสาร PNAS ได้ศึกษาพันธุกรรมของแพนด้าหลายตัวทั้งในป่าและในสถานที่เลี้ยง ชี้ว่า แพนด้าสีขาว-น้ำตาล เกิดจากการกลายพันธุ์หลังจากการค้นพบดันดัน มีรายงานการพบเห็นแพนด้าสีน้ำตาลอีก 11 ครั้ง โดยนักวิจัยได้ทำการศึกษาผ่าน "ฉายไซ" แพนด้าสีขาว-น้ำตาล เพศผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือในปี 2009 ปัจจุบันฉายไซเป็นแพนด้าสีขาว-น้ำตาล เพียงตัวเดียวที่อยู่ในสถานเลี้ยงแพนด้าของศูนย์วิจัย โดยมีการเปรียบเทียบขนของฉายไซกับแพนด้าขาว-ดำ พบว่า ขนสีน้ำตาลของมันมีเม็ดสีน้อยกว่าและมีขนาดเล็กกว่า อีกทั้งเม็ดสีเหล่านี้ยังมีรูปร่างที่ผิดปกติแปลกออกไปจากแพนด้าสีขาว-ดำ เมื่อนำขนของฉายไซไปเปรียบเทียบกับตัวอย่างขนจากแพนด้าสีขาว-ดำ 3 ตัว ด้วยการส่องกล้องจุลทรรศน์ นักวิจัยวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมของฉายไซ พบการกลายพันธุ์ในยีน “BACE2” ยีนนี้ผลิตเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสี (melanosomes) มีหน้าที่สร้างเม็ดสีผิว หนัง และขน ในสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นเหตุให้โครงการของเซลล์ขนาดเล็กผิดปกติ

การกลายพันธุ์นี้ส่งผลต่อจำนวน ขนาด และรูปร่างของเม็ดสี จึงทำให้ขนของแพนด้าเป็นสีขาว-น้ำตาล ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติมากกว่าการผสมพันธุ์นั้นเอง การวิเคราะห์เครือญาติของแพนด้าตัวนี้ บ่งชี้ว่าพ่อแม่ของฉายไซไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน แม้ว่าในรายงานยังไม่ระบุแน่ชัดว่าอะไรทำให้เกิดการกลายพันธุ์จนทำให้เกิดสีขนประหลาด แต่คาดว่าอาจะเกิดขึ้นด้วยสภาพแวดล้อมของเทือกเขาที่สามารถพบแพนด้าสีน้ำตาล-ขาว และการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมสามารถยืนยันได้ว่าไม่ได้เกิดจากพันธุกรรมอย่างที่เคยตั้งข้อสันนิษฐานไว้ก่อนหน้านี้

#แพนด้า #จีน #พันธุกรรม

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when NowZ News posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Videos

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Videos
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share