We Need Democracy

  • Home
  • We Need Democracy

We Need Democracy

26/08/2022

วันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นวันเกิดของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
และปีนี้ เราได้ชวนเพื่อน ๆ ที่งาน Demo Expo มาร่วมเขียนอวยพรวันเกิดให้กับเขา :)
วันเฉลิมหายไปวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ตอนประมาณห้าโมงเย็น ที่ประเทศกัมพูชา หลังจากลี้ภัยไปที่ประเทศกัมพูชาหลังรัฐประหารโดยคสช. ตลอดเวลาที่ผ่านมา ครอบครัวของวันเฉลิมยังคงมุ่งหน้าทวงถามความยุติธรรมให้กับเขา ทั้งจากหน่วยงานไทย หน่วยงานนานาชาติ และหน่วยงานกัมพูชา
แต่ความยุติธรรมยังคงไม่คืนกลับมาให้เขา
ในปีนี้ วันเฉลิมมีอายุครบสี่สิบปี
สุขสันต์วันเกิด วันเฉลิม 🤍

ผู้หญิงหนึ่งคนยังให้เกียรติไม่ได้แล้วจะเอาอะไรมาทำเพื่อประเทศ
26/08/2022

ผู้หญิงหนึ่งคนยังให้เกียรติไม่ได้แล้วจะเอาอะไรมาทำเพื่อประเทศ

1. ดาราสาวอายุ 21 ปี ยังบริสุทธิ์ ไม่เคยมีแฟนมาก่อน
2. ดื่มโซจูที่ หลานรัฐมนตรีให้ดื่มขณะคุยเรื่องงาน แล้วก็หมดสติไป
3. พี่สาวตาม gps มาที่รีสอร์ต แต่พนักงานกันไม่ให้เข้าบอกถ้าเข้าถือว่าบุกรุก
4. พี่สาวแจ้งตำรวจให้เข้าไปพาน้องสาวออกมา ตำรวจกลับช่วยถ่วงเวลาซ้ำไปอีก บอกว่าเป็นรีสอร์ตของนายตำรวจใหญ่กลัวโดนแจ้งข้อหาบุกรุก
5. เวลาเดินไปเรื่อยๆ
6. ดาราสาวตื่นขึ้นมาในที่สุด และ กลับมาบ้าน พบว่ามีน้ำเหนียวๆสีขาวติดอยู่ที่สำหรับฉี่ จึงไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล พบว่ามีอสุจิในช่องคลอด
7. ทางผู้ต้องหาขอให้ไม่เอาเรื่องบอกว่าเป็น ว่าที่นายกรัฐมนตรีของไทย เพราะมีรายชื่อเป็น candidate

Update เพิ่มเติม:
สรุปแฮชแท็ก #หลานรัฐมนตรีมอมยาข่มขืน
ของคุณ Poetry of Bitch ครับ

—————
⚫️ หลานชายอดีต รมต.ผู้ถูกวางตัวเป็นนายกฯ
:
1- “น.ส.โบ” (นามสมมุติ) อายุ 21 ปี เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง และนักแสดง เธอเข้าวงการตั้งแต่อายุ 16 โดยมีพี่สาวชื่อ “เจน” เป็นผู้ดูแล

2- วันหนึ่ง “นายดี” (นามสมมุติ) ส่งข้อความมาทางไอจี บอกว่าตนทำบริษัทนำเข้าเบียร์ จะจ้างให้โบรีวิวเบียร์ ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติเหมือนการจ้างรีวิวทั่วไป โบส่งคลิปรีวิวให้ นายดีก็โอนเงินมา

3- นอกจากทำธุรกิจเบียร์นำเข้าแล้ว นายดียังทำธุรกิจบันเทิง ปั้นนักแสดง ศิลปิน และไอดอลด้วย เจนจึงลองส่งโปรไฟล์ของโบให้นายดีเพื่อขอสปอนเซอร์ทำเพลง โดยการพูดคุยเป็นไปในเชิงธุรกิจ นายดีบอกว่าจะให้สปอนเซอร์และนัดคุยงานในวันที่ 9 สิงหาคม 2565

4- ก่อนหน้านี้นายดีเคยเกริ่นไว้ว่าเขาเป็นหลานอดีตรัฐมนตรี กำลังจะลงเล่นการเมืองและถูกวางตัวให้เป็นนายกรัฐมนตรี เวลาเขาเดินทางไปไหนมาไหนจะมีรถตำรวจนำขบวนเสมอ และตอนนี้เขากำลังจะได้รับตำแหน่งเลขาในหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง

5- นายดีบอกว่าด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้เวลานัดคุยงานกับใคร เขาจะนัดคุยที่พูลวิลล่าส่วนตัว เพราะไม่ต้องการไปในที่อโคจร หากมีคนเห็นเข้าจะไม่ดี ดังนั้นเมื่อนายดีนัดคุยงานที่พูลวิลล่า โบกับเจนจึงตอบรับโดยไม่เอะใจ โดยตอนแรกสองพี่น้องจะไปด้วยกัน แต่ต่อมามีเหตุให้โบต้องไปคนเดียว

—————
⚫️ รีสอร์ทหรูกลางกรุงที่ตำรวจเกรงใจ
:
6- นายดีส่งโลเคชั่นรีสอร์ทหรูกลางกรุงให้โบทางไลน์ แล้วให้โบนั่งบีทีเอสไปรอที่ล็อบบี้โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง จากนั้นเขากับคนขับรถมารับโบขึ้นรถไปที่รีสอร์ท โดยระหว่างอยู่บนรถนายดีก็ไม่มีท่าทีคุกคามหรือพูดจาเชิงชู้สาวใด ๆ

7- พอไปถึงรีสอร์ท โบสำรวจพูลวิลล่าของนายดีคร่าว ๆ พบว่าเป็นสเปซกว้าง ๆ ลักษณะไม่เหมือนโรงแรม ประกอบกับโบเองก็มีประสบการณ์ในการคุยงานมาพอสมควร เธอประเมินว่าปลอดภัยจึงตัดสินใจคุยต่อ

8- นายดีนำโซจู 4-5 ขวดมาด้วยและชวนโบดื่ม ระหว่างคุยงานโบเปิดเพลงของเธอให้เขาฟัง เขาก็ชวนชนแก้วเป็นระยะ โบดื่มไปไม่มาก หลังจากนั้นภาพตัดไปตอนไหนเธอเองก็จำไม่ได้

9- ในขณะเดียวกันเจนพยายามติดต่อโบตั้งแต่ 4 ทุ่มกว่า แต่ไม่มีการตอบรับก็เริ่มเอะใจ เพราะน้องไม่เคยขาดการติดต่อนานขนาดนี้ จึงเปิดโน้ตบุ๊กเข้าไปเช็คไลน์ของโบ แล้วตามโลเคชั่นไปที่รีสอร์ท แต่รีสอร์ทไม่ยอมให้เจนเข้าไปและขู่จะแจ้งจับเธอ

