แม่สุชา สาวสอง ผอ.โรงเรียน

แม่สุชา สาวสอง ผอ.โรงเรียน ผู้บริหารสาวสองสู้ชีวิต ติดดิน กินง่าย ใช้ชีวิตแบบสบาย สไตล์บ้านๆ
(5)

ครูเป็นหนี้…อย่าชะล่าใจ! ถ้าโดนฟ้องจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?“กู้มาสอน กู้มาใช้ กู้มาเลี้ยงลูก”หลายคนบอกว่าเป็นครู = มีเครดิตดี...
18/02/2025

ครูเป็นหนี้…อย่าชะล่าใจ! ถ้าโดนฟ้องจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

“กู้มาสอน กู้มาใช้ กู้มาเลี้ยงลูก”
หลายคนบอกว่าเป็นครู = มีเครดิตดี กู้ที่ไหนก็ผ่าน
แต่เอาเข้าจริง เงินเดือนครูก็ไม่ได้มากมาย พอหนี้เริ่มพอกพูนจาก “กู้นิด กู้น่อย” สุดท้ายกลายเป็น “กู้ทั้งชีวิต”

🚨 วันนี้ แม่ ผอ. ขอเตือนครูที่เป็นหนี้ ทั้งในระบบและนอกระบบ
ถ้าวันหนึ่ง… “โดนฟ้อง” แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
ทั้ง “ทางใจ” ที่บีบคั้น และ “ทางกฎหมาย” ที่หนีไม่พ้น

⚠️ 1. ทางใจ: ความกดดันที่ครูต้องเผชิญ

💥 ความเครียด กินไม่ได้นอนไม่หลับ
• อยู่ดีๆ มีหมายศาลมาส่งที่โรงเรียน / บ้าน
• เจอเจ้าหนี้โทรตามทุกวัน ขู่ว่าจะยึดทรัพย์ จะฟ้อง จะอายัดเงินเดือน
• ต้องหาคนไปไกล่เกลี่ย ต้องหาทางเจรจา กลายเป็นภาระทางจิตใจ

💥 เสียเครดิต หมดความน่าเชื่อถือ
• ครูเป็นอาชีพที่ต้องเป็นแบบอย่าง แต่ถ้าขึ้นสถานะ “ลูกหนี้ผิดนัด” บางทีอาจมีผลต่อหน้าที่การงาน
• เพื่อนร่วมงาน ลูกศิษย์ คนรอบข้างอาจรู้ ทำให้เสียความมั่นใจในการใช้ชีวิต

💥 ครอบครัวเดือดร้อน
• ถ้าเป็นหนี้นอกระบบ อาจโดนตามทวงถึงบ้าน จนพ่อแม่ ลูก เมีย สามี เครียดไปด้วย
• บางรายถึงขั้นทะเลาะกับครอบครัว เพราะไม่มีเงินส่ง หรือแอบกู้เพิ่มจนพังทั้งระบบ

💡 ทางออก: “หนี้มีทางออกเสมอ อย่าหนีปัญหา”
• หากเริ่มมีปัญหา รีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
• หาทางรีไฟแนนซ์ หรือปรับโครงสร้างหนี้
• อย่ากู้นอกระบบเด็ดขาด

⚖️ 2. ทางกฎหมาย: โดนฟ้องแล้วจะเป็นยังไง?

หนี้ในระบบ กับ หนี้นอกระบบ ต่างกันยังไง?
✅ หนี้ในระบบ = กู้จากธนาคาร, กู้สหกรณ์, กู้ กยศ.
❌ หนี้นอกระบบ = กู้จากนายทุนเถื่อน, กู้ดอกเบี้ยโหด

ถ้าเป็น “หนี้ในระบบ” แล้วผิดนัดชำระหนี้
1️⃣ เริ่มจากการแจ้งเตือน – ทวงถาม
• เจ้าหนี้ (ธนาคาร/สหกรณ์) จะส่งหนังสือแจ้งเตือนให้จ่ายหนี้
• ถ้าไม่จ่าย ก็จะถูกขึ้นสถานะ “หนี้ค้างชำระ”

2️⃣ เข้าสู่กระบวนการฟ้องศาล
• ถ้าไม่ชำระหนี้ตามกำหนด เจ้าหนี้จะฟ้องศาล
• จะมีหมายศาลส่งมาที่บ้าน / โรงเรียน
• ต้องไปขึ้นศาลเพื่อเจรจาหาทางชำระหนี้

3️⃣ ถูกบังคับคดี – อายัดเงินเดือน/ยึดทรัพย์
• ถ้าศาลตัดสินว่าต้องจ่ายหนี้ แต่ยังไม่จ่าย ก็จะถูก อายัดเงินเดือน
• บางรายที่มีทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถ ที่ดิน อาจถูก ยึดและขายทอดตลาด

ถ้าเป็น “หนี้นอกระบบ” แล้วไม่จ่าย
• อาจโดนทวงหนี้แบบโหด (ข่มขู่ ประจาน หรือทำร้ายร่างกาย)
• โดนคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอกจนไม่มีวันใช้หมด
• โดนฟ้องศาลได้เหมือนกัน แต่เจ้าหนี้นอกระบบบางรายใช้วิธีนอกกฎหมาย

💡 ทางออก:
• ถ้าเป็นหนี้ในระบบ รีบติดต่อเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ก่อนโดนฟ้อง
• ถ้าเป็นหนี้นอกระบบ แจ้งความ หรือขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้

📢 สรุป: ครูต้องทำยังไงถ้ามีหนี้?

✅ อย่าหนีหนี้! → ยิ่งหนี หนี้ยิ่งพอกพูน
✅ จัดการบัญชีตัวเองให้เป็น → รายรับ รายจ่าย หนี้สิน คุมให้ได้
✅ หาทางแก้หนี้ให้ถูกวิธี → รีไฟแนนซ์, เจรจา, หารายได้เสริม
✅ ห้ามกู้นอกระบบเด็ดขาด! → หนี้นอกระบบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา มีแต่พังชีวิต

“เป็นครู ก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี”
ถึงแม้บางทีชีวิตจะติดลบ แต่การรู้จัก “แก้ปัญหาให้ถูกทาง” คือสิ่งที่ทำให้เรารอด

อย่าปล่อยให้หนี้ ทำลายอนาคตของเรา และของลูกศิษย์เรา
สู้ๆ นะ ครูทุกคน! 💪✨
รักและเป็นห่วง จาก แม่ ผอ. ❤️

18/02/2025

สร้างเรื่องไปเซอร์ไพร์สวันเกิดครู แต่ไม่รอด555

พาครูสร้างเพจ: ตั้งชื่อเพจยังไงให้ปัง – ชื่อจำง่าย + สื่อความหมาย + ค้นหาเจอ!สมัยนี้… แค่เป็นครูที่สอนในห้องเรียนอย่างเด...
18/02/2025

พาครูสร้างเพจ: ตั้งชื่อเพจยังไงให้ปัง – ชื่อจำง่าย + สื่อความหมาย + ค้นหาเจอ!

สมัยนี้… แค่เป็นครูที่สอนในห้องเรียนอย่างเดียวอาจไม่พอ! เพราะครูยุคใหม่ต้องมีพื้นที่ของตัวเองในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเพื่อแชร์ความรู้ สร้างคอมมูนิตี้ หรือแม้แต่เป็นช่องทางเสริมรายได้

แต่ปัญหาแรกที่เจอเลยก็คือ “ตั้งชื่อเพจยังไงดี?”
โอ๊ย! คิดไม่ออก เดี๋ยวจะซ้ำกับคนอื่น เดี๋ยวคนจำไม่ได้ เดี๋ยวค้นหาไม่เจอ บลาๆๆ

วันนี้ แม่ ผอ. ขอพาครูทุกคนมาดูเทคนิค ตั้งชื่อเพจให้ปัง!
เน้น 3 หลักสำคัญ คือ จำง่าย + สื่อความหมาย + ค้นหาเจอ

1. ชื่อเพจต้องจำง่าย (Simple & Catchy)

ชื่อเพจต้องไม่ยาวเกินไป และต้องอ่านแล้วติดหู
ชื่อที่ดีคือชื่อที่ไม่ต้องใช้สมองมาก แค่เห็นหรือได้ยินแว้บเดียวก็จำได้ทันที

✅ ตัวอย่างชื่อที่จำง่าย
• “ครูพี่นัทติวสอบ” (ถ้าคุณสอนติวสอบ)
• “ครูอ้อมเล่าเรื่อง” (ถ้าคุณเน้นแชร์สาระความรู้ทั่วไป)
• “ชั้นเรียนสนุก by ครูป่าน” (สำหรับเพจที่เน้นการเรียนการสอนแบบสนุกสนาน)
• “ครูแว่นสอนคณิต” (ชัดเจน มีเอกลักษณ์)

❌ หลีกเลี่ยงชื่อที่…

❌ ยาวเกินไป เช่น “ครูที่มุ่งมั่นสอนวิชาภาษาอังกฤษให้เด็กไทยเข้าใจง่าย” (โอ๊ย! จำไม่ไหว)
❌ มีคำที่อ่านยาก หรือ สะกดซับซ้อน เช่น “Edutainment Guru by Kru Jiraporn” (ชื่อไทยง่ายๆ ไม่ได้หรอ?)

