Freelance for Free Life

  • Home
  • Freelance for Free Life

Freelance for Free Life อาชีพอิสระ เพื่อ ฅนอิสระ

สื่อกลาง เพื่อการสื่อสาร ข้อมูลการประกอบอาชีพอิสระต่างๆ
เพื่อให้เพื่อนพ้องน้องพี่มาขายดี ขายดี มี ชีวิตที่ดีกันซะนะ พวกเรา ^^
จัดทำขึ้นโดยไม่หวังผลตอบแทน เพียงส่งเรื่องมา ผมยินดีส่งต่อให้
ขอเพียงไม่ผิดกฏหมายและศีลธรรม

21/10/2025

"ความเสี่ยงเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ดีหรือไม่เลว สิ่งที่สำคัญคือคุณจัดการกับมันอย่างไร"

- Pat Yarrington (อดีต CFO ของ Chevron) -

#สื่อสถาบันความรู้และสังคมของนักลงทุน #การเงิน #ความมั่งคั่ง #ความสำเร็จ #ประสบความสำเร็จ #ทัศนคติ #แรงบันดาลใจ #ธุรกิจ #ธุรกิจออนไลน์ #คำคม #คำคมชีวิต #พลังบวก #กำลังใจ #ปรัชญา #หนังสือ #พัฒนาตัวเอง #ข้อคิด #แนวคิด #คิดบวกเสมอ

20/10/2025

| ทำทันที

19/10/2025

ทิศทางราคาทองคำในประเทศรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 20-24 ต.ค.68 จากการสำรวจ GRC Gold Survey โดย ศูนย์วิจัยทองคำ

19/10/2025

ถ้าเราควบคุมความมั่งคั่งของเราได้ เราจะร่ำรวยและเป็นอิสระ แต่ถ้าความมั่งคั่งมาควบคุมเรา เราก็จะยากจนแน่นอน | เอ็ดมันด์ เบิร์ก

