08/07/2019
Toy Story 4
-----
สุดสัปดาห์นี้ ผมพาตัวเองกลับเข้าเมือง หลังหนีกลับบ้านนอกไปหลายเดือน เพื่อมาดูภาพยนตร์การ์ตูนที่ใกล้จะออกโรงแล้วอย่าง Toy Story4 ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ผมเป็นแฟนเรื่องนี้มาตั้งแต่ภาคแรก
ก่อนดู ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมต้องมีภาคต่อและจะขยายจักรวาลยังไง ในเมื่อภาค 3 จบอย่างสมบูณณ์แบบเอามากๆ
ทว่าเมื่อดูจบ Toy Story4 กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของปี 2562 ที่ทำเอาน้ำตาผมไหลอย่างเงียบๆ
หากเปรียบเป็นหมากรุก Toy Story4 คือการขยับเพียงแค่เบี้ย แต่เล่นเราเอาถึงรุกฆาต เพราะหนังไม่ได้ขยายจักรวาลใหญ่โตอะไร เพียงแค่ตั้งคำถามง่ายๆ แต่เจ็บปวดผ่านทุกตัวของเล่นที่เราผูกพันธ์มาตั้งแต่ภาคแรกว่า พวกเขาจะเป็นยังไง ในวันที่เด็กไม่ได้เห็นคุณค่าและจะค่อยๆ หลงลืมเขาไป
จังหวะที่ทำผมน้ำตาไหลเริ่มต้นตรงที่ โบพีพ ถาม วู๊ดดี้ว่า “นายหลงทางมาเหรอ”
ที่จริงจะว่าไป ที่น้ำตาไหลไม่ใช่เพราะว่าวู๊ดดี้หลงทางมาจริงๆ ไหม แต่เป็นเพราะหลายปีมานี้ ผมเองก็รู้สึกและถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่า เราหลงทางอยู่หรือเปล่า
หากเกียรติยศของ “ของเล่น” คือ การมีเด็กสักคนรักและเห็นคุณค่าดังที่เป็นมาตั้งแต่ภาคแรก
Toy Story4 ขยับจุดคำถามหรือเบี้ยเพียงเล็กน้อย แต่แสนเจ็บปวดเหมือนมีใครเอาฆ้อนปอนด์มาทุบว่า ในวันที่ไม่มีเด็กเป็นเจ้า่ของ คุณค่าของเล่นอย่างพวกเขาจะอยู่ตรงไหน
วู๊ดดี้, โบพีพ, แก็บบี้, ดุ๊ก คาร์บูม ฟอกกี้ และ เพื่อนๆ ของเล่นภาค 4 ดูราวกับเป็นของเล่นที่ต่างหลงทางจากความรักของเจ้าของ
แต่ท้ายที่สุด พวกเขาต่างแสดงให้เห็นว่า บางครั้งคุณค่าของชีวิตสำหรับของเล่นก็มิใช่เพียงการได้รับความรักจากคนอื่น แต่คือการที่พวกเขาต่างรู้ว่าชีวิตของพวกเขามีคุณค่า
โบพีพ บอกกับวู๊ดดี้ว่า “ไม่ใช่พวกเราหรอกที่หลงทาง”
ดุ๊ก คาร์บูม แสดงให้เห็นว่า เขาไม่สามารถจะจมอยู่กับเงาอดีตความผิดหวัง เพราะเขายังมีคุณค่าเสมอ ตราบใดที่เขายังคือดุ๊ก คาร์บูม
บทสรุปความยิ่งใหญ่ของ Toy Story4 สำหรับผม ไม่ได้หมายถึงการจากลาของวู๊ดดี้กับเพื่อนๆ หรือแก็บบี้มีเด็กที่เห็นคุณค่าในตัวเธอ หรือฟอกกี้ ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นขยะอีกต่อไป
แต่ความยิ่งใหญ่ของ Toy Story4 คือ การทำให้สิ่งไม่มีชีวิตอย่างของเล่น ให้กลายเป็นสิ่งที่มีชีวิต และทำให้คนที่มีชีวิตจริงๆ อย่างผม ได้ย้อนกลับมามองถึงคุณค่าของการมีชีวิต ในวันที่คิดว่าหลงทางมาหลายปี