2. ชื่อเพจต้องสื่อความหมาย (Clear & Relevant)

เห็นชื่อแล้วต้องรู้ทันทีว่าเพจเกี่ยวกับอะไร

ชื่อเพจที่ดีต้องช่วยบอกว่า…
• คุณเป็นใคร? (ครู, ติวเตอร์, นักการศึกษา ฯลฯ)
• เพจคุณเกี่ยวกับอะไร? (ติวสอบ, เทคนิคการสอน, บันทึกชีวิตครู ฯลฯ)
• เป้าหมายของเพจคืออะไร? (ให้ความรู้, ให้แรงบันดาลใจ, สร้างคอมมูนิตี้)

✅ ตัวอย่างชื่อที่สื่อความหมาย
• “ครูส้ม ติวสอบครูผู้ช่วย” (รู้เลยว่าเพจนี้ช่วยคนสอบครู)
• “ครูสายฮา สอนวิทย์” (เน้นสนุก เน้นสาระ)
• “ห้องเรียนสุขใจ by ครูต่าย” (ให้ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ)
• “ครูยุคดิจิทัล” (น่าจะเกี่ยวกับเทคโนโลยีในวงการศึกษา)

Tips: ถ้าเพจของเรายังไม่มีชื่อที่ชัดเจน ลองใช้คำว่า
✅ “ครู…”
✅ “ติว…”
✅ “ห้องเรียน…”
✅ “สอน…”
✅ “เรียนรู้กับ…”
เพื่อให้คนเข้าใจง่ายขึ้น

3. ชื่อเพจต้องค้นหาเจอง่าย (SEO-Friendly)

ตั้งชื่อเพจให้ติดอันดับการค้นหา ไม่ต้องให้คนพิมพ์ผิดพิมพ์ถูก

✅ ใช้คำที่มีคนค้นหาบ่อย เช่น “ติวสอบครูผู้ช่วย” หรือ “สอนภาษาอังกฤษ”
✅ หลีกเลี่ยงชื่อซ้ำกับเพจดังๆ เพราะระบบจะดันเพจเก่าขึ้นมาก่อน
✅ ใช้ชื่อที่ไม่ต้องสะกดยาก เช่น “Kru Jib Smart Learner” (แบบนี้คนอาจพิมพ์ผิดแล้วหาไม่เจอ)

✅ ตัวอย่างชื่อที่ค้นหาเจอ
• “ครูพี่หมิว ติวสอบ ก.พ.” (มีคีย์เวิร์ด “ติวสอบ ก.พ.” คนค้นเจอแน่ๆ)
• “ครูแนน สอนอังกฤษฟรี” (ชัดเจน คนพิมพ์ “สอนอังกฤษฟรี” ก็หาเจอเลย)
• “Kru Fern Math Easy” (ถ้าอยากใช้ชื่ออังกฤษ ให้เน้นคำง่ายๆ)

สรุป: สูตรตั้งชื่อเพจให้ปัง!

📌 จำง่าย → สั้น กระชับ ไม่ต้องคิดเยอะ
📌 สื่อความหมาย → เห็นแล้วรู้เลยว่าเพจเกี่ยวกับอะไร
📌 ค้นหาเจอง่าย → ใช้คีย์เวิร์ดที่คนค้นหาบ่อย

🔹 สูตรตั้งชื่อเพจง่ายๆ
[คำบอกตัวตน] + [สิ่งที่ทำ] + [เอกลักษณ์ของตัวเอง]

เช่น
✅ “ครูแอน ติวสอบครู”
✅ “ครูปิง สอนคณิตสนุก”
✅ “ครูเตย Easy English”

ลองเอาหลักการนี้ไปตั้งชื่อเพจกันดูนะจ๊ะครูทุกคน! 💡✨
แม่ ผอ. เอาใจช่วยให้เพจของครูปังๆ ยอดไลค์พุ่งกระฉูด! 🚀💙

18/02/2025

ทำไม ผอ.ต้องเริ่มต้นการทำงาน ด้วยการเดินรอบโรงเรียน

“ทำยังไงให้ครูเคารพ โดยไม่ต้องใช้อำนาจ?”“เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ต้องใช้อำนาจไหม ถึงจะได้ความเคารพ?”แม่ ผอ. บอกเลยว่า “ไ...
18/02/2025

“ทำยังไงให้ครูเคารพ โดยไม่ต้องใช้อำนาจ?”

“เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ต้องใช้อำนาจไหม ถึงจะได้ความเคารพ?”
แม่ ผอ. บอกเลยว่า “ไม่จำเป็น!” เพราะความเคารพที่แท้จริง ไม่ได้มาจากตำแหน่ง แต่มาจากพฤติกรรมและการปฏิบัติตัว

อยากให้ครูให้เกียรติและร่วมมือแบบเต็มใจ? ต้องสร้างความเคารพขึ้นมาเอง ไม่ใช่แค่ใช้คำว่า “ผอ. สั่ง!”

📌 3 วิธีทำให้ครูเคารพ โดยไม่ต้องใช้อำนาจ

1️⃣ เป็นแบบอย่างที่ดี

👀 “อยากให้ครูทำแบบไหน เราต้องทำให้เห็นก่อน!”
🔹 ตรงต่อเวลา → ถ้าจะสอนครูเรื่องวินัย ผอ. ต้องเป็นคนแรกที่มาตรงเวลา
🔹 ใส่ใจนักเรียน → ถ้าผอ.ทักทายเด็กทุกเช้า ครูก็จะเริ่มทำตาม
🔹 ทำงานจริง ไม่ใช่สั่งอย่างเดียว → ครูจะนับถือ ถ้าเห็นผอ.ทำงานไปพร้อมกับทีม

💡 ความเคารพไม่ได้เกิดจากคำสั่ง แต่เกิดจากการกระทำที่สร้างแรงบันดาลใจ

2️⃣ ให้เกียรติและรับฟัง

🎤 “ครูก็อยากมีเสียง ผอ.ที่ดีต้องฟังครูด้วย”
✅ รับฟังความเห็นจากครู แม้จะเห็นต่าง
✅ ไม่ตัดสิน หรือทำให้ครูรู้สึกว่า “ความเห็นของฉันไม่มีค่า”
✅ ชื่นชมเมื่องานออกมาดี → ครูจะรู้สึกว่า “ผอ.เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ”

💡 ถ้าครูรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เคารพตัวเองได้ เขาก็จะเคารพผู้นำแบบเต็มใจ

3️⃣ สนับสนุนและพัฒนาทีม

🚀 “ครูที่เก่งขึ้น โรงเรียนก็จะดีขึ้น ผอ.ต้องช่วยดันครูให้ไปไกลกว่าเดิม”
🔹 สนับสนุนให้ครูพัฒนาตัวเอง → อบรม เรียนรู้สิ่งใหม่
🔹 ให้โอกาสแสดงศักยภาพ → ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่ง แต่ให้ครูได้ คิดและริเริ่ม
🔹 ลดภาระงานที่ไม่จำเป็น → ครูจะได้มีเวลาสอน ไม่ใช่แค่ทำเอกสาร

💡 ผอ.ที่ช่วยให้ครูเติบโต ครูก็จะเคารพและพร้อมทำเพื่อโรงเรียนอย่างเต็มที่

🌟 สรุป: ความเคารพต้องสร้าง ไม่ใช่สั่งให้มี

📌 ทำตัวให้เป็นแบบอย่าง → ถ้าอยากให้ครูเคารพ ต้องทำให้เห็น
📌 ให้เกียรติและรับฟัง → ความสัมพันธ์ที่ดีทำให้ครูอยากร่วมมือ
📌 สนับสนุนและพัฒนา → ถ้าครูเห็นว่าผอ.ช่วยให้เขาดีขึ้น เขาจะตอบแทนด้วยความทุ่มเท

🔹 “ครูที่เคารพผอ.เพราะเกรงกลัว จะทำเพราะถูกบังคับ
แต่ครูที่เคารพผอ.เพราะศรัทธา จะทำเพราะอยากทำให้ดีที่สุด”

💛 อยากเป็นผอ.แบบไหน? แม่ ผอ. ขอฝากให้คิด 😊

“5 วิธีรับมือกับคำวิจารณ์จากครูและผู้ปกครอง – แบบผู้บริหารที่แกร่งและแสนดี”เป็น ผอ. โรงเรียน นอกจากจะต้องบริหารงานให้ราบ...
17/02/2025

“5 วิธีรับมือกับคำวิจารณ์จากครูและผู้ปกครอง – แบบผู้บริหารที่แกร่งและแสนดี”

เป็น ผอ. โรงเรียน นอกจากจะต้องบริหารงานให้ราบรื่นแล้ว “เสียงจากครูและผู้ปกครอง” ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มีทั้งคำชมและคำวิจารณ์

แต่คำวิจารณ์ ไม่ได้แปลว่าเราทำผิดเสมอไป!
บางครั้งมันคือโอกาสให้เรา ได้พัฒนา และสร้างโรงเรียนที่ดีขึ้นกว่าเดิม

แม่ ผอ. ขอมาบอก 5 วิธีรับมือกับคำวิจารณ์ ที่ใช้ได้จริง “ไม่ดราม่า ไม่เสียความมั่นใจ แต่พัฒนาให้ดีขึ้น!”

