News AT Now

News AT Now ทันข่าวทั่วไทย

“แลคตาซอย” ครองบัลลังก์นมถั่วเหลืองที่ 1 ในใจผู้บริโภค การันตีด้วยรางวัลแบรนด์ยอดนิยม 9 ปีซ้อนแลคตาซอย คว้ารางวัล Market...
21/07/2024

“แลคตาซอย” ครองบัลลังก์นมถั่วเหลืองที่ 1 ในใจผู้บริโภค การันตีด้วยรางวัลแบรนด์ยอดนิยม 9 ปีซ้อน

แลคตาซอย คว้ารางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 ครองบัลลังก์แบรนด์ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอันดับ 1 ของไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดนมถั่วเหลืองคุณภาพ ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วประเทศ รับรางวัลต่อเนื่องถึง 9 ปีซ้อน

บริษัท แลคตาซอย จำกัด นำโดย นางสาวพรรวนา มหาทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาและการตลาดสัมพันธ์ รับรางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 แบรนด์ยอดนิยม ในหมวด “นมถั่วเหลือง” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ตอกย้ำความเป็นแบรนด์นมถั่วเหลืองอันดับ 1 ที่ครองใจผู้บริโภคทั่วประเทศมาอย่างยาวนาน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้แลคตาซอยประสบความสำเร็จ ในการขึ้นเป็นผู้นำตลาดนมถั่วเหลืองของประเทศไทยนั้น เกิดจากความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี จนสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตลาดนมถั่วเหลือง นับเป็นความสำเร็จร่วมกันของทีมงานทุกคน และยังเป็นแรงขับเคลื่อนให้พร้อมที่จะเดินหน้าผลิตสินค้าที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนไทย ด้วยการเน้นคุณภาพตลอดกระบวนการผลิต และการจัดจำหน่าย รวมทั้งราคาที่คุ้มค่า และรสชาติความอร่อยที่หลากหลาย ตอบทุกความต้องการของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย

รางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 จัดขึ้นโดยนิตยสาร Marketeer คณะทำงานสำรวจและวิจัยได้สำรวจความรู้สึกและความนิยมแบรนด์ในใจของประชาชนทั่วประเทศ ถือเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่มีความสำคัญต่อวงการธุรกิจการตลาดของประเทศไทย

ทั้งนี้ ผู้สนใจผลิตภัณฑ์แลคตาซอย สามารถติดตามข่าวความเคลื่อนไหวและกิจกรรมต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ทาง Facebook: lactasoyclub และ www.lactasoyshop.com

เตรียมความพร้อมก้าวสู่การเป็นอุตสาหกรรม 4.0 ในยุคปัจจุบัน หลากหลายอุตสาหกรรมเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการผลักดันและพัฒนาอ...
21/07/2024

เตรียมความพร้อมก้าวสู่การเป็นอุตสาหกรรม 4.0

ในยุคปัจจุบัน หลากหลายอุตสาหกรรมเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการผลักดันและพัฒนาองค์กรให้เป็น “อุตสาหกรรม 4.0” วันนี้ OPEN-TEC ศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Tech Knowledge Sharing Platform) ภายใต้การดูแลของ TCC TECHNOLOGY GROUP จะมาชวนทุกคนร่วมไขคำตอบถึงความสำคัญ ประโยชน์ และการรับมือเตรียมความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรม 4.0 ไปด้วยกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้

ก่อนจะก้าวเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0

เรามาร่วมสำรวจไปพร้อมกันว่าระหว่างทางก่อนจะเป็นอุตสาหกรรม 4.0 แต่ละยุคนั้นได้มีการพัฒนาด้านเครื่องมือหรือเทคโนโลยีในมุมมองใดบ้าง

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1: การนำพลังงานไอน้ำและเครื่องจักรกลเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้สามารถผลิตสินค้าในปริมาณมากและลดการใช้แรงงานคน

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2: การนำพลังงานไฟฟ้าและสายการผลิตมาประยุกต์ใช้ในโรงงาน ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3: การนำระบบคอมพิวเตอร์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้สามารถควบคุมการผลิตได้อย่างแม่นยำและลดการสูญเสียทรัพยากร

อุตสาหกรรม 4.0 คืออะไร

อุตสาหกรรม 4.0 การผสมผสานเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Internet of Things (IoT), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), การวิเคราะห์ข้อมูล (Big Data), หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีอื่นๆ เข้ากับกระบวนการการผลิต เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต การดำเนินงาน และการจัดการในภาคอุตสาหกรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

ประโยชน์ของยุคอุตสาหกรรม 4.0

จากที่กล่าวไปข้างต้นนั้นว่า อุตสาหกรรม 4.0 จะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญต่อภาคธุรกิจในส่วนของอุตสาหกรรมทางการผลิต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นั้นล้วนเป็นไปในทิศทางที่ดี อาทิเช่น การเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพ การตอบสนองที่รวดเร็ว และ การลดต้นทุนการผลิต เป็นต้น เริ่มกันที่การเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพที่สามารถทำได้ผ่านการใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อระหว่างเครื่องจักรและการวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้สามารถตรวจสอบและปรับปรุงกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ลดการสูญเสียและเพิ่มคุณภาพของสินค้า อีกทั้งยังมี การตอบสนองที่รวดเร็ว ที่สามารถทำได้ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้มีความสามารถในการปรับตัวและแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น และสุดท้าย การลดต้นทุนการผลิต ที่สามารถทำได้ผ่านการใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ภาคธุรกิจสามารถลงทุนในนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้มากขึ้น

การเตรียมความพร้อมสำหรับอุตสาหกรรม 4.0

ภาคธุรกิจในส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตอาจจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทาย การเตรียมความพร้อมในการรับมือกับยุคอุตสาหกรรม 4.0 จึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยภาคธุรกิจนั้นสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ การฝึกอบรบให้กับบุคลากรเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เนื่องจากบุคลากรจะต้องมีความรู้และทักษะในการใช้และบำรุงรักษาระบบต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเครื่องมือที่จำเป็น เช่น ระบบ IoT, AI, หุ่นยนต์ และการวิเคราะห์ข้อมูล และแม้กระทั่งการเพิ่มขีดความสามารถในการประเมินและปรับปรุงกระบวนการผลิตและการดำเนินงานให้เหมาะสมกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีเรื่องการจัดการและการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้สามารถตัดสินใจได้และปรับปรุงการดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว

สุดท้ายนี้ การก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ไม่เพียงแต่เป็นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนการและแนวคิดในการดำเนินธุรกิจ การเตรียมความพร้อมในทุกด้านจะช่วยให้สามารถก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างมั่นคงและประสบความสำเร็จในยุคใหม่ของอุตสาหกรรม 4.0

Sea เดินหน้าโครงการ Women Made: Girl in STEM  ปลุกความกล้าเด็กผู้หญิง คว้าโอกาสในสายอาชีพ STEM ผ่านการถ่ายทอดประสบการณ์จ...
21/07/2024

Sea เดินหน้าโครงการ Women Made: Girl in STEM ปลุกความกล้าเด็กผู้หญิง คว้าโอกาสในสายอาชีพ STEM ผ่านการถ่ายทอดประสบการณ์จริงของผู้หญิงแนวหน้าและผู้คร่ำหวอดในวงการฯ

Sea (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์มชั้นนำ อาทิ การีนา ช้อปปี้ และซีมันนี่ ร่วมกับ InsKru และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัวโครงการ Women Made: Girl in STEM เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้เด็กผู้หญิงที่มีความสนใจศึกษาต่อในสาขาอาชีพ STEM ผ่านการจัดกิจกรรม Day Camp ซึ่งมีน้อง ๆ นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และคุณครู เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 90 คน เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ณ อาคารสราญวิทย์ (อาคาร 12) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

ภายในงานมี “เวทีเสวนา” แบ่งปันประสบการณ์จริงจากผู้ที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพ STEM นำโดย คุณปริพรรษ ไพรัตน์ วิศวกรฝ่ายพัฒนาและสร้างดาวเทียมแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) คุณจักรพงศ์ พุ่มไพจิตร เจ้าของเพจ ‘ท็อฟฟี่ เป็นตุ๊ดซ่อมคอม’ และคุณภวิษย์พร เจียรประเสริฐ ผู้จัดการอาวุโส บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึง กิจกรรม “ห้องสมุดมนุษย์” (Human Library) ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้พูดคุยอย่างเป็นกันเองกับคนทำงานจริงในแวดวง STEM รวม 9 อาชีพ ได้แก่ โปรแกรมเมอร์ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล วิศวกรด้านความมั่นคงและปลอดภัยทางไซเบอร์ นักวิจัยนาโนเทคโนโลยี วิศวกรเสียง นักนิติวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์เภสัชวิทยาภูมิคุ้มกัน วิศวกรการบินและอวกาศ และนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร เพื่อทำความรู้จักกับการทำงานในแต่ละสายอาชีพ ทั้งเส้นทางการศึกษา แนวทางการทำงาน และทักษะที่จำเป็นต่าง ๆ ในการประกอบอาชีพ

นางพุทธวรรณ สุภัทรนันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร Sea (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “ในฐานะผู้ให้บริการอินเทอร์เนตแพลตฟอร์ม Sea (ประเทศไทย) เห็นถึงความต้องการของการส่งเสริมความหลากหลายทางเพศในโลกสาขาอาชีพ STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ซึ่งเป็นกลุ่มอาชีพที่ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ และยังมีความต้องการบุคคลากรอีกเป็นจำนวนมากเพื่อร่วมกันเป็นแรงขับเคลื่อนและพัฒนานวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งนี้ จำนวนของผู้หญิงที่ประกอบอาชีพในสาขา STEM ยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย พิจารณาได้จากรายงานดัชนีช่องว่างระหว่างเพศ ประจำปี 2566 โดยสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ซึ่งระบุว่า จากการจ้างงานทั้งหมดในกลุ่มอาชีพ STEM มีเพียงร้อยละ 29.2 เท่านั้นที่เป็นแรงงานหญิง แตกต่างจากการจ้างงานในสายอาชีพนอกกลุ่ม STEM ซึ่งมีแรงงานหญิงมากถึงร้อยละ 49.3 หรือเกือบครึ่งของการจ้างงานทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาและงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่พบว่าเด็กผู้หญิงมักจะมีความสนใจด้าน STEM ในระดับเดียวกันกับผู้ชายในระดับประถม แต่จะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เนื่องจากพบความท้าทายทั้งในระดับปัจเจกและสังคม จึงนำมาสู่การริเริ่มโครงการ Women Made: Girl in STEM ในครั้งนี้ เพื่อเปิดมุมมองและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กผู้หญิงซึ่งอยู่ในวัยค้นหาตัวเองเพื่อเลือกเส้นทางการศึกษาต่อไป”

นางสาวภวิษย์พร เจียรประเสริฐ ผู้จัดการอาวุโส บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะตัวแทนผู้บริหารหญิงภายใต้เครือ Sea (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การสร้างเครือข่ายสนับสนุนผู้หญิงมีความสำคัญมาก เนื่องจากสังคมไทยเรายังขาดคนต้นแบบ (Role Model) ที่จะมาช่วยชะล้างภาพจำในอดีตว่าอาชีพนี้เหมาะกับผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะไม่ว่าเพศใดก็มีสิทธิที่จะค้นหาความก้าวหน้าทางอาชีพในแบบที่ตัวเองต้องการ ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทเทคโนโลยี เชื่อว่าสิ่งสำคัญคือเราจะต้องมีวิธีคิด (Mindset) ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองและพากเพียรที่จะพัฒนาตัวเองไปสู่จุดหมาย ในขณะเดียวกันก็จะต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนให้สังคมและโลกของการทำงานเป็นพื้นที่ที่เป็นมิตรกับทุก ๆ คนมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเพศใดก็ตาม”

นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “STEM Education จะช่วยเตรียมเด็กและเยาวชนให้เป็นกำลังสำคัญของประเทศ ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล และที่สำคัญคุณครูมีบทบาทในการแนะแนวอาชีพที่ต้องการทักษะ STEM และเปลี่ยนการเรียนรู้ให้เป็นแบบบูรณาการ แสดงให้เห็นว่า STEM เชื่อมโยงกันในการแก้ปัญหาจริง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการสะเต็ม การใช้เทคโนโลยีในการสอน และกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจตลอดจนพัฒนาทักษะสำคัญสำหรับเด็ก”

นอกจากกิจกรรมสำหรับนักเรียนแล้ว ภายในงานยังมี “กิจกรรมให้ความรู้และเวิร์กช้อปสำหรับคุณครู” เพื่อแนะแนวทางการสอน STEM ในโรงเรียน และการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ในโรงเรียนที่ช่วยส่งเสริมให้เด็กผู้หญิงมีมุมมองด้านโอกาสทางอาชีพที่กว้างขึ้นและมีความมั่นใจที่จะต่อยอดความสนใจด้าน STEM ต่อไปในอนาคต

