Live สวท.พะเยา

Live สวท.พะเยา สวท.พะเยา FM.95.25MHz. วิทยุให้ความรู้ คู่ความสุข คู่คนพะเยา รายการสวท.พะเยา
(1)

15/12/2024
กรมประมง เตรียมเสนอ 11 มาตรการ เร่งแก้ปัญหาโรคระบาดในกุ้ง ผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ จากกรณีที่สมาคมกุ้งไทยออกมาเปิดเผยถึงผ...
14/12/2024

กรมประมง เตรียมเสนอ 11 มาตรการ เร่งแก้ปัญหาโรคระบาดในกุ้ง ผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ
จากกรณีที่สมาคมกุ้งไทยออกมาเปิดเผยถึงผลผลิตกุ้งไทยปี 2567 ลดลงเหลือ 270,000 ตัน สาเหตุจากโรคระบาด ที่ฉุดราคากุ้งตกต่ำ ส่งผลให้สมาคมกุ้งไทย เสนอของบฯ 2,000 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหากุ้ง
ทั้งระบบ ในระยะยาว 3 ปี
นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง กล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ปัญหาโรคระบาดในกุ้งว่า
ผลการเฝ้าระวังโรคในกุ้งทะเลปี 2567 พบว่า แนวโน้มการตรวจพบเชื้อปรสิต EHP (Enterocytozoon hepatopenaei) ลดลง ในขณะที่แนวโน้มการตรวจพบเชื้อ EMS (Early mortality syndrome หรือการเกิดโรคที่รวดเร็วในช่วงระยะแรกของการเลี้ยง คือ โรคการตายก่อนเวลาที่กําหนด หรือโรคตายด่วน) สูงขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ อาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ของภาวะโลกร้อน (Global Warming) โดยกรมประมง ได้มีแนวทางการแก้ปัญหาโรคระบาดภายใต้งบประมาณที่ได้รับการจัดสรร ดังนี้
1. ให้บริการตรวจเฝ้าระวังโรคแก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเลตลอดห่วงโซ่การผลิต ได้แก่ โรงเพาะฟัก โรงอนุบาล ฟาร์มเลี้ยง สถานประกอบการส่งออกสัตว์น้ำ และสถานบรรจุสัตว์น้ำ มากกว่า 200,000 ตัวอย่าง
2. ให้บริการตรวจวินิจฉัยโรคในกุ้งทะเลป่วย พร้อมให้คำแนะนำแนวทางการแก้ไข
3. ให้บริการคลินิกเคลื่อนที่ (Mobile Clinic) ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงของการเกิดโรค โดยการตรวจสุขภาพกุ้งทะเลเบื้องต้น การอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกร และให้คำแนะนำเพื่อแก้ปัญหาการจัดการในฟาร์ม รวมทั้งการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุสมผล จำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ ระยอง นครปฐม นครศรีธรรมราช และชุมพร มีเกษตรกรเข้ารับบริการมากกว่า 200 ราย
4. เผยแพร่และประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ด้านโรค และการจัดการสุขภาพกุ้งทะเลตามหลักสุขอนามัย และความปลอดภัยทางชีวภาพขั้นพื้นฐาน
5. แจ้งเตือนเกษตรกรเพื่อเฝ้าระวังโรคในทุกฤดูกาล รวมทั้งในกรณีที่พบการแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่ จำนวน 5 ครั้ง ในหัวข้อต่าง ๆ ประกอบด้วย 1) การแจ้งเตือนการระบาดโรคตัวแดงดวงขาว 2)
การแจ้งเตือนการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศต่อสุขภาพสัตว์น้ำ 3) การแจ้งเตือนเกษตรกรเฝ้าระวังโรคสัตว์น้ำในช่วงปลายฝนต้นหนาว 4) การแจ้งเตือนการระบาดโรคแคระแกร็น และ 5)
การเตือนเกษตรกรเฝ้าระวังโรคสัตว์น้ำในช่วงฤดูฝน
6. อำนวยความสะดวกโดยเพิ่มช่องทางให้เกษตรกร สามารถติดต่อแจ้งกรมประมง เมื่อพบปัญหา
กุ้งทะเลป่วย ได้แก่ ช่องทางไลน์แอปพลิเคชัน และแพลตฟอร์มการรายงานโรค (กพส.สร.1)
7. สร้างเครือข่ายห้องปฏิบัติการในระดับพื้นที่ จำนวน 6 แห่ง ใน 3 จังหวัด ได้แก่ สงขลา นครศรีธรรมราช และเพชรบุรี เพื่อให้บริการตรวจสุขภาพกุ้งทะเลเบื้องต้นแก่เกษตรกรได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
8. จัดประชุมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และสร้างเครือข่ายผลิตกุ้งปลอดภัยไร้สารตกค้าง จำนวน 4 ครั้ง ในปี 2567 ได้แก่ ฉะเชิงเทรา สงขลา สุราษฎร์ธานี และจันทบุรี โดยมีเกษตรกรเข้าร่วมอบรมทั้งสิ้น 956 ราย และมีเจ้าหน้าที่กรมประมงลงพื้นที่เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เรื่องการใช้ยาและสารเคมีในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างต่อเนื่อง
เตรียม 11 มาตรการ เร่งแก้ไขปัญหาโรคระบาดในกุ้ง พร้อมเสนอเป็นวาระแห่งชาติ
ทั้งนี้ กรมประมงได้รับนโยบายจาก นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการผลักดันกุ้งทะเลเป็นวาระแห่งชาติ โดยเร่งจัดทำโครงการแก้ไขปัญหาโรคระบาดในกุ้งทะเล พร้อมเสนอกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาล ประกอบด้วย 11 มาตรการ ภายในวันที่ 17 ธันวาคม 2567 โดยมีการตั้งโจทย์ปัญหาที่ชัดเจน ครอบคลุมปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานกุ้งทะเล ผ่านการประชุมระดมความคิดเห็นกับผู้แทนผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน เน้นทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ แก้ปัญหาการเกิดโรคที่ต้นเหตุ ส่งเสริมให้เกษตรกร 9,000 ราย มีการปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี มีพันธุ์กุ้งทะเลคุณภาพสูงให้เลือกใช้ นำหลักการความปลอดภัยทางชีวภาพมาประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์ในการควบคุมและป้องกันโรคระบาด ควบคู่กับการเฝ้าระวังและควบคุมโรคที่เป็นระบบและต่อเนื่อง ลดการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงกุ้งทะเล โดยจะสนับสนุนผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ ปม. ให้แก่เกษตรกร
จัดตั้งศูนย์ผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ของกลุ่มเกษตรกรเพิ่มขึ้น 8 แห่ง
นอกจากนี้ ยังมีการเสนอโครงการขยายฐานการผลิตจุลินทรีย์เพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในปี 2568 เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และศักยภาพการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ของกรมประมงและกลุ่มเกษตรกรให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร โดยการขอจัดตั้งศูนย์ผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ของกลุ่มเกษตรกรเพิ่มขึ้น จำนวน 8 แห่ง จากปัจจุบันที่มีจำนวน 20 แห่ง รวม 28 แห่ง รวมถึงการเพิ่มศักยภาพให้กับหน่วยงาน
กรมประมงที่ดำเนินงานด้านจุลินทรีย์ เพื่อสนับสนุนทางด้านวิชาการให้กับศูนย์ผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ของ
กลุ่มเกษตรกร เพื่อให้ได้เชื้อจุลินทรีย์พื้นถิ่นที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละพื้นที่ รวมถึงผลักดันให้เกษตรกรนำนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ในการเลี้ยง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเกษตรแม่นยำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมความยั่งยืนของอุตสาหกรรมกุ้งทะเล

