Econ Times

Econ Times ข่าวสารด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ อสังหาร?

สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำ “โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน พ.ศ. 25...
30/10/2024

สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำ “โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน พ.ศ. 2567” ให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 หรือ 40 โดยผู้ประกันตนมาตรา 40 จะต้องส่งเงินสมทบต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 1 ปี ก่อนเดือนที่ขอใช้สิทธิ์ โดยปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ 5 ปีแรก เพียง 1.59% ต่อปี วงเงินกู้ตามโครงการสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ส่วนที่เกิน 2 ล้านบาท สามารถใช้ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่นของธนาคารได้

ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่เข้าร่วมโครงการ และผู้ขอกู้ร่วมทุกคน ต้องไม่อยู่ระหว่างผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน โดยผู้ประกันตนที่สนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าว สามารถลงทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคม ผ่านทาง Application SSO Plus เพื่อขอหนังสือรับรองสถานะความเป็นผู้ประกันตน และรับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป พร้อมนำเอกสารส่วนตัว เอกสารแสดงรายได้ และเอกสารหลักประกัน มายื่นขอสินเชื่อได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ได้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป โดยผู้ประกันตนจะต้องติดต่อยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ภายในระยะเวลาที่ระบุในหนังสือรับรองสถานะความเป็นผู้ประกันตน

โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th

ออริจิ้น จัดทัพผู้บริหาร ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 คอนโดใหม่ทั่วประเทศ 20,000 ล้า...
12/02/2024

ออริจิ้น จัดทัพผู้บริหาร ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 คอนโดใหม่ทั่วประเทศ 20,000 ล้าน ส่งมอบ Creative Living for All

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ปรับโครงสร้างใหญ่กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม รวมพลังและทีมงานมืออาชีพจากออริจิ้น คอนโดมิเนียม-พาร์ค ลักชัวรี-ออริจิ้น เนชั่นวายด์ สู่แบรนด์ “ORIGIN VERTICAL” ส่งมอบคอนโดมิเนียมภายใต้แนวคิด “Creative Living for All” สู่ผู้บริโภค กางแผนเปิดคอนโดใหม่ 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท กระจายบุก 3 เซ็กเมนท์หลัก ครอบคลุมตลาด Gen Y-Gen Z-เมืองท่องเที่ยวภูเก็ต พร้อมเดินหน้าคอนโดตอบโจทย์ Pet Family ต่อเนื่อง มุ่งมั่นรังสรรค์งานบริการผ่าน 4 แกน ตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 36,000 ล้าน

นายเกรียงไกร กรีบงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ถือเป็นกลุ่มธุรกิจแรกและกลุ่มธุรกิจหลักของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนมีสินค้าคอนโดมิเนียมครอบคลุมตลาดทุกเซ็กเมนท์ ภายใต้ 3 บริษัทหลัก ได้แก่ 1.บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 2.บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมในจังหวัดเศรษฐกิจและจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ 3.บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ มีโครงการสะสม ณ สิ้นปี 2566 จำนวน 117 โครงการ 56,977 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 189,437 ล้านบาท ทยอยส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมที่มีฟังก์ชันตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ คอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์คนรักสัตว์เลี้ยง (Pet Family Condominium) และคอนโดมิเนียมเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง มียอดขายในปี 2566 ถึง 34,704 ล้านบาท เติบโตจากปี 2565 ราว 16%

เมื่อออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างหลากหลาย จึงได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมให้ชัดเจนมากขึ้น รวมพลังและทีมงานมืออาชีพจากทั้ง 3 บริษัทในเครือเข้าด้วยกัน และรวมศูนย์การสื่อสารภายใต้แบรนด์และชื่อบริษัทเดียว คือ บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL เพื่อยกระดับการบริหารการออกแบบ การก่อสร้าง และนวัตกรรมต่างๆ ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า และเพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารและการจดจำของผู้บริโภค โดยโครงการใหม่ๆ ที่จะพัฒนาต่อจากนี้ จะพัฒนาภายใต้ ORIGIN VERTICAL เท่านั้น

นายสิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานของ ORIGIN VERTICAL จะขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด “Creative Living for All” หรือ สร้างสรรค์ชีวิต คิดเพื่อคุณ มุ่งพัฒนาคอนโดมิเนียมที่คำนึงถึงทุกมิติของการใช้ชีวิต อาทิ ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย การปรับสมดุลชีวิต การพักผ่อน ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ นำมาสร้างสรรค์และถ่ายทอดผ่านการคัดเลือกทำเลพัฒนาโครงการ การออกแบบ ฟังก์ชัน นวัตกรรมภายในห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง ตลอดจนบริการที่เกี่ยวข้อง

“เดิมเรามีฟังก์ชันที่ผู้บริโภคชื่นชอบหลายอย่าง เช่น ตู้เก็บเสื้อผ้าอัจฉริยะ หรือ Smart Closet ห้องครัวอัจฉริยะ หรือ Smart Kitchen ตลอดจนห้องเพดานสูง 4.2 เมตร เมื่อเรารวมโครงสร้างผู้บริหารและทีมงานมาอยู่ภายใต้ ORIGIN VERTICAL เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถพัฒนาและส่งมอบเป็น Creative Living for All ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น” นายสิริพงศ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.Insight วิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าด้านต่างๆ อาทิ ทำเล การใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ การลงทุน อย่างจริงจัง เพื่อออกแบบสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะในทำเลนั้นๆ 2.Initiative นำ Insight มาพัฒนาต่อยอด ริเริ่มฟังก์ชันใหม่ โปรดักต์ใหม่อย่างสร้างสรรค์ ตอบสนองทุกมิติของการใช้ชีวิต ตอกย้ำสถานะผู้นำตลาดคอนโดมิเนียม 3.Implementation นำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ มาช่วยยกระดับคุณภาพมาตรฐานของโครงการ ตลาดจนบริการต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตของผู้คน