GUERLAIN เปิดตัว NEW ROUGE G ลิปสติกสุดเลอค่าเหนือระดับ พร้อม “เคสลิปสติก ROUGE G”งานศิลป์สุดหรูดั่งอัญมณีสู่เครื่องประด...
21/07/2024

GUERLAIN เปิดตัว NEW ROUGE G ลิปสติกสุดเลอค่าเหนือระดับ พร้อม “เคสลิปสติก ROUGE G”

งานศิลป์สุดหรูดั่งอัญมณีสู่เครื่องประดับแฟชันอันเป็นเอกลักษณ์ความงามริมฝีปากกับ 9 รุ่นพิเศษ

Guerlain (เกอร์แลง) สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการเมคอัพอีกครั้งกับ NEW ROUGE G ลิปสติกสุดเลอค่า ผลงานสร้างสรรค์เพียงหนึ่งเดียวที่ผสมผสานระหว่างความงามและความหรูหราได้อย่างลงตัว มาพร้อม “เคสลิปสติก ROUGE G” ดีไซน์เฉกเช่นเครื่องประดับอัญมณี เปรียบเสมือนงานศิลป์ที่สะท้อนรสนิยมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพิ่มความโดดเด่นทุกครั้งที่หยิบใช้ โดยปี 2024 นี้ วิโอแล็ตต์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ประจำแผนกเมคอัพของเกอร์แลง ได้นำเสนอแรงบันดาลใจผ่านรสนิยมความงามสไตล์แบบฉบับสาวปารีเซียงและตัวเธอเอง ด้วยการนำสีแดงของลิปสติกที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัว มาถ่ายทอดเป็นเฉดสีใหม่ Red G (เฉดแดงเกอร์แลง) ถึง 17 เฉดสี ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการสรรค์สร้างลิปสติกสีแดงทั้งหมดในคอลเลกชันนี้

NEW ROUGE G มีเฉดสีให้เลือกมากมายถึง 40 เฉดสี ได้แก่ ROUGE G SATIN 24 เฉดสี เนื้อสัมผัสเมื่อทาลงบนริมฝีปากให้ความรู้สึกฉ่ำชุ่ม บางเบาราวแพรไหม เคลือบผิวริมฝีปากได้อย่างเรียบเนียน และ ROUGE G VELVET 16 เฉดสี ลิปสติกเนื้อแมตต์ ละมุนละไมดุจกำมะหยี่ ให้ความรู้สึกสบายผิว ทั้ง 2 สูตรยังอุดมไปด้วยส่วนผสมถนอมผิวในปริมาณสัดส่วนถึง 89% ด้วย โอลิโอสกัดจากลิลลี (LILY OLEO EXTRACT) และ น้ำมันอัลมอนด์หวาน (SWEET ALMOND OIL) ฟื้นบำรุงสภาพผิวริมฝีปากให้แลดูเรียบเนียน อวบอิ่ม พร้อมมอบความชุ่มชื่นให้ริมฝีปากอย่างยาวนาน 16 ชั่วโมง เมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นประจำ 4 สัปดาห์ รู้สึกได้ถึงผิวริมฝีปากที่อ่อนนุ่มยิ่งขึ้น

พร้อมด้วยเปิดตัว “เคสลิปสติก ROUGE G” ปลอกลิปสติกล้ำค่าดุจอัญมณีที่ถูกออกแบบเหนือกระแสแฟชั่นเพื่อเป็นเครื่องประดับสุดหรูสำหรับริมฝีปาก เติมสไตล์เฉพาะตัวให้แก่ลิปสติก และยังสามารถ Mix and Match สลับสับเปลี่ยนได้ตามอารมณ์และสไตล์ของคุณในแต่ละวัน สร้างลุคที่หลากหลายและไม่ซ้ำใคร อีกทั้งเคสลิปสติก ROUGE G ยังถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนรีฟิลล์ และเก็บสะสมเพื่อเป็นมรดกความงามจากรุ่นสู่รุ่น โดยวิโอแล็ตต์ได้รังสรรค์ผลงานออกมาถึง 9 ลวดลาย เป็น 3 คอลเลกชัน ได้แก่

THE TIMELESS

Le Croco (เลอ คร็อกโก) ลายหนังจระเข้สีแดงรังสรรค์จากหนึ่งในผลงานปลอกลิปสติกรุ่นแบบฉบับ ติดอันดับขายดีของ Maison Guerlain
Le Camel (เลอ กาเม็ล) ลายเกล็ดสีน้ำตาลอ่อน ที่สุดแห่งความคลาสสิก
Le N**e (เลอ นูด) ลายเกล็ดสีเนื้ออมชมพู สื่อถึงความอ่อนหวาน และอ่อนโยนแห่งอิสตรี

THE ORNAMENTS

Le Marbre (เลอ มาบร) จำลองความงดงามตระการตาของหินอ่อนเนื้อขาวลายเส้นทองสลับเทาที่ใช้ปูพื้นบูติกประวัติศาสตร์ของ Maison Guerlain ณ อาคารเลขที่ 68 ถนนชองพ์เซลิเซส์
Le Strassé (เลอ สตราซ์เซ) ลายเกล็ดพลอยแก้วหลากขนาดสุดเลอค่า
L’Art Déco (ลา เดโก) อาศัยงานออกแบบลวดลายซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนเพื่อยกย่องผลงานยุคอลังการศิลป์ อันเป็นที่รักยิ่งของคนในสกุลเกอร์แลง
THE PATTERNS

Les Studs (เลส์ สตูดส์) หรูหราด้วยเนื้อสัมผัสกำมะหยี่ประดับหมุดทอง
Le Fauve (เลอ โฟฟ) ถ่ายทอดผ่านสิ่งทอเนื้อนุ่มลายเสือดาว หนึ่งในฝูงสัตว์ประจำ Maison Guerlain
L’Écaille (เลกาย) ลายขดวนกระดองเต่าโทนสีอำพัน ควรค่าแก่การสะสม

นอกจากนั้น Guerlain ยังได้สรรค์สร้าง CONTOUR G ดินสอเขียนขอบปาก อุดมด้วยเม็ดสีเข้มข้นระดับสูง พร้อมกลไกเหลาคมในตัว มอบความสะดวกในการใช้งาน และช่วยให้การเขียนขอบปากง่ายดาย เนื้อสัมผัสบางเบา สบายผิว กลมกลืนกับเส้นขอบปากอย่างแนบเนียน มีให้เลือกถึง 6 เฉดสี หากใช้ร่วมกับลิปสติก NEW ROUGE G จะยิ่งช่วยเพิ่มความชัดเจนของสีปากได้ในทันที

