Autowoke เรื่องราวในวงการรถยนต์จากอดีตสู่อ?
(4)

มิตซูบอขอไทรทันใหม่มีมาให้ขับทั้งตัวขับสอง ขับสี่ หรือตัวยกสูง ทั้งเกียร์ออโต ธรรมดา มีแค่ตัวเอธลีทที่ยังไม่มีรถให้ขับ
14/11/2023

มิตซูบอขอไทรทันใหม่มีมาให้ขับทั้งตัวขับสอง ขับสี่ หรือตัวยกสูง ทั้งเกียร์ออโต ธรรมดา มีแค่ตัวเอธลีทที่ยังไม่มีรถให้ขับ

Royal Enfieldมาพร้อมสีทูโนใหม่มาพร้อมเครื่องดำท่อไอเสียดำรุ่นInterceptorราคา253900 ส่วนรุ่นGtราคา262900
08/11/2023

Royal Enfieldมาพร้อมสีทูโนใหม่มาพร้อมเครื่องดำท่อไอเสียดำรุ่นInterceptorราคา253900 ส่วนรุ่นGtราคา262900

อาวดี้เปิดตัวRS Q3 Sportback edition 10 years ฉลองครบรอบ 10 ปีจำนวนจำกัดเพียง 555 คัน ที่มาพร้อมกับออปชั่นสุดพิเศษครั้งแ...
12/09/2023

อาวดี้เปิดตัวRS Q3 Sportback edition 10 years ฉลองครบรอบ 10 ปีจำนวนจำกัดเพียง 555 คัน ที่มาพร้อมกับออปชั่นสุดพิเศษครั้งแรกในประเทศไทย เอสยูวีสมรรถนะสูงเครื่องยนต์ 5 สูบ 2.5 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 400 แรงม้า จัดเต็มแพ็คเกจแต่งพิเศษ เพิ่มความสปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน เปิดตัวในเฉดสีใหม่ Chronos Grey Metallic เฉพาะรุ่นนี้ ล้อลวดลายใหม่ขนาด 21 นิ้ว สำหรับ edition 10 years คาลิปเปอร์เบรกสี Anthracite grey ลุคสปอร์ตดุดันด้วยชุดแต่ง Black edition รอบคันคู่กับ RS Sports exhaust และ Rhombus Projector LED รูปแบบใหม่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของตระกูล RS ห้องโดยสารของ RS Q3 Sportback edition 10 years มาพร้อมเบาะบักเก็ตซีตหุ้มด้วยหนัง Fine Nappa และ Dinamica ด้วยค่าตัว5.299ล้านบาท

AION Y Plus รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย
09/09/2023

AION Y Plus รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย

Lexus เปิดตัวรุ่นLM ครั้งแรกในเมืองไทยในแบบรถตู้สุดหรูมีให้เลือกทั้งแบบ4ที่นั่งและ6ที่นั่ง เครื่องยนต์ไฮบริด 2.5ลิตรขับเ...
01/09/2023

Lexus เปิดตัวรุ่นLM ครั้งแรกในเมืองไทยในแบบรถตู้สุดหรูมีให้เลือกทั้งแบบ4ที่นั่งและ6ที่นั่ง เครื่องยนต์ไฮบริด 2.5ลิตรขับเคลื่อน4ล้อ

AION เตรียมเปิดตัว “AION Y Plus” 9 กันยายน งานนี้ AION ได้เผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น AION Y Plus ที่พร้อมออกจำหน่ายในประเทศไท...
25/08/2023

AION เตรียมเปิดตัว “AION Y Plus” 9 กันยายน งานนี้ AION ได้เผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น AION Y Plus ที่พร้อมออกจำหน่ายในประเทศไทยเป็นรุ่นแรก ชูคุณภาพที่เหนือกว่าด้วยรูปลักษณ์ที่หรูหรา ห้องโดยสารขนาดใหญ่ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน และประสิทธิภาพการขับขี่ขั้นสูง ภายในงาน ผู้บริหารจาก AION รวมถึงตัวแทนจากอาเซียน พันธมิตร และสื่อมวลชนในประเทศไทยมากกว่า 90 ราย ได้ร่วมกันสัมผัสประสบการณ์ AION Y Plus โดยหลังจากที่เหล่าสื่อมวลชนได้มาสัมผัสรถจริง ต่างมีเสียงชื่นชม AION Y Plus อย่างล้นหลาม ทั้งในเรื่องรูปลักษณ์ที่ทันสมัยและฟังก์ชันการใช้งานหลากหลายที่น่าดึงดูดใจ ในขณะเดียวกัน ยังได้เปิดประสบการณ์ สัมผัสเสน่ห์ของแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าและการขับขี่อันชาญฉลาด โดยบริษัทฯ กำหนดแผนการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ในวันที่ 9 กันยายน 2566 เพื่อรุกตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ของประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ

New CL Series จุดเทรนด์ Scrambler ในเมืองไทย    สำหรับรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวล่าสุด New Honda CL500 และ New Hond...
16/03/2023

New CL Series จุดเทรนด์ Scrambler ในเมืองไทย
สำหรับรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวล่าสุด New Honda CL500 และ New Honda CL300 เป็นรถ Scrambler ที่มาพร้อมคอนเซปต์ A Reflection of You ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนแอคทีฟ ที่รักการท่องเที่ยว ชื่นชอบการผจญภัย สะท้อนตัวตนความเป็น Scrambler
โดย New CL Series แบ่งออกเป็น 2 รุ่น ประกอบด้วย New Honda CL500 มาพร้อมเครื่องยนต์ 500cc และ New Honda CL300 มาพร้อมเครื่องยนต์ 300cc ทั้งสองแบบมาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ และแอสซิส สลิปเปอร์คลัตช์ ตอบสนองทุกการขับขี่อย่างนุ่มนวล
ท่อไอเสียยกสูง โช้กอัพหน้าขนาดใหญ่ 41 มม. และยางหุ้มโช้กอัพสไตล์คลาสสิก มาพร้อมระยะยุบ 150 มม. ช่วยซับแรงกระแทก มั่นใจทุกเส้นทางด้วยล้อหน้าขนาดใหญ่ 19 นิ้ว ล้อหลัง 17 นิ้ว และยางแบบ Dual Purpose ที่เหมาะกับการเดินทางทั้งบนทางดำ และทางฝุ่น
ควบคุมรถดั่งใจด้วยแฮนเดิลบาร์ยกสูง ออกแบบองศาให้รับกับท่านั่ง พร้อมเบาะสไตล์ Scrambler นั่งสบายไปได้ทุกสภาพเส้นทาง ถังน้ำมันดีไซน์เป็นเอกลักษณ์สไตล์ CL ขนาด 12 ลิตร พร้อม Rubber Pad ให้ความกระชับขณะขับขี่
New Honda CL300 มีทั้งหมด 3 สี คือ สีส้ม (Candy Energy Orange) สีเทา (Pearl Grey) และสีขาว (Pearl White) ราคาแนะนำที่ 149,900 บาท เตรียมเปิดรับจองเป็นครั้งแรกในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ที่กำลังจะมาถึงนี้
New Honda CL500 มีทั้งหมด 3 สี คือ สีเขียว (Mat Laurel Green) สีดำ (Mat Gunpowder Black Metallic) และสีส้ม (Candy Energy Orange) ราคาแนะนำที่ 226,800 บาท เตรียมเปิดรับจองเป็นครั้งแรกในงานบางกอกมอเตอร์โชว์เช่นกัน

