The tastes

The tastes Contact information, map and directions, contact form, opening hours, services, ratings, photos, videos and announcements from The tastes, News & Media Website, .

ปลาทู --   ปลาทองของไทยเมื่อวาน เจอปลาทูรูปโฉมใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช้า เจอปลาทูราดซอสพริกขี้หนู ที่ร้าน Little tree ...
16/02/2020

ปลาทู -- ปลาทองของไทย

เมื่อวาน เจอปลาทูรูปโฉมใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช้า เจอปลาทูราดซอสพริกขี้หนู ที่ร้าน Little tree Garden สามพราน นครปฐม เย็นเจอ ต้มยำปลาทูผักเสี้ยนดอง ที่ร้านครัวคุณอิ้น ร้านอาหารใต้ตรงเลียบทางด่วนรามอินทราอาจณรงค์

ไม่ได้เจอผักเสี้ยนดองมานานหลายสิบปี จนเกือบลืมไปว่า มันมีอยู่ ตอนเด็กๆคุณย่ามักจะเอามากินกับน้ำพริกบ้าง ต้มกับกระดูกหมูบ้าง เท่าที่จำได้ แต่ยังไม่เคยกินแบบต้มยำกับปลาทู อร่อยดี แม้จะยังไม่ค่อยคุ้นกับรสผักเสี้ยนดองที่มันเร้นอยู่ในน้ำต้มยำนัก
ผักเสี้ยนนี้ต้องกินแบบดองเท่านั้น ถ้ากินแบบสด มันจะมีพิษบางอย่าง แต่พอดองก็จะสิ้นพิษ สรรพคุณทางการแพทย์นั้นเทียบได้กับยาทีเดียวเชียว

นี่เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ได้กิน ปลาทูราดซอสพริก ก็อร่อยดีไม่เลว
แต่ไม่รู้สิ ในบรรดาเมนูปลาทูทั้งหลายนั้น ไม่มีอะไรชนะใจไปกว่าน้ำพริกปลาทูอีกแล้ว
ไม่มีอะไรจะดีงามไปกว่าปลาทูสีทองทอดสดๆใหม่ๆกินกับข้าวดีๆร้อนๆ ไม่มีน้ำพริก ก็เหยาะ น้ำปลา ซีอิ๊ว สวรรค์แค่เอื้อม
น้ำพริกปลาทูที่อร่อยที่สุดเท่าที่กินมา สำหรับเราขอยกให้ ร้าน บ้านไอซ์ เป็นเลิศ
ส่วนข้าวผัดปลาทูที่ประทับใจนั้นมีสองที่ ปิดไปแล้วที่หนึ่ง อีกที่จำชื่อไม่ได้ 555

ปลาทูนึ่งที่อร่อย ว่ากันว่า ต้องเป็นปลาทูตัวสั้นๆ หน้างอคอหัก จากแม่กลอง ปลาทูหน้าเริ่ดเชิดหยิ่งอาจไม่อร่อย แต่ที่เรียกกันว่าปลาทูนึ่งนั้น จริงๆแล้วไม่ได้ผ่านกระบวนการนึ่งเลยนะคะ แต่มันคือปลาทูต้มเกลือแล้วเอาขึ้นมาราดน้ำเย็น เพื่อให้เนื้อกระชับแวววาว

ข่าวร้ายก็คือ ปลาทูแม่กลอง หากินยากแล้ว มีน้อยลงทุกวันๆ ปลาทูนึ่งที่เราเห็นในตลาด เราอาจจะไม่รู้หรอกว่ามันมาจาก อินเดีย พม่า บังคลาเทศ หรือว่าโอมานน์

ใครๆก็บอกว่า ทอดปลาทูให้อร่อยต้องไม่ไฟแรง ไฟกลางๆ ใจเย็นๆ แล้วปลาทูจะกลายเป็นปลา(สี)ทอง
ฉันรักปลาทู…

สะเต๊ะลือ“  ‘สะเต๊ะลือ’ ฟังชื่อดูก็แปลก แล้วแปลกจริงๆที่ไม่มีใครทำ แล้วทำไมต้อง ลือ อันนี้ผู้กินจะตอบได้เมื่อกินเข้าไปแล...
12/02/2020

สะเต๊ะลือ

“ ‘สะเต๊ะลือ’ ฟังชื่อดูก็แปลก แล้วแปลกจริงๆที่ไม่มีใครทำ แล้วทำไมต้อง ลือ อันนี้ผู้กินจะตอบได้เมื่อกินเข้าไปแล้ว
สะเต๊ะลือ เป็น อาหารชวา ซึ่งผู้รู้จากชวามาสอนให้ทำ พร้อมกับการทำข้าวคลุกชวา ที่ใส่เครื่องคลุกมากมาย หลายสิบอบ่าง จนข้าพเจ้าจำอะไรไม่ได้เลย
ส่วนสะเต๊ะลือนี้ เขามีชื่อตามภาษาชวาของเขา แต่ด้วย
ความอร่อยถูกปากคนกินนักหนา พระวิมาดาเธอจึงโปรดให้ชื่อเสียใหม่ว่า “สะเต๊ะลือ ”
หม่อมเจ้าหญิงแย้มเยิ้อน สิงหรา เป็นผู้เรียนกับครูกับข้าวที่มาสอนจากชวา สะเต๊ะลือได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปบ้างจากตำราเดิม เพื่อให้เหมาะสมที่จะเป็นอาหารภาคกลาง
ถ้าคนชวากลับมากินก็คงว่าไม่เอาไหน ด้วยอ่อนเครื่องเทศ แต่คนภาคกลางไม่ชอบเครื่องเทศที่ฉุนเกินไป
การเสียบไม้ก็ไม่เสียบบางๆเหมิอนสะเต๊ะทั่วไป ต้องด้นหมูชิ้นยาวๆ อัดกระแทก เข้าไปให้แน่นไม้ จนตัวสะเต๊ะเมื่อเสียบเสร็จ กลมตะหลุกปุก หนักจนไม้อ่อนโค้งเหมือนจะหักลงไป
เมื่อกำลังเสียบอยู่ดิบๆ ก็หอมหวนชวนกินทั้งดิบๆอยู่แล้ว เวลาเอามาปิ้งต้องพรมน้ำเครื่องปรุงให้สะเต๊ะบนเตาตลอดเวลา มิฉะนั้นสะเต๊ะจะแข็ง
เพียงกลิ่นปิ้งควันโชยไปถึงไหนก็จะเรียกคนมามุงกันแล้ว
……….
ของชวาเดิมทำแต่ไก่กับเนื้อ ท่านอามาทดลองเอาหมูมาทำกลับกินดี นุ่มนวลอร่อยกว่าตำราเดิม
น้ำจิ้มก็ไม่ใช่แบบข้นๆ ใช้จิ้มน้ำส้มใสๆ กินกับผักกาดห่อแตงกวา”