1️⃣ รับฟังอย่างเปิดใจ – ฟังให้จบก่อนตัดสิน

☑ บางครั้งคำวิจารณ์อาจมาพร้อมอารมณ์ของคนพูด
☑ สิ่งที่ต้องทำคือ “ฟังให้จบ” อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ
☑ คิดว่า “เขาพูดเพราะอยากให้โรงเรียนดีขึ้น”

❌ ห้ามคิดว่า “เขาว่าฉัน ฉันต้องสู้กลับ”
✅ ให้คิดว่า “เขาว่าปัญหา เราต้องหาทางแก้”

2️⃣ แยกแยะคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์

💡 คำวิจารณ์มี 2 แบบ
🔹 แบบสร้างสรรค์ → มีเหตุผล มีข้อเสนอแนะให้แก้ไข
🔹 แบบทำร้ายจิตใจ → ไม่มีเนื้อหา มีแต่ความไม่พอใจลอยๆ

💬 ตัวอย่าง
❌ “โรงเรียนนี้แย่ ระบบไม่มีระเบียบเลย!” (วิจารณ์ลอยๆ)
✅ “ถ้าโรงเรียนมีระบบรับส่งนักเรียนที่ชัดเจนกว่านี้ ผู้ปกครองจะสะดวกขึ้น” (สร้างสรรค์)

👉 ให้โฟกัสที่คำวิจารณ์ที่มีประโยชน์ อย่าเสียเวลากับคำพูดที่ไม่มีสาระ

3️⃣ ไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์ – ตั้งสติ แล้วค่อยตอบ

😤 บางครั้งคำวิจารณ์แรง จนเราอยากสวนกลับ
⏳ หยุดคิดก่อน 3 วินาที แล้วตอบแบบมีสติ

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ/ครับ เดี๋ยวเราจะนำไปพิจารณา”
“ขอบคุณที่เป็นห่วง เดี๋ยวเราจะหาทางแก้ไขนะคะ”

👉 ตอบแบบนี้ดูดีกว่าเถียงกลับ และทำให้เราควบคุมสถานการณ์ได้

4️⃣ ใช้คำวิจารณ์เป็นโอกาสพัฒนา

🔍 ทุกปัญหามีทางแก้ → ถ้าเจอคำวิจารณ์ที่ดี ให้เอาไปปรับปรุง!
✅ ถ้าผู้ปกครองบ่นเรื่องการสื่อสาร ให้ปรับปรุงการแจ้งข่าวสาร
✅ ถ้าครูบ่นเรื่องภาระงานเยอะ ให้หาวิธีลดงานเอกสาร
✅ ถ้ามีคนติงเรื่องอาหารกลางวัน ให้สำรวจคุณภาพอาหาร

👉 ทุกคำวิจารณ์ที่ถูกต้อง คือโอกาสทำให้โรงเรียนดีขึ้น!

5️⃣ สื่อสารให้ชัดเจน – ตอบกลับด้วยเหตุผล

📢 บางเรื่องแค่สื่อสารให้ชัด คนก็เข้าใจมากขึ้น
💬 ถ้ามีข่าวลือ หรือความเข้าใจผิด ให้ใช้ ช่องทางโรงเรียนชี้แจงให้ชัด

✅ ส่งประกาศผ่าน Line กลุ่ม หรือเพจโรงเรียน
✅ อธิบายให้เห็นมุมมองของโรงเรียน
✅ ถ้าจำเป็น นัดคุยแบบเผชิญหน้า

👉 “พูดดี มีเหตุผล คนฟังง่ายขึ้น!”

สรุป: คำวิจารณ์ไม่ได้น่ากลัว ถ้าเรารับมือให้เป็น!

📌 ฟังให้จบ – ไม่รีบตัดสิน
📌 แยกแยะว่าอันไหนสร้างสรรค์
📌 ตั้งสติ ไม่ใช้อารมณ์ตอบโต้
📌 ใช้เป็นโอกาสพัฒนาโรงเรียน
📌 สื่อสารให้ชัดเจน ลดความเข้าใจผิด

🔹 สุดท้าย…โรงเรียนจะดีขึ้น ไม่ใช่เพราะไม่มีคำวิจารณ์
🔹 แต่เพราะเราเรียนรู้ และเติบโตจากคำวิจารณ์ต่างหาก!

“โรงเรียนที่ดี ไม่ใช่โรงเรียนที่ไม่มีปัญหา
แต่คือโรงเรียนที่แก้ปัญหา และพัฒนาไปข้างหน้าเสมอ” ✨

“ทำไมโรงเรียนต้องปรับตัวให้ทันสมัย?”แม่ ผอ. อยากชวนครูและผู้บริหารทุกคนมาคิดกันค่ะว่า “โรงเรียนของเรา ยังสอนเด็กให้ทันโล...
17/02/2025

“ทำไมโรงเรียนต้องปรับตัวให้ทันสมัย?”

แม่ ผอ. อยากชวนครูและผู้บริหารทุกคนมาคิดกันค่ะว่า “โรงเรียนของเรา ยังสอนเด็กให้ทันโลกอยู่ไหม?”

สมัยก่อน “ครูคือศูนย์กลางความรู้” เด็กต้องนั่งฟัง จด-จำ-สอบ-จบ
แต่วันนี้ โลกเปลี่ยน เด็กเปลี่ยน โรงเรียนต้องเปลี่ยน ถ้าไม่ปรับตัว เราจะ “สอน” แต่เด็กจะ “ไม่เรียน”

1️⃣ โลกเปลี่ยน เด็กเปลี่ยน โรงเรียนต้องปรับตัว

🌎 โลกเปลี่ยนเร็วมาก – เทคโนโลยีก้าวกระโดด อาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกปี
👦 เด็กยุคนี้โตมากับอินเทอร์เน็ต – พวกเขาหาความรู้เองได้จาก TikTok, YouTube, Google
🏫 ถ้าโรงเรียนสอนแค่แบบเดิม – เด็กจะเบื่อ และอาจไม่เห็นประโยชน์ของการเรียน

👉 คำถามคือ…เราจะทำให้โรงเรียน “เป็นที่ที่เด็กอยากมา” ได้ยังไง?

2️⃣ การเรียนรู้แบบ Personalized Learning

❌ หมดยุค “สอนเหมือนกันทุกคน”
✅ ต้องปรับให้เด็กแต่ละคน “เรียนรู้ตามสไตล์ตัวเอง”

🔹 เด็กบางคนเรียนรู้จากการฟัง – อาจชอบฟังพอดแคสต์ ดูวิดีโอ
🔹 เด็กบางคนต้องลงมือทำ – อาจชอบกิจกรรม เวิร์กชอป การทดลอง
🔹 เด็กบางคนต้องมีภาพประกอบ – ชอบอินโฟกราฟิก การ์ตูน แอนิเมชัน

💡 Personalized Learning คือให้เด็กเลือกวิธีเรียนที่เหมาะกับตัวเอง (แต่ยังอยู่ในขอบเขตหลักสูตรที่กำหนด)

👉 โรงเรียนที่ยืดหยุ่น = โรงเรียนที่เด็กอยากเรียน!

3️⃣ ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์

“มือถือเป็นศัตรู หรือเป็นครู?” – อยู่ที่ว่าเราใช้มันยังไง!

📱 มือถือ & แท็บเล็ต – ใช้เรียนรู้ภาษา หาข้อมูล ทำโปรเจกต์
💻 AI & ChatGPT – ใช้ช่วยสรุปเนื้อหา ติวข้อสอบ ทำการบ้าน (อย่างมีหลักการ)
🎮 Gamification – ใช้เกมและแอปพลิเคชันทำให้การเรียนสนุกขึ้น

✋ แต่ต้องสอนเด็กให้ใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ – รู้จักคัดกรองข้อมูล ไม่เสพติดโซเชียล

👉 ถ้าโรงเรียนใช้เทคโนโลยีให้เป็น มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง!

📌 สรุป: โรงเรียนที่ไม่ปรับตัว = โรงเรียนที่เด็กไม่อยากเรียน
• โลกเปลี่ยน เด็กเปลี่ยน → ถ้าโรงเรียนไม่เปลี่ยน เด็กจะ “หาความรู้เอง” และอาจมองว่าโรงเรียน “ไม่จำเป็น”
• Personalized Learning สำคัญ → ต้องสอนให้เหมาะกับเด็กแต่ละคน
• เทคโนโลยีไม่ใช่ศัตรู → ใช้มันให้เป็น แล้วมันจะช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพ

👩‍🏫 โรงเรียนที่ทันสมัย ไม่จำเป็นต้องมีตึกหรู หรืออุปกรณ์แพง
🎯 แค่เปิดใจเรียนรู้ ปรับตัว และสอนเด็กให้ “ทันโลก” ก็พอ!