19/10/2025

[ ] ‘การมีพอแล้ว’ คือสิ่งที่คนรวยไม่ค่อยมี 5 วิธีคิดให้รวยแบบยั่งยืนของชายอัจฉริยะผู้เอาชนะทั้งตลาดหุ้นและลาสเวกัสด้วย “สมการคณิตศาสตร์”
ถ้ามีใครสักคนที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “เราสามารถเอาชนะทั้งเกมคาสิโน เกมตลาดหุ้น และเกมชีวิตได้จริง” คนคนนั้นคือ Ed Thorp ชายผู้ใช้หลักการทางคณิตศาสตร์และวิธีคิดเฉียบคม เปลี่ยนความน่าจะเป็นให้เป็นโอกาส
บทความนี้ถอดบทเรียนมาจากบทสนทนาระหว่างเขาและทิม เฟอร์ริส (Tim Ferriss) ผู้เขียนหนังสือ The 4 Hour Workweek ที่ ธอร์ปไม่ได้พูดแค่ “กลยุทธ์ลงทุน” แต่สอนวิธีคิดแบบเดียวกับที่ทำให้เขาไม่เพียงแค่รวย แต่ยังใช้ชีวิตได้อย่างยั่งยืน มีสติ และมีคุณค่าต่อคนรอบข้าง
[ 5 บทเรียนของ Ed Thorp ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณคิดใหม่ ]
📍1. อย่ายึดติดกับภาพระยะสั้น จนพลาดภาพใหญ่ที่คุ้มค่ากว่า
ธอร์ป เล่าเรื่องเพื่อนคนหนึ่งที่พลาดโอกาสครั้งใหญ่ เพราะมองแค่ราคาบ้านวันนี้ ช่วงปี 1989 - 1990 เพื่อนของเขาอยากขายบ้านราคา 3.25 ล้านเหรียญ แต่ตอนนั้นตลาดอสังหาฯ เป็นขาลง มีคนเสนอซื้อที่ 3 ล้านเหรียญ Thorp แนะนำให้ขาย แล้วเอาเงินไปลงทุนในหุ้น เพราะตลาดหุ้นมีโอกาสโตมากในทศวรรษนั้น
แต่เพื่อนเขาเลือก…รอ
ผลคือ ต้องรออีก 10 ปี ถึงจะขายได้ในราคาที่ต้องการ และเสียโอกาสในการทำกำไรในหุ้นที่อาจเติบโตไป 2–3 เท่าของเงินต้น หรือราว 6–8 ล้านเหรียญ
นี่คือบทเรียนคลาสสิกของ “การคิดระยะสั้น” ที่ทำให้ต้นทุนโอกาสสูงลิ่ว
📍2. การกลัวการเปลี่ยนแปลงทำให้คนทนอยู่กับสภาพแวดล้อมแย่ๆ
เฟอร์ริส ได้ถาม ธอร์ป ตรงๆ ว่า
“ทำไมคุณคิดว่าคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเวลาลงทุน ถึงแย่กับการมองการณ์ไกลได้ไม่ดี?”
ธอร์ป อธิบายว่า คนส่วนใหญ่ โฟกัสกับสิ่งรอบตัวในทันที และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ มากกว่าที่จะมองไปข้างหน้า เขายกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า…
มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้จัก เป็นทนายความที่เก่งมาก เธอทำงานหนักและทุ่มเทกับสิ่งดีๆ ที่อยากสร้างให้สังคม แต่…องค์กรนั้นกลับบริหารจัดการได้แย่มาก และเธอก็กลายเป็นเหมือน “เหยื่อ” ของความล้มเหลวจากการจัดการ
สำหรับคนนอกอย่างเขา เขามองแล้วรู้สึกว่า มันชัดเจนมากว่าเธอควรเอาความสามารถไปใช้ในที่ที่เหมาะสมกว่านี้ แต่สำหรับเจ้าตัวเอง การจะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงกลับเป็นเรื่องยากมาก เพราะมันไม่สบายใจ มันฝืนธรรมชาติของเธอ
ธอร์ป บอกอีกว่า เวลาเราดูสถานการณ์ของเพื่อนหรือคนรู้จัก เรามักจะ “มองเห็นภาพใหญ่” ได้ดีกว่า และคิดว่าเขาควรจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอเป็นเรื่องของตัวเอง เรากลับมองไม่ออก หรือรู้สึกกลัวที่จะทำ
📍3. ตัวเลขก็หลอกเราได้ ถ้ารู้ไม่เท่าทัน
ในโลกที่ข่าวเต็มไปด้วยเปอร์เซ็นต์และสถิติที่ทำให้เข้าใจผิด ธอร์ปแนะให้เราเป็นคนที่รู้เท่าทันตัวเลข (numeracy) เช่น “ค่าเฉลี่ย” ไม่ได้บอกทุกอย่าง เขายกตัวอย่าง ถ้า Elon Musk เดินเข้าบาร์ ค่าเฉลี่ยความรวยของคนทั้งร้านจะพุ่งขึ้นหลายพันล้านทันที ทั้งที่ “การกระจาย” จริงไม่ได้เปลี่ยน
เขาแนะนำ 2 วิธีง่ายๆ
✅ เรียนรู้สถิติเบื้องต้น เช่น หนังสือ Schaum’s Outline of Statistics
✅ ฝึกคำนวณในใจ เช่น ใช้ Rule of 72 (สูตร 72 ÷ อัตราดอกเบี้ย = ระยะเวลาที่เงินจะโตเป็นสองเท่า)
