09/12/2023
"เฉลิมชัย" เตรียมสร้างเอกภาพในพรรคกับทุกรุ่น พร้อมประเมินผลงานทุก 3 เดือน ยืนยันกับ "อภิสิทธิ์"ยังเหมือนเดิม มองตาก็รู้ใจ ลั่นไม่กลัวเลือดไหลเพราะทุกคนรักพรรค
วันนี้(9 ธ.ค.) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ กล่าวภายหลังรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคถึงแนวทางในการฟื้นฟูพรรคว่า อันดับแรก ต้องสร้างความเป็นเอกภาพภายในพรรค โดยขอให้ทุกคน ทุกรุ่นมาช่วยกัน เพราะประชาธิปัตย์มีผู้สนับสนุนทุกรุ่น หากมาร่วมมือกันทำงานก็สามารถเริ่มต้นได้และคณะทำงานต่างๆของคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ต้องพร้อมทำงานทันที โดยต้องประเมินผลทุกๆ 3 เดือน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีการพูดคุยกันเมื่อคืนวันที่ 8 ธ.ค. และตนเพิ่งตัดสินใจรับที่จะเป็นหัวหน้าพรรคเมื่อ 22.00 น.ในคืนดังกล่าว โดยการประเมินผลจะเป็นเรื่องของเงื่อนไข ข้อบังคับพรรค คุณสมบัติการเปิดกว้าง ยุทธศาสตร์พรรค นโยบายพรรค รวมทั้งการสื่อสารกับมวลชนตามโซเชียลต่างๆ
" 3 เดือนแรกผมได้บอกแล้วว่าต้องมีอะไรที่เป็นรูปธรรมให้เห็นว่า ประชาธิปัตย์มีการเปลี่ยนแปลงจริง ผมคิดว่าวันนี้คนประชาธิปัตย์ยังรักพรรค ผมหวังอย่างยิ่งว่าเราจะมาช่วยกันสร้างพรรค" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายเฉลิมชัยยังกล่าวถึงการพูดคุยกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคว่า ได้เรียนกับนายอภิสิทธิ์ว่าไม่ออกได้หรือไม่ แต่นายอภิสิทธิ์บอกว่าเพื่อให้สบายใจและไม่ถูกวิจารณ์ว่า เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการทำงานของคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งตนก็ต้องเคารพการตัดสินใจของนายอภิสิทธิ์ โดยนายอภิสิทธิ์ยังบอกว่าพร้อมจะกลับมา ซึ่งตนก็พร้อมและยินดีอยากให้นายอภิสิทธิ์กลับมา
"ผมกับท่านอภิสิทธิ์ไม่มีปัญหขัดแย้งอะไรกันสักนิดเดียว ผมยังพูดเหมือนเดิมว่ามองตาก็รู้ใจ ผมทำงานกับท่านมานานจนกระทั่งเรารู้ใจซึ่งกันและกัน เพียงแต่ว่าการพูดกันในวันนี้เป็นการพูดเปิดใจสิ่งที่ผมเจออะไร แล้วท่านคิดอะไร ก็มาแลกเปลี่ยนกันตรงนี้ ซึ่งการตัดสินใจลาออกจากพรรค ผมคิดว่าท่านตัดสินใจมาแล้ว เพียงแต่เราได้มีการพูดคุยกัน ซึ่งท่านก็เข้าใจ ผมก็เข้าใจ และเชื่อว่าทั้งท่านและผมกรีดเลือดออกมาเป็นสีฟ้า ผมรักพรรค ท่านรักพรรค" นายเฉลิมชัย กล่าว
นายเฉลิมชัยกล่าวอีกว่า ตนมาวันนี้มาแค่เพื่อแก้วิกฤตของพรรค ให้พรรคเดินไปได้ และเป็นการประกาศชัดเจนว่าประชาธิปัตย์จะมีการปรับเปลี่ยน เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่และคนนอกเข้ามาพรรคมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เป็นความตั้งใจของตน