“อนาคตของเด็ก ไม่รอให้โรงเรียนพร้อม – แต่โรงเรียนต้องพร้อมสำหรับเด็ก!” 💪✨

“นางฟ้าจำแลง วัดในเรืองศรี – งานยิ่งใหญ่เกินคำว่าอำเภอ!”แม่ ผอ. มีโอกาสได้ไปร่วมเป็นกรรมการตัดสินการประกวด “นางฟ้าจำแลง”...
17/02/2025

“นางฟ้าจำแลง วัดในเรืองศรี – งานยิ่งใหญ่เกินคำว่าอำเภอ!”

แม่ ผอ. มีโอกาสได้ไปร่วมเป็นกรรมการตัดสินการประกวด “นางฟ้าจำแลง” ที่ วัดในเรืองศรี อ.วิเชียรบุรี งานนี้ไม่ได้มาเล่นๆ นะคะ ยิ่งใหญ่ระดับจังหวัด ขนาดไหนลองดูค่ะ!

🌟 ผู้เข้าประกวด 20 คน – แต่ละคนคือสวย เก่ง ฉลาด พรีเซนต์ตัวเองแบบมืออาชีพ
🌟 สปอนเซอร์กว่า 100 รายการ – มีทั้งเงินรางวัล ของขวัญ มงกุฎ สายสะพาย แจกกันแบบจุกๆ
🌟 รางวัลเยอะมาก – นอกจากนางฟ้าจำแลงและรองทั้ง 6 ยังมี รางวัลพิเศษ อีกเพียบ

🏆 มงต้องลง! รวมรางวัลสุดปังของเวทีนี้

👑 นางฟ้าจำแลง และรองทั้ง 6 – ครบเครื่องทั้งสวย บุคลิกดี และตอบคำถามเฉียบ
📸 ขวัญใจช่างภาพ – คนนี้ต้องโพสท่าสวยทุกช็อต!
👩‍👩‍👦 ขวัญใจแม่ออกค้ำ – เสน่ห์ต้องมัดใจเหล่าแม่ๆ เรียกไม้เสียบแบบผ้าป่าได้
🏡 ขวัญใจวิเชียรบุรี – ตัวแทนแห่งความภูมิใจของพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์
🔥 ขวัญใจเมรุมาศ – คนนี้ต้องไฟลุก น่ากลัวสุดในงาน
🇩🇪 ขวัญใจมาดามเยอรมัน – หรูหราดูแพง ข้ามทวีปไปเลยจ้า
🍬 นางงามโปกหวาน – หัวโปกสวยหวานแบบน้ำตาลเรียกพี่
🍗 นางงามเจ้าเนื้อ – ออร่าจับ น้ำหนักเฉียดร้อยโล เดินเต็มเวทีแบบตัวแม่

💥 การตัดสินสุดโหด – เพราะแต่ละคน “สวย ฉลาด และมีของ”

แม่ ผอ. ต้องบอกว่า ปีนี้ตัดสินยากมาก!
• ทุกคนเตรียมตัวมาดี – เดินสับ ตอบคำถามมีสตอรี่ บางคนคือเล่นใหญ่สมบทบาท
• เวทีนี้ไม่ใช่แค่ความสวย – แต่ต้องฉลาด และมีไหวพริบ
• บางคนพลาดเพราะสมาธิหลุด – ตอบคำถามดีแค่ไหน แต่ถ้าตื่นเต้นจนไปคนละเรื่องก็น่าเสียดาย
• “สวยครึ่ง ดวงจับคำถามครึ่ง” – ใครได้คำถามโดนใจก็คือพุ่งเลย

แต่ที่สุดแล้ว แพ้ชนะไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญกว่าคือ คุณเตรียมตัวมาตรงเวทีไหม?

🙏 งานบุญอลังการ รายได้เข้าวัด 76,000 บาท

นอกจากความสนุก งานนี้ยังเป็นงานบุญที่ช่วยวัดได้มหาศาล ยอดเงินทำบุญเข้าวัดสูงถึง 76,000 บาท 🎉

“สาวสองอย่างเรา สวย ฉลาด และใช้ความสามารถ ไม่ได้ใช้กำลัง” – ประโยคนี้คือนิยามของเวทีนี้จริงๆ ทุกคนคือพรีเซนต์ความสามารถของตัวเองได้อย่างเต็มที่

📢 ปีหน้าใครอยากมาสมัคร เตรียมตัวไว้เลย!

แม่ ผอ. ขอบอกเลยว่า ปีหน้าใครพลาดเสียดายมาก!
• สนุก!
• ได้โชว์ของ!
• ได้บุญ!

คืนนี้ (17 ก.พ. 68) งานยังมีต่อ! 🎤 “หมอลำระเบียบวาทศิลป์” พร้อมแสดง
🎶 ใครอยากสนุก เชิญมาเที่ยวและร่วมบุญกันค่ะ!

ครูเงินเดือน 5,000 กับความฝันที่ใหญ่กว่าตัวเลขในบัญชีแม่ ผอ. มีเรื่องราวของ “ครูอัตราจ้าง” คนหนึ่งมาเล่าให้ฟังค่ะครูคนนี...
17/02/2025

ครูเงินเดือน 5,000 กับความฝันที่ใหญ่กว่าตัวเลขในบัญชี

แม่ ผอ. มีเรื่องราวของ “ครูอัตราจ้าง” คนหนึ่งมาเล่าให้ฟังค่ะ

ครูคนนี้มีเงินเดือนแค่ 5,000 บาท ลูกเรียนที่โรงเรียนเดียวกันสองคน ป.3 กับ ป.4 ทุกวันนี้ต้องหมุนเงินเพื่อให้พอใช้จ่าย ทั้งค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าเรียนของลูก และยังต้องวางแผนเพื่อ เก็บเงินเรียนต่อ ป.บัณฑิต เพราะไม่ได้จบสายครูมาโดยตรง แต่ก็อยากเติบโตในเส้นทางนี้

พอแม่ ผอ. ได้ฟังเรื่องนี้ ใจหนึ่งก็สงสาร อีกใจหนึ่งก็คิดว่า “ถ้าเราเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาสได้ไหม?”
ครูเขาก็คิดแบบนี้เหมือนกันค่ะ!

“ทำเพจความรู้ – เปิดโอกาสให้ตัวเอง”

ครูอยากหารายได้เพิ่ม แม่ ผอ. เลยแนะนำว่า
• ทำ เพจสอนเด็ก หรือ เพจสอนครู ก็ได้
• สร้างคอนเทนต์ให้มีประโยชน์ เช่น ติวเด็ก, แนะแนวข้อสอบ, แชร์เทคนิคการสอน
• พอมีคนติดตามเยอะขึ้น ก็เปิดรับ โฆษณา – สปอนเซอร์ ได้

เพจความรู้ = รายได้
💡 ถ้ามี ครู หรือ ผู้ปกครอง มาติดตามเยอะ
💡 คนขายสื่อการสอน หรือ อุปกรณ์เรียน อาจอยากลงโฆษณา
💡 รับรีวิวสินค้า หรือ ขายคอร์สออนไลน์ได้

เริ่มยังไงดี?
1. เลือกแนวทางเพจ – จะสอนเด็กหรือสอนครู? หรือทั้งสองอย่าง?
2. โพสต์ให้สม่ำเสมอ – อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง
3. ใช้คลิปวิดีโอช่วย – เพราะคนชอบดูมากกว่าการอ่าน
4. เข้าไปคอมเมนต์ & แชร์ความรู้ ในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง
5. เริ่มหาสปอนเซอร์เล็กๆ – ร้านเครื่องเขียน, สำนักพิมพ์, คอร์สเรียน

แม่ ผอ. เป็นกำลังใจให้

ตอนนี้เงินเดือน 5,000 บาท แต่ถ้าสร้างเพจดีๆ รายได้อาจมากกว่านั้นหลายเท่า
ที่สำคัญคือ ได้ช่วยคนอื่นด้วย – ได้สอนเด็ก ได้แบ่งปันเทคนิคให้ครู ได้ทำสิ่งที่รัก

ครูอัตราจ้างเงินเดือนน้อย แต่ความสามารถไม่ได้มีขีดจำกัดนะคะ
ถ้ากล้าลอง กล้าทำ ความฝันก็ไม่ไกลเกินเอื้อม ✨

ใครอยากเริ่มทำเพจ แต่ยังไม่รู้จะเริ่มยังไง มาคุยกันได้นะคะ แม่ ผอ. พร้อมช่วยแนะนำค่ะ!

