Solo Joystick

  • Home
  • Solo Joystick

Solo Joystick เล่นคนเดียว เล่นดึกๆ เน้นเกมเล่นคน?

"Red Dead Redemption - วิถีคนเถื่อน ดินแดนชำระล้าง - เกม Open World สไตล์ตะวันตก กับเสน่ห์การเล่าเรื่องสุดประทับใจ"ในช่ว...
04/03/2021

"Red Dead Redemption - วิถีคนเถื่อน ดินแดนชำระล้าง - เกม Open World สไตล์ตะวันตก กับเสน่ห์การเล่าเรื่องสุดประทับใจ"
ในช่วงชีวิตเด็กๆ อย่างเรา คงจะเคยเห็นชายหนุ่มสวมหมวกมีปีกเป็นเอกลักษณ์ ใส่กางเกงยีนส์ รองเท้าบูทหนัง ขี่ม้าควงปืน กันมาบ้างไม่มากก็น้อย และนั่นทำให้เรารู้จักกับบุคคลเหล่านี้ ซึ่งเรียกตัวเองว่า "คาวบอย" ด้วยวิถีชีวิตแบบแมนๆ ลูกผู้ชาย และการผจญภัยที่ถ่ายทอดออกมาผ่านทางหนังฝรั่งยุคเก่า หรือหนังการ์ตูนฝรั่งบางเรื่อง จนทำให้ใครหลายๆ คน รวมถึงผม มีความไฝ่ฝันอยากจะเป็นหนุ่มคาวบอยแบบนี้บ้าง จนกระทั่งมีสิ่งที่เรียกว่าวีดีโอเกมเกิดขึ้น เกมสไตล์คาวบอยที่เราได้เห็นกันก็เรียกว่ามีอยู่ไม่มากมายนัก แต่ถ้าถามว่าเกมไหนที่ให้ความรู้สึกของความเป็นคาวบอยได้อย่างที่ฝันมากที่สุด ผมจะนึกถึงเกมนี้เป็นอันดับแรก กับผลงานของค่าย Rockstar Red Dead Redemption
ก่อนจะเกิดเกม Red Dead Redemption นั้น ผมเคยเห็นเสน่ห์ของความเป็นคาวบอยจากสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏในเกมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ท่าควงปืนสุดเท่ของ Revolver Ocelot ใน Metal Gear Solid หรือการผสมผสานของคาแรกเตอร์คาวบอยและซามูไรในเกม Rising Zan The Samurai Gunman บนเครื่อง PlayStation กระทั่งในปี 2004 ยุคที่ PlayStation 2 มีเกมเจ๋งๆ มากมาย อาทิ Burnout 3, Grand Theft Auto San Andreas หรือแม้กระทั่งการรีเมคของ Metal Gear Solid The Twin Snakes บนเครื่อง Nintendo Gamecube ในช่วงเวลานั้น ได้มีเกมสไตล์คาวบอยเกมหนึ่ง ซึ่งพัฒนาโดยทีมงาน Rockstar เจ้าของเดียวกับทีมที่ทำเกมซีรี่ส์ Grand Theft Auto นั่นแหละครับ โดยใช้ชื่อว่า Red Dead Revolver หน้าปกเกมที่เป็นหน้าของหนุ่มคาวบอยแหกปากแล้วกำลังยิงปืนลูกโม่ ที่ดูแล้วรู้ทันทีว่ามันคือเกมคาวบอยแน่ๆ ไม่ต้องสงสัย และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสเกมนี้ โดยตัวเกมจะเป็นแนว Action ให้เล่นไปตามเนื้อเรื่องและด่านต่างๆ ซึ่งจุดเด่นของเกมนี้คือ จะมีระบบ Bullet Time ที่สมัยนั้นฮิตกันมากตั้งแต่ที่เกมอย่าง Max payne เอาไปใช้ หรือแม้กระทั่ง Enter the Matrix ผลงานเกมที่มาจากหนังดังก็มีเอาระบบนี้ไปใช้เช่นเดียวกัน แต่ว่าระบบ Bullet time ของ Red Dead Revolver จะแตกต่างกันตรงที่ ตัวเกมจะเปิดระบบหยุดเวลาชั่วครู่ เพื่อให้เราเล็งจุดต่างๆ ของศัตรู เพื่อสังหารได้ในคราวเดียว ซึ่งเรียกระบบนี้ว่า Dead Eye นอกจากนี้ตัวเกมยังมีระบบที่น่าสนใจอย่าง ฉากดวลปืนกับบอสที่เป็นเอกลักษณ์ กับการเปิดโหมด Dead Eye ให้เล็งจุดตาย และทำการเหนี่ยวไกใส่บอสเหล่านั้น ซึ่งให้ความรู้สึกเป็นคาวบอยได้ดีเลยทีเดียว อีกทั้งตัวเกมยังได้ใส่ระบบการซื้ออาวุธ การอัปเกรดต่างๆ เพื่อให้ตัวละครของเรานั้นดีขึ้น
ด้วยความที่เกมนี้มันให้อารมณ์ของความเป็นคาวบอยอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้ผมรู้สึกสนุกกับเรื่องราวของ Red ตัวละครเอกของเรื่องที่สูญเสียพ่อแม่จากการโดนผู้พันและสมุนสังหารยกบ้าน ทำให้ Red โกรธแค้นและออกเดินทางเพื่อล้างแค้นให้กับพ่อแม่ของตน ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องของหนัง Western ที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เห็นบรรยากาศและกลิ่นอายของความเป็นคาวบอยที่มันมีมากกว่าแค่ตัวของคนใส่หมวกนุ่งกางเกงยีนส์สวมรองเท้าบูทมาก และกลายเป็นการจุดประกายให้ผมนั้นเริ่มสนใจหนัง Western หรือหนังคาวบอยหลายๆ เรื่อง รวมไปถึงประวัติศาสตร์ของอเมริกาในยุคสมัยก่อนอีกด้วย
