04/03/2021
"Red Dead Redemption - วิถีคนเถื่อน ดินแดนชำระล้าง - เกม Open World สไตล์ตะวันตก กับเสน่ห์การเล่าเรื่องสุดประทับใจ"
ในช่วงชีวิตเด็กๆ อย่างเรา คงจะเคยเห็นชายหนุ่มสวมหมวกมีปีกเป็นเอกลักษณ์ ใส่กางเกงยีนส์ รองเท้าบูทหนัง ขี่ม้าควงปืน กันมาบ้างไม่มากก็น้อย และนั่นทำให้เรารู้จักกับบุคคลเหล่านี้ ซึ่งเรียกตัวเองว่า "คาวบอย" ด้วยวิถีชีวิตแบบแมนๆ ลูกผู้ชาย และการผจญภัยที่ถ่ายทอดออกมาผ่านทางหนังฝรั่งยุคเก่า หรือหนังการ์ตูนฝรั่งบางเรื่อง จนทำให้ใครหลายๆ คน รวมถึงผม มีความไฝ่ฝันอยากจะเป็นหนุ่มคาวบอยแบบนี้บ้าง จนกระทั่งมีสิ่งที่เรียกว่าวีดีโอเกมเกิดขึ้น เกมสไตล์คาวบอยที่เราได้เห็นกันก็เรียกว่ามีอยู่ไม่มากมายนัก แต่ถ้าถามว่าเกมไหนที่ให้ความรู้สึกของความเป็นคาวบอยได้อย่างที่ฝันมากที่สุด ผมจะนึกถึงเกมนี้เป็นอันดับแรก กับผลงานของค่าย Rockstar Red Dead Redemption
ก่อนจะเกิดเกม Red Dead Redemption นั้น ผมเคยเห็นเสน่ห์ของความเป็นคาวบอยจากสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏในเกมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ท่าควงปืนสุดเท่ของ Revolver Ocelot ใน Metal Gear Solid หรือการผสมผสานของคาแรกเตอร์คาวบอยและซามูไรในเกม Rising Zan The Samurai Gunman บนเครื่อง PlayStation กระทั่งในปี 2004 ยุคที่ PlayStation 2 มีเกมเจ๋งๆ มากมาย อาทิ Burnout 3, Grand Theft Auto San Andreas หรือแม้กระทั่งการรีเมคของ Metal Gear Solid The Twin Snakes บนเครื่อง Nintendo Gamecube ในช่วงเวลานั้น ได้มีเกมสไตล์คาวบอยเกมหนึ่ง ซึ่งพัฒนาโดยทีมงาน Rockstar เจ้าของเดียวกับทีมที่ทำเกมซีรี่ส์ Grand Theft Auto นั่นแหละครับ โดยใช้ชื่อว่า Red Dead Revolver หน้าปกเกมที่เป็นหน้าของหนุ่มคาวบอยแหกปากแล้วกำลังยิงปืนลูกโม่ ที่ดูแล้วรู้ทันทีว่ามันคือเกมคาวบอยแน่ๆ ไม่ต้องสงสัย และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสเกมนี้ โดยตัวเกมจะเป็นแนว Action ให้เล่นไปตามเนื้อเรื่องและด่านต่างๆ ซึ่งจุดเด่นของเกมนี้คือ จะมีระบบ Bullet Time ที่สมัยนั้นฮิตกันมากตั้งแต่ที่เกมอย่าง Max payne เอาไปใช้ หรือแม้กระทั่ง Enter the Matrix ผลงานเกมที่มาจากหนังดังก็มีเอาระบบนี้ไปใช้เช่นเดียวกัน แต่ว่าระบบ Bullet time ของ Red Dead Revolver จะแตกต่างกันตรงที่ ตัวเกมจะเปิดระบบหยุดเวลาชั่วครู่ เพื่อให้เราเล็งจุดต่างๆ ของศัตรู เพื่อสังหารได้ในคราวเดียว ซึ่งเรียกระบบนี้ว่า Dead Eye นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบที่น่าสนใจอย่าง ฉากดวลปืนกับบอสที่เป็นเอกลักษณ์ กับการเปิดโหมด Dead Eye ให้เล็งจุดตาย และทำการเหนี่ยวไกใส่บอสเหล่านั้น ซึ่งให้ความรู้สึกเป็นคาวบอยได้ดีเลยทีเดียว อีกทั้งตัวเกมยังได้ใส่ระบบการซื้ออาวุธ การอัปเกรดต่างๆ เพื่อให้ตัวละครของเรานั้นดีขึ้น
