The Qallout

The Qallout ถึงเวลาตั้งคำถามเพื่อสังคมที่มีคุณภาพ

แค่เดินผ่านอาคารพาณิชย์ ก็อาจจบชีวิตได้คำว่าทุจริตอาจดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับใครหลายคน บางคนมองว่าเป็นเรื่องของนักการ...
19/12/2024

แค่เดินผ่านอาคารพาณิชย์ ก็อาจจบชีวิตได้
คำว่าทุจริตอาจดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับใครหลายคน บางคนมองว่าเป็นเรื่องของนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล จึงไม่อยากเข้าไปยุ่ง หรือคิดว่าคงไม่ส่งผลกับชีวิตประจำวัน วันนี้ Corruption in your eyes จะมาเล่าเคสที่แสดงให้เห็นว่า อันตรายจากการทุจริตเกิดขึ้นกับเราได้เสมอ แม้กระทั้งในอาคารพาณิชย์ที่เราอาจเดินเข้าไปในชีวิตประจำวัน
ย้อนกลับไปในปี 2010 เมืองซาวาร์ ในประเทศบังกลาเทศ นาย Sohel Rana นักธุรกิจท้องถิ่นได้สร้าง Rana Plaza อาคารพาณิชย์อเนกประสงค์ที่มีทั้งหมด 5 ชั้น แต่ต่อมาอาคารนี้ก็ถูกต่อเติมเพิ่มอีก 3 ชั้นเป็นทั้งหมด 8 ชั้น โดยอาคารแห่งได้แบ่งชั้นล่างเป็นร้านค้าต่าง ๆ และธนาคาร ส่วนชั้นบนกลายเป็นโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป ทำให้ Rana Plaza กลายเป็นโรงงานที่ใหญ่จนสามารถผลิตสินค้าให้กับแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังระดับโลกได้ เช่น Primark และ Walmart เป็นต้น
แต่ธุรกิจที่เหมือนจะไปได้ด้วยดีก็อยู่ได้ไม่นาน วันที่ 24 เมษายน 2013 มีคนงานในโรงงานหลายคนเริ่มเห็นถึงความผิดปกติของอาคาร มีรอยร้าวมากมายเริ่มเกิดขึ้นบนผนังและโครงสร้างของอาคาร ทำให้เกิดความกังวลเรื่องของความปลอดภัย แม้ว่าจะมีคำแนะนำจากวิศวกรให้หยุดใช้งานอาคารนี้เพื่อความปลอดภัย แต่นาย Sohel Rana ที่เป็นเจ้าของอาคารกลับเพิกเฉยและบังคับให้คนงานกลับเข้ามาทำงานต่อเพราะใกล้จะถึงกำหนดการส่งมอบสินค้า แต่ความประมาทนี้ก็ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น
ช่วงสายของวันนั้น อาคาร Rana Plaza พังลงมา ถล่มทับคนงานที่กำลังทำงานอยู่ในโรงงานอย่างรวดเร็ว ซึ่งภายหลังพบว่า มีจำนวนผู้ที่ติดอยู่ในอาคารมากกว่า 3,000 คน ส่งผลมีผู้เสียชีวิตกว่า 1,100 คน และบาดเจ็บมากกว่า 2,500 คน ซึ่งนอกจากคนงานแล้วยังมีคนที่เข้ามาใช้บริการธนาคารและร้านค้าด้วย แต่ความสูญเสียครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุและความประมาทเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการทุจริตอีกด้วย
หลังเกิดเหตุการณ์ตึกถล่ม กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทั้งประเทศจับตามอง มีการสืบสวนถึงสาเหตุที่ทำให้อาคารถล่มและพบว่า Rana Plaza มีการต่อเติมอย่างผิดกฎหมาย เพราะแต่เดิมอาคารนี้ถูกออกแบบให้เป็นอาคารพาณิชย์เท่านั้น แต่ช่วงหลังกลับเน้นไปที่การทำโรงงานอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่และคนจำนวนมาก นอกจากนี้การต่อเติมเพิ่มอีก 3 ชั้นก็การต่อเติมที่ผิดกฎหมาย รวมถึงวัสดุก่อสร้างเองก็ไม่ได้มาตรฐาน เช่น คอนกรีตคุณภาพต่ำและเหล็กเสริมที่ไม่แข็งแรง แต่ที่อาคารนี้ยังอยู่ได้แม้จะทำผิดกฎหมายเพราะนาย Sohel Rana ได้ติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้ผ่านกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยและการอนุมัติการก่อสร้างที่ผิดกฎหมาย
เมื่อถูกพบว่ามีการทุจริต Sohel Rana ได้พยายามหลบหนีแต่ก็ถูกจับกุมได้ และในปี 2017 ศาลบังกลาเทศตัดสินจำคุกเขาเป็นเวลา 3 ปี ฐานไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตของประเทศ และถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม 37 คน ซึ่งหากพบว่ามีความผิด อาจได้รับโทษประหารชีวิต แต่คดีนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
การถล่มของ Rana Plaza เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ทำให้เราเห็นว่าผลกระทบของการทุจริต สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ใครจะคิดว่าเพียงแค่เราเดินเข้าไปในอาคารพาณิชย์เพื่อซื้อของ หรือทำธุรกรรมกับธนาคารก็อาจตกเป็นเหยื่อของอาคารถล่มได้ หันกลับมามองประเทศไทยเรามีเคสใหญ่ ๆ อย่างเช่น เหตุการณ์ห้างถล่มที่โคราชในปี 2536 จากวัสดุไม่ได้มาตรฐานที่มีการทุจริตมาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่แค่ตึกใหญ่ ๆ เท่านั้น กรณีถนนไม่ได้มาตรฐานหลายครั้งก็ทำให้ประชาชนประสบอุบัติเหตุจนชีวิต การทุจริตจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว เราทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ โดยหนึ่งวิธีที่ทำได้ง่าย ๆ คือการใช้งานเว็บไซต์ actai.co ในการตรวจสอบการจัดซื้อจัดภาครัฐ ซึ่งมีข้อมูลกว่า 39 ล้านโครงการ และถ้าพบความผิดปกติก็สามารถแจ้งผ่านทางเว็บไซต์ได้
#ทุจริต #คอร์รัปชัน #จัดซื้อจัดจ้าง #บังกลาเทศ #ตึกถล่ม

หมอนวดเองก็เจ็บเป็น : ชวนคุยกับคนทำอาชีพที่ช่วย “ผ่อนและคลาย” แต่เจ็บทั้งใจและกายจากการถูกลดทอนคุณค่าถ้าพูดถึง “หมอนวด” ...
22/11/2024