เมื่อถามว่าการพูดกับนายอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ จนทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องลาออก นายเฉลิมชัยกล่าวว่าตนไม่ได้คุยรายละเอียดตรงนั้น แต่ตนได้บอกกับที่ประชุมว่า ขอให้เชื่อมั่นว่า ตนอยู่พรรคมา 22 ปี หลักการและอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเปลี่ยน และตนเป็นคนที่เคร่งครัด รักษาหลักการ และอุดมการณ์ของพรรคมาตลอด นี่คือสิ่งที่ตนยืนยันได้ว่า หากใครบอกว่าประชาธิปัตย์ไม่มีจิตวิญญาณแล้ว ตนขอให้มองประชาธิปัตย์ด้วยใจที่เป็นธรรม วันนี้ตนตอบคำถามตรงนี้ได้ แต่วันหน้าตนไม่สามารถเดาได้ ขอยืนยันว่าวันนี้ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านและวันที่ 12 ธ.ค. มีการเปิดสมัยประชุมสภา เราจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านที่สมบูรณ์และเข้มแข็งที่สุด
เมื่อถามย้ำถึงจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ไปร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ นายเฉลิมชัยกล่าวว่า ตอนนี้เราเป็นฝ่ายค้านต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เมื่อถามอีกว่า ในอนาคตหากมีการทาบทามหรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองพรรคก็พร้อมจะไปร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ นายเฉลิมชัยกล่าวว่า เราต้องนึกถึงประโยชน์ของประเทศชาติและพรรค ไม่ใช่ตัวบุคคล ตนเรียนเลยว่าไม่มีการตัดสินใจง่ายๆ เด็ดขาด และสิ่งที่ตนจะบอกทุกท่านคือตนมาทำภาระกิจให้พรรคเพื่อให้พรรคเดินไปข้างหน้าได้ ฉะนั้นตนพูดไว้ตรงนี้ได้เลยว่าพรรคะต้องเดินไปข้างหน้าก่อน ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครเดาได้ แต่หลักการและอุดมการณ์ของพรรคต้องอยู่
เมื่อถามว่าในวันประชุมใหญ่ก็มีการลาออกถึง 2 คน ทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสาธิต ปิตุเตชะ และอีก 4 เสียงไม่ได้มีมติให้เป็นหัวหน้าพรรคจะมีแนวทางสร้างเอกภาพอย่างไร นายเฉลิมชัยกล่าวว่า ตนจะพยายามให้เต็มที่ ตนจะคุยกับทุกฝ่ายจะขอให้ทุกท่านมาช่วยกัน ส่วนผู้อาวุโสในพรรคทั้งนายชวน หลีกภัย และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็ต้องไปพูดคุยเพราะท่านเป็นปูชนียบุคคล เราต้องไปปรึกษาท่านอยู่แล้ว และตนเชื่อว่าไม่มีใครรักพรรคน้อยกว่าใคร
เมื่อถามว่ากลัวหรือไม่ว่าพรรคจะยิ่งแตกและสนามชิกจะยิ่งไหลออก นายเฉลิมชัยกล่าวว่า เมื่อตนตัดสินใจมาอยู่ตรงนี้ก็ไม่กลัว เพราะเชื่อว่าทุกคนต้องมีเหตุผลและอยู่ที่ว่าเรารักพรรคจริงหรือไม่
ผู้สื่ข่าวถามอีกว่า ที่ผ่านมานายเฉลิมชัยเคยบอกว่า จะเลิกเล่นการเมืองแล้วการกลับมาครั้งนี้เหมือนเป็นการกลับกลอกหรือไม่ นายเฉลิมชัยกล่าวว่า ปัญหานี้ตนให้สัมภาษณ์ไปแล้ว 2 ครั้ง แต่ถ้าท่านต้องคำตอบต้องถาม สส.และกรรมการบริหารพรรค เชื่อว่าทุกคนพร้อมตอบเพราะมันคือข้อเท็จจริง และใครจะคิดอย่างไรตนไม่รู้ แต่สำหรับตนคิดว่าได้ตอบชัดเจนแล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ตนก็ไม่ได้ปัดเรื่องนี้