10- เจนเอารูปนายดีให้ตำรวจดูและบอกว่าน้องสาวอยู่ในนี้กับนายดี ขอให้ช่วยพาน้องออกมา ตำรวจมองรูปแล้วพูดว่าน้องอาจจะมาขายตัวหรือแอบชอบเขาก็ได้เพราะเขาหล่อและรวยมาก ส่วนสายตรวจบอกว่าไม่กล้าไปเคาะ เพราะเจ้าของรีสอร์ทสนิทกับผู้กำกับฯ สุดท้ายเจนจึงต้องกลับไปรอน้องที่บ้าน

—————
⚫️ หลักฐานการล่วงละเมิด
:
11- โบมารู้สึกตัวอีกทีตอนตี 2 กว่า พบว่าตัวเองอยู่คนเดียว นายดีกลับไปแล้ว จึงโทรบอกเจนและเรียกแท็กซี่กลับบ้าน โบจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้ และยืนยันกับพี่สาวว่าไม่ได้ถูกนายดีล่วงละเมิดใด ๆ

12- หลังจากนั้นโบก็เข้านอนและหลับยาวไปจนถึงเที่ยงของอีกวัน แต่พอตื่นมาพบว่ามีสารคัดหลั่งลักษณะคล้ายน้ำอสุจิไหลออกมาจากช่องคลอด เลยไปให้หมอตรวจก็พบว่าเป็นอสุจิจริง แล้วยังพบตัวยานอนหลับชนิดหนึ่งในร่างกายด้วย

13- โบทักนายดีไปและหลอกถามเพื่อให้ได้ความจริง จนนายดียอมรับว่าเขาล่วงละเมิดโบจริง โดยเอายาตัวหนึ่งให้เธอกิน แต่หลังจากนั้นนายดีก็ไหวตัว กดยกเลิกข้อความสนทนา และพูดใหม่ว่าโบเองก็ยินยอม แต่โบแคปแชตเป็นหลักฐานไว้หมดแล้ว

—————
⚫️ เอกสารที่ ‘ตกหล่น’ อยู่ สน.
:
14- โบกับเจนพากันไปแจ้งความ แต่ทั้งสองคนรู้สึกว่าไม่ได้รับความร่วมมือจากตำรวจเท่าที่ควร เช่น รองผู้กำกับฯ บอกว่าหลักฐานไม่เพียงพอ และถามว่าทำไมถึงกล้าไปกับเขา เบี่ยงประเด็นว่าโบสมยอมเอง รวมทั้งกำชับว่าอย่าไปหาทนายและอย่าไปออกสื่อ ทั้งสองคนจึงตัดสินใจไปปรึกษา “ทนายตั้ม ษิทรา”

15- หลังจากนั้นโบกับเจนกลับไปพบตำรวจและขอดูหลักฐานทั้งหมดที่เคยส่งให้อีกครั้ง แต่กลับพบว่าแชตหน้าหนึ่งที่ส่งให้ตำรวจหายไปจากสำนวน และเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะมีข้อความที่นายดีสารภาพว่าวางยาโบจริงโดยที่โบไม่ได้สมยอม

16- ตำรวจอ้างว่าเอกสารแผ่นนั้นไม่ได้หายไปไหน ก็อยู่ที่โรงพักนี่แหละ และยังบอกโบว่าถ้าไปออกรายการ “โหนกระแส” หากพาดพิงตำรวจมากเกินไป หรือพูดว่าเอกสารหายก็จะฟ้อง เพราะเอกสารไม่ได้หาย แค่ตกหล่นอยู่ที่ สน.

—————
⚫️ หลานอาเป็นคนดี
:
17- ต่อมามีผู้หญิงคนหนึ่งโทรหาโบ อ้างว่าเป็นอาของนายดี บอกว่าตนทราบเรื่องแล้วไม่สบายใจ เพราะนายดีกำลังจะเล่นการเมืองและกำลังจะได้เป็นรองเลขาฯ มีหลายเรื่องที่ต้องดันเขาให้ช่วยเหลือประเทศไทย เพราะฉะนั้นถ้ามีเรื่องไม่ดีจะทำให้เขาเสียหาย

18- หญิงคนนี้บอกว่า ตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จึงไม่รู้ว่าใครผิด หลานบอกว่าต่างคนต่างเมาและยินยอมกัน หลานตนเป็นคนดี โบก็เป็นคนสวยและเป็นคนดี ถ้าตกลงกันได้ก็จะไม่เสียหายทั้งคู่ ถ้าโบมีปัญหาการเงินก็ให้บอก แต่โบยืนยันว่าเธอไม่ต้องการเงิน

19- หญิงคนดังกล่าวยังบอกอีกว่า ตนเป็นประธานมูลนิธิที่ส่งเสริมพระพุทธศาสนา กำลังผลักดันศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาประจำชาติ ตนเป็นคนสร้างหนังเรื่อง “หร่อยจังเจ้า” แล้วตนกับพี่สาวยังทำงานกับช่อง 7 ด้วย และถามโบว่าอยากว่าทำงานช่อง 7 มั้ย

—————
⚫️ ชาวโซเชียลฯ เปิดหน้านายดี
:
20- ส่วนในโลกโซเชียลก็มีการขุดคุ้ยสืบเสาะจนพบตัวคนที่คาดว่าน่าจะเป็นนายดี โดยชายคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทนำเข้าเครื่องดื่มและอาหาร ทำธุรกิจบันเทิง เคยจัดคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลีในไทย เป็นหลานชายอดีตรัฐมนตรี และมีลูกมีเมียแล้ว มีคนชี้เป้าไปที่ไอจีของเขา แต่เจ้าตัวรีบปิดไอจีเป็นส่วนตัว

21- อีกประเด็นที่คนวิพากษ์วิจารณ์กันมากคือการทำงานของตำรวจ ทั้งหมดนี้ทำให้แฮชแท็ก #หลานรัฐมนตรีมอมยาข่มขืน พุ่งขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ยอดทวิตมากกว่า 2.5 แสนครั้ง และล่าสุดมีรายงานว่าตำรวจออกหมายเรียกนายดีเรียบร้อยแล้ว

—————
◾️ ฟังสัมภาษณ์คุณโบ, คุณเจน และทนายตั้มจากรายการโหนกระแส

Credit Poetry of Bitch

update 30/8/65

ด่วน! ศาลสั่งจำคุกเอ็มหลานรัฐมนตรีทันที ไม่ให้ประกันตัว หลังจากไม่ยอมให้พนักงานตรวจสอบแชทไลน์ในมือถือ

ศาลอาญาสั่งไม่ให้ประกันตัวหลานอดีตรัฐมนตรีคดีข่มขืนดาราสาว หลังตำรวจโชคชัยคุมตัวฝากขัง ชี้ผู้ต้องหาไม่ยอมให้ตรวจสอบโทรศัพท์-แชตไลน์ หากปล่อยตัวอาจไปยุ่งเหยิงพยานทำลายหลักฐาน ให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (30 ส.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.โชคชัยได้คุมตัว นายอภิดิศร์ หรือ เอ็ม อินทุลักษณ์ อายุ 33 ปี หลานชายอดีต รมว.ต่างประเทศ ผู้ต้องหาคดีข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.-10 ก.ย. 2565 ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