พอมาถึงช่วงปี 2010 ทาง Rockstar ประสบความสำเร็จกับ Grand Theft Auto ที่เรียกว่าเป็นเกมแนว Open World อาชญากรรมพลิกโลกไปแล้ว ก็ได้หยิบเอาเกมคาวบอยอย่าง Red Dead ซีรี่ส์นี้กลับมาอีกครั้ง เปลี่ยนรูปแบบและแนวทางของเกมให้กลายมาเป็น Open World ทำให้ขยายขอบเขตของการเล่าเรื่องต่างๆ ออกมาให้อิสระ และกว้างยิ่งขึ้น พร้อมกับชื่อใหม่ของซีรี่ส์ในชื่อ Red Dead Redemption ซึ่งตอนที่เกมนี้วางจำหน่ายบน PlayStation 3 และ Xbox 360 ผมยอมรับครับว่า ณ ตอนนั้นผมยังไม่ได้เริ่มเล่นมัน แล้วมาเล่นอีกทีเมื่อประมาณช่วงปี 2015 ซึ่งเป็นช่วงที่ PlayStation 4 อยู่ในช่วงกำลังปล่อยเกมใหม่ๆ ออกมาอย่าง Bloodborne ด้วยความที่ผมนั้นได้รับเครื่อง Xbox 360 จากรุ่นน้องคนหนึ่งให้ดูแล บวกกับผมได้ค้นหาเกมจากเครื่องนี้จำนวนหนึ่ง และหนึ่งในเกมที่ผมอยากเล่นมากๆ ก็คือ Red Dead Redemption เกมนี้แหละครับ
สัมผัสแรกของการได้เข้าไปเล่นเกมนี้ ผมรู้สึกถึงความอิสระในระบบเกมที่ค่อนข้างเปิดกว้าง และมีกลิ่นอายของภาคก่อนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ ระบบดวลปืน และระบบ Dead Eye ที่มีการพัฒนาไปเยอะ แถมเนื้อหาของเกมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาคก่อนอีก ซึ่งเนื้อหาของภาคนี้จะพูดถึง John Marston อดีตจอมโจร ที่หลังจากรับโทษยอมให้ทางการจับกุม ได้กลับมาพร้อมกับข้อแลกเปลี่ยนเพื่อล้างมลทินที่ทำไว้ ด้วยการตามล่าและสังหารอดีตสมาชิกแก๊งโจรที่ John เคยสังกัด เพื่อทำให้ John และครอบครัว กลับมามีชีวิตปกติสุขได้อีกครั้ง โดยรวมทั้งหมด การเล่าเรื่องและองค์ประกอบอื่นๆ ของเกมมันมีความเป็นหนังค่อนข้างมาก ยิ่งพอรวมกับฉาก และเพลงประกอบ ก็ทำให้รู้สึกถึงความเป็นคาวบอยแบบ 100% มาก และไม่ใช่แค่เนื้อหาจะอยู่แค่ในดินแดนคนเถื่อนเพียงอย่างเดียว ตัวเกมมันยังลามไปไกลถึง แถบชายแดนอย่างเม็กซิโก ซึ่งที่นั่นก็มีกลิ่นอายของความเป็นคาวบอยเม็กซิกันอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย
บอกตามตรงเลยครับว่าผมประทับใจกว่า Grand Theft Auto 4 และ 5 ในตอนนั้นมากๆ เล่นจบรอบนึงแล้ว ก็ยังรู้สึกประทับใจ จนหยิบมาเล่นซ้ำอีกรอบ ถ้าบอกว่าเป็นเกม Open World ที่เล่นคนเดียวแล้วสนุกอันนี้ผมไม่เถียงเลย เพราะมันดีงามในหลายๆ องค์ประกอบ ซึ่งน้อยนักที่จะเห็นเกมไหนที่ถ่ายทอดความเป็นคาวบอยและดินแดนอเมริกายุคเก่าได้ดีขนาดนี้ หลังจากนั้นประมาณปี 2018 Red Dead Redemption ได้ออกภาคต่อมา ซึ่งใช้ชื่อว่า Red Dead Redemption 2 โดยลงบนเครื่อง PlayStation 4 และ Xbox One ด้วยความที่ผมติดใจภาคที่แล้ว บวกกับมีเครื่อง PlayStation 4 อยู่แล้วด้วย ผมก็เลยไม่พลาดที่ซื้อเกมนี้มาเล่นอีกครั้ง
ผมเห็นถึงความสวยงามของมันหลังจากที่เปิดเกมนี้ครั้งแรก ผมร้องอุทานตลอดถึงการดำเนินเรื่องและเนื้อหาต่างๆ ของมัน ซึ่งในเนื้อหาของภาคนี้ จะเล่าย้อนจากภาคแรก โดยผ่านตัวละครอีกคนนั่นคือ Arthur Morgan กับยุคสมัยรุ่งเรืองของแก๊งจอมโจรนามว่า Van der Linde รวมไปถึงจุดเปลี่ยนของ John Marston ตัวเอกจากภาคที่แล้ว ว่าทำไมเขาถึงโดนจับกุมและก่อให้เกิดเรื่องของการล่าสมาชิกแก๊งค์ในภาคที่แล้ว ซึ่งในภาคนี้จะบอกทั้งหมด แม้ว่าตัวเกมนั้นจะทิ้งช่วงออกมานานจากภาคแรกพอสวมควร แต่การนำเสนอ ทั้งเนื้อหา และระบบต่างๆ กลับทำออกมาได้น่าประทับใจมากๆ อารมณ์ในการสื่อของตัวละคร การเล่าเรื่อง ที่ทำให้ผมนั้นติดตามตลอดจนจบ ระบบภายในเกมที่อิสระ สามารถจะทำอะไรก็ได้ ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อเลย แถมการถ่ายทอดบรรยากาศของอเมริกายุคคนเถื่อนที่กำลังจะผลัดเปลี่ยนเป็นยุคอุตสาหกรรม ก็ทำออกมาได้ดี ด้วยกราฟฟิกที่พัฒนามาอย่างก้าวกระโดด มันสวยงามทุกรายละเอียด และองค์ประกอบต่างๆ ก็เข้าถึงกันทั้งหมด ทำให้ภาคนี้กลายเป็นภาคที่ดีที่สุดของซีรี่ส์นี้ไปอย่างไร้ข้อกังขา
อาจจะมองว่าผมอวยเกมนี้เหลือเกิน แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้คือประสบการณ์การเล่นของผมเองคนเดียว และสิ่งที่ผมบอกไปทั้งหมดคือความประทับใจที่มีต่อเกมนี้ จากการเล่าผ่านปากของผมทั้งสิ้น ถ้าหากคุณโหยหา ยุคสมัยคาวบอย ดินแดนคนเถื่อน Red Dead Redemption คือเกมที่ผมขอแนะนำและอยากให้คุณได้ลองเข้าไปสัมผัสกันดูครับ ทุกสิ่งที่คุณต้องการเกี่ยวกับคาวบอย มันอยู่ในนี้หมดแล้ว และถ้าหากคุณใช้เวลาขลุกตัวคนเดียวเงียบๆ ในห้องพร้อมกับเกมนี้ ขอบอกเลยว่าคุณจะต้องลืมวันและเวลาที่มีอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอนครับ



#เพราะเราชอบเล่นเกมคนเดียว

04/03/2021
"Resident Evil - ฝ่าอันตราย ไวรัสถล่มโลก - เกม Survival Horror สุดมันส์ที่เล่นซ้ำก็ยังสนุก"ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มนุษย์คนเร...
21/02/2021

"Resident Evil - ฝ่าอันตราย ไวรัสถล่มโลก - เกม Survival Horror สุดมันส์ที่เล่นซ้ำก็ยังสนุก"
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มนุษย์คนเราย่อมมีความกลัวอยู่ในตัว บางคนกลัวสัตว์ที่แปลกประหลาด บางคนกลัวความสูง และบางคนก็กลัวสิ่งลี้ลับที่เรียกว่า ผี มนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งที่เกิดความกลัว ให้กลายเป็นความบันเทิงที่ใครๆ ก็สามารถสัมผัสหรือเสพมันได้ ถึงแม้ว่าจิตใต้สำนึกนั้นยังกลัวอยู่ก็ตาม ในโลกของวีดีโอเกมก็มีสิ่งที่เรียกกันว่า เกมแนวสยองขวัญ ออกมาให้ได้เล่นกันมากมายหลายต่อหลายเกม และเชื่อได้เลยว่า คนเล่นเกมเกินกว่าครึ่ง ไม่มีใครไม่รู้จักตำนานซีรี่ส์เกมสยองขวัญที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการเกม รวมไปถึงยังเป็นซีรี่ส์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากนักเล่นเกมทั่วโลก ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึง Resident Evil หรือ Biohazard
ก่อนที่ผมจะรู้จักชื่อของ Resident Evil นั้นเรียกได้ว่า ผมได้รู้จักชื่อเดิมของเกมนี้ภายใต้ชื่อว่า Biohazard มาก่อน ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อที่เรียกกันในเวอร์ชั่นของญี่ปุ่น ย้อนเวลากลับไปยังสมัยในปี 1996 ยุคที่ PlayStation กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น และวงการเกมคอนโซลยุคนั้นเรียกว่าคึกคักมากๆ และผมในตอนนั้นก็เพิ่งเริ่มที่จะรู้จักวีดีโอเกมใหม่ๆ ซึ่งในตอนนั้นผมจำได้ว่าจะมีร้านขายเกมอยู่ในตลาดแห่งหนึ่ง ซึ่งในร้านนั้นก็จะมีตู้เกมหยอดเหรียญ ที่มี่ทั้งเกมดังๆ อย่าง Street Fighter Zero 2, Tekken 2, The King of Fighters 96 รวมไปถึงเกมอย่าง The House of The Dead ช่วงเวลาที่ผมต่อคิวหยอดเหรียญรอเล่นเกมต่อสู้นั้น ผมได้หันไปเห็นเจ้าของร้านเกมนั่งเล่นเกมอยู่เกมหนึ่ง ภายในเกมนั้นมีตัวละครคล้ายๆ ตำรวจพิเศษกำลังเล็งปืนสั้นยิงผีตัวหนึ่ง ในฉากคฤหาสน์สุดวังเวง และนั่นเป็นครั้งแรก ที่ผมได้รู้จักกับ Biohazard หรือที่คนยุคนั้นเรียกติดปากสั้นๆ ว่า "เกมไบโอ" และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับผีในเกม ซึ่งภายหลังเรียกกันว่า "ซอมบี้" อีกด้วย
พอผมโตขึ้นวัยมัธยม ย้ายมาอยู่กรุงเทพ เจ้าเกม Biohazard ก็เริ่มกลับมาทวนความทรงจำของผมอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นภาคต่อ ภายใต้ชื่อ Biohazard 2 ต้องยอมรับว่า เกมในยุคนั้นมักนำเข้ามาจากญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ และภาษาในเกมก็เป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งอ่านไม่ค่อยจะออกเท่าไหร่นัก ทางเดียวที่จะเข้าใจเนื้อหาเกมได้คือบทสรุปและข้อมูลเกมที่ปรากฏในนิตยสารเกม นั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผมสนใจภาษาญี่ปุ่นเป็นพิเศษและอยากเรียนมันมาก ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์จากมันแค่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง ช่วงเวลานั้นผมได้สัมผัส Biohazard เป็นครั้งแรก และตอนนั้นผมเรียนรู้การเล่นการบังคับจากพี่ที่ร้านเกมคนหนึ่ง พี่เขาได้สอนวิธีการเดิน การเล็งปืน และยิงให้ ซึ่งช่วงแรกๆ ผมบอกเลยว่า ยากมากๆ ในตอนนั้น จอยสติ๊กของ PlayStation ไม่มีก้านอนาล็อกเหมือนปัจจุบัน ต้องอาศัยกดปุ่มขึ้นเพื่อเดินหน้า กดลงเพื่อถอยหลัง และต้องกด X เพื่อวิ่ง R1 เล็ง และสี่เหลี่ยมยิง ต้องปรับตัวอยู่ประมาณเป็นชั่วโมงกว่าจะบังคับเป็นได้ และนั่นก็เริ่มรู้สึกถึงความสนุกของเกมนี้
พอถึงช่วงที่ผมได้ยืมเครื่อง PlayStation ของคุณลุงผมก็ได้ซื้อเกม Biohazard ภาคแรกมาเล่นแล้วรู้ว่า ตัวเกมมันมีเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ซึ่งใช้ชื่อว่า Resident Evil แต่ทว่าตอนนั้นผมก็ยังติดปากเรียกเกมนี้ว่า "ไบโอ" อยู่เหมือนเดิม ตอนที่ได้ลองภาคแรก ผมบอกเลยว่า ตัวเกมนั้นมีความเก่า ขลังมากๆ โดยเฉพาะฉากที่เจอกับซอมบี้ครั้งแรก ภาพติดตาจนทำให้ผมนอนไม่หลับไปเลยในคืนนั้น บรรยากาศชวนวังเวงซึ่งต่างจากภาคที่ 2 เป็นอย่างมาก ในคฤหาสน์สุดฉงน และปริศนามากมาย ทำให้ผมเริ่มเข้าใจถึงความสนุกของเกมนี้ จนกระทั่งผมได้ซื้อหนังสือบทสรุปมาอ่าน และเริ่มสนใจเจ้าซีรี่ส์ Biohazard นี้ทุกครั้งเวลาที่มันตีพิมพ์ลงนิตยสารเกม ทำให้ผมได้สนุกกับซีรี่ส์ Biohazard ภาคหลังๆ อย่าง ภาค 3 Last Escape, Gun Survival ไล่มาเรื่อยๆ จนถึงภาคที่ 4 ,5 และ 6 ตามลำดับ
ทีนี้ก็ต้องมีคำถามแหละครับว่า แล้วผมเนี่ยเปลี่ยนไปเรียกเกม Resident Evil ตอนไหน? จริงๆ แล้วผมเรียกชื่อ Biohazard มาตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคที่ 3 จนกระทั่งตัวเกมถูกสร้างเป็นหนังแล้วใช้ชื่อว่า Resident Evil ในช่วงแรกก็พูดชื่อนี้ไม่ค่อยจะติดปาก แต่พอนานๆ เข้า นิตยสารเกมก็เริ่มเปลี่ยนชื่อนี้ดื้อๆ ทำให้กลายเป็นว่าผมติดปากเรียกเกมนี้ว่า Resident Evil ไปแบบอัตโนมัติ
สิ่งที่น่าชื่นชมของ Resident Evil คือการพัฒนาและปรับเปลี่ยนระบบการเล่นเกมตามยุคตามสมัยได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ไม่เคยทิ้งลายเลยคือ ธีมเกมที่มีความสยองขวัญ มีกลิ่นอายของความน่ากลัว รวมไปถึงปริศนาต่างๆ ที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์หลักของเกมนี้ที่ทำให้มันสนุกมากยิ่งขึ้น แม้ว่าในช่วงภาค 4 เป็นต้นมา ตัวเกมจะออกทะเล และเป๋ไปค่อนข้างมาก แต่มันก็ยังสามารถเข้าร่องเข้ารอยกลับมาเป็นเนื้อหาของ Resident Evil อยู่ได้ แถมยังมีไอเดียในการสร้างสรรค์เหล่าผีหรือศัตรูที่ไม่ได้มีแค่ซอมบี้เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีพวก ปรสิต มนุษย์กลายพันธุ์ หรือแม้กระทั่งหมอผีขมังเวทย์ เรียกว่าปรับเปลี่ยนสไตล์ของเกมได้อย่างไร้ขีดจำกัดจริงๆ
และพอมาถึงช่วงเวลาปัจจุบันที่ตัวเกมมีการปรับปรุงขนานใหญ่ เช่นในภาค 7 มีการเปลี่ยนมุมมองจากมุมมองบุคคลที่ 3 ให้กลายเป็นมุมมองบุคคลที่ 1 ซึ่งทำให้เกมนี้น่ากลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก หรือแม้กระทั่งการรีเมคของเกมในภาค 2 และ 3 ซึ่งเรียกว่าทำออกมาได้ดี และสวยงามด้วยกราฟฟิกเอนจิ้นสุดทันสมัยที่คิดค้นขึ้นเองอย่าง RE Engine ทำให้เห็นว่า Resident Evil นั้นสามารถที่จะพลิกแพลง หรือแต่งเติมสิ่งต่างๆ ในจักรวาลของมันให้สามารถยิ่งใหญ่และไปได้ไกลกว่านี้มากๆ
จากคดีลึกลับในคฤหาสน์ร้าง ด้วยกลุ่มตำรวจพิเศษเพียงหยิบมือ เติบโตขึ้นมาด้วยการระบาดของไวรัสทั่วทั้งเมือง ลามยาวมาถึงเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ และปรสิตที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ผ่านการเล่าเรื่องราวของตัวละครต่างๆ มากมาย ทำให้ซีรี่ส์ Resident Evil เติบโตและมีอายุอานามเข้าสู่ 25 ปี ถ้าเปรียบเป็นอายุของคนก็เรียกว่าเบญเพสได้ก็ไม่ผิดนัก ด้วยเสน่ห์ของความสยองขวัญและไอเดียของเกมที่เล่นกับความกลัว บวกกับความสนุกที่ใส่ลูกเล่นต่างๆ ทั้งปริศนา เนื้อเรื่อง และระบบฟังก์ชั่นภายในเกม ทำให้ Resident Evil เป็นเกมแนว Survival Horror ที่ยังคงสนุกและสามารถหยิบมาเล่นคนเดียวได้ซ้ำๆ ในช่วงเวลาที่คิดถึงและโหยหาเกมเล่นคนเดียวได้อย่างดีเลยทีเดียวครับ



#เพราะเราชอบเล่นเกมคนเดียว

"WatchDogs - จารชนแฮกเกอร์ผู้ผุงยุติธรรม - เกม Action Open world สายแฮกสะท้อนมุมมืดสังคม"ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า วิวัฒนาก...
16/02/2021