แนวทางการสื่อสาร
1. นำเสนอข้อชี้แจงของกรมประมง กระทรวงเกษตรฯ ในการเร่งแก้ปัญหาโรคระบาดในกุ้ง ทั้ง 8 แนวทาง
2. ติดตามการผลักดันให้การแก้ปัญหากุ้งทะเลเป็นวาระแห่งชาติ ภายใต้ 11 มาตรการ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใน 17 ธันวาคม 2567
แฮชแท็กเพื่อการสื่อสาร
#กรมประมงเตรียมเสนอ11มาตรการเร่งแก้ปัญหาโรคระบาดในกุ้งผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ
#กรมประมง #กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

รัฐบาลเปิดลงทะเบียน “ซิมนักเรียน” กว่า 3.5 แสนซิมทั่วประเทศ โครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบทสรุป  กองทุนเพื่อความเสมอภาค...
14/12/2024

รัฐบาลเปิดลงทะเบียน “ซิมนักเรียน” กว่า 3.5 แสนซิมทั่วประเทศ โครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
บทสรุป
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมมือกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ช่วยแก้ไขปัญหาเด็กนักเรียนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาหาความรู้ทางโลกออนไลน์ ผ่าน “ซิมนักเรียน” โครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แก้ไขปัญหาการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เพิ่มโอกาสทางการศึกษา จำนวน 357,000 ซิม ทั่วประเทศ โดยนักเรียนสามารถลงทะเบียนรับซิม
ที่เว็บไซต์ sim-student.nbtc.go.th ถึงวันที่ 15 มกราคม 2568 และสามารถใช้ซิมที่มีแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตฟรี
6 เดือน ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 กรกฎาคม 2568