จากกลยุทธ์ดังกล่าว กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมภายใต้ ORIGIN VERTICAL มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2567 ทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท นำร่องในครึ่งปีแรกจำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,680 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล 3 โครงการ ได้แก่ 1.ออริจิ้น เพลส แจ้งวัฒนะ 2.ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ 3.ดิ ออริจิ้น เศรษฐบุตร สเตชั่น โดยทั้ง 3 โครงการเป็นคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ ภายใต้แนวคิด Origin Pet Family Condo ที่มีฟังก์ชันที่ผ่านการวิจัยและความร่วมมือกับพันธมิตร ตอบสนองความต้องการและคุณภาพชีวิตของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ขณะเดียวกัน มีโครงการในภูเก็ตอีก 2 โครงการ ได้แก่ 1.โซ ออริจิ้น บางเทา บีช 2.ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต

นายประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่สายงานก่อสร้าง บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์ด้านคุณภาพและการบริการ (Quality & Services) ของบริษัทในปีนี้ จะให้ความสำคัญกับ 4 ด้าน ได้แก่ 1.People Development ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรด้านคุณภาพและบริการอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการ Upskill และ Reskill เช่น การจัดกิจกรรมอบรมแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing) ร่วมกับเหล่าพันธมิตรชั้นนำที่มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2.Product Design พัฒนาการออกแบบสินค้าอย่างมีคุณภาพด้วยทีมนักออกแบบมืออาชีพ เพื่อให้โครงการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า 3.Product Quality มุ่งมั่น คัดสรร จัดซื้อวัตถุดิบในการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยกระดับการรับรองคุณภาพงานก่อสร้าง หรือ Quality Assurance ผ่านแอปพลิเคชัน Origin QA ซึ่งเป็น Construction Tech App ที่ให้ทีมงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้าง สามารถเข้ารายงานและดูสถานะของห้องชุดแต่ละห้องในโครงการได้แบบ Real-time โดยแบ่งแยกสถานะแต่ละห้องตามความเรียบร้อยของคุณภาพงานก่อสร้าง เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถเข้าแก้ไขได้อย่างเหมาะสม 4.Service Excellence ครอบคลุม บริการหลังการขาย ทั้งงานดูแลห้องลูกค้า และดูแลการใช้ชีวิตของลูกค้า ผ่านพันธมิตร ที่หลากหลายทั้งในเครือ และภายนอก เพื่อส่งมอบความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า

นายกฤษณ์​ เตชะสัมมา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า การบุกตลาดในปีนี้ จะเน้นบุกผ่าน 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.ออริจิ้น เพลส (Origin Place) แบรนด์คอนโดมิเนียมที่ผสมผสานการตกแต่งแบบคลาสสิกและร่วมสมัยเข้าด้วยกัน มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นเยี่ยม ตอบสนองการพักผ่อนและการทำกิจกรรม 2.ดิ ออริจิ้น (The Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียมที่มาพร้อมกับหลากฟังก์ชัน เพื่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในราคาที่จับต้องได้ 3.โซ ออริจิ้น (So Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียมสไตล์บูทีคที่ออกแบบให้ทุกพื้นที่ เติมเต็มทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ด้วยบริการระดับโรงแรม และ 4.พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี พร้อมอยู่ ใจกลางทำเลย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ นอกจากนี้ บริษัทยังใส่ใจองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน อาทิ การติด Solar Panel ใน Sales Gallery โครงการใหม่ การเตรียมจุดชาร์จสำหรับติดตั้ง EV Charger การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ทั้งสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ผ่าน Origin Give คาดว่าทั้ง 4 แบรนด์จะเข้าถึงตลาดทั้ง Gen Z, Gen Y ลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ตลอดจนลูกค้าชาวต่างชาติ

จากแผนงานดำเนินธุรกิจดังกล่าว ORIGIN VERTICAL ตั้งเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2567 ไว้ที่ 36,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการ JV และ Non-JV รวมกันไว้ที่ 18,000 ล้านบาท เบื้องต้น ในช่วงไตรมาส 1/2567 บริษัทเตรียมจัดแคมเปญ Happiness Caravan ส่งมอบขบวนโปรโมชันแห่งความสุขให้แก่โครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ อาทิ ดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี, ฟรี แต่งห้องสูงสุด 2 แสนบาทจาก Wyde Interior, ฟรี เครื่องใช้ไฟฟ้า, ฟรี ค่าใช้จ่ายวันโอน, ฟรี ค่าส่วนกลาง 1 ปี, ฟรี ค่ากองทุนแรกเข้า, ฟรี ขยายเวลารับประกันห้องอีก 1 ปี, ฟรีทำความสะอาด 1 ปี, ส่วนลด Top Up สูงสุด 100,000 บาท เฉพาะผู้ซื้อโครงการในวันอังคารและวันอาทิตย์, พร้อมพบห้องยูนิตราคาพิเศษ ถึงวันที่ 31 มี.ค.67 นี้ โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯืกำหนด

มองอดีต ส่องอนาคต 90 ปีของนิสสัน แบรนด์รถยนต์ในใจคนรักรถทั่วโลก นิสสัน รถยนต์แบรนด์จากญี่ปุ่นในดวงใจหลายคนเพิ่งฉลองครบ 9...
12/02/2024