"WatchDogs - จารชนแฮกเกอร์ผู้ผุงยุติธรรม - เกม Action Open world สายแฮกสะท้อนมุมมืดสังคม"
ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า วิวัฒนาการของวีดีโอเกมนั้นเติบโตและพัฒนาไปได้ไกลอย่างมาก จากการเล่นเกมที่ใช้เวลาสั้นๆ เพื่อความสนุก กลายมาเป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องที่ให้ความบันเทิงคล้ายๆ กับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง และช่วงนี้แนวเกมหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยม และเป็นแนวที่ผมชื่นชอบมากๆ นั่นคือ Open World แนวเกมที่ให้ผู้เล่นได้เปิดโลกทัศน์กับพื้นที่อันกว้างใหญ่ ในการสำรวจและสนุกกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ หลายๆ คนพอพูดถึงเกม Open World ก็จะนึกถึงเกมอาชญากรรมสะท้านโลกอย่าง Grand Theft Auto หรือ GTA กันอย่างแน่นอน แต่สำหรับผมแล้วยังมีอีกหนึ่งเกมแนว Open World ที่ผมชื่นชอบและหาเวลาเล่นอยู่บ่อยๆ กับผลงานจาก Ubisoft ที่เล่าถึงโลกที่เต็มไปด้วย อาชญากรรม ความฉาวโฉ่ และแฮกเกอร์ กับเกมที่มีชื่อว่า Watch Dogs
ในช่วงเวลาที่ PlayStation 3 กำลังจะเปลี่ยนผ่านให้รุ่นต่อไปอย่าง PlayStation 4 ในช่วงปี 2013 Ubisoft ได้เปิดตัวตัวอย่างของเกม Watch Dogs ในรูปแบบ Cinematic ที่นำเสนอสังคมในเมืองที่ใช้ชีวิตโดยมีอินเตอร์เน็ตเป็นเหมือนตัวเชื่อมหลัก และในคลิปนั้นก็มีการนำเสนอมุมมืดของเมืองๆ นี้ พร้อมกับการเปิดตัวของชายคนหนึ่งในชุดโค้ทยาวสวมหมวกแก๊ป และปิดหน้าอำพรางตัวตน ที่ไล่ปราบคนชั่ว พร้อมกับทักษะการแฮกด้วยโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว
ครั้งแรกที่ผมได้ดูคลิป Cinematic ตัวนี้ ผมรู้สึกชื่นชอบในการนำเสนอของมันเป็นอย่างมาก เพราะมันไม่ใช่แค่การสำรวจไปตามเมือง ไล่จี้ปล้น หรือขโมยรถแล้วหนีตำรวจแบบ GTA แต่มันมีฟังก์ชั่นที่เหนือกว่านั่นคือการแฮก ด้วยคอนเซ็ปต์ของ Watch Dogs คือ Everything is Connected นั่นหมายความว่า ผู้เล่นสามารถที่จะแฮกหรือเข้าระบบกับทุกสิ่งทุกอย่างในเกมได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การสอดส่องดูประวัติข้อมูลของประชาชนในเมือง การเปิดปิดเสาไฟแดงได้ทุกแยก หรือแม้กระทั่งการดับไฟทั้งเมืองก็สามารถทำได้หมด ด้วยโทรศัพท์มือถืออัจฉริยะเพียงแค่เครื่องเดียวเท่านั้น มันอาจจะฟังดูเว่อร์ไปหน่อยนะครับ แต่เชื่อเถอะครับว่ามันทำได้จริงตามคอนเซ็ปต์ทุกอย่าง ทำให้ระบบการแฮกจึงกลายเป็นจุดแข็งของเกมนี้ ที่เกม Open World เกมอื่นๆ นั้นไม่มี
ตอนที่ผมเล่นเกมนี้ครั้งแรก สิ่งที่ประทับใจผมเป็นอย่างแรกคือ การใส่รายละเอียดของประชาชนในเมืองที่เดินตามท้องถนนได้ค่อนข้างดี เมื่อเราทำการเปิดระบบแฮก ตัวเกมจะเปิดเผยประวัติและข้อมูลของประชาชนโดยรอบให้เห็นเลยว่า คนๆ นี้ อาชีพอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ หรือแม้กระทั่งข้อมูลไลฟ์สไตล์เล็กๆ น้อยๆ ซึ่ง Ubisoft เก็บรายละเอียดนี้ได้ถือว่าดีมากๆ อีกทั้งเนื้อหาของเกมนี้มีความชัดเจนและนำเสนอในเรื่องของภัยอันตรายและมุมมืดของอาชญากรรมทางไซเบอร์ได้ค่อนข้างดี แถมยังมีความเสียดสีคุณภาพสังคมที่เรียกว่าทำได้เจ็บแสบมากอีกเกมหนึ่งเลยทีเดียว เนื้อหาของเกมนั้นพูดถึงชายหนุ่มนาม Aiden Pearce แฮกเกอร์สายมืด ที่สูญเสียหลานสาวสุดที่รักไป ทำให้เขาต้องสืบหาความจริงและเบื้องหลังของการสูญเสียในครั้งนี้ และนั่นเขาได้พบกับความเน่าเฟะที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในเมืองอัจฉริยะนามชิคาโก้นี้ Aiden จึงต้องสวมบทบาทเป็นศาลเตี้ย ผดุงความยุติธรรมในการกำจัดเหล่าอาชญากร และสาวไปให้ถึงต้นตอนี้ให้ได้
ถ้ามองในเนื้อหาถือว่าเป็นเนื้อหาที่ผมชอบมากที่สุด กับการได้รับบทบาทเป็นศาลเตี้ยผู้ผดุงความยุติธรรม ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นความบกพร่องในหน้าที่ของหน่วยงานและองค์กรที่มีการจัดการรักษาความปลอดภัยอันหละหลวม ดังนั้นบุคคลอย่าง Aiden เปรียบเสมือนฮีโร่ที่ช่วยกอบกู้และชี้จุดบกพร่องของปัญหาเหล่านั้น มันทำให้นึกถึงสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ ซึ่งนับวันมันมีเพิ่มขึ้น และแก้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหายสักที และด้วยเนื้อหาสไตล์นี้ มันเลยทำให้ผมรู้สึกสนุกกับเกมนี้ได้ยาวๆ จนลืมเวลานอนกันเลยทีเดียว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบของเกมนี้ก็คือการใช้เมืองชิคาโก้ ซึ่งเป็นเมืองที่มีอยู่จริงในประเทศสหรัฐอเมริกา ผสมกับการดีไซน์ความเป็นเทคโนโลยีเข้าไป นั่นทำให้เมืองที่สวยงามอยู่แล้ว กลายเป็นเมืองไฮเทคในฝัน ที่หวังว่าในความจริงมันจะเกิดขึ้นมาบ้าง ก็เรียกว่าเพลิดเพลินกับทัศนียภาพและบรรยากาศได้อย่างดีเลยทีเดียว
ถ้าหากว่าตัดเรื่องของ Ubisoft นั้นดาวน์เกรดกราฟฟิกเกมของตัวเอง กับระบบการขับรถที่บังคับยากสุดๆ แล้ว Watch Dogs ถือว่าเป็นเกม Open World ชั้นดีที่มีการพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 2 ภาคหลังอย่าง Watch Dogs 2 ที่ใช้เมืองซานฟรานซิสโกเป็นฉากหลัง และใช้ตัวเอกผิวสีอย่าง Marcus Halloway หนึ่งในสมาชิกกลุ่ม DedSec แฮกเกอร์ใต้ดินเป็นตัวดำเนินเรื่อง ที่พัฒนาระบบการแฮกของเกมนี้ออกมาได้กว้างกว่าภาคก่อน และเนื้อเรื่องที่จิกกัดแสบสันต์กว่าภาคที่แล้วมาก และภาคล่าสุด Legion กับการเปลี่ยนสถานที่ดำเนินเรื่องใหม่เป็นกรุง London ประเทศอังกฤษ ที่อยู่ในยุคอนาคตอันใกล้ แถมมีระบบสุดเจ๋งคือ ตัวละครหลักของภาคนี้คือ ประชาชนในเมือง London ทั้งหมด นั่นทำให้ตัวเกมนั้นแปลกใหม่ และดูสนุกยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งคอนเซ็ปต์ของเนื้อหาสะท้อนสังคม และการแฮกซึ่งเป็นหัวใจหลักของเกมนี้ จะเห็นได้ว่า วิวัฒนาการของ Watch Dogs นั้นค่อนข้างที่จะเติบโตและเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีอย่างเห็นได้ชัด แถมการเล่าเรื่องของทั้ง 3 ภาคนั้นก็ไม่ซ้ำเลยสักภาค แต่สามารถเชื่อมถึงกันเป็นจักรวาลเดียวอีก
ถ้าให้อันดับเกม Action Open World ในดวงใจของผมเอง Watch Dogs คือหนึ่งใน 3 เกม Action Open World ที่ผมชอบมากที่สุด ด้วยคอนเซ็ปต์ของเกมที่ชัดเจน การเล่นประเด็นสังคมผ่านเนื้อหาที่เสียดสี จิกกัดแบบเจ็บๆ และทัศนียภาพบรรยากาศของเมืองที่ทำขึ้นมาได้สวยงาม มันเลยทำให้เป็นเกม Action Open World ที่เหมาะมากกับการใช้เวลาว่างมาเล่นสุดๆ มันจะทำให้คุณเพลิดเพลินกับการสำรวจและแฮกทุกอย่างที่ต้องการได้อย่างอิสระ ถ้าจะให้สรุปกันอย่างง่ายๆ นี่เป็นหนึ่งเกม Action Open World ที่อยากให้คุณได้สัมผัสในยามที่คุณต้องเล่นเกมคนเดียวดูครับ



#เพราะเราชอบเล่นเกมคนเดียว

"Dark Souls - เผ่าพันธุ์อมตะพิทักษ์ดวงอัคคี เกม Action RPG ที่ยาก แต่มีเสน่ห์"คุณเคยหัวร้อนหรือหัวเสียกับเกมที่ยากเกินไป...
14/02/2021