คำร้องระบุพฤติการณ์ว่า ก่อนเกิดเหตุ นายอดิศร์ ผู้กล่าวหา เพื่อติดต่อว่าจ้างให้ผู้เสียหายรีวิวสินค้า เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยที่ผู้เสียหายไม่ได้รู้จักกันมาก่อน จากนั้นได้มีการแลกเปลี่ยนำอดีไลน์กันเพื่อติดต่อทางธุรกิจ ต่อมาวันที่ 9 ส.ค. 2565เวลา 18.30 น.ผู้เสียหายได้ส่งภาพโปรไฟล์ที่ระบุความสามารถ และจะมีผลงานเพลง ด้านผู้ต้องหาแสดงสนใจและต้องการสนับสนุนผลงานจึงขอฟังเพลงและดูมิวสิกวิดีโอ แต่ผู้เสียหายไม่สามารถส่งให้ดูทางไลน์ได้ เพราะไฟล์ใหญ่และกลัวผลงานจะหลุดออกไปเผยแพร่เสียก่อน จึงนัดกับผู้ต้องหาไปคุยงานในวันนั้นด้วยตัวเอง เพราะเป็นวันดังกล่าวผู้เสียหายเกิดมีปัญหาทะเลาะกับ พี่สาวบุญธรรมและเป็นผู้จัดการส่วนตัวดูแลเรื่องงานทุกอย่าง ต่อมา เวลา23.30น. ทั้งสองได้นัดเจอกันห้องพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว ผู้ต้องหาได้นำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (โซจู)มาด้วย ระหว่างคุยจึงมีการดื่มแอลกอฮอล์ หลังจากนั้นไม่ได้แล้ว มีอาการร มึนงง จำได้เพียงบางตอน เหมือนคุยงานกันเสร็จ ผู้ต้องหาจะกลับแล้ว ตนก็รูึกอ่อนเพลียจึงเรียกรถ(Grab) กลับขึ้นไปพักที่ห้อง และนอนหลับไป ต่อมาช่วงบ่ายวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา ผู้เสียหายรู้สึกตัวตื่น มีของเหลวไหลออกมาจากช่องคลอด พี่สาวเข้ามาดูและบอกว่าคือ อสุจิ จึงไปตรวจร่างกายที่ รพ.ภูมิพลอดุลยเดช ในเวลา 23.00 น. และวันที่ 11 ส.ค. ที่ผ่านมา ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ และมีการแจ้งข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน จนกระทั่งวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา เวลา10.00 น. พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหานายอภิดิศร์ ปวิอาญา ม.134 ฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ตามป.อาญา มาตรา 276

ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนยังต้องสอบพยานเพิ่มอีก 4 ปาก และรอผลการตรวจพิสูจน์ของกลาง รอผลการตรวจลายนิ้วมือและประวัติต้องโทษผู้ต้องหา จึงขอศาลออกหมายขังผู้ต้องหาไว้ระหว่างสอบสวน 12 วัน หากผู้ต้องหาขอปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้านเพราะเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง และเกรงว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน อีกทั้งผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องขอคัดค้านเนื่องจากกลัวว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีและไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน

ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้

ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการฝากขังแล้ว ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เงินสด 200,000 บาท ขอปล่อยชั่วคราวชั้นฝากขัง

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มีผู้ร้องคัดค้านการปล่อยชั่วคราว รวมทั้งมีผู้เสียหายคัดค้านด้วย หากปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาแล้ว อาจจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบผู้ต้องหาไม่ยินยอมให้พนักงานสอบสวนตรวจโทรศัพท์ของผู้ต้องหา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในแชตไลน์ กรณีมีเหตุให้เชื่อว่าหากปล่อยชั่วคราวแล้ว ผู้ต้องหาอาจทำลายหลักฐานและยุ่งเหยิงกับพยาน จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง และออกหมายขังส่งไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

credit ผู้จัดการ

update 2/92565

อภิดิศร์ อินทุลักษณ์ ผู้ต้องหามอมยาข่มขืนดาราสาว ลุ้นประกันตัว 5 ก.ย.นี้ ถ้าทางฝ่ายดาราสาวไม่ทักท้วงเพิ่มเติม
โดยก่อนหน้านี้ ยื่นมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาต เกรงผู้ต้องหาไปยุ่งกับหลักฐาน
ต่อมาพนักงานสอบสวนได้แจ้งศาลว่าได้รวบรวมพยานหลักฐานจากทางผู้ต้องหาแล้ว ศาลจึงไม่มีเหตุคัดค้านเหตุที่ผู้ต้องหาจะไปยุ่งกับหลักฐานอีก

"เอ็ม อภิดิศร์" หลานชายอดีตรัฐมนตรี ลุ้นประกันตัว 5 ก.ย.นี้

ศาลอาญานัดไต่สวนนักร้องนักแสดงสาว ผู้เสียหายคดีถูกหลานอดีตรัฐมนตรีล่วงละเมิด 5 ก.ย.นี้ หลังเมื่อวาน ไต่สวนพนักงานสอบสวน แจ้งในศาลว่าไม่มีเหตุคัดค้านการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาแล้ว

จากกรณีนักร้องนักแสดงสาวรายหนึ่งเข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย เพื่อดำเนินคดี เอ็ม-อภิดิศร์ อินทุลักษณ์ นักธุรกิจหลานชายอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเมื่อหลายสิบปีก่อน หลังถูกมอมยาข่มขืนกระทำชำเราที่รีสอร์ตย่านถนนนาคนิวาส แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. ต่อมาเอ็ม-อภิดิศร์ เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกของตำรวจ ให้การปฏิเสธทุกข้อหา พร้อมยืนยันว่าถูกแบล็กเมล์ ซึ่งต่อมาศาลอาญาออกหมายนำตัว “เอ็ม-อภิดิศร์ อินทุลักษณ์” ผู้ต้องหาล่วงละเมิดทางเพศนักร้องนักแสดงสาวไปขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังเจ้าตัวยื่นหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว 2 ครั้งติด เนื่องจากเกรงผู้ต้องหาทำลาย-ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา มีผู้ขอประกันตัว เอ็ม-อภิดิศร์ อินทุลักษณ์ โดยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวครั้งที่ 3 ในชั้นฝากขังต่อศาลอาญา โดยผู้ขอประกันเสนอหลักทรัพย์เงินสด 400,000 บาทเป็นหลักประกันนั้น

วันเดียวกันนี้ ศาลอาญาได้ไต่สวนพนักงานสอบสวนแล้ว แจ้งว่าได้รวบรวมพยานหลักฐานจากผู้ต้องหาแล้ว ไม่มีเหตุให้คัดค้านการปล่อยชั่วคราว แต่อย่างไรก็ดีศาลเห็นควรรับฟังฝ่ายผู้เสียหายด้วย จึงกำหนดนัดไต่สวนวันจันทร์ที่ 5 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น. โดยให้แจ้งทนายความ และเบิกตัวผู้ต้องหามาในวันนัดด้วย.