มองอดีต ส่องอนาคต 90 ปีของนิสสัน แบรนด์รถยนต์ในใจคนรักรถทั่วโลก

นิสสัน รถยนต์แบรนด์จากญี่ปุ่นในดวงใจหลายคนเพิ่งฉลองครบ 90 ปีเต็มของการก่อตั้งไปหมาดๆ เมื่อปลายเดือนธันวาคมนี้เอง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นิสสันมักมีสิ่งใหม่ๆ ที่คนคาดไม่ถึงมานำเสนออยู่เสมอ มาดูเส้นทางการก้าวสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลกว่าตลอด 9 ทศวรรษที่ผ่านมานิสสันทำอะไร และมีอะไรบ้าง
ที่นิสสัน กล้าที่จะทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ “dare to do what others don’t”
นิสสัน มอเตอร์ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1933 ที่เมืองโยโกฮามา เพื่อผลิตรถยนต์ขึ้นเองในประเทศญี่ปุ่น เป็นรถยนต์ที่ผลิตจำนวนมากหรือ mass production ราคาพอสมควร สามารถแข่งขันกับแบรนด์รถยนต์จากต่างประเทศได้ ให้คนมีโอกาสได้ใช้รถกันอย่างสะดวก หลังจากก่อตั้งแล้วไม่นาน นิสสัน มอเตอร์ ก็เริ่มส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชีย อเมริกา และภูมิภาคต่างๆ ก่อนจะขยายธุรกิจไปทั่วโลก มีโรงงานผลิตในหลายๆ ภูมิภาค โดยในปัจจุบัน นิสสันมีโรงงานผลิตในประเทศไทยซึ่งผลิตทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถยนต์กระบะหนึ่งตันเพื่อการพาณิชย์ รวมถึงยังเป็นฐานการประกอบแบตเตอรี และชุดขับเคลื่อนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ อี-พาวเวอร์ เพื่อส่งออกไปทั่วภูมิภาคอาเซียน และหลายประเทศทั่วโลก
นิสสัน มอเตอร์ ยังได้ร่วมมือทางเทคนิค และเข้าซื้อกิจการบริษัทอื่นๆ เช่น การร่วมมือด้านเทคนิคกับออสติน มอเตอร์ ของอังกฤษ การเข้าซื้อกิจการ ปริ๊นซ์ มอเตอร์ เป็นต้น ทำให้รถยนต์ของนิสสันมีความหลากหลาย มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อผนวกกับความสามารถของทีมวิศวกรชั้นนำของนิสสัน ทำให้ตลอด 90 ปีที่ผ่านมา นิสสันได้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นครั้งแรกของโลกมากมาย เช่น รถมินิแวนรุ่นแรกของโลก (Prairie Model M10) การใช้หุ่นยนต์แบบหลายแขน (multi-arm robot) เพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการผลิต การพัฒนารถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ใช้ระบบกันสะเทือนแบบมัลติลิ้งค์ เทคโนโลยี Bird Eye View Navigation การพัฒนารถรุ่น Bluebird Sylphy ที่ผลิตไอเสียต่ำ หรือ super ultra-low emission vehicle ซึ่งปล่อยไอเสียน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดได้ถึง 75% และรุ่นที่คนขับรถหลายคนทั่วโลกพอจะคุ้นหน้ากันคือ
นิสสัน ลีฟ (LEAF) รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของโลกที่ผลิตและขายในเชิงพาณิชย์

ผลงานที่สะท้อนความ Dare to do what others don’t มากที่สุดของนิสสัน จะมีทั้งสองขั้ว คือ ฝั่งสมรรถนะ กับฝั่งที่เป็นรถยนต์พลังงานทางเลือกเพื่อความยั่งยืน

ในกลุ่มรถสมรรถนะสูง แน่นอนว่าชื่อของ สกายไลน์, จีที-อาร์, และ แซท (Z) ที่ล้วนแต่เป็นรถในฝันของนักเลงรถ เพราะไม่เป็นสองรองใครในเรื่องของวิศวกรรม การออกแบบ และประวัติในฐานะแชมป์สนามแข่งระดับตำนาน และสุดยอดความภูมิใจของนิสสัน อาทิ นิสสัน จีที-อาร์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพในสนามแข่ง และเป็นครั้งแรกที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเอาชนะค่ายรถยนต์ที่เคยครองแชมป์สนามแข่งมาหลายปีในหลายๆ สนามได้อย่างราบคาบในยุค 1960s และมีการพัฒนาต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ รุ่นล่าสุดคือ GT-R R35 และแม้กระทั่งในงาน Japan Mobility Show หรือโตเกียวมอเตอร์โชว์โฉมใหม่ซึ่งจัดไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หนึ่งในคอนเซ็ปต์คาร์ของนิสสันก็ยังรวมถึงรถสมรรถนะสูงอย่าง ไฮเปอร์ ฟอร์ซ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวตายตัวแทนของ จีที-อาร์ R35 อีกด้วย

ในอีกขั้วหนึ่ง คือ รถยนต์พลังงานทางเลือกที่กำลังเป็นเทรนด์สำคัญในปัจจุบัน ซึ่งเรากำลังเผชิญผลกระทบจากภาวะโลกร้อน และความต้องการของการใช้พลังงานสะอาดอย่างยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ซึ่งที่จริงแล้วรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไม่ได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับนิสสัน เพราะรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอยู่คู่ประวัติศาสตร์นิสสันมาเกือบ 80 ปีแล้ว นั่นก็คือ รถไฟฟ้ารุ่นแรกที่ชื่อ TAMA ที่ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1947 หลังสงครามโลกจบลงใหม่ๆ ญี่ปุ่นขาดแคลนน้ำมัน อาหาร และทรัพยากรต่างๆ แต่มีพลังงานไฟฟ้ามาก เพราะแทบจะไม่มีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านหรือการผลิตเลย จึงเกิดไอเดียที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าขึ้น TAMA วิ่งได้ไกลถึง 96 กิโลเมตร ด้วยความเร็ว 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถือว่าล้ำหน้ามากในยุคนั้น