"Dark Souls - เผ่าพันธุ์อมตะพิทักษ์ดวงอัคคี เกม Action RPG ที่ยาก แต่มีเสน่ห์"
คุณเคยหัวร้อนหรือหัวเสียกับเกมที่ยากเกินไป จนไม่สามารถฝ่าฟันมันได้หรือไม่? แม้ว่าความพยายามแต่ละครั้งที่เล่นมาก็รู้สึกว่าสูญเปล่า จนมองไม่เห็นหนทางการเอาชนะได้เลย หลายต่อหลายคนต้องถอดใจกับอุปสรรคเหล่านี้ ทำให้ความสนุกในการเล่นเกมนั้นกลายเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน จนเข็ดขยาดไม่สามารถกลับมาเล่นมันได้อีกครั้ง ผมเองก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ที่เคยท้อแท้กับการเล่นเกมไม่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้งครับ ซึ่งนั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมเล่นเกมๆ นั้นไม่จบ จนทำให้ต้องดองเค็มอยู่เป็นระยะเวลานาน และถ้าจะให้พูดถึงเกมยากในดวงใจของใครหลายๆ คน เชื่อเหลือเกินว่า เกมๆ นี้จะต้องติดอยู่ในลิสต์ของคุณอย่างแน่นอน กับเกม Action RPG จาก From Software Dark Souls
ตอนที่ผมได้ยินชื่อเกมนี้ครั้งแรก เป็นตอนที่ผมได้เห็นเพื่อนของผมคนหนึ่งเล่นเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 3 ซึ่งก่อนที่จะเป็นเกม Dark Souls นั้น มันเคยมีเกมอยู่หนึ่งเกมที่ใช้ชื่อว่า Demon's Souls ซึ่งเกมนี้วางจำหน่ายในปี 2009 ด้วยลักษณะการเล่นของเกมนั้นเป็นรูปแบบของตัวละครที่เดินตะลุยในพื้นที่อันมืดมิด ซึ่งเปรียบเสมือนดันเจี้ยน และมีการต่อสู้กับเหล่าศัตรูอยู่มากมาย ผมมองแว่บแรกก็รู้สึกสงสัยเหมือนกันว่ามันคือเกมอะไรกันนะ จนกระทั่งชื่อของ Demon Souls นั้นก็ได้ยินมันอีกครั้งเมื่อน้องชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม เล่าถึงโมเม้นต์ของเกมนี้ว่า เป็นเกมตะลุยไปตามที่ต่างๆ ต่อสู้กับเหล่าศัตรูเพื่อสะสมดวงวิญญาณมา แต่ทว่ากลับไม่บอกรายละเอียดของเกมเพิ่มเติมว่า มันยากหรือง่ายขนาดไหน ก็เลยกลายเป็นข้อสงสัยที่คาใจผมจนลืมไปตามกาลเวลา
หลังจากนั้นในปี 2014 ช่วงเวลานั้นเองผมได้มารู้จักกับซีรี่ส์เกมแบบเดียวกับ Demon's Souls ในชื่อว่า Dark Souls แต่ทว่าภาคที่ผมรู้จักภาคแรกนั้นคือ ภาคที่ 2 ซึ่งแรงจูงใจในการให้ผมได้รู้จักเกมนี้ก็มาจากนักเล่นเกมผ่าน Youtube คนหนึ่ง นั่นก็คือ Heartrocker ที่ปัจจุบันเขานั้นคือผู้ทรงอิทธิพลของวงการเกมในบ้านเราไปแล้ว โดยเขานั้นได้เล่นเกม Dark Souls 2 ซึ่งตอนที่ผมได้เห็นเกมเพลย์ทั้งหมดของมัน ก็รู้สึกว่า รูปแบบของเกมนั้นมีความแตกต่างจากเกม Action RPG ที่ผมรู้จัก ซึ่งสมัยนั้นมีเกมอย่าง Monster Hunter Portable ที่ใช้ลักษณะการแอ็คชั่นคล้ายๆ กันคือ Hit and Run ตีแล้วหลบหาจังหวะในการเอาชนะ ซึ่ง Dark Souls ก็ใช้สไตล์เกมทำนองนั้นเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่มันเป็นจุดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของมันก็คือ เมื่อเราโจมตีศัตรูสำเร็จเราจะได้สิ่งที่เรียกว่า Souls หรือดวงวิญญาณมา ซึ่งสามารถสะสมได้เรื่อยๆ แต่ถ้าหากเราตายเพราะโดนศัตรูฆ่า Souls ที่สะสมมานั้นก็จะหล่นไป ทางเดียวที่จะต้องเก็บมันกลับมาก็คือการเข้าไปยังพื้นที่เดิมแล้วปราบศัตรูตัวนั้นให้ได้ หากปราบไม่ได้อีกครั้ง Souls หรือดวงวิญญาณที่สะสมมาจะหายไปทั้งหมด นับว่าเป็นเงื่อนไขที่ค่อนข้างจะท้าทายมากๆ ในสมัยนั้น
ยอมรับเลยว่าผมได้สัมผัสเกมนี้ครั้งแรกก็เพราะเอก Heartrocker เล่นจริงๆ ครับ ความรู้สึกครั้งแรกในการเล่น มันแตกต่างจากเกม Action RPG ทั่วไปคือ ไม่มีภารกิจกำกับบอกไว้ที่มุมของจอเหมือนเกมอื่นๆ อยากจะสำรวจตรงไหนก็ได้ เพราะพื้นที่ต่างๆ นั้น มีความอันตรายเหมือนกันแทบทุกที่ ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นจะสามารถหาวิธีไปได้อย่างไร และระหว่างทางนั้นจะต้องเจอเหล่าศัตรูมากหน้าหลายตา ซึ่งมีการโจมตีที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้นผู้เล่นก็จะต้องพยายามด้นสด คิดหาวิธีกำจัดมันให้ได้อีกด้วย อีกทั้งเส้นทางของเกมนี้ก็มีความซับซ้อน และซุกซ่อนลูกเล่นเอาไว้มากมาย ทั้งกับดัก พื้นต่างระดับ หรือแม้กระทั่งบ่อพิษ ที่เหมือนจะจงใจให้เรานั้นไม่สามารถพิชิตมันไปได้ ช่วงแรกๆ ที่ผมเล่นนั้น กล้าพูดเลยว่า ตายฟื้นวนเวียนอยู่แบบนี้ไปแทบนับไม่ถ้วน แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ ตามปกติ ถ้าไม่ผ่านตรงจุดไหนซ้ำๆ จะมีความรู้สึกหงุดหงิดและหัวร้อนจนอยากปิดเกมทิ้งไป แต่สำหรับ Dark Souls นั้นมันมีเหมือนมนต์เสน่ห์อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกอยากเล่นอยู่ตลอดแม้ว่าเกมนี้จะทำผมตายซ้ำตายซากไปหลายรอบก็ตาม หรือนี่อาจเป็นเพราะผมเองต้องการหรือใคร่อยากรู้ว่าปลายทางของเกมนี้มันเป็นอย่างไรหรือเปล่า ผมจึงสามารถเล่นมันต่อได้ทั้งๆ ที่ผมโดนศัตรูฆ่าตายไปหลายต่อหลายครั้งก็ตาม
ต้องขอบคุณในความพยายามของตัวเองที่สามารถผ่านและเคลียร์เกมนี้ได้สำเร็จ มันเป็นความรู้สึกที่ภูมิใจอยู่เล็กๆ ที่ผมเองสามารถเล่นเกมนี้ได้โดยไม่รู้สึกถึงความท้อแท้หรือหมดกำลังใจที่จะเล่นมัน และ Dark Souls 2 คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมสนใจเกมซีรี่ส์นี้มากยิ่งขึ้น เลยนำพาไปสู่เกมตระกูล Souls Series มากมาย อาทิ Bloodborne, Dark Souls 3, Lords of Fallen, Nioh รวมไปถึง Sekiro Shadows Die Twice ที่ลงให้กับเครื่อง PlayStation 4 ส่วน Dark Souls ภาคแรกนั้น ผมเองก็เพิ่งได้มีโอกาสสัมผัสมันจริงๆ ในเวอร์ชั่น Remastered บนเครื่อง PlayStation 4 ไม่นานมานี้ ปรากฏว่าความยากของภาคแรกนั้นยอมรับเลยครับว่ายากไม่แพ้กัน และล่าสุดในส่วนของ Demon's Souls ซึ่งเป็นต้นตระกูลของเกม Souls Series ก็ถูกรีเมคมาในเวอร์ชั่นของ PlayStation 5 ซึ่งผมเองก็มีโอกาสได้สัมผัสมาบ้างนิดหน่อย แต่รายละเอียดนั้น เอาไว้ผมได้เครื่อง PlayStation 5 แล้วจะมารีวิวแบบเต็มๆ ให้อ่านกันนะครับ
สิ่งที่ผมพอจะหาเหตุผลได้ว่า ทำไมเกมยากอย่าง Dark Souls ถึงมีความน่าสนใจจนทำให้ผู้เล่นสนุกได้ แน่นอนว่าความยากที่ท้าทายของมัน คือจุดขายที่ดีที่ทำให้คนหลายคนอยากลองของเพื่อที่จะเล่นวัดทักษะดู ระบบของเกมที่ค่อนข้างจะต้องอาศัยสติและความช่างสังเกตอย่างสูง โดยเฉพาะการระวังตัวเองให้ไม่โดนศัตรูฆ่าตาย สามารถประคอง Souls ที่สะสมมาให้อยู่รอดปลอดภัยได้ และที่เจ๋งกว่านั้นคือเนื้อเรื่องของเกมนี้ ที่มีความซับซ้อน และไม่บอกอะไรให้ผู้เล่นรู้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งผู้เล่นจะต้องค้นหาข้อมูลและรายละเอียดจากสิ่งรอบๆ ภายในเกม ซึ่งเราจะได้จาก การสนทนากับ NPC รายละเอียดของไอเทมที่เก็บมา ทำให้ต้องปะติดปะต่อเนื้อหานี้ ก็เลยเกิดสมมติฐาน และการคาดเดาของเนื้อเรื่องที่มีหลายต่อหลายรูปแบบ แต่สุดท้ายก็ไม่มีคนไหนสามารถอธิบายเนื้อหาจริงๆ ได้อย่างชัดเจนและเคลียร์ ผมเองยอมรับว่าผมไม่ได้สนใจในเนื้อเรื่องของมันเลย เพราะเกมเพลย์ของเกมนี้ก็ค่อนข้างจะดึงดูดมากๆ อยู่แล้ว เนื้อเรื่องของเกมนี้ผมเลยมองว่าเป็นแค่ส่วนประกอบรองๆ ที่ทำให้ผมสนใจ แต่ถ้าให้ผมสรุปคร่าวๆ เกี่ยวกับซีรี่ส์นี้ ก็พอจะเข้าใจได้ว่า เนื้อหาของ Dark Souls นั้น จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ยุคสมัยของปฐมอัคคี ที่เรานั้นคือเผ่าพันธุ์อมตะฆ่าไม่ตาย หรือเรียกว่า Undead มีหน้าที่ในการปกป้อง และคอยหล่อเลี้ยงไฟนั้นไม่ให้มอดดับ ซึ่งถ้าหากไฟดวงนั้นมอดดับ ยุคสมัยของปฐมอัคคีก็จะล่มสลาย และเข้าสู่ยุคมืดอีกครั้ง บอกไว้ก่อนนะครับว่า นี่คือการสรุปเนื้อเรื่องคร่าวๆ ในมุมมองของผม ซึ่งมันอาจจะผิดหรือถูกก็ได้นะครับ
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา จากความรู้สึกและประสบการณ์ในการเล่นเกม Dark Souls และซีรี่ส์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ผมกล้าพูดเลยว่า มันคือความท้าทายที่ต้องใช้ทักษะ และความพยายามอย่างมากในการพิชิตเกมนี้ รวมไปถึงต้องอดทนมากพอที่จะไม่หัวเสียกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันหลายๆ อย่าง จึงถือว่า Dark Souls คือหนึ่งในเกม Action RPG ที่หากใครได้ลองเล่นก็จะรู้สึกและสัมผัสถึงความยากของมัน และมันจะผันเปลี่ยนเป็นความสนุกแบบที่คุณไม่รู้สึกตัว ถ้่าคุณมีโอกาส ลองท้าทายความสามารถของคุณด้วยเกมนี้ดูครับ มันอาจจะทำให้คุณหลงรักมันก็เป็นได้ครับ