ทำยังไงให้ครูอยากอยู่กับโรงเรียนไปนาน ๆ?เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางโรงเรียน ครูอยู่กันยาวเป็นสิบปี แต่บางโรงเรียน ครูมาแล้วก็ไ...
17/02/2025

ทำยังไงให้ครูอยากอยู่กับโรงเรียนไปนาน ๆ?

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางโรงเรียน ครูอยู่กันยาวเป็นสิบปี แต่บางโรงเรียน ครูมาแล้วก็ไป ไม่ทันได้สนิทกันดี ก็ยื่นใบลาออกซะแล้ว?

แม่ ผอ. เชื่อว่า โรงเรียนที่ดีไม่ใช่แค่มีนักเรียนเก่ง แต่ต้องมีครูที่มีความสุขกับการทำงานด้วย เพราะ ถ้าครูอยู่แล้วมีความสุข เด็กก็จะได้รับการเรียนรู้ที่ดีขึ้น

วันนี้แม่ ผอ. มี 3 เทคนิคสำคัญที่จะช่วยให้ ครูอยากอยู่กับโรงเรียนไปนาน ๆ ไม่ใช่แค่เพราะไม่มีทางเลือก แต่เพราะ เขารู้สึกว่าที่นี่คือบ้าน

1. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี

โรงเรียนที่ดีต้องไม่ใช่แค่ “ที่ทำงาน” แต่ต้องเป็น “พื้นที่แห่งความสุข” ถ้าครูต้องมาโรงเรียนด้วยความเครียดทุกวัน สุดท้ายเขาก็จะมองหาที่อื่นที่ดีกว่า

🔹 ลดวัฒนธรรม “งานเอกสารเยอะ = ทำงานหนัก”
✅ ใช้เทคโนโลยีช่วยลดภาระเอกสาร
✅ แบ่งงานให้สมดุล อย่าให้ครูต้องทำทุกอย่างจนหมดไฟ

🔹 ส่งเสริม “ครอบครัวครู” ในโรงเรียน
✅ สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร ครูต้องรู้สึกว่ามีคนให้พึ่งพา
✅ จัดกิจกรรมทีมบิวดิ้ง เช่น ทริปสั้น ๆ หรือเวิร์กชอปแลกเปลี่ยนประสบการณ์

🔹 เปิดโอกาสให้ครูมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
✅ ให้ครูได้ออกความเห็นเรื่องการบริหาร
✅ ทำให้เขารู้สึกว่า “โรงเรียนนี้เป็นของพวกเรา ไม่ใช่แค่ของ ผอ.”

💡 ตัวอย่าง:
โรงเรียนหนึ่งมีปัญหาครูลาออกบ่อย เพราะงานหนักและไม่มีใครฟังเสียงของครู พอเปลี่ยนมาใช้แนวคิด “โรงเรียนเป็นของทุกคน” ให้ครูช่วยกำหนดกฎระเบียบภายใน ลดงานเอกสารที่ไม่จำเป็น ครูเริ่มรู้สึกมีตัวตน และอยู่กับโรงเรียนได้นานขึ้น

สรุป: วัฒนธรรมองค์กรที่ดี ต้องทำให้ครูรู้สึกว่าพวกเขามีคุณค่า และมีความสุขกับการทำงาน

2. ให้โอกาสพัฒนาตัวเอง

ครูที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เติบโต จะเริ่มหมดไฟ และมองหาที่ใหม่เสมอ เพราะไม่มีใครอยากทำงานแบบเดิม ๆ ไปตลอดชีวิต

🔹 สนับสนุนให้ครูเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
✅ ส่งเสริมให้ครูเข้าร่วมอบรมและเวิร์กชอป
✅ จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ เช่น PLC (Professional Learning Community)

🔹 ให้ครูได้ทดลองสิ่งใหม่ ๆ ในห้องเรียน
✅ อนุญาตให้ครูออกแบบการสอนของตัวเอง
✅ สนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม

🔹 ให้โอกาสก้าวหน้าในสายอาชีพ
✅ มีระบบพี่เลี้ยง (Mentorship) ช่วยให้ครูพัฒนาทักษะ
✅ เปิดโอกาสให้ครูได้เป็นผู้นำในโครงการต่าง ๆ

💡 ตัวอย่าง:
โรงเรียนหนึ่งมีปัญหาครูเก่งลาออกไปโรงเรียนอื่น เพราะไม่มีโอกาสเติบโต แต่พอปรับแนวทาง ให้ครูได้ทำโครงการพิเศษ และสนับสนุนให้เรียนต่อ ครูหลายคนเริ่มอยู่ต่อ เพราะมองเห็นอนาคตที่ชัดเจนในโรงเรียน

สรุป: ถ้าครูรู้สึกว่าโรงเรียนช่วยให้เขาพัฒนาตัวเอง เขาจะอยากอยู่ต่อ เพราะมองเห็นอนาคตของตัวเองที่นี่

3. สร้างสมดุลชีวิตและงาน (Work-Life Balance)

ครูที่ต้องทำงานหนักเกินไป จนไม่มีเวลาพัก ไม่มีเวลาสำหรับครอบครัว สุดท้ายก็จะหมดไฟและลาออก

🔹 ลดงานที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ครูมีเวลาโฟกัสกับการสอน
✅ ลดจำนวนประชุมที่ไม่สำคัญ
✅ ใช้ระบบดิจิทัลช่วยจัดการงานเอกสาร

🔹 ให้ครูมีเวลาพักผ่อนอย่างแท้จริง
✅ กำหนดเวลาเลิกงานที่เหมาะสม อย่าให้ครูต้องหอบงานกลับบ้านทุกวัน
✅ สนับสนุนให้ครูมีวันหยุดพักผ่อนจริง ๆ

🔹 สนับสนุนให้ครูดูแลสุขภาพกายและใจ
✅ จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ เช่น ออกกำลังกายร่วมกัน
✅ มีระบบสนับสนุนด้านสุขภาพจิต เช่น การให้คำปรึกษา

💡 ตัวอย่าง:
โรงเรียนหนึ่งพบว่าครูหลายคนลาออก เพราะงานหนักเกินไป จนไม่มีเวลาสำหรับครอบครัว โรงเรียนจึงเปลี่ยนนโยบาย ลดประชุม ลดเอกสารที่ไม่จำเป็น และให้ครูมีวันพักพิเศษสำหรับการพัฒนาตัวเอง → ทำให้ครูมีความสุขขึ้น และเลือกอยู่ต่อ

สรุป: ถ้าครูมีสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เขาจะไม่รู้สึกว่าการเป็นครูคือ “ภาระหนัก” แต่เป็นอาชีพที่เขาสามารถทำได้อย่างมีความสุข

สรุป: ทำยังไงให้ครูอยู่กับโรงเรียนไปนาน ๆ?

✅ สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี → ให้ครูรู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้าน ไม่ใช่แค่ที่ทำงาน
✅ ให้โอกาสพัฒนาตัวเอง → ครูต้องรู้สึกว่าเขาเติบโตและมีอนาคตที่นี่
✅ สร้างสมดุลชีวิตและงาน → อย่าให้ครูทำงานหนักจนหมดไฟ

🌟 โรงเรียนที่ครูอยากอยู่ ไม่ใช่แค่โรงเรียนที่ให้เงินเดือนดี แต่ต้องเป็นโรงเรียนที่ครูรู้สึกว่ามีคุณค่า และมีความสุขกับการทำงานด้วย

แล้วโรงเรียนของคุณล่ะ? มีวิธีทำให้ครูอยากอยู่ต่อไปนาน ๆ ยังไงบ้าง? มาแชร์กันได้เลย ❤️

แม่ ผอ. 🚀

ดราม่าในโรงเรียน รับมือยังไงให้จบแบบโปรโรงเรียนเป็นสังคมขนาดเล็กที่มีทั้ง ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และเจ้าหน้าที่ แน่นอนว่...
16/02/2025

ดราม่าในโรงเรียน รับมือยังไงให้จบแบบโปร

โรงเรียนเป็นสังคมขนาดเล็กที่มีทั้ง ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และเจ้าหน้าที่ แน่นอนว่าการอยู่ร่วมกันเยอะ ๆ ต้องมีดราม่าเป็นเรื่องปกติ

แม่ ผอ. เจอมาหมดแล้ว! ตั้งแต่ ครูทะเลาะกัน นักเรียนมีปัญหากัน ผู้ปกครองบ่นเรื่องโรงเรียน หรือแม้แต่ เจ้าหน้าที่ไม่ลงรอยกันเอง ถ้าจัดการไม่ดี ปัญหาเล็ก ๆ จะลุกลามกลายเป็นไฟลามทุ่ง!