หมอนวดเองก็เจ็บเป็น : ชวนคุยกับคนทำอาชีพที่ช่วย “ผ่อนและคลาย” แต่เจ็บทั้งใจและกายจากการถูกลดทอนคุณค่า
ถ้าพูดถึง “หมอนวด” ภาพจำของแต่ละคนต่ออาชีพนี้อาจจะต่างกัน แต่ถ้าแปลตรงตัวก็หมายถึงคนรับจ้างคอยบีบคอยนวดช่วยให้คนผ่อนคลายสบายตัว แต่ทุกวันนี้หลายคนอาจมีมุมมองไปจนถึงงานบริการทางเพศจนทำให้มองอาชีพนี้ในแง่ลบ แต่มันจะเป็นแบบนั้นจริงไหมนะ ? วันนี้ All job Have problem ชวนมาคุยกับหมอนวดตัวจริง
ถ้าใครเคยไปเดินตามถนนย่านสุขุมวิทไม่ว่าจะทองหล่อ เอกมัย พร้อมพงษ์ จะเจอร้านนวดเยอะแยะเต็มไปหมด บางซอยก็มี 7-8 ร้าน มีตั้งแต่นวดเท้า นวดแผนไทย นวดน้ำมัน ส่วนราคาก็อยู่ที่ประมาณ 200-400 ต่อชั่วโมง ซึ่งร้านที่เราไปวันนี้ อยู่ในย่านสุขุมวิทไม่ไกลจาก BTS เราได้พูดคุยกับหมอนวดคนหนึ่งที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนด้วยเหตุผลบางอย่าง เราจึงขอตั้งชื่อสมมติว่า “พี่หญิง” ซึ่งทำอาชีพหมอนวดมา 7 ปีแล้ว
เราเริ่มจากคำถามเกี่ยวกับอาชีพนี้ว่า หนึ่งวันของหมอนวดต้องทำอะไรบ้าง ?
“ปกติแล้วก็เข้าร้านมา เตรียมของ เตรียมผ้าที่จะใช้ เตรียมน้ำมันต่าง ๆ หลังจากนั้นก็มานั่งรอตามคิวลูกค้า ทางร้านก็จะเรียกพนักงานเป็นคิว ๆ ไป แต่บางคนมีลูกค้าประจำเขาก็จะมาชี้ได้เลยว่าใครเป็นคนนวด” พี่หญิงตอบ
เราเลยได้ถามต่อว่าแล้วพี่หญิงมาทำอาชีพนี้ได้อย่างไร ?
“ก่อนหน้านี้พี่เคยดูแลผู้สูงอายุมาก่อน ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมงแต่เราได้ค่าจ้างวันละ 600 ซึ่งมันเป็นงานที่หนัก เทียบทำงานหมอนวดเราได้ชั่วโมงละ 120 วันนึงนวด 4-5 คน ทำงานประมาณ 5 ชั่วโมงก็ได้เท่ากันแล้ว แต่ช่วงแรกที่มีคนรู้จักชวนพี่มาทำงานเป็นหมอนวด พี่ก็ไม่สนใจนะเพราะเราเองก็มองว่าอาชีพหมอนวดเป็นงานที่ไม่ดี สังคมก็มองในแง่ลบ เขามาชวนพี่ประมาณหนึ่งปีได้ พี่ถึงจะตัดสินใจมาเป็นหมอนวด พอดีว่าตอนนั้นเขาก็มาบอกเราว่ามีคนในหมู่บ้านไปเป็นหมอนวดที่มาเลเซีย กลับมาก็มีเงินเป็นแสน ซื้อที่ 2 ไร่ เราเห็นเราก็อยากจะมีเงินบ้าง ก็มาลองเป็นหมอนวดที่กรุงเทพฯ แต่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีเงินอะไรมากมาย พอกินพอใช้ไปวัน ๆ” พี่หญิงตอบ
เชื่อว่าหลายคนก็คงสงสัยว่าการเป็นหมอนวดที่ต้องนวดให้คนอื่นทุกวันมันก็คงต้องปวดเองบ้าง เราได้ถามว่าการที่ต้องนวดให้ลูกค้าวันละ 4-5 คน แล้วเมื่อยเองบ้างไหม จัดการกับปัญหานวดอย่างไร ?
“ปวดสิ ปวดมากเลย โดยเฉพาะตรงบ่ากับคอเพราะพี่ต้องใช้ศอกนวดให้ลูกค้า บางคนอาจจะชอบศอก บางคนอาจจะชอบนิ้ว ตรงนิ้วก็ปวดนะแต่ปวดตรงบ่ากับคอมากกว่า เพราะส่วนใหญ่พี่จะใช้ศอก แต่พี่ก็จะมีวันที่ไปให้คนอื่นนวดเพื่อรักษาสุขภาพเราเหมือนกัน ประมาณอาทิตย์ละครั้ง” พี่หญิงตอบ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันภาพจำของอาชีพหมอนวดยังถูกมองในแง่ลบจากสังคม เราเลยได้ถามว่าพี่หญิงเองมองอย่างไรกับเรื่องนี้ ? ซึ่งก็ทำให้เรารู้ถึงเหตุผลที่พี่หญิงไม่อยากเปิดเผยตัวตน
พี่หญิงบอกกับเราว่าเธอทำงานอยู่ที่นี่ และได้พบกับแฟนปัจจุบันที่เป็นลูกค้าต่างชาติ พี่หญิงกับแฟนวางแผนว่าไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศบ้านแฟน แต่การเข้าประเทศเป็นเรื่องยากถ้ามีคนรู้ว่าเคยทำงานเป็นหมอนวด เขาอาจจะมองว่าเราไปลักลอบอยู่แบบผิดกฎหมาย
“ถ้าเกิดว่าเขารู้ว่าเราเคยเป็นหมอนวด เขาก็จะบอกว่าเราไม่ได้ไปทำงานจริง เราจะแอบไปอยู่ที่ประเทศเขาหรือเปล่า เพราะที่ไทยหรือต่างประเทศเขามองอาชีพหมอนวดในแง่ลบทั้งนั้น” พี่หญิงตอบ
แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาเดียว มุมมองของสังคมไม่สำคัญเท่ามุมมองจากคนใกล้ตัว
“ตอนที่พี่กลับบ้านที่ต่างจังหวัดน้องชายที่เป็นญาติพี่เขาก็ถามแบบดูถูกว่าไปทำอาชีพหมอนวดหรอ พี่ก็รู้สึกไม่ดีแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรได้แต่ยิ้มเบา ๆ แล้วไม่ใช่แค่ญาติหรอก สังคมหมอนวดด้วยกันก็มีการนินทา อย่างถ้าเรานวดให้ผู้ชาย พอเราเดินออกไปหมอนวดคนอื่นก็จะนินทากันว่าเราเข้าทำไปอะไร นวดอย่างเดียวไหม ถึงร้านจะมีกฎห้ามแต่บางคนก็แอบตกลงกับลูกค้าเอง พอมีคนทำแบบนี้มันก็ทำให้หมอนวดที่เขานวดแบบปกติเสียหายไปด้วย คนอื่นก็มองว่าหมอนวดทุกคนต้องรับงานเรื่องอย่างว่ากับลูกค้า ซึ่งจริง ๆ มันก็แล้วแต่หมอนวด ส่วนคนข้างนอกจะมองยังไงพี่ก็ไม่ค่อยสนใจนะ คนอื่นพี่ไม่รู้จักเขา พี่ไม่สนใจอยู่แล้ว หรือพนักงานเองจะนินทาพี่ก็ไม่สนใจเพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้ทำ แต่ที่เสียใจที่สุดคือเวลาที่ญาติมาดูถูกเรา พี่ยอมรับว่าก่อนมาทำพี่ก็เคยมองอาชีพหมอนวดในแง่ลบเหมือนกัน แต่พอพี่มาทำพี่ก็รู้ว่ามันแล้วแต่คน นวดปกติก็มีเยอะแยะ” พี่หญิงบอกเราเพิ่มเติม
นอกจากเรื่องสุขภาพ และเรื่องมุมมองสังคมแล้วอีกเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการเจอลูกค้า เราได้ถามพี่หญิงไปว่าเคยเจอประสบการณ์ไม่ดีในการบริการลูกค้าบ้างไหม ?
“ก็เจอนะ ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าผู้ชายที่มาถึงก็บอกเราเลยว่าจะให้เราทำอย่างอื่นนอกเหนือจากการนวด ทั้งที่เราแค่มานวดปกติ ยิ่งถ้าเป็นลูกค้าคนไทยเขาก็จะตื๊อตลอด ทำให้เราลำบากใจ แต่ถ้าเป็นลูกฝรั่งถ้าเราปฏิเสธเขา เขาก็จะเข้าใจเรามากกว่า ส่วนลูกค้าผู้หญิงก็มีนะแต่จะเป็นเรื่องความจุกจิก บอกว่าเรานวดไม่ดีบ้าง บางคนก็แกล้งบอกให้เราใช้มือนวด พอเราใช้มือนวดก็บอกให้ใช้ศอกนวด เหมือนมากวนเรา แล้วก็มาคอมเพลนกับทางร้าน บางคนมานวด 1 ชั่วโมง แต่พอผ่านไป 45 นาทีเพิ่งมาบอกว่านวดไม่ดี จะขอกลับแบบไม่จ่ายเงินเรา จริง ๆ เรานวดดีหรือไม่ดีมันก็ต้องรู้ตั้งแต่ 10-15 นาทีที่บีบแล้วสิ ไม่ใช่จะครบชั่วโมงแล้วมาบอก แบบนี้เจตนามันก็ชัดเจน บางคนเป็นผู้หญิงอยากได้ผู้ชายนวดแต่ไม่กล้าบอก พอเราล้างเท้าให้แล้วเตรียมขึ้นห้องนวดพึ่งมาบอกว่าอยากได้ผู้ชาย ทั้ง ๆ ที่ล้างเท้าไปแล้ว คิดว่าจะได้ลูกค้าแล้วแต่อยู่ ๆ มาบอกแบบนี้มันก็เสียความรู้สึก” พี่หญิงตอบ
สุดท้ายแล้วพี่หญิงอยากบอกสังคมที่มีมุมมองด้านลบเกี่ยวกับอาชีพของพี่ไหม ?
“พี่ไม่ว่าคนที่เขามองอาชีพหมอนวดในด้านลบนะ พี่เข้าใจว่าเขาก็มองภาพตามความเป็นจริง อย่างเขาไปเจอคนที่ทำหมอนวดแล้วทำเรื่องทางเพศด้วยเขาก็มีสิทธิ์คิดแบบนี้ แต่ใจจริงพี่ก็อยากให้สังคมมองว่าหมอนวดที่นวดปกติมันก็มี ไม่อยากให้เขามองว่าหมอนวดทุกคนจะต้องทำเรื่องแบบนั้น และมองอาชีพนี้ในด้านลบไปเลย” พี่หญิงตอบทิ้งท้าย
หลังได้พูดคุยทำให้เราได้รู้ว่าหมอนวดซึ่งเป็นอาชีพที่บรรเทาความเจ็บหรือปวดเมื่อยให้กับคนอื่น เบื้องหลังการทำงานพวกเขาก็มีความเจ็บในแบบของตัวเองทั้งความเจ็บปวดจากร่างกายจากมาจากการนวดให้ลูกค้า และเจ็บใจจากการถูกโดนดูถูก และถูกกีดกันจนต้องปกปิดตัวตน เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้หลายคนเข้าใจอาชีพหมอนวดมากขึ้น และทำให้อาชีพนี้เป็นที่ยอมจากทุกคนในสังคม
ที่มาภาพ :
https://bit.ly/3ZgFikl
#หมอนวด #นวด #สังคม #อาชีพ #ปัญหาสังคม