credit ไทยรัฐออนไลน์

update 5/9/65
เอ็มหลานรัฐมนตรี แอบถ่ายคลิปดาราสาวขณะไม่มีสติ
แล้วเอามาโชวศาลว่า ดาราสาวไม่ได้ขัดขืนขณะมีเพศสัมพันธ์
ส่วนทนายษิทราดูคลิปแล้วเห็นต่าง บอกในคลิปชัดเจนว่า "ผู้เสียหายไม่มีสติเพราะโดนวางยา จึงไม่สามารถขัดขืนได้"

ดาราสาวอึ้ง เอ็มหลาน รมต.แอบถ่ายคลิปเปิดกลางศาลโต้ข้อกล่าวหา หวังได้ประกัน

เอ็ม หลานอดีต รมว. เปิดคลิปแอบถ่ายในชั้นไต่สวนประกันตัว! - ดาราสาวยอมรับตกใจไม่รู้มาก่อน ทนายตั้ม ชี้ เป็นผลดีเหยื่อ ทำให้เห็นว่า ผู้เสียหายไม่มีสติและขัดขืน

จากกรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พานักแสดงสาววัย 21 ปี เข้าพบ พ.ต.อ.พรทวี สมวงค์ ผกก.สน.โชคชัย เพื่อติดตามความคืบหน้า กรณีถูกนักธุรกิจเจ้าของบริษัทใหญ่ หลานชายอดีตรัฐมนตรี ก่อเหตุวางยาข่มขืนในรีสอร์ตแห่งหนึ่ง ย่านนาคนิวาส 2 ซึ่งเบื้องต้น นายเอ็ม ไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งในวันนี้ (5 ก.ย.) ทนายตั้ม ได้พาผู้เสียหาย มายื่นไต่สวนและคัดค้านการประกันตัวอีกครั้งนั้น

เมื่อเวลา 13.00 น. ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากที่เข้าฟังการไต่สวนประกันตัว นายอภิดิศร์ อินทุลักษณ์ หรือเอ็ม อายุ 33 ปี หลานชายอดีตรัฐมนตรี ก่อเหตุวางยาข่มขืนในรีสอร์ตแห่งหนึ่ง ย่านนาคนิวาส 2 ว่า ในช่วงเช้าศาลได้ไต่สวนดาราสาวผู้เสียหายไปเพียง 1 ปาก

ทนายษิทรา กล่าวว่า ผู้เสียหายก็จะได้ยื่นหลักฐานเท็จและเบิกความตามเป็นจริง โดยฝ่ายคู่กรณีได้นำคลิปวิดีโอในวันเกิดเหตุที่ตัดมาเป็นช่วงสั้นๆ มาแถลงต่อศาล ซึ่งเรื่องดังกล่าวตนเองไม่ขอวิจารณ์ แต่คลิปดังกล่าวตนเองได้เห็นหมดแล้ว ส่วนสาเหตุที่ฝ่ายคู่ความนำคลิปมาเปิดเผยคงคิดว่าเป็นประโยชน์กับฝ่ายผู้ต้องหา แต่ส่วนตัวมองว่าคลิปดังกล่าวเป็นประโยชน์กับฝ่ายลูกความของตนเอง เพราะในคลิปเห็นได้ชัดว่าผู้เสียหายไม่ได้ยินยอม แม้จะไม่มีสติก็ตาม

ส่วนในช่วงบ่ายจะเป็นการไต่สวนแบบลับไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องฟังโดยจะมีการไต่สวนอีก 2 ปากคือ พนักงานสอบสวน สน.โชคชัยและนายอภิดิศร์ ผู้ต้องหาคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงเย็นวันนี้ ซึ่งตนเองได้มอบหมายทนายและดาราสาวเข้าฟัง

ด้าน ดาราสาวผู้เสียหาย กล่าวว่า หลังได้เบิกความต่อศาลและมอบหลักฐานเพื่อคัดค้านการประกันตัวก็มั่นใจว่าพยานหลักฐานมีน้ำหนัก ส่วนกรณีคู่กรณีนำคลิปมาเปิดเผยก็รู้สึกสะเทือนใจและไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการตั้งใจแถบถ่ายคลิปไว้หากมีการเผยแพร่ออกไปก็จะรู้สึกอับอายทำให้ตนเองไปเรียนไม่ได้และครอบครัวเสียหาย

พร้อมระบุก่อนที่ศาลจะนั่งบัลลังก์เพื่อไต่สวนว่านายอภิดิศร์ ได้ตะโกนบอกใส่ตนเองว่า “ มีอะไรคุยกันดีดีก็ได้ “ ซึ่งตนเองไม่ได้สบตาหรือมองหน้านายอภิดิศร์แต่อย่างใด เพราะตนเดินทางมาที่ศาลก็เพื่อต้องการมาเล่าข้อเท็จและคัดค้านการประกันตัว

credit Khaosod

โดยต่อมา คุณ ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ
ได้โพสต์ fb ว่า

"ตอนนี้น้องกลัวว่าจะมีคลิปหรือภาพน้องเปลือยตอนน้องไม่รู้สึกตัว ผมสงสารน้องมากเลยครับ"

update 6/9/65
เอ็มหลานรัฐมนตรีขอให้ศาลอนุญาตประกันตัว บอกยินดีให้ความร่วมมือส่งมอบมือถือให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นหลักฐานแล้ว
แต่ศาลบอกเอ็มเอ๋ย เอ็งถ่ายคลิปหลังกระทำชำเราเหยื่อ และ มีความพยายามลบหลักฐานจากมือถือเหยื่อ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า มีความพยายามไปยุ่ง สร้างหลักฐานเท็จ โดยที่เหยื่อไม่ได้ล่วงรู้หรือยินยอม
นอกจากนี้ถ้าสุจริตใจ ก็ต้องแสดงหลักฐานตั้งแต่ต้น ถ้าปล่อยเอ็งไปก็จะไปสร้างหลักฐานเท็จ
ถ้าสุจริตใจก็ต้องให้ความร่วมมือพนักงานสอบสวนในการเปิดเผย แต่นี่ก็ไม่ให้ความร่วมมืออีก
ซึ่งถ้าปล่อยไปจากคุก เอ็งก็ต้องไปยุ่งเหยิงกับหลักฐาน ดังนั้นนอนคุกต่อไประหว่างรอการตัดสินแล้วกัน

"เอ็ม-อภิดิศร์" นอนคุกต่อ หลังวืดประกัน ชี้คลิปเเอบถ่ายดาราสาว เป็นหลักฐานมัดตัว

"เอ็ม-อภิดิศร์" นอนคุกต่อ หลังวืดประกันศาลอาญาไม่ปล่อยชั่วคราว ชี้นเเอบถ่ายดาราสาวหลังก่อเหตุ เป็นหลักฐานมัดตัวจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน เจ้าตัวบอกนอนคุกลำบากมาก ขอสู้คดีให้ถึงที่สุด

เมื่อ 15.30 น.เศษ วันนี้(6 ก.ย.) ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งในคำร้องขอปล่อยชั่วคราว นายอภิดิสร์ หรือเอ็ม อินทุลักษณ์ อายุ 33 ปี หลานชายอดีต รมว.ต่างประเทศ เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ผู้ต้องหาคดีข่มขืน น.ส.แนน อายุ 22 ปี นามสมมุติ ดาราสาว

กรณีเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา ทนายความได้ยื่นคำร้องครั้งที่ 3 พร้อมหลักทรัพย์เงินสด 400,000 บาท ขอประกันตัวซึ่งในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ

โดยก่อนหน้านี้ศาลอาญาได้ไต่สวนพนักงานสอบสวน สน.โชคชัยเเละพยานคู่ความทั้ง2ฝ่ายเเล้ว

โดยในวันนี้มีการเบิกตัวนายอภิดิสร์ หรือเอ็ม ผู้ต้องหามาในวันนี้ด้วย

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เดิมศาลนี้เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหา เพราะเหตุว่า ผู้ต้องหามีพฤติการณ์ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ทั้งไม่ยินยอมให้พนักงานสอบสวน ตรวจสอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ต้องหา ต่อมาในวันเดียวกันผู้ต้องหายื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว เป็นครั้งที่สอง โดยอ้างว่ายินดีที่จะมอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งศาลนี้ยังคงมีคำสั่งว่า การที่ผู้ต้องหามอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบภายหลังจาก ที่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ก็ไม่เป็นเหตุให้การยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานตั้งแต่ต้นและ ภายหลังการขอปล่อยชั่วคราวจะสิ้นสุดลง จึงให้ยกคำร้อง และในวันที่ 1 ก.ย.65 มีการไต่สวน คำร้องขอปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหา โดยผู้ต้องหาได้แสดงหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอภายหลังจากมีเหตุ กระทำชำเราแล้ว แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหายังคงมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับพยานหลักฐาน เพราะหาก ผู้ต้องหามีความสุจริต ก็สามารถแสดงพยานหลักฐานต่าง ๆ ต่อพนักงานสอบสวนได้ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่การ ที่ผู้ต้องหาสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาในขณะที่ผู้เสียหายไม่ได้ล่วงรู้หรือยินยอม จึงยังถือว่าผู้ต้องหา มีพฤติการณ์ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานอันเป็นเหตุให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องมาแล้วถึงสองครั้ง กรณีจึงไม่มีเหตุเปลี่ยนเเปลงคำสั่งเดิมยกคำร้อง

ขณะที่บรรยากาศภายในห้องพิจารณาคดี ทันทีที่ศาลมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัว นายอภิดิศร์ หรือเอ็ม ได้หันไปคุยกับแม่ และมีการกอดกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงคุมตัวพาเดินออกจากห้องพิจารณาคดี โดยได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวสั้นๆว่า อยู่ข้างในก็ลำบากมากจะขอสู้คดีให้ถึงที่สุด แต่ปฏิเสธไม่ตอบคำถามเรื่องแอบถ่ายคลิปที่ใช้อ้างเป็นหลักฐาน

ด้านทนายความของผู้ต้องหา เตรียมยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกันตัวต่อไป