รายละเอียด
(13 ธ.ค. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมมือกับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้ให้บริการเครือข่าย Infinite sim ช่วยแก้ไขปัญหาเด็กนักเรียนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาหาความรู้ทางโลกออนไลน์ ผ่าน “ซิมนักเรียน” จำนวน 357,000 ซิม (คน) ทั่วประเทศ โครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สำหรับนักเรียนยากจนพิเศษ หรือทุนเสมอภาค SIM CARD แห่งการเรียนรู้ ที่จะมาเปิดเน็ตให้น้อง สนับสนุนให้พร้อมเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ที่จะช่วยให้น้อง ๆ นักเรียนเรียนรู้ในโลกออนไลน์ได้มากขึ้น โดยครูสามารถแจ้งสิทธิ์ให้กับนักเรียนลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ sim-student.nbtc.go.th
โดย “ซิมนักเรียน” จะเชื่อมต่อนักเรียนเข้าสู่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่หลากหลาย และสอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของนักเรียน รวมถึงแพลตฟอร์มที่ช่วยด้านการค้นพบความสนใจของตนเอง และการแนะแนวอาชีพ ตลอดจนแพลตฟอร์มที่ส่งเสริมและให้คำแนะนำด้านสุขภาพใจ
ผู้ที่มีสิทธิลงทะเบียนรับ “ซิมนักเรียน”
• เป็นนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข (ประเมินรายได้โดยอ้อม Proxy Means Test: PMT ) หรือทุนเสมอภาค จำนวน 357,000 ซิม/สิทธิ/คน
• มีสัญชาติไทยที่มีบัตรประจำตัวประชาชน
• กำลังศึกษาอยู่ชั้น ป.6 และ ม.1 - ม.3 ในโรงเรียนสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) (ประเภทการกุศล) และ กทม.
โดย ระยะเวลาในการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ sim-student.nbtc.go.th เพื่อรับซิมการ์ด แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) นักเรียนยากจนพิเศษ ระดับชั้น ม.1 - ม.3 (ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 - 15 มกราคม 2568)
2) นักเรียนยากจนพิเศษ ระดับชั้น ป.6 (ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 - 15 มกราคม 2568)
ขั้นตอนการลงทะเบียนรับซิม
1. ลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ sim-student.nbtc.go.th จากนั้นกด “ลงทะเบียนรับซิมฟรี”
2. กรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลัก จากนั้นกด “ตกลง”
หมายเหตุ: กรณีกรอกเลข 13 หลักแล้วไม่พบรายชื่อและข้อมูลให้คุณครูตรวจสอบ ดังนี้ 1) เป็นนักเรียนที่ได้รับทุนเสมอภาค ที่ศึกษาในระดับชั้น ม.ต้น หรือ ป.6 หรือ 2) หากเคยลงทะเบียนขอรับซิมแล้ว จะไม่สามารถลงทะเบียนซ้ำได้ หากคุณสมบัติของนักเรียนถูกต้องแต่ไม่พบข้อมูล สอบถามที่
Line
3. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลนักเรียน จากนั้นกด “ไปต่อ”
4. เลือกเบอร์โทรศัพท์ “เบอร์ใหม่” หรือ “เบอร์เดิม” (แนะนำเลือกเบอร์ใหม่ เพื่อสามารถเปิดใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องดำเนินการย้ายค่าย)
5. เลือกเครือข่าย “Infinite” จากนั้นกด “ไปต่อ”
6. เลือกสถานที่รับซิมการ์ด จากนั้นกด “ยืนยัน” (แนะนำเลือก “รับที่โรงเรียน”)
7. ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน กด “ตรวจสอบสถานะ” เพื่อเช็กความเรียบร้อยในขั้นตอนสุดท้าย
ทั้งนี้ สามารถดูคลิปวิธีการลงทะเบียนรับซิมได้ที่ https://cutt.ly/xeZUxIlT ศึกษาคู่มือการลงทะเบียนรับซิมนักเรียนที่ https://cutt.ly/JeZUAp0t ตรวจสอบรายชื่อสถานศึกษาที่สามารถขอรับซิม https://cutt.ly/IeJtnwL8 หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเรื่องการเปิดใช้งานซิมและการใช้งานแพลตฟอร์มได้ที่ กสศ. Contact Center 02 – 0795475 วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.00 - 18.00 น. สำหรับเรื่อง
การเปิดใช้ซิมสอบถามได้ที่ Line
แนวทางการสื่อสาร
1. นำเสนอรายละเอียดโครงการ “ซิมนักเรียน” โครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สำหรับนักเรียนยากจนพิเศษ เพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในการศึกษาหาความรู้ทางโลกออนไลน์และเพิ่มโอกาสทางการศึกษา จำนวน 357,000 ซิม ทั่วประเทศ
2. ประชาสัมพันธ์ให้ครู และนักเรียนชั้น ป.6 และ ม.1 - ม.3 ลงทะเบียนรับ “ซิมนักเรียน” ผ่านเว็บไซต์
sim-student.nbtc.go.th ภายในวันที่ 15 มกราคม 2568
แฮชแท็กเพื่อการสื่อสาร
#รัฐบาลเปิดลงทะเบียนซิมนักเรียนกว่า3.5แสนซิมทั่วประเทศ #โครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง #กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

: ภาคใต้ฝนตกหนัก ปภ. ส่ง SMS แจ้งเตือนน้ำล้นตลิ่ง จ.นครศรีธรรมราช ขอให้ประชาชนขนย้ายสิ่งของและเคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางไป...
14/12/2024

: ภาคใต้ฝนตกหนัก ปภ. ส่ง SMS แจ้งเตือนน้ำล้นตลิ่ง จ.นครศรีธรรมราช ขอให้ประชาชน
ขนย้ายสิ่งของและเคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางไปยังพื้นที่ปลอดภัย

บทสรุป
(13 ธ.ค. 67) เวลา 12.00 น. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ส่งข้อความสั้น (SMS) แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงน้ำล้นตลิ่ง พื้นที่ลุ่มต่ำริมคลองทุ่งปรัง เขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช อ.เมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช ขอให้ประชาชนขนย้ายสิ่งของและเคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยสามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” หรือโทรสายด่วนนิรภัย (ปภ.) 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
ปัจจุบัน (14 ธ.ค. 67) เวลา 05.45 น. กรมทรัพยากรน้ำ แจ้งเตือนภัยวิกฤติ (สีแดง) บ้านหน้าเหมือง ต.ควนทอง อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ปริมาณฝนสะสม 12 ชั่วโมง 149.0 มิลลิเมตร ปริมาณฝนสะสม
15 นาที 1.0 มิลลิเมตร ระดับน้ำในคลองท่ากลางและห้วยดินสอ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ในพื้นที่
น้ำเริ่มล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ จากการตรวจสอบเรดาร์กรมอุตุนิยมวิทยา ยังมีกลุ่มเมฆฝนปกคลุมในพื้นที่ และแจ้งเตือนภัยวิกฤติ (สีแดง) บ้านเขาวง ต.ปากแพรก อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี ปริมาณฝนสะสม 12 ชั่วโมง 140.5 มิลลิเมตร ปริมาณฝนสะสม 15 นาที 1.5 มิลลิเมตร ขอให้เฝ้าระวังต่อเนื่อง

รายละเอียด
ปภ.แจ้งเตือนภัยระดับ 3 (สีเหลือง) ในพื้นที่เสี่ยงน้ำล้นตลิ่ง จ.นครศรีธรรมราช ให้ขนย้ายสิ่งของและเคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางไปยังพื้นที่ปลอดภัย
(13 ธ.ค. 67 เวลา 12.00 น.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ส่งข้อความสั้น (SMS) แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงน้ำล้นตลิ่ง พื้นที่ลุ่มต่ำริมคลองทุ่งปรัง เขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช อ.เมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช ขอให้ประชาชนขนย้ายสิ่งของและเคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยสามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” หรือโทรสายด่วนนิรภัย (ปภ.) 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง

กรมทรัพยากรน้ำ แจ้งเตือนภัยวิกฤติ
(14 ธ.ค. 67) เวลา 05.45 น. กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) แจ้งข้อมูลการเตือนภัย
เตือนภัยวิกฤติ (สีแดง) บ้านหน้าเหมือง ต.ควนทอง อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ปริมาณฝนสะสม 12 ชั่วโมง 149.0 มิลลิเมตร ปริมาณฝนสะสม 15 นาที 1.0 มิลลิเมตร ระดับน้ำในคลองท่ากลางและห้วยดินสอ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ในพื้นที่ น้ำเริ่มล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ จากการตรวจสอบเรดาร์กรมอุตุนิยมวิทยา ยังมีกลุ่มเมฆฝนปกคลุมในพื้นที่ แจ้งเฝ้าระวังต่อเนื่อง
เตือนภัยวิกฤติ (สีแดง) บ้านหนองบัว ต.ไชยมนตรี อ.เมืองฯ จ.นครศรีธรรมราช ปริมาณฝนสะสม 12 ชั่วโมง 119.5 มม. ระดับน้ำ 3.87 ม. ระดับวิกฤติ 3.0 ม. แนวโน้มเพิ่มระดับขึ้นต่อเนื่อง เฝ้าระวังพื้นที่ลุ่มต่ำ ตำบลไชยมนตรี ตำบลมะม่วงสองต้น บริเวณเขตเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราช
เตือนภัยวิกฤติ (สีแดง) บ้านเขาวง ต.ปากแพรก อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี ปริมาณฝนสะสม 12 ชั่วโมง 140.5 มิลลิเมตร ปริมาณฝนสะสม 15 นาที 1.5 มิลลิเมตร

อุตุนิยมวิทยา เตือนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมาก 14 - 16 ธันวาคม 2567
(14 ธ.ค. 67) เวลา 05.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเตือนฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้ และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย ฉบับที่ 10 (337/2567) มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 14 - 16 ธันวาคม 2567 เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทะเลอันดามันและด้านตะวันออกของประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากมีดังนี้
วันที่ 14 ธันวาคม 2567
ภาคใต้: จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา กระบี่ และตรัง
วันที่ 15 ธันวาคม 2567
ภาคใต้: จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ตรัง และสตูล
วันที่ 16 ธันวาคม 2567
ภาคใต้: จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง และสตูล
ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร
สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้
(14 ธ.ค. 67) เวลา 06.00 น. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสถานการณปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ จ.ชุมพร และ นครศรีธรรมราช และ จำนวน 7 อำเภอ 22 ตำบล 73 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 10,295 ครัวเรือน
1) จ.ชุมพร วันที่ 14 ธ.ค. 67 เกิดอุทกภัยในพื้นที่ 1 อำเภอ 4 ตำบล 9 หมู่บ้าน ได้แก่ ต.ตะโก ช่องไม้แก้ว ตะไคร้ ปากตะโก อ.ทุ่งตะโก ประชาชนได้รับผลกระทบ 345 ครัวเรือน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิต หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว (ปริมาณฝนสูงสุด อ.เมืองฯ 265.9 มม. ข้อมูลจาก สสน. ฝนสะสม 24 ชม.) ปัจจุบันคลองหลังสวนระดับน้ำเพิ่มขึ้น
2) จ.นครศรีธรรมราช เกิดอุทกภัยในพื้นที่ 6 อำเภอ 18 ตำบล 64 หมู่บ้าน ได้แก่ อ.ชะอวด เฉลิมพระเกียรติ เมืองฯ ปากพนัง เชียรใหญ่ พระพรหม ประชาชนได้รับผลกระทบ 9,950 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 3 ราย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือ ประกาศเขตฯ พื้นที่การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) 13 อำเภอ (นาบอน เชียรใหญ่ ทุ่งสง เมืองฯ จุฬาภรณ์ สิชล ชะอวด เฉลิมพระเกียรติ พระพรหม ร่อนพิบูลย์ พรหมคีรี บางขัน พิปูน) 52 ตำบล 315 หมู่บ้าน/ชุมชน (ปริมาณฝนสูงสุด อ.นบพิตำ 264.5 มม. ข้อมูลจาก สสน. ฝนสะสม 24 ชม.) ปัจจุบันคลองท่าดีระดับน้ำเพิ่มขึ้น

ปภ. ส่งทีมส่วนหน้าให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้
(13 ธ.ค. 67) นายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นำทีม กอปภ.กลาง (ส่วนหน้า) ติดตามการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 ภาคใต้ โดยได้ลงพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนราธิวาส 5 อำเภอ ประกอบด้วย อ.เมืองนราธิวาส ตากใบ สุไหงโก-ลก แว้ง และ สุไหงปาดี
ซึ่งประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ได้เข้ามายื่นคำร้องขอรับเงินเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาทแล้ว โดยหลังจากนี้ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะทำการประชาคมหมู่บ้านเพื่อส่งข้อมูลให้กับคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) ให้ความเห็นชอบก่อนส่งข้อมูลมายังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวบรวมและนำส่งข้อมูลให้กับธนาคารออมสินโอนเงินให้กับผู้ประสบภัยต่อไป จากจากนี้ ปภ. ยังสั่งการวางกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลสาธารณภัยของ ปภ. อยู่ในพื้นที่พร้อมช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างรวดเร็ว