บีเอ็มดับเบิลยู M2 โฉมใหม่       บีเอ็มดับเบิลยู M2 โฉมใหม่ สุดยอดรถยนต์ในดวงใจของแฟน ๆ ตระกูล M หวนคืนสู่วงการรถสปอร์ตส...
16/03/2023

บีเอ็มดับเบิลยู M2 โฉมใหม่
บีเอ็มดับเบิลยู M2 โฉมใหม่ สุดยอดรถยนต์ในดวงใจของแฟน ๆ ตระกูล M หวนคืนสู่วงการรถสปอร์ตสมรรถนะสูง
อีกครั้ง มาพร้อมกับการปรับแต่งที่โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้า ผสมผสานขนาดกะทัดรัด ระบบส่งกำลัง และเทคโนโลยี
แชสซีไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปราดเปรียวและการตอบสนองทรงประสิทธิภาพ พร้อมความสามารถในการควบคุมที่ทำได้อย่างง่ายดายแม้ในสภาวะการขับขี่ที่ดุดันสุดขีดจำกัด
รูปลักษณ์สปอร์ตปราดเปรียวของบีเอ็มดับเบิลยู M2 โฉมใหม่ มีที่มาจากสัดส่วนที่ทรงพลังเป็นพิเศษและลักษณะการออกแบบสไตล์ M อันโดดเด่น มาพร้อมระยะฐานล้อที่สั้นลง 110 มิลลิเมตร รวมถึงดีไซน์ภายนอกที่สั้นกว่าบีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupé ถึง 214 มิลลิเมตร กระจังหน้าทรงไตคู่แนวนอนขนาดใหญ่แบบไร้กรอบ ผสานกับช่องดักอากาศที่แบ่งออกเป็นสามส่วนในรูปทรงเกือบจะเป็นสี่เหลี่ยมส่งให้ส่วนหน้าของตัวรถมีรูปลักษณ์แบบ M ที่คุ้นเคย
ตัวรถยังถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความจำเป็นเชิงเทคนิคในการระบายอากาศและสมดุลอากาศพลศาสตร์ ด้านท้ายของบีเอ็มดับเบิลยู M2 โฉมใหม่ ยังดูสะดุดตาด้วยขอบสปอยเลอร์บนฝากระโปรงหลัง แผ่นสะท้อนแสงจัดวางในแนวตั้ง ดิฟฟิวเซอร์ที่กันชนท้าย และปลายท่อไอเสียสองคู่ที่สองข้างท้ายของตัวรถ
หัวใจของบีเอ็มดับเบิลยู M2 โฉมใหม่ คือขุมพลังเบนซิน 6 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW M TwinPower Turbo ส่งพลังสูงสุด 338 กิโลวัตต์ / 460 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 2,650 – 5,870 รอบต่อนาที โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลาเพียง 4.1 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สมรรถนะแบบไดนามิก
ผสานเข้ากับระบบขับเคลื่อนล้อหลังร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ M Steptronic 8 จังหวะ พร้อมระบบ Drivelogic เพิ่มการเปลี่ยนเกียร์ให้สปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยระบบการเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์โดยตรง พร้อมความสามารถในการลดเกียร์ลงหลายระดับจนถึงเกียร์ต่ำสุด ระบบส่งกำลังพื้นฐานนี้มีส่วนสำคัญในการเร่งความเร็วแบบทันทีทันใดได้อย่างน่าประทับใจ โหมดการขับขี่ M Drive Professional ช่วยเสริมความเร้าใจในการขับขี่ให้มากขึ้น มาพร้อมระบบเฟืองท้าย M Sport เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนและเสถียรภาพในการขับขี่เมื่อเปลี่ยนเลนหรือเร่งความเร็วออกจากโค้ง และเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงหรือบนพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน นอกจากนั้น ช่วงล่าง Adaptive M Suspension ยังช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกได้อย่างอิสระระหว่างรูปแบบการขับขี่แบบสะดวกสบายหรือสไตล์สปอร์ต
ภายนอกตกแต่งด้วยวัสดุสีดำเงาและโคมไฟหน้าตกแต่งสีดำสไตล์ M และเสริมความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยระบบไฟหน้า Adaptive LED ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam assistant) ชุดเบรก M Compound สีแดงเงา และหลังคา M Carbon ภายในอวดโฉมการตกแต่งสไตล์สปอร์ตด้วยชุดไฟส่องสว่างภายในและภายนอกห้องโดยสาร (Ambient light) หลังคาภายในดีไซน์ M สีดำ Anthracite และคอนโซลด้านบนบุด้วยหนังแบบ BMW Individual เสริมลุคที่แตกต่าง
ภายในห้องโดยสารด้วยการตกแต่งดีไซน์ M ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M เข็มขัดนิรภัยดีไซน์ M เบาะนั่งดีไซน์ M Sport เบาะนั่งตอนหน้าปรับไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่งเฉพาะฝั่งคนขับ และกาบบันไดดีไซน์ M แบบเรืองแสง
BMW Live Cockpit Professional นำเสนอจอแสดงข้อมูลสำหรับคนขับที่ทันสมัยผ่านจอโค้ง BMW Curved Display ซึ่งเป็นระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ ทำงานร่วมกับระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน พร้อมระบบความบันเทิงและการสื่อสารล้ำสมัยด้วยจอ Control Display ขนาด 14.9 นิ้ว ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับจอแสดงข้อมูล 12.3 นิ้ว นอกจากนี้ ระบบ BMW ConnectedDrive และ BMW Connected Package Professional ยังนำเสนอคุณสมบัติและบริการขั้นสูงมากมายที่ช่วยให้การขับขี่สะดวก มีประสิทธิภาพ และสนุกสนานยิ่งขึ้น ระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon มอบประสบการณ์เสียงคุณภาพสูงอันดื่มด่ำที่สามารถปรับแต่งได้ จึงช่วยให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ประทับใจยิ่งขึ้น
ความปลอดภัยในการขับขี่ได้รับการยกระดับไปอีกขั้นด้วยระบบต่าง ๆ ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ได้แก่ ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน (DBC) ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (BA) เซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash sensor) ระบบ Teleservices และปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)
บีเอ็มดับเบิลยู M2 โฉมใหม่ มีมาให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีฟ้า Zandvoort Blue Solid, สีขาว Alpine White Solid, สีแดง Toronto Red Metallic, สีเทา Brooklyn Grey Metallic และสีดำ Black Sapphire Metallic โดยสามารถเลือกการตกแต่งภายในด้วยเบาะหนัง Vernasca ในสี Black/Exclusive Highlight, สี Black/Contrast Stitching Blue, และสี Cognac Decor Stitching หรือเบาะหนัง Alcantara/Sensatec Combination ในสี Black/Contrast stitching Blue และที่สำคัญ ลูกค้าสามารถทำการจองบีเอ็มดับเบิลยู M2 โฉมใหม่ ได้ทางออนไลน์ ผ่าน https://shop.bmw.co.th โดยลูกค้าสามารถเลือกปรับแต่งรถยนต์ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น การเลือกสีภายนอก ภายใน รวมถึงตัวเลือกล้ออีก 2 ตัวเลือก ได้แก่ ล้ออัลลอยน้ำหนักเบา M ลาย 930 M Double Spoke แบบสลับสี หรือ สีดำ Jet Black ราคาจำหน่าย: 6,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)