credit ทีมข่าวอาชญากรรมผู้จัดการ

21/08/2022

15 สิงหาคม ได้มีเอกสารจากสำนักงานอัยการสูงสุด ส่งถึงดีเอสไอ ยืนยันว่าอัยการสูงสุด ได้ลงนามความเห็นสั่งฟ้อง “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” และพวกรวม 4 คน ต่อ “ #บิลลี่” โดยหนึ่งในสี่ข้อหาคือร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยเอกสารดังกล่าวลงวันที่ 10 สิงหาคม 2565 หลังจากที่ “บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ” นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวปกาเกอะญอหายตัวไปอย่างลึกลับเป็นเวลา 8 ปี ที่ด่านมะเร็ว อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หลังจากถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติควบคุมตัวในข้อหามีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครอง ก่อนจะมีการพบชิ้นส่วนหลักฐานที่ DNA ตรงกับแม่ของเขาในปี 2562
คดีของบิลลี่ได้กลายมาเป็นคดีพิเศษในปี 2561 แต่นี่คือครั้งแรกที่คดีของเขากำลังเดินทางเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาลในคดีอาญา
ปี 2564 แฮชแท็ก ได้ขึ้นมาอยู่บนเทรนด์ดิ้งหรือการสนทนาในโลกทวิตเตอร์ หลังจากชาวบางกลอยถูกจับกุมจาก “ยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร” จากความพยายามในการเดินเท้ากลับสู่ใจแผ่นดิน แต่รู้หรือไม่ ย้อนกลับไปในปี 2554 ชาวบางกลอยเคยเผชิญหน้ากับ “ยุทธการตะนาวศรี” นำมาสู่การเผายุ้งฉาง บ้าน เสื้อผ้าจากบรรพบุรุษ รวมถึงเครื่องใช้โบราณ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากความพยายามในการอพยพชาวบางกลอยที่บ้านเกิดอยู่ที่บางกลอยบน ให้ลงมาอยู่ที่บางกลอยล่างในปี 2539 หลังจากประกาศให้ผืนป่าแก่งกระจานเป็นอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในปี 2524
ยุทธการตะนาวศรีคือปฐมบทของการต่อสู้ของบิลลี่ และวันนี้ ชื่อของ #บิลลี่พอละจี ได้กลับมาอยู่บนโลกโซเชียลมีเดียอีกครั้ง วันนี้เราจึงจะพาคุณย้อนส่องไทม์ไลน์ชีวิตของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวปกาเกอะญอ ที่มีความตั้งใจในการเรียกร้องสิทธิของชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ และมุ่งหน้าทำงานเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพี่น้องชาว “บางกลอย” ของเขา จนวันสุดท้ายของชีวิต
A: บางกลอยคืออะไร?
ชาวบ้านบางกลอย-ใจแผ่นดิน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชาว “ปกาเกอะญอ” ที่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่า อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เดิมอยู่ที่บางกลอยบน-ใจแผ่นดิน โดยมีหลักฐานจากบัตรประชาชนของปู่คออี้ ผู้นำทางจิตวิญญาณระบุว่าเขาเกิดในปี 2454 และเคยปรากฎในภาพถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหารบกในปี 2455 ซึ่งเป็นเวลากว่า 70 ปี ก่อนที่ป่าแก่งกระจานจะเป็นอุทยานแห่งชาติ
เฉกเช่นกับชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลก วิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอมีความยึดโยงและผูกพันกับธรรมชาติ พื้นที่ “ใจแผ่นดิน” คือหนึ่งในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ทางจิตวิญญาณ สะท้อนคำเรียกของชาวปกาเกอะญอที่บางคนจะเรียกว่า “กะจื้อหล่อกอคุ” หรือ “แก๊ะก่อซะ” แก๊ะ คือคำว่า เป็น ก่อ คือ จักรวาล ซะ แปลว่า หัวใจ รวมกันเป็นความหมายว่า “หัวใจจักรวาล”
วิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอ เช่นเดียวกับชาวบางกลอย มีความสอดคล้องกับพิธีกรรมที่อยู่คู่กับชีวิตของพวกเขาตั้งแต่เกิด - แก่ - เจ็บ - ตาย และพื้นที่ “ใจแผ่นดิน” คือพื้นที่ที่มีพิธีกรรมดังกล่าวเช่นเดียวกัน สะท้อนผ่านการทำพิธี “เดปอทู่” หรือการทำ “ต้นสะดือ” ที่เมื่อเด็กแรกเกิดเกิดขึ้นมา สายสะดือของพวกเขาจะถูกบรรจุลงในกระบอกไม้ไผ่ ผูกไว้กับต้นไม้ประจำตัวให้เติบโตไปพร้อมๆ กัน ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิต ต้นไม้เหล่านั้นจะไม่มีวันถูกโค่นไป ต้นไม้กลายเป็น “ป่าเดปอ” หรือ “ป่าสะดือ” และ “ไร่หมุนเวียน” ซึ่งเป็นระบบการเกษตรที่ไม่ใช่เป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยว แต่เป็นการทำการเกษตรที่ใช้เมล็ดพันธุ์นานาชนิดที่ส่งต่อมาจากบรรพบุรุษ โดยพึ่งพาน้ำจากน้ำฝนตามฤดูกาล
ทำไมเราถึงต้องพูดถึงเดปอทู่และไร่หมุนเวียน?
เพราะสองพิธีกรรมนี้ “ไม่มีอีกแล้ว ในพื้นที่บางกลอยล่าง”
หลังจากสิ้นสุดสัมปทานป่าไม้ ทางการได้ประกาศให้ผืนป่าแก่งกระจานเป็นอุทยานแห่งชาติในปี 2524 ชาวบางกลอยต้องย้ายมาที่บางกลอยล่าง หรือโป่งลึก-บางกลอย นับตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา ชาวบางกลอยเล่าว่าในเวลานั้น ภาครัฐได้ให้คำมั่นว่าถ้าทำกินไม่ได้ สามารถกลับไปที่อยู่เดิมได้
“บางกลอยล่าง” เป็นพื้นที่ที่รัฐจัดสรรไว้ให้ในปี 2539 ถ้าเดินตามฝีเท้าของชาวกะเหรี่ยงไปอีก 1 วัน จะไปถึง จุดที่เรียกว่า “บางกลอยบน” และหากเดินตามฝีเท้า ของชาวกะเหรี่ยงจากบางกลอยล่างผ่านบางกลอยบน ไปถึง “ใจแผ่นดิน” จะใช้เวลาเดินทาง 3 วัน
2553-2554 ปฐมบทที่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ของบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ, ปู่คออี้ โคอิ มิมิ และอาจารย์ป๊อด ทัศน์กมล โอบอ้อม จึงได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อภาครัฐได้เปิดฉาก “ยุทธการตะนาวศรี”
ยุทธการตะนาวศรี เป็นโครงการอพยพและผลักดันชาวกะเหรี่ยง พบว่ามีการเผาบ้านและยุ้งฉางข้าว ยึดเครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์ในการทำไร่ข้าว โดยระหว่างวันที่ 25 – 28 เมษายน 2553 เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารฯ และ ราษฎรชุมชนบ้านโป่งลึก – บางกลอย นำกำลังเข้าเจรจาและผลักดันให้ผู้กระทำผิดดังกล่าวออกนอกพื้นที่
จากยุทธการตะนาวศรี ชาวบางกลอยต้องเจอกับการถูกเผาบ้านและยุ้งฉางกว่า 20 ครัวเรือน สิ่งที่สูญสลายไปพร้อมกับกองไฟ ยังรวมถึงเสื้อผ้าจากบรรพบุรุษ และเครื่องใช้โบราณอีกด้วย
กรกฎาคม 2554 ปู่คออี้รวมกับชาวบ้านบ้านบางกลอยบนและบ้านใจแผ่นดิน จ.เพชรบุรี รวม 6 คน จึงได้ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช คดีนำกำลังเข้ารื้อทำลายเผาบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงกว่า 20 ครอบครัว
ปี 2561 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
บิลลี่เกี่ยวอะไรกับ ?
ในช่วงเวลาที่ชาวบางกลอยกำลังมุ่งหน้าทวงความยุติธรรม บิลลี่ซึ่งเป็นหลานของปู่คออี้ ได้มีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องสิทธิให้กับชาวบางกลอย เขาเป็นคนช่วยพาปู่คออี้ มีมิ ไปฟ้องศาลปกครองกลางในวันที่ 4 พ.ค. 2555
บิลลี่อ่านภาษาไทยได้ เขาจึงเป็นคนกลางในการสื่อสารกับทนายความ และช่วยเหลือ ทางด้านคดีกับพี่น้องชาวกะเหรี่ยงที่ได้รับความเดือดร้อน และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยทนายความ และเข้าไปเก็บข้อมูลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการไล่ที่เพื่อนำไปใช้ในชั้นศาล