คัดจากเรื่อง ชีวิตในวัง เขียนโดย หม่อมหลวงเนื่อง นิลรัตน์

ภาพ กูเกิ้ล

ผัดไทยอาหารไทยที่เดินทางได้ไกลที่สุดตำนานผัดไทยที่มักเล่าสืบต่อกันมา รวมทั้งที่ปรากฎในวิกิพีเดีย มีเรื่องราวคล้ายๆกัน คื...
04/02/2020

ผัดไทย
อาหารไทยที่เดินทางได้ไกลที่สุด
ตำนานผัดไทยที่มักเล่าสืบต่อกันมา รวมทั้งที่ปรากฎในวิกิพีเดีย มีเรื่องราวคล้ายๆกัน คือ ตั้งแต่สมัย จอมพล ป พิบูลสงครามรณรงค์ให้ประชาชนไทยกินก๊วยเตี๋ยว เพื่อลดการบริโภคข้าวในประเทศ ในยุคข้าวยากหมากแพงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จอมพล ป. บอกว่า “อยากให้กินก๊วยเตี๋ยวโดยทั่วกัน”
ในหนังสือ My Chefs อนุสรณ์ ติปยานนท์ เขียนว่า “ท่านผู้นำ ไม่ปรารถนาให้อาหารเส้นแบบจีนอย่างก๊วยเตี๋ยวยึดครองรสนิยมคนไทยไปเสียหมด ด้วยความรักชาติอย่างแรงกล้า ท่านผู้นำจึงมีบัญชาให้ภรรยาคู่ใจ คือท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม คิดค้น เมนูอาหารเส้นเพื่อแข่งขัน
ท่านผู้หญิงหยิบเอาหลายสิ่งที่เป็นไทยมาผสมผสานทีละส่วน ตั้งแต่น้ำมะขามเปียกที่เป็นวัตถุดิบหลักในแกงส้ม กุ้งแห้งที่ใช้ในการตำน้ำพริกกะปิอยู่เสมอ เครื่องเคียงอย่างหัวปลีที่มาจากต้นกล้วยอันเป็นพืชพื้นบ้านประจำถิ่น จากนั้นก็ใช้การผัดแห้งแทนการใช้น้ำซุปอย่างก๊วยเตี๋ยวทั่วไป ..”
ผัดไทยในยุคแรกใช้เส้นจันท์ในการผัดซึ่งจะเหนียวกว่าเส้นเล็ก และเรียกกันต่อมาว่า ก๊วยเตี๋ยวผัดบ้าง กีวยเตี๋ยวผัดไทยบ้าง และเหลือเพียง ผัดไทยในปัจจุบัน
แต่ในหนังสือ โอชากาเล ของคุณ กฤช เหลือลมัย ซึ่งเป็นนักโบราณคดีที่มาสนใจเรื่องอาหาร ก็พยายามสืบค้นหาความจริงเรื่องตำนานผัดไทยเพื่อหาหลักฐานที่แน่ชัด มีการเข้าไปคุยกับทายาทของจอมพล ป. ซึ่งบอกว่า คุณพ่อไม่น่าจะเป็นต้นกำเนิด เพราะเคยกินก๊วยเตี๋ยวแบบนี้ที่ราชวงศ์ ก่อนคุณพ่อเป็นนายกรัฐมนตรีเสียอีก
คุณกฤชเขียนไว้ว่า อาจารย์ ประยูร อุลุชาฎะ เขียนไว้ในหนังสือ อาหารรสวิเศษของคนโบราณ พศ. 2531 ว่า ผัดไทยหน้าวัดมหรรณพาราม ในกรุงเทพฯ ตอนที่ท่านกินในวัยหนุ่มนั้น ขายมาได้นานสามสิบกว่าปีแล้ว ปรุงรสเปรี้ยวด้วยน้ำส้มสายชู ไม่ใช่น้ำมะขามเปียก
ส่วนเครื่องปรุงผัดไทยใน ตำราอาหารชุดประจำวัน ของคุณจิต์ตสมาน โกมลฐิติ นั้น เค็มด้วยเต้าเจี้ยว เปรี้ยวด้วยน้ำส้มสายชู แถมมีกระเทียมดองหั่น ผักชี พริกแดง ผิวส้มซ่าโรยหน้าในจานอีกต่างหาก จะเห็นว่าสูตรนี้เหมือนกันเป๊ะกับ “เข้าผัดหมี่” ในตำราแม่ครัวหัวป่าก์
คุณกฤช เชื่อว่า กำเนิดผัดไทย ยังคงเป็นปริศนาต่อไป ….
แต่ไม่ว่ากำเนิดมาอย่างไร ผัดไทยก็นับว่าเป็นอาหารไทยที่เดินทางไกลไปทั่วโลกมากที่สุด แต่ก็เป็นการเดินทางที่ คุณอนุสรณ์ ติปยานนท์บอกว่า ได้ละทิ้งหลายอย่างออกไป
เขาเขียนว่า “ถั่วลิสงคั่วถูกถอดออกสำหรับคนตะวันตกที่แพ้มันอย่างจริงจัง หัวปลีที่หาได้ยากเย็นกลายเป็นเครื่องแนมที่แทบไม่เคยปรากฎตัวนอกพื้นที่ของมัน กุ้งสดขนาดใหญ่กลายสภาพเป็นกุ้งแช่แข็ง ไม่นับว่าการใช้เตาถ่านที่ถือว่าให้กลิ่นหอมแบบเฉพาะเจาะจงกับการผัดเส้นนั้น ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจกระทำได้ในร้านอาหารที่มีข้อบังคับเรื่องความปลอดภัย”
แล้วร้านผัดไทยที่อร่อยที่สุดของคุณคือร้านไหนกันบ้างคะ
ภาพจาก Alyssa Kowalski on Unsplash