บทเรียนราคา 1.3 แสนล้านของ Airbus มีที่มาอย่างไรนะ ?“Airbus” หนึ่งในบริษัทผลิตเครื่องบินและจำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลิ...
11/11/2024

บทเรียนราคา 1.3 แสนล้านของ Airbus มีที่มาอย่างไรนะ ?
“Airbus” หนึ่งในบริษัทผลิตเครื่องบินและจำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลิตทั้งเครื่องบินโดยสารและเครื่องบินทางการทหาร มีเครื่องบินดัง ๆ เช่น A380 ที่เป็นเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุด จุคนได้ 853 คน หรือ A320 เครื่องบินโดยสารที่ขายดีที่สุดในโลก แต่รู้หรือไม่ Airbus เคยทุจริตจนเป็นข่าวใหญ่ช็อกโลกด้วยนะ
เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 2016 เมื่อหน่วยงานตรวจสอบการทุจริตของสหราชอาณาจักร (Serious Fraud Office : SFO) ได้ข้อมูลมาว่า บริษัท Airbus มีวิธีการทำธุรกิจซื้อขายเครื่องบินกับบริษัทสายการบินและหน่วยงานรัฐบาลในหลายประเทศที่แปล๊กแปลกกก โดยเฉพาะบริษัทนายหน้าที่ได้รับสินบนแบบอลังงง จนน่าสงสัยว่านี่อาจเป็นการจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อสัญญาจัดซื้อจัดจ้างเครื่องบินหรือเปล่าน้า ?
ฝ่ายสอบสวนเลยได้ตรวจสอบข้อมูลบริษัทนายหน้าที่ Airbus จ้างในหลายประเทศ ทั้งมาเลเซีย ศรีลังกา กานา และประเทศอื่น ๆ ทำให้ได้เห็นเต็มตาว่า เห้ย ! มันแปลกจริง ๆ เพราะบริษัทนายหน้าเหล่านี้มีการจ่ายเงินที่เยอะมว๊ากกกแบบผิดปกติ แต่ไม่มีเอกสารหรือเหตุผลที่ชัดเจน และเงินก้อนนี้ยังไปเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐของประเทศที่ซื้อขายด้วย
หลังจากนั้นไม่ใช่แค่สหราชอาณาจักร หน่วยงาน Parquet National Financier (PNF) ของประเทศฝรั่งเศส และ Department of Justice (DOJ) ได้เข้ามาร่วมสอบสวนคดีนี้ด้วย ทำให้การสืบสวนครอบคลุมไปถึงการตรวจสอบเอกสารการเงิน สัมภาษณ์คนที่เกี่ยวข้อง และการตรวจสอบสัญญาซื้อขายเครื่องบินและอุปกรณ์ทางทหารของ Airbus ทั่วโลก เลยจับโป๊ะได้ว่าบริษัทนายหน้าของ Airbus มีการจ่ายสินบนจริง !! ตั้งแต่ในปี 2008 จนถึงปี 2015 !!
เมื่อโดนฟาดด้วยหลักฐานต่าง ๆ ที่หน่วยงานจากหลายประเทศมัดรวมมา Airbus เลยทนไม่ไหว ขอยกธงขาว~ ยอมทำข้อตกลง DPA (Deferred Prosecution Agreement) กับ SFO, PNF และ DOJ ซึ่งข้อตกลงนี้ Airbus ต้องรับผิดจ่ายค่าปรับแต่จะไม่ถูกดำเนินคดี เพื่อให้บริษัทได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจเป็นคนดีย์และสามารถจ่ายค่าเสียหายมหาศาลได้
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความเสียหายกับหลายประเทศที่ซื้อขายเครื่องบินและอุปกรณ์ทางการทหารกับ Airbus ทั้งในด้านวัสดุและด้านของภาพลักษณ์ความโปร่งใส ซึ่งมีทั้งมาเลเซีย ศรีลังกา กานา และอีกหลายประเทศ รวม ๆ แล้วก็ 7 ประเทศเลยจ้า !! (นี่ยังไม่รวมประเทศที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมนะ)
แม้ในตอนจบ Airbus อาจจะไม่ต้องถูกดำเนินคดีแต่ก็มีหนี้ที่ต้องจ่ายถึง 3.6 พันล้านยูโร หรือประมาณ 1.3 แสนล้าน และนี่ยังไม่รวมเรื่องความเสียหายด้านภาพลักษณ์ที่ทำให้หุ้นตก ค่าปรับปรุงโครงสร้างองค์กร บลา ๆๆ
ในส่วนของเจ้าหน้าที่ภาครัฐประเทศต่าง ๆ ที่รับสินบนก็ไม่พ้นต้องโดนเหมือนกัน เช่น Emirsyah Satar อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบิน Garuda Indonesia ถูกศาลตัดสินจำคุก 8 ปี และปรับเงิน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ Nishantha Wickramasinghe อดีตประธานสายการบิน SriLankan Airlines ก็ถูกจับกุมในปี 2020
ซึ่งนี่เป็นบทเรียนสำคัญให้กับทั้งองค์กรเอกชนและหน่วยงานรัฐที่ทุจริตว่า เก่งมาจากไหน~ ก็แพ้การตรวจสอบนะจ๊ะ ❤️
#คดีสินบน #การทุจริตข้ามชาติ #ธุรกิจการบิน #ข่าวต่างประเทศ #คอร์รัปชัน #ธุรกิจโลก #บทเรียนองค์กร #สายการบิน #ข่าวธุรกิจ #โปร่งใส