และอย่าลืมพลังของการทบต้น… เลิกบุหรี่วันละ 15 ดอลลาร์ อาจแปลเป็นเงินครึ่งล้านใน 60 ปีได้
📍4. ถือยาวแม้จะเป็นวิธีที่ดี แต่มันก็อาจไม่เหมาะกับทุกคน
กลับมาที่เรื่องเพื่อนของธอร์ป ทิมถามกับเขาว่าถ้าวันนั้นเพื่อนคนนั้นจะเอาเงินขายบ้านไปลงทุน และในที่สุดตลาดหุ้นก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งตลาดแย่ๆ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ เขาจะแนะนำการตัดสินใจอย่างไร?
คำตอบของ ธอร์ป สรุปได้เป็น 2 หลักคิดสำคัญ
👉เตือนให้เตรียมใจไว้ก่อนว่า…มันจะไม่ราบรื่น
ถ้าคุณเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ “มีความเสี่ยง แต่มีโอกาสดีในระยะยาว” คุณต้องรู้ไว้เลยว่า
“ระหว่างทางคุณจะถูกเขย่าแรงหลายครั้ง” ตลาดจะผันผวนหนักเป็นช่วงๆ คุณต้องพร้อมที่จะถือครองไปให้นานพอ เพื่อ “ข้ามหลุมบ่อ” เหล่านั้นไปให้ได้
👉 ถามว่ารอไหวแค่ไหน?
ธอร์ป บอกว่า คำแนะนำเรื่องการถือยาวนี้ เหมาะกับคนที่มีฐานะมั่นคงพอสมควร ยกตัวอย่างเพื่อนเขา อายุราว 50 ปี ยังมีงาน มีสินทรัพย์อื่นๆ ต่อให้ตลาดหุ้นตก 50% เขาก็ยังรอได้ เพราะไม่มีแรงกดดันให้ต้องขายทันที
คนส่วนใหญ่ที่มีเงินทุนน้อย มักถูก “บังคับให้ตัดสินใจทันที” และมักเป็นทางเลือกที่ไม่ดี
ถ้ายังไม่ต้องใช้เงินในอีกหลายปี คุณก็มีสิทธิ์ลงทุนยาวได้สบาย
แต่ถ้าเงินก้อนนั้นคือเงินเกษียณ หรือเงินใช้จ่ายประจำวัน คุณต้อง “ระวังให้มาก”
ต้องวางแผนให้มันอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่เสี่ยงเกินจนกระทบชีวิต
[ 🔍 นี่คือเหตุผลที่นักวางแผนการเงินส่วนใหญ่แนะนำให้เรา DCA และลืมบัญชีลงทุนนั้นไปเลย ]
📍5.สุขภาพที่ดีและการรู้จักพอนั้นสำคัญเสมอ
ใน Podcast แม้ธอร์ปจะมีอายุถึง 89 ปี แต่เขาก็ยังดูสดใสเหมือนคนอายุ 60 ธอร์ปได้แบ่งปัน ปรัชญาการดูแลสุขภาพแบบป้องกันไว้ก่อนโดยการ
- รู้จักตัวเองผ่านการวัด เขาชั่งน้ำหนักทุกเช้าและจดบันทึกจนติดเป็นนิสัย วิธีนี้ช่วยปรับพฤติกรรมโดยไม่รู้ตัว เขารักษาน้ำหนักให้อยู่ในช่วง 151 - 158 ปอนด์สม่ำเสมอ เพราะรู้ว่าตัวเองเป็น “รูปร่างแอปเปิ้ล” (ลงพุง) เขาจึงระวังเรื่องอาหารและกิจกรรมเป็นพิเศษ
- หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น เช่น ในช่วงที่มีโควิด เขาก็ต้องหลีกเลี่ยงการพบคน ไปไหนก็ต้องใส่หน้ากากอนามัย หรือที่เขายกแนวคิดของ Milton Friedman มาก็คือการไม่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อประหยัด 20 วินาทีในการข้ามถนนในนิวยอร์ก
- ลดความเครียด เขาผ่อนคลายด้วยการฟังเพลง (คลาสสิก แจ๊ส เพลงเก่า) และเดินเล่นปล่อยใจคิดอย่างอิสระ (เขาชอบเดินไกลอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง เข้ายิมอาทิตย์ละ 2 ครั้ง))
- ใช้ “scrap time” ให้คุ้มค่า ธอร์ปบัญญัติคำนี้ขึ้นมาเอง หมายถึงการใช้เวลาว่างเล็กๆ ให้เป็นประโยชน์ เช่น บริหารคอ-ไหล่ตอนติดไฟแดง หรือยืดเส้นยืดสายขณะรอหมอ เปลี่ยนช่วงเวลาน่าเบื่อให้กลายเป็นโอกาสดูแลตัวเอง
- จงมีสิ่งที่คนรวยไม่ค่อยมี — ในช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์เขาบอกว่า เขามีสิ่งที่คนที่รวยมหาศาลไม่มี แม้ว่าชายคนนั้นจะมีรถหรู มีเครื่องบิน วิลล่าและนางแบบสาวๆ แต่สิ่งที่เขาคนนั้นไม่มีแบบเขาก็คือ “การมีพอแล้ว (I have enough)”
สรุป: การตัดสินใจการเงินที่ดี ไม่ได้มาจากการเดาอนาคตถูก แต่มาจากความพร้อมที่จะอดทนกับความไม่แน่นอน และอยู่ในเกมให้นานพอ
#การเงิน #การเงินส่วนบุคคล #หลักการลงทุน