ซีซาร์เกี่ยวอะไรกับสลัด? แน่นอนว่าชื่อซีซาร์ทำให้นึกภาพจักรพรรดิหน้าบูดสวมชุดโทกากำลังกินอาหารกลางวัน ก่อนจะสั่งโยนชาวคร...
31/01/2020

ซีซาร์เกี่ยวอะไรกับสลัด?
แน่นอนว่าชื่อซีซาร์ทำให้นึกภาพจักรพรรดิหน้าบูดสวมชุดโทกากำลังกินอาหารกลางวัน ก่อนจะสั่งโยนชาวคริสต์สักคนสองคนให้สิงโตกินเพื่อความบันเทิงและเพื่อให้ประชาชนชาวโรมพอใจ แต่ปรากฏว่าซีซาร์สลัดมีอายุไม่ถึง 100 ปี แถมยังมาจากสถานที่ซึ่งเรานึกไม่ถึงอย่างเม็กซิโก
ซีซาร์ คาร์ดินี (Ceasar Cardini, 1896 - 1956) เกิดที่อิตาลีและอพยพไปอเมริกากับพี่น้อง 3 คนในช่วงที่เริ่มเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ตอนนั้นเป็นยุคห้ามจำหน่ายสุราซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่ายุคแห่งการทดลองอันทรงเกียรติ Noble Experiment) ระหว่างปี 1917 - 1933 สหรัฐอเมริกาสั่ง ห้ามขาย ผลิต และขนส่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด จุดประสงค์ คือเพื่อส่งเสริมศีลธรรมและปรับปรุงพฤติกรรมของชาวอเมริกัน แต่เอาเข้าจริงกลับเป็นการสนับสนุนให้เกิดชบวนการอาชญากรรมขนานใหญ่ ซีซาร์กับน้องชายชื่ออเล็กซ์รู้ว่าผู้คนยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะดื่มเหล้าสักแก้วสองแก้ว จึงเห็นลู่ทางทำธุรกิจถูกกฏหมายและคว้าโอกาสนั้นไว้ในปี 1924 พวกเขาเดินทางสั้น ๆ ย้ายจากลอสแอนเจลิสข้ามพรมแดนไปเม็กซิโก เปิดร้านอาหารในเมืองติฆัวนา หลังจากนั่น เมืองนี้ก็กลายเป็นสถานที่สุดโปรดของชาวแคลิฟอร์เนียใต้ผู้อยากเฮฮาปาร์ตี้ช่วงสุดสัปดาห์
คาร์ดินีประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการขายแอลกอฮอล์รสแรงคู่กับอาหารอิตาเลียนแสนอร่อย โรซา ลูกสาวของซีซาร์เล่าว่าในงานฉลองวันชาติอเมริกา ร้านนี้มียอดจองโต๊ะสูงมาก ไม่นานพ่อเธอก็ใช้วัตถุดิบทำอาหารให้ลูกค้าผู้เมามายจนหมด เขาแก้ปัญหาด้วยการทำสลัดจากอะไรก็ตามที่เหลืออยู่ในครัว ได้แก่ กะหล่ำปลี ครูตอง เนยแข็งพาร์เมซาน ไข่ น้ำมันมะกอก น้ำเลมอน พริกไทยดำ และวูสเตอร์ซอส บางทีเขาอาจพยายามชดเชยความเรียบง่ายของอาหารจานนี้ด้วยการเสิร์ฟอย่างเลิศหรู คลุกสลัดต่อหน้าลูกค้าเพื่อให้น้ำสลัดข้นเคลือบผักทุกชิ้นอย่างทั่วถึง
มีเรื่องเล่าว่าอาหารจานนี้ได้รับความนิยมมากในกลุ่มดาราภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ขึ้นเครื่องบินมาร่วมงานในช่วงสุดสัปดาห์ จนอเล็กซ์ตั้งชื่อให้มันว่า “สลัดนักบิน” (Aviator salad) เพื่อเป็นเกียรติแก่พวกเขา ภายหลังเมื่อร้านอาหารย้ายมาตั้งที่ชั้นล่างของโรงแรมคอมเมอร์เชียล พี่น้องคาร์ดินีก็สารภาพความจริง แล้วสลัดดังกล่าวก็เปลี่ยนไปใช้ชื่อซีซาร์ จากนั้นไม่นานมันก็กลายเป็นอาหารจานโปรดในหมู่ดารายุคนั้น พวกเขาจะสั่งอาหารจานนี้ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดก็ตาม
ถึงซีซาร์สลัดจะไม่ได้มีอายุยาวนานหลายศตวรรษ แต่เราก็พบว่าชาวโรมันชอบกินผักสดมากเช่นกัน สลัดในยุคนั้นมีส่วนเหมือนสลัดสมัยใหม่อยู่มากตรงที่ประกอบด้วยผักหลายชนิด รวมถึงร็อกเก็ต วอเตอร์เครสส์ แมสโลว์ ซอร์เรล กูสฟุต ผักเบี้ยใหญ่ ชิโครี ใบบีทรูด ขึ้นฉ่าย เชอร์วิล โหระพา และสมุนไพรสดชนิดอื่น ๆ คำว่าสลัดนั้นมาจากคำในภาษาละตินคือ Salata herba แปลตรงตัวได้ว่า “สมุนไพรใส่เกลือ” นี่แสดงว่าทั้ง จูเลียส ซีซาร์ และ ซีซาร์ คาร์ดินี ต่างชื่นชอบน้ำสลัดรสเข้ม วิธีการปรุงสลัดที่คิดขึ้นมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทำให้ซีซาร์ คาร์ดินีกลายเป็นคนรวย ในที่สุดเขาก็จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้ผลงานอันโด่งดังนี้ในปี 1948 ทุกวันนี้บริษัทคาร์ดินียังคงเป็นผู้ผลิตน้ำมันและน้ำสลัดมากมายหลายชนิดที่ชาวอเมริกันชื่นชอบ
คัดลอกจากหนังสือ ตำนานอาหารโลก : เบื้องหลังจานโปรดโดนใจคนทั่วโลก พลอยแสง เอกญาติ แปลจาก What Ceasar did for my Salad? : The secret meaning of our favourite dishes
Albert Jack เขียน
ภาพจาก Monika Grabkowska on Unsplash