มึนอ พิณนภา อดีตภรรยาของบิลลี่ได้กล่าวไว้ในวงคุย Writers that Matter ของแอมเนสตี้ ประเทศไทย ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2565 ถึงเหตุการณ์ก่อนบิลลี่จะหายไปว่า “มีหัวหน้าอุทยานได้ถามหาว่าบิลลี่คือคนไหน อยู่ที่ไหน ตอนก่อนที่จะหายตัวไปพี่บิลลี่ทำงานช่วยปู่คออี้ เขาเล่าให้เพื่อนฟังว่า ถ้าวันไหนที่เขาหายตัวไประหว่างทาง ขอให้รู้ว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว” นอกจากนี้ยังกล่าวว่า ในช่วงที่บิลลี่หายไป พี่น้องชาวบางกลอยตกอยู่ในความกลัว บางคนไม่กล้าแม้กระทั่งเอ่ยชื่อคนที่จับตัวบิลลี่ไปในวันนั้น “เขาบอกว่าเขากลัวเขากลัวว่าจะหายเหมือนบิลลี่”
เช้าวันที่ 17 เมษายน 2557 บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนเดินทางออกจากหมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอย และหายตัวไปนับตั้งแต่วันนั้น
วันนั้น บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ ถูกจับกุมที่บริเวณด่านตรวจเขามะเร็วโดย เจ้าหน้าที่อุทยานฯ อ้างว่าควบคุมตัวไป ฐานพกพาน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครอง
คดีของบิลลี่มีเส้นทางอย่างไรบ้าง?
17 เมษายน 2557 บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ หายตัวไป
เขาหายตัวไปที่ด่านมะเร็ว อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หลังจากถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติควบคุมตัวในข้อหามีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครอง
18 เมษายน 2557
06.00 น. คนในครอบครัวยืนยันว่า บิลลี่ยังไม่ได้กลับบ้าน
08.00 น. ชาวบ้านออกค้นหา
20.00 น. ผู้ใหญ่บ้านบางกลอยเข้าแจ้งความคนหายที่สถานีตำรวจภูธรแก่งกระจาน
21 เมษายน 2557
พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยาของบิลลี่ พร้อมผู้แทนชาวกระเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตตะนาวศรี เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนกับผู้ว่าราชการจังหวัดและ ผบภ.จว.เพชรบุรี ซึ่งชัยวัฒน์ ผู้ถูกกล่าวหาว่ากักขังหน่วงเหนียวบิลลี่ ยอมรับว่ามีการควบคุมตัวบิลลี่จริง แต่ได้ปล่อยตัวไปแล้ว โดยมีเด็กหญิงคนหนึ่งในชุมชนถูกอ้างว่าเห็นบิลลี่ภายหลังปล่อยตัว
24 เมษายน 2557
ภรรยาของบิลลี่ พร้อมทนายยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน ตาม ป.วิอาญามาตรา 90 โดยถูกควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
2 กันยายน 2557
ศาลฏีกายกคำร้องในคดีอดีตหัวหน้าหน้าอุทยานฯ แก่งกระจานที่ถูกกล่าวหา ตาม ป.วิอาญามาตรา 90 ควบคุมตัวบิลลี่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่าหลักฐานไม่เพียงพอ
2561
กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ (DSI) รับคดีการหายตัวไปของบิลลี่ไปเป็น “คดีพิเศษ” และเริ่มสอบสวนเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2561
3 กันยายน 2562
พบกระดูกบิลลี่ อธิบดี DSI จากการตรวจ DNA เจ้าหน้าที่กล่าวในงานแถลงข่าวว่า “นายพอละจี รักจงเจริญ ที่เสียชีวิตแล้วโดยไม่ทราบวิธีที่ทำให้ตาย แต่นำมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี”
ด้านอธิบดี DSI พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง ย้ำว่า นี่คือคดีฆาตกรรม แต่กระดูกที่พบยังไม่ใช่หลักฐานที่เพียงพอในการชี้ตัวคนร้ายได้ จึงขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ไปสอบสวนเพิ่มเติม
11 พฤศจิกายน 2562
อนุมัติหมายจับชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร และพวกรวม 4 คน คดีฆาตกรรมบิลลี่ใน 6 ข้อหา วันต่อมาชัยวัฒน์และพร้อมพวกรวม 4 คน เดินทางไปมอบตัวและยืนยันพร้อมต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม
13 มกราคม 2563
ชัยวัฒน์ ได้เดินทางยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด ร้องขอความเป็นธรรมอัยการในการสั่งคดี
24 มกราคม 2563 อัยการฝ่ายคดีพิเศษ มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องชัยวัฒน์ กับพวกรวม 4 คน ข้อหาฆ่าบิลลี่
โดยสั่งฟ้องเฉพาะข้อหาเป็นเจ้าหน้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
27 มกราคม 2563
มึนอ พิณนภา พฤกษาพรรณ อดีตภรรยาของบิลลี่ได้เข้ามาร่วมรับฟังการชี้แจงของสำนักงานอัยการสูงสุด และได้ยื่นหนังสือต่อนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด (รองโฆษกอสส.) เพื่อขอให้ชี้แจงเหตุผลที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องชัยวัฒน์เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะข้องใจว่าเหตุใดอัยการเร่งรัดสั่งไม่ฟ้องแทนที่จะสั่งให้ดีเอสไอไปสอบสวนเพิ่มเติม และได้คำตอบว่า “เพราะคดีอาญาสามารถฟ้องได้ครั้งเดียว”
15 สิงหาคม 2565
มีเอกสารจากสำนักงานอัยการสูงสุด ส่งถึงดีเอสไอ ยืนยันว่าอัยการสูงสุด ได้ลงนามความเห็นสั่งฟ้อง “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” และพวกรวม 4 คน ต่อ “ #บิลลี่” โดยหนึ่งในสี่ข้อหาคือร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยเอกสารดังกล่าวลงวันที่ 10 สิงหาคม 2565
ถือเป็นครั้งแรกที่มีการสั่งฟ้องคดีอาญา ในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการหายไปของบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ หลังผ่านมา 8 ปี
พิณนภาได้กล่าวไว้ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2565 ว่า สิ่งที่ทำให้ครอบครัวยังทวงถามความยุติธรรมให้กับบิลลี่ นั่นเป็นเพราะ “ความหวัง”
“หวังว่าสักวันหนึ่งมันต้องเป็นของเรา สิ่งนี้ทำให้เรามีแรงเรียกร้องสิทธิต่อไปได้”
พิณนภากล่าวเสริมว่า เธออยากให้คนเมืองเข้าใจวิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอ
“อยากให้ช่วยสื่อสารให้คนในสังคมได้รู้จักวิถีชีวิตของชาติพันธ์ุมากๆ ถ้าหลายๆ คนเข้าใจวิถีชีวิตพวกเรา พวกเราก็จะจะไม่ถูกพูดเหยียดหยามหรือพูดให้เราเสียใจ และอยากให้ทุกคนรู้จักวิถีชีวิตของคนที่ทำไร่ทำสวนในป่าไว้ให้มากขึ้น
“เมื่อไม่เข้าใจ เขาก็จะมองในด้านลบอย่างเดียวว่าพวกเราทุกคนตัดไม้ทำลายป่า ทำในสิ่งที่ไม่ดี.. เหมือนกับว่าเขาไม่เข้าใจวิถีชีวิตของคนชาติพันธุ์เลยเขาก็เลยมองด้านลบ เขาก็จ้องแต่ว่าพวกเขาทำอะไรผิดพวกเขาก็จะดำเนินการเอาผิดอย่างเดียวเลย
“ถ้ามีการรณรงค์ให้หลายคนหรือว่าสังคมนี้ได้รู้จักกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามทั่วประเทศ ให้รู้จักและเข้าใจวิถีชีวิตของทุกคนก็น่าจะดี”
อ่านต่อ: https://www.amnesty.or.th/latest/blog/1025/
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://thecitizen.plus/node/40599
https://news.thaipbs.or.th/content/318447
วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง บูรพา ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 (https://so01.tci-thaijo.org/index.php/pegbuu/article/download/245454/166438/867747)
https://thematter.co/social/mob-save-bangkoii/137657
https://prachatai.com/journal/2012/09/42583
https://www.amnesty.or.th/latest/blog/750/
https://www.amnesty.or.th/latest/blog/1000/