ที่มา : https://bit.ly/4hWvJhZ
อ้างอิง :
- ต่างประเทศ : ปม “แอร์บัส” ติดสินบน สะเทือนถึงบินต้นทุนต่ำยักษ์เอเชีย…
https://bit.ly/48MJUC0
- Airbus Agrees to Pay over $3.9 Billion in Global Penalties to Resolve Foreign Bribery and ITAR Case
https://bit.ly/3OjcwJL
- กรณีศึกษา'Airbus SE' โคตรโกง=โคตรโง่ : ถอดบทเรียนค่าปรับคดีคอร์รัปชันสูงที่สุดในโลก
https://bit.ly/3OjcwJL
- Airbus to Pay Record $4 Billion to Settle Global Bribery Scheme
https://bit.ly/4enBIsZ

 #เหนือคำคาดหมาย ! ชวนย้อนมองสังคมไทยจากวลีเด็ดของคนดังที่ว่า “ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย”    “ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย” ว...
18/10/2024

#เหนือคำคาดหมาย ! ชวนย้อนมองสังคมไทยจากวลีเด็ดของคนดังที่ว่า “ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย”
“ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย” วลีที่ได้ยินจนหนาหูในช่วงที่ผ่านมาบนสื่อต่าง ๆ ทั้งโฆษณา ข่าว หรือแม้แต่ป้ายบิลบอร์ด ไปจนถึงช่องคอมเมนต์ที่คนใช้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน... ร่วมกันถอดความหมายจาก “คำ” ในชีวิตประจำวันที่เปี่ยมไปด้วยมายาคติ
"ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย" เป็นวลีเด็ดจากคนดังอย่าง "บอสพอล" หรือ พอล วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้บริหารบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป (The iCon Group) ซึ่งเป็น “การใช้เพื่อโฆษณา” ให้กับองค์กรดังกล่าวที่ทำธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและความงาม ด้วยการตลาดแบบเครือข่าย โดยวลีนี้สะท้อนแนวคิดที่ว่าการทำงานหนักอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ! หากทำงานผิดที่ ตลอดจนขาดโอกาสและการวางแผนที่ถูกต้อง ซึ่งสอดรับกับการทำงานของดิไอคอนกรุ๊ปที่นอกจากจะมีสินค้าให้ขายแล้ว ยังมีระบบการสอนที่เป็นกุญแจสำคัญของดิไอคอนกรุ๊ป...อ่านมาถึงตรงนี้คงคิดว่าเหมือนจะมาขายตรง แต่ไม่ใช่ !
แต่สิ่งที่ต้องการจะบอกคือ “เมื่อมีสโลแกนที่กินใจ พร้อมรูปแบบการโฆษณาชวนฝัน” จึงกลายเป็นการกระตุ้นให้คนหันมาร่วมลงทุนในธุรกิจเพื่อหวังประสบความสำเร็จให้แก่ชีวิตของตนที่หวังจะรวยจริงสักวัน เพราะเมื่อพวกเขาหันมามองที่ “โครงสร้างทางสังคม” พวกเขาอาจไม่เห็นอนาคตที่รวยได้ในเร็ววันจึงต้องหาที่พึ่ง
จึงอาจกล่าวได้ว่าวลีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มันเติบโตจากความบิดเบี้ยวของโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน แล้วเมื่อผู้คนไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรของความยากจนได้ด้วยการทำงานหนักอย่างเดียว การใช้วลีนี้กลายเป็นการสร้างภาพว่าการทำงานในรูปแบบที่ต่างไปหรือการลงทุนในธุรกิจใหม่จะเป็นทางออกของปัญหา และการมองหาโอกาสจึงกลายเป็นความหวังของหลายคนที่เชื่อว่า "ขยันให้ถูกที่" จะนำไปสู่ความร่ำรวยและความสำเร็จในชีวิต เช่นเดียวกับเหล่าบอสขององค์กรที่มีเรื่องราวหรือสตอรี่ของคนสู้ชีวิต
โดยส่วนหนึ่งที่ทำให้คนหันมาสนใจธุรกิจการตลาดเครือข่ายนั้นเกิดจากการนำเสนอเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ เช่น การเล่าถึงชีวิตที่ลำบากในอดีต การพยายามฝ่าฟันอุปสรรค จนสามารถก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จได้ เรื่องราวเช่นนี้มักเชื่อมโยงกับชีวิตของคนในสังคมไทยที่ยังคงพบเจอความลำบากในการหาเลี้ยงชีพ ดังนั้นการโฆษณาให้เห็นว่าคนที่มีต้นทุนที่น้อยกว่าแต่ถ้าเริ่มต้นเร็วและถูกที่ก็สามารถเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้หากลองเสี่ยงหรือเปิดโอกาสให้ตัวเองมากขึ้น (?)
นอกจากเรื่องราวซึ้งกินใจแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้คนหลงเชื่ออย่างสนิทใจคือ “อิทธิพลจากผู้ทรงคุณวุฒิ” ทั้งการใช้ดารา คนดัง หรือแม้แต่ผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่าง ๆ ที่กลายเป็นการสร้างภาพลักษณ์อันน่าเชื่อถือ เมื่อบุคคลเหล่านี้นำเสนอเรื่องราวความสำเร็จของตนเองหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ ก็ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกไว้วางใจและเชื่อมั่นว่านี่เป็นโอกาสที่ดีและเปิดใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจ
อย่างไรก็ตามการที่ธุรกิจแบบเครือข่ายยังคงขยายตัวและมีผู้คนเข้าร่วมจำนวนมาก อาจเป็นผลมาจาก “โครงสร้างสังคมไทยที่มีความบิดเบี้ยว” ทั้งโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ไม่เปิดโอกาสให้คนจนสามารถลืมตาอ้าปากได้ และระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ขาดการส่งเสริมให้มีทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ ตลอดจนกฎหมายการคุ้มครองผู้บริโภคที่ยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ จึงทำให้ประชาชนจำนวนมากยังขาดความรู้เกี่ยวกับธุรกิจเหล่านี้และตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อ
ดังนั้นทางออกจากปัญหานี้อย่างยั่งยืน อาจเริ่มต้นจากการปรับปรุงโครงสร้างทางสังคม โดยเฉพาะการศึกษาที่ต้องเน้นการสร้างกระบวนการคิดเชิงวิเคราะห์ให้ตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้พวกเขามีทักษะในการแยกแยะข้อมูลและการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล นอกจากนี้ยังต้องมีการพัฒนากฎหมายการคุ้มครองผู้บริโภคที่ควรมีความเข้มงวดและครอบคลุมมากขึ้น เพราะถึงแม้ว่าเหล่าบอสในเครือดิไอคอนจะถูกจับกุมครบแล้ว แต่ความเสียหายของผู้เสียหายหลายพันรายที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาทก็ยังคงไม่ได้รับการเยียวยา ดังนั้นการเริ่มต้นแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างควบคู่ไปกับการดำเนินการกับผู้กระทำผิดทางกฎหมายอาจเป็นแนวทางที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากการผลิตซ้ำของวลีที่ใช้เพื่อการโฆษณาที่ว่า “ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย”
ที่มาเนื้อหา :
- https://bit.ly/3UeGUIp
- https://bit.ly/3Nvw7WG
ที่มาภาพ
- https://bit.ly/3YsqRsY