ปาท่องโก๋  : ปีศาจทอดน้ำมันสำนวนไทยมักจะพูดกันว่า สองคนนี้สนิทกันราวกับปาท่องโก๋ ส่วนคนเก่าแก่ชาวจีนจะมีสำนวนพูดกันว่า ก...
30/01/2020

ปาท่องโก๋ : ปีศาจทอดน้ำมัน
สำนวนไทยมักจะพูดกันว่า สองคนนี้สนิทกันราวกับปาท่องโก๋ ส่วนคนเก่าแก่ชาวจีนจะมีสำนวนพูดกันว่า กินปาท่องโก๋ อย่าลืมแช่งกังฉิน ความหมายห่างกันไกล แต่ก็บ่งบอกถึงตำนานที่มาของปาท่องโก๋ได้ดี ทั้งในหนังสือ หอเจี๊ยะตึ้ง ตำนานอาหารจีน ของ อ.ศุภวุฒิ จันทสาโร (สำนักพิมพ์ยิปซี 2560) และหนังสือ เปิด ห่อ คำ ยาย ของคุณขนิษฐา ขนิษฐานันท์ (สำนักพิมพ์ มติชน พ.ศ.2544) เล่าที่มาของปาท่องโก๋ซึ่งคาดว่าจะเป็นอาหารเก่าแก่นับพันปีเหมือนกันว่า...

ในอดีตแผ่นดินซ้อง มีแม่ทัพคนหนึ่งชื่อ งักฮุย ที่จงรักภักดี และรักชาติบ้านเมืองยิ่งชีวิต นำทัพปกป้องบ้านเมืองไว้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ถูกขุนนาง ชื่อ ฉิงไกว่และเมียซึ่งรีดนาทาเร้นและข่มเหงราษฏร ให้ร้ายหาว่างักฮุยเป็นกบฏ จนงักฮุยถูกตัดสินประหารชีวิต ผู้คนเกลียดชังฉิงไกว่และเมียมาก ลุกฮือบุกเข้าไปมัดติดกันและสำเร็จโทษ บ้างบอกว่าเอาไปตัดหัว บ้างบอกว่าเอาไปทอดน้ำมัน….
ขนิษฐาเขียนใน เปิด ห่อ คำ ยาย ว่า …. “ยายบอกว่า แม้ผัวเมียตายตามกันไปแล้ว ประชาชนยังไม่หายแค้น ยังคงสาปแช่ง และมีคนช่างคิด เอาแป้งมานวดๆปั้นเป็นเส้นๆ แล้วนำมาแนบติดกันตรงกลาง แล้วโยนไปทอดน้ำมันให้เหลืองกรอบ กินไปก็แช่งฉิงไกว่และเมียไป และสอนลูกหลานว่าโตขึ้น อย่าริเป็นขุนนางชั่ว
ยายเล่าให้ฟังอีกว่าที่เมืองจีนยังมีการสร้างศาลางักฮุยบนเขาเพื่อบูชาคุณความดี ตรงทางขึ้นมีคนเอาหินก้อนใหญ่มาแกะสลัก ด้านหนึ่งเป็นรูปขุนนางฉิงไกว่ อีกด้านเป็นเมีย เวลาคนขึ้นไปไหว้งักฮุยก็จะถ่มน้ำลายรด บ้างก็ให้ลูกฉี่รด..”
ในหนังสือ หอเจี๊ยะตึ้ง บอกว่า ปาท่องโก๋นั้น แท้จริงแล้ว เรียกว่า อิ่วจาก้วย แปลว่า ขนมทอดน้ำมัน ถ้านำแป้งคู่มาประกบเป็นท่อนยาวก็จะเรียกว่า อิ่วเตี๋ยว แปลว่าขนมทอดน้ำมันเส้นยาว ทุกวันนี้ถ้าไปฮ่องกงก็ต้องสั่งว่า อิ่วจาก้วย ถ้าสั่งปาท่องโก๋ ก็จะไม่มีใครเข้าใจ
ที่ได้กลายเป็นปาท่องโก๋นั้น ในหนังสือ เปิด ห่อ คำ ยาย เขียนไว้ว่า
“ …. พี่ชายฉันบอกว่า จริงๆแล้วปาท่องโก๋เพี้ยนมาจากภาษาแต้จิ๋วว่า แป๊ะทึ้งก้วย คือแป้งแผ่นทอดน้ำมันคลุกน้ำตาลทราย แต่ก่อนนี้ แป๊ะทึ้งก้วยขายคู่กับอิ่วจาก้วย นานๆเข้าแป๊ะทึ้งก้วยเสื่อมความนิยม เหลือแต่อิวจาก้วย ก็เลยหลงเรียกกันผิดๆ” เรียกสลับกัน แล้วจากแป๊ะทึ้งก้วยก็กลายเป็นปาท่องโก๋
และในตำนานอาหารจีนก็บอกว่า … ในมณฑลฮกเกี้ยน ขุนนาง ฉินไกว่ ที่ผู้คนเกลียดชังนั้น ภาษาฮกเกี้ยนจะออกเสียงว่า ฉินกุ้ย จึงมีคำเรียกขนมนี้อย่างเจ็บแสบว่า อิ่วจากุ้ย กุ้ยตัวนี้แปลว่า ปีศาจ
… แปลว่า ปีศาจทอดน้ำมัน