นับจนถึงวันนี้ รถยนต์ไฟฟ้ากลับมาเป็นความหวังของคนทั้งโลกอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะพลังงานไฟฟ้ามีเหลือเฟือ แต่เพราะคนทั้งโลกตระหนักถึงความรับผิดชอบในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนมากขึ้น นิสสันเอง ก็ได้พัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าต่อเนื่อง เช่น นิสสัน ลีฟ (Leaf) นิสสัน ซากุระ (Sakura) และ นิสสัน อริยะ (Ariya) แม้กระทั่งคอนเซ็ปต์คาร์ทั้ง 5 รุ่นของนิสสันที่แสดงในงานเจแปน โมบิลิตี้ โชว์ ที่ผ่านมา เป็นรถพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด รวมทั้งยังพลิกโฉมดีไซน์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน สะท้อนให้เห็นว่ารถยนต์แห่งอนาคตจะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้เต็มที่พร้อมกับแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้มากแค่ไหน สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานให้สอดคล้องกับวิถีการใช้ชีวิต ตอกย้ำมุมมองของนิสสันที่เชื่อว่ารถยนต์แห่งอนาคต คือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีรถยนต์อัจฉริยะที่จะสร้างความตื่นเต้น (Vehicle intelligence that electrifies our future)

สำหรับลูกค้าชาวไทย นิสสันเป็นรถสามัญประจำบ้านของหลายครอบครัวมาตลอด 70 กว่าปีที่นิสสันเข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่รุ่นแรกๆ ที่ยังคงใช้แบรนด์ดัทสันก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นนิสสัน เพราะความคุ้มค่า คุณภาพดี ขับขี่และดูแลรักษาง่าย ไม่ว่าจะเป็นรถบ้านหรือรถกระบะที่ขึ้นชื่อว่าทนทาน อึด บรรทุกของได้มาก วางใจได้ และในปัจจุบันก็มีรถยนต์ให้เลือกหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นรถซีดาน เอสยูวี รถสำหรับครอบครัวหรือ PPV และรถกระบะก็ตาม รวมทั้งยังมีเทคโนโลยีการขับเคลื่อนหลากหลายทั้งแบบที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ (e-POWER) ที่ให้ฟีลการขับขี่แบบรถยนต์ไฟฟ้า 100% แต่ไม่ต้องชาร์จไฟจากภายนอก ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่
แฟนของนิสสันที่มีแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่น สามารถแวะไปเยี่ยมนิสสัน แกลเลอรี่ (Nissan Global Headquarters Gallery) ที่โยโกฮามาได้ด้วย ที่นี่เป็นที่รวมเอารถยนต์รุ่นสำคัญๆ จากอดีตถึงปัจจุบัน และคอนเซ็ปต์คาร์แห่งอนาคตไว้ในที่เดียว และเปิดให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าไปนั่งได้ สัมผัสรถแต่ละรุ่นได้ ซึ่งจะทำให้ได้เห็นพัฒนาการของรถยนต์รุ่นต่างๆ เทคโนโลยีที่น่าสนใจตลอด 90 ปีที่ผ่านมา และถ้าไม่อยากเดินละเลียดชมทีละรุ่น นิสสันยังมีบอร์ดจัดแสดงรถจำลองคันจิ๋วครบทุกรุ่นตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เรียงตามลำดับมาจนถึงปัจจุบันให้ได้ชมวิวัฒนาการกันเต็มที่ และมีมุมจำหน่ายของที่ระลึกเก๋ๆ ด้วย
ใครสนใจอยากทราบรายละเอียดมากกว่านี้ แนะนำให้เข้าไปดูวีดีโอ หรืออ่านข้อมูลเรื่องราวตลอด 90 ปีของนิสสัน ที่คุณอาจไม่เคยรู้ไว้ที่เว็บไซต์ https://www.nissan-global.com/EN/ หรือจะโหลดหนังสือที่สรุปเรื่อง 90 ปีไว้ในไม่กี่หน้าได้ที่ https://www.nissan-global.com/EN/BOOK/90TH_ANNIVERSARY/html5m.html =5

เจาะลึก 4 เซ็คเตอร์อสังหาฯ ปี 67 ยุคแห่งข้อมูลและช่วงชิงโอกาสในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว                    ไนท์แฟรงค์ ประเทศไ...
12/02/2024

เจาะลึก 4 เซ็คเตอร์อสังหาฯ ปี 67 ยุคแห่งข้อมูลและช่วงชิงโอกาสในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว



ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดมุมมอง “Knight Frank Foresight 2024 Pivoting Towards Opportunities” เจาะลึกโอกาสและความท้าทาย 4 เซ็คเตอร์ ที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม โรงแรม อาคารสำนักงาน ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง ปัจจัยฉุดรั้งการเติบโต ชี้คอนโดมิเนียม ต่ำกว่า 3 ล้านยังน่าห่วง Reject rate กระทบกำลังซื้อชะลอตัว คาดเรียลดีมานด์ตัวช่วยหลักดันวอลุ่มแนวราบขายได้ประมาณ 4,000 ยูนิต กลุ่มอุตสาหกรรมขยายตัวจากแรงหนุนตลาดรถ EV ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ จับตาตลาดอาคารสำนักงานซัพพลายล้น แต่อาคารสีเขียวมีแนวโน้มดี รับเทรนด์ ESG มาแรง

นายณัฏฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดเผยว่าปัจจัยในประเทศ อาทิ ปัญหาเงินเฟ้อต่ำ ที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังน่าเป็นห่วงและต้องจับตามองกันต่อไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยของต้นการผลิตที่สูงขึ้น ตลาดที่อยู่อาศัยเติบโตช้า เนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยสูง และ ปัญหา Reject Rate หรือการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่วนปัจจัยจากต่างประเทศ มาจากเศรษฐกิจและการค้าโลกมีความไม่แน่นอนสูงจากภาวะสงครามที่เกิดขึ้นอยู่ในหลายพื้นที่ ตลาดการเงินทั่วโลกมีความผันผวนมากขึ้นจากผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจ รวมถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ในปี 2567 มองเห็นถึงแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องจากการลงทุนเอกชนที่ขยายตัว และการบริโภคภาคเอกชนเติบโตจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงนโยบายภาครัฐที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ และกระตุ้นการใช้จ่าย ผ่านโครงการ Easy E-Receipt