วันนี้แม่ ผอ. จะมาแชร์ วิธีรับมือดราม่าให้จบแบบมืออาชีพ ไม่ใช่แค่ให้เรื่องเงียบไป แต่ทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจและเดินหน้าต่อไปได้

1. ตั้งสติ อย่าใช้อารมณ์แก้ปัญหา

เวลามีดราม่า ห้ามตอบโต้ทันที! เพราะถ้าใช้อารมณ์ จะทำให้เรื่องยิ่งบานปลาย

🔹 ฟังปัญหาให้ครบทุกด้าน
🔹 แยกแยะว่าเรื่องไหนคือ “ข้อเท็จจริง” และเรื่องไหนคือ “อารมณ์”
🔹 อย่าด่วนสรุปจนกว่าจะรู้ข้อมูลรอบด้าน

ตัวอย่าง:
ถ้ามีข่าวลือว่า “ครูดุลูกแรงไป ผู้ปกครองโวยในไลน์กลุ่ม”
✅ ต้องเช็กก่อนว่าครูพูดจริงไหม?
✅ เด็กมีพฤติกรรมยังไง?
✅ ผู้ปกครองได้รับข้อมูลจากใคร?

จำไว้ว่า: อย่าเพิ่งเข้าข้างใครจนกว่าจะได้ยินทุกมุม

2. เคลียร์แบบส่วนตัวก่อน อย่าปล่อยให้เป็นเรื่องสาธารณะ

ปัญหาหลายอย่างลุกลาม เพราะถูกขยายในที่สาธารณะ

❌ ผิดวิธี: ตอบโต้ในไลน์กลุ่ม หรือให้ข่าวโดยไม่ตรวจสอบ
✅ ถูกวิธี: นัดพูดคุยเป็นการส่วนตัวก่อน

📌 ถ้าเป็นปัญหาของ นักเรียน → คุยกับเด็กก่อน แล้วถึงผู้ปกครอง
📌 ถ้าเป็นปัญหาของ ครู → เรียกคู่กรณีมาพูดกันแบบเป็นกลาง
📌 ถ้าเป็นปัญหาใน ไลน์กลุ่ม → ขอให้ทุกคนคุยกันเป็นส่วนตัวก่อน

เคลียร์กันแบบเงียบ ๆ ปัญหาจบไว ไม่ต้องให้ทั้งโรงเรียนมารับรู้

3. ใช้หลัก “ฟังอย่างเข้าใจ” ก่อนหาทางออก

การพูดว่า “เรื่องมันก็แค่นี้ ทำไมต้องคิดมาก?” อาจทำให้ปัญหาหนักขึ้น

🔹 ใช้วิธี “ฟังเชิงลึก” → ฟังให้จบก่อน อย่าขัดกลางคัน
🔹 ถามกลับว่า “คุณรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้?”
🔹 แสดงความเข้าใจ เช่น “แม่ ผอ. เข้าใจว่ามันน่าหงุดหงิดนะคะ”

ถ้าทำให้ทุกฝ่ายรู้สึกว่าเขาได้รับการรับฟัง ปัญหาจะเบาลงครึ่งหนึ่ง

4. ใช้หลัก “Win-Win” หาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้

อย่าคิดว่าใครผิด-ใครถูก แต่ให้คิดว่า “จะแก้ยังไงให้ดีขึ้น?”

✅ ถ้าครูกับนักเรียนมีปัญหา → ให้ทั้งสองฝ่ายพูดความรู้สึก และหาทางออกที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้จากเหตุการณ์
✅ ถ้าผู้ปกครองกับโรงเรียนขัดแย้ง → เน้นการทำความเข้าใจ ไม่ใช่การเอาชนะ
✅ ถ้าครูกับครูทะเลาะกัน → สร้างเวทีพูดคุยแบบเปิดใจและให้เกียรติกัน

หลักสำคัญ:
💡 ทุกฝ่ายต้องรู้สึกว่าตัวเองไม่แพ้
💡 ทุกคนต้องได้อะไรบางอย่างจากการแก้ปัญหา

5. จบปัญหาแล้ว ต้องติดตามผล

หลายครั้งปัญหาจบไปแค่ภายนอก แต่ลึก ๆ ยังมีความไม่พอใจค้างอยู่

✅ ถามไถ่ภายหลัง → ว่าสิ่งที่ตกลงกันไว้เป็นไปตามนั้นไหม
✅ ดูพฤติกรรม → เช่น ถ้าครูกับนักเรียนเคยมีปัญหา ต้องดูว่าต่อไปความสัมพันธ์ดีขึ้นไหม
✅ ประเมินผล → ถ้าเป็นปัญหาเชิงนโยบาย ต้องดูว่ามีอะไรต้องปรับปรุงเพิ่มเติม

ถ้าไม่ติดตามผล เดี๋ยวปัญหาเดิมจะกลับมาใหม่!

6. อย่าปล่อยให้ดราม่าเกิดซ้ำ สร้างวัฒนธรรมเชิงบวกในโรงเรียน

ถ้าโรงเรียนมีปัญหาซ้ำ ๆ แสดงว่าระบบมีจุดอ่อน

🎯 วิธีสร้างบรรยากาศเชิงบวกเพื่อลดดราม่า:
✅ เปิดช่องทางให้คนระบายปัญหา – มีไลน์ส่วนตัวหรือกล่องรับฟังความคิดเห็น
✅ จัดเวทีพูดคุยกันบ่อย ๆ – ประชุมครูแบบเป็นกันเอง ลดความตึงเครียด
✅ สอนให้เด็กและครูใช้ “Growth Mindset” – เน้นการเรียนรู้จากปัญหา ไม่ใช่การตำหนิ

ถ้าโรงเรียนมีวัฒนธรรมเชิงบวก ดราม่าจะลดลงอัตโนมัติ

สรุป: วิธีรับมือดราม่าให้จบแบบโปร

✅ ตั้งสติ → อย่าใช้อารมณ์ ตัดสินใจแบบมีเหตุผล
✅ เคลียร์กันเป็นการส่วนตัว → อย่าปล่อยให้เป็นดราม่าสาธารณะ
✅ ฟังอย่างเข้าใจ → ทำให้ทุกฝ่ายรู้สึกว่าถูกรับฟัง
✅ ใช้แนวทาง Win-Win → หาทางออกที่ทุกคนพอใจ
✅ ติดตามผล → เช็กว่าปัญหาถูกแก้จริงหรือไม่
✅ สร้างวัฒนธรรมเชิงบวก → ลดโอกาสเกิดปัญหาซ้ำ

โรงเรียนที่ดีไม่ใช่โรงเรียนที่ไม่มีปัญหา แต่เป็นโรงเรียนที่รู้วิธีแก้ปัญหาให้ทุกฝ่ายรู้สึกดี

แล้วคุณล่ะ? เคยเจอดราม่าในโรงเรียนแบบไหนบ้าง? มาแชร์กันได้ แม่ ผอ. พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ❤️

10 นิสัยของ ผอ. ที่ทำให้โรงเรียนก้าวหน้าการเป็น ผู้อำนวยการโรงเรียน ไม่ใช่แค่ตำแหน่งที่นั่งเซ็นเอกสาร แต่คือ คนที่ต้องนำ...
16/02/2025

10 นิสัยของ ผอ. ที่ทำให้โรงเรียนก้าวหน้า

การเป็น ผู้อำนวยการโรงเรียน ไม่ใช่แค่ตำแหน่งที่นั่งเซ็นเอกสาร แต่คือ คนที่ต้องนำพาโรงเรียนให้ก้าวหน้า

แม่ ผอ. เชื่อว่า โรงเรียนจะดีได้ ผอ. ต้องมีแนวคิดและนิสัยที่ส่งเสริมการพัฒนา ไม่ใช่แค่สั่งงานไปวัน ๆ วันนี้เลยอยากมาแชร์ 10 นิสัยของ ผอ. ที่ทำให้โรงเรียนก้าวหน้า

1. มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

โรงเรียนต้องไปทางไหน? ถ้าตอบไม่ได้ ก็แปลว่าโรงเรียนยังไม่มีเป้าหมายที่ชัด

🎯 ผอ.ที่ดีต้อง มีภาพในหัวว่าโรงเรียนควรเป็นยังไงในอนาคต และสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจ ไม่ใช่แค่คิดอยู่คนเดียว

✅ ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้
✅ สร้างทิศทางที่ทุกคนเดินไปด้วยกัน
✅ ทำให้ครูและบุคลากรเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์

2. ฟังมากกว่าพูด

การเป็นผู้นำที่ดี ต้องฟังให้มาก เพราะถ้าฟังแต่เสียงตัวเอง เราอาจพลาดไอเดียดี ๆ

👂 ฟังครู → ว่าเขาต้องการอะไรเพื่อสอนเด็กให้ดีขึ้น
👂 ฟังนักเรียน → ว่าเขาอยากเรียนแบบไหน
👂 ฟังผู้ปกครอง → ว่าเขากังวลเรื่องอะไร

✅ เมื่อฟังแล้ว ต้องนำไปปรับปรุง ไม่ใช่ฟังแล้วเงียบ

3. กล้าตัดสินใจ

บางเรื่องต้องรีบตัดสินใจ เพราะโรงเรียนเป็นองค์กรที่มีชีวิต รอไม่ได้!