ภาพจาก : http://nattanan2013.blogspot.com/2015/02/blog-post_4.html

ความกะเพรา ความฉุน …เรื่องรายละเอียดของกะเพรา เอาเท่าที่ผมรู้ สรุปคร่าว ๆ ได้แค่ว่า กะเพราเป็น Basil ชนิดหนึ่ง มักเรียกว...
29/01/2020

ความกะเพรา ความฉุน …

เรื่องรายละเอียดของกะเพรา เอาเท่าที่ผมรู้ สรุปคร่าว ๆ ได้แค่ว่า กะเพราเป็น Basil ชนิดหนึ่ง มักเรียกว่า Holy Basil ซึ่งอาจเพราะถูกจัดระดับชั้นให้เป็นใบไม้ศักดิ์สิทธิ์บูชาพระเป็นเจ้าในศาสนาฮินดู ถึงขนาดว่า กะเพราแดง (Krishna Tulsi) ถูกแทนองค์พระวิษณุ และกะเพราขาว (Sri Tulsi) ถูกแทนศักดิของพระองค์ คือพระนางลักษมี
ในจีนบางแห่งใช้กะเพราเข้ายารักษาอาการเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ส่วนหมอยาสมุนไพรไทยก็อาศัยใบกะเพราแดงต้มนำกินช่วยบรรเทาอาการคล้าย ๆ กันด้วย
ถ้าเป็นกับข้าว มันอยู่ในต้มยำ แกงป่าบางสำรับในตำราอาหารไทยมาตั้งศตวรรษก่อน และจริง ๆ คงมีกับข้าวอีกหลายอย่างที่ใช้กะเพราแบบที่คนไทยภาคกลางชิมเข้าคงอึ้งไป เช่น แกงเปรี้ยวของเขมรชามหนึ่งใส่ใบกะเพราปรุงรสตอนท้าย ลองจินตนาการถึงแกงส้มใส่ใบกะเพราก็ได้ครับ
ถ้าใครนึกไม่ออก ให้ไปแถวปากน้ำปราณบุรี หาชิมไม่ยาก
ผมเคยเห็นสูตรยำใบกะเพราในหนังสือตำรากับข้าวไทยเล่มหนึ่ง เดาว่ารสชาติต้องจี๊ดมากแน่ ๆ พอมาสองปีก่อน เคยกินต้มจืดใบกะเพราที่เมืองน่าน กับทั้งตัวเองยังได้ลองปรับใช้ใบกะเพราในฐานะผักในจานผัดผัก ผัดใส่หมูสามชั้นสไลซ์ ปรุงเค็มด้วยเต้าเจี้ยวดำและกระเทียม แบบคนจีนผัดผักบุ้งมาแล้ว ใครได้ใบกะเพราฉุน ๆ มา ลองผัดไฟแดงดูบ้างซีครับ รับรองว่าจะนึกไม่ถึงเชียวแหละ ทีนี้ก็จะขอค่อย ๆ เข้าเรื่องที่จะชวนคุยละนะครับ คือความฉุน และ ‘ความรู้สึก’
มักมีนิยาม คำอธิบาย และควาามเชื่ออย่างหนึ่งนำหน้าคนไทยมาก่อนเลย เวลาใครจะพูดถึงกะเพราแทบทุกครั้ง คือ “กะเพราแดงฉุนกว่ากะเพราขาว” . ทีนี้อะไรคือ ‘แดง’ อะไรคือ ‘ขาว’ ล่ะ มันคงเป็นการแบ่งคร่าว ๆ โดยดูจากสี ผมขอเดาละกันว่าคนน่าจะเข้าใจว่า ก้านขาวใบเขียว คือกะเพราขาว แต่ถ้าก้านม่วง ใบเขียวปนแดงม่วง คือกะเพราแดง
แต่เรื่องนี้ผมคิดว่าไม่ง่ายอย่างนั้น และจะขอลองจำแนกแลกกันฟังจากประสบการณ์เท่าที่เคยพบมานะครับ