“การทำธุรกิจท่ามกลางความผันผวน ข้อมูลมีความสำคัญอย่างมากต่อการใช้วิเคราะห์แนวโน้ม และการวางแผน ใครที่มีข้อมูลในมือเยอะกว่า รวดเร็วกว่า และแม่นยำกว่าจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน ผมเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ทางไนท์แฟรงค์ฯ ได้มาจาก End user โดยตรงนี้ มีส่วนทำให้เกิดการรับรู้ถึงโอกาสและความท้าทายที่เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม และเจาะลึกรายเซ็กเตอร์ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม โรมแรม และอาคารสำนักงาน” นายณัฏฐา กล่าว

>>>EV-ดาตาเซ็นเตอร์ ธุรกิจมาแรงดันกลุ่มอุตสาหกรรมขยายตัว

มร. มาร์คัส เบอร์เทนชอว์ กรรมการบริหาร-หัวหน้าฝ่าย, Occupier Strategy & Solutions กล่าวว่า ในปี 2567 นี้ ธุรกิจที่น่าจับตามองก็คือ ธุรกิจศูนย์ข้อมูล หรือ ‘Data Center’ ที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีถึงดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม

ส่วนภาพรวมตลาดอุตสาหกรรม ปี 2566 ถือว่าเป็นปีที่มีผลประกอบที่ยอดเยี่ยม โดยมีที่ดินถูกขายออกไปมากถึง 8,867 ไร่ เป็นจำนวนเป็น 2 เท่าของปีที่แล้ว นำโดยธุรกิจ EV (Electric Vehicle) กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างมาก นอกจากนี้ยังมี สินค้ากลุ่มอิเลคโทรนิคที่ขยายตัวได้ดี โดยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) ยังเป็นพื้นที่เป้าหมายหลักที่นักลงทุนให้ความสนใจ คิดเป็นกว่า 80% ของธุรกรรมทั้งหมด

>>>โรงแรม รอวันฟื้นจากยอดนักท่องเที่ยว

มร.คาร์ลอส มาร์ติเนซ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา กล่าวว่า ตลาดโรงแรมสถานการณ์ตอนนี้ถือว่าได้กลับไปอยู่ในจุดก่อนสถานการณ์โควิดแล้ว โดยราคาห้องพักต่อคืนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก แม้ปริมาณนักท่องเที่ยวจะยังไม่กลับมาเหมือนช่วงก่อนโควิดก็ตาม

ดังนั้นสิ่งที่เป็นความท้าทายสำคัญของตลาดโรงแรมในปี 2567 ก็คือจำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับก่อนสถานการณ์โควิดได้หรือไม่ พิจารณาจากอัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 75% เท่านั้น

“ตลาดโรงแรมสถานการณ์ตอนนี้ถือว่าค่อนข้างสดใส ราคาห้องพักต่อคืนเพิ่มขึ้นสูงมาก สูงกว่าช่วงโควิดเสียอีก แต่ในขณะเดียวกันค่าต้นทุนการดำเนินงาน (Operation Cost) เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าไฟ ก็ปรับตัวสูงขึ้นกว่าสัดส่วนของกำไร ดังนั้นในปี 2567 ความท้าทายที่สำคัญจึงอยู่ที่จำนวนนักท่องเที่ยวว่าจะฟื้นตัวกลับมาเท่ากับช่วงก่อนสถานการณ์โควิดเมื่อไหร่ เพื่อทำให้ภาพรวมของธุรกิจโรงแรมกลับมามีผลกำไรอยู่ในจุดที่น่าพอใจ” มร. คาร์ลอส กล่าว

>>>ออฟฟิศซัพพลายล้น-อาคารสีเขียวโตรับเทรนด์ ESG

นายปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกอาคารสำนักงาน กล่าวว่า ตลาดอาคารสำนักงานเข้าสู่ช่วงที่ท้าทายอย่างมาก จากแนวโน้มการเข้าถือครองพื้นที่ลดลง โดยที่จำนวนซัพพลายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เริ่มเข้าสู่ภาวะซัพพลายล้นตลาด

“แม้ว่าจะมีความต้องการใช้พื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมากภายในปี 2566 แต่ก็ยังไม่ทันกับจำนวนซัพพลายที่เข้าสู่ตลาด ส่งผลให้มีการแข่งขันของอาคารสำนักงานสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้เช่าที่มีตัวเลือกมากขึ้น”

ทั้งนี้ ปี 2566 ต่อเนื่อง 2567 มีสัญญาณที่ดีจากบริษัทข้ามชาติที่ต้องการการย้ายฐานบริษัทเข้ามาดำเนินงานในไทย โดยเฉพาะบริษัทจากประเทศจีนในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับรถ EV เริ่มเข้ามาหาพื้นที่จัดตั้งสำนักงานในไทย โดยรัชดาเป็นทำเลที่อยู่ในเป้าหมาย ส่วนบริษัทคนไทยก็เริ่มขยับขยายใช้พื้นที่สำนักงานเพื่อประกอบกิจการมากขึ้น เพราะเป็นมีส่วนสำคัญต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในการดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถเข้าร่วมงาน

ด้านนายอายุธพร บูรณะกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์พื้นที่สำนักงานบริการสำหรับโครงการ กล่าวว่า แนวโน้มความต้องการอาคารสำนักงานที่มีแนวคิดด้านความยั่งยืนมากขึ้น (ESG : Environment Social และ Governance) เช่น ตึก Green Building ที่กำลังได้รับความนิยม รวมถึง พื้นที่ออฟฟิศที่เน้น Work life balance มากขึ้น