“SUZUKI SWIFT GL NEXT” ชูคอนเซ็ปต์ NEXT to the edge ขับสนุกเต็มขั้น เร้าใจเกินพิกัด”    “SUZUKI SWIFT GL NEXT - NEXT to ...
16/03/2023

“SUZUKI SWIFT GL NEXT” ชูคอนเซ็ปต์ NEXT to the edge ขับสนุกเต็มขั้น เร้าใจเกินพิกัด”
“SUZUKI SWIFT GL NEXT - NEXT to the edge ขับสนุกเต็มขั้น เร้าใจเกินพิกัด” ตกแต่งด้วยชุดแต่ง GL NEXT ดีไซน์ใหม่ ชุดสเกิร์ตรอบคัน บ่งบอกถึงความพิเศษและเป็นเอกลักษณ์ด้วยชุดสติกเกอร์ลายใหม่ GL NEXT Edition ที่จะถ่ายทอดทุกความเร้าใจให้คุณสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง SUZUKI SWIFT GL NEXT รุ่นนี้ คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์อันโดดเด่น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรง D-Shape จับกระชับมือเพิ่มพื้นที่วางขาและปรับระดับได้ 4 ทิศทาง เบาะนั่งโอบกระชับสรีระ
ยกระดับการดีไซน์ภายในกับการตกแต่งใหม่ด้วยลายเคฟลาร์ ตรงบริเวณคอนโซลและแผงประตูด้านข้าง พร้อมปรับใหม่ จอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เครื่องเล่นวิทยุที่สามารถรองรับการเล่นไฟล์ MP3, WMA เติมเต็มความบันเทิงในการขับขี่ พร้อมระบบเชื่อมต่อ Bluetooh และเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ทำให้คุณไม่พลาดทุกการติดต่อตลอดการเดินทาง
เครื่องยนต์รหัส K12M แบบเบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร หัวฉีดคู่หรือ DUALJET ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยกำลังสูงสุด 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงประเภท E20 ประหยัดเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยกว่า 23 กิโลเมตร/ลิตร
ปลอดภัยอย่างเหนือชั้น ด้วยแพลตฟอร์ม HEARTECT เทคโนโลยีเฉพาะของซูซูกิที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยเสริมให้รถมีน้ำหนักน้อยลงแต่คงความแข็งแกร่งและประหยัดน้ำมันมากขึ้น รวมถึงโครงสร้างตัวถังแบบ TECT ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตัวรถ พร้อมระบบ NVH ช่วยกันการสั่นสะเทือน และลดเสียงรบกวนจากภายนอก พร้อมระบบ TCS ช่วยในการควบคุมรถขณะขับขี่บนถนนลื่นหรือในทางโค้ง พร้อมระบบเบรก ABS และ EBD ระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถ ESP ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชันและยังเหมาะกับการขับในเมืองด้วยระบบ IDLING STOP ที่ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันขณะรถหยุดนิ่ง ขับขี่อย่างมั่นใจในทุกเส้นทางด้วยระบบ Hill Hold Control ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน และปลอดภัยมากขึ้นด้วยถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า
SUZUKI SWIFT GL NEXT มีให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีแดง Ablaze Red Pearl, สีเทา Star Silver Metallic, Mineral สีเทา Gray Metallic, สีดำ Super Black Pearl สีน้ำเงิน Speedy Blue Metallic จำหน่ายในราคาเพียง 582,000 บาท และ สีขาว Pure White Pearl จำหน่ายในราคาเพียง 587,000 บาท สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิใกล้บ้านทุกสาขาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 Sport ใหม่      เอกลักษณ์ใหม่ที่ไม่ซ้ำใครของบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 Sport ใหม่ คือ ดีไซน...
16/03/2023

บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 Sport ใหม่
เอกลักษณ์ใหม่ที่ไม่ซ้ำใครของบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 Sport ใหม่ คือ ดีไซน์ภายนอกที่มีเส้นสายการออกแบบชัดเจนทรงพลัง แต่ยังคงความเรียบง่ายและบึกบึนสไตล์ SAV รายละเอียดขององค์ประกอบต่าง ๆ สื่อถึงความประณีตและความหรูหราล้ำยุค โดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ที่เกือบปิดทึบ สะท้อนถึงนวัตกรรมการผลิตที่ล้ำสมัย ส่วนกล้องและเรดาร์เซนเซอร์ฝังอยู่ภายใต้พื้นผิวของกระจังหน้า โดดเด่นด้วยไฟหน้าและไฟท้ายที่เรียวยาวที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู มือจับประตูที่เปิดด้วยการกดปุ่ม หน้าต่างไร้ขอบ และฝากระโปรงท้ายบานใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่บริเวณท้ายรถทั้งหมด
บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 Sport ใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าใหม่ล่าสุด พร้อมเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและการเชื่อมต่ออีกมากมาย เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานยิ่งขึ้น มาพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้าซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสมรรถนะการขับขี่ในระยะยาวไกลยิ่งขึ้นและอัตราเร่งที่ทรงพลังด้วยความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.1 วินาที ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 240 กิโลวัตต์ / 326 แรงม้า ระบบ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ห้านี้ยังทำงานพร้อมเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด มอบระยะทางขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐาน WLTP สูงสุด 372 - 425 กิโลเมตร และ 420 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC สร้างแรงบิดรวมได้สูงสุดถึง 630 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แรงดันสูงในบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 Sport ใหม่ มีความจุพลังงานสุทธิ 76.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 150 กิโลวัตต์ จึงสามารถชาร์จจาก 0% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 34 นาที
เทคโนโลยีแชสซีที่ใช้ในการพัฒนาบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 Sport ประกอบด้วยเพลาหน้าแบบปีกนกคู่ เพลาหลังแบบ five-link ช่วงล่างแบบปรับระดับได้ และระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถขณะขับขี่ (Servotronic) แปรผันตามการหมุนและความเร็วเสริมด้วยยางที่มีชั้นโฟมบริเวณพื้นผิวด้านในเพื่อลดการเกิดเสียง
การออกแบบภายในห้องโดยสารมุ่งนำเสนอแนวคิดของการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ พื้นที่กว้างขวางและเบาะที่นั่งแบบใหม่ที่มาพร้อมกับพนักพิงศีรษะเสริมความหรูหรายิ่งขึ้น คอนโซลกลางมาในดีไซน์เฉียบไม่แพ้เฟอร์นิเจอร์หรู สวิตซ์ปรับเบาะนั่งคู่หน้า ปุ่มควบคุม iDrive และสวิตซ์เปลี่ยนเกียร์แบบ rocker switch ตกแต่งด้วยคริสตัล เติมเต็มความทันสมัยยิ่งขึ้นภายในห้องโดยสาร พร้อมเน้นย้ำถึงการออกแบบห้องโดยสารเพื่อผู้ขับขี่ด้วยจอ BMW Curved Display พวงมาลัยทรงหกเหลี่ยมและจอ Head-Up Display หลังคาภายในสีดำ Anthracite มาพร้อมกับระบบเสียงรอบทิศทางคุณภาพสูง Harman Kardon Surround Sound System ขนาด 655 วัตต์ พร้อมลำโพง 18 ตัว ที่สร้างประสบการณ์
รับฟังที่ดีที่สุด
บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 Sport ใหม่ มาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และนวัตกรรมหลากหลายเหนือกว่ารถยนต์
บีเอ็มดับเบิลยูทุกรุ่น พร้อมเซนเซอร์เจเนอเรชั่นใหม่ ซอฟต์แวร์ใหม่ และแพลตฟอร์มในการประมวลผลที่ทรงพลัง
ใช้กล้อง 5 ตัว เรดาร์เซนเซอร์อีก 5 ตัว และอัลตร้าโซนิกเซนเซอร์ 12 ตัวในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบคัน ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go เสริมการทำงานด้วยระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus) ประกอบด้วยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera) แสดงภาพพื้นที่โดยรอบของรถให้เห็นแบบสามมิติผ่านระบบ Remote 3D View พร้อมด้วยระบบ BMW Live Cockpit Professional และระบบสั่งงานอัจฉริยะ BMW Natural Interaction
ระบบความปลอดภัยในบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 Sport ใหม่ ได้รับการติดตั้งมาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยผู้โดยสารและผู้ที่อยู่รอบรถยนต์เป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่อัตโนมัติ (ASC) ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน (DBC) ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (BA) เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash sensor) ระบบ Active Protection ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ระบบปกป้องคนเดินถนนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ระบบ Teleservices และปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)
รถยนต์รุ่นนี้มากับตัวเลือกสีตัวถังมากมายได้แก่ สีแดง Aventurin Red, สีดำ Black Sapphire, สีขาว Mineral White,
สีเทา Storm Bay, สีน้ำเงิน Phytonic Blue และสีฟ้า Blue Ridge Mountainราคาจำหน่าย: 5,299,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)

EQB 250 AMG Line      EQB 250 AMG Line ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ รุ่นล่าสุดที่ผลิตและนำเข้า (CB...
13/03/2023