ผมคิดว่าในเมืองไทยกะเพราน่าจะเป็น Basil ชนิดเดียวกันกระมัง ที่รวมหัวขึ้นเป็นดงใหญ่ ๆ ตามทุ่ง ตามริมทางได้ ดงกะเพราเหล่านี้ บางทีก็กินพื้นที่กว้างมากเป็นไร่ ๆ หรือยาวไปตามทางนับเป็นกิโลเมตร เอาความเชื่อแรกก่อนเลยคนชอบคิดว่ากะเพราที่ขึ้นเองตามธรรมชาติแบบนี้ฉุนมาก ๆ . อันนี้บอกได้เลยว่าไม่จริงเสมอไป
ดงกะเพราใบเล็กในบารายปราสาทสด๊กก๊อกธม อำเภอโคกสูง สระแก้ว ที่ผมเคยไปเด็ดเมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้วนั้นไม่ฉุนมากเท่าไหร่ ต่างจากกะเพราใบโตในคูน้ำทิศใต้ของปราสาทบันเตียฉมาร ทางตอนเหนือของกัมพูชา เมื่อห้าปีที่แล้วซึ่งฉุนมาก ๆ ชนิดที่ว่าเหลือเชื่อ
ดงกะเพราริมทางบริเวณก่อนเข้าเขตอำเภอบ่อพลอย และห้วยกระเจา กาญจนบุรี กับรอบ ๆ อ่างเก็บน้ำเขื่อนไม้เต็ง หรือที่เคยมีเป็นดงใหญ่หน้าวัดทุ่งน้อย ในเขตอำเภอเมืองราชบุรีนั้น มีความฉุนร้อนแรงระดับมหากาฬ ชนิดที่ว่าถ้าใครเด็ดกินสด ๆ ผมให้ไม่เกิน 4 ใบครับ เป็นแสบร้อนคอ กินต่อไม่ได้แน่นอน
ความฉุนของกะเพราจึงขึ้นอยู่กับพันธุ์เป็นอันดับแรก ๆ ฤดูกาล ดิน และอากาศเป็นลำดับต่อ ๆ มา
แม่ค้าที่เก็บกะเพราเขื่อนไม้เต็งมาขายที่ตลาดจอมบึงบอกผมว่า ช่วงฤดูร้อนเป็นช่วงที่ฉุนที่สุดจริง ๆ แต่ก็จะเก็บได้น้อยที่สุดด้วย กะเพราพวกที่ฉุนที่สุดที่ผมเคยเจอลำต้นสีม่วงเข้ม ก้านใบแกนใบสีม่วงเช่นกัน ใบสีเขียว กลางแก่กลางอ่อนเจือม่วงอ่อน ๆ ดอกสีเขียวปนม่วง ทรงใบรี ปลายใบมน ใบหนาปานกลาง มีขนอ่อนสีขาวละเอียด ๆ หน้าใบ . แบบนี้บางคนเรียกกะเพราขาว บางคนเรียกกะเพราแดง
กะเพราแดงต้นที่ฉุนที่สุดที่ผมเคยพบนั้น ขึ้นอยู่ข้างศาลารอรถประจำทาง ริมถนนสายจอมบึง - ด่านทับตะโก ราชบุรี อยู่ในดงกะเพราขาวฉุน ๆ โดยที่ตัวมันเองฉุนน้อยกว่าเพื่อน ๆ เล็กน้อย แต่ที่พิเศษคือมันมีกลิ่นหอมลึก ๆ
สำหรับผมกลิ่นฉุนของกะเพรานั้น มีทั้งฉุนร้อน ฉุนหวาน ฉุนหอม ฉุนซ่า กระทั่งเหม็นเขียว เนื้อใบก็มีทั้งบาง ค่อนข้างหนา จนถึงหนาและสากเหนียวมาก ซึ่งย่อมเหมาะในการปรุงกับข้าวแตกต่างกันไป
คัดความมาจากหนังสือ โอชากาเล เขียนโดย กฤช เหลือลมัย สำนักพิมพ์ Way of Book

หรือว่านี่จะเป็นครัวที่(เคย)ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก….“… บริเวณกว้างขวางแห่งหนึ่งทางด้านหลังของพระราชวังกู้กุง (หรือเป็นที่รู...
28/01/2020