#เพราะเราชอบเล่นเกมคนเดียว

"Metal Gear Solid - อสรพิษดับแผนพิฆาตโลก เกม Action ลอบเร้นเกมแรกที่ผมรู้จัก"ถ้าให้ย้อนไปยังยุคที่ PlayStation เฟื่องฟูส...
13/02/2021

"Metal Gear Solid - อสรพิษดับแผนพิฆาตโลก เกม Action ลอบเร้นเกมแรกที่ผมรู้จัก"
ถ้าให้ย้อนไปยังยุคที่ PlayStation เฟื่องฟูสุดๆ สมัยนั้นผมยังอยู่ในวัยเข้าสู่ช่วงมัธยมต้น ตอนนั้นผมเองเป็นเพียงแค่เด็กบ้านนอกเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพ แต่นิสัยที่ผมติดตัวมาตั้งแต่อยู่ต่างจังหวัดคือการชอบซื้อนิตยสารเกมมาสะสมแล้วก็อ่านมันทุกครั้ง ซึ่งสมัยนั้นนิตยสารที่ผมอ่านบ่อยๆ จะมีทั้งหมด 2 เจ้าด้วยกันนั่นคือ MEGA และ Gamemag โดยเฉพาะ Gamemag นั้นคือนิตยสารเกมที่ถูกจริตผมมากที่สุด เพราะมีคอนเท้นต์ที่ค่อนข้างเข้าถึงง่าย และอ่านสนุก บวกกับมีสกู๊ปเกมต่างๆ ที่นำเสนอออกมาได้น่าสนใจ และเพราะนิตยสารเกมนี้แหละครับที่ทำให้ผมได้รู้จักกับเกม Action ลอบเร้นเกมแรก ซึ่งภายหลังคือเกมเล่นคนเดียวในดวงใจของผมที่มักจะหยิบมาเล่นอยู่บ่อยๆ เวลาว่าง กับ Metal Gear Solid
เอาตามตรง ตอนที่ผมเห็นเกมนี้ครั้งแรกในสกู๊ปหน้ากลางๆ ของนิตยสาร Gamemag ผมรู้สึกชอบอาร์ตเวิร์คมันมากๆ แต่ก็จนแล้วจนรอดพยายามทำความเข้าใจกับเกมนี้ไม่ออกว่ามันคือเกมอะไร บวกกับการที่ผมได้อ่านประวัติตัวละครและเกมนี้ของมัน รวมไปถึงบทสัมภาษณ์ของผู้พัฒนาตอนนั้น การดีไซน์ตัวละครที่มีลายเส้นเฉพาะตัว บวกกับข้อมูลต่างๆ ของเกมที่อ่านแล้วยิ่งรู้สึกสนุกตื่นเต้นอยู่ตลอด ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าตัวเกมจริงๆ มันจะเป็นอย่างไร? จนกระทั่งวันที่ร้านเช่าเกม PlayStation ข้างบ้านของผมเขาได้เอาแผ่นเกมนี้เข้ามาเล่น สารภาพตามตรงว่าตอนเล่นแรกๆ งงมาก เพราะมันต่อยเตะ ยิงปืนอะไรก็ไม่ได้เลยตอนแรก แถมโผล่หน้ามาเจอศัตรูก็มีเสียง Alert ดังลั่น บวกกับมีศัตรูเพิ่มมาวิ่งไล่ยิงอีกตามเป็นพรวน เล่นแรกๆ ผมอย่างงง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เลยหยุดเล่นไปพักใหญ่ๆ
พอถึงช่วงที่ผมได้เล่นเครื่อง PlayStation ของลุงผมก็ซื้อเกมนี้ไปเล่นด้วยความที่อยากรู้ว่าถ้าลองเล่นจริงจังดูแล้วมันจะเป็นอย่างไร ตอนนั้นผมยืมเครื่องเกมนี้ของคุณลุงยาวๆ (แบบไม่คืนเลย) แล้วนั่งเล่นพร้อมกับอ่านบทสรุปของเกมนี้จากนิตยสาร Gamemag เล่นไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจถึงระบบเกมของมันมากยิ่งขึ้น จนมารู้ภายหลังว่า เบสิคของเกม Metal Gear Solid นั้นคือการลอบเร้น แอบทำภารกิจและหลบหนีศัตรูไม่ให้รู้ ซึ่งระบบของเกมทำให้รู้สึกแปลกใหม่ และไม่เหมือนกับเกม Action เกมไหนที่เคยเจอ แถมการดีไซน์ศัตรูและฉากต่างๆ ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างสร้างสรรค์มากๆ ณ ตอนนั้นคือเหมือนเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังตกหลุมรักหญิงที่ชอบแล้วเกิดอาการใจเต้นแรงยังไงยังงั้น
เสน่ห์ของเกม Metal Gear Solid คือไอเดียการเล่นที่เน้นการลอบเร้นเป็นหัวใจหลัก จริงๆ จะบู๊ก็ทำได้ แต่ว่ามันไม่เอื้ออำนวยต่อตัวเกมสักเท่าไหร่ ดังนั้นกลวิธีในการเล่น เทคนิคการหลบหลีกศัตรูเพื่อไปตามด่านต่างๆ มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะครีเอทมากๆ จะให้ศัตรูไปทางนึงแล้วฉีกเดินเลี่ยงอ้อมอีกทาง หรือจะวิ่งเข้าไปล็อกคอให้ตาย หรือจะเล็งปืนยิงใส่โต้งๆ ให้ศัตรูตายก็ทำได้หมด และไม่ใช่แค่ศัตรูในเกมที่เป็นพวกทหารอย่างเดียว อุปสรรคอื่นๆ อย่าง กล้องวงจรปิด ทั้งแบบติดอาวุธและไม่ติดอาวุธ เดินผ่านทีก็จับได้แล้ว ทำให้ต้องหาวิธีจัดการ ทั้งเนียนชิดกำแพงอยู่ใต้กล้องแล้วค่อยๆ ออกมา หรือว่าจะใช้ระเบิดรบกวนการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่าง Chaff Granade แล้ววิ่งผ่านไปดื้อๆ ก็ได้ นี่ยังไม่นับรวมพวกกับระเบิดที่ต้องใช้เครื่องตรวจจับกับระเบิด หรือใช้กล้องตรวจจับความร้อนเพื่อหาเลเซอร์ตามห้องอีก เรียกว่ากลไกและการดีไซน์ของด่านนี้ มันทำให้เราต้องขบคิดและใช้สติมากๆ ในการเล่นเลยทีเดียว