คุณเป็นใครใน The Auditors ? “The Auditors ออดิตปิดคอร์รัปชัน” ซีรีส์เกาหลีจาก Viu Thailand ที่พึ่งจบไปเมื่อเดือนที่ผ่านม...
02/10/2024

คุณเป็นใครใน The Auditors ?
“The Auditors ออดิตปิดคอร์รัปชัน” ซีรีส์เกาหลีจาก Viu Thailand ที่พึ่งจบไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ควรค่าแก่การดู ด้วยความสนุกจากเรื่องราวของ “อาชีพนักตรวจสอบภายใน” ในบริษัทเอกชนเกาหลี ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบการทุจริตในบริษัท ชวนให้เราร่วมลุ้นไปกับทีมตรวจสอบว่าพวกเขาจะสามารถไขคดีทุจริตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้หรือไม่
ประเด็นที่อยากมาชวนคุยใน See นี่มา ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องคดีทุจริตที่เกิดขึ้น แต่เป็นเรื่องของมุมมองที่มีต่อการต่อต้านทุจริตที่สะท้อนจากตัวละครในซีรีส์ โดยเราได้เอางานวิจัยการตลาดต้านโกง (2564) มาใช้ เนื้อหาจึงอาจมีการสปอยล์มุมมองและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครในทีมเล็กน้อย ถ้าใครยังไม่พร้อมก็เซฟไว้แล้วไปดูใน Viu ก่อน แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสก็อ่านต่อได้เลย
งานวิจัยเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ? งานวิจัยการตลาดต้านโกงเป็นวิจัยที่จัดทำโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และการตลาด เพื่อแบ่งประเภทของคนต่อต้านคอร์รัปชันที่มีมุมมองและวิธีคิดที่ต่างกัน โดยแบ่งได้ทั้งหมด 4 ประเภทคือ กลุ่ม The Frontline, The Examplar, The Mass และ The Individualist
กลุ่มแรก The Frontline งานวิจัยอธิบายว่าคนกลุ่มนี้เป็นตัวตึงในการต่อต้านคอร์รัปชัน พร้อมเสมอถ้ามีโอกาสร่วมตรวจสอบคอร์รัปชัน และเชื่อสุดใจว่า “เรานี่แหละจะเปลี่ยนสังคมให้โปร่งใสได้” เรื่องสินบงสินบนเป็นเรื่องผิดที่พร้อมจะ Say No !! ซึ่งคนประเภทนี้คงยกตำแหน่งให้ใครไปไม่ได้นอกจาก ชิน ชาอิล หัวทีมนักจับหนูมืออาชีพ ที่มีความเด็ดขาดและไม่อ่อนข้อให้กับการคอร์รัปชัน !!
กลุ่มต่อมาคือ The Exemplar งานวิจัยอธิบายว่าคนกลุ่มนี้ก็เป็นตัวตึงการต่อต้านคอร์รัปชันแบบพอตัว อาจไม่ได้พร้อมรบเท่า Frontline แต่โดดเด่นเรื่องการป้องกันมากกว่าตรวจสอบและยังมองการให้สินบนเป็นเรื่องผิด ซึ่งคนประเภทนี้ต้องยกให้ยุน ซอจินตัวเอกหญิงสมาชิกทีมตรวจสอบที่มีแนวคิดตรงกันกับชิน ชาอิลเรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชัน แต่เธออาจจะไม่ได้บุกเข้าใส่ตรง ๆ ตัวอย่างตอนต้นเรื่องกู ฮันซู ตัวเอกชายที่เป็นเพื่อนร่วมทีมได้รับรองเท้าจากหัวหน้าคนงานในไซต์งานก่อสร้าง ยุน ซอจินไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าทีมตรวจสอบไม่ควรรับของจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในบริษัท แต่ก็ไม่ได้รุกเข้าใส่เพื่อตรวจสอบ
กลุ่มที่สามคือ The Mass งานวิจัยอธิบายว่าคนกลุ่มนี้ ก็ช่วยต่อต้านคอร์รัปชันอยู่นะ และพร้อมร่วมปราบปรามคอร์รัปชันระดับกลาง ๆ ซึ่งคนประเภทนี้ยกให้กู ฮันซู และ 3 คนที่เหลือในทีม แม้พวกเขาทั้ง 4 คนในทีมจะดูเป็นคนที่เพิกเฉยต่อการคอร์รัปชันในตอนแรก ๆ มองว่าการทำผิดเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น การที่กู ฮันซูยอมรับของจากหัวหน้าคนงานในไซต์งานก่อสร้างหรือใช้เงินของบริษัทเป็นค่ารถกลับบ้านหลังจากงานเลี้ยง รองหัวหน้ายอม คยองซอกที่ไม่สนใจตรวจสอบ คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองเป็นหัวหน้าทีม ผู้ช่วยอ๊ก อาจองไม่ได้กระตือรือร้นที่จะตรวจสอบใคร หรือ มุน ซังโฮที่ปลอมวุฒิการศึกษาเพื่อเข้าทำในงานทีมตรวจ แต่ภายหลังเราจะเห็นว่าที่ทำไปเพราะเขายังไม่ตระหนักเรื่องของการคอร์รัปชันมากพอ แต่เมื่อหัวหน้าชิน ชาอิล เข้ามา ก็ทำให้เราเห็นว่าทั้งที่ 4 คนพร้อมที่จะทำการตรวจสอบคอร์รัปชันอย่างเต็มที่
และกลุ่มสุดท้าย The Individualist งานวิจัยอธิบายว่าคนกลุ่มนี้มีโอกาสร่วมต่อต้านคอร์รัปชันน้อยที่สุด พวกเขามองว่าตัวเองมีโอกาสที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมต่อต้านคอร์รัปชันต่ำมาก ซึ่งคนประเภทนี้คือ อาจจะเป็นกลุ่มคนที่เพิกเฉยหรือคนที่ทุจริตซะเอง ไม่ว่าจะเป็น ผอ. ซอ กิลพโย ผ.อ. แบคฮยอนจิน หรือรองประธานฮวาง แดอุงที่ในตอนท้ายเราจะเห็นว่าเขาพยายามจะติดสินบนรัฐมนตรี
จากทั้ง 4 กลุ่มตัวอย่างที่พึ่งเล่าไป เชื่อว่าหลายคนอาจเห็นภาพอยู่แล้วว่าตัวละครไหนมีระดับคอร์รัปชันมากหรือน้อย แต่งานวิจัยช่วยให้เรามองเห็นภาพชัดขึ้น รวมถึงมองเห็นตัวเองในแต่ละตัวละครหรือจากคนทั้ง 4 กลุ่ม และถึงแม้งานวิจัยไม่ได้สรุปชัดเจนว่า The Individualist จะสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นกลุ่ม The Mass ได้ หรือกลุ่ม The Exemplar จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นกลุ่ม The Frontline ได้ แต่ The Qallout ก็เชื่อว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อการต่อต้านคอร์รัปชันได้ ทุกคนสามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนที่มีส่วนร่วมกับคอร์รัปชันมากขึ้นเหมือนคนในทีมอย่างรองหัวหน้ายอม คยองซอก ผู้ช่วยอ๊กอาจอง หรือผู้ช่วยมุนซังโฮที่ตอนแรกไม่ได้สนใจเรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชัน แต่ก็เริ่มจริงจังกับตรวจสอบมากขึ้นหลังการเข้ามาของชิน ชาอิล และที่เห็นได้ชัดคือตัวเอกอย่างกู ฮันซูที่ในตอนท้ายเขาได้กลาย The Frontline ที่มีความจริงจังในการตรวจสอบคอร์รัปชัน เหมือนอย่างชิน ชาอิล
สามารถอ่านงานวิจัยการตลาดต้านโกงหรือชื่อเต็มคือ “การตลาดเชิงประยุกต์สำหรับการกระตุ้นและจำแนกกลุ่มประชาชนที่มีความตระหนักรู้เกี่ยวกับการต่อต้านคอร์รัปชัน (2564)” ได้ที่ https://bit.ly/4dCh8F3
#ซีรีส์เกาหลี #ทุจริต #คอร์รัปชัน ี่มา