หรือว่านี่จะเป็นครัวที่(เคย)ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก….
“… บริเวณกว้างขวางแห่งหนึ่งทางด้านหลังของพระราชวังกู้กุง (หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ Forbidden City อดีตพระราชวังหลวง กลางกรุงปักกิ่ง -- the tastes) ทราบมาว่าเคยเป็นที่ตั้งของสำนักเครื่องต้น เพื่อประกอบอาหารถวายพระเจ้าแผ่นดิน พระราชวงศ์ ข้าราชการ ข้าราชบริพาร ตลอดจนแขกเมืองในสมัยราชวงศ์เหม็ง ต่อมาถึงราชวงศ์เช็ง จึงเป็นอันสิ้นสุด
บริเวณสำนักเครื่องต้นน่าจะใช้เนื้อที่ราว 30 ไร่ ได้ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ในครัวหลวงถึง 2,271 คน สำหรับประกอบอาหาร เลี้ยงดูผู้คน 2,000 คน ได้ตั้งข้อสงสัยว่า อะไรจะขนาดนั้น ต่อมาก็พยายามค้นหารายละเอียดจนพบคำแปลเอกสารราชสำนัก ซึ่งให้รายละเอียดไว้ดังนี้
มีตัวเลขแน่ชัดว่า ในสำนักห้องเครื่องต้นหลวง มีนักโภชนาการระดับยอดฝีมือ 162 คน มีหน้าที่ดูแลรายการอาหารทุกมื้อ ทุกวัน สำหรับผู้คนซึ่งมีระดับการให้บริการต่างกัน 70 คน เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเนื้อสัตว์ต่างๆ พ่อครัวเฉพาะห้องพระเจ้าแผ่นดิน 128 คน ประกอบอาหารให้เฉพาะพระราชวงศ์ฝ่ายใน พ่อครัวอีก 128 คน ดูแลอาหารให้ข้าราชบริพารฝ่ายนอก ผู้ช่วยพ่อครัวใหญ่ 62 คน มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารที่มาจากเมล็ดพืช ผักต่างๆ ผลไม้ทั้งหลาย 335 คน อีก 62 คนดูแลเรื่องสัตว์ที่ได้จากป่า เช่น เนื้องู เนื้อหมี เนื้อเม่น เนื้อกวางป่า
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องปลาชนิดต่าง ๆ ที่หาได้ในแผ่นดินจีน ทั้งที่เป็นปลาน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม 342 คน มีอีก 24 คนดูแลเฉพาะเรื่องเต่า ตะพาบน้ำ กุ้ง และหอย และปูต่างๆ มีเจ้าหน้าที่ตากแห้งเนื้อสัตว์เพื่อเก็บไว้บริโภคระยะยาว 28 คน เจ้าหน้าที่สุราบาล 110 คน แต่ละคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่รู้จักว่า เหล้าชนิดใดใช้ดื่มเมื่อกินอาหารชนิดใด เหล้าชนิดใดให้พลังทางเพศ มีมหาดเล็กถวายพระสุธารส และพนักงานแจกเครื่องดื่ม 320 คน อีก 170 คน เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง “เครื่องดื่ม 6 ชนิด” (ยังค้นไม่พบว่ามีอะไรบ้าง) พนักงานจัดหาและดูแลรักษาน้ำแข็งให้มีบริโภคทุกฤดูกาล จำนวน 94 คน....
พนักงานถาดหน่อไม้ 31 คน (คัดจากคำแปล ไม่ทราบแน่ว่าเป็นไม้ไผ่หรือหน่อไม้ ) พนักงานถาดเนื้อสัตว์ 61 คน พนักงานเครื่องหมักดอง และน้ำจิ้มต่างๆ ระดับผู้เชี่ยวชาญจำนวน 62 คน และอีก 62 คน ดูแลเรื่องเกลือและน้ำตาลที่ใช้ในการประกอบอาหาร

ที่จริงแล้วยังมีการแบ่งผู้เชี่ยวชาญละเอียดละออ ออกไปอีก เช่น นักโภชนาการที่เป็นผู้รู้ซึ้งว่า เครื่องประกอบอาหารชนิดใด บำรุงกำลัง เสริมสุขภาพ อาหารใดช่วยรักษาสมดุล หยินและหยาง

วัฒนธรรมข้างครัวของจีนสมัยหนึ่งสำคัญมาก จนกระทั่งมีบางราชวงศ์ใช้รูปหม้อโลหะสำหรับต้มแกงขนาดใหญ่ เป็นสัญลักษณ์ของแผ่นดิน….”
คัดจากหนังสือข้างครัว เล่ม 2 เขียนโดย คุณพิชัย วาสนาส่ง สำนักพิมพ์สีดา พ.ศ. 2545
ภาพจาก Zizhang Cheng on Unsplash

ติ่มซำ --  จิ๋วแต่แจ๋วติ่มซำ (dim sum ) กำเนิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนในรูปของว่างสำหรับผู้ค้าขายบนเส้นทางสายไหม (Silk Ro...
27/01/2020

ติ่มซำ -- จิ๋วแต่แจ๋ว
ติ่มซำ (dim sum ) กำเนิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนในรูปของว่างสำหรับผู้ค้าขายบนเส้นทางสายไหม (Silk Road) เส้นทางนี้เชื่อมโยงธุรกิจผ้าไหมกำไรงามของจีนเข้ากับดินแดนตะวันออกกลาง อัฟริกา และยุโรป ด้วยเหตุนี้จึงมีโรงน้ำชาผุดขึ้นราวดอกเห็ดตลอดเส้นทาง เพื่อเป็นที่พักผ่อนแก่นักเดินทาง เจ้าของร้านน้ำชาจึงเพิ่มอาหารว่างเบาๆ หลายๆอย่างเข้าไป ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง และกลายเป็นธรรมเนียมการเสิร์ฟติ่มซำคู่กับชา ไปในที่สุด
ดิ่มซำแปลตรงตัวว่า “สัมผัสหัวใจ” และเนื่องจากทำขึ้นเพื่อมีเจตนาให้เป็นแค่อาหารว่าง ไม่ใช่อาหารหลัก จึงประกอบด้วยอาหารชิ้นเล็กๆ เช่น ขนมจีบ เปาะเปี๊ยะ เสิร์ฟมาในเข่งไม้ไผ่
อันที่จริง เวลาชาวจีนชวนกันไปกินติ่มซำ ก็จะพูดว่า ไปหยำฉ่า กันเถอะ ซึ่งแปลว่า ไปดื่มชากันเถอะ แสดงให้เห็นว่า เป็นกิจกรรมที่ต้องทำคู่กัน (ในออสเตรเลียเรียก ติ่มซำว่า หยำฉ่า) สิ่งที่ถือเป็นธรรมเนียมเมื่อกินติ่มซำคือ ต้องรินชาให้เพื่อนร่วมโต๊ะ ก่อนรินให้ตนเอง
ติ่มซำแพร่หลายในราชวงศ์ซ่ง เพราะเป็นยุคที่ร้านน้ำชาเฟื่องฟูทั่วจีน แต่ชาวตะวันตกและชาติอื่นๆไม่รู้จักจนกระทั่งชาวจีนอพยพไปทั่วโลกและปรากฎชุมชนจีนตามเมืองใหญ่ทั่วโลกในศตวรรษที่ 19
ทุกวันนี้ติ่มซำมีหลากหลายแบบ แต่หัวใจของติ่มซำยังคงเดิม นั่นคือ ทุกอย่างเสิร์ฟในสัดส่วนน้อย อาหารปรุงสดใหม่ทุกวัน
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ ตำนานอาหารโลก แปลจาก What Caesar did for my salad : The Secret Meanings of Our Favourite Dishes โดยสำนักพิมพ์ โอเพ่น บุ๊คส์ พลอยแสง เอกญาติแปล
ขอบคุณรูปจาก Pooja Chaudhary on Unsplash