18/10/2025

หลักการ: “Connecting the dots backward”

- คุณไม่สามารถเชื่อมจุดไปข้างหน้าได้
- ทำได้เพียงเชื่อมโยงแบบย้อนกลับ
- ใช้ความรู้เดิม เป็นสะพานสู่ความรู้ใหม่

เมื่อได้ความรู้ใหม่ → หาความเชื่อมโยงกับสิ่งที่รู้อยู่แล้ว

= เข้าใจความรู้ใหม่ไปตลอดชีวิต

วิชานอกห้อง | ปลดล็อกตัวเองไปให้ไกล

16/10/2025

ความจริงที่คุณต้องยอมรับ:

ถ้าคุณอยากเล่นเกมยาว
คุณต้องเต็มใจล้มเหลว

เพราะคนที่ไปได้ไกลที่สุด ไม่ใช่คนที่ไม่เคยพลาด
แต่เป็นคนที่พลาดแล้วเรียนรู้เร็วกว่าคนอื่น

กลัวความล้มเหลว = อยู่กับที่
เรียนรู้จากความล้มเหลว = เติบโตเร็วกว่าใคร

วิชานอกห้อง | ปลดล็อกตัวเองไปให้ไกล

14/10/2025

[ ] อย่าเพิ่งมั่นใจว่าคุณรู้ ถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ วิธีคิด Two-Track Thinking ของ Charlie Munger เพื่อตัดสินใจได้ฉลาดขึ้นในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งชี้นำ
เราตัดสินใจทุกวัน แหล่งข้อมูลหลายแห่งบอกว่าวันหนึ่งราวๆ 30,000 - 35,000 ครั้งด้วยซ้ำ ซึ่งความจริงอาจจะไม่ได้เยอะขนาดนี้ เพียงแต่ตัวเลขนั้นน่าจะมากกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้แต่แรกอย่างแน่นอน
บางการตัดสินใจเล็กจนเราไม่รู้ตัว บางการตัดสินใจใหญ่จนเปลี่ยนทั้งชีวิต
แต่สิ่งที่เรามักไม่ค่อยคิด “กรอบคิด” ที่จะมาช่วยทำให้การตัดสินใจเหล่านี้ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เราต้องเลือกทางที่ ‘ดีที่สุด’ (ไม่ได้การันตีว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบที่เราคาดหวังหรือต้องการนะครับ) ท่ามกลางความไม่แน่นอนแบบนี้?
หลายคนอาจจะคิดว่า ‘เฮ้ยยย…เราเป็นมนุษย์มีเหตุผลนะ ตัดสินใจอะไรก็ต้องเป็นคนมีเหตุผลสิ’
แต่ถ้าหายใจลึกๆ และมองอย่างไม่มีอคติอย่างแท้จริง เราจะทราบดีว่าในการตัดสินใจของเราบ่อยครั้งไม่ใช่การตัดสินใจของเราจริงๆ สาขาที่เลือกเรียนในมหาวิทยาลัย งานที่ทำ โทรศัพท์มือถือที่ใช้งาน หุ้นที่ลงทุน หนังสือที่อ่าน และอีกหลายอย่างมากมายในชีวิตเรามักได้รับอิทธิพลจากสิ่ง/สื่อ/คนรอบตัวมากกว่าที่เราคิดเสมอ
ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) อดีตนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง เพื่อนสนิทและหุ้นส่วนคนสำคัญของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เคยพูดไว้ใน A Lesson on Elementary Worldly Wisdom ว่า การตัดสินใจที่ดีไม่ใช่เรื่องซับซ้อน มันคือเรื่องของ “วิเคราะห์แบบคู่ขนาน” (Two-track Thinking) — คิดอย่างมีเหตุผลหนึ่งด้านหนึ่ง และคิดเข้าใจจิตใต้สำนึกอีกด้านหนึ่ง ควบคู่กันไป
โดยหลักการของมันคร่าวๆ คือ
หนึ่ง คือดูตามเหตุผลจริง ๆ ว่ามีปัจจัยอะไรที่ควบคุมผลลัพธ์
สอง คือดูว่า สมองเรากำลังหลอกเราอยู่หรือเปล่า
มันอาจจะดูเรียบง่าย แต่จริง ๆ แล้วนี่คือหนึ่งในแนวคิดที่ทรงพลังที่สุดในการตัดสินใจ เพราะมันไม่เพียงสอนให้ “คิดให้ถูก” แต่สอนให้ “ไม่ถูกหลอกโดยความคิดของตัวเอง” ด้วย
เพราะความผิดพลาดส่วนใหญ่ของมนุษย์ไม่ได้มาจากการขาดเหตุผล แต่มาจากการไม่เข้าใจว่า ตัวเองกำลังคิดผิดอยู่มากกว่า
🧲 [ เข้าใจแรงที่กำลังเล่นอยู่ (The Forces at Play) ]
ทุกการตัดสินใจในชีวิตเรามี “แรง” อยู่เบื้องหลังเสมอ แรงเหล่านี้อาจเป็นข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่เรารู้จักดี แต่มันก็อาจเป็นสิ่งที่เราไม่รู้เลยว่ามีอยู่ มังเกอร์เรียกสิ่งนี้ว่า “Circle of Competence” หรือ “วงกลมแห่งความรู้” ที่เป็นขอบเขตของสิ่งที่คุณเข้าใจจริง ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง แต่คุณต้องรู้ให้ได้ว่า “คุณไม่รู้อะไร” เพราะถ้าคุณรู้ว่าคุณไม่รู้ คุณจะระวังตัวมากขึ้น
สิ่งที่พอจะทำได้คือลองตั้งคำถามมากขึ้น และจะไม่มั่นใจเกินเหตุ เช่น ลองนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในสายเทคโนโลยีที่เข้าใจซอฟต์แวร์ดีมาก จึงตัดสินใจลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี แต่พอเห็นเพื่อน ๆ พูดถึงหุ้นน้ำมันที่ราคากำลังขึ้นรีบตามไปซื้อ ทั้งที่ไม่เข้าใจอุตสาหกรรมนั้นเลย
ทีนี้พอหุ้นน้ำมันขึ้น เขาอาจจะคิดว่าตัวเองเก่งมาก (ทั้งๆ ที่แค่โชคดี ผลลัพธ์ที่ดี อาจจะไม่ได้มาจากการตัดสินใจที่มีเหตุผลก็ได้) เลยทุ่มเงินลงไปอีก ต่อมาหุ้นร่วง ขาดทุนติดดอย ตอนนี้เริ่มไม่สบายใจแล้วเพราะด้วยความไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ จะขายหรือถือต่อ ลำบากแล้ว ต้องวิ่งไปถามคนอื่น เริ่มโทษเศรษฐกิจ ข่าวที่ได้ยินมา เพื่อนที่ไม่ยอมบอก ฯลฯ