อีกจุดเด่นที่น่าสนใจของ Metal Gear Solid คือ การดีไซน์ตัวละครที่ค่อนข้างเท่ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุดๆ แถมชื่อตัวละครหลายๆ ตัว มีการเล่นคำต่างๆ โดยใช้ชื่อของสัตว์มาเป็นชื่อตัวละครนั้นๆ อาทิเช่น Solid Snake, Revolver Ocelot, Sniper Wolf เป็นต้น ทำให้ชื่อของตัวละครแต่ละตัวนั้นดูเท่ จดจำง่าย แถมสร้างสรรค์อีกด้วย ด้านเนื้อหาของเกมนี้เรียกว่าค่อนข้างที่จะลึกซึ้งและซีเรียสจริงจังเอาเรื่อง ผมสารภาพเลยว่าตอนผมยังเด็กๆ เล่นเกมนี้ใหม่ๆ ผมข้ามคัตซีนและบทสนทนาทางวิทยุตลอดแต่โชคดีที่บทสรุปจากนิตยสารเกมพอให้ผมเข้าใจเนื้อเรื่อง และบวกกับข้อมูลของตัวละครต่างๆ ในสกู๊ปหน้ากลาง ทำให้ผมรู้จักตัวละครนี้ได้พอสมควร แต่พอหลังจากนั้นผมได้มานั่งดูคัตซีนเกมนี้บวกกับได้ฟังบทสนทนาของตัวละครทางวิทยุแล้ว สิ่งที่ผมประทับใจเลยคือ การเล่าเรื่องที่ดึงดูดให้อยากดูเรื่อยๆ ยาวๆ น่าติดตามทุกฉากทุกตอน รวมไปถึงตัวเกมมีการอ้างอิงและหยิบใช้ฟุตเทจจากเหตุการณ์สำคัญของโลกอย่าง โรงงานนิวเคลียร์ในรัสเซีย หรือเหตุระเบิดที่ฮิโรชิม่าในสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมกับการเล่าเรื่องที่อิงประวัติศาสตร์ในยุคนั้นได้อย่างแยบยล แม้ว่าเรื่องราวของเกมนั้นมันจะเป็นเรื่องสมมติก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นความฉลาดของผู้พัฒนาอย่าง Hideo Kojima ที่สามารถนำเรื่องราวเหล่านี้มาใส่ได้อย่างยอดเยี่ยมและสนุกมากๆ แถมในเนื้อหาบางจุดยังมีมุกตลกบางจุดใส่มาให้ขำกันอีกด้วย ซึ่งก็บอกตามตรงอีกนั่นแหละว่า ตอนเด็กผมไม่เข้าใจและไม่เก็ตมุกพวกนี้มาก แต่พอโตขึ้นเป็นภาษาแล้ว ก็เลยรู้สึกหัวเราะกับมุกเหล่านี้ได้อย่างไม่ยากเลยจริงๆ
ด้านเพลงประกอบของเกมนี้ จัดว่าดีงามไม่แพ้กัน ทำเพลงออกมาแต่ละเพลง ไม่ว่าจะฉากเปิดเรื่อง ฉากในด่านต่างๆ เพลงช่วงที่เจอบอส หรือเพลงที่ถูกศัตรูไล่ล่าตอน Alert ระทึกทุกเพลง มันเรียกต่อมอะดรีนาลีนของผมขึ้นมาทำให้รู้สึกตื่นตัวและเหมือนว่าตัวเองนั้นคือสายลับอสรพิษคนนี้จริงๆ จังหวะต่างๆ มันสร้างความกดดันในการเล่น รวมไปถึงเสริมให้รสชาติของเกมนี้มันอร่อยยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
หลังจากผมเล่นจบครั้งแรกๆ ผมรู้สึกประทับใจ และเพิ่งรู้เทคนิคและเรื่องราวบางอย่างภายหลังว่า ตัวเกมมีฉากจบอยู่ 2 แบบ และวิธีการฆ่าบอสตัวหนึ่งแตกต่างจากการฆ่าปกติทั่วไป นั่นทำให้ผมติดใจเล่นจบมันซ้ำไปอีก และไปๆ มาๆ เล่นมันเรื่อยๆ ซ้ำๆ จบวนไปอีก เรียกว่าเป็นร้อยรอบเลยก็ว่าได้ ทำให้ผมรู้สึกรักและชอบ Metal Gear Solid อย่างเต็มเปา กลายเป็นซีรี่ส์เกมแนวลอบเร้นที่ผมยกให้ว่าเป็นเกมที่ดีที่สุดและชอบที่สุดในชีวิตผมไปแล้ว
หลังจากนั้นเป็นต้นมา Metal Gear Solid ก็ออกมาอีกหลายต่อหลายภาค ทั้งภาค 2 Sons of Liberty บนเครื่อง PlayStation 2 ภาค 3 Snake Eater ที่ลงเครื่องเดียวกัน หรือแม้กระทั่งภาคบนเครื่องเกมพกพาอย่าง Gameboy Color ในภาค Ghost Babel รวมไปถึงฝั่ง PSP ในภาค Portable Ops และ Peace Walker (ไม่นับรวมภาคการ์ดอย่าง Acid ทั้ง 2 ภาคนะอันนั้นผมก็เล่นเช่นกัน) ตามมาด้วยภาค 4 Guns of the Patriot บนเครื่อง PlayStation 3 (ยอมรับว่าภาคนี้ผมไม่ได้เล่นเพราะไม่มีเครื่อง แต่ ณ ตอนนี้ได้เล่นแล้วแต่ยังไม่จบนะ) รวมไปถึงภาคย้อนเหตุการณ์อย่าง Ground Zero และ 5 Phantom Pain บนเครื่อง PlayStation 4 และ PC ประสบการณ์ในการเล่นของผมได้รับการเรียนรู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา ทั้งระบบเกมที่ละเอียดขึ้น การลอบเร้นที่เนียนยิ่งขึ้น รวมไปถึงเนื้อหาของเกมที่มันเชื่อมโยงกันและเรียงไทม์ไลน์กันที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงสุดๆ จนภายหลังผมก็ได้รู้และเรียงได้แล้วว่าภาคไหนมาก่อนหลัง ทำให้เห็นแล้วว่าซีรี่ส์ Metal Gear นั้นมีอะไรให้น่าติดตามและน่าค้นหาอยู่เสมอ
ถ้าจะให้ผมแนะนำ Metal Gear Solid ภาคไหนที่อยากให้คุณได้ลองเล่น ผมขอแนะนำเวอร์ชั่นของ PlayStation นี่คือความที่สุดของเกม Action ลอบเร้นแล้ว ระบบเกมเพลย์ การเล่าเรื่อง และองค์ประกอบต่างๆ ที่ดูกลมกล่อม สนุก เล่นเพลินได้ไม่รู้เบื่อ มันทำให้ผมรู้สึกรักและประทับใจซีรี่ส์นี้มากๆ หากคุณได้รู้จักกับอสรพิษร้ายนาม Solid Snake แล้วล่ะก็ คุณจะหลงรักเกมแนว Action ลอบเร้น และชื่นชอบเกมเล่นคนเดียวจนทำให้คุณต้องหาเกมลอบเร้นอื่นๆ มาเล่นแน่นอนครับ