แนวทางการสื่อสาร
1. ประชาสัมพันธ์การแจ้งเตือนฝนตกหนัก พื้นที่เสี่ยงน้ำล้นตลิ่ง จากกรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมทรัพยากรน้ำ เพื่อให้ประชาชนขนย้ายสิ่งของและเคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้ทันสถานการณ์
2. ประชาสัมพันธ์ช่องทางการขอรับการความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้ประชาชนติดต่อเมื่อ
เกิดภัยในพื้นที่
แฮชแท็กเพื่อการสื่อสาร
#ภาคใต้ฝนตกหนัก #ปภส่งSMSแจ้งเตือนน้ำล้นตลิ่งนครศรีธรรมราช #กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
#กรมทรัพยากรน้ำ #กรมอุตุนิยมวิทยา #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

รัฐบาลขับเคลื่อน นโยบาย Digital ส่งผลเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตสูงกว่าเศรษฐกิจโดยรวม กว่า 2 เท่า ในปี 2567บทสรุปนางสาวแพทองธา...
14/12/2024

รัฐบาลขับเคลื่อน นโยบาย Digital ส่งผลเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตสูงกว่าเศรษฐกิจโดยรวม กว่า 2 เท่า ในปี 2567
บทสรุป
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านดิจิทัล และเร่งให้รัฐบาลผลักดันภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เผยแพร่ตัวเลขเศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2567 พบว่า เศรษฐกิจดิจิทัลช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดย Broad Digital GDP (มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลแบบกว้าง) ประมาณการขยายตัว 5.7 คิดเป็น 2.2 เท่า ของ GDP โดยรวมที่ขยายตัวร้อยละ 2.6 ในด้านการค้าต่างประเทศ คาดว่าการส่งออกสินค้าและบริการดิจิทัล จะขยายตัวร้อยละ 17.2 คิดเป็น 2.8 เท่า ของการส่งออกสินค้าและบริการโดยรวมที่ขยายตัวร้อยละ 6.1 โดยรัฐบาลเร่งผลักดันและส่งเสริมการลงทุนเรื่อง cloud services และ data centers ตลอดจนการลงทุนที่เกี่ยวข้องด้านดิจิทัล เชื่อว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจดิจิทัลขยายตัวอย่างดี ในปี 2567 และสูงกว่าเศรษฐกิจโดยรวม กว่า 2 เท่าตัว
ในปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศด้านดิจิทัลขยายตัวร้อยละ 5.71 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว ร้อยละ 2.75 ตามการขยายตัวของการผลิตในทุกหมวดอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่ขยายตัวสูงสุด 2 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (+12.64%) และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
(+10.00%) ในปี 2568 และ 2569 การลงทุนด้านดิจิทัลภาคเอกชน จะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมีนัยยะสำคัญ
รายละเอียด
(13 ธ.ค. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล
เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เผยแพร่ตัวเลขเศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2567 การดำเนินโครงการฯ เรื่อง Thailand Digital Economy 2024 พบว่า ปี 2567 เศรษฐกิจดิจิทัลช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดย Broad Digital GDP (มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลแบบกว้าง) (ราคาที่แท้จริง หรือ CVM) ประมาณการว่าขยายตัว 5.7 คิดเป็น 2.2 เท่า ของ GDP โดยรวมที่ขยายตัวร้อยละ 2.6 (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประมาณการ) ในด้านการค้าต่างประเทศ คาดว่าการส่งออกสินค้าและบริการดิจิทัล (ราคาที่แท้จริง หรือ CVM) จะขยายตัวร้อยละ 17.2 คิดเป็น 2.8 เท่า ของการส่งออกสินค้าและบริการโดยรวมที่ขยายตัวร้อยละ 6.1 (สศช. ประมาณการ)
“รัฐบาลก่อนหน้าและรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร รวมทั้งตนให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านดิจิทัล รวมทั้งเร่งผลักดันภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ได้มีการส่งเสริมการลงทุนเรื่อง cloud services และ data centers ตลอดจนการลงทุนที่เกี่ยวข้องด้านดิจิทัล เชื่อว่าส่งผลให้เศรษฐกิจดิจิทัลขยายตัวอย่างดี ในปี 2567 สูงกว่าเศรษฐกิจโดยรวม กว่า 2 เท่าตัว”
สรุปประมาณการเศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2567
นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ คณะกรรมการดีอี ได้สรุปประมาณการเศรษฐกิจดิจิทัลที่สำคัญ ในปี 2567 ดังนี้
1. เศรษฐกิจโดยรวม
Broad Digital GDP (CVM) (มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลแบบกว้าง วัดราคาที่แท้จริง) มีมูลค่า 4.44 ล้านล้านบาท มีการขยายตัว ร้อยละ 5.7 จากปี 2566 และคิดเป็นการขยายตัว 2.2 เท่า ของการขยายตัวของ GDP โดยรวมที่ขยายตัวร้อยละ 2.6 (ศสช. ประมาณการ) แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโต
2. ด้านการลงทุน
การลงทุนด้านดิจิทัลภาคเอกชน (CVM) มีการขยายตัวร้อยละ 2.8 จากปี 2566 ในขณะที่การลงทุนด้านดิจิทัลภาครัฐขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 จากปี 2566 ปัจจัยสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ ที่ขยายตัวจากฐานที่ติดลบในปีก่อนหน้า
3. ด้านการบริโภค
การบริโภคภาคเอกชนในอุตสาหกรรมดิจิทัลขยายตัวร้อยละ 5.6 สูงกว่าการขยายตัวของการบริโภคของประเทศที่เท่ากับร้อยละ 4.8 สำหรับการบริโภคภาครัฐ ขยายตัวร้อยละ 11.4 จากการเร่งการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สินค้าดิจิทัลเป็นสินค้าที่มีความต้องการบริโภคในระดับสูงทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน
4. ภาคการค้าและบริการ
ในปี 2567 มูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการอุตสาหกรรมดิจิทัล ขยายตัวร้อยละ 17.2 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 5.1 สอดคล้องกับทิศทางการส่งออกสินค้าและบริการของประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 6.1 จากเดิมที่ขยายตัวร้อยละ 2.1 ในปีที่ผ่านมา ในด้านการนำเข้าสินค้าและบริการดิจิทัลขยายตัวร้อยละ 9.0 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ขยายตัวร้อยละ 3.0 ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการนำเข้าสินค้าและบริการของประเทศ
อุตสาหกรรมดิจิทัล จึงเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในการสร้างเม็ดเงินจากเงินตราต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศไทยยังคงพึ่งพาสินค้าดิจิทัลทั้งที่เป็นสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นสุดท้าย ตลอดจนสื่อดิจิทัลคอนเทนต์จากต่างประเทศ จึงทำให้เมื่อการส่งออกสินค้าขยายตัวจะมีผลทำให้การนำเข้าเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
5. ภาคการผลิต
ในปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศด้านดิจิทัลขยายตัวร้อยละ 5.71 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว ร้อยละ 2.75 ตามการขยายตัวของการผลิตในทุกหมวดอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่ขยายตัวสูงสุด 2 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (+12.64%) และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (+10.00%) นอกจากนี้ เมื่อวิเคราะห์ที่มาของการเติบโต (Source of growth) พบว่า เกือบร้อยละ 80 ของการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศด้านดิจิทัลเป็นผลจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (+1.90%) อุตสาหกรรมบริการดิจิทัล (+1.36%) และอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ (+1.27%)
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าการขยายตัวของอุตสาหกรรมหมวดโทรคมนาคมมีผลต่อการเติบโตโดยรวมสูงเกือบ 1 ใน 3 ของการขยายตัวทั้งหมด โดยกิจกรรมการผลิตที่ขยายตัวสูงในปีนี้ ได้แก่ การผลิตเคเบิลเส้นใยนำแสง การขายส่งและการขายปลีกโทรศัพท์ และอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม
• เศรษฐกิจดิจิทัลในปี 2567 ขยายตัวได้ดี และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยการลงทุนและการบริโภคภาครัฐด้านดิจิทัล รวมทั้งการส่งออกสินค้าและบริการดิจิทัล เป็นปัจจัยหลักในการส่งเสริมการเติบโตด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย การลงทุนด้านดิจิทัลภาคเอกชนยังไม่ขยายตัว
• เชื่อว่าในปี 2568 และ 2569 การลงทุนด้านดิจิทัลภาคเอกชน จะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมีนัยยะสำคัญอย่างแน่นอน
แนวทางการสื่อสาร
1. นำเสนอการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เผยแพร่ตัวเลขเศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2567 ประมาณการขยายตัว 5.7 คิดเป็น 2.2 เท่าของ GDP (ขยายตัวร้อยละ 2.6) คาดการส่งออกสินค้าและบริการดิจิทัลโดยรวมขยายตัวร้อยละ 6.1 เป็นปัจจัยสำคัญเพื่อเร่งผลักดันสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล
2. นำเสนอข้อมูลและการคาดการณ์การขยายตัวในการลงทุนด้านดิจิทัล เชื่อว่าปี 2568 และ 2569 การลงทุนด้านดิจิทัลภาคเอกชน จะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
แฮชแท็กเพื่อการสื่อสาร
#รัฐบาลขับเคลื่อนนโยบายDigitalส่งผลเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตสูงกว่าเศรษฐกิจโดยรวมกว่า2เท่าในปี2567
#กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม #สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
#นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