พอผลลัพธ์ดีคนมักคิดว่ามาจากฝีมือ พอผลลัพธ์ไม่ได้ดั่งใจเรากลับโทษโชคชะตา มันเป็นแบบนั้นเสมอ
ปัญหาของเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเราไม่เก่ง แต่เพราะก้าวออกจาก “วงความรู้ของตัวเอง” ในขณะที่ยังไม่พร้อม
🪤 [ เมื่อความมั่นใจกลายเป็นกับดัก ]
เราทุกคนอยากคิดว่าตัวเองมีเหตุผล แต่จิตใต้สำนึกของเรามีวิธีหลอกเรามากกว่าที่คิด
เราอาจใช้ข้อมูลเพียงไม่กี่ตัวอย่างแล้วรีบสรุป (Small sample bias)
เราเชื่อในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อ เพราะมันรู้สึกปลอดภัย (Social proof bias)
เรายึดติดกับสิ่งที่เคยพูดไว้ เพราะกลัวเสียหน้า (Consistency bias)
หรือบางครั้งเรายอมทำตามคำพูดของ “คนที่ดูเก่งกว่า” โดยไม่คิดเอง (Authority bias)
ครั้งหนึ่งผมได้คุยกับ 'พี่ชิต' หรือ พ.อ. ดร.วิชิต ซ้ายเกล้า เป็นที่รู้จักในนามเจ้าของ CHIT BEER แบรนด์คราฟต์เบียร์ไทยบนเกาะเกร็ดและหนึ่งใน Bitcoiner ชื่อดังของไทย เขาเล่าถึงการลงทุนอสังหาฯ ของตัวเองตอนที่กลับมาจากต่างประเทศแรกๆ
ตอนนั้นซื้อคอนโดฯ ย่านท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง เจอทั้งกระแสและคำส่งเสริมการขายบอกว่าพื้นที่แถวนี้กำลังก่อสร้าง มีห้างและคอมมูนิตี้มอลเปิดใหม่ๆ อีกเพียบเลย ตอนนั้นเห็นแต่โอกาส ไม่ได้ดูข้อมูลเชิงลึก ไม่ได้คิดเรื่องภาระผ่อน แต่เพราะกลัวพลาดโอกาส จึงรีบเซ็นไปก่อนเลย แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน โครงการรอบข้างเกิดใหม่อีกเพียบเลย ทีนี้จะขายก็ขายไม่ได้ต้องถือภาระไว้แบบนั้นนานหลายปี ราคากลับนิ่งสนิท เพราะอุปทานล้นตลาด
บ่อยครั้งที่เราไม่ได้ตัดสินใจจากข้อมูล แต่จาก “อารมณ์ของฝูงชน”
เห็นคนทำ ก็ทำตามบ้าง เป็นพฤติกรรมเลียนแบบ เวลาคนล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ มักไม่ใช่เพราะปัจจัยเดียว แต่มักมีแรงหลายแรงผลักไปในทิศทางเดียวกัน
อคติทางความคิดหลายอย่างรวมตัวกันเป็นเหมือนความมั่นใจที่อาจกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่โดยไม่รู้ตัว
🎯 [ เอาตัวรอดยังไงดี? ]
ในแต่ละการตัดสินใจ ลองใช้สูตรสองขั้นของมังเกอร์ดูครับ
ขั้นที่หนึ่ง: ถามตัวเองว่า
* อะไรคือปัจจัยจริง ๆ ที่ส่งผลต่อเรื่องนี้?
* ฉันอยู่ในวงความรู้ของตัวเองไหม?
* หรือแค่กำลังแกล้งทำเป็นรู้?
ขั้นที่สอง: ตรวจสอบจิตใต้สำนึก
* ฉันมั่นใจเกินไปหรือเปล่า?
* ฉันเชื่อเพราะคนอื่นเชื่อไหม?
* ฉันแค่ยึดติดกับสิ่งที่เคยพูดไว้หรือเปล่า?
ยกตัวอย่าง :
สมมติคุณกำลังตัดสินใจลาออกจากงานประจำไปเริ่มธุรกิจส่วนตัว
ถ้าคุณใช้ “ขาที่หนึ่ง” คุณจะดูตัวเลข รายได้ เงินสำรอง และโอกาสทางตลาด ถ้าคุณใช้ “ขาที่สอง” คุณจะมองลึกกว่านั้น ว่าความอยากลาออกของคุณมาจาก “เหตุผล” หรือ “ความเบื่อชั่วคราว”
บางคนไม่ได้อยากมีธุรกิจ เขาแค่อยากหนีจากหัวหน้า แต่ถ้าหนีไปโดยไม่รู้ว่าตัวเองหนีอะไร สุดท้ายเขาอาจสร้างหัวหน้าใหม่ที่มาในรูปแบบของลูกค้าแทน
การตัดสินใจที่ดีจึงไม่ได้มาจากการรู้ทุกอย่าง แต่มาจากการรู้เท่าทันสิ่งที่เราคิดมากกว่า
โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่พยายามชี้นำการตัดสินใจของเรา อัลกอริทึม โฆษณา ความเห็นของคนอื่น ทุกอย่างต่างพยายามจะลากเราไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
แต่ถ้าเรายืนอยู่ได้ด้วย “วิธีวิเคราะห์แบบคู่ขนาน” ของมังเกอร์ ขาหนึ่งคือเหตุผล อีกขาคือความเข้าใจในจิตใจตัวเอง เราจะเริ่มมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น และเราอาจจะเรียกสิ่งนั้นว่า “ปัญญา”
อาจไม่ได้หมายถึงการมีคำตอบที่ถูกต้องเสมอไป แต่มันคือการมี “กรอบคิด” ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราคิดผิดซ้ำ ๆ
นี่คือสิ่งที่มังเกอร์หยิบมาใช้เสมอ เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น
มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล เพียงแต่ไม่ได้มีเหตุผลตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นการตัดสินใจที่ดี ไม่ได้มาจากความฉลาดเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการรู้จักความโง่ของตัวเองด้วย
#การเงินการลงทุน