นอกจากผู้เช่าจะมองหาอาคารที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนแล้ว ยังพบแนวโน้มของธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการที่ปรึกษาด้านคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เพื่อสอดรับกับทิศทางของธุรกิจในอนาคต ซึ่งทางไนท์แฟรงค์ก็มีทีมงานที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้คอยให้คำปรึกษากับลูกค้าด้วย

>>>ที่อยู่อาศัย เติบโตแบบชะลอตัว

มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่พักอาศัย กล่าวว่า ปี 2567 ตลาดที่อยู่อาศัยยังเผชิญกับปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงิน หรือ Reject rate และ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบ ทำให้การพัฒนาโปรดักท์ระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาทอาจจะไม่ตอบโจทย์มากนัก ในขณะที่กลุ่มที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยเกิน 3 ล้านบาทขึ้นไป จะเป็นลูกค้ากลุ่มหลักที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจ

สิ่งที่น่าจับตามองก็คือ ในส่วนของตลาดบ้านนั้นเริ่มเข้าสู่ภาวะเติบโตแบบชะลอตัว เพราะเป็นตลาดเรียลดีมานด์ (Real Demand) ซื้อเพื่ออยู่อาศัย ถึงแม้ความต้องการยังมีอยู่ แต่ความต้องการนั้นเริ่มตามไม่ทันกับซัพพลายที่ออกสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการขายบ้านในภาพรวมจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 หลังในปี 2567

ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2566 ในภาพรวมมีจำนวนเปิดขายที่ 745,335 ยูนิต ขายไป 527,067 ยูนิต คิดเป็น 70.7% โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 145,000 บาทต่อ ตร.ม. และหากดูยอดขายที่เปิดขายใหม่ในแต่ละไตรมาสนั้นจะพบว่าสามารถทำยอดขายไปได้กว่า 30 % เท่านั้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยังไม่กลับไปแตะระดับ 40% เหมือนที่เคยทำได้ในช่วงต้นปี 2566 โดยเฉพาะอย่างตลาดที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการออกมาในระดับนี้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ตลาดระดับราคา 10-15 ล้านบาท ยังสามารถทำยอดขายได้ดี

“จากข้อมูลพบว่า ผู้ซื้อในตลาดราคาระดับนี้ไม่ได้มีความรู้สึกว่าต้องรีบซื้อ แต่อย่างไรก็ตาม ยอดขายก็สามารถปิดอยู่ที่ประมาณ 80% ของที่เปิดขายอยู่ราว ๆ 7,000 ยูนิตได้ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมเพราะจำนวนเปิดขายใหม่ถือว่าค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับที่มีอยู่เดิมในตลาด” มร.แฟรงค์ กล่าว

ส่วนแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ยังคงเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้มั่งคั่งในไทย โดยไนท์แฟรงค์สามารถกวาดยอดขายไปได้กว่า 1,000 ล้านบาทในปี 2566 และในปี 2567 ก็ยังคงมีความต้องการจากมหาเศรษฐีไทยที่ต้องการเข้าไปซื้ออสังหาริมทรัพย์จากประเทศอังกฤษเพิ่มมากขึ้น

RML เพิ่มทุน 3,588 ล้านบาท ผ่าน PP-RO หนุนขยายฐานธุรกิจRML (บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด มหาชน) ผู้นำวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพ...
12/02/2024

RML เพิ่มทุน 3,588 ล้านบาท ผ่าน PP-RO หนุนขยายฐานธุรกิจ

RML (บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด มหาชน) ผู้นำวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ในไทย ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียน 3,588 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 4,172 ล้านบาท เป็น 7,760 ล้านบาท รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมเพิ่มผลกำไรอย่างต่อเนื่อง

นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2567 และวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2567 ได้มีมติอนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ขึ้นอีกจำนวน 3,588 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 4,172 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 7,760 ล้านบาท

สำหรับการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 3,588 ล้านบาทนี้ ได้มีการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนเป็น 2 ส่วน หุ้นเพิ่มทุนส่วนแรก เสนอขายให้บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) โดยจัดสรรให้ 2 บุคคล คือ นายกฤษณ์ ณรงค์เดช และนายพาที สารสิน จำนวน 2,522 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.42 บาทต่อหุ้น และหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่ 2 เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering : RO) จำนวน 714 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.42 บาท ในอัตรา 9.38 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ โดยจะมีการออกรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 (RML-W1) รวมทั้งออกรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ที่ออกให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย (โครงการ RML ESOP WARRANT ครั้งที่ 1) มีราคาใช้สิทธิหุ้นละ 1 บาท ซึ่งเงินที่บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับจากการเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้จะเป็นจำนวนไม่เกิน 1,711 ล้านบาท ทั้งนี้การเพิ่มทุนจดทะเบียนดังกล่าวได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทฯ เรียบร้อยแล้ว ในขั้นตอนต่อไปเป็นการเสนอในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ในวันที่ 22 มีนาคม 2567