13/12/2024

รายการ พัฒนาฝีมือแรงงานพบคุณ
วันที่ 13ธันวาคม 2567

ช่วยกันผลักดัน รถโดยสารรอบเวียงพะเยา🎯ถ้าท่านเคยใช้บริการ "รถโดยสารฯ" ในจังหวัดพะเยา..ช่วยตอบแบบสำรวจฯ ด้วยจ้า👉 ...
13/12/2024

ช่วยกันผลักดัน รถโดยสารรอบเวียงพะเยา

🎯ถ้าท่านเคยใช้บริการ "รถโดยสารฯ" ในจังหวัดพะเยา..ช่วยตอบแบบสำรวจฯ ด้วยจ้า👉
...

คำชี้แจง: แบบสอบถามนี้จัดทำขึ้นเพื่อสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดระบบขนส่งผู้โดยสารรอบเมืองพะเยา เพื...

13/12/2024

รายการ ป๊ะกั๋นที่บ้านเฮา
วันที่ 13 ธันวาคม 2567

12/12/2024

รายการ อู้ข่าวจาวเหนือ โดยอ้ายแก้ว สวท.พะเยา 12 ธันวาคม 2567

12/12/2024

รายการ ผู้ว่าฯ พบประชาชน
วันที่ 12 ธันวาคม 2567

11/12/2024

รายการ "เพื่อนชีวิต" วันที่ 11 ธันวาคม 2567

11/12/2024

รายการ ใต้สันติสุข วันที่ 11 ธันวาคม 2567

“พาณิชย์” เดินหน้าแก้ปัญหาธุรกิจนอมินี บังคับใช้กฎหมายเข้มสร้างความเป็นธรรมผู้ประกอบการไทยบทสรุปนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รั...
10/12/2024