EQB 250 AMG Line
EQB 250 AMG Line ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ รุ่นล่าสุดที่ผลิตและนำเข้า (CBU) มาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย มาพร้อมรูปแบบตัวถังแบบรถเอสยูวีที่ใช้แพลตฟอร์มเดียวกันกับ GLB โดย EQB ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า นอกจากความโดดเด่นของการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่แบบไร้มลพิษ (Zero-emission) แล้ว EQB ยังมาพร้อมการดีไซน์ที่แฝงไปด้วยความหรูหราภายใต้แนวคิด “Progressive Luxury” ตามแบบฉบับของแบรนด์ Mercedes-EQ รวมถึงความสะดวกสบายที่มาจากมิติตัวถังขนาดใหญ่ด้วยความยาว 4,687 มม. ความกว้าง 2,020 มม. ความสูง 1,667 มม. และระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,829 มม.
การออกแบบภายนอก EQB มีการตกแต่งรอบคันแบบ AMG bodystylingมาพร้อมกระจังหน้าแบบ Radiator grille พร้อมแถบคาดกระจังหน้าโครเมี่ยมแบบ Twin blade ที่ดีไซน์รับกับโลโก้ดาวสามแฉกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อย่างลงตัว ต่อเนื่องด้วยโคมไฟหน้าความละเอียดสูงแบบ LED High Performance ตกแต่งเส้นสายไฮไลท์สีฟ้าแสดงถึงการเป็นรถในตระกูล Mercedes-EQ และมีการติดตั้งระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist) พร้อมติดตั้งราวหลังคาอลูมิเนียมในสไตล์ของรถเอนกประสงค์ และล้ออัลลอยด์ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Multi-spoke ขนาด 20 นิ้ว
ด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM (Permanently Excited Synchronous Motor) ที่ให้พลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในระยะเวลา 8.9 วินาที รถยนต์คันนี้ใช้แบตเตอรี่ Lithium-ion แบบแรงดันสูง (High-Voltage) มีความจุแบตเตอรี่ 66.5 kWh สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP สำหรับการชาร์จไฟฟ้า EQB รองรับการชาร์จกระแสตรง DC สูงสุด 100 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 10-80% เพียง 32 นาที และรองรับการชาร์จกระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100% ในระยะเวลา 6 ชั่วโมง 50 นาที โดยมาพร้อม Mercedes-Benz Wallbox Home รุ่น 2.0 ที่มาพร้อมระบบป้องกันฝุ่นกันน้ำ ตามมาตรฐาน IP55/IK10 นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมการชาร์จไฟฟ้าและอัปเดตซอฟต์แวร์ได้แบบ OTA (over-the-air) ผ่านแอปพลิเคชัน Mercedes me
การออกแบบภายใน EQB 250 AMG Line มาพร้อมนวัตกรรมและความสะดวกสบายอย่างไร้ที่ติ สะท้อนความหรูหราและความสปอร์ตทั่วทั้งห้องโดยสารด้วยการดีไซน์แบบ AMG ตั้งแต่คอนโซลหน้าที่ตกแต่งแบบ Aluminium-look ไปจนถึงเบาะหนังสไตล์ AMG ที่หุ้มด้วยหนัง ARTICO ตัดสลับกับ MICROCUT microfibre สีดำ พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง Nappa และแป้นควบคุมการคืนพลังงานไฟฟ้า (Regenerate) แบบ Paddle shift ที่ทำจากวัสดุ Galvanished steel ในด้านของฟังก์ชั่นการใช้งานและความบันเทิง EQB มีระบบการแสดงผลและระบบควบคุมฟังก์ชั่นการใช้งานด้วยหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงแบบ All-digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลางขนาด 10.25 นิ้ว โดยมีการติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนต์ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างระบบ MBUX6 ที่สามารถควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานภายในรถได้อย่างง่ายดาย
อีกหนึ่งความโดดเด่นของ EQB คือความสะดวกสบายและความเอนกประสงค์ตามแบบฉบับรถเอสยูวี โดยมีความจุสัมภาระสูงสุด 1,710 ลิตร พร้อมติดตั้งฟังก์ชั่นที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารมากมาย ทั้งระบบปรับเบาะแบบไฟฟ้าที่มาพร้อมระบบหน่วยความจำแบบ memory seat ทั้งเบาะผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแยก 2 โซนแบบ THERMOTRONIC พร้อมการควบคุมระบบปรับอากาศผ่านสมาร์ทโฟน ระบบไฟ Ambient Light 64 เฉดสี ที่สร้างบรรยากาศให้กับห้องโดยสาร หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ เลื่อนเปิด - ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า (Electric Panoramic sliding roof) ระบบเปิด – ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้มือ (HANDS-FREE ACCESS) ระบบการเชื่อมต่อแบบ Smart Phone Integration ที่รองรับทั้งระบบ Apple CarPlayTM และ Android Auto รวมถึงการติดตั้งระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging system) สำหรับที่นั่งด้านหน้า
EQB 250 AMG Line มีการติดตั้งระบบความปลอดภัยที่เหนือระดับมากมาย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ในทุกเส้นทาง โดยนอกจากระบบความปลอดภัยมาตรฐานต่างๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์แล้ว EQB ยังได้เสริมระบบความปลอดภัยขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist) ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (Active Brake Assist) ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยจอด (Parking Package with reversing camera) ระบบรักษาระดับความเร็ว (CRUISE CONTROL) ระบบดูดซับแรงสั่นสะเทือน (Adjustable damping) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบแจ้งเตือนยานพาหนะขณะเปิดประตูรถ (Exit warning function) และระบบแสดงสถานะลมยางพร้อมระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง (Tyre pressure monitoring system) ฯลฯวางจำหน่ายในราคา 3,020,000 บาท

Audi RS 7 Sportback Performance     รถสปอร์ตสมรรถนะสูงดีไซน์แบบ Sportback ท้ายลาด สุดยอดเอกลักษณ์จาก Audi และครั้งนี้มาพ...
07/03/2023