14/10/2025

[ ] “วางแผนการเงิน” คือ การวางแผนเพื่อให้ “พึ่งตัวเอง” ได้ มีเองได้ - ควบคุมเองได้ - เลือกเองได้ 3 เรื่องพื้นฐานสร้างความพร้อมพึ่งพาตัวเอง
“ไม่ต้องหวังพึ่งใคร สิ่งเดียวที่เรายึดได้ในที่มั่นที่สุด ไม่ใช่รัฐ และไม่ใช่คนอื่น แต่คือตัวของเราเอง”
เป็นแนวคิดของคุณก้อย วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ CFP นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทยคนแรก ที่ได้ให้ไว้เนื่องในวันวางแผนการเงินโลก
ซึ่ง aomMONEY ค่อนข้างเห็นด้วยมากๆ เพราะไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอะไรขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการตกงาน เจ็บป่วย หรือต้องการใช้ชีวิตในแบบที่ใฝ่ฝัน สุดท้ายแล้วเราก็ต้องสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองได้ ไม่ใช่ต้องไปยืมมือใคร หรือรอความช่วยเหลือจากใคร
การพึ่งตัวเองทางการเงิน จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการมีเงินเยอะ แต่คือการมี “อำนาจ” ในการตัดสินใจและควบคุมชีวิตของตัวเอง aomMONEY ได้ลองถอดแก่นการพึ่งตัวเองนี้ออกมาเป็น 3 เรื่องที่ทุกคนสามารถสร้างขึ้นได้ด้วยตัวเอง
✅มีเองได้ (สร้างความมั่นคงและมั่งคั่ง)
✅ควบคุมเองได้ (จัดการสิ่งที่ไม่จำเป็นและภาระ)
✅เลือกเองได้ (เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์)
[ 3 เรื่องพื้นฐานของการพึ่งพาตัวเองทางการเงิน ]
✅1. [ #มีเองได้ ]
➡️1.1. มี “รายได้จากการทำงาน” มากพอที่จะดูแลตัวเองได้
ถือเป็นด่านแรกและเป็น “รากฐาน” ของการพึ่งตัวเอง ถ้าเรามีรายได้จากการทำงานที่มากพอ เราก็ไม่ต้องก้มหน้าไปขอหยิบยืมใครเพื่อมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง หรือค่าเช่าบ้าน
หากอยากรู้ว่า เราพึ่งพาตัวเองจากรายได้ได้ดีหรือยังให้เช็กจาก…อัตราส่วนการอยู่รอด (Survival Ratio)
สูตร: อัตราส่วนการอยู่รอด = “รายได้รวมต่อเดือน” หาร “รายจ่ายรวมต่อเดือน”
ถ้าอัตราส่วนนี้ “มากกว่า 1” แสดงว่าเรามีรายได้ที่เพียงพอต่อการอยู่รอดแล้ว ถือว่าผ่านด่านแรกของการพึ่งตัวเองได้
➡️1.2. มี “รายได้จากการลงทุน” มากพอที่จะไม่ต้องทำงาน
แม้รายได้จากการทำงานจะทำให้ “อยู่รอด” ได้ แต่ถ้าอยาก “สบาย” และพึ่งตัวเองได้อย่างเต็มที่ในระยะยาว เราต้องสร้าง “Passive Income” หรือ “รายได้จากการลงทุน” ให้มากพอ
เพราะรายได้ที่ไหลเข้ามาโดยที่เราไม่ต้องเอาแรงไปแลกจะพาเราไปสู่ “อิสรภาพทางการเงิน” ซึ่งเป็นขั้นสุดของการพึ่งตัวเอง เพราะเมื่อถึงจุดนั้น เราจะสามารถเลือกได้ว่าจะทำงานหรือไม่ทำงานก็ได้
เช็กว่าเรามีอิสรภาพทางการเงินแล้วหรือยังด้วย “อัตราส่วนความมั่งคั่ง (Wealth Ratio)”
สูตร: อัตราส่วนความมั่งคั่ง = “Passive Income ต่อเดือน”​ หารด้วย “ค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อเดือน”
ถ้าอัตราส่วนนี้ “มากกว่า 1” แปลว่า “รายได้จากทรัพย์สินของเราครอบคลุมรายจ่ายทั้งหมดแล้ว” ทำให้สามารถบรรลุอิสรภาพทางการเงิน และพึ่งตัวเองได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น