สัมผัสความหรูหราเลอค่าและสีสันใหม่กับ GUERLAIN NEW ROUGE G ลิปสติก ROUGE G SATIN และ VELVET (REFILL) ราคา 1,650 บาท, เคสลิปสติก ROUGE G ราคา 1,550 บาท วางจำหน่ายแล้วที่เคาน์เตอร์ GUERLAIN ทุกสาขา หรือ สอบถามเพิ่มเติมและสั่งซื้อ,ทางออนไลน์ได้ที่ Line Official Account:

บริดจสโตนคว้าแบรนด์อันดับหนึ่งในใจมหาชนทั่วประเทศ 13 ปีซ้อนการันตีด้วยรางวัล “Marketeer No.1 Brand Thailand 2024” มุ่งเด...
21/07/2024

บริดจสโตนคว้าแบรนด์อันดับหนึ่งในใจมหาชนทั่วประเทศ 13 ปีซ้อน
การันตีด้วยรางวัล “Marketeer No.1 Brand Thailand 2024” มุ่งเดินหน้ายกระดับแบรนด์สู่ความพรีเมียมที่ยั่งยืน

บริดจสโตนคว้ารางวัล “แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทยประจำปี พ.ศ. 2567” หรือ “Marketeer No.1 Brand Thailand 2024” ประเภทยางรถยนต์ นับเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจและตอกย้ำความแข็งแกร่งของบริดจสโตนซึ่งครองอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนานเป็นปีที่ 13 จากการสํารวจความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วประเทศ* โดยคุณโชทาโร่ คิตะมุระ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจยางรถยนต์นั่งและรถบรรทุกขนาดเล็ก บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้ารับรางวัลอันทรงเกียรติจากคุณเพิ่มพล โพธิ์เพิ่มเหม บรรณาธิการและผู้ก่อตั้งนิตยสาร Marketeer ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ

“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งจากเสียงสะท้อนของผู้บริโภคทั่วประเทศที่สนับสนุนให้บริดจสโตนเป็นแบรนด์ยางรถยนต์ยอดนิยมอันดับหนึ่ง ผมขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นและไว้วางใจที่มอบให้บริดจสโตนเสมอมา ความสำเร็จดังกล่าวยังต่อยอดเป็นแรงผลักดันให้ทีมงานของเราไม่หยุดยั้งพัฒนามาตรฐานการดำเนินงานต่อไปด้วย “ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ” บนพื้นฐานลูกค้าเป็นศูนย์กลางสำคัญ ควบคู่กับการสร้างคุณค่าร่วม เราพร้อมมุ่งมั่นพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์พรีเมียม บริการ และโซลูชั่นที่ทันสมัยและหลากหลายให้ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์การเดินทางอย่างลงตัว พร้อมกันนี้ เรายังพัฒนาเทคโนโลยียางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อร่วมยกระดับการเดินทางที่ยั่งยืนและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนไทย โดยทั้งหมดนี้ ถือเป็นความตั้งใจของเราที่จะยกระดับแบรนด์บริดจสโตนสู่ความพรีเมียมที่ยั่งยืน” คุณโชทาโร่ คิตะมุระ เผยหลังจากรับรางวัล

*พิธีมอบรางวัล “แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2567” หรือ “Marketeer No.1 Brand Thailand 2024” จัดขึ้นโดยนิตยสาร Marketeer อ้างอิงจากผลสำรวจของบริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด ผู้ให้บริการด้านงานวิจัยและที่ปรึกษาทางธุรกิจ ในการสำรวจแบรนด์ยอดนิยมในสินค้าและบริการประเภทต่างๆ ของผู้บริโภคชาวไทย ประจำปี พ.ศ. 2567

วว. เปิดรับจองท่องเที่ยวเชิงนิเวศสถานีวิจัยฯ สะแกราช  ในงาน อว. แฟร์ 2024กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรร...
21/07/2024

วว. เปิดรับจองท่องเที่ยวเชิงนิเวศสถานีวิจัยฯ สะแกราช ในงาน อว. แฟร์ 2024

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดรับจองแพคเกจท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช ...แหล่งสงวนชีวมณฑลของโลก จังหวัดนครราชสีมา ในงาน ..“อว. แฟร์ : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND” ระหว่างวันที่ 22-28 กรกฎาคม 2567 เวลา 09.00 - 20.00 น. ณ บูธ วว. บริเวณโซน E : Science for All Well-being ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ทั้งนี้ สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช มีเนื้อที่ประมาณ 78 ตารางกิโลเมตร (48,750 ไร่) เป็นสถานที่เพื่อการวิจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมและนิเวศวิทยาป่าเขตร้อน มีนักวิจัยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเข้ามาศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีงานวิจัยในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 920 อีกทั้งยังเป็นห้องปฏิบัติการธรรมชาติ สำหรับนักเรียน นักศึกษา เพื่อการศึกษาและวิจัยทางธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น นอกจากนี้มีการประเมินศักยภาพในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปริมาณคาร์บอนสะสมพบว่า ป่าของสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราชมีศักยภาพในการดูดซับ คาร์บอนสูงถึง 1.5 แสนตันต่อปี

คนไทยเตรียมตื่นตา ตื่นใจประสบการณ์ดูสัตว์แบบใหม่  องค์การสวนสัตว์ฯ เตรียมเปิดให้เข้าชม “สวนสัตว์แห่งใหม่”ฟรีปลายปี 69องค...
21/07/2024

คนไทยเตรียมตื่นตา ตื่นใจประสบการณ์ดูสัตว์แบบใหม่ องค์การสวนสัตว์ฯ เตรียมเปิดให้เข้าชม “สวนสัตว์แห่งใหม่”ฟรีปลายปี 69

องค์การสวนสัตว์ฯ จัดโครงการ“สื่อสารสวนสัตว์สร้างสรรค์ : เที่ยวสวนสัตว์ไทยไปด้วยกัน” พร้อมนำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชมความคืบหน้าการก่อสร้าง “สวนสัตว์แห่งใหม่”เฟส 1 เผยความก้าวหน้าเตรียมเปิดเข้าชมนำร่องโซนสวนสาธารณะขนาด 30 ไร่ และอาคารเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 10 ปลายปี 69 และพื้นที่จัดแสดงสัตว์โซนแอฟริกา โซนเอเชียในปี 68

นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า เพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลโครงการสวนสัตว์แห่งใหม่ระยะที่ 1 คลองหก เมื่อวันที่ 19 กรกฏาคม 2567ผ่านมา องค์การสวนสัตว์ฯได้จัดประชุมประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ เฟส 1 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและลดผลกระทบจากโครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่แก่ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่โครงการ ,กลุ่มผู้นำชุมชนในพื้นที่ 4 อำเภอตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งได้จัดกิจกรรม “สื่อสารสวนสัตว์สร้างสรรค์ : เที่ยวสวนสัตว์ไทยไปด้วยกัน” โดยได้นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมความคืบหน้าก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 1 บริเวณคลองหก จ.ปทุมธานี

ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยความคืบหน้าในการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่คลอง 6 บนพื้นที่พระราชทาน 300 ไร่ในขณะนี้ว่า การก่อสร้างมีความก้าวหน้าตามลำดับ โดยเฟสแรกคณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้อนุมัติวงเงินในการก่อสร้างจำนวน 5,314 ล้านกำหนดระยะเวลาก่อสร้างไว้ 900 วัน ขณะนี้สามารถเบิกจ่ายได้แล้วประมาณ 1,500 ล้านบาท ส่วนการเปิดให้บริการให้ประชาชนเข้าชมในเฟสแรกเบื้องต้นกำหนดให้เข้าชมได้ช่วงต้นปี 2569 แต่เนื่องจากเกิดปัญหาการเบิกงบประมาณล่าช้าและประสบปัญหาฝนตกไม่ตรงตามฤดูกาลส่งผลกระทบน้ำท่วมขังบริเวณก่อสร้าง ทำให้การก่อสร้างล่าช้าจากเดิมเลยอาจต้องขยายการเปิดให้บริการเช้าชมเฟสแรกออกไปเป็นปลายปี 2569 โดยวางแผนให้เข้าชมนำร่องฟรีในระยะแรก 2 โซน คือ สวนสาธารณะขนาด 30 ไร่ และอาคารเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 10 และในปี 2568 วางแผนให้เข้าชมพื้นที่จัดแสดงสัตว์โซนแอฟริกา โซนเอเชียตามลำดับ โดยในช่วงแรกเปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีก่อน

“อยากให้คนไทยมีความภาคภูมิใจในสวนสัตว์ใหม่ที่กำลังสร้างบนแผ่นดินพระราชทานซึ่งมีอาณาจักรกว้างขวางกว่า 300ไร่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นสวนสัตว์ที่ได้รับการยกระดับเป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติระดับสากลและเป็นแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ล่าสุดของไทยที่นักท่องเที่ยวจะได้เข้าชมธรรมชาติและสัตว์ป่าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนมีสัตว์หลายชนิดที่ไม่เคยเห็นในเมืองไทย คนไทยก็จะได้เห็น โดยเราจะมอบประสบการณ์ในการดูสัตว์แบบใหม่ เหมือนได้เข้าไปในพื้นที่ถิ่นที่อยู่เดียวกับสัตว์จริงๆและจะยกระดับเป็นศูนย์กลางเรียนรู้เชิงนิเวศน์ย่านปทุมธานีที่นอกจากได้เรียนรู้เรืองสัตว์แล้วยังได้เรียนรู้ระบบนิเวศน์ของแต่ละถิ่นที่อยู่ของสัตว์ต่างๆรวมไปถึงแหล่งเรียนรู้อื่นๆที่ผู้ชมได้สัมผัสธรรมชาติและสัตว์อย่างใกล้ชิด โดยช่วงแรกเปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีก่อน ส่วนการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบมั่นใจว่าสามารถเปิดบริการได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2571 เป็นต้นไป คาดมีประชาชนเข้าชม 1.2 ล้านคนต่อปี ทำรายได้ 5 พันล้าน/ปี จากตั๋วเข้าชมและร้านค้าโดยรอบ” ผอ.องค์การสวนสัตว์ฯ กล่าวย้ำ

สำหรับสวนสัตว์แห่งใหม่ ได้ก่อสร้างบนแผ่นดินพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโฉนดที่ดินที่คลอง 6 ต.รังสิต อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จำนวน 300 ไร่ เพื่อทดแทนสวนสัตว์ดุสิตที่มีขนาดแค่ 118 ไร่ เพื่อให้สัตว์มีพื้นที่อยู่อย่างกว้างขวาง ไม่แออัด และเป็นแหล่งเรียนรู้สัตว์ป่าในระดับสากล เป็นห้องเรียนธรรมชาติ ศูนย์เรียนรู้แห่งใหม่ของไทย ภายใต้แนวคิด “ชุบชีวิตทุ่งน้ำ” เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามแนวพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร แบ่งการใช้ประโยชน์พื้นที่ออกเป็น 6 ส่วน ได้แก่1.พื้นที่จัดแสดงสัตว์โซนแอฟริกา โซนเอเชีย โซนออสเตรเลีย โซนอเมริกาใต้ โซนสวนสัตว์เด็กและนิทรรศการ 171 ไร่ 2.พื้นที่ป้องกันน้ำท่วมและถนน 42 ไร่ 3.พื้นที่ส่วนบริหารและวิจัย 33 ไร่ 4.พื้นที่สวนเฉลิมพระเกียรติ 21 ไร่5.พื้นที่ส่วนกลางและเชิงพาณิชย์ 18 ไร่ 6. พื้นที่จอดรถ 15 ไร่ โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติวงเงินในการก่อสร้าง 10,974 ล้านบาทมี โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการ 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 – 2570 โดยแบ่งการก่อสร้างเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 มีมูลค่าการก่อสร้าง 5,383.82 ล้านบาท และระยะที่ 2 มีมูลค่าก่อสร้าง 4,340.16 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดให้บริการระยะแรก ในปี พ.ศ. 2569 และเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2571 เป็นต้นไป

ปัจจุบันองค์การสวนสัตว์ฯ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีภารกิจหลักคือ การอนุรักษ์และขยายพันธุ์การให้การศึกษา และการจัดสวนสัตว์ให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทั่วไป ซึ่งปัจจุบันมีสวนสัตว์อยู่ในความดูแล 6 แห่ง และ 2 โครงการ คือ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา สวนสัตว์อุบลราชธานี สวนสัตว์ขอนแก่น โครงการคชอาณาจักร จังหวัดสุรินทร์ และโครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ จังหวัดปทุมธานี