 #เหนือคำคาดหมาย ! นี่เราคิดมากเกินหรือเขากันแน่ที่คิดน้อยไปที่เลือกจะใช้คำว่า “คนผิวสี”  “คนผิวสี” คำที่เห็นจนชินตาและไ...
20/09/2024

#เหนือคำคาดหมาย ! นี่เราคิดมากเกินหรือเขากันแน่ที่คิดน้อยไปที่เลือกจะใช้คำว่า “คนผิวสี”
“คนผิวสี” คำที่เห็นจนชินตาและได้ยินจนหนาหูในช่วงที่ผ่านมาบนสื่อต่าง ๆ ทั้งข่าวและภาพยนตร์ แต่รู้ไหมว่าคำนี้อาจกำลังลบตัวตนของคนกลุ่มหนึ่ง... ร่วมกันถอดความหมายจาก “คำ” ในชีวิตประจำวันที่เปี่ยมไปด้วยมายาคติ
“คนผิวสี” เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสังคมไทย โดยอาจเริ่มต้นจากความพยายามในการเลี่ยงใช้คำว่า “คนดำ” จึงมีความพยายามในการสร้างคำเพื่อให้ฟังดูสุภาพและยอมรับได้ในสังคมที่มีให้คุณค่าของคนที่ “สีผิว” อย่างไรก็ตามการใช้คำนี้อาจเป็นเครื่องมือในการกดทับและลบตัวตนของกลุ่มคนผิวดำที่อาจรวมถึงคนผิวเหลืองอย่างคนเอเชียแบบเรา ๆ อีกด้วย
คำว่า “คนผิวสี” สันนิษฐานว่ามาจากการแปลคำและความหมายจากภาษาอังกฤษที่ว่า "People of Color" ในภาษาอังกฤษถูกใช้เพื่ออ้างถึงกลุ่มคนที่มีเชื้อชาติหรือภูมิหลังทางชาติพันธุ์ที่แตกต่างจากคนผิวขาว ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มักเผชิญกับการกดขี่หรือการเลือกปฏิบัติในสังคมที่อาจส่งผลมาจากการล่าอาณานิคม สู่อคติทางชาติพันธุ์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามคำ ว่า "People of Color" เป็นคำที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการเรียกร้องสิทธิและสร้างความเท่าเทียมในหลายประเทศทั่วโลก ตลอดจนความพยายามในการสร้างการรับรู้ถึงความหลากหลายทางเชื้อชาติ
แต่ในบริบทของสังคมไทยมักใช้คำว่า “คนผิวสี” แทนคำว่า “คนดำ” ด้วยเจตนาอันดีเพราะกลัวว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งด้วยคำพูด (Verbally Bullying) แต่รู้หรือไม่ว่าทัศนคติเช่นนี้เป็นการกระทำที่แฝงความรุนแรง (Microaggressions) หรือการพูดและการแสดงออกทั่วไปที่อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเสื่อมเสีย จากการตีตราและให้คุณค่าที่ด้อยกว่าในมิติใดมิติหนึ่ง อย่างไรก็ตามการพูดและการแสดงออกดังกล่าวมักจะไม่ใช่การเหยียดโดยตั้งใจ แต่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวจากการส่งต่อทัศนคติและชุดความคิดทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างไม่รู้ตัว
ซึ่งหนึ่งในสาเหตุนี้มาจากคำว่า "ดำ" ในสังคมไทยและเอเชียช่วงเวลาหนึ่ง มักถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่ดีที่สะท้อนถึงค่านิยมที่นิยมคนผิวขาวและให้คุณค่ากับความขาวอย่างมาก โดยสามารถเห็นได้จากการที่คนไทยหรือเอเชียในอดีตพยายามที่จะทำให้ตัวเองมีผิวขาวเพื่อให้ได้รับการยอมรับถึงความงามและสถานะทางสังคมที่สูงศักดิ์ ซึ่งก็มีการส่งต่อค่านิยมนี้ในยุคปัจจุบันผ่านการเอาวัฒนธรรมตะวันตกในยุคอาณานิคมของคนผิวขาว และการตลาดที่มาจากกลุ่มนายทุนที่ผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกมีการพัฒนาก็เริ่มมีการตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น จึงมีความพยายามในการผลักดันให้มีการจดจำอัตลักษณ์ของคนผิวดำและทำให้เป็นปกติ (Normalize) โดยอาจเห็นได้จากการที่ “คนดำ” หรือ “Black People” ใช้คำนี้เพื่อเรียกร้องสิทธิและศักดิ์ศรีของตนเอง เช่น เหตุการณ์ Black Lives Matter ที่คนผิวดำเรียกร้องความยุติธรรมจากการถูกกดขี่และเลือกปฏิบัติในระบบยุติธรรมของอเมริกา
การใช้คำว่า "คนผิวสี" ในไทยนั้นอาจเป็นทางเลือกและความพยายามในการลดอคติและเคารพต่ออัตลักษณ์ของคนที่มีผิวสีแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นที่สังคมไทยจะต้องทำความเข้าใจและยอมรับถึงความหลากหลายทางสีผิวและเชื้อชาติในมิติที่กว้างขึ้น เพราะในไทยก็มีกลุ่มคนดำที่อาศัยอยู่ในไทยหรือมีครอบครัวกับคนไทย ตลอดจนในฐานะของพลเมืองโลก (World Citizen)
ดังนั้นการเริ่มต้นแก้ไขปัญหาอคติทางชาติพันธุ์ อาจเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ อย่างการใช้ภาษาที่เคารพและให้คุณค่ากับคนที่มีความแตกต่างทางรูปลักษณ์และชาติพันธุ์ผิวเป็นสิ่งหนึ่ง แต่ก็ยังคงต้องเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางสังคม การศึกษา และสื่อ ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่จำเป็นไม่แพ้กันผ่านการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสีผิวที่หลากหลาย การส่งเสริมบทเรียนที่เคารพในอัตลักษณ์ของคนต่างเชื้อชาติ และการมีนโยบายที่ช่วยสร้างความเท่าเทียมในทุกระดับของสังคม โดยนี่เป็นเพียงตัวอย่างที่อาจเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับอคติและการเลือกปฏิบัติที่ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย
#คนดำ #คนผิวสี #ชาติพันธุ์ #สีผิว #ความเท่าเทียม #ความหลากหลาย #สิทธิมนุษยชน #คำไทย

“ผู้ชายเขาไม่ร้องไห้ง่าย ๆ กันหรอก” “น้ำตาลูกผู้ชายเลยนะ”“กว่าเขาจะร้องไห้ได้ แสดงว่าเรื่องใหญ่จริง ๆ”“ผู้ชายยังไงก็ต้อง...
11/09/2024