✅2. [ #ควบคุมเองได้ ]
➡️2.1. ควบคุม “รายจ่าย” ที่ไม่จำเป็นของตัวเองได้
การควบคุมรายจ่ายไม่ได้แปลว่าต้องเป็นคนขี้เหนียว แต่หมายถึงการ “เลือกใช้จ่าย” อย่างมีสติ และเหลือเงินไปต่อยอดอนาคตของเราเองให้ได้
ซึ่งหากอยากรู้ว่าเราควบคุมรายจ่ายได้ดีหรือไม่ ให้ลองดูว่า รายจ่ายทั้งหมดที่มี เกินว่า 80% ของรายได้หรือไม่
หากรายจ่ายอยู่ที่ระดับไม่ถึง 80% ของรายได้ แสดงว่า เราสามารถนำเงินส่วนที่เหลือไปต่อยอดเพื่อการทำประโยชน์ในอนาคตของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ หรือการลงทุนในตัวเอง
➡️2.2. ควบคุม “หนี้สิน” ไม่ให้เดือดร้อนตัวเองได้
หนี้สินที่มากเกินตัว คือ การที่เราต้อง “พึ่งพา” คนอื่นหรือสถาบันการเงินไปเรื่อยๆ ต้องคอยวิ่งหาเงินก้อนใหม่มาโปะหนี้เก่า ก่อให้เกิดความเครียดและจำกัดทางเลือกในชีวิต
ตัวเลขที่ช่วยให้เราควบคุมหนี้สินได้… “หนี้สินผ่อนต่อเดือน” ไม่ควรเกิน 60% ของรายได้ต่อเดือน และ “หนี้สินรวม” ไม่ควรเกิน 80% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่เรามี
ซึ่งถ้าเราควบคุมหนี้สินให้อยู่ในกรอบได้ หนี้สินก็จะกลายเป็น “เครื่องมือ” สร้างโอกาส ไม่ใช่ “โซ่ตรวน” ที่พันธนาการเราไว้
✅3. [ #เลือกเองได้ ]
➡️3.1. เลือก “สำรองเงิน” รับเหตุไม่คาดฝันของตัวเอง
การมีเงินสำรองฉุกเฉินเปรียบเสมือน “ถังออกซิเจน” ที่เราเลือกจะพกไว้กับตัว เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน รายได้ลด หรือเกิดปัญหาชีวิตอื่นๆ (ยกเว้นเรื่องเจ็บป่วย ซึ่งมีทางเลือกอื่นรองรับ) เราสามารถใช้เงินก้อนนี้ประคองตัวได้ โดยไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่น
จำนวนเงินสำรองที่ควรมี 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน หรือบางท่านอาจเลือกเก็บเป็น 3-6 เท่าของรายได้ต่อเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าต่อให้รายได้เป็นศูนย์ เราก็ยังเสมือนมีรายได้เดิมอยู่ 3-6 เดือน ก็สามารถทำได้
➡️3.2. เลือก “ทำประกัน” ให้มีคนรับความเสี่ยงแทนเรา
ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และความเสี่ยงบางอย่างมีมูลค่าสูงจนทำลายแผนการเงินได้ทั้งชีวิต (เช่น การเจ็บป่วยร้ายแรง) การทำประกัน คือการที่เรา “เลือก” ที่จะโอนความเสี่ยงทางการเงินนั้นๆ ไปให้บริษัทประกันรับแทน
ถ้าเราเป็นโรคร้ายแรงขึ้นมา ค่ารักษาพยาบาลอาจพุ่งไปถึงหลักล้าน การต้องไปหยิบยืมหรือขายทรัพย์สินทิ้ง คือการที่เรา “ต้องพึ่งพา” คนอื่นหรือสถานการณ์บังคับ แต่ถ้าเรา “เลือก” ทำประกันสุขภาพ และประกันโรคร้ายแรงไว้ล่วงหน้า เราก็สามารถ “พึ่งตัวเอง” ในการเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุดได้ทันที โดยไม่กระทบเงินเก็บ
สุดท้าย เชื่อว่าการวางแผนการเงินที่ดีที่สุด ไม่ใช่การรวยเร็วที่สุด แต่คือการสร้างชีวิตที่เราสามารถ “พึ่งพาตัวเอง” ได้อย่างที่เราตั้งใจไว้ครับ
เขียนโดย: วัฒนา มะสันเทียะ, AFPT™
#วางแผนการเงิน #พึงตัวเอง #จัดการเงิน #เงิน #ลงทุน #ประกัน