ทั้งนี้ ตามแผนวิสาหกิจ พ.ศ. 2565 – 2569 องค์การสวนสัตว์ฯ ยุทธศาสตร์ที่ 4 กำหนดให้มีการพัฒนาธุรกิจสวนสัตว์ให้ทันสมัย (Smart Zoo) สร้างรายได้เพื่อความยั่งยืนขององค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ทางธุรกิจและสร้างความแข็งแกร่ง กับพันธมิตรสู่การเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยนำอัตลักษณ์ของสวนสัตว์ในสังกัดมาจัดกิจกรรมทางการตลาด การสื่อสารประชาสัมพันธ์รวมทั้งการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ รวมทั้งให้ความสำคัญในการสร้างการรับรู้ด้านความคืบหน้าของการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ จังหวัดปทุมธานีและสวนสัตว์อยู่ในความดูแล 6 แห่ง และ 2 โครงการให้ประชาชนได้รับทราบอย่างกว้างขวาง

📍พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ผลักดัน Street Food สร้างอาชีพจุดแข็งแห่งโอกาส สร้างรายได้ผู้ประกอบการด้านอาหารมือ...
18/07/2024

📍พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ผลักดัน Street Food สร้างอาชีพจุดแข็งแห่งโอกาส สร้างรายได้ผู้ประกอบการด้านอาหารมืออาชีพ‼️
✅️วันที่ 18 กรกฎาคม 2567 พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานในพิธีเปิด "โครงการประกวดการทำอาหาร Street Food สร้างอาชีพ กรมคุมประพฤติระดับประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567" โดยมี นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุมประพฤติ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ผู้บริหารกรมคุมประพฤติ อาสาสมัครคุมประพฤติ ภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนผู้สนับสนุนโครงการ ผู้อำนวยการสำนักงานคุมประพฤติและผู้ที่อยู่ในความดูแลในพื้นที่ กรุงเทพมหานครและสำนักงานคุมประพฤติที่เป็นตัวแทนจากทุกเขต เข้าร่วมงาน บริเวณชั้น GAvenue ZONE A ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ กรุงเทพ
🌿สำหรับ ความสำเร็จของโครงการประกวดการทำอาหาร Street Food สร้างอาชีพ กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ต่อยอดเข้าสู่ปีที่ 3 ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ที่เข้าร่วมโครงการประสบความสำเร็จสามารถต่อยอดเป็นผู้ประกอบการด้านอาหารมืออาชีพในหลากหลายเส้นทาง สร้างรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้รวมถึงได้ส่งต่อความรู้ด้านอาหารในการเป็นวิทยากรและสอนการทำอาหารให้กับผู้อื่นทั้งผู้ที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงาน ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่สนใจ
🌿นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ดีที่กระทรวงยุติธรรม โดย กรมคุมประพฤติ ได้นำมาเป็นหลักสูตรสำคัญ เพื่อแก้ไขฟื้นฟูผู้ที่อยู่ในความดูแลโดยมุ่งหวังให้มีอาชีพด้านการทำอาหารซึ่งนับเป็นอาชีพพื้นฐานที่เข้าถึงได้ง่าย มีการงานที่ดี มีรายได้ที่มั่นคง สร้างคุณค่า สร้างประโยชน์ให้กับตนเองและสร้างสรรค์สังคม โดยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่งจากอาสาสมัครคุมประพฤติที่เปรียบเสมือนพี่เลี้ยงที่ให้คำแนะนำและสนับสนุนกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ตั้งแต่การประกวดในระดับสำนักงานคุม
ประพฤติระดับเขต จนมาถึงการประกวดชิงแชมป์ในระดับประเทศ นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้เห็นถึงความพร้อมในการให้โอกาสคือภาครัฐและภาคเอกชนที่สนับสนุนโครงการ ไม่ว่าจะเป็น สมาคมเดอะเชฟประเทศไทย ซึ่งเป็นวิทยากรถ่ายทอดองค์ความรู้อบรมพัฒนาทักษะในการประกอบอาหารให้กับผู้เข้าแข่งขันทุกระดับ และ ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ แห่งนี้ ซึ่งเอื้อเฟื้อสถานที่ในการจัดการประกวดระดับประเทศ โดยเป็นสถานที่ที่พร้อมให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้รู้จักโครงการ Street Food สร้างอาชีพ รวมถึงเมนูอาหารพร้อมทานของประเทศไทยที่มีชื่อเสียง และ น้ำดื่มสิงห์ที่ให้การสนับสนุนของรางวัลรถเข็นประกอบการอาหาร
🌿สำหรับผู้ที่ชนะเลิศอาหารทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน ซึ่งสามารถนำไปทำมาค้าขายต่อยอดอาชีพต่อไปได้ ยังไม่นับรวมถึงภาครัฐ เอกชน ในจังหวัดต่างๆที่ได้ให้การสนับสนุนการประกวดในระดับสำนักงานคุมประพฤติและระดับเขต กระทรวงยุติธรรมและกรมคุมประพฤติต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
🌿"การประกวดการทำอาหาร Street Food สร้างอาชีพ ซีซั่น3 ในครั้งนี้ จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่จะแสดงให้สังคมได้เห็นถึงศักยภาพทางด้านการทำอาหารที่สามารถต่อยอดสู่การเป็นผู้ประกอบการด้านอาหารอย่างมืออาชีพ รวมถึงได้ค้นพบความสามารถในตนเอง สู่การสร้างอาชีพและสร้างรายได้ด้วยStreet Food สามารถแสดงศักยภาพที่มีอยู่ให้สังคมได้รับรู้นำไปสู่การยอมรับและโอกาสทางสังคมทั้งเป็นกำลังสำคัญ เป็นพลังแห่ง SOFT POWER ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ต่อไป" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกล่าว🌿

📍เกษตรฯ ร่วมมือภาคีเครือข่าย มุ่งเป้าลดโลกร้อน ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ ย่อยสลายฟางข้าวปัจจุบันพื้นที่ปลูกข้าวในประเทศไทยโดยเ...
17/07/2024