“ผู้ชายเขาไม่ร้องไห้ง่าย ๆ กันหรอก”
“น้ำตาลูกผู้ชายเลยนะ”
“กว่าเขาจะร้องไห้ได้ แสดงว่าเรื่องใหญ่จริง ๆ”
“ผู้ชายยังไงก็ต้องเข้มแข็งกว่าผู้หญิง ทำตัวแมน ๆ หน่อย”
ประโยคที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คงเป็นประโยคที่หลายคนคงเคยได้ยิน และคุ้นหูกันมานาน กับสภาพสังคมที่เราถูกปลูกฝังมาว่าเป็นผู้ชายต้องเข้มแข็ง ต้องเป็นกลุ่มคนที่เปราะบางหรือแตกสลายได้ยาก จากการมีพละกำลังหรืออำนาจที่เหนือกว่า ซึ่งตรงข้ามกับผู้หญิงที่ต่อมน้ำตามีเสรีภาพมากกว่า และเมื่อร้องไห้จะได้รับความเห็นใจมากกว่า แต่ก็ต้องถูกตัดสินว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเพศไหนต่างก็ถูกกดให้อยู่ใต้ร่มของปิตาธิปไตย แม้แต่ผู้ชายด้วยกันเอง
เราอาจจะเห็นและคุ้นชินว่าในสังคมทั้งในไทยและหลาย ๆ ประเทศที่ผู้ชายมักมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น แต่สุดท้ายแล้วก็ยังต้องอยู่ภายใต้กรอบของวัฒนธรรมสังคม เช่น การเป็นช้างเท้าหน้า การเป็นผู้นำที่ต้องตัดสินใจเก่ง หรือเป็นคนที่ต้องเข้มแข็ง เลยเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมากดขี่ผู้ชายด้วยเช่นกัน แม้ว่าสังคม หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตจะพยายาม Normalize กับสังคมว่า เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทุกคนจะมีความเศร้า อ่อนแอ หรือเปราะบาง ไม่ว่าจะเพศใด และควรอนุญาตให้ตัวเองได้มีพื้นที่แสดงอารมณ์เสียใจ หรือร้องไห้ได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ดูเหมือนว่าสำหรับการเกิดมาเป็นผู้ชายแล้ว ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหน ก็ยังมีพื้นที่หรือกำแพงทั้งจากตัวเองและสังคมที่ปิดกั้นการแสดงความรู้สึกเศร้าและเสียใจ จนเกิดการแตกสลายจากภายในปะทุออกมาเป็นความรุนแรงที่นำไปสู่การจบชีวิตได้
อดีตสามีแพทย์ยิงตัวเองเสียชีวิตในโรงพยาบาลย่านโชคชัย 4
พ่อพาลูกโดดน้ำฆ่าตัวตายหนีพิษเศรษฐกิจ
"หมวดชัย" ตำรวจ สภ.พระพรหม ยิงตัวตาย คาดสาเหตุมาจากเครียดที่ป่วยหนัก
ตำรวจยิงตัวตายคาโรงพัก คาดปมปัญหาหนี้สิน
เมื่อกลับมาดูสถิติการฆ่าตัวตายในประเทศไทย ปี 2566 พบว่า มีคนไทยเสียชีวิตถึง 5,172 คน และทุก ๆ 2 ชั่วโมง จะมีคนเลือกจบชีวิตตัวเอง 1 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี โดยเพศชายเป็นเพศที่ฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าเพศหญิง เราจะพบว่าบนโลกนี้นอกจากความเจ็บป่วยทางจิตใจแล้ว มีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้คนเราเปราะบางจนเลือกจะจากไปได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาปากท้อง ความสัมพันธ์ ภัยพิบัติหรือการประสบภาวะโลกร้อน การเผชิญหน้าความรุนแรง การสูญเสีย และการรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง และในปัจจุบันข่าวที่เราเห็นมากที่สุดก็น่าจะเป็นการหมดตัวจากการถูกมิจฉาชีพหลอก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจประกอบกันเป็นระเบิดเวลาของชีวิตใครสักคน
พาดหัวข่าวรายวันเหล่านี้ อาจเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนเกี่ยวกับอัตราการฆ่าตัวตายของเพศที่ถูกบังคับจากกรอบของสังคมให้เป็นผู้นำ และเข้มแข็ง ให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น และแม้ว่าจะมีการจบชีวิตเกิดขึ้นแล้ว ก็ยังถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอที่ไม่ควรเกิดขึ้นในเพศนี้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่อาจถูกมองข้ามไปของเหตุผลที่ใครสักคนตัดสินใจจบชีวิตตัวเองอาจไม่ใช่เรื่องส่วนตัว หรือการเจ็บป่วยทางจิตใจเสมอไป แต่มีอีกหลายปัจจัยที่คอยกระตุ้น และเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข เพื่อยุติหรือบรรเทาปัญหานี้ให้ดีขึ้นเสียที
ไม่ใช่แค่ผู้ชายในไทยที่ถูกอำนาจปิตาธิปไตยพรากชีวิตไป ในประเทศเกาหลีใต้เองก็ประสบปัญหามีอัตราการฆ่าตัวตายในผู้ชายสูง ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง ศิลปินไอดอล หรือคนทั่วไปเองก็ตาม เมื่อถูกสังคมกดดันให้เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือผู้ชายในแบบฉบับที่สังคมคาดหวัง นอกจากนี้พิษของปิตาธิปไตยยังถูกปลูกฝังในหัวของผู้ชายบางกลุ่มที่มองเพศอื่น ๆ ที่มีอำนาจน้อยกว่า จากกรณีเคสตัวอย่างที่นายคิม คีดัก นักการเมืองคนหนึ่งในเกาหลีใต้ ได้มีการแสดงความคิดเห็นผ่านแถลงการณ์บนเว็บไซต์ หลังจากได้อ่านผลสถิติการฆ่าตัวตายที่สะพานแม่น้ำฮัน ว่าการมีบทบาทที่มากขึ้นของผู้หญิงทำให้ผู้ชายหางานทำได้ยากขึ้น หาผู้หญิงที่ต้องการแต่งงานกับพวกเขาได้ยากขึ้น และอาจมีส่วนเกี่ยวข้องต่อความพยายามฆ่าตัวตายของผู้ชายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าปิตาธิปไตยพยายามสร้างกรอบในการกดทับเพศตรงข้ามทั้งในเรื่องของความสามารถ และอำนาจในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และตอกย้ำผู้ชายด้วยกันเองว่าถ้าหากปล่อยให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเราจะเสียสมดุลอำนาจในสังคมจากการที่ผู้ชายไม่สามารถเป็นผู้กุมอำนาจทั้งจากในบ้านและนอกบ้านได้ ปิตาธิปไตยได้ทำร้ายทุกคนอย่างแท้จริง
จากสถานการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งในไทยและต่างประเทศ รัฐบาลในปัจจุบันยังมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2568 โดยที่ยังมีการตัดงบประมาณ กรมสุขภาพจิตเหลือแค่ 1.8% ของงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข ดูเหมือนจะสวนทางกับคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตกว่า 10 ล้านคน ต่อจำนวนแพทย์ไม่กี่พัน คำถามคือ แล้วเมื่อไรที่เราจะสร้างบุคลากรทางการแพทย์ที่เพียงพอ แก้ปัญหาคนไข้ล้นมือหมอ การรอคิวนานข้ามปี หรือในต่างจังหวัดเองก็ตาม ที่พบว่ามีจิตแพทย์ไม่ถึง 1 คนต่อประชากร 1 แสนคน แล้วระบบที่รองรับปัญหาสุขภาพจิตจะมีประสิทธิภาพกี่โมง !!!
สำหรับวันที่วันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้เป็นวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลกของทุกปี (World Su***de Prevention Day) การแก้ปัญหาเรื่องนี้อาจไม่ได้เริ่มที่ใครคนใดคนหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพราะการสร้างระบบ Support system ที่ดีก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญ เพื่อรองรับหลาย ๆ ชีวิตที่มีแนวโน้มจะร่วงหล่นให้ได้ทันเวลา เช่น มีระบบป้องกันการเข้าถึงอาวุธ อุปกรณ์ วัสดุที่ใช้สำหรับฆ่าตัวตายได้ แนวทางการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเจ็บป่วยทางสุขภาพจิต และการฆ่าตัวตายที่ถูกต้องให้กับสังคม
สุดท้ายแล้ว การจบชีวิตภายใต้กรอบของปิตาธิปไตยไม่ได้เกิดแค่กับเพศใดเพศหนึ่ง แต่เกิดได้กับทุกคน ซึ่งสุดท้ายแล้วการก้าวผ่านปัญหาทั้งหมดนี้ไปอาจต้องใช้ความร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการมีนโยบายจากรัฐ ที่ส่งเสริมระบบป้องกันการฆ่าตัวตายที่มีประสิทธิภาพมากพอ และมีงบประมาณเพียงพอที่จะสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและซัพพอร์ตสุขภาพจิตของทุกคนได้
ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หลาย ๆ คนอาจรู้สึกว่าการจากโลกใบนี้ไปง่ายดายกว่า แต่อยากให้ทุกคนรู้ว่า It’s okay to not be okay และขอให้ทุกคนมีคนรอบตัวที่พร้อมจะ “รับฟัง” และไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไปที่จะอยู่บนโลกใบนี้ 🫂🤍
***dePreventionDay #วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก #สุขภาพจิต #งบ68
อ้างอิง
https://bit.ly/3B3cHpa
https://bit.ly/4e3IjcU
https://bit.ly/4dSCfUi
https://bit.ly/4efXEGM