“พาณิชย์” เดินหน้าแก้ปัญหาธุรกิจนอมินี บังคับใช้กฎหมายเข้มสร้างความเป็นธรรมผู้ประกอบการไทย
บทสรุป
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2 ร่วมกับ นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ 16 หน่วยงาน หลังมีข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ห่วงใยต่อปัญหาสินค้านำเข้าไม่มีคุณภาพมาตรฐานและธุรกิจต่างประเทศที่ผิดกฎหมายส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงสั่งการให้เร่งแก้ปัญหาให้เห็นผลชัดเจนภายใน 3 เดือน (ภายในปี 2567) โดยจัดตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด 1. คณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทย และแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ 2. คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว เพื่อขับเคลื่อนแผนงาน ทั้งในระยะสั้น-กลาง-ยาว ซึ่งแผนระยะสั้นและ
ผลการดำเนินงานที่เห็นผลแล้ว อาทิ กรมศุลกากร จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากผู้นำเข้าสินค้าต่างประเทศกว่า 823 ล้านบาท ( ก.ค. - พ.ย. 67) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ตรวจสอบสินค้ามาตรฐานบังคับดำเนินคดี 59 คดี มูลค่ากว่า 33 ล้านบาท และการลักลอบสินค้าจากจีนผ่านช่องทาง e-Commerce ลดลงร้อยละ 27 เหลือเฉลี่ยเดือนละ 2,279 ล้านบาท (จากเดิมเดือนละ 3,112 ล้านบาท)
ในปี 2568 จะเพิ่มมาตรการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพิ่มบุคลากรปฏิบัติงาน ตลอดจนเชื่อมโยงข้อมูล และพัฒนาระบบ AI เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการปฏิบัติงาน ประสานความร่วมมืออย่างเข้มข้น ป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) โดยให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรับเรื่องร้องเรียนความผิดเกี่ยวกับนอมินี เพื่อป้องกันและปราบปรามจริงจัง ที่ผ่านมา
(1 ก.ย. - 4 ธ.ค. 67) ดำเนินคดีได้ทั้งหมด 747 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 11,720 ล้านบาท ทั้งนี้ สามารถแจ้งข้อมูลต่าง ๆ มาที่สายด่วน 1570 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