📍เกษตรฯ ร่วมมือภาคีเครือข่าย มุ่งเป้าลดโลกร้อน ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ ย่อยสลายฟางข้าวปัจจุบันพื้นที่ปลูกข้าวในประเทศไทยโดยเฉลี่ยมีประมาณ 65 ล้านไร่ คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ทั้งประเทศ ในแต่ละรอบการผลิตจะมีฟางข้าวเฉลี่ยประมาณปีละ 25.45 ล้านตัน และมีปริมาณตอซังข้าวที่ตกค้างอยู่ในนาข้าว 16.9 ล้านตันต่อปี ดังนั้นจึงนับได้ว่ามีปริมาณฟางข้าวและตอซังข้าวมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับตอซังพืชชนิดอื่น
📌นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ในพื้นที่ปลูกข้าว 1 ไร่ จะมีปริมาณฟางข้าวและตอซัง โดยเฉลี่ยปีละ 650 กิโลกรัม ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการ
ฟางข้าวและตอซัง เพื่อเป็นทางเลือกในการเพิ่มรายได้และผลผลิตทางการเกษตร ส่งผลให้เกษตรกรส่วนใหญ่ตัดสินใจเผาฟางข้าวและตอซัง เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการปลูกพืชหมุนเวียนต่าง ๆ จนทำให้ฟางถูกเผาทิ้งอย่างน่าเสียดาย การเผาฟางนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม จนกลายเป็นมลภาวะและก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก
📌กรมส่งเสริมการเกษตรได้ขับเคลื่อนนโยบาย 3 R หรือ 3 เปลี่ยน ตามนโยบายรัฐบาลเป็นแนวทางเพื่อลดปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตร โดยเป้าหมายสำคัญคือทำความเข้าใจกับเกษตรกรให้เข้าใจถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยไม่เผา และส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุทางการเกษตร
🌿สำหรับตอซังข้าวและฟางข้าวเป็นวัสดุที่ย่อยสลายง่าย จึงมีหลายภาคส่วนร่วมกันหานวัตกรรมใหม่ มาช่วยในการย่อยสลาย และต้องปลอดภัยทั้งเกษตรกร ปลอดภัยต่อพืช ไม่มีสารตกค้างต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดยปกติแล้วฟางข้าวมีปริมาณธาตุอาหารหลักของพืช ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม เฉลี่ย 0.51 0.14 และ 1.55 เปอร์เซ็นต์ มีปริมาณธาตุอาหารรองของพืชได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม และซัลเฟอร์ เฉลี่ย 0.47 0.25 และ 0.17 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อย่อยสลายเป็นอินทรียวัตถุจะปรับเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดินเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ประหยัดต้นทุนการซื้อปุ๋ย เป็นวงจรการปรับปรุงบำรุงดิน
🌿สำหรับการขับเคลื่อนการศึกษาทดสอบเทคโนโลยีชีวภาพ จังหวัดปทุมธานี นับเป็นต้นแบบในการบูรณาการจัดการปัญหาได้ โดยร่วมมือกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) คิดค้นและพัฒนากลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายตอซังและฟางข้าว คิดค้นถังบ่มเพาะหัวเชื้อกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายตอซังและฟางข้าว โดยมีภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนการขยายจุลินทรีย์ให้เกษตรกรสามารถผลิตขยายจุลินทรีย์ใช้ในชุมชนได้ สำหรับสำนักงานเกษตรจังหวัด มีส่วนสนับสนุนในการให้ความรู้เกษตรกร และในเดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นไป จะขยายนำร่องใน 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี สระบุรี ลพบุรี ชัยนาท และจังหวัดสุพรรณบุรี เกษตรกร 2,400 คน พื้นที่รวม 59,000 ไร่
🌿สำหรับจุลินทรีย์ชนิดนี้ สามารถใช้ได้ทุกพื้นที่ ตามความสะดวกและทรัพยากรที่มีอยู่ในมือของเกษตรกร เช่น ใช้โดรนในการฉีดพ่น ใช้ถังฉีดพ่น หรือละลายน้ำและขังน้ำไว้ เพียง 7 วัน จุลินทรีย์ชนิดนี้จะทำให้ตอซัง
และฟางข้าว มีความนุ่ม เปื่อยยุ่ย ไม่ติดล้อรถที่มาตีนาในขั้นตอนการเตรียมดิน ลักษณะของน้ำในแปลงนาที่หมักด้วยจุลินทรีย์ จะมีสีฟางข้าว ไม่มีกลิ่นเหม็น โดยรวมใช้เวลาน้อยกว่าการขังน้ำโดยไม่มีการเติมจุลินทรีย์ ส่งผลให้เกษตรกรสามารถเริ่มการทำนาได้เร็วขึ้น
🌿จากการวิจัยและทดลองในพื้นที่ พบว่า ปริมาณการใช้ปุ๋ย ลดลงเกือบ 1 เท่าตัว จากเดิมธาตุอาหารที่เกษตรกรต้องใส่เฉลี่ย 650 กิโลกรัมต่อไร่ คำนวนจากการใช้ไนโตรเจน6.9ฟอสฟอรัส0.8โพแทสเซียม 15.6 และหลังจากการอัดฟางใช้จุลินทรีย์ย่อยสลาย พบว่า คิดเป็น 275 กิโลกรัมต่อไร่ คำนวณจากการใช้ไนโตรเจน 2.92ฟอสฟอรัส 0.34 โพแทสเซียม 6.6 เป็นต้น นอกจากจะช่วยให้โครงสร้างดินมีความอุดมสมบูรณ์ มีธาตุอาหารในดินเพิ่มมากขึ้น การไม่สร้างมลพิษทางอากาศให้เพิ่มขึ้น เพื่อให้จังหวัดปทุมธานีซึ่งเป็นชุมชนเมือง มีอากาศที่สะอาดปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หากมีการเผาฟางและตอซัง ส่งผลกระทบต่อชุมชน รวมถึงแปลงเกษตรกรข้างเคียงได้ทางรอดที่ยั่งยืน
🌿การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการเผา จะต้องใช้เทคโนโลยีและผลการวิจัย ศึกษา ทดสอบ และเห็นผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจริงของการทดสอบ 3 R Model จังหวัดปทุมธานี จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการจะสร้างจุดเปลี่ยนส่งเสริมการใช้นวัตกรรม ขยายผลความสำเร็จที่เกิดขึ้นให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ สร้างอากาศสะอาด สู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด 3 เปลี่ยน ตามแนวทางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายพีรพันธ์ กล่าว‼️

📍บพข. กองทุน ววน. กรมการท่องเที่ยว และ อบก. ผนึกกำลังสร้างอนาคตการท่องเที่ยวไทยสู่ Net Zero Tourism‼️✅️การเปลี่ยนแปลงสภา...
15/07/2024