#เพราะเราชอบเล่นเกมคนเดียว

"The Last of US - เราสองประคองชีพ เกม Survival เล่นคนเดียวที่อยากแนะนำ"ผมเองเป็นคนที่ชอบเล่นเกมคนเดียวเป็นหลักอยู่แล้วคร...
13/02/2021

"The Last of US - เราสองประคองชีพ เกม Survival เล่นคนเดียวที่อยากแนะนำ"
ผมเองเป็นคนที่ชอบเล่นเกมคนเดียวเป็นหลักอยู่แล้วครับ ดังนั้นเกมที่ผมเล่นส่วนใหญ่ก็จะเป็นแนว Action เนื้อเรื่องบ้าง เกม Open World เปิดโลกอิสระบ้าง บางครั้งก็มีแนว RPG บางเกมบ้าง ช่วงหลังๆ ในชีวิตการเล่นเกมของผมมักจะเน้นเล่นเกมที่เป็นเนื้อเรื่องกินใจ และจบได้ในระยะเวลาที่ไม่นานมากนัก ถ้าให้นึกถึงเกมเนื้อเรื่องที่สนุกและชวนติดตามตลอดเกม ผมจะนึกถึงเกมนี้เป็นอันดับแรกเสมอ นั่นคือเรื่องราวความสัมพันธ์ของคู่หูต่างวัย ที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางเหตุการณ์ที่รันทดที่สุดของโลกใบนี้ และนี่คือ The Last of Us
ผมขอเล่าประสบการณ์ของเกมนี้จากที่ผมได้สัมผัสมาและอธิบายในภาษาของผมอย่างเข้าใจง่ายๆ แล้วกันนะครับ The Last of Us คือหนึ่งในเกมที่แรกๆ ผมเองไม่เคยคิดสนใจและมองข้ามเกมนี้มันไปเลย ชื่อค่ายเกมอย่าง Naughty Dog นั้นผมจะนึกถึงเกม 2 เกมนี้โดยเฉพาะนั่นคือ Uncharted Series และ Crash Bandicoot ซึ่ง 2 เกมนี้ผมจะมาเล่าให้อ่านกันในโอกาสหน้า จัดว่าเป็นเกมเล่นคนเดียวที่ถือว่าดีมากๆ เอาล่ะ! กลับมาเข้าเรื่องของ The Last of Us กันต่อ ตอนเกมนี้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2012 ผมเห็นรูปแบบเกมเพลย์ที่ชวนระทึกและแอ็คชั่นที่ดูดิบเถื่อนมากๆ แถมมีระบบคราฟท์ไอเทมและระบบลอบเร้นที่ดูเข้าท่ามากๆ และก็ลืมเกมนี้ไปเลย เหตุที่ผมไม่ได้สนใจเกมนี้ก็เพราะ ในตอนนั้นผมมีเกมในดวงใจอย่าง Metal Gear Solid ที่ผมมองว่านี่น่าจะเป็นเกมลอบเร้นและ Action ที่มันส์ที่สุดสำหรับผมในตอนนั้นก็โอเคแล้ว (ซึ่งเดี๋ยวผมจะมาเล่าเรื่องของเกมนี้เช่นกันในโอกาสต่อไป) บวกกับตอนนั้น ผมเองยังไม่มีเครื่องเกมอย่าง PlayStation 3 ด้วย ทำให้ผมไม่สนใจเกมดังกล่าว แถมเกม PlayStation 3 ที่ผมสนใจ ณ ตอนนั้นคือ Farcry 3 และ Uncharted 2: Among Thieves อีก
พอถึงปีที่วางจำหน่ายในปี 2013 ตัวเกมกลับมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากเพื่อนเล่นเกมด้วยกันว่า เกมมันสนุกมากๆ ลุ้นระทึก และเนื้อหาน่าติดตามสุดๆ ผมก็แอบสงสัยเหมือนกันว่าเกมนี้มันมีอะไรสนุกกว่า Uncharted 2: Among Thieves และ Farcry 3 ด้วยหรอ? ผมก็ลองไปค้นดูคลิปเกมเพลย์ต่างๆ และเนื้อหาของเกม บอกไว้นิดนึงว่า ผมเองเป็นคนที่ชอบดูช่อง Youtube ของพวกคนเล่นเกมแล้วแปลนะครับ โดยเฉพาะ Bay Riffer นี่ผมติดตามเป็นพิเศษ ซึ่งช่องที่ผมดูเกมเพลย์ของเกมนี้ก็คือช่องนี้นี่แหละ สมัยนั้นเกมนี้ยังอยู่ในเครื่อง PlayStation 3 หลังจากผมดูไปสักระยะประมาณ 3-4 ตอน ผมก็เข้าใจถึงความสนุกของมันบ้างแล้วว่ามันสนุกยังไง แม้ว่าตัวเกมจริงๆ กับตัวอย่างนั้นมันไม่ต่างกันมาก แต่ทว่าสภาวะและบรรยากาศของเกมนั้นมันเอื้ออำนวยให้เรานั้นรู้สึกถึงความกดดัน และการเอาตัวรอดอย่างแท้จริง บวกกับกราฟฟิคในตอนนั้นที่เรียกว่ารีดศักยภาพของเครื่อง PlayStation 3 มาสุดมากๆ มันทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองจากเลิกสนใจเกมนี้ กลายเป็นอยากเล่นขึ้นมาทันที
เวลาผ่านไป กระแสของเกมนี้ก็เรียกว่าหนาหูมากๆ บวกกับสำนักสื่อเกมต่างๆ ได้รีวิวเกมนี้ในระดับที่เรียกว่ายอดเยี่ยม และได้รางวัลเป็น Game of The Year ในปี 2013 จากนั้นการเปิดตัวของเครื่อง PlayStation 4 ก็มาถึง Naughty Dog ประกาศข่าวว่าตัวเกมนั้นจะทำในรูปแบบ Remastered ให้กับเครื่องเกมรุ่นใหม่ในยุคนั้นอย่าง PlayStation 4 ด้วย ซึ่งในปี 2014 The Last of Us Remastered ก็ได้ออกวางจำหน่าย ด้วยภาพในรูปแบบของ Full HD 1080p และเฟรมเรต 60fps ทำให้ตัวเกมนั้นยกระดับความสวยงามและความลื่นไหลออกมาได้หยั่งกับได้เกมใหม่ยังไงยังงั้น ผมยังจำความรู้สึกของการได้สัมผัสเวอร์ชั่น Remastered ได้เป็นอย่างดี และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสเกมนี้อย่างเต็มๆ
ถ้าจะให้บอกเล่าความประทับใจให้ผู้อ่านได้รู้สึกอยากเล่น ผมบอกเลยว่า The Last of Us คือ หนึ่งในเกม Action Survival ที่เป็นหนึ่งในเรื่องของการทำเกมเพลย์และนำเสนอได้สุดยอดมากๆ ทั้งระบบการคราฟท์ของ ระบบการลอบเร้น หรือแม้กระทั่งปริศนาบางอย่าง ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างสมเหตุสมผล และที่สำคัญ เนื้อเรื่องที่เข้มข้นน่าติดตามของมันคือส่วนสำคัญที่ทำให้เกมนี้อยู่ในระดับมาสเตอร์พีซ ด้วยเรื่องราวของโลกที่เกิดเหตุการณ์ไวรัสเชื้อราแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง เกิดความวุ่นวายโกลาหลทำให้ผู้คนต่างต้องล้มตายและกลายร่างเพราะเจ้าไวรัสเชื้อรานี้ ทำให้หน่วยงานอย่างทหารเข้ามาแทรกแซงและคุมอำนาจทุกอย่างในเมือง สองหนุ่มสาวต่างวัยนาม Joel (จะอ่านว่าโจลหรือโจเอลก็สุดแท้แล้วแต่ท่าน) และ Ellie ต้องฝ่าฟันอันตรายที่อยู่ตามมุมเมือง ออกผจญภัยเพื่อเอาตัวรอดไปให้ถึงเป้าหมายสำคัญที่ส่งผลต่อมนุษยชาติ มันอาจจะฟังดูเนื้อหายิ่งใหญ่ไปหน่อย แต่เอาจริงๆ แล้ว ภายในเนื้อหาของเกมนั้น ค่อนข้างเข้าถึงง่ายมากๆ แถมการเล่าเรื่องของมันก็ดีชนิดเรียกว่า ไม่ต่างจากดูหนังระดับบล็อกบัสเตอร์ หรือดูซีรี่ส์ตาม HBO เลย (ซึ่งไอ้เกมนี้ก็กำลังทำเป็นซีรี่ส์ลง HBO ด้วยนะ) ทำให้การันตีได้เลยว่า คุณภาพของเกมนั้นมันยกระดับจากความบันเทิงดาษๆ ทั่วไป กลายเป็นระดับที่เทียบเท่ากับสื่อบันเทิงอื่นๆ อย่างภาพยนตร์ หรือดนตรีได้อย่างสูสีและเผลอๆ อาจจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ
ความสำเร็จของ The Last of Us มันกลายเป็นชื่อแบรนด์ดิ้งที่เหล่าเกมเมอร์ทั้งฝั่ง PlayStation และเกมเมอร์ทั่วไปบางคนติดตราตรึงใจและรู้สึกถึงคุณภาพของมันได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งในปี 2020 The Last of Us Part II ก็ได้วางจำหน่าย มันคือภาคต่อเนื่องจากภาคที่แล้ว ครั้งนี้เกมเพลย์ที่ใช้ ก็ยังคงสไตล์ของภาคก่อนไม่เปลี่ยนแปลง แถมเราได้เล่นตัวละครหญิงอย่าง Ellie ที่ครั้งนี้เธอโตขึ้น ดุขึ้น และโหดมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญของเกมนี้ที่ขาดไม่ได้คือเนื้อเรื่องที่ต่อเนื่องกัน และมีความหม่นดาร์คกว่าภาคที่แล้วมากๆ แม้ว่าเนื้อหาของภาคนี้จะมีเสียงแตกออกไป 2 ฝ่าย บ้างก็ว่าสมเหตุสมผล บ้างก็ว่าเป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างจะเลอะเทอะพอสมควร ผมยอมรับเลยว่า เนื้อหาของ Part II นั้น มันก็ชวนกินใจ แต่มันก็มีบางอย่างที่ชวนตะหงิดๆ ใจอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น The Last of Us Part II ก็สามารถฝ่าฟันสิ่งเหล่านี้ได้จนทำให้เกมนี้กลายเป็น Game of The Year ในปี 2020 ไปได้ในที่สุด
จากตรงนี้ผมคงไม่ต้องแนะนำอะไรมากมายกับ The Last of Us เพราะทุกอย่างในตัวเกมมันมีการนำเสนอที่เรียกว่าสุดยอดมากๆ แล้ว ทั้งระบบเกมเพลย์ที่มีความกดดันสูง ทำให้ผมสามารถจดจ่อกับเกมนี้ได้อย่างเต็มที่ ระบบแอ็คชั่นที่สามารถเลือกได้ว่าจะบู๊หรือจะลอบเร้น รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่ทำออกมาในระดับน้องๆ ซีรี่ส์ดัง หรือหนังบล็อกบัสเตอร์ และเหตุนี้ผมถึงอยากบอกคุณผู้อ่านว่า The Last of Us คือหนึ่งในเกม Action Survival ที่สนุกที่สุด และขอแนะนำว่า ใครที่ยังไม่ได้ลอง ขอให้ได้ลองสักครั้งก่อนตาย และใครที่ดูเกมเพลย์จากช่องไหนมา มันจะสนุกมากกว่านี้ถ้าคุณได้ลองเล่นด้วยตัวเอง และเกมนี้มันจะทำให้คุณชอบเกมเล่นคนเดียวแบบที่ผมชอบอยู่ ณ ตอนนี้ก็เป็นได้ครับ



#เพราะเราชอบเล่นเกมคนเดียว

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Solo Joystick posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share