เกี๊ยวมงคล --  เฮง เฮง เฮงอาหารสำหรับเทศกาลตรุษจีน อาหารมงคลของจีน มีหลายอย่าง แต่เพิ่งทราบว่า เกี๊ยว ก็มีความหมายในทางม...
26/01/2020

เกี๊ยวมงคล -- เฮง เฮง เฮง
อาหารสำหรับเทศกาลตรุษจีน

อาหารมงคลของจีน มีหลายอย่าง แต่เพิ่งทราบว่า เกี๊ยว ก็มีความหมายในทางมงคล และนิยมกินกันในตอนตรุษจีน เพราะเป็นสัญญลักษณ์ของความมั่งคั่งอย่างหนึ่ง
รูปร่างของเกี๊ยวจะคล้ายๆกับ เงินแท่ง ทองแท่ง ในสมัยโบราณของจีน

ในประเทศจีนภาคเหนือ มักจะกินเกี๊ยวห่อหมูกันในคืนก่อนปีใหม่จีน เพื่อเป็นมงคล ส่งเสริมให้ชีวิตมีโชคลาภในปีที่จะมาถึง ตัวแป้งเกี๊ยวที่ทำจากไข่ ก็จะมีสีสันที่เชื่อกันว่าเหมือนสีทอง เหมือน ทองแท่งสมัยโบราณนั่นเอง

ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีการใส่เงินซ่อนไว้ในใส้เกี๊ยว ใครก็ตามที่กินเกี๊ยวแล้วเจออันพิเศษที่มีเงินซ่อนอยู่ ก็ถือว่า จะโชคดีมีเงินทองร่ำรวยแน่นอนในปีใหม่ที่จะถึงนี้ ประเพณีนี้ว่ากันว่ายังมีอยู่ในจีนตอนเหนือ

ในหนังสือ หอเจี๊ยะตึ้ง ตำนานอาหารจีนเขียนไว้ว่า
“ มีคนมองเกี๊ยวคล้ายเงินง้วนป้อของจีนโบราณ จึงเกิดธรรมเนียมกินห่อเกี๊ยวไหว้ไฉ่สิ่งเอี๊ยเทพแห่งเงินทอง การกินเกี๊ยวในวันตรุษจีนจึงมีความหมายว่า เหมือนกินเงินทอง กินแล้วทรัพย์สินเต็มบ้าน
ด้วยรูปร่างคล้ายตำลึงทองอันมีความหมายว่า โชคลาภ เกี๊ยวยัดไส้ ชนิดต่างๆ จึงมีความหมายมงคลต่างๆกันไป ดังนี้

- ขึ้นฉ่าย พ้องกับคำว่า ขึ้นไฉ่ ที่แปลว่า มั่งคั่ง เกี๊ยวห่อขึ้นฉ่าย จึงหมายความว่า มีเงินไม่ขาดมือ

- ผักกาดขาว คนจีนเรียก แปะฉ่าย พ้องเสียงกับคำว่า แปะไฉ่ ที่แปลว่า หนึ่งร้อย หลายหลาก เกี๊ยวห่อผักกาดขาวจึงหมายความว่า มีทรัพย์สินสารพัดชนิด
- เห็ดหอม คนจีนเรียก เฮียงโกว คำว่าโกว พ้องกับคำที่แปลว่า เพิ่มพูน เกี๊ยวห่อเห็ดหอม จึงหมายความว่า มีสมบัติเพิ่มพูน
- ผักกวางตุ้ง ออกเสียงว่า อิ๋วฉ่าย พ้องกับคำว่า อิ๋วไช่ แปลว่า มีทรัพย์
- เนื้อปลา พ้องกับคำว่า อื้อ ที่แปลว่า เหลือ หมายความว่า มีเงินทองเหลือใช้
- เนื้อวัว หมายถึง แข็งแรง มั่นคง หมายความว่ามีฐานะมั่นคง
- เนื้อแพะ พ้องกับคำว่า เอี้ย ที่แปลว่า มหาสมุทรไพศาล จึงหมายความว่า มีเงินทองแผ่ไพศาล
- ไส้หวาน พ้องเสียงกับคำว่า เตี๊ยม ที่แปลว่า เพิ่มเติม เกี๊ยวห่อใส้หวาน จึงแปลว่ามีเงินทองเพิ่มเติม

กล่าวได้ว่า มงคลทั้งหลายแหล่ ต่างห่ออยู่ใน เกี๊ยวทองของมงคล นี้

ขอบคุณข้อมูล จากหนังสือ หอเจี๊ยะตึ้ง ตำนานอาหารจีน เขียนโดย อ ศุภวุฒิ จันทสาโร
และหนังสือ Five-fold happiness ของ Vivien Sung

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when The tastes posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share