📍บพข. กองทุน ววน. กรมการท่องเที่ยว และ อบก. ผนึกกำลังสร้างอนาคตการท่องเที่ยวไทยสู่ Net Zero Tourism‼️
✅️การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปัจจุบัน การบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเป้าหมายคือการพัฒนาและยกระดับการท่องเที่ยวไทยไร้คาร์บอน (Carbon Neutral Tourism : CNT) สู่ Net Zero Tourism ในบริบทนี้ การร่วมมือกันระหว่างหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) กรมการท่องเที่ยว และ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ถือเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน
♦️โดยเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมาได้มีการหารือระหว่าง แผนงานการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บพข. กรมการท่องเที่ยว และ อบก. นำโดยผู้บริหารทั้ง 3 หน่วยงาน ได้แก่ คุณณัฏฐิรา แพงคุณ รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว. และประธานอนุกรรมการแผนงานการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บพข. คุณภคมน สุภาพพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ตลอดจนผู้บริหารหน่วยงาน ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิจัย บพข.
ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการกล่าวถึงบทบาทของแต่ละหน่วยงาน โดย บพข. มีบทบาทในการหนุนเสริมภาควิชาการด้านการสนับสนุนการวิจัย นวัตกรรม ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมา บพข. ได้ดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่ายในการพัฒนามาตรฐาน PCR บริการท่องเที่ยว และแนวทางการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ Nature-based Solution (NbS) ในแหล่งท่องเที่ยว 33 แห่ง รวมถึงการริเริ่มจัดทำ Carbon Footprint Organization (CFO) ภาคบริการการท่องเที่ยว โดยมี โรงแรม 7 แห่ง และผู้ประกอบการขนาดเล็ก 4 กิจการเข้าร่วมดำเนินการ อีกทั้งยังมีการพัฒนาต้นแบบการบริหารจัดการองค์กรจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว Destination Management Organization : DMO ระดับจังหวัด ที่จังหวัดเพชรบุรี รวมถึงได้มีการพัฒนา Zero Carbon Application ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้ 2,235 ราย ประเมินคาร์บอนฟุตพรินท์ 600 ครั้ง และชดเชยคาร์บอน 425 tCO2eq สำหรับความร่วมมือกับภาคเอกชน คือ สมาคมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย หรือ TEATA นั้น ได้ทำงานร่วมกับนักวิจัย/นักวิชาการราว 20 มหาวิทยาลัย โดยร่วมกันออกแบบผลิตภัณฑ์/เส้นทาง/กิจกรรมการท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งได้รับการรับรองจาก อบก.จำนวน 183 เส้นทาง ครอบคลุม 77 จังหวัด สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโปรแกรมปกติ คาดว่าจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2,250 tCO2eq เหลือ 1,550 tCO2eq โดยลงได้ราว 700 tCO2eq คิดเป็นร้อยละ 31
♦️ช่วงปี 2568-2570 บพข. เตรียมพร้อมในการผลักดันการท่องเที่ยว Carbon Neutral Tourism : CNT) สู่ Net Zero Tourism โดยตั้งเป้าหมายในแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ จำนวน 44 แห่ง ประกอบด้วย แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นเกาะ อุทยาน และการท่องเที่ยววิถีสายน้ำ ซึ่งกระบวนการนี้จะมีการพัฒนาเครื่องมือ Net Zero Pathway ของแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ร่วมกับ อบก. และองค์กรนานาชาติ เช่น UN Tourism, GSTC, WTTC, The Travel Foundation, และ Nature-based Solutions Initiative โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การทำให้ประเทศไทยมีต้นแบบการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สอดคล้องกับแนวทางของ CBD, UNFCCC ตลอดจนมีแผนในการปรับตัวและความยืดหยุ่นในภาคการท่องเที่ยว พร้อมทั้งยกระดับการท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่าและความยั่งยืนภายในปี 2570 ซึ่ง UN Tourism ประกาศให้เป็น International Year of Sustainable & Resilient Tourism
♦️ทั้งนี้ ทิศทางการดำเนินงานของ บพข. มีความสอดคล้องกับภารกิจของกรมการท่องเที่ยวในการดำเนินงานให้บรรลุผลตามแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 - 2570) เกี่ยวกับเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการท่องเที่ยวลงร้อยละ 2 ต่อปี โดยกรมการท่องเที่ยวจะมีบทบาทเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผลการวิจัยนำไปใช้ในการปฏิบัติจริง ทั้งนี้ กรมการท่องเที่ยวได้วางแนวทางดำเนินการในการสร้างการเรียนรู้และความเข้าใจในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจภาคการท่องเที่ยว อาทิ ธุรกิจโรงแรม ขนส่ง ร้านอาหาร เพื่อประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่าน Zero Carbon Application พร้อมทั้งรวบรวมและจัดทำเป็นฐานข้อมูล นอกจากนี้ยังมีแนวทางในการสร้างและขยายผลต้นแบบสถานประกอบการที่ได้รับการรับรองจาก อบก. พร้อมทั้งการสนับสนุนเชิงนโยบายผ่านกลไกคณะกรรมการการท่องเที่ยวยั่งยืนแห่งชาติ แนวทางในการสร้างมาตรการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจ เช่น มาตรการทางภาษีและการลงทุน เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสื่อสารการตลาดเพื่อสร้างการเรียนรู้ ความเข้าใจ และการยอมรับแก่นักท่องเที่ยว ให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมทางการท่องเที่ยวที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน
♦️ในด้านของ อบก. ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญที่จะสนับสนุนระเบียบ วิธีการเชิงเทคนิค และการสร้างเครื่องมือ กลไกการหนุนเสริมเพื่อการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคการท่องเที่ยว เพื่อให้ Net Zero Tourism เกิดขึ้นจริงและเป็นรูปธรรม การผนึกกำลังครั้งนี้นับเป็นก้าวย่างสำคัญ โดยทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง บพข. กรมการท่องเที่ยว และ อบก. การจัดตั้งคณะทำงานนี้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และวางแผนการดำเนินงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ การแบ่งปันข้อมูล ตลอดจนการพัฒนาโครงการร่วมกันในด้านต่างๆ อาทิ การผสมผสานมาตรฐานของกรมการท่องเที่ยวเข้ากับมาตรฐานจากผลการวิจัยชั้นแนวหน้าของ บพข. สู่ภาคปฏิบัติ เกิดความร่วมมือในการสร้างต้นแบบผู้ประกอบการและแหล่งท่องเที่ยว Net Zero Tourism การยกระดับทักษะของบุคลากรภาคการท่องเที่ยว และการริเริ่มในการสร้าง DMO การท่องเที่ยว Net Zero Tourism ในระดับชาติ จึงนับเป็นการทำงานเชิงบูรณาการความร่วมมือที่มีการกำหนดบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน เกิดการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านของ Net Zero Era ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความซับซ้อนและท้าทายที่ทุกเศรษฐกิจและสังคมโลกต้องเผชิญและก้าวผ่านไปให้ได้🌿

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when News AT Now posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Videos

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Videos
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share