ผอ. ที่ดีต้อง…
✅ ตัดสินใจเร็ว แต่ต้องมีเหตุผล
✅ ไม่กลัวทำผิด แต่ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด
✅ ไม่โยนปัญหาให้คนอื่น รับผิดชอบเมื่อเกิดปัญหา

❌ อย่ามัวแต่รอประชุม หรือรอให้ทุกคนเห็นพ้องกัน 100% บางครั้งต้อง ลงมือทำเลย

4. มีภาวะผู้นำ แต่ไม่ใช่เผด็จการ

เป็นผู้นำ ไม่ใช่ผู้สั่ง

🤝 โรงเรียนจะพัฒนาได้ ต้องทำงานเป็นทีม ผอ.ที่ดีต้อง…
✅ มอบหมายงานให้คนอื่นทำ
✅ เชื่อมั่นในครูและบุคลากร
✅ เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม

❌ อย่าคิดว่าตัวเองต้องรู้ทุกเรื่อง

5. คิดเชิงบวก ไม่ท้อแท้กับอุปสรรค

การเป็น ผอ. ต้องเจอปัญหาทุกวัน ตั้งแต่เรื่องเอกสารยันเรื่องเด็กทะเลาะกัน

🧠 ผอ. ที่ก้าวหน้า ต้องคิดบวก
✅ เห็นปัญหาเป็นโอกาส
✅ ไม่โทษคนอื่น แต่หาทางแก้ไข
✅ สร้างบรรยากาศที่ดีให้โรงเรียน

ถ้าผู้นำ บ่นทุกวัน หงุดหงิดทุกเรื่อง คนอื่นในโรงเรียนก็หมดกำลังใจตาม

6. ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์

โรงเรียนยุคใหม่ ต้องก้าวทันโลก

💻 ผอ.ที่ดีต้องรู้จัก…
✅ ใช้โซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์โรงเรียน
✅ ใช้แอปพลิเคชันช่วยจัดการงานเอกสาร
✅ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในห้องเรียน

❌ อย่ากลัวเทคโนโลยี เรียนรู้ไว้ แล้วโรงเรียนจะเดินหน้าเร็วขึ้น!

7. มีความยืดหยุ่น ปรับตัวเก่ง

โลกเปลี่ยนแปลงทุกวัน โรงเรียนก็ต้องเปลี่ยนตาม

🔄 ผอ.ที่มีความยืดหยุ่น…
✅ ไม่ยึดติดกับระบบเดิม ๆ
✅ พร้อมเปลี่ยนแปลงเมื่อจำเป็น
✅ กล้าออกจาก Comfort Zone

❌ อย่าคิดว่า “เมื่อก่อนทำแบบนี้” แล้วจะใช้ได้ตลอดไป

8. ใส่ใจครูและนักเรียนเหมือนคนในครอบครัว

โรงเรียนไม่ใช่แค่สถานที่ทำงาน แต่คือบ้านหลังที่สองของทุกคน

💖 ผอ.ที่ดีต้อง…
✅ ใส่ใจความรู้สึกของครูและเด็ก
✅ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นในโรงเรียน
✅ เป็นที่พึ่งพาเมื่อมีปัญหา

เมื่อทุกคนรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นบ้าน เขาจะอยากพัฒนาโรงเรียนไปด้วยกัน

9. รู้จักสร้างเครือข่าย เชื่อมโยงกับชุมชน

โรงเรียนที่ก้าวหน้า ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว

🌍 ผอ.ที่ดีต้อง…
✅ หาความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน
✅ เชื่อมโยงกับชุมชนเพื่อพัฒนาโรงเรียน
✅ เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วม

❌ อย่าทำโรงเรียนเป็นโลกแคบ ๆ หาคนช่วยให้ถูก แล้วโรงเรียนจะโตเร็วขึ้น

10. ทำให้การพัฒนาโรงเรียนเป็นเรื่องสนุก

🎉 ถ้าอยากให้โรงเรียนพัฒนา ต้องทำให้ทุกคนรู้สึกสนุกกับมัน

✅ จัดกิจกรรมที่มีความหมาย
✅ ใช้การเล่นมาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน
✅ ทำให้โรงเรียนเป็นสถานที่ที่เด็กอยากมา ครูอยากทำงาน

ผอ. ที่สร้างพลังบวก จะดึงดูดให้ทุกคนอยากพัฒนาโรงเรียนไปด้วยกัน

สรุป: ผอ. แบบไหนที่ทำให้โรงเรียนก้าวหน้า?

✅ มีวิสัยทัศน์ชัด → มองเห็นอนาคตของโรงเรียน
✅ ฟังมากกว่าพูด → รับฟังความคิดเห็นของทุกคน
✅ กล้าตัดสินใจ → ไม่รอช้าเมื่อต้องทำ
✅ เป็นผู้นำที่ดี ไม่ใช่เผด็จการ
✅ คิดเชิงบวก ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค
✅ ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์
✅ ยืดหยุ่น ปรับตัวเร็ว
✅ ใส่ใจครูและเด็ก → ให้ทุกคนรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นบ้าน
✅ สร้างเครือข่าย เชื่อมโยงชุมชน
✅ ทำให้การพัฒนาโรงเรียนเป็นเรื่องสนุก

โรงเรียนที่ดีไม่ใช่โรงเรียนที่มีอาคารสวย แต่เป็นโรงเรียนที่มี ผอ. ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนอยากพัฒนาไปด้วยกัน

แล้วคุณล่ะ? คิดว่า ผอ. ที่ดีควรมีนิสัยอะไรอีก? มาแชร์กันได้นะ ❤️

แม่ ผอ. 🚀

วิธีเขียนแผนพัฒนาโรงเรียนให้ปัง!เคยเป็นไหม? เวลาจะเขียนแผนพัฒนาโรงเรียนทีไร มันรู้สึกเหมือนงานใหญ่โต ต้องนั่งกางเอกสารเต...
16/02/2025

วิธีเขียนแผนพัฒนาโรงเรียนให้ปัง!

เคยเป็นไหม? เวลาจะเขียนแผนพัฒนาโรงเรียนทีไร มันรู้สึกเหมือนงานใหญ่โต ต้องนั่งกางเอกสารเต็มโต๊ะ แต่สุดท้ายก็ยังไม่รู้จะเริ่มยังไงดี

แม่ ผอ. ขอบอกเลยว่า แผนพัฒนาโรงเรียนที่ดี ไม่จำเป็นต้องยาวเหยียดเป็นสิบ ๆ ร้อยๆ หน้า แต่ต้อง กระชับ เข้าใจง่าย และใช้ได้จริง ต่างหาก! วันนี้แม่ ผอ. จะมาแชร์ เทคนิคการเขียนแผนให้เป็นระบบ ที่ช่วยให้โรงเรียนพัฒนาไปข้างหน้าได้จริง ไม่ใช่แค่เอกสารที่อยู่บนหิ้ง

1. เริ่มจาก “ปัญหา” ที่แท้จริงของโรงเรียน

แผนพัฒนาที่ดีต้องเริ่มจาก “เรามีปัญหาอะไร?” ไม่ใช่เริ่มจาก “ต้องทำอะไร?”

ลองถามตัวเองว่า…
✅ ผลสัมฤทธิ์ของเด็กเป็นยังไงบ้าง?
✅ ครูมีปัญหาอะไรที่ต้องการการสนับสนุน?
✅ สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนเอื้อต่อการเรียนรู้ไหม?
✅ ความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชนเป็นยังไง?

ถ้าเราหาปัญหาที่แท้จริงเจอ แผนพัฒนาที่เราทำก็จะตรงจุด ไม่ใช่ทำเพราะต้องทำ

2. ตั้งเป้าหมายให้ชัด ไม่ต้องเวิ่นเว้อ

ปัญหามาแล้ว ต่อไปเราต้องตั้งเป้าหมาย

เป้าหมายที่ดีควรเป็น SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound)

ตัวอย่างเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน:
❌ “พัฒนาการเรียนการสอนให้ดีขึ้น” → แบบนี้กว้างเกินไป ไม่รู้จะพัฒนาอะไร

ตัวอย่างเป้าหมายที่ชัดเจน:
✅ “เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น ป.6 วิชาคณิตศาสตร์จาก 50% เป็น 70% ภายใน 1 ปี”

เห็นไหมว่าเป้าหมายที่ชัด จะทำให้เรารู้ว่าต้องทำอะไร และวัดผลยังไง

3. วางแผนเป็น “โครงการ” แยกย่อยให้เห็นภาพ

ถ้าเป้าหมายใหญ่โต เราต้องแบ่งเป็น “โครงการเล็ก ๆ” เพื่อให้ทำได้จริง

ตัวอย่าง:
🎯 เป้าหมาย: เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์
📌 โครงการที่ช่วยให้ถึงเป้าหมาย:
🔹 “Math Fun Camp” – ค่ายติวคณิตแบบสนุก ๆ
🔹 “ครูพี่เลี้ยงคณิต” – ให้เด็กที่เก่งช่วยติวเพื่อน
🔹 “เทคนิคคิดเลขเร็ว” – อบรมครูให้สอนแบบสนุกขึ้น

ทุกโครงการต้องตอบคำถามนี้:
✅ เป้าหมายคืออะไร?
✅ ทำอะไรบ้าง?
✅ ใครรับผิดชอบ?
✅ ใช้เวลานานแค่ไหน?
✅ ต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่?