 #เหนือคำคาดหมาย ! นี่เราคิดมากเกินหรือเขากันแน่ที่คิดน้อยไปที่เลือกจะใช้คำว่า “สาวประเภทสอง”  “สาวประเภทสอง” คำที่เห็นจ...
05/09/2024

#เหนือคำคาดหมาย ! นี่เราคิดมากเกินหรือเขากันแน่ที่คิดน้อยไปที่เลือกจะใช้คำว่า “สาวประเภทสอง”
“สาวประเภทสอง” คำที่เห็นจนชินตาและได้ยินจนหนาหูในช่วงที่ผ่านมาบนสื่อต่าง ๆ ทั้ง ภาพยนตร์ ละคร หรือแม้แต่การประกวดสาวงามอย่างเวที Miss Tiffany ไปจนถึงช่องคอมเมนต์ที่คนใช้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน... ร่วมกันถอดความหมายจาก “คำ” ในชีวิตประจำวันที่เปี่ยมไปด้วยมายาคติ
“สาวประเภทสอง” เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสังคมไทย โดยอาจเริ่มต้นจากความพยายามในการเลี่ยงใช้คำว่า “กะเทย” จึงมีความพยายามในการสร้างคำเพื่อให้ฟังดูสุภาพและยอมรับได้ในสังคมที่มีการแบ่งแยกเพศอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามการใช้คำนี้อาจเป็นเครื่องมือในการกดทับและลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้หญิงข้ามเพศก็ได้
“สาวประเภทสอง” มักถูกใช้เพื่ออธิบายผู้ที่เกิดมาพร้อมกับเพศชาย แต่แสดงออกหรือมีอัตลักษณ์ทางเพศเป็นหญิง ซึ่งในอดีตมักใช้คำว่า “กะเทย” โดยได้มีการบรรจุไว้ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 และให้ความหมายว่า "คนที่มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง หรือ คนที่มีจิตใจและกิริยาอาการตรงข้ามกับเพศของตน”
ในเวลาต่อมาคำว่า “กะเทย” ถูกนำมาใช้ในเชิงลบหรือเสียดสี ทำให้คนไทยจำนวนมากพยายามเลี่ยงการใช้คำนี้และหันมาใช้คำว่า “สาวประเภทสอง” แทน แต่ในขณะเดียวกันการใช้คำนี้กลับเป็นการย้ำเตือนถึงการแบ่งแยกและการไม่ยอมรับความเป็นผู้หญิงของผู้หญิงข้ามเพศในสังคมไทย เพราะคำว่า “ประเภทสอง” เป็นการบ่งบอกถึงการแบ่งแยกอย่างชัดเจนระหว่างเพศหญิงโดยกำเนิดและเพศหญิงจากการแปลงเพศ ทำให้เห็นว่าผู้หญิงข้ามเพศไม่ได้ถูกมองว่าเป็นผู้หญิง
อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกมีการพัฒนาก็เริ่มมีการตระหนักรู้เรื่องเพศที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในประเด็นที่มีการหยิบยกมาพูดและถกเถียงกันอย่างเป็นประจำ เนื่องจากคำว่า “สาวประเภทสอง” ยังคงรักษาความคิดที่ผู้หญิงต้องยึดติดกับเพศสภาพที่ได้รับการระบุแต่กำเนิดผ่านเครื่องเพศ (Ge***al) ที่ทำให้ผู้หญิงที่ไม่มีเครื่องเพศอาจไม่ได้ถูกนับรวมตามนิยามความหมาย และการไม่ยอมรับการตีความคำว่า “ผู้หญิง” ในมุมมองที่กว้างขึ้นไม่ว่าจะเป็นจากด้านกายภาพ ชีวภาพหรือวัฒนธรรมที่ทำให้คำว่า “สาวประเภทสอง” กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการกดทับและลดทอนคุณค่าของผู้หญิงข้ามเพศในสังคมไทย
ในเวลาต่อมาจึงได้มีการรณรงค์ให้ใช้คำว่า “ผู้หญิงข้ามเพศ” ตามคำที่มีการใช้อย่างแพร่หลายที่ว่า “Transgender Women” ซึ่งการใช้คำนี้จะเป็นการแสดงถึงการยอมรับและเคารพในอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคล คำนี้ไม่เพียงแค่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางเพศ แต่ยังเคารพในความเป็นผู้หญิงของบุคคลนั้น โดยไม่มีการแบ่งแยกประเภท หรืออาจใช้คำว่า “กะเทย” ก็ได้เช่นกันเพราะเป็นการการแสดงถึงการยอมรับและเคารพในอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลว่ามีประวัติศาสตร์ในไทยมาอย่างยาวนาน
การใช้คำว่า “สาวประเภทสอง” เป็นการสร้างเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างเพศหญิงและผู้หญิงข้ามเพศ ซึ่งเป็นการตีกรอบความเป็นผู้หญิงเพียงแค่กายภาพ และการยึดติดกับมุมมองนี้ทำให้ความหมายของคำว่า “ผู้หญิง” ถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบแคบที่ยึดโยงกับมดลูกและการสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นการปฏิเสธความเป็นผู้หญิงของผู้หญิงข้ามเพศ ที่ถึงแม้ว่าการใช้คำว่า “สาวประเภทสอง” จะมีเจตนาที่ดีในการเลี่ยงการใช้คำที่ฟังดูรุนแรง แต่ก็ยังคงเป็นคำที่มีอำนาจในการกดทับและลดทอนคุณค่าของผู้หญิงข้ามเพศในสังคมไทย การเปลี่ยนมาใช้คำว่า “ผู้หญิงข้ามเพศ” หรือ “กะเทย” อาจแสดงถึงการยอมรับและเคารพในอัตลักษณ์ทางเพศมากกว่า แต่ยังเสริมสร้างให้เกิดสังคมที่ยอมรับในความหลากหลายและเคารพในความเป็นมนุษย์ของทุกคน
#สาวประเภทสอง #กะเทย #ผู้หญิงข้ามเพศ + #คำไทย

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when The Qallout posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Business

Send a message to The Qallout:

Videos

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Contact The Business
  • Videos
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share