13/10/2025

[ ] ถ้าในใจคุณยังเกลียดเงิน… คุณก็อาจไม่มีวันรวย
10 คำแนะนำสุดจริงจาก Alex Hormozi ที่คนอยากรวยทุกคนควรอ่าน
ถ้าคุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ มีโอกาสสูงว่า…
คุณอยากสร้าง ความมั่งคั่งระยะยาวให้กับครอบครัว หรือไม่ก็อย่างน้อยอยากเข้าใจว่า “คนรวยจริงๆ คิดยังไง?”
และข่าวดีก็คือ เด็กที่เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย ไม่ได้ฉลาดกว่าคุณ แต่สิ่งที่เขามี คือ “ความเชื่อ” และ “ทักษะ” ที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งนั่นแหละ คือแต้มต่อสำคัญในเกมสร้างความมั่งคั่ง
ในบทความนี้ เราได้ถอดเอา 10 คำแนะนำสุดจริงที่คนอยากรวยทุกคนควรรู้ จาก Podcast ของ ‘Alex Hormozi’ นักเขียนหนังสือขายดี นักการตลาด และนักธุรกิจผู้ก่อตั้ง Acquisition.com ซึ่งสร้างรายได้กว่า 17 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อให้คุณเข้าใจ และสำรวจแนวคิดที่แท้จริงของการสร้างความร่ำรวยแบบไม่ต้องรู้สึกผิด
👉เริ่มจากบทเรียนข้อแรกที่หลายคนมองข้าม… “อย่าดูถูกความมั่งคั่ง”
นาวาล ราวิกันต์ (Naval Ravikant) เคยกล่าวไว้ว่า การสร้างความมั่งคั่งอย่างมีจริยธรรมนั้น ‘เป็นไปได้’ แต่ถ้าคุณดูแคลนมันอยู่ลึกๆ ในใจ ความมั่งคั่งก็จะไม่เข้ามาหาคุณ
หลายคนอยากมีเงิน แต่ลึกๆ ในใจก็กลับดูถูกคนรวย หรือรู้สึกว่า “รวยแล้วต้องเห็นแก่ตัว” ซึ่งเป็นความคิดที่ย้อนแย้งในตัวเอง เพราะคุณไม่มีทางกลายเป็นสิ่งที่คุณเกลียดได้ 📍
อเล็กซ์บอกว่า ให้คุณลองคิดดูว่า
บางครอบครัวที่ลำบาก อาจปลูกฝังลูกหลานว่า “เงินหายาก” หรือ “คนรวยคือคนเอาเปรียบ” โดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่บางครอบครัวที่มีฐานะ กลับสอนว่า “เงินอยู่ทุกที่” และ “การสร้างคุณค่าให้คนอื่น จะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างยุติธรรม”
สิ่งนี้เองคือรากฐานของระบบทุนนิยม “การแลกเปลี่ยนโดยสมัครใจ (Voluntary Exchange)”
คนสองคนเลือกที่จะให้สิ่งของหรือบริการแก่กัน และสิ่งสวยงามคือ… ทั้งสองฝ่ายพูดว่า “ขอบคุณ”
👟 คุณซื้อรองเท้าจากร้าน
👨🏻‍💼 ร้านค้าได้เงิน คุณได้รองเท้า
ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ และเศรษฐกิจก็เติบโตขึ้นอีกนิด
นี่คือ Positive-Sum Game หรือ “เกมที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์”
ดังนั้น ถ้าคุณอยากเพิ่มคุณค่าและทำให้เงินในกระเป๋าของคุณเติบโต
ให้เริ่มจากการถามตัวเองว่า
“เราจะสร้างการแลกเปลี่ยนที่มีค่าพอให้คนพูดว่า ‘ขอบคุณ’ ได้กี่ครั้งในชีวิต?”
ที่ต้องเริ่มแบบนั้น เป็นเพราะว่าทุกครั้งที่คนพูด “ขอบคุณ”
มันแปลว่าคุณได้ทำบางอย่างที่มีคุณค่า
และถ้าคุณทำแบบนี้ซ้ำๆ
เงินก็จะหลั่งไหลมาเป็นผลลัพธ์ที่ตามมา อย่างเป็นธรรมชาติ
💡 แต่ปัญหาคือ… ภาพจำในสื่อ มักทำให้ “คนรวย” ดูเป็นตัวร้าย
นั่นจึงทำให้หลายคน รู้สึกผิดกับการอยากรวย
ทั้งที่ความจริงแล้ว “เงิน” เป็นเพียงเครื่องมือ
มันไม่มีดีหรือร้าย
อยู่ที่ว่าใครถือมัน และเอาไปใช้ทำอะไร
ถ้าคุณเป็นคนที่ตั้งใจดี เงินจะช่วยให้คุณทำสิ่งดีๆ ได้มากขึ้น
ถ้าคุณตั้งใจไม่ดี เงินก็อาจขยายพฤติกรรมด้านลบนั้นเช่นกัน
แต่สุดท้ายแล้ว… คุณจะไม่มีทางสร้างความมั่งคั่งระยะยาวได้เลย หากคุณยังเกลียดเงิน
และนั่นคือความจริงข้อแรกที่อเล็กซ์บอกไว้ เรื่องง่ายๆ แต่ทรงพลัง ที่น่าเสียดายคือ… คนส่วนใหญ่ยังไม่ทันเริ่มลงมือ ก็แพ้ไปแล้วตั้งแต่ในใจ เพราะความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับความร่ำรวย
#รายได้ #ทักษะ #การทำงาน #เคล็ดลับความมั่งคั่ง

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Freelance for Free Life posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share