Audi RS 7 Sportback Performance
รถสปอร์ตสมรรถนะสูงดีไซน์แบบ Sportback ท้ายลาด สุดยอดเอกลักษณ์จาก Audi และครั้งนี้มาพร้อมลุคที่ร้อนแรง เร้าใจยิ่งกว่าเดิม ด้วยล้อขนาด 22 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ Audi Sport แบบ 5 ก้านในเฉดสีทอง พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดงแบบ RS ตอกย้ำความดุดันด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ลาย Honeycomb ชุดตกแต่งภายนอกแบบ Glossy Black RS พร้อมตกแต่ง Audi Ring และชื่อรุ่นด้วยสี Glossy Black
อัพเกรดขุมพลังที่พร้อมระเบิดความแรงทุกวินาที ผลลัพธ์การออกแบบจาก Audi Sport เพื่อสะท้อนสมรรถนะและรูปลักษณ์ที่ดุดันแข็งแกร่ง ดีไซน์ภายนอกผสมผสานความสปอร์ตในสไตล์ Sportback และความหรูหราเข้าด้วยกัน เพื่อให้รถยนต์สมรรถนะสูงคันนี้ สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบายในทุกโอกาส ไม่ว่าจะสุขุมทรงพลังสำหรับชีวิตประจำวัน หรือเร้าใจไร้ขีดจำกัดเสมือนอยู่ในสนามแข่ง
ทะยานไร้ขีดจำกัดกับประสบการณ์ขับขี่แบบ Audi Sport สมรรถนะที่ดุดันยิ่งกว่าเดิม ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน mild hybrid แบบ V8 biturbo ระเบิดพลัง 630 แรงม้า (เพิ่มขึ้น 30 แรงม้า) แรงบิดที่ 850 นิวตันเมตร (เพิ่มขึ้น 50 นิวตันเมตร) อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 3.4 วินาที (รุ่นปกติ 3.6 วินาที) ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มั่นใจกับประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยม จากระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ quattro with sport differential ทำงานควบคู่กับระบบ Dynamic Ride Control (DRC) พร้อมกับระบบบังคับเลี้ยวทั้งสี่ล้อ (All-wheel steering) ทำให้ทุกการควบคุมเป็นไปอย่างมั่นใจในทุกเส้นทาง เติมเต็มด้วยระบบท่อไอเสียแบบ RS Sports ส่งเสียงคำรามจากห้องเครื่องสู่ท้องถนนอย่างเร้าใจ
ภายในออกแบบอย่างพิถีพิถัน สร้างบรรยากาศการขับขี่ให้เอ็กซ์คลูซีฟยิ่งกว่าเดิม ด้วยเบาะนั่งคู่หน้าแบบ RS Sports ตกแต่งแบบ honeycomb และด้ายสีแดง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังหุ้มหนัง Valcona ห้องโดยสารตกแต่งลาย Carbon Twill Structure พร้อมไฟเรืองแสงห้องโดยสาร ที่ปรับได้มากถึง 30 เฉดสี ควบคุมขุมพลังผ่านพวงมาลัยแบบสปอร์ตท้ายตัด หุ้มหนัง Alcantara พร้อมสัญลักษณ์ RS และ Paddle shift แสดงข้อมูลการขับขี่ผ่านจอ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว เสมือนมาตรวัดรถแข่ง พร้อมระบบ MMI Navigation plus ขนาด 10.1 นิ้ว สั่งการและจอมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัส ตอบสนองการสั่งงาน (haptic feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว พร้อมดื่มด่ำกับเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen ระบบเสียง 3 มิติ
เพลิดเพลินกับเอฟเฟกต์ไฟแบบ Light staging ด้านหน้าและด้านท้าย เมื่อเปิด-ปิดล็อครถ มาพร้อมเทคโนโลยีไฟหน้าอัจฉริยะ HD Matrix LED with Audi laser light ส่องสว่างไกล คมชัดและแม่นยำ ลำแสงปรับการทำงานอัตโนมัติตามสถานการณ์การขับขี่ เพื่อไม่ให้รบกวนรถที่วิ่งสวนมาและรถที่อยู่ด้านหน้า อีกทั้งเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง Laser light จะช่วยให้มีระยะการส่องสว่างไกลถึง 600 เมตร ทำให้การขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พร้อมไฟ Projector LED แบบ RS Performance ที่ประตูหน้า-หลัง
Audi pre sense rear (ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหลัง) เรดาร์เซ็นเซอร์ที่อยู่ด้านท้ายรถจะประเมินสภาพการจราจรที่อยู่ด้านหลัง ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้วที่อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ นอกจากนั้นแล้ว หากกระจกหรือหลังคาพาโนรามิคถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
Lane change warning (ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน) เรดาร์เซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่งที่อยู่ด้านท้ายของตัวรถจะช่วยผู้ขับขี่ในการตรวจสอบสภาพการจราจรที่อยู่ด้านหลัง (มีข้อจำกัดในการทำงานที่ช่วงระดับความเร็วตั้งแต่ 15-20 กิโลเมตรชั่วโมง) เมื่อระบบประเมินว่ารถอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดอันตรายได้หากผู้ขับขี่เปลี่ยนเลน ระบบจะแสดงสัญญาณเตือนขึ้นที่กระจกมองข้าง ทั้งนี้ หากผู้ขับขี่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อตั้งใจเปลี่ยนเลนไปยังทิศทางดังกล่าว สัญญาณเตือนจะกระพริบถี่ขึ้น
Exit warning (ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเปิดประตูลงจากรถ) ขณะที่รถจอดหยุดนิ่ง ระบบจะตรวจสอบสภาพแวดล้อมทั้งด้านข้างและด้านหลัง ทั้งนี้ ในกรณีที่ตรวจพบยานพาหนะที่เคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย เช่น รถยนต์ หรือรถจักรยาน กำลังเคลื่อนเข้ามาจากด้านหลัง ในขณะที่ผู้โดยสารภายในรถกำลังเปิดประตูจากด้านใน สัญญาณไฟเตือนจะปรากฏขึ้น
Rear cross traffic assist (ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง)ระบบสามารถแจ้งเตือนผู้ขับขี่ขณะถอยรถออก หากตรวจสอบสภาพแวดล้อมแล้วพบว่ามีรถเคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย ระบบจะส่งสัญญาณเตือน และหากอยู่ในสถานการณ์คับขัน ระบบจะช่วยเบรกเพื่อลดทอนการอุบัติเหตุ

รายการอุปกรณ์สั่งพิเศษ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากราคาขายแนะนำที่ระบุไว้ในใบราคา Carbon exterior packageชายล่างใต้กันชนด้านหน้าตกแต่งด้วย carbon กระจกมองข้างตกแต่งด้วย carbon ช่อง air inlets ด้านหน้าตกแต่งด้วย carbon ขอบสเกิร์ตด้านข้างตกแต่งด้วย carbon ขอบ diffuser ด้านท้ายตกแต่งด้วย carbonเปิดให้จองแล้วในราคา 11,280,000 บาท

Audi  RS 6 Avant Performance    พบกับที่สุดแห่งความสำเร็จของ RS 6 Avant Performance ความสมบูรณ์แบบของยนตรกรรมสมรรถนะสูงท...
07/03/2023