“ในนามของบริษัทฯ ขอขอบคุณอย่างจริงใจต่อผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกรายที่สนับสนุนทำให้การเพิ่มทุนในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ สะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในทิศทางธุรกิจของ RML ซึ่งการที่บริษัทฯ เสนอขายหุ้นให้บุคคลในวงจำกัด (Private Placement : PP) เป็นการรับประกันความสำเร็จในการเพิ่มทุนในครั้งนี้ และการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering : RO) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นทุกท่านมีส่วนร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยการเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้ได้มีการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้กับคุณพาที สารสิน ซึ่งจะเข้ามาถือหุ้นของบริษัทฯ และดำรงตำแหน่งกรรมการ มีผลตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป คุณพาทีจะมีบทบาทสำคัญในการขยายฐานการลงทุนและพัฒนาโครงการของบริษัทฯ ให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยขยายไปยังอสังหาริมทรัพย์กลุ่มโรงแรมและการบริการ อาทิ โครงการ Branded Residences และโรงแรม ในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ อาทิ พัทยา และภูเก็ต เพื่อรองรับการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่จะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในปี 2567 นี้ ทั้งนี้ด้วยความสามารถของคุณพาทีที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจการบินและการท่องเที่ยว ประกอบกับความเป็นผู้นำที่มีความมุ่งมั่นและมีผลงานโดดเด่นจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ เติบโตขึ้นเป็นอันดับ1 ด้านผู้นำอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ชั้นนำของประเทศไทยได้อย่างแน่นอน” นายกรณ์ กล่าวเสริม

การเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และเกื้อหนุนการเติบโตของบริษัทฯในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ภายใต้แผนธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นเงินทุนที่มากเพียงพอต่อการขยายธุรกิจ โดยในอนาคตบริษัทฯ มีความตั้งใจที่อยากจะก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเป็น Real Estate Financial Platform เปิดโอกาสให้มีการร่วมลงทุนจากกลุ่มกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ RML ที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 36 ปี พัฒนาโครงการมาแล้วรวมมูลค่าทุกโครงการทั้งสิ้นกว่า 150,000 ล้านบาท จำนวนยูนิตทั้งหมด 5,600 ยูนิต หรือคิดเป็นพื้นที่รวมแล้วกว่า 1 ล้านกว่า ตร.ม. ทุกโครงการปิดการขายทั้งหมด ยอดขายลูกค้าชาวต่างชาติเต็มโควต้า ประกอบกับทีมงานคุณภาพที่สามารถพัฒนาโครงการผ่านการวางแผนกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งการออกแบบ การก่อสร้าง การตลาด และการขาย รวมถึงการมีพันธมิตรในระดับนานาชาติในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง จะทำให้การขยายการลงทุนในรูปแบบของ Platform นี้ของบริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจไปในตลาดที่มีโอกาสมากขึ้น เช่น การลงทุนในรูปแบบ International Portfolios ที่มีผลตอบแทนสูงและสามารถรับรู้ผลกำไรได้ทันที โดยในเบื้องต้นมีกองทุนและนักลงทุนแสดงความสนใจใน Business Model นี้เป็นจำนวนมาก และทางบริษัทฯ เองมีความมั่นใจว่า Real Estate Financial Platform นี้จะเป็นจุดเปลี่ยน (Game Changer) ที่จะนำพาให้บริษัทฯ พร้อมเทิร์นอะราวด์ พลิกกลับมาแสดงผลกำไรภายในปี 2567

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2567 บริษัทฯ จะเดินหน้าสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยมีการบริหารเงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นกลยุทธ์ Asset light strategy ที่บริษัทฯ จะพัฒนาโครงการร่วมกับเจ้าของที่ดิน ทำให้ไม่ต้องสต็อกที่ดิน ซึ่งจะช่วยทำให้ประหยัดต้นทุนในการซื้อที่ดินมากขึ้นและสามารถขยายโครงการได้เร็วยิ่งขึ้น อีกทั้ง บริษัทฯ ยังเพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบ เพื่อรักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับสูง โดยเตรียมเปิดขายโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ 3 โครงการ บน 3 ทำเล รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 16,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ ใจกลางสุขุมวิท มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 400-700 ล้านบาทต่อหลัง และโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ มูลค่าโครงการ 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นรูปแบบ Branded Villa ระดับอัลตร้าลักชัวรี่ บนอ่าวกมลา ที่ภูเก็ต ราคาขายเฉลี่ย 600-1,000 ล้านบาทต่อหลัง รวมทั้งโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบริมแม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทฯ จะรักษากระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง ผ่านการจัดตั้งกองทุนในรูปแบบ Private Equity Trust (PE Trust) เพื่อเป็นเจ้าของและดำเนินการ โครงการอาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในประเทศไทยอย่าง ‘โอซีซี’ (One City Centre) ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 61,000 ตารางเมตร ที่ในปัจจุบันถือเป็นสุดยอดโครงการอาคารสำนักงานของประเทศไทยที่เป็นที่สุดในทุกมิติบนทำเล CBD เพลินจิต ติดสถานีบีทีเอสเพลินจิต และมีสะพานเชื่อมต่อจากอาคารสู่สถานีบีทีเอส ถนนวิทยุ และ Central Embassy ได้ตรง ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวมถึงความสนใจจากลูกค้ารวมประมาณ 70% ล้วนเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกและเป็นที่รู้จักในไทย โดยมีบริษัทที่สามารถเปิดเผยชื่อได้ อาทิ เดอะ บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (ประเทศไทย) บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก, ธนาคาร บีเอ็นพี พารีบาส์ ธนาคารสัญชาติฝรั่งเศสที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก, อมาเดอุส เอเชีย บริษัทเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวระดับโลก, รวมไปถึงมารูเบนิ กลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นที่มีธุรกิจหลากหลายครอบคลุม 8 อุตสาหกรรมหลัก และอีกหลายบริษัทในเครือมิตซูบิชิ กรุ๊ป อีกกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น เป็นต้น สะท้อนให้เห็นว่า ‘โอซีซี’ เป็นอาคารสำนักงานที่บริษัทระดับโลกเชื่อถือและไว้วางใจมากมาย ดังนั้น ด้วยการจัดกองทุน Private Equity Trust (PE Trust) จะทำให้นักลงทุนสามารถมีส่วนร่วมในกองทุนนี้ได้นี้ เพื่อให้โครงการมีการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมที่สุดและให้ผลตอบแทนสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นของของบริษัทฯ