รายละเอียด
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2 (9 ธ.ค. 67) ร่วมกับ นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ 16 หน่วยงาน
นายพิชัย กล่าวว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อปัญหาสินค้านำเข้า
ไม่มีคุณภาพมาตรฐานและธุรกิจต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน จึงสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ 16 หน่วยงาน เร่งแก้ปัญหาให้เห็นผลชัดเจนภายใน 3 เดือน (ภายในปี 2567) โดยจัดตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด ดังนี้
1. คณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทย และแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ
2. คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว
โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนภินทร ศรีสรรพางค์) เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ เพื่อขับเคลื่อนแผนงานให้เห็นผลที่ชัดเจน ทั้งในระยะสั้น-กลาง-ยาว สรุปผลได้ ดังนี้
1. ด้านการป้องกันและกำกับดูแล แผนระยะสั้นและผลการดำเนินงานที่เห็นผลแล้ว อาทิ
• กรมศุลกากร จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากผู้นำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ประมาณ 823 ล้านบาท (ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค. - พ.ย. 67) กำกับดูแลการนำเข้า โดยเพิ่มอัตราการเปิดตู้สินค้า FCL (Full Container Load) จากเดิมร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 30 เข้มข้นในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่ผ่านด่านมุกดาหาร และนครพนม และ X-ray ตู้แบบ 100%
• สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพิ่มจำนวนการเก็บตัวอย่างสินค้าเพื่อตรวจสอบสารพิษตกค้างเป็น 10 เท่า จากเดิม 500 ตัวอย่าง/ปี เป็น 5,000 ตัวอย่าง/ปี และเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจสอบจาก 3 วัน เหลือใช้เวลาเพียง 1 วัน นอกจากนี้ มีการตรวจสอบสถานประกอบการ 34 แห่ง พบการกระทำผิดตามกฎหมายของ อย. 30,393 รายการ
• สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพิ่มความถี่ในการตรวจสอบสินค้ามาตรฐานบังคับที่วางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์จากเดิม 1,080 URL/เดือน เป็น 1,620 URL/เดือน และมีการตรวจสอบดำเนินคดี 59 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 33 ล้านบาท
• สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ตรวจสอบสินค้าตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค พบการกระทำผิด 159 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 28 ล้านบาท และจากการตรวจสอบที่เข้มข้น พบว่า การนำเข้าสินค้าจากจีนผ่านช่องทาง e-Commerce ลดลงร้อยละ 27 เหลือเฉลี่ยเดือนละ 2,279 ล้านบาท (จากเดิมก่อนมีมาตรการเฉลี่ยเดือนละ 3,112 ล้านบาท)
เดินหน้าทั้งระบบตามแผนในปี 2568
สำหรับแผนระยะถัดไปที่จะดำเนินการในปี 2568 จะเพิ่มมาตรการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพิ่มบุคลากรปฏิบัติงาน ตลอดจนเชื่อมโยงข้อมูล และพัฒนาระบบ AI เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการปฏิบัติงาน อาทิ
• กรมศุลกากร ปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบบริหารความเสี่ยงคัดกรองสินค้าที่ผิดกฎหมาย
• อย. จะเพิ่มจำนวนการเก็บตัวอย่างสินค้าเกษตรเพื่อตรวจสารปนเปื้อนเป็น 200 ตัวอย่าง/วัน หรือ 73,000 ตัวอย่าง/ปี และของบประมาณในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการ ณ ด่านอาหารและยาที่มีปริมาณการนำเข้าสินค้ามาก 4 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือเชียงของ และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
• สมอ. เพิ่มการตรวจสอบสินค้ามาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็น 3,000 URL/เดือน พัฒนาระบบ AI และเร่งเพิ่มจำนวนสินค้ามาตรฐานบังคับที่เหลือ 53 มาตรฐาน
• กรมการค้าต่างประเทศ เร่งพิจารณาคำขอใช้มาตรการ AD/AC/SG กับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยลดระยะเวลาการพิจารณาภายใต้กรอบเวลาตามกฎหมาย และระยะยาว จะเร่งผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โดยที่ประชุม ยังได้เห็นชอบให้มีการจัดทำ MOU ระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับ e-Commerce แพลตฟอร์ม โดยใช้มาตรการ Notice and Takedown เพื่อขอความร่วมมือให้แพลตฟอร์มนำสินค้าไม่มีคุณภาพมาตรฐาน ไม่ติดฉลากภาษาไทย หรือละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาออกจากแพลตฟอร์มซึ่งจะช่วยคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้เข้าถึงสินค้าไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน โดยคาดว่าจะลงนาม MOU ได้ ภายในต้นปี 2568
2. การส่งเสริมและต่อยอด SMEs ที่ประชุมได้มีการกำหนดแผนกิจกรรมทั้งการอบรมผู้ประกอบการเพื่อพัฒนาศักยภาพและเพิ่มมูลค่าสินค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มสัดส่วนมูลค่าทางเศรษฐกิจของ SMEs ต่อ GDP จาก 35.2% ในปี 2566 เป็น 40% ในปี 2570
3. การป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเกี่ยวกับการปราบปราม/ดำเนินคดี และตรวจสอบนิติบุคคลที่กระทำความผิดนอมินี (Nominee) รวมทั้งได้มอบกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรับเรื่องร้องเรียนความผิดเกี่ยวกับนอมินี เพื่อเป็นหน่วยงานกลางในการรับเรื่องร้องเรียนและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ร่วมมือกับทุกประเทศพัฒนาธุรกิจที่ถูกต้อง
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า “หลังจากที่มีการประชุมครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 30 ต.ค. 67 คณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการแล้วมีผลการดำเนินงานเป็นรูปธรรมชัดเจน มีการลดลงของสินค้านำเข้าและมีการแก้ไขเรื่องต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จากนี้ได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ภายใต้กรรมการชุดนี้ดำเนินการอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลต้องระวังความรู้สึกของประเทศจีนด้วย
ได้มีการหารือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย (8 ธ.ค.67) ระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนเหมือนป่าไม้ใหญ่ บางครั้งป่าไม้จะมีหนอนบ้าง ต้องกำจัดหนอนทิ้ง และป่าไม้ก็จะเติบโตอุดมสมบูรณ์ต่อไป ความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนต้องพัฒนาต่อไป สำหรับการลงทุนที่มาถูกต้องเพื่อให้เศรษฐกิจไทยดีก็เป็นสิ่งที่ต้องส่งเสริม แต่ปัญหาที่มีอยู่เป็นเรื่องส่วนน้อย เปรียบเหมือนหนอน เราต้องกำจัดหนอนออกไป ภาพใหญ่คือความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนที่จะต้องดำเนินต่อไป และจะทำกับทุกประเทศไม่ใช่เฉพาะกับประเทศจีน การตรวจสอบนอมินีจะมีหลายประเทศที่เกี่ยวข้อง อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าเราตรวจทุกประเทศเท่ากันหมด ซึ่งจะดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อไปผ่านหน่วยงานต่าง ๆ”
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. - 4 ธ.ค. 67 สามารถดำเนินคดีได้ทั้งหมด 747 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 11,720 ล้านบาท คือผลการดำเนินการที่เข้มข้นของทุกหน่วยงาน ซึ่งจะร่วมกันทำงานแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากับทุกหน่วยงาน เพื่อให้ดูถึงบริษัทนอมินีที่มีความเสี่ยง โดยสามารถแจ้งข้อมูลต่าง ๆ มาที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่สายด่วน 1570 และในระยะยาวเราจะแก้กฎหมายบางฉบับ เพื่อให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีอำนาจในการไม่จดทะเบียนการค้าให้กับบุคคลที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นอาชญากรข้ามชาติ และคณะกรรมการจะประชุมผลการดำเนินการทุกไตรมาสและรายงานเข้าสู่คณะรัฐมนตรีให้รับทราบอีกครั้งหนึ่ง

แนวทางการสื่อสาร
1. นำเสนอการบูรณาการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ 16 หน่วยงาน เพื่อส่งเสริมและยกระดับ SME ไทย แก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ ป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) โดยขับเคลื่อนให้เห็นผลเป็นรูปธรรมทั้งระยะสั้น-กลาง-ยาว
2. นำเสนอผลการปราบปรามอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การจัดเก็บภาษีของสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ
การจับกุมสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และการลักลอบสินค้าจากจีนลดลงกว่า 2,000 ล้านบาท/เดือน เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ประกอบการ SMEs ของไทย
3. นำเสนอมาตรการและข้อมูลการปราบปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) จับกุมแล้วกว่า 747 คดี มูลค่ากว่า 11,720 ล้านบาท (1 ก.ย. - 4 ธ.ค. 67) และจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรับเรื่องร้องเรียนความผิดเกี่ยวกับนอมินี สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วน 1570 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
แฮชแท็กเพื่อการสื่อสาร
#พาณิชย์เดินหน้าแก้ปัญหาธุรกิจนอมินีบังคับใช้กฎหมายเข้มสร้างความเป็นธรรมผู้ประกอบการไทย
#กระทรวงพาณิชย์ #กระทรวงการคลัง #กระทรวงอุตสาหกรรม #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

ที่อยู่

507 หมู่1
Phayao
56000

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 16:30
อังคาร 08:00 - 16:30
พุธ 08:00 - 16:30
พฤหัสบดี 08:00 - 16:30
ศุกร์ 08:00 - 21:30

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Live สวท.พะเยาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

วิดีโอทั้งหมด

แชร์


Phayao บริษัท สื่ออื่นๆ

แสดงผลทั้งหมด