19/02/2022

เมื่อวานในที่ #ประชุมสภา ส.ส.โรม ถูกเชิญออกจากห้องประชุม เพราะไม่ยอมถอนคำกล่าวหาประยุทธ์ว่า #ใจดำอำมหิต กรณีขบวนการ #ค้ามนุษย์ ในยุคคณะรัฐประหาร

ประยุทธ์ไม่ตอบโรม ไม่อยู่ฟังด้วย เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่เป็นความตายของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ประยุทธ์ทำไมถึงไม่ตอบ ทำไมถึงไม่อยู่ฟัง หรือว่า ?

19/02/2022

จริง

#ประชุมสภา

Thailand Land of Human Trafficking
19/02/2022

Thailand Land of Human Trafficking

อันนี้เหี้ยมาก นี่คือสิ่งที่ขบวนการ #ค้ามนุษย์ ทำกับคนด้วยกัน

10/02/2022

คอลัมน์ Beyond the wall โดย ‘Watchman’ ชวนย้อนวิเคราะห์เรื่องราวของ ‘ยูมีร์ ฟริตซ์’ ไททันตนแรก ต้นกำเนิดของเหล่าเชื้อสายแห่งยูมีร์ ผู้ไร้ซึ่งเจตจำนงเสรีภายใต้การกดขี่ของแนวคิดปิตาธิปไตย
(บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของอนิเมะ Attack on Titan)
ย้อนสำรวจเรื่องของยูมีร์ ฟริตซ์และพลังของไททันตนแรกกันได้ในบทความนี้เลย : https://thematter.co/thinkers/ymir-fritz-and-founding-titan/167449
“ยูมีร์เป็นเพียงเด็กหญิงธรรมดาๆ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ธรรมดาในที่นี้ไม่ใช่คำหมายในเชิงที่แย่หรือไม่มีอะไรดี แต่เป็นธรรมดาประเภทปกติสุข และสามารถใช้ชีวิตที่เรียกว่าชีวิตได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป เมื่อกษัตริย์ฟริตซ์แห่งสายเลือดเอลเดียโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้บุกยึดเคลมหมู่บ้านของเธอ”
“การตกลงไปของยูมีร์จึงมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ที่ว่า นี่คือการกลับไปยังจุดกำเนิด และสร้างความตระหนักว่าจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์อันโหดร้ายของมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์ด้วยกันเองเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป มันคือทางที่มนุษย์เลือกเองไม่ใช่พระเจ้าหรือพลังไททันสั่งให้ทำ และมันจะเป็นวงจรที่ไม่จบไม่สิ้นหากมนุษย์ใช้พลังนี้ด้วยอารมณ์และความต้องการโดยที่กดทับให้ผู้อื่นอยู่ด้านล่าง”
“และสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือยูมีร์รู้จักการกดขี่มาตลอดชีวิต เธอถูกกดขี่ให้เป็นกุลสตรีตั้งแต่เกิดมาเป็นลูกสาว เธอถูกทำให้เป็นทาส เธอถูกทำให้เป็นแหล่งกำเนิด เธอถูกใช้เป็นเครื่องมือและอาวุธสงคราม เธออยู่อย่างทาสและตายไปด้วยสถานะทาส และแม้จะจากไปแล้วเธอก็ยังคงอยู่ในสายธารคอยปั้นไททันทุกตัวเรื่อยไปอย่างไม่จบไม่สิ้นหรืออย่างชั่วกัปชั่วกัลป์”

10/02/2022
10/02/2022

UPDATE: โฆษกรัฐบาลโชว์ผลงานรัฐบาลแก้ปัญหารวดเร็ว-ถูกจุด ทำราคาเนื้อหมูลดลงอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (10 กุมภาพันธ์) ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ราคาเนื้อหมูซึ่งเป็นสินค้าเฝ้าระวังในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มมีการปรับราคาลงมาอย่างเห็นได้ชัดแล้ว โดยราคาจำหน่ายหมูเนื้อแดงส่วนสะโพก ไหล่ ไม่รวมหมูเนื้อแดงปรุงแต่ง อยู่ที่กิโลกรัมละ 164-170 บาท ลดจากวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมาที่ราคาเฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 187 บาท และตอนนี้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 175 บาท
ทั้งนี้ เป็นไปตามการสั่งการของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้มีการกำกับติดตามสถานการณ์ราคาสินค้า แก้ไขปัญหา และดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนและกระทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยได้มีการจัดชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจออกตรวจสอบห้องเย็นและโรงเชือด ที่ประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กำหนดให้แจ้งการเก็บสต๊อกเนื้อหมูตั้งแต่ 5,000 กิโลกรัมขึ้นไป โดยมีผู้แจ้ง 404 ราย มีเนื้อหมูในสต๊อก 15.5 ล้านกิโลกรัม สำหรับรายที่ไม่แจ้งก็มีการตรวจสอบด้วย โดยตรวจรวม 616 ราย รวมมีเนื้อหมู 19.5 ล้านกิโลกรัม พบผู้กระทำผิด 12 ราย ส่งฟ้องและมีคำพิพากษาแล้ว 3 ราย อยู่ระหว่างดำเนินคดี 9 ราย
นอกจากนี้ยังจัดชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจออกตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้าทั้งในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และต่างจังหวัด ซึ่งใน กทม. ได้ตรวจสอบตลาดสด 103 แห่ง ห้างค้าส่งค้าปลีก 101 แห่ง และในต่างจังหวัดก็ตรวจสอบทั้งตลาดสดและห้างเช่นเดียวกัน โดยรายที่พบการกระทำผิดกฎหมาย เช่น ไม่ปิดป้ายแสดงราคา ขายเกินราคา ได้ดำเนินการตามกฎหมายแล้ว
ขณะเดียวกันราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคจำเป็นอื่นๆ ก็เริ่มทยอยปรับราคาลงเช่นกัน อาทิ เนื้อไก่ ราคาจำหน่ายในห้าง เนื้อน่องติดสะโพกกิโลกรัมละ 65 บาท ส่วนในตลาดสดราคาแตกต่างกันแต่ละพื้นที่ เฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 70-75 บาท และคาดว่าแนวโน้มราคาจะยังทรงตัวต่อไป ส่วนน้ำมันพืชปาล์มราคาที่สำรวจจากร้านสะดวกซื้ออยู่ที่ขวดลิตรละ 64-65 บาท และในห้าง 61-62 บาท โดยราคามีแนวโน้มลดลงและทรงตัวในระดับนี้ต่อไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ผักสดมีราคาทั้งเพิ่มขึ้นและลดลงตามแต่ละพื้นที่ โดยมีต้นทุนค่าขนส่งเป็นตัวแปร ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วๆ ไปราคาทรงตัว ยกเว้นภาคใต้ที่ราคาอาจจะสูงกว่าภาคอื่นเล็กน้อย เนื่องจากมีต้นทุนในเรื่องค่าขนส่งจากระยะทางที่ไกล
“การสั่งการอย่างเร่งด่วนและแก้ปัญหาอย่างตรงจุดของนายกฯ เพื่อให้มีการติดตามและดำเนินการโดยเร่งด่วนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนผ่านมาตรการต่างๆ ที่นำมาปรับใช้ อาทิ การเร่งให้มีการติดตามกรณีปัญหาราคาเนื้อหมูที่ปรับตัวสูงขึ้นผ่านกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การแก้ปัญหาราคาเนื้อหมูแพงทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ด้วยการตรวจสอบสต๊อกเนื้อหมูอย่างเข้มข้นของเจ้าหน้าที่ การชะลอการส่งออหมู เพื่อให้มีปริมาณหมูอยู่ในประเทศเพียงพอต่อความต้องการ การขึ้นทะเบียนฟาร์มหมูกับผู้เลี้ยงรายเล็ก-ย่อย ตลอดจนการจัดทำบัญชีคุมสินค้า ซึ่งต้องแสดงปริมาณการเลี้ยง ปริมาณการซื้อ ราคาซื้อ ราคา ปริมาณการจำหน่าย และปริมาณคงเหลือเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ ล้วนส่งผลให้เกิดการแก้ปัญหาราคาเนื้อหมูอย่างเป็นระบบ ทำให้มีการปรับราคาลงมาอย่างเห็นได้ชัด และคาดว่าจะลดลงอีก ซึ่งเป็นการจัดการอย่างเด็ดขาดและจริงจังของนายกรัฐมนตรี” ธนกรกล่าว

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when We Need Democracy posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share