Power Work ชี้ตลาดอีวีไทยคึกคัก ล่าสุดปิดดีลแบรนด์เกาหลียักษ์ใหญ่ “ไอออนิค 5” จาก “ฮุนได” กางโรดแมป 1 ปี ปักหมุดผู้นำ EV...
12/02/2024

Power Work ชี้ตลาดอีวีไทยคึกคัก ล่าสุดปิดดีลแบรนด์เกาหลียักษ์ใหญ่ “ไอออนิค 5” จาก “ฮุนได” กางโรดแมป 1 ปี ปักหมุดผู้นำ EV Charger ไทยมาตรฐานสากล



เพาว์เวอร์ เวิร์ค (Power Work) สตาร์ทอัพผู้จัดจำหน่ายอีวีชาร์จเจอร์ในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Wallbox เผยสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ระบุว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ที่ผ่านมา ยอดการจดทะเบียนรถอีวีมีจำนวนมากกว่า 31,515 คัน เติบโตขึ้น 229% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลตลาดรถอีวีไทยคึกคัก สบช่องคว้าดีลความร่วมมือกับ ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) ให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการติดตั้ง Wallbox EV Charger กับลูกค้าที่เลือกใช้ ไอออนิค 5 (IONIQ 5) รถยนต์ไฟฟ้า 100% จาก ฮุนได ตอบเทรนด์พลังงานสะอาดมาแรง ตั้งเป้าส่งมอบ 1,500 เครื่อง ภายในปี 2568 พร้อมกางโรดแมป 1 ปี เล็งสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในอุตสาหกรรมอีวี ปักหมุดดัน เพาว์เวอร์ เวิร์ค ทะยานสู่ผู้นำ EV Charger ไทยมาตรฐานสากล



นายคมสิทธิ์ แสงมณี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เพาว์เวอร์ เวิร์ค จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดอีวีในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งจากแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศ หรือนโยบาย 30@30 ที่มีการตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2573 และการส่งเสริมจากภาครัฐให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมถึงเตรียมความพร้อมระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้ารอบด้าน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่ยานยนต์ไฟฟ้าให้ใช้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลยอดจองรถอีวีพุ่ง โดยข้อมูลจากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) พบว่าช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ที่ผ่านมา ยอดการจดทะเบียนรถอีวีมีจำนวนมากกว่า 31,515 คัน เติบโตขึ้น 229% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า



“Power Work (เพาว์เวอร์ เวิร์ค) เป็นบริษัทสตาร์ทอัพให้บริการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ ภายใต้ แบรนด์ Wallbox มุ่งดำเนินธุรกิจทางด้านพลังงาน ให้บริการลูกค้าด้วยทีมงานที่มีความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พร้อมทั้งให้บริการติดตั้งครอบคลุมทุกวงจร ด้วยการเล็งเห็นเทรนด์ทางด้านพลังงานสะอาด และการเติบโตของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงมีความตั้งใจที่จะผลักดันโครงสร้างพื้นฐานรถไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยให้มีความแข็งแกร่งขึ้น โดยล่าสุด ได้ร่วมมือกับ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการติดตั้ง Wallbox EV Charger รุ่น Pulsar Plus ที่มีขนาดกระทัดรัด และมีน้ำหนักเพียง 1 กิโลกรัม เป็นระบบชาร์จแบบ AC Charger ให้กำลังไฟถึง 7.4 kW รองรับการชาร์จไฟให้กับรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นทุกขนาด ให้กับลูกค้าที่เลือกใช้ ไอออนิค 5 (IONIQ 5) รถยนต์ไฟฟ้า 100% จาก ฮุนได โดยบริการครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบ และติดตั้งอุปกรณ์ เพื่อความปลอดภัยที่เชื่อมั่นได้ตลอดการใช้งาน ตั้งเป้าส่งมอบ 1,500 เครื่อง ภายในปี 2568” นายคมสิทธิ์ กล่าว



นายคมสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า Power Work มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจในการสร้างความยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ด้วยความเชื่อว่ายานยนต์ไฟฟ้าจะไม่เป็นเพียงตัวเลือกของผู้บริโภคเท่านั้น แต่จะเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ที่มีความสำคัญในการเดินทางสำหรับองค์กรธุรกิจและผู้บริโภคในประเทศในอนาคต ภายใต้เป้าหมายของการพัฒนาให้การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องง่าย เข้าถึงได้ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ Power Work ยังมีพันธมิตรคู่ค้า ที่สำคัญ เช่น อาวดี้ ประเทศไทย (Audi Thailand) ติดตั้ง EV Charger ให้กับผู้ใช้รถอีวีของ Audi ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา



นอกเหนือจากนี้ Power Work วางโรดแมปในอีก 2 ปีข้างหน้า ในการก้าวเป็นผู้นำ EV Charger ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือก นำเสนอสินค้าที่ได้มาตรฐานสากล โดดเด่นทั้งคุณภาพและรูปลักษณ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและรองรับการเติบโตที่รวดเร็วของตลาดอีวี โดยเริ่มจากกลุ่มธุรกิจเครื่องชาร์จรถยนต์อีวี ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายของ Wallbox EV Charger เพิ่มขึ้น 5 เท่า สอดคล้องกับความต้องการในตลาดที่มีสัดส่วนการใช้รถอีวีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยในระยะยาว Power Work มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในตลาด EV Charger และเป็น Top of Mind ของกลุ่มลูกค้าธุรกิจและผู้บริโภค รวมถึงมีส่วนร่วมในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในอุตสาหกรรมอีวี

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Wallbox https://powerwork.co.th/ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Wallbox EV Charger ได้ที่ Line OA:

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Econ Times posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Videos

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Videos
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share