แผนพัฒนาจะดูเป็นรูปธรรมขึ้น ถ้าทุกอย่างถูกจัดเป็นโครงการที่ชัดเจน

4. เขียนให้อ่านง่าย อย่าทำให้มันซับซ้อน

แผนพัฒนาโรงเรียนไม่ใช่งานวิจัย ไม่ต้องใช้ภาษายาก ๆ

❌ อย่าเขียนแบบนี้:
“เน้นการบูรณาการเชิงโครงสร้างและแนวทางปฏิบัติที่เอื้ออำนวยต่อการบรรลุผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ผ่านกระบวนทัศน์เชิงปฏิสัมพันธ์…”

✅ เขียนให้เข้าใจง่าย ๆ แบบนี้:
“จัดกิจกรรมเสริมทักษะคณิตศาสตร์ที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้จากการลงมือทำ และมีครูพี่เลี้ยงช่วยติวเพิ่มเติม”

Tips:
✅ ใช้ Bullet Point แทนย่อหน้าหนา ๆ
✅ ใช้ตารางช่วยจัดข้อมูล
✅ สรุปเป็น Infographic ถ้าเป็นไปได้

5. ใส่แผน “ติดตามผล” และ “ปรับปรุง” ตลอดทาง

แผนพัฒนาที่ดี ต้องมีระบบติดตามผล เพื่อดูว่าอะไรได้ผล อะไรต้องปรับปรุง

🔍 วิธีติดตามผลง่าย ๆ:
✅ สังเกตจากพฤติกรรมของนักเรียนและครู
✅ ใช้แบบสอบถามจากผู้ปกครอง
✅ เก็บข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของเด็กก่อน-หลังโครงการ

ถ้าทำไปแล้วผลไม่เป็นตามเป้า อย่ากลัวที่จะปรับแผน! เพราะแผนพัฒนาต้องยืดหยุ่น ไม่ใช่เอกสารตายตัว

สรุป: เขียนแผนให้ปัง ต้องทำยังไง?

✅ เริ่มจากปัญหาที่แท้จริง – อย่าเขียนแผนแค่ให้ดูดี
✅ ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน – ใช้หลัก SMART
✅ แบ่งเป็นโครงการเล็ก ๆ – ทำให้เป็นรูปธรรม
✅ เขียนให้เข้าใจง่าย – ใช้ภาษาที่ตรงไปตรงมา
✅ มีระบบติดตามผล – ปรับปรุงได้เมื่อจำเป็น

จำไว้ว่า แผนพัฒนาที่ดีต้องใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่ผ่านการตรวจเอกสาร

แม่ ผอ. เชื่อว่า ถ้าเราตั้งใจทำแผนให้ชัดเจนและปฏิบัติได้จริง โรงเรียนของเราจะพัฒนาไปข้างหน้าได้แน่นอน!

📌 แล้วที่โรงเรียนใช้วิธีไหนเขียนแผนกันบ้าง? มาแชร์กันได้นะ ❤️

บริหารโรงเรียนยังไงให้ผู้ปกครองรัก?เคยได้ยินไหมว่า “โรงเรียนที่ดีไม่ได้มีแค่ครูเก่งและนักเรียนดี แต่ต้องมีผู้ปกครองที่มี...
16/02/2025

บริหารโรงเรียนยังไงให้ผู้ปกครองรัก?

เคยได้ยินไหมว่า “โรงเรียนที่ดีไม่ได้มีแค่ครูเก่งและนักเรียนดี แต่ต้องมีผู้ปกครองที่มีความสุขและอยากมีส่วนร่วมด้วย”

สำหรับ แม่ ผอ. ที่ดูแลโรงเรียนขนาดเล็ก การได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองไม่ใช่แค่เรื่องของการขอความช่วยเหลือ แต่เป็นการสร้างเครือข่ายครอบครัวและโรงเรียนให้แน่นแฟ้น เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ และนี่คือ 3 วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้ผู้ปกครองรักและพร้อมสนับสนุนโรงเรียนของเรา

1. สื่อสารกับผู้ปกครองให้ชัดเจน

ไม่มีอะไรที่ทำให้ผู้ปกครองรู้สึกอึดอัดไปกว่าการ “ไม่รู้เรื่อง” หรือ “รู้ช้า”

แม่ ผอ. ใช้วิธี เปิดช่องทางสื่อสารที่เข้าถึงง่าย เช่น
✅ กลุ่มไลน์ผู้ปกครอง แต่อย่าปล่อยให้เป็นแค่ที่ส่งประกาศ ควรใช้พูดคุย ถามไถ่ และรับฟัง
✅ เพจโรงเรียน อัปเดตความเคลื่อนไหว ไม่ใช่แค่เรื่องเรียน แต่รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย
✅ นัดพบปะเป็นระยะ เช่น คุยกันหลังเลิกเรียน หรือจัดประชุมผู้ปกครองที่เน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

สำคัญ: พูดให้ง่าย ไม่ต้องใช้ภาษาทางการเกินไป และถ้าสื่อสารเรื่องสำคัญ เช่น ค่าใช้จ่ายหรือการเปลี่ยนแปลง ต้องแจ้งล่วงหน้าและให้ผู้ปกครองเข้าใจตรงกัน

2. เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วม

ผู้ปกครองไม่ได้อยากเป็นแค่ “คนส่งลูกไปโรงเรียน” แต่เขาอยากรู้ว่าโรงเรียนดูแลลูกเขายังไง และอยากมีบทบาทช่วยให้โรงเรียนดีขึ้น

แม่ ผอ. ใช้วิธี ให้ผู้ปกครองเข้ามามีบทบาทอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น
✅ ให้ผู้ปกครองเป็น “วิทยากร” ตามความถนัด เช่น พ่อเป็นช่างไฟ แม่ทำอาหารเก่ง ก็มาสอนเด็ก ๆ ได้
✅ จัด “วันผู้ปกครองอาสา” เปิดโอกาสให้ช่วยทาสี ซ่อมแซม หรือจัดกิจกรรมเล็ก ๆ ในโรงเรียน
✅ เปิดเวทีให้เสนอความคิดเห็น ฟังจริงและนำไปปรับใช้ ไม่ใช่ฟังเพื่อให้จบ ๆ ไป

เมื่อผู้ปกครองรู้สึกว่าความเห็นของเขามีค่า เขาจะยิ่งรักและอยากช่วยโรงเรียนของเรามากขึ้น

3. สร้างโครงการที่เชื่อมโยงครอบครัวและโรงเรียน

เด็ก ๆ จะเรียนได้ดีขึ้นถ้าบ้านและโรงเรียนทำงานไปในทิศทางเดียวกัน

แม่ ผอ. ใช้วิธีสร้าง กิจกรรมที่ดึงให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วม เช่น
✅ “ห้องเรียนพ่อแม่” – สอนเทคนิคเลี้ยงลูก การช่วยสอนการบ้าน หรือเรื่องสุขภาพจิตเด็ก
✅ “กิจกรรมครอบครัวอาสา” – ให้ครอบครัวช่วยกันปลูกต้นไม้ ทาสีสนามเด็กเล่น หรือดูแลความสะอาดโรงเรียน
✅ “ส่งเสริมอาชีพผู้ปกครอง” – ให้พ่อแม่มาเปิดบูธขายของในโรงเรียน สร้างรายได้และเชื่อมโยงชุมชน

สำคัญ: อย่าบังคับว่าผู้ปกครองต้องช่วยอะไร ให้เขาเลือกตามความสมัครใจ และทำให้การมีส่วนร่วมเป็นเรื่องสนุก ไม่ใช่ภาระ

สรุป: โรงเรียนที่ผู้ปกครองรัก คือโรงเรียนที่ฟังและให้โอกาส

แม่ ผอ. เชื่อว่า ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครอง จะทำให้เด็ก ๆ ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด เพราะเมื่อพ่อแม่และครูช่วยกัน โรงเรียนก็จะไม่ใช่แค่สถานที่เรียน แต่เป็น “บ้านหลังที่สอง” ของทุกคน

ถ้าโรงเรียนไหนยังรู้สึกว่า “ผู้ปกครองไม่ค่อยให้ความร่วมมือ” ลองปรับวิธีการดู เปิดใจรับฟัง อธิบายให้เข้าใจ และให้โอกาสพวกเขาได้มีบทบาท แล้วจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแน่นอน

โรงเรียนที่อบอุ่น ไม่ได้สร้างด้วยงบประมาณ แต่สร้างด้วยความเข้าใจระหว่างกัน

❤️ แม่ ผอ. ❤️

ที่อยู่

Phu Kradung
67170

เบอร์โทรศัพท์

+66995384280

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ แม่สุชา สาวสอง ผอ.โรงเรียนผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

วิดีโอทั้งหมด

แชร์