ด้วยความที่เกมนี้มันให้อารมณ์ของความเป็นคาวบอยอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้ผมรู้สึกสนุกกับเรื่องราวของ Red ตัวละครเอกของเรื่องที่สูญเสียพ่อแม่จากการโดนผู้พันและสมุนสังหารยกบ้าน ทำให้ Red โกรธแค้นและออกเดินทางเพื่อล้างแค้นให้กับพ่อแม่ของตน ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องของหนัง Western ที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เห็นบรรยากาศและกลิ่นอายของความเป็นคาวบอยที่มันมีมากกว่าแค่ตัวของคนใส่หมวกนุ่งกางเกงยีนส์สวมรองเท้าบูทมาก และกลายเป็นการจุดประกายให้ผมนั้นเริ่มสนใจหนัง Western หรือหนังคาวบอยหลายๆ เรื่อง รวมไปถึงประวัติศาสตร์ของอเมริกาในยุคสมัยก่อนอีกด้วย
พอมาถึงช่วงปี 2010 ทาง Rockstar ประสบความสำเร็จกับ Grand Theft Auto ที่เรียกว่าเป็นเกมแนว Open World อาชญากรรมพลิกโลกไปแล้ว ก็ได้หยิบเอาเกมคาวบอยอย่าง Red Dead ซีรี่ส์นี้กลับมาอีกครั้ง เปลี่ยนรูปแบบและแนวทางของเกมให้กลายมาเป็น Open World ทำให้ขยายขอบเขตของการเล่าเรื่องต่างๆ ออกมาให้อิสระ และกว้างยิ่งขึ้น พร้อมกับชื่อใหม่ของซีรี่ส์ในชื่อ Red Dead Redemption ซึ่งตอนที่เกมนี้วางจำหน่ายบน PlayStation 3 และ Xbox 360 ผมยอมรับครับว่า ณ ตอนนั้นผมยังไม่ได้เริ่มเล่นมัน แล้วมาเล่นอีกทีเมื่อประมาณช่วงปี 2015 ซึ่งเป็นช่วงที่ PlayStation 4 อยู่ในช่วงกำลังปล่อยเกมใหม่ๆ ออกมาอย่าง Bloodborne ด้วยความที่ผมนั้นได้รับเครื่อง Xbox 360 จากรุ่นน้องคนหนึ่งให้ดูแล บวกกับผมได้ค้นหาเกมจากเครื่องนี้จำนวนหนึ่ง และหนึ่งในเกมที่ผมอยากเล่นมากๆ ก็คือ Red Dead Redemption เกมนี้แหละครับ
สัมผัสแรกของการได้เข้าไปเล่นเกมนี้ ผมรู้สึกถึงความอิสระในระบบเกมที่ค่อนข้างเปิดกว้าง และมีกลิ่นอายของภาคก่อนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ ระบบดวลปืน และระบบ Dead Eye ที่มีการพัฒนาไปเยอะ แถมเนื้อหาของเกมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาคก่อนอีก ซึ่งเนื้อหาของภาคนี้จะพูดถึง John Marston อดีตจอมโจร ที่หลังจากรับโทษยอมให้ทางการจับกุม ได้กลับมาพร้อมกับข้อแลกเปลี่ยนเพื่อล้างมลทินที่ทำไว้ ด้วยการตามล่าและสังหารอดีตสมาชิกแก๊งโจรที่ John เคยสังกัด เพื่อทำให้ John และครอบครัว กลับมามีชีวิตปกติสุขได้อีกครั้ง โดยรวมทั้งหมด การเล่าเรื่องและองค์ประกอบอื่นๆ ของเกมมันมีความเป็นหนังค่อนข้างมาก ยิ่งพอรวมกับฉาก และเพลงประกอบ ก็ทำให้รู้สึกถึงความเป็นคาวบอยแบบ 100% มาก และไม่ใช่แค่เนื้อหาจะอยู่แค่ในดินแดนคนเถื่อนเพียงอย่างเดียว ตัวเกมมันยังลามไปไกลถึง แถบชายแดนอย่างเม็กซิโก ซึ่งที่นั่นก็มีกลิ่นอายของความเป็นคาวบอยเม็กซิกันอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย
บอกตามตรงเลยครับว่าผมประทับใจกว่า Grand Theft Auto 4 และ 5 ในตอนนั้นมากๆ เล่นจบรอบนึงแล้ว ก็ยังรู้สึกประทับใจ จนหยิบมาเล่นซ้ำอีกรอบ ถ้าบอกว่าเป็นเกม Open World ที่เล่นคนเดียวแล้วสนุกอันนี้ผมไม่เถียงเลย เพราะมันดีงามในหลายๆ องค์ประกอบ ซึ่งน้อยนักที่จะเห็นเกมไหนที่ถ่ายทอดความเป็นคาวบอยและดินแดนอเมริกายุคเก่าได้ดีขนาดนี้ หลังจากนั้นประมาณปี 2018 Red Dead Redemption ได้ออกภาคต่อมา ซึ่งใช้ชื่อว่า Red Dead Redemption 2 โดยลงบนเครื่อง PlayStation 4 และ Xbox One ด้วยความที่ผมติดใจภาคที่แล้ว บวกกับมีเครื่อง PlayStation 4 อยู่แล้วด้วย ผมก็เลยไม่พลาดที่ซื้อเกมนี้มาเล่นอีกครั้ง
ผมเห็นถึงความสวยงามของมันหลังจากที่เปิดเกมนี้ครั้งแรก ผมร้องอุทานตลอดถึงการดำเนินเรื่องและเนื้อหาต่างๆ ของมัน ซึ่งในเนื้อหาของภาคนี้ จะเล่าย้อนจากภาคแรก โดยผ่านตัวละครอีกคนนั่นคือ Arthur Morgan กับยุคสมัยรุ่งเรืองของแก๊งจอมโจรนามว่า Van der Linde รวมไปถึงจุดเปลี่ยนของ John Marston ตัวเอกจากภาคที่แล้ว ว่าทำไมเขาถึงโดนจับกุมและก่อให้เกิดเรื่องของการล่าสมาชิกแก๊งค์ในภาคที่แล้ว ซึ่งในภาคนี้จะบอกทั้งหมด แม้ว่าตัวเกมนั้นจะทิ้งช่วงออกมานานจากภาคแรกพอสวมควร แต่การนำเสนอ ทั้งเนื้อหา และระบบต่างๆ กลับทำออกมาได้น่าประทับใจมากๆ อารมณ์ในการสื่อของตัวละคร การเล่าเรื่อง ที่ทำให้ผมนั้นติดตามตลอดจนจบ ระบบภายในเกมที่อิสระ สามารถจะทำอะไรก็ได้ ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อเลย แถมการถ่ายทอดบรรยากาศของอเมริกายุคคนเถื่อนที่กำลังจะผลัดเปลี่ยนเป็นยุคอุตสาหกรรม ก็ทำออกมาได้ดี ด้วยกราฟฟิกที่พัฒนามาอย่างก้าวกระโดด มันสวยงามทุกรายละเอียด และองค์ประกอบต่างๆ ก็เข้าถึงกันทั้งหมด ทำให้ภาคนี้กลายเป็นภาคที่ดีที่สุดของซีรี่ส์นี้ไปอย่างไร้ข้อกังขา
อาจจะมองว่าผมอวยเกมนี้เหลือเกิน แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้คือประสบการณ์การเล่นของผมเองคนเดียว และสิ่งที่ผมบอกไปทั้งหมดคือความประทับใจที่มีต่อเกมนี้ จากการเล่าผ่านปากของผมทั้งสิ้น ถ้าหากคุณโหยหา ยุคสมัยคาวบอย ดินแดนคนเถื่อน Red Dead Redemption คือเกมที่ผมขอแนะนำและอยากให้คุณได้ลองเข้าไปสัมผัสกันดูครับ ทุกสิ่งที่คุณต้องการเกี่ยวกับคาวบอย มันอยู่ในนี้หมดแล้ว และถ้าหากคุณใช้เวลาขลุกตัวคนเดียวเงียบๆ ในห้องพร้อมกับเกมนี้ ขอบอกเลยว่าคุณจะต้องลืมวันและเวลาที่มีอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอนครับ
#เพราะเราชอบเล่นเกมคนเดียว