Audi RS 6 Avant Performance
พบกับที่สุดแห่งความสำเร็จของ RS 6 Avant Performance ความสมบูรณ์แบบของยนตรกรรมสมรรถนะสูงที่ถูกยอมรับจากทั่วโลก ถ่ายทอดผ่านดีไซน์อันโดดเด่นในแบบฉบับ Avant สเตชันแวกอน อันเป็นเอกลักษณ์ที่ยากจะมีใครเหมือนจาก Audi การผสมผสานอย่างน่าทึ่งของรถสปอร์ตสมรรถนะสูง ทรงพลังเร้าใจ พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro พกพาขุมพลังที่ไร้ขีดจำกัดมากับพื้นที่ใช้สอยสำหรับทั้งครอบครัวยุคใหม่ ที่สะดวกสบายกว้างขวาง พื้นที่เก็บสัมภาระกว้างถึง 548 ลิตร โดดเด่นเรื่องการใช้งานที่สะดวกสบายในชีวิตประจำวัน ยิ่งทำให้ RS 6 Avant Performance มีความพิเศษสุดไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะใช้ขับขี่ในชีวิตประจำวัน หรือสนุกเร้าใจไร้ขีดจำกัดเสมือนอยู่ในสนามแข่ง จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม RS 6 Avant Performance ได้กลายเป็นขวัญใจของผู้ที่รักความแรง และสร้างความตื่นเต้นให้กับ Audi Sport GmbH และฐานแฟนอาวดี้ทั่วโลกมากว่า 20 ปี
การออกแบบรถยนต์สมรรถนะสูงเพื่อสะท้อน DNA ขุมพลังในสนามแข่ง คือหัวใจสำคัญของ Audi Sport และครั้งนี้ความตื่นเต้นที่ทุกคนรอคอยมาถึงแล้ว RS 6 Avant Performance กับรูปลักษณ์ที่เร้าใจยิ่งกว่าเดิม ล้อขนาด 22 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ Audi sport แบบ 5 ก้าน มาในเฉดสีทอง พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดงแบบ RS ดุดันทุกมิติด้วยชุดแต่งภายนอกแบบ Glossy Black RS พร้อมตกแต่ง Audi Ring และชื่อรุ่นด้วยสี Glossy Black
สัมผัสขุมพลังอันดุดันกว่าที่เคย เครื่องยนต์เบนซิน mild hybrid แบบ V8 biturbo ถูกพิสูจน์ด้วยตัวเลขอันร้อนแรง 630 แรงม้า(เพิ่มขึ้น 30 แรงม้า) แรงบิด 850 นิวตันเมตร (เพิ่มขึ้น 50 นิวตันเมตร) อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 3.4 วินาที (รุ่นปกติ 3.6 วินาที) ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สมรรถนะที่เร่าร้อนพุ่งทะยานสุดเร้าใจมาพร้อมเทคโนโลยีการควบคุมที่สมบูรณ์แบบด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ quattro with sport differential ทำงานควบคู่กับระบบ Dynamic Ride Control (DRC) พร้อมกับระบบบังคับเลี้ยวทั้งสี่ล้อ (All-wheel steering) ทำให้การทะยานทุกแรงม้าเป็นไปอย่างสมดุลและมั่นคงในทุกสถานการณ์
ห้องโดยสารลุคสปอร์ตเต็มขั้น เบาะนั่งคู่หน้าแบบ RS Sports ตกแต่งแบบ honeycomb และด้ายสีแดง คันเกียร์และด้านข้างคอนโซลกลางหุ้ม Alcantara สีดำ เบาะนั่งหุ้มหนัง Valcona พร้อมไฟ Projector LED แบบ RS Performance ที่ประตูหน้า-หลัง ผสานฟังก์ชันและความสปอร์ตได้อย่างลงตัว ห้องโดยสารตกแต่งลาย Carbon Twill Structure พร้อมไฟ Ambient light ที่ปรับได้มากถึง 30 เฉดสี ควบคุมมั่นใจกับพวงมาลัยแบบสปอร์ตท้ายตัด หุ้มหนัง Alcantara พร้อมสัญลักษณ์ RS Paddle shift แสดงข้อมูลการขับขี่ผ่านจอ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว เสมือนมาตรวัดรถแข่ง ระบบ MMI Navigation plus ขนาด 10.1 นิ้ว สั่งการง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส จอมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัส ตอบสนองการสั่งงาน (haptic feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว เติมเต็มอารมณ์การขับขี่ด้วยเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen ระบบเสียง 3 มิติ
เทคโนโลยีไฟหน้าอัจฉริยะแบบ HD Matrix LED with Audi laser light ส่องสว่างไกล คมชัดและแม่นยำ ลำแสงปรับการทำงานอัตโนมัติตามสถานการณ์การขับขี่ เพื่อไม่ให้รบกวนรถที่วิ่งสวนมาและรถที่อยู่ด้านหน้า อีกทั้งเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง Laser light จะช่วยทำให้มีระยะการส่องสว่างไกลถึง 600 เมตร ทำให้การขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พร้อมตื่นเต้นไปกับเอฟเฟกต์ไฟด้านหน้า (Light staging) และไฟเลี้ยวแบบ Dynamics
รายการอุปกรณ์สั่งพิเศษซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากราคาขายแนะนำที่ระบุไว้ในใบราคาCarbon exterior packageชายล่างใต้กันชนด้านหน้าตกแต่งด้วย carbon กระจกมองข้างตกแต่งด้วย carbonช่อง air inlets ด้านหน้าตกแต่งด้วย carbon ขอบสเกิร์ตด้านข้างตกแต่งด้วย carbon ขอบ diffuser ด้านท้ายตกแต่งด้วย carbon เปิดให้จองแล้ววันนี้ที่โชว์รูมอาวดี้ ทั่วประเทศในราคา 11,280,000 บาท

แอสตัน มาร์ติน ‘DBX707’     แอสตัน มาร์ติน เป็นรถยนต์สัญชาติอังกฤษ กำเนิดช่วงปีค.ศ. 1913 ปีนี้ นับว่าครบรอบ 110 ปี ก่อตั...
07/03/2023

แอสตัน มาร์ติน ‘DBX707’
แอสตัน มาร์ติน เป็นรถยนต์สัญชาติอังกฤษ กำเนิดช่วงปีค.ศ. 1913 ปีนี้ นับว่าครบรอบ 110 ปี ก่อตั้งโดย ไลโอเนล มาร์ติน กับ โรเบิร์ต แบมฟอร์ต ซึ่งทั้งคู่สร้างรถแข่งร่วมกัน เพื่อไปแข่งในรายการ แอสตัน คลินตัน ฮิลล์ไคล์ม (Aston Clinton Hillclimb) และคว้าแชมป์ได้สำเร็จ เร็วสุด แรงจัด และทรงตัวเป็นเลิศ คือ 3 คุณสมบัติเด่นของ แอสตัน มาร์ติน ดีบีเอ็กซ์707 ที่ยากจะมีใครลอกเลียนแบบ ทั้งด้านพละกำลังและความแม่นยำในการบังคับควบคุมอันเหนือชั้น สร้างประสบการณ์ขับอันน่าประทับใจ
รูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยว ความปราดเปรียว และบุคลิกการเป็นรถขับสนุก ถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการสร้าง แอสตัน มาร์ติน ดีบีเอ็กซ์707 โดยทุกอณูของตัวรถได้รับการปรับแต่งเพื่อเพิ่มสมรรถนะ เติมความเร้าใจ และสะกดทุกสายตาที่ได้พบเห็น กระจังหน้าใหญ่ขึ้น 27% มาพร้อมแผ่นรีดอากาศ (front splitter) ด้านใต้และข้างกันชนหน้า ผสานช่องดักอากาศและเดย์ไทม์รันนิงไลท์แบบเส้นตรง ติดตั้งอุปกรณ์รีดอากาศ ‘Side Strake’ บริเวณแก้มข้าง ลากยาวมาถึงประตูหน้า รวมถึงสเกิร์ตข้าง
ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นชัดเจน ด้านหลังเพิ่มชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์บนสปอยเลอร์หลังคา ผสานดิฟฟิวเซอร์หลังขนาดเขื่องแบบเดียวกับรถแข่ง และ 4 ปลายท่อไอเสียยิงออก 2 ฝั่ง (Quad Exhaust Tailpipes) ซึ่งได้รับการออกแบบใหม่หมด
ขุมพลังเบนซินทวินเทอร์โบ วี8 สูบ 4.0 ลิตร ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ด้วยการเปลี่ยนใช้เทอร์โบบอลแบริ่งขนาดใหญ่ พร้อมปรับแต่งอีซียู เพื่อรีดแรงม้า-แรงบิดออกมาให้ได้มากที่สุด ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ wet clutch 9 จังหวะ ที่สามารถรับมือกับพละกำลัง 707 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 900 นิวตันเมตร ที่ 2,750-4,500 รอบต่อนาที ได้ดีกว่าเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์ตเตอร์ อีกทั้งยังช่วยให้เกียร์สามารถเปลี่ยนได้รวดเร็วและกระชับกว่าเดิม มาพร้อมอัตราเร่งกระชากใจ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.3 วินาที ท็อปสปีด 310 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ห้องโดยสารของ แอสตัน มาร์ติน ดีบีเอ็กซ์707 ถูกปรับแต่งให้มีอารมณ์สปอร์ตเต็มพิกัด ตกแต่งด้วยอัลคันทารา พร้อมเบาะคู่หน้าแบบสปอร์ต โอบกระชับผู้ขับขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง บริเวณคอนโซลกลางเพิ่มปุ่มควบคุม Adaptive Drive Modes ที่มีเฉพาะ ดีบีเอ็กซ์707 แบ่งเป็น Terrain, GT, Individual, Sport และ Sport+
เกาะถนนเป็นเลิศ ด้วยช่วงล่างถุงลมแบบ triple volume air chambers ติดตั้งจานคาร์บอนเซรามิกเป็นมาตรฐาน หน้า-หลัง 420 และ 360 มิลลิเมตร ตามลำดับ จับคู่กับคาลิเปอร์เบรก 6 พ็อต และผ้าเบรกประสิทธิภาพสูงที่ทำงานได้ดีในช่วงอุณหภูมิที่กว้าง ช่วยลดน้ำหนักใต้สปริงได้ถึง 40.5 กิโลกรัม และเพิ่มการตอบสนองและฟีลลิงของแป้นเบรกให้ดียิ่งขึ้น ส่งผลดีต่อความแม่นยำและความมั่นใจในการควบคุมรถ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนของเบรก โดยรับอากาศจากภายนอก ผ่านช่องดักและใต้ท้องรถมาใช้ในการระบายความร้อน
แอสตัน มาร์ติน ดีบีเอ็กซ์707 ติดตั้งล้อแม็กขอบ 22 นิ้ว เป็นมาตรฐาน พร้อมมีออปชั่นล้อแม็กขอบ 23 นิ้ว ที่ช่วยเพิ่มความฉับไวในการตอบสนองของพวงมาลัย ทรงตัวดีขึ้น ส่งผลให้สามารถทำเวลาต่อรอบสนามได้ต่ำลง มาพร้อมเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-diff) ที่ผ่านปรับแต่งให้รองรับกับแรงบิดระดับ 900 นิวตันเมตร โดยปรับอัตราทดเฟืองท้ายให้จัดขึ้นเป็น 3.27:1 เทียบกับ 3.07:1 ของ ดีบีเอ็กซ์ รุ่นพื้นฐาน ส่งผลดีต่ออัตราเร่งและการตอบสนองช่วงเกียร์ต่ำ โดยยังคงความราบรื่นและสะดวกสบายในการขับ ตามแบบฉบับของเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ อัตราส่วนการกระจายกำลังสู่ล้อทั้ง 4 ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด และสามารถส่งกำลังไปสู่ล้อหลังได้สูงสุด 100% ขณะที่เฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปแบบไฟฟ้า ช่วยให้เข้าโค้งได้เร็วและมั่นคงตามแบบฉบับรถสปอร์ตพันธุ์แท้ ผ่านการผสมผสานโครงสร้างตัวถังและระบบส่งกำลังอันยอดเยี่ยม ส่งผลให้ตัวรถมีความคล่องตัวและการยึดเกาะที่สมบูรณ์แบบ
แอสตัน มาร์ติน ได้ปลดล็อกศักยภาพของ ดีบีเอ็กซ์ เพื่อทำให้รถรุ่นนี้ขึ้นทำเนียบเอสยูวีสมรรถนะสูงสุดระดับโลก ซึงไม่เพียงเกิดขึ้นจากการปรับแต่งเครื่องยนต์และระบบต่างๆ แต่มาจากความหลงใหลของวิศวกรที่มุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งการผสมผสานเครื่องยนต์ วี8 สูบ อันทรงพลัง เข้ากับเกียร์อัตโนมัติแบบ wet clutch 9 จังหวะ ทำให้ ดีบีเอ็กซ์707
เป็นยนตรกรรมที่มีบุคลิกและสมรรถนะที่แตกต่างอย่างเหนือชั้น ฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆ ของรถอเนกประสงค์ ทั้งด้านรูปลักษณ์และสมรรถนะ ซึ่งนำพา แอสตัน มาร์ติน ขึ้นสู่ความเป็นผู้นำแห่งยนตรกรรมเอสยูวีสมรรถนะสูง ราคาเริ่มต้น 24.9 ล้านบาท มาพร้อม warranty และ Roadside Assistance นาน 5 ปีพร้อมจัดแสดงให้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ที่งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม ถึง 2 เมษายน 2566 ณ แชลเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี

ที่อยู่

Taling Chan
10170

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Autowokeผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Autowoke:

แชร์


เว็บไซต์ข่าวและสื่อ อื่นๆใน Taling Chan

แสดงผลทั้งหมด

